เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๗
หลักใหญ่ของพระกรรมฐาน
วงกรรมฐานเราต้องเป็นวงงบเงียบสงัด หนักแน่นในข้อวัตรปฏิบัติในการประพฤติปฏิบัติศีลธรรมและจิตตภาวนา เป็นหลักใหญ่ของพระกรรมฐาน พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายท่านดำเนินมาอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุเครื่องอาศัย ทำไมจะให้เป็นใหญ่เป็นโตมาเหยียบย่ำหัวใจแหลกเหลวไปหมด อยู่ที่ไหนมีแต่เรื่องวัตถุเหยียบย่ำเข้าไปๆ เลยตื่นกัน ตื่นวัตถุกัน วัดเรานี้ลองเปิดดูซิมันแหลกไปนานแล้วนะ ถ้ากุฏิก็คนนั้นจะเอาหลังคนนี้จะเอาหลัง ทั้งเป็นของส่วนตัว ทั้งจะมาปลูกให้พระ ใครจะเอากี่ชั้น มากต่อมากที่มาติดต่อเรา เราไม่ให้
ไม่มีใครเป็นใหญ่ยิ่งกว่าหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นหลักปกครองโลก เราเอาตรงนั้นนะ จะเอาเรื่องของบุคคลเข้ามาทำลาย เห็นแก่หน้าโมกโขโลกนะอย่างนั้นไม่ได้ แหลกหมดส่วนใหญ่ เมื่อส่วนย่อยไปทำลายส่วนใหญ่ให้แหลกหมดแล้วจะอาศัยอะไร คนส่วนไหนก็ตามต้องพึ่งส่วนใหญ่ หลักใหญ่คือหลักปกครอง ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทำให้โลกเสียหายที่ตรงไหนไม่เห็นมี มีแต่โลกทำความเสียหายแก่อรรถแก่ธรรมและแก่ตัวเองเท่านั้น หลักใหญ่อยู่ตรงนั้น จึงต้องได้ระมัดระวังเสมอ
ตื่นอะไรปัจจัย ๔ ฟังซิ ปัจจัยเพียงเครื่องอาศัยเครื่องสนับสนุนไปเท่านั้น ถ้าเราฉลาดก็เพียงเครื่องอยู่อาศัยให้เป็นความสะดวก ถ้าไม่ฉลาดก็นี่ละมันฆ่าคน สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ ลาภสักการะย่อมฆ่าบุรุษโง่ นั่นฟังซิ นี่แหละมันฆ่าคนไม่ฉลาด โง่ต่อมัน ก้มหัวให้มัน มันก็เหยียบเอาๆ แหลก ต้องก้มต่อธรรมซิ หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่ตรงไหนนั่นละศาสดาอยู่ตรงนั้น ให้ยึดตรงนั้น ท่านว่ายังไงนั่นละศาสดาอยู่ตรงนั้นๆ ความเลิศความวิเศษจะอยู่ตรงนั้น
เดินเข้าไปก้าวเข้าไปทุกข์ยากลำบากไม่สำคัญ เป็นเรื่องของกิเลสกีดกั้นต่างหาก ความเห็นว่าทุกข์ยากลำบากอย่างนั้นอย่างนี้มีแต่เรื่องของกิเลส มันกีดมันกันไม่ให้ก้าวเข้าสู่ความดิบความดีซึ่งเป็นทางอันเลิศประเสริฐ ตลอดถึงผลอันเลิศประเสริฐที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ และพระองค์ก็เคยประสบพบเห็นมาแล้วอย่างประจักษ์พระทัย ด้วยความฝ่าฝืนกิเลสต่อสู้กิเลสนั่นแหละ จึงต้องเอาจริงเอาจังซินักปฏิบัติ
นี่มองไปไหนขวางตาอยู่ตลอดเวลา ฟังก็ขวางหู มันคึกมันคะนอง เดินมาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นยังไง ตามองไปก็ขวางตา ไม่ใช่กิเลสขวางธรรมจะเป็นอะไรไป ถ้าธรรมแล้วไม่ขวาง ถ้ากิเลสแล้วขวาง ไม่ว่าจะผ่านมาทางหูทางตาทางไหนขวางทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องของกิเลส ไม่เคยลงรอยกับธรรมเลย ให้ทราบทุกคนมาศึกษานั่นละ ที่ว่ามันขวางคืออะไร คือมันทำลายตนแล้ว คนอื่นอยู่ไกลๆ ยังไปมองเห็น เจ้าของเองยังไม่รู้ มันเผาอยู่แล้วนั่น การปฏิบัติธรรมไม่สังเกตตัวเองจะสังเกตอะไร
ศาสดาอยู่ตรงไหน อยู่กับธรรม อย่าไปคิดกาลโน้นกาลนี้ คว้าน้ำเหลว ตื่นข่าวกัน ให้ดูอรรถดูธรรม ท่านสอนว่ายังไงๆ นั่นละคือองค์ศาสดากำลังเสด็จต่อหน้าเราให้เห็น หรือประทับอยู่ต่อหน้าเราตรงนั้นละ มีอดีตอนาคตที่ไหน สัทธรรมเป็นความจริงอยู่ตลอดเวลามีอดีตอนาคตที่ตรงไหนไม่เห็นปรากฏ แล้วกิเลสมีอดีตอนาคตที่ตรงไหน มันเหยียบย่ำหัวใจของสัตว์โลกมาตลอดไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว โลกมีมาตั้งแต่เมื่อไรนั่นแหละกิเลสครอบหัวโลกมาตั้งแต่นั้นละ มีสมัยมีกาลที่ไหน เวลาจะเอาธรรมไปแก้กิเลสทำไมศาสดาอยู่ตรงโน้น สาวกอยู่ตรงโน้น ธรรมอยู่ตรงโน้นคว้ามาแก้กิเลสแล้วคว้าไม่ทัน ว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้ว นั่นกิเลสมันหลอกเอาๆ มันเหยียบหัวคนอยู่ใกล้ๆ ทำไมไม่ดู กิเลสไม่เห็นมันไปไหน ธรรมจะมาแก้กิเลสทำไมอยู่ไกลนัก
ศาสนธรรมสอนว่ายังไง นั่นละเครื่องแก้กิเลสอยู่ตรงนั้น ศาสดาอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าสอนสดๆ ร้อนๆ ธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาแทนเราตถาคตเมื่อเราผ่านไปแล้ว แน่ะ สดๆ ร้อนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เรายอมกราบราบเลย สอนตรงไหนดำเนินตามนั้นเห็นตรงนั้น ถ้าปลีกแวะจากนั้นตรงไหนกิเลสเหยียบย่ำตรงนั้น เอาไปกินตรงนั้นแหละ กิเลสหั่นหอมหั่นกระเทียมอยู่บนหัวเราทุกวันๆ เห็นไหม ให้เอาธรรมะเข้าไปหั่นหอมหั่นกระเทียมฟัดหัวกิเลสลงมายำกินดูสักทีซิ อร่อยไหมกินกิเลส มีแต่กิเลสกินเรา
ยิ่งมามากๆ เหลวๆ ไหลๆ ไปหมด มันขวางหูขวางตา ไม่พูดเฉยๆ นี่แหละ พอมองเห็นพับเห็นแล้วจะทำยังไง ไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจที่จะเพ่งโทษเพ่งกรณ์หมู่เพื่อน แต่เราในฐานะสั่งสอนหมู่เพื่อน ในฐานะเป็นอาจารย์สอนด้วยความเมตตาสงสารทุกสิ่งทุกอย่าง มองดูด้วยความระแวดระวัง มองดูด้วยความรักความสงวน มองดูหมู่เพื่อนไม่ได้มองดูด้วยความเกลียดความชังนี่นะ มองดูด้วยความเมตตาสงสารจริง ๆ บกพร่องตรงไหนรีบบอก ๆ
มันเกินกว่าที่จะบอกทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมากต่อมาก มีปากเดียวมีตาเดียวเท่านี้ มันไม่ไหวก็นิ่งเหมือนคนใบ้คนบ้าไปเสีย ผ่านไปเฉย ถ้าจะพูดก็ไม่ทราบว่าจะพูดว่ายังไง ถ้ามี ๑๐ ปาก โอ๋ย ไม่ได้หยุดปากแหละ คนนั้นเคลื่อนตรงนั้น คนนี้เคลื่อนตรงนี้ ปากนี้จะต้องว่าให้คนโน้น ปากนั้นว่าให้คนนั้นอยู่ตลอด มี ๓๐ คนเราต้อง ๓๐ ปาก จะต้องได้ว่าให้ทุกคน ปากนี้ว่าให้องค์นั้น ปากนั้นว่าให้องค์นี้ จะได้ตาย ตาก็เหมือนกันต้องมีหลาย ๆ ลูกตาไม่งั้นไม่ทัน มันรวดเร็วเรื่องของกิเลส มันรวดเร็วขนาดนั้นแหละธรรมจนมองไม่ทัน เรายังไม่รู้อีกเหรอว่ากิเลสรวดเร็ว ยังมาสบายอยู่เหรอ
สอนไว้หมดแล้วเรื่องกลมายาของกิเลสแหลมคมขนาดไหน สอนไว้หมดตามในเทปในอะไรก็ดี นั้นแหละความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าอยากจะทราบก็ เอ้า ฟิตเข้าไปซิสติปัญญา ไม่ต้องบอกไม่ต้องถามใครละ จะรู้ขึ้นภายในใจ กิเลสมาไม้ไหนธรรมะไปไม้ไหน แก้กันตรงไหน ๆ หลายสันหลายคมขนาดไหน ธรรมะหลายสันหลายคมขนาดไหน ทันกันยังไง ฆ่ากันยังไงบอกเอง นี้ละที่เรียกว่าปัญญาของธรรม ผิดกันกับปัญญาที่ศึกษาเล่าเรียนมาเป็นคนละโลกโน่นจะว่าอะไร
เราเรียนมาเป็นความจำ ปัญญาออกจากความจำเป็นธรรมดาคิดอ่านธรรมนี้ เป็นเรื่องของโลกไปธรรมดา แม้ธรรมก็ธรรมพื้น ๆ ธรรมกระพี้ ถ้าลงเป็นปัญญาของธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ภาวนามยปัญญาเอาดูซิ นั่นละภาวนามยปัญญาแท้ นั่งอยู่ไหนก็หมุนติ้ว ๆ เป็นของตัวเอง ๆ ไม่ต้องไปหามาจากใคร เอ้า ข้าศึกขึ้นมาตรงไหน สติปัญญาเป็นของตัวเองจะขึ้นทันที ๆ ตามกันเลย ๆ จนกิเลสแหลกละเอียดไปหมดไม่มีอะไรเหลือ นั่นละปัญญาซึ่งเป็นของตัวเอง ปัญญาในธรรมะทางภาคปฏิบัติแท้เป็นอย่างนั้น เอามาฆ่ากิเลสด้วยภาคปฏิบัติ
ปัญญาภาคปฏิบัติพื้นๆ ก็ต้องอาศัยสัญญานี้เสียก่อนเมื่อยังไม่เกิดนั้นก้าวไป เมื่อถึงแล้วเห็น ท่านพูดไว้นี้ท่านโกหกเมื่อไร ศาสดาเป็นองค์โกหกโลกเหรอ แล้วครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านเป็นครูบาอาจารย์โกหกโลกเหรอ มันถึงไม่ถึงใจเราเหมือนกิเลสย่ำหัวใจอยู่ตลอดเวลา
เอาละพอ |