เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
บ่ายวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ธรรมต้องช่วยชาติ
วันนี้นับว่าเป็นวันมหามงคลแก่บรรดาพี่น้องชาวไทยที่รักชาติทั้งหลาย ซึ่งต่างท่านต่างมาร่วมกันบริจาคสร้างบารมีของตนด้วย เพื่อเชิดชูชาติไทยของเราที่อ่อนแออยู่แล้วให้เข้มแข็งขึ้น ให้แน่นหนามั่นคงขึ้นด้วย ในงานนี้มีทั้งพระเจ้าพระสงฆ์ซึ่งมาจากสถานที่ต่าง ๆ ตามวัดตามวา พาพี่น้องศรัทธาญาติโยมทั้งหลายในที่นั้น ๆ มาบริจาคทานเพื่อการกุศล-มหากุศลแห่งชาติไทยของเรา วันนี้รู้สึกว่าหนาแน่นไปด้วยพี่น้องชาวไทยที่ได้ร่วมมือร่วมใจจากความรักชาติของตนมาบริจาคพร้อมหน้ากัน แล้วเมื่อเช้านี้ก็แน่นไปหมด ตอนบ่ายวันนี้ก็แน่น เมื่อเช้านี้มากไม่ใช่เล่น ๆ ตอนบ่ายนี่ยิ่งมากเข้ากว่าตอนเช้านี่อีก
วันนี้เป็นวันที่เราได้บริจาคเพื่อชาติไทยของเรา ซึ่งคลังหลวงนั้นอ่อนแอมากทีเดียว ที่ได้รบกวนพี่น้องทั้งหลายนี้เนื่องจากครั้งแรกที่เราไปจะไปมอบทองคำ และมอบดอลลาร์ หัวหน้าคลังหลวงได้นิมนต์เราเข้าไปดูทองคำในคลังหลวง แล้วบอกว่าในคลังหลวงนี้ได้มาเห็นเพียงสองท่านเท่านั้น คือสมเด็จพระเทพฯ หนึ่ง แล้วก็หลวงตานี่เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครมาดูได้เลย มาเห็นได้เลย คือไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด นั่น นี่เพราะเหตุไรหัวหน้าคลังหลวงจึงได้นิมนต์เราเข้าไปดู ในวันที่เรามอบทองคำเป็นครั้งแรก ท่านต้องหวังเพื่อคลังหลวงของเราที่กำลังเหือดแห้ง เรียกร้องหาความช่วยเหลือบรรเทาความหิวโหยของคลังหลวง ให้มีความบรรเทาขึ้นมา ๆ
พอเราได้ไปดูก็ไปดูทุกทิศทุกทาง ทุกแง่ทุกมุมในคลังหลวงนั้น ซึ่งมีเป็นเกราะ ๆ คลังหลวงมีเป็นตับ ๆ เราเดินดูซอกแซกซิกแซ็ก ดูวันนี้จะเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบอีกครั้งหนึ่งนะ ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริง ๆ พอดูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เชิญหัวหน้าทองคำ หัวหน้าคลังล่ะไปคุยกัน ว่าทองคำนี้ได้มอบ ได้ฝากไว้ที่ไหน ๆ บ้าง ตามที่เราคาดคิด ท่านหัวหน้าก็ตอบมาอย่างถูกต้อง แล้วเวลาหมุนเข้ามาหาชาติไทยของเราว่าทองคำมีเท่านั้น จิตใจของเรา โอ๋ย วูบวาบลงเลย นี่รู้สึกว่าสะเทือนใจมาก คนทั้งประเทศจำนวนตั้ง ๖๒ ล้านคนมีทองคำขนาดนี้เข้ากันไม่ได้เลย นี่แหละต้นเหตุนะ
พอออกมาจากนั้นก็ประกาศก้องตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้เลย เราจึงไม่จืดจางเรื่องการประกาศขอความร่วมมือจากบรรดาพี่น้อง เพื่ออุดหนุนคลังหลวงของเรา ซึ่งเป็นหัวใจแห่งชาติไทยให้มีความเต็มตื้นขึ้นมาด้วยทองคำ อย่างน้อยก็อย่างที่ว่าได้ ๑๐ ตัน พอหายใจโล่งล่ะ ถึงขนาด ๑๐ ตัน พอหายใจโล่ง แต่ไม่ได้เต็มปอด ไม่เต็มก็ตาม เวลาหายใจแขม่ว ๆ บอกชัดเจนอยู่แล้วก่อนหน้าที่จะนำทองคำเข้าไปสู่คลังหลวง นี้ นี้พอได้ทองคำหนุนเข้าไป ๆ การหายใจของพี่น้องชาวไทยจากคลังหลวงก็ค่อยรู้สึกว่าโล่งขึ้นมา ๆ
บัดนี้ทองคำเรามันจะ ๙ ตันแล้วนะ มอบคราวนี้ค่อนข้างแน่ใจว่าจะถึง ๙ ตัน หรือ ๙ ตันกว่าก็อาจเป็นได้ ยังขาดอยู่เพียง ๑๐ ตัน เพราะฉะนั้นจึงได้เรียนพี่น้องทั้งหลายทราบว่าเอาเลยนะ มันควรจะได้ ๑๐ ตันในคราวนี้ก็เอาให้ได้เถอะ เพราะเราเห็นความเหือดแห้งของคลังหลวงของเรา เราอยากพูดว่าเหือดแห้งนะ คน ๖๒ ล้านคนมีทองคำเพียงเท่านั้น เรียกว่าเข้ากันไม่ได้เลย จึงว่าเอาเลย คราวนี้เป็นคราวที่เราจะช่วยชาติของเราที่มีความหิวโหยมานาน เรียกร้องจากความช่วยเหลือจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน เพื่อที่จะช่วยเหลือคลังหลวงของเราให้แน่นหนามั่นคงขึ้นมา
นี่เวลานี้ก็ค่อนข้างอบอุ่นมากขึ้นแล้ว ถ้าได้เต็ม ๑๐ ตันดังที่รบกวนพี่น้องทั้งหลายเรื่อยมานั้น หลวงตาจะพอใจล่ะ เพราะหลวงตาเป็นผู้ประกาศตามโครงการเองว่าทองคำให้ได้ ๑๐ ตัน ดอลลาร์ให้ได้ ๑๐ ล้าน พอถึงนี้แล้วก็จะยุติ นี่ก็จวนเข้ามา ๆ แล้ว คราวนี้ก็จะมากอยู่ ไม่ใช่น้อย นี่ล่ะดังที่พี่น้องทั้งหลายนำมาบริจาค หลั่งไหลกันมา หลั่งไหลกันมาตลอด วันนี้หลวงตาจึงได้นั่งชมบารมีของพี่น้องด้วยความพร้อมเพรียง กันมาบริจาค หลั่งไหลกันตลอดมาเป็นเวลานาน จึงนั่งนิ่ง นั่งดู นั่งชมบารมีของพี่น้องทั้งหลายที่รักชาติเอาจริงเอาจัง เดินตามผู้นำ คือผู้นำต้องมีอรรถมีธรรม ความถูกต้องดีงามนำ
ท่านทั้งหลายก็ได้ต่างท่านต่างเดินตามผู้นำตลอดมา ไม่ว่าในเมือง นอกเมือง ในป่าในเขา เขานิมนต์ไปเทศนาว่าการเพื่อการมหากุศลทอดผ้าป่าเมื่อไรคนเป็นแน่น ๆ ตลอดไปเลย จนกระทั่งปัจจุบันนี้เรายังไม่เคยเห็นสถานที่ใด มีประชาชนมาฟังอรรถฟังธรรมด้วยการบริจาคที่น้อย หรือด้อย ๆ ลงไม่เคยมี มีตั้งแต่เต็มไปทุกแห่งทุกหน นี้เราก็ได้ชมบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยตลอดมา ว่าเอาจริงเอาจัง สมความรักชาติ รับผิดชอบของชาติจริง ๆ เดินตามผู้นำที่มุ่งต่อชาติบ้านเมืองของเราเช่นเดียวกัน แล้วก้าวเดินตามกันมาโดยลำดับ
นี่ไม่มีที่ว่าจะบกบางเรื่องพี่น้องชาวไทย หรืออ่อนแอท้อแท้ให้เสียกำลังใจกับผู้นำอย่างนี้ไม่เคยมี มีแต่เป็นการเพิ่มกำลังใจผู้นำให้มีแก่ใจบึกบึน จึงได้พาพี่น้องทั้งหลายบึกบึนมาถึงขนาดนี้นี่แล หลวงตาจึงขอชมเชยวาสนาบารมีของพี่น้องทั้งหลาย และรวมกันหมดว่าของเราทั้งหลายที่มีบุพเพนิวาสชาติปางก่อนเกี่ยวโยงกันมา ทำให้เกิดความซาบซึ้งในใจ เชื่อถือกัน รับปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนในทางเป็นมงคล เรื่องก็รู้สึกว่าเป็นมงคลเรื่อยมา ดังทองคำเวลานี้จะมอบคราวนี้น่าจะได้ไม่ต่ำกว่า ๙ ล้าน คิดว่าแน่ เพราะทองคำกำลังรวม ยังไม่แน่นัก แต่คาดเอาว่ารวมแล้วคงไม่ต่ำกว่า ๙ ตันและคราวนี้นะ เราคิดไว้นะ เหลือจากนั้นก็เพียงตันหนึ่งเราก็จะมอบให้เสร็จสิ้นภายในกลางปี ๒๕๔๗ นี้เป็นความพอเหมาะพอดี
ส่วนดอลลาร์นั้นแน่ใจว่าจะได้ครบจำนวน ๑๐ ล้านโดยไม่อาจสงสัย เพราะดอลลาร์มีน้ำหนักเบากว่ามากอยู่มาก สำหรับทองคำนี้หนักตลอด ๆ ทั้งมาทำความหนักใจ ถ่วงใจ แก่เราผู้พาพี่น้องวิ่งเต้นขวนขวายด้วย สำหรับเงินสดนั้นเราได้แยกไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเพียง ๒,๐๐๐ ล้านกว่าบาทเท่านั้น นอกจากนั้นเรากระจายออกทั่วประเทศไทย โดยการสงเคราะห์สงหาคนจน มีหลายประเภท แล้วก็สร้างสถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียนไม่ทราบกี่หลัง ๆ กี่สิบหลัง ว่างั้นเถอะ แล้วก็วงราชการต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น เรือนจำลาดยาว เวลานี้ก็กำลังสร้างตึกอยู่สองหลัง คำนวณหรืองบประมาณไว้ไม่ต่ำกว่า ๓๐ ล้าน นี่เป็นอย่างน้อย ๓๐ ล้าน นี่เรียกว่าวงราชการ
และเรือนจำนี้มีหลายแห่ง อุดรก็มี หนองบัวลำภู อำเภอสว่างแดนดินก็มี ที่เราช่วยทำนองเดียวกันกับเรือนจำลาดยาวนั้นแหละ นี่เรียกว่าวงราชการ แตกแขนงออกไป จากนี้ก็ยังมีอีก เรียกว่าวงราชการเช่นเดียวกัน จากนั้นก็โรงพยาบาล เวลานี้ได้ช่วยโรงพยาบาลไปถึง ๒๐๐ กว่าโรงแล้ว โรงพยาบาลนี้พิสดารมากจริง ๆ เราเห็นใจคนไข้ จึงไม่อาจอิด ๆ เอื้อน ๆ ได้ จำเป็นเมื่อไรติดหนี้ก็ยอมรับ เพราะเห็นความจำเป็นของคนไข้ที่มุ่งหน้ามุ่งตามอบชีวิตกับหมอ กับยา เวลาเครื่องมือขาดหมอก็ก้าวไม่ออก คนไข้ก็ผิดหวัง นี่ล่ะทีนี้คนไข้มาหาหมอนั้นน่ะใครจะมาเพื่อผิดหวัง ก็ต้องมาเพื่อความสมหวัง ๆ ตั้งชีวิตใหม่ขึ้นมาจากหมอเยียวยารักษา หายเป็นปรกติแล้วกลับบ้านกลับเรือน นี่เป็นความมุ่งหมายของคนไข้ที่มา
เราจึงได้เอาจริงเอาจังกับเครื่องมือแพทย์เป็นสำคัญ จะถูกจะแพงขนาดไหน เราเล็งถึงคนไข้ที่มีจำนวนมากเป็นสำคัญ บางครั้งบางคราวเงินไม่มี มีก็ไม่พอ แต่ความจำเป็นของคนไข้ที่มาหาหมอถึงกับหมอสู้ไม่ไหว ต้องมาขอความช่วยเหลือจากเรา เราก็ได้เห็นชัดเจน ตอนนั้นเรียกว่าเงินเราไม่มี เครื่องมือชนิดนั้น ๆ ขาด เมื่อเงินไม่พอตกลงก็ เอ้า ติดหนี้ เราเคยติดหนี้มาบ่อย ๆ นะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ คนทั้งหลายจะเหมาเอาว่าหลวงตาบัวนี่เป็นมหาเศรษฐีเงิน เพราะมีคนเคารพนับถือมากตลอดมาตั้งแต่สร้างวัดสร้างวาจนกระทั่งบัดนี้
แล้วความจริงนั้นก็คือว่าเงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมาในวัดนั้น ตั้งแต่ก่อนช่วยชาติเราบริจาคอย่างนี้มาตลอด การสงเคราะห์สงหาโรงพยาบาล ที่ราชการ เราสงเคราะห์ เราช่วยเหลือมาแล้ว นี่มาถึงขั้นที่ช่วยชาติบ้านเมือง จตุปัจจัยก็มีมากจึงได้เฉลี่ยเผื่อแผ่ช่วยกันทุก ๆ ภาคเลยนะ ไม่มีภาคใด ช่วยเสมอกันหมด ขอแต่ความจำเป็นและพอช่วยเหลือได้เราก็ช่วยเหลือเรื่อยมา นี่ล่ะเงินบาทจึงไม่ค่อยมี บางครั้งติดหนี้ ๆ เรื่อย ๆ ที่ติดหนี้อย่างอื่นไม่ติด เช่นสร้างตึกแต่ละตึก ๆ หรือโรงร่ำโรงเรียนอะไรอย่างนี้ เราคำนวณเรียบร้อยแล้วค่อยตกลงให้สร้าง ก็จ่ายไปตามงวด ๆ ไปตามนั้นแล้วก็ผ่านไปได้ตามที่คิดไว้แล้ว
แต่เครื่องมือแพทย์ที่ติดหนี้นี้เขามาหาเรา มาขอจากเรา มาขอจากเราปัจจุบัน ตอนนั้นเราไม่มีเงิน แต่ความจำเป็นมี คนไข้มีน้ำหนักมากว่าที่เราจะมายอมตัวนิ่งเฉยไม่ยอมติดหนี้เพื่อคนไข้เลย เราถือว่าคนไข้เป็นสำคัญจึงยอมติดหนี้ไปเลย นี่ติดหลายครั้งหลายหนเรื่อยมา ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าหลวงตานี้พูดตามหลักความจริง ตั้งแต่เริ่มแรกมาหลวงตาไม่มีเงินทองอะไรเลย ได้มาเท่าไรเปิดโล่งเพื่อโลก ๆ ทั้งนั้น หลวงตาไม่สนใจกับเงินกับทองตลอดมา จนกระทั่งมาช่วยชาติบ้านเมือง นี่หลวงตาเห็นเป็นความจำเป็นเพื่อความบริสุทธิ์ของสมบัติเหล่านี้ กันความรั่วไหลแตกซึมไม่ให้มี
เราจึงจำเป็นต้องเป็นเจ้าของบัญชีฝากเงินฝากเสียเอง ธนาคารทุกธนาคาร เป็นบัญชีของหลวงตาบัวเป็นเจ้าของทั้งนั้น เป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่ายแต่ผู้เดียว เพื่อรักษาความบริสุทธิ์จากสมบัติพี่น้องทั้งหลาย ที่บริจาคมาให้สมเจตนาที่มุ่งหวังอย่างนั้น หลวงตาก็ได้สนองเจตนาของพี่น้องทั้งหลายด้วยความเมตตาและด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงไม่ปรากฏเลยว่าหลวงตานี้ได้หยิบเอาเงินบาทใด สตางค์ใด ของพี่น้องทั้งหลายที่บริจาคมานี้ด้วยความทุจริตมัวหมองอย่างนี้ไม่มีเลย จะจ่ายมากจ่ายน้อยเป็นไปด้วยเหตุผลที่ควร ๆ ทั้งนั้น หลวงตาจึงพอใจ
ด้วยเหตุนี้เองสมบัติเงินทอง พูดตามเรื่องที่โลกทั้งหลายเคารพนับถือนั้น หลวงตานี้ต้องเป็นมหาเศรษฐี ไม่ใช่เศรษฐีธรรมดา เงินอาจจะเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ล้านก็ได้นะ แต่นี้เพราะอะไร เงินจำนวนที่เขาบริจาคทั้งหมด นี้เป็นเช่นเดียวกับเงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคเพื่อส่วนรวม หลวงตาได้มาอะไรก็ช่วยโลก ๆ อันเป็นส่วนรวมเหมือนกันตลอดมาอย่างนี้แล กรุณาทราบตามนี้ เราไม่เก็บ เราไม่หวังอะไรเลย นี่ที่ได้มาช่วยชาติบ้านเมืองก็เพราะความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องทั้งหลายเท่านั้น ซึ่งได้รับความกระทบกระเทือนตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ เจ็บหัวใจ แสบหัวใจ
จนกระทั่งได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า เจ็บแล้วให้เข็ด อย่าดื้อดึง อย่าเป็นคนใจง่าย เจ็บแล้วให้เข็ด เจ็บเพราะเหตุไรให้ระวังเหตุนั้นให้ดี อย่าให้เข้ามาซ้ำรอยเข้าไปอีก เพราะความสุรุ่ยสุร่าย เพราะหัวหน้าไม่ดีกอบโกยกินก็มี แล้ววงราชการต่าง ๆ ทุจริตกินเงิน กินทอง กินตับ กินปอดประชาชน เป็นอาหารเนื้อหนังอันเอร็ดอร่อยตลอดมา จนกลายเป็นนิสัยของวงราชการต่าง ๆ อย่างนี้ก็มี มันหลายอย่าง แล้วประชาชนทั้งหลายก็เป็นคนสุลุ่ยสุร่าย จับจ่ายไม่รู้จักประมาณ นี้ก็ประการหนึ่งที่จะ ทำชาติบ้านเมืองให้มีความล่มจมลงไป
เมื่อได้ช่วยขึ้นมาแล้ว ขอให้ต่างท่านต่างเข็ดต่างหลาบ ความเจ็บปวดนี้เกิดจากเราก็ให้แก้ตัวของเรา เกิดจากทางวงราชการ วงราชการท่านจะแก้กันเอง สำหรับเราเป็นประชาชนก็ให้แก้ตัวของเรา เราเป็นผู้มีอำนาจในสมบัติมากน้อย ได้มาเท่าไรให้มีความประหยัดมัธยัสถ์ อย่าสุรุ่ยสุร่าย จะจับ จะจ่าย จะเก็บ ให้มีเหตุมีผล นี่เรียกว่าเรามาปฏิบัติต่อตัวของเรา บกพร่องตรงไหนให้แก้ไขดัดแปลงตนไป แล้วก็เป็นการหนุนตัวให้มีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ จนกระทั่งถึงสังคม แล้วทางชาติบ้านเมืองท่านก็ปฏิบัติให้เป็นไปเพื่อความแน่นหนามั่นคง บ้านเมืองของเราก็จะมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นไป
ดังเวลานี้รู้สึกว่าเป็นที่ภาคภูมิใจในทางบ้านเมืองของเรา ทรัพย์สินเงินทองก็ค่อยเป็นไป ๆ เฉพาะอย่างยิ่งการติดหนี้ติดสินเขาถึงขนาดที่เอาเมืองไทยเราเป็นตัวประกันจมไปเลย เรียกว่ารองรับไปเลย รองรับหนี้เขา ถ้าไม่ได้ใช้หนี้เขา เขาจะกำเราเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องหาปืนหาหน้าไม้ เป็นสงครามเศรษฐกิจ กำกั้นด้วยอำนาจอย่างนี้ล่ะ เราก็ได้ผ่านมาแล้ว คืออะไรไอ เอ็ม เอฟ เอ็ม แอฟ อะไร เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวก็ไม่เคยได้ยินเอฟ ๆ เอฟอั๊บ ได้ยินแต่กบมันร้องอยู่ในบึง เอฟ ๆ แอฟ ๆ เอฟ ๆ แอฟ ๆ จนจะมีกินตับกินคนไทยทั้งชาติให้จมไปนี้เราไม่เคยเห็น เอฟ ๆ แอฟ ๆ แบบนี้นะ เราก็ได้มาเห็นเสียแล้วในเมืองไทยเรา
นี่ค่อยฟื้นขึ้นมาอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดีขั้นเป็นลำดับ ปรับตัว ต่างคนต่างคนต่างปรับ ทางวงราชการก็ปรับเนื้อปรับตัว ปรับหน้าที่การงาน ปรับปฏิบัติในวงราชการ นี้ปรับเข้าทุกอย่างเพื่อให้เข้ารูปเข้ารอย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองและแน่นหนามั่นคงแห่งชาติไทยของเรานั้นแหละ นี่จึงได้อุตส่าห์พยายาม วันนี้พี่น้องทั้งหลายมาเป็นจำนวนมากได้มาบริจาคทาน หลั่งไหลกันมาเต็มสถานที่นี่ หลวงตาได้นั่งชมบารมีของพี่น้องทั้งหลาย เพราะเป็นผู้สร้างบารมี แม้แต่บริจาคเข้าสู่คลังหลวง วัตถุนั้นเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม แต่บุญกุศลที่เราเป็นผู้บริจาคนี้ย้อนมาเป็นสมบัติส่วนตัวของเราแต่ละท่าน ๆ ตามที่ได้บริจาคมากน้อยทั่วถึงกันหมด
นี่จึงเรียกว่าเราสร้างมหากุศลผลอันยิ่งใหญ่ ผลที่จะให้เกิดแก่ชาติก็ต้องให้ชาติมีความแน่นหนามั่นคง ผลที่เกิดต่อเรา จิตใจของเราที่ได้รับการหนุนด้วยบุญด้วยกุศลก็จะมีความยิ้มแย้มแจ่มใสชุ่มเย็น นี่ให้พากันปฏิบัติอย่างงี้ต่อไป แล้วอย่าลืมว่าเจ็บแล้วให้เข็ดให้หลาบนะ อย่าดื้อด้าน อย่าลืมง่าย เป็นคนมักลืมง่าย ลืมเนื้อลืมตัวง่าย ๆ เสียหายได้ เช่นอย่างการก่อการสร้าง แข่งขันกันนี้ ทั้ง ๆ ที่เมืองไทยเราไม่ใช่เป็นเมืองเศรษฐี และก็ต่างคนต่างมาชิงดีชิงเด่นกัน ปลูกบ้านหลังนั้น ปลูกบ้านหลังนี้แข่งกัน บ้านหลังนั้นราคาเท่าไร เอ้าบ้านของเราราคาเท่านั้น อะไรยุ่งไปเรื่อย แล้วรถรานี่ก็ฟัดกันเสียจนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ไปดูว่าในส้วมในถานนั้นน่ะมีทางรถลาดยางเข้าไปหรือเปล่า แล้วรถจะเข้าไปห้องน้ำห้องส้วมนั้นได้กี่คัน
ในครัวเรือนที่หุงต้มแกงกินนั้นน่ะมีรถเข้าไปได้กี่คัน ทางลาดยางมีหรือยัง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวนั้นมีแต่เครื่องประดับตกแต่งรอบตัวนั้น มีแต่เครื่องประดับตกแต่งด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมตัวของชาติไทยเรา ขอให้พิจารณาให้ดีนะ สิ่งเหล่านี้ การเตือนนี้เราเตือนเพื่อชาติของเรา ชาติไทยของเราจะล่มจม เราก็ถึงขนาดกระเทือนใจร้องโก้ก ทีนี้เมื่อเห็นพี่น้องชาวไทยปฏิบัติตัวแบบสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีหลักมีเกณฑ์ มีเหตุมีผลมันก็อดคิดไม่ได้ จึงต้องได้เตือนขอให้รู้เนื้อรู้ตัว ประหยัดมัธยัสถ์ อย่าลืมเนื้อลืมตัวจนเกินไป สิ่งใดที่จะทำความเสียหายแก่ตน แม้ไม่เสียหายแก่ส่วนรวม แต่ต่างคนต่างสั่งสมความไม่ดีอย่างนี้ขึ้นมาก็ทำความเสียหายแก่ส่วนรวมได้ นี่ล่ะให้พากันจำเอา
วันนี้เราได้สร้างบุญสร้างกุศล ดูซิพระเจ้าพระสงฆ์ท่านมาจากที่ต่าง ๆ เวลานี้ตั้งร้อยกว่าองค์ท่านมุ่งมาอะไร มุ่งมาก็เพื่อชาติบ้านเมืองของเรา เพราะพระสงฆ์เหล่านี้เป็นลูกของประชาชน ประชาชนก็คือคนไทย เมื่อทางชาติบ้านเมืองซึ่งเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งพ่อแม่ของพระเจ้าพระสงฆ์ก็อยู่ในนั้นด้วย พระเจ้าพระสงฆ์ก็อยู่นั่นด้วย ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนทั่วถึงกัน เมื่อได้รับความกระทบกระเทือนทั่วถึงกัน ถ้าจมก็จมไปด้วยกันอย่างนี้แล้ว จะอดคิดได้ยังไง ต้องคิดต้องอ่านไตร่ตรองทุกอย่าง ต้องช่วยเหลือกัน
อย่างที่เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านมาจากทิศต่าง ๆ นำประชาชนญาติโยมมาด้วย รับบริจาคจากประชาชนทั้งหลายตามถิ่นต่าง ๆ ที่มานี้รวมเป็นจำนวนไม่น้อย ที่มาบริจาคช่วยชาติไทยของเรา นี่เรียกว่าพระสงฆ์ช่วยตัวเองและช่วยชาติ ธรรมต้องช่วยชาติทั้งนั้นไม่เห็นแก่ตัว ถ้ากิเลสแล้วช่วยชาติไม่ได้ ช่วยตัวเองจนพุงแตก นั่นช่วยได้คนประเภทนั้น คนเห็นแก่ตัว นี่พระสงฆ์ท่านมาจากที่ต่าง ๆ ถ้าตามธรรมดาท่านอยู่ในป่าในเขา เสาะแสวงหาอรรถหาธรรม มุ่งมั่นต่อมรรค ต่อผล ต่อแดนนิพพาน ท่านยังอุตส่าห์พยายามเสียสละเวล่ำเวลา หน้าที่การงานที่ท่านบำเพ็ญมาในที่ต่าง ๆ เช่น การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เป็นต้น มาบริจาคเพื่อส่วนรวม ช่วยส่วนรวม
นี่ล่ะจึงเป็นที่น่าเห็นใจท่านบรรดาพระสงฆ์ แล้วบรรดาพระสงฆ์ที่เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสก็ต้องเป็นพระสงฆ์ที่เป็นผู้รักใคร่ใฝ่ธรรมใฝ่วินัย มีความเคารพยำเกรงธรรมและวินัย ซึ่งเป็นองค์แทนของศาสดาประจำหัวใจของพระ กิริยาอาการความเคลื่อนไหวของพระต้องมีธรรมมีวินัยเป็นเครื่องพาเดิน พาเดินไปด้วยแบบกิเลสตัณหาแล้วจะข้ามหัวพระพุทธเจ้า คือพระธรรมพระวินัยซึ่งเป็นองค์แทนของศาสดาไป คนคนนี้ก็เป็นพระหนักโลกหนักสงสาร เป็นพระโกโรโกโส เป็นพระที่เป็นภัยต่อศาสนา แต่พระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านจะมีความเคารพในธรรมในวินัย
วินัยนั้นไม่เคลื่อนคลาด ปฏิบัติให้ได้ทุกสิกขาบทที่มีบัญญัติไว้แล้ว ธรรมนั้นก็อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย เริ่มต้นตั้งแต่ศีลเป็นพื้นฐานแห่งความอบอุ่นของพระ ผู้บวชมาอยู่แล้ว มีศีลบริสุทธิ์ตั้งแต่วันบวชมา และรักษาศีลให้บริสุทธิ์ตลอดไป นี่เรียกว่าเป็นผู้มีศีลมีธรรมประเภทนี้คุ้มครองจิตใจให้ชุ่มเย็นอยู่แล้ว ไม่เคลือบแคลงสงสัย ระแคะระคายในตัวเองพอที่จะทำใจให้สงบไม่ได้ ทีนี้เวลาท่านทำความเพียรเพื่อความสงบ นี่เรียกว่างานของพระเป็นธรรมทั้งนั้น งานของพระที่เป็นธรรมล้วน ๆ นั้น คือพระวินัยก็เป็นงานของพระ รักษาโทษภัยทั้งหลายไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง
แล้วธรรมก็ตั้งแต่การอบรมจิตใจให้มีความสงบเยือกเย็นเป็นต้นไป เพราะใจนี้
เป็นตัวเสนียดจัญไรเป็นเจ้าของ โดยเจ้าของไม่รู้ตัวเนื่องจากโง่กว่ามัน คำว่าโง่กว่ามัน มันนั้นคือกิเลส นั้นแหละตัวเป็นภัย ชักจูงลากเข็นเราไปทุกแง่ทุกมุมด้วยความคิดความปรุง ความแต่ง ความทะเยอทะยานต่าง ๆ ทีนี้เวลาท่านไปบำเพ็ญภาวนาท่านพยายามระงับดับอารมณ์ที่เป็นภัยของกิเลสเหล่านี้ด้วยอรรถด้วยธรรม คือมีสติธรรมตั้งไว้เสมอกับใจของตน กับความเคลื่อนไหวของใจ สติธรรม
ปัญญาธรรมพินิจพิจารณารอบคอบ ไม่ใช่เป็นซุงทั้งท่อน แบบเซ่อ ๆ ยืน เดิน นั่ง นอน เซ่อ ๆ นั้นไม่ใช่แบบของพระที่จะทำตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ อยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา รักษาตัวตลอด จากนั้นก็อบรมจิตใจตัวเสนียดจัญไร ตัวเป็นข้าศึกศัตรูต่อตัวเองอยู่ไม่หยุดไม่ถอยนี้ให้สงบตัวลงด้วยการภาวนา การภาวนาเริ่มต้นตั้งแต่ไม่ว่าฆราวาสและพระแหละ เริ่มต้นแบบเดียวกันนั้นแหละ ต้องใช้คำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาจิต ไม่ให้มันดีดมันดิ้นออกไปทำงานอย่างอื่น ซึ่งเป็นงานของกิเลสทั้งนั้น ให้อยู่กับคำบริกรรม เช่น พุทโธ ๆ ตามแต่จริตนิสัยชอบในธรรมบทใด นำธรรมบทนั้นเข้ามาบริกรรม มีสติบังคับอยู่กับคำบริกรรม คำบริกรรมติดแนบกับจิต เรียกว่าจิตนี้เท่ากับเป็นผู้ต้องหา ต้องถูกบีบถูกบังคับ รักษาไว้ด้วยสติและปัญญา กิเลสจะไม่ให้ฉุดลากออกไปอย่างง่ายดาย ตั้งสติให้ดี
แล้วความเพียรให้อยู่กับสติโดยบริกรรมคำใด ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน ทำงานอยู่ด้วยความเพียรเพื่อละกิเลสทั้งนั้น เรียกว่างานของพระ งานที่สั่งสมกิเลสตัณหา พอกพูนกิเลสตัณหานั้นไม่ใช่งานของพระ นั้นเป็นงานของโลกของสารเขาที่เขาทำมาเป็นประจำ สำหรับงานของพระผู้รู้โทษแห่งวัฏวนซึ่งเป็นตัวภัยอยู่ภายในจิตใจของตน จึงต้องได้ชำระกันด้วยความเพียรที่เป็นงานของพระ คือมีคำบริกรรมผูกมัดจิตใจ ไม่ให้มันเพ่นพ่านไปคิดในแง่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นภัยทั้งนั้น ๆ ให้อยู่กับคำบริกรรม สติติดแนบ ลงสติได้ติดแนบกับคำบริกรรมแล้วไม่ว่าพระ ไม่ว่าฆราวาส เรียกว่าจิตนี้ได้รับการคุ้มครองรักษาแล้วด้วยสติปัญญา จิตจะมีความสงบเย็นขึ้นมา เพราะกิเลสยุ่งกวนไม่ได้
กิเลสอย่าเข้าใจมาจากทางไหนนะ มันอยู่ภายในใจ มันผลักดันออกมาในหัวใจ จากหัวใจของเรานั้นแหละ ให้คิด อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นต่าง ๆ มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ไม่ได้บกบางจากจิตที่ตัวหิวโหยนี้เลย ตัวหิวโหยนี้แลคือกิเลส รากเหง้าของกิเลสคือตัวหิวโหย มันอยากไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีคำว่าอิ่ม เขารับประทานยังมีวันอิ่มพอ แต่กิเลสนี้ไม่มีวันอิ่ม กว้านหามาให้มันเท่าไรมันยิ่งเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปเผาตัวเอง มันยิ่งดีดยิ่งดิ้น นี้ล่ะจึงต้องเอาคำบริกรรมซึ่งเป็นงานของธรรมปิดกั้นอยู่ที่ใจดวงเดียว มันเคยคิดเรื่องโลกเรื่องกิเลสตัณหา ปิดกั้นให้คิดเรื่องธรรม คือพุทโธ หรือธัมโม ตามแต่จริตนิสัย แล้วบังคับด้วยสติให้มันอยู่ มันจะมีความทุรนทุราย วุ่นวาย หรือความทุกข์มากขนาดไหนที่กิเลสผลักดันธรรมจะไปทำงานของตน แต่มันออกไม่ได้เพราะธรรมบังคับไว้ตอนนั้นมีความทุกข์มากนะ
มากก็ตามทุกข์เพื่อจะชนะกิเลส เรายอมรับว่าทุกข์ไม่ให้เผลอ ขอให้จิตใจไม่เผลอเถอะ การปฏิบัติธรรมรับรองได้เลยว่าจิตใจจะมีรากฐานขึ้นมา โดยความสงบเป็นพื้นฐาน จากนั้นก็สงบมากเข้า ๆ ก็กลายเป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงขึ้นมาที่ใจ จิตเมื่อมีความแน่นหนามั่นคงที่ใจแล้วย่อมปล่อยอารมณ์ทั้งหลายที่มีความหิวโหยมาแต่ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส คือยากรู้ อยากเห็น อยากดูนั้น อยากฟังนี้ เหล่านี้เป็นความอยาก เป็นอารมณ์
ทีนี้จิตเมื่อมีความสงบแล้วย่อมอิ่มอารมณ์ ไม่อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้เหมือนแต่ก่อน เพราะธรรมเป็นอาหารโอชารส เข้าไปหล่อเลี้ยงจิตใจ จิตใจได้รับธรรมเข้าหล่อเลี้ยงแล้วจิตใจย่อมชุ่มเย็น เป็นสุขสบาย ยืน เดิน นั่ง นอน มีแต่ความสงบสุขเย็นใจ อยู่คนเดียวที่ไหนก็ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน สบายสงบเย็นอยู่ด้วยจิตที่สงบ ไม่หิวโหยในอารมณ์ ไม่พาเจ้าของดีดดิ้นไปนู้นไปนี้ ซึ่งสร้างแต่กองทุกข์คือฟืนไฟเผาตัวเอง นี่ผู้ปฏิบัติภาวนาจึงขอให้เป็นผู้หนักแน่นในงานเพื่อฆ่ากิเลส คือความพากเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ให้ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่กำหนดวัน คืน ปี เดือนเลยเอากันกับกิเลส เพราะกิเลสไม่มีวันคืน ปี เดือน เป็นกิเลสตลอดเวลา ย่ำยีสีไฟจิตใจเรามาตลอด
ทีนี้ธรรมเวลาจะแก้กิเลสก็ต้องแก้แบบเดียวกัน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ จิตใจจะมีความสงบเย็นขึ้นมา จากสงบนี้แล้วจะมีสมาธิคือแน่นหนามั่นคงเป็นพื้นฐานอิ่มตัวในอารมณ์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้พิจารณาทางด้านปัญญา เมื่อจิตมีความสงบแล้ว จะสงบขั้นใดภูมิใดต้องพิจารณาทางด้านปัญญาตามขั้นแห่งความสงบนั้น แล้วก้าวกันไป เดินกันไปด้วยสมาธิและด้วยปัญญา ปัญญาพินิจพิจารณา จะเอาอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ พระพุทธเจ้ามอบให้แล้วเรียกว่ากรรมฐานชั้นเอก ถ้าเราไม่ปล่อยกรรมฐานชั้นเอกนี้ไปเสีย เราจะเป็นผู้รู้เห็นโทษแห่งตัวของเรา กิเลสของเราภายในธรรมชาติสี่ห้าประการนี้
ท่านสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่สมบูรณ์แล้วอยู่กับเรา ปัญญาพิจารณาในสิ่งเหล่านี้แยกแยะออกทั้งภายใน ภายนอก ทั้งสูง ทั้งต่ำ เต็มทั่วสกลกาย ทั้งเขาทั้งเรา แบ่งสัดแบ่งส่วน แยกแยะดูให้เห็นละเอียดทั่วถึง ด้วยความเป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เบื้องต้นต้องใช้เรื่องอสุภะให้มากสำหรับพระเรา ไม่ใช้อสุภะให้มากนี้ไปไม่ไหว ผู้ใดเป็นผู้มักเจริญทางด้านอสุภะอสุภังมาก เป็นพื้นฐานแห่งความเพียรตลอด เวลาสงบจิตก็ให้เข้าสู่สมาธิ ครั้นออกจากสมาธินี้แล้วก็ก้าวเข้าสู่อารมณ์แห่งกรรมฐานเหล่านี้ เอามาคลี่คลาย จิตจะค่อยถอนตัวเข้าไป ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง กิเลสที่เคยหนาแน่นมั่นคงแต่ก่อนจะค่อยจางไป ความทุกข์ก็จางไปตาม ๆ กัน
ทีนี้จิตที่เคยมืดเคยบอดมาแต่ก่อนก็ค่อยส่งแสงสว่างออกไป แสงสว่างของสมาธิ ของความสงบเป็นอย่างหนึ่ง ความสว่างไสวของปัญญาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ปัญญามีความละเอียดมากน้อยเพียงไร จิตมีความละเอียดมากน้อยเพียงนั้น แล้วจะส่งความสว่างไสวปรากฏขึ้นที่ใจของตน นี่ผู้ปฏิบัติต้องก้าวเดินอย่างนี้ นี่เรียกว่างานของพระ งานถอดถอนกิเลส ไม่ใช่งานสั่งสมกิเลสอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ เวลานี้พุทธศาสนากลายมาเป็นวัตถุเป็นศาสนาแล้วนะ ไม่ได้นามธรรมเป็นศาสนาอะไรเลย วัตถุเป็นศาสนาเวลานี้ มีตั้งแต่สิ่งก่อสร้างวุ่นวายเต็มไปหมด ในวัดในวา ทั้งเขา ทั้งเรา
การก่อสร้างเป็นการสร้างอารมณ์ สั่งสมอารมณ์ พอกพูนอารมณ์ให้มากขึ้น แล้วก็ทับถมจิตใจของเราทางด้านอรรถด้านธรรมให้น้อยลง ๆ สุดท้ายก็มีแต่งานสั่งสมกิเลสเกิดขึ้นจากการสร้างนั้นสร้างนี้วุ่นวาย สร้างแล้วเราไม่มีเงินล่ะซิ ตั้งแต่มีเงินอยู่ก็เป็นความกังวล นี้ยิ่งเราก็ไม่มีเงินเที่ยวกู้ เที่ยวยืมคนนั้น เดี๋ยวขอบิณฑบาตจากที่นั้นที่นี่ เลยกลายเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมืองไป อันนี้เป็นการสั่งสมกิเลส งานอย่างนี้พระเราถ้าพูดตามหลักตามเกณฑ์ของอรรถของธรรม ของตำรับตำราจริง ๆ แล้วไม่ควรจะมาแข่งพระพุทธเจ้า ด้วยการก่อสร้างนั้นสร้างนี้ทางด้านวัตถุเลย นี้ผิด ขัดกัน
ที่ให้ถูกต้องจริง ๆ บวชแล้วก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้ท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ในป่าในเขารุกขมูลร่มไม้ ไม่ว่าที่ไหนที่เป็นที่สงบสงัด แล้วประกอบบำเพ็ญเพียรได้สะดวกสบาย จงทำความอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญอย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่งานของพระพุทธเจ้ามีอย่างนั้น อยู่ในป่าในเขาไม่มีอะไรรบกวน ป่าไม้กับป่าคนต่างกัน ป่าไม้เป็นความสงบร่มเย็น ป่าคนยุ่งเหยิงวุ่นวาย ป่าหญิง ป่าชาย ไม่ว่าป่าที่ไหนมันยุ่งด้วยกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบพอแล้วจึงได้ไล่กลับเข้าไปในป่าในเขา แล้วบำเพ็ญคุณงามความดี
ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นี้ก็เหมือนกัน บิณฑบาตได้อะไรมาฉันเท่านั้นพอ ไม่ได้คำนึงถึงว่าอาหารนี้ประณีตบรรจง หรือไม่บรรจงอย่างไรบ้าง ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมย่อมไม่ถือสิ่งเหล่านี้มาเป็นอารมณ์ของใจให้เป็นการกวนใจ แล้วเกิดกิเลสขึ้นมาได้ มุ่งอรรถมุ่งธรรม ได้อะไรมาฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น แต่จิตใจมุ่งอยู่กับธรรมอย่างเด็ดอย่างเดี่ยว ผู้นี้ล่ะก้าวเดินได้ ก้าวเดินได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งภายนอก อะไรอยู่ที่ไหนอยู่ได้อยู่ไปเลย อะไรพอขบพอฉัน ฉันไปเลย ถ้าว่าผ้าก็คิดดูซิ ปํสุกูลจีวรํ บังสุกุลจีวรหาเก็บตกในที่ต่าง ๆ เอามาเย็บปะติดปะต่อกันพอได้ปกปิดสกลกายเท่านั้น ไม่ได้เป็นเพื่อความสวยงามอะไรเลยสำหรับผู้ชำระกิเลส ได้มาพอใช้เท่านั้น ๆ แล้วท่านยังมีผ้าไตรจีวรเท่านั้นอีกด้วย
ส่วนอติเรกเหล่านั้นเป็นของเหลือเฟือ ท่านไม่ห้ามแต่ว่าไม่เป็นของดิบของดี ที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างยิ่ง ก็คือจีวรสามผืนเป็นความมักน้อย อย่างมากก็ว่าสันโดษยินดีตามที่มีนี้เท่านั้น อย่าไปยุ่งเหยิงวุ่นวายรบกวนผู้ใด นี่ล่ะผู้ปฏิบัติอรรถธรรม ขอให้บรรดาพระลูกพระหลานตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติทำตามแนวทางนี้ ธรรมของพระพุทธเจ้าคือตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน ออกจากสวากขาตธรรมที่จัดแนวทางไว้ชอบแล้ว ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ มรรค ผล นิพพาน จะเห็นหรือเปิดโล่งขึ้นที่หัวใจของเรา มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้อยู่ตามดิน ฟ้า อากาศ ฟ้า แดด ดิน ลม สถานที่ใด ๆ ทั้งนั้น อยู่ที่หัวใจ
นรกอเวจีก็เกิดจากกิเลสนี้มันก็อยู่ที่ใจ มืดตื้อก็อยู่ที่ใจ ความเดือดร้อนอยู่ที่ใจ ในแดนมนุษย์ก็ร้อนอยู่ที่หัวใจของมนุษย์ สร้างแต่บาปแต่กรรมก็อยู่ที่หัวใจมนุษย์ นี่ล่ะให้เราแก้ไขที่ตรงนี้ให้ดี เมื่อแก้อันนี้จิตก็มีความสว่างไสว พิจารณาเรื่องปัญญาแล้วไม่มีสิ้นสุดนะปัญญา เริ่มต้นปัญญาเราพิจารณาเรื่องอสุภะอสุภังให้มีความชำนิชำนาญ จากนั้นก็จะก้าวขึ้นสู่ความละเอียด ๆ เป็นลำดับลำดา จนกระทั่งกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับบัญชา ไม่ต้องมีว่าความเพียร ๆ เหมือนเป็นเบื้องต้น
เบื้องต้นต้องพยายามเพียรถูไถกันไป ขี้เกียจขี้คร้านก็ถูไถกันไป แต่ความเพียรในสติปัญญาอัตโนมัติแห่งธรรมขั้นนี้ไม่เป็น มีแต่จะคอยก้าวเดินไปโดยลำดับเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลส แก้กิเลส พิจารณากิเลส ต่อสู้กับกิเลสเป็นอัตโนมัติตลอดเวลา นี่ล่ะเป็นทางราบรื่นแล้ว นี่แน่นอนต่อความพ้นทุกข์ มีเพียงช้ากับเร็วต่างกันเท่านั้น เมื่อถึงธรรมขั้นนี้แล้วจากการใช้ปัญญาพินิจพิจารณา ร่างกายเขามีเป็นรากฐาน พอผ่านอันนี้ไปแล้วจิตใจของเราจะกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติไปเรื่อย ๆ ๆ จนเป็นมหาสติ-มหาปัญญา มรรค ผล นิพพาน จะจ้าขึ้นเพราะอำนาจแห่งมหาสติ-มหาปัญญานี้แล ไม่เกิดขึ้นจากที่ไหน
ธรรมอยู่ที่ไหน วินัยอยู่ที่ไหน ศาสดาอยู่ที่นั้น เราเคารพศาสดา เราปฏิบัติตามศาสดาคือปฏิบัติตามธรรมวินัย ไม่ไปคิดถึงกาลนั้นสถานที่นี่ว่าเป็นมรรคเป็นผล ว่าจะเรียวจะแหลม จะด้อยลงไปอย่างนี้ไม่มี ดูตามศาสดาที่สอนไว้ ท่านไม่ได้สอนไว้เพื่อวัน คืน ปี เดือน กาลนั้น สถานที่นี้ สอนไว้เพื่อให้รู้จักกิเลสมันอยู่ที่ใจ แก้ลงที่ใจ ตามอรรถธรรมที่สอนไว้แล้ว จะรู้อรรถรู้ธรรมรู้ที่ใจ รู้กิเลสรู้ที่ใจ แก้ที่ใจ แก้ไปไม่หยุดไม่ถอยด้วยสติปัญญาคมกล้าเป็นลำดับก็หลุดพ้นได้เลย นี่ล่ะตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน
มรรค ผล นิพพาน อยู่กับหัวใจของเรา ไม่ได้อยู่กับกาลนั้น สถานที่นี้ เวลานั้น นั้นเป็นเรื่องกิเลสหลอกสัตว์โลกนะ ศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้ มรรค ผล นิพพานจะหมดไป ๆ สุดท้ายมรรค ผล นิพพาน ไม่มี ใครจะทำความดีงามขนาดไหน บุญไม่มี มรรค ผล นิพพาน ไม่มี นี่คือกิเลสตบตาคนโง่ พวกเราโง่ขนาดไหนยิ่งให้มันตบตา ขี้เกียจขี้คร้าน จนกระทั่งทอดอาลัยในการที่จะสร้างคุณงามความดีไปเสีย อย่างนี้เป็นความเสียหายมาก ขอให้ยึดหลักพระพุทธเจ้าที่สอนโลกโดยทางธรรม วินัยเป็นเรื่องของพระ เราเป็นฆราวาสใครถือวินัยคือศีลข้อใด ๆ ถือเป็นกฎข้อบังคับตัวเอง นั่นก็เป็นศีล เคารพในศีล
แล้วทำจิตใจของเราให้สงบร่มเย็น หลุดพ้นจากทุกข์ได้เช่นเดียวกับพระเจ้าพระสงฆ์นั่นแล สำคัญอยู่ที่ความพากเพียร ให้ตั้งหน้าตั้งตา พระลูกพระหลานเวลานี้ก็มีมาก แต่หลวงตานี้รู้สึกเป็นห่วงใยกับพระลูกพระหลานเราขึ้นเป็นลำดับ กลัวจะหลงกลกิเลสที่มาทุกแง่ทุกมุม เวลานี้มันมากมากเข้าแล้วนะ กลของกิเลสมันเริ่มมาแล้วตั้งแต่นู้นนะ ฟังให้ดีทุก ๆ ท่านนะพระลูกพระหลาน เราอยู่ด้วยความสงบเย็นใจ พอเห็นหนังสือพิมพ์มาอ่านหนังสือพิมพ์ ข่าวเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายของโลกที่เป็นของสกปรก จิตใจย่อมต้องเป็นอารมณ์ เป็นความสกปรก มันเข้ากันไม่ได้ กับข่าวกับคราวจากหนังสือพิมพ์ หรือข่าวคราวจากวิทยุ ออกทางนั้นทางนี้เป็นแต่เรื่องโลกเรื่องสงสารที่จะมาก่อกวนจิตใจที่สงบร่มเย็น ให้ฟุ้งซ่านวุ่นวายไปกับมัน
เพราะฉะนั้นท่านจึงไล่เข้าป่าไม่ ให้ยุ่งกับเรื่องหนังสือผ่อหนังสือพิมพ์ วิทยุเหล่านี้ ให้พากันคิดให้ดี หนังสือพิมพ์ทำจิตใจให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปเป็นกระแสของโลกไปหมด วิทยุก็เหมือนกันเป็นเรื่องของโลกของสงสารเขาไม่ผิด แต่พระเราผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ของพระที่จะตัดสิ่งเหล่านี้ออก เป็นความผิดสำหรับพระที่นำสิ่งเหล่านั้นมายุ่งเหยิงวุ่นวายกับตัวเอง นี่อันหนึ่ง แล้วจากนั้นก็เทวทัต โทรทัศน์ นี่คือข้าศึกของพระ มีไปเป็นลำดับลำดา เทวทัต โทรทัศน์ วิดีโอ นี่เป็นสื่อเป็นทางที่จะให้พระเราก้าวลงนรก สด ๆ ร้อน ๆ เลย ตกนรกทั้งเป็นไปได้เลย อันนี้เป็นสื่อเป็นทาง เป็นเครื่องดึงดูด
จากนั้นก็โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือนี้ตัวสำคัญ เป็นเครื่องประหารได้อย่างยอดเยี่ยม เรียกว่ามหาภัยได้อย่างเต็มตัว มีโทรศัพท์แล้วเรียกว่าหมดเลยพระ หมดความหมายว่างั้นเลย ตั้งแต่ยังไม่ตายก็ตายแล้วจากมรรค จากผล นิพพาน มีแต่กอบโกยนรกอเวจีเข้ามาใส่ตน อยู่ที่ไหนมีแต่โทรศัพท์ ๆ นั่งเดี๋ยวกริ๊ง ๆ พระต้องการอารมณ์เหล่านี้เมื่อไร มีแต่จะตัดอารมณ์เหล่านี้โดยถ่ายเดียว ทำไมจึงต้องไปหาสิ่งเหล่านี้เข้ามาก่อตัวเอง ตัดคอตัวเอง โทรศัพท์เป็นของเล่นเมื่อไร
เอ้าจะโทรศัพท์ เอ้าจะโทรไปหาผู้หญิงคนไหน หาอีสาวไหน นัดกันที่ไหน จะนัดกันที่ไหนได้หมดโทรศัพท์อันนี้ แจ่มแจ้งทุกอย่าง ได้ตามมรรคตามหมายทุกอย่าง นี้แหละคือตัดคอของพระ ในชีวิตของพระถ้ามีอันนี้ขึ้นมาแล้วหมดอาลัยตายอยากเลย เพราะฉะนั้นในวัดป่าบ้านตาดจึงได้ประกาศก้องมาตลอด พระก็รู้ด้วยกัน เอ้าทีนี้องค์ไหนมี อยากคอขาด ไล่หนีเลย เราไม่มีอุทรเลยนะ เพราะเรื่องคอขาดบาดตายหามาทำไม พระพุทธเจ้าสอนมาเท่าไร เราเรียนมาเท่าไร สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา เป็นฟืนเป็นไฟ เป็นมหาภัย เรารักษาคุณเพื่อเป็นมหาคุณ ไปเกี่ยวข้องกับมันได้ยังไง
นี่ล่ะต้องฟังให้ดีพระเรานะ เดี๋ยวนี้กำลังซึมซาบเข้ามาทุกแง่ทุกมุม เป็นไปได้ทุกแห่งทุกหน เรื่องของกิเลสลุกลามเข้ามาตามไม่ทันนะ พระเราเพลินเป็นบ้ากับมันไปทั้งนั้นแหละ ที่จะรู้เนื้อรู้ตัวปัดสิ่งเหล่านี้ออกมา ให้เป็นพระ เป็นเขา เป็นเรา เป็นโลก เป็นธรรม อย่างนี้มันจะไม่มีนะเวลานี้ แล้วก็มาบ่นว่ามรรค ผล นิพพาน ไม่มี มันจะมียังไง ก็ขวนขวายหาตั้งแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาหัวอกตัวเองตลอดเวลา จะเอามรรค ผล นิพพานมาจากที่ไหน ถ้าไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้เท่านั้น ไม่มีทางที่จะรับมรรครับผล จะเกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่มีทางที่จะถึงมรรค ผล นิพพานได้ เมื่อเหลวแหลกแหวกแนวจากศีลจากธรรมเสีย จากพระวินัยเสียอย่างเดียว
วันนี้จึงเตือนลูกเตือนหลานให้พากันรู้เนื้อรู้ตัว อย่าพากันดื้อด้านหาญธรรม อันนี้ด้านมากนะ พระองค์ไหนที่มีอย่างงี้เรียกว่าด้านมาก หมดยางอาย หมดความหมาย ไม่น่าเคารพเลย ไม่น่านับถือ และไม่น่าคบค้าสมาคมเลย ก็ใครก็เรียนมาเหมือนกันหลักธรรมหลักวินัยเรียนมาด้วยกันทำไมจะไม่รู้ สิ่งเหล่านี้เป็นภัยต่อพระต่อเณรขนาดไหน เป็นของเล่นเมื่อไร ต้องรู้ซิ ไม่รู้ไม่ได้ จะมาหาอุบายวิธีแยกเป็นเรื่องของกิเลสหาทางออกตัวอย่างงั้นไม่ได้ ธรรมตรงไปตรงมา ผิดบอกผิด ถูกบอกว่าถูก หาว่าเล่ห์เหลี่ยมอย่างนั้นอย่างนี้หาทางออกตัวไม่ได้ นี้ผิดทั้งเพทีเดียว ไม่สมควร
อย่างที่วัดป่าบ้านตาดที่เราอนุโลมเวลานี้นะ ให้มีเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่ส่วนกลาง ส่วนรวม เฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นผู้เกี่ยวข้องกับโลกทั่ว ๆ ไปตลอดเวลา เขาติดต่อสืบถามอะไร เขาจะต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเทวทัต โทรทัศน์ กับโทรศัพท์มือถือให้พระองค์นั้นเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว ใครไปยุ่งไม่ได้ ให้มีเท่านั้น ถ้าหมดจากนั้นแล้วปัดออกเลย ไม่ใช่ว่าจะให้มันคืบคลานหนักเข้าไปหนักกว่านั้น นี่สอนลูกสอนหลานให้รู้นะ เรานี้วิตกวิจารณ์กับพระเรานี้เป็นพระสมัยใหม่ สมัยดาวเทียม สมัยมีแต่หัวโล้น มีแต่ผ้าเหลือง
ศีลไม่ทราบว่ามีกี่ศีลหรือไม่มีก็ไม่ทราบ มีแต่หัวโล้นโกนคิ้ว ไปบิณฑบาตขอทานเขาเอาผ้าเหลืองออกหน้า ว่าตัวนี้เป็นผู้มีศีลมีธรรม มีอะไร มีแต่นรกอเวจีเผาหัวมัน ธรรมวินัยก็ไม่มีในตน จะเก่งไปที่ไหน นี่ล่ะมันจะเข้าขั้นนี้แล้วนะพระเราเวลานี้ จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเลย ให้พากันจำเอานะพระลูกพระหลาน ไปที่ไหนถ้าเรามีศีลมีธรรมประจำตัวเราแล้ว อยู่ที่ไหนเราก็อบอุ่น ไปที่ไหนก็เป็นมงคล ไม่ว่าอยู่ว่าไปที่ไหนเป็นมงคล มีคนเคารพนับถือ ไม่นับถือตัวของเราไม่มีที่ต้องติตัวเรา แต่คนเรามีหูมีตา มีใจทำไมจะไม่รู้ของดีของชั่ว มันต้องถึงกันจนได้นั้นแหละ เราปฏิบัติดีแล้วท่านดีตลอดเวลา ให้พากันจำเอานะ
วันนี้เทศนาว่าการเพียงเท่านี้ล่ะ เราจึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องชาวไทยเราที่รักชาติ อุตส่าห์พากันเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงกันตลอดมา และขอความสุขความเจริญจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย ตลอดพระลูกพระหลานจงมีความเป็นสุข ด้วยความเป็นผู้ศีลมีธรรมสำหรับพระเรา สำหรับฆราวาสบางทีขโมยดอดไปสะแตกเหล้าก็ได้ เราจึงไม่กล้าจะให้ศีลให้พรในข้อสะแตกเหล้า ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |