ปฏิบัติแล้วต้องได้ผลคือศาสนาสมบูรณ์แบบ
วันที่ 13 ธันวาคม 2546 เวลา 16:00 น.
สถานที่ : บริเวณบริษัท แอล เอ ไบซิเคิ้ล(ประเทศไทย) จำกัด ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

บริษัท แอล เอ ไบซิเคิ้ล (ประเทศไทย) จำกัด อ.สามพราน จ.นครปฐม

เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ เย็น

ปฏิบัติแล้วต้องได้ผลคือศาสนาสมบูรณ์แบบ

 

          เนื่องในโอกาสดำเนินกิจการครบ ๓๖ ปี ของบริษัทสามพรานการทอ จำกัด ประธานคณะกรรมการจัดงาน ท่านเนวิน ขันธหิรัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และคุณสุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์ ประธานกรรมการบริษัทสามพรานการทอ จำกัด เป็นประธานและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรในงานนี้ วันนี้ได้ร่วมมือร่วมใจกันมาบำเพ็ญกองการกุศล เพื่อผลประโยชน์ทางด้านจิตใจและบ้านเมืองของเราให้มีความแน่นหนามั่นคง และวันนี้ได้อาราธนาหรือนิมนต์หลวงตามาแสดงธรรม เพื่อพี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้ยินได้ฟังอรรถธรรมบ้างเป็นกาลเป็นเวลา ซึ่งนานๆ จะได้ยินทีหนึ่งเสียงอรรถเสียงธรรม ส่วนมากมีแต่เสียงเรื่องวุ่นเรื่องวายทั่วโลกดินแดน หาสารประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ แต่เสียงอรรถเสียงธรรมมีน้อยมาก เฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยของเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ ก็ยังต้องห่างเหินไปกับเขาที่ไม่มีศาสนาจนได้

เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นโอกาสอันดี ที่ท่านทั้งหลายได้สละเวล่ำเวลาหน้าที่การงาน มาบำเพ็ญประโยชน์มหากุศลเพื่อชาติของตนๆ และได้ยินได้ฟังอรรถธรรมจะเป็นมหามงคลอย่างยิ่งแก่ชาติไทยของเรา โดยทางด้านวัตถุนับตั้งแต่ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ลงมา นี่ก็ได้มอบเข้าคลังหลวงซึ่งเป็นหัวใจของชาติไทยเรา สำหรับทองคำและดอลลาร์ นี่มอบคลังหลวงร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ส่วนเงินบาทเงินสดนั้นได้เฉลี่ยเผื่อแผ่เพื่อคนทั้งประเทศได้รับการอุดหนุนจากพี่น้องที่รักชาติ และเสียสละทั้งหลายได้เป็นประโยชน์ทั่วถึงกัน คือได้นำสมบัติเหล่านี้ไปสงเคราะห์คนทุกข์คนจน ซึ่งมีหลายประเภท ตามแต่สมควรที่จะได้สงเคราะห์กันมากน้อยเพียงไร

นอกจากนั้นก็นำไปก่อสร้างสถานสงเคราะห์ในที่ต่างๆ โรงร่ำโรงเรียนตามแต่ความจำเป็นที่จะได้สงเคราะห์ แล้วก็ทางวงราชการ กว้างขวางเหมือนกัน ที่ใหญ่โตมากกว่าเพื่อนก็คือโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของมนุษย์เรา ใครเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนจะต้องอาศัยโรงพยาบาลเป็นที่บรรเทาเบาทุกข์โรคภัยทั้งหลายจนกระทั่งได้หายไป ก็เพราะโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นทางโรงพยาบาลจึงได้ช่วยเหลือมากมาย เวลานี้ก็สองร้อยกว่าโรงแล้ว ที่ได้ช่วยเหลือประเภทต่างๆ ช่วยด้วยสิ่งจำเป็นต่างๆ ที่มีในโรงพยาบาล นี่ช่วยเหลือมามากมาย

สมบัติเงินทองเหล่านี้ที่พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย ได้เสียสละมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม หลวงตาก็ได้นำสมบัติเหล่านี้ให้เป็นไปตามความมุ่งหมายทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น   ทองคำและดอลลาร์นี้เข้าสู่คลังหลวงล้วนๆ เรื่อยมา สำหรับเงินสดนี้แจกจ่ายไปที่ต่างๆ ตามที่เห็นว่าจำเป็น ได้ปฏิบัติอย่างนี้เรื่อยมาตั้งแต่เริ่มต้น และการเทศนาว่าการก็เป็นไปตามกัน เทศนาว่าการเพื่อด้านวัตถุจะได้เข้าสู่ส่วนรวม คือคลังหลวงเป็นต้นของเรา และก็ทำให้บ้านเมืองมีความแน่นหนาฝาคั่งขึ้นเป็นลำดับ

ต่อจากนั้นก็มีศีลมีธรรมเข้าเกี่ยวข้องกับทางด้านจิตใจ เพราะศีลธรรมนี้มีความจำเป็นมากตลอดมา เป็นแต่เพียงว่าผู้สนใจในธรรมนั้น ถือเอาเรื่องอื่นเข้ามากลบมาทับมาถมไปเสียว่า เป็นของไม่จำเป็นก็มี ว่าเรามีความเดือดร้อนในสิ่งอื่น ไม่มีเวล่ำเวลาที่จะสละไปทำหน้าที่การงานฝ่ายการกุศล สมบัติเงินทองเราก็มีน้อยไม่สามารถที่จะบริจาคทานได้ นี่มีเรื่องมีราวที่จะกลบเกลื่อนศาสนาซึ่งเป็นสมบัติอันล้นค่าของตนให้เสื่อมทรามไป ก็เหลือตั้งแต่สิ่งที่ไม่เป็นสาระ ที่เราดีดเราดิ้นทั้งวันทั้งคืนเข้ามาเป็นสรณะของใจ ก็กลายเป็นสรณะที่เป็นฟืนเป็นไฟ ทำโลกให้เดือดร้อนไปได้

เมื่อไม่มีธรรมะเข้าเป็นเบรกห้ามล้อ หรือไม่มีธรรมะแทรกเข้าไปภายในจิตใจแล้ว สัตว์โลกก็ย่อมไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตื่นนอน วิ่งเต้นขวนขวายหาแต่การแต่งาน หาแต่รายได้ ไม่ทราบว่าได้แล้วจะไปทำอะไร มีแต่ได้มาเพื่อจ่ายๆ เพราะไม่มีเหตุผลกำกับงานการของตนและผลรายได้ของตน

เราเสาะแสวงหารายได้มานี่ทั่วหน้ากัน ไม่มีใครบกพร่องที่จะไม่เสาะแสวงหาผลรายได้จากหน้าที่การงานที่หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่ทั้งวันทั้งคืนนี้ แต่ผลได้ขึ้นมามักจะเป็นเรื่องของสิ่งที่เป็นข้าศึกของธรรม และเป็นข้าศึกของตัวเองนำไปถลุงเสียทั้งหมด เงินได้มามากน้อย เช่น เรามาทำงานเป็นจำนวนมากจากสถานที่ต่างๆ จังหวัดและภาคต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งที่มารวมอยู่ในโรงงานแห่งการทอนี้ มีจำนวนมากน้อยเพียงไร และมาจากกี่จังหวัดกี่ภาคมารวมกันนี้ ครั้นเวลาได้แล้วก็มีแต่ความเพลิดเพลิน เข้าใจว่ามาประดับตัว แต่แล้วก็เข้ามาทำลายตัว เพราะความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความไม่รู้จักประมาณนำไปใช้เสียหมด

ที่จะเป็นสารประโยชน์แก่ตนและส่งเสียให้บิดา-มารดา ญาติมิตรสหายที่มีความจำเป็นเกี่ยวเนื่องกันทางบ้านทางเรือน ไม่ค่อยมีและบางรายไม่มี ทั้งๆ ที่มาหาการหางานทำ รายได้ไม่บกบางจากผู้เป็นหัวหน้า แจกจ่ายให้ด้วยความเป็นธรรมเสมอกันหมด ตามขั้นตามภูมิของผู้มีคุณสมบัติมากน้อย ครั้นได้ไปแล้วไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา จึงมักจะรั่วไหลแตกซึมไปเรื่อยๆ หาผลประโยชน์ที่จะนำไปเป็นประโยชน์แก่ทางบ้านทางเรือนไม่ค่อยมี

นี่ละศีลธรรมท่านมีความวิตกวิจารณ์กับพวกเราอย่างนี้ คือได้มาไม่รู้จักใช้สอยไม่รู้จักทำประโยชน์แก่ตน แต่กลายเป็นได้มาเพื่อเป็นฟืนเป็นไฟเผาตนให้เสียหายไปด้วยการจับจ่ายไม่รู้จักประมาณ นอกจากนั้นทำคนให้ลืมตัวไปเรื่อยๆ ท่านจึงสอนไว้ในธรรมว่า ให้เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงานที่ชอบธรรม อย่าขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอ นี่ข้อที่หนึ่ง ให้มีความขยันหมั่นเพียร ได้สมบัติมามากน้อยเป็นข้อที่สอง คือ อารักขสัมปทา เราได้มาแล้วให้พยายามเก็บหอมรอมริบสมบัติเงินทองที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา แล้วเจียดเอาไว้ตามเหตุตามผลที่กำหนดไว้แล้วว่า ส่วนนี้จะทำประโยชน์ส่วนนั้น เช่นอย่างส่วนนี้จะเก็บไว้เพื่อรักษาตัว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้นำสมบัติเหล่านี้ไปบำบัดรักษาตัว ส่วนนี้สำหรับเลี้ยงอาชีพของตัว ส่วนนั้นแยกไปทางนั้นๆ ตลอดถึงการศึกษาเล่าเรียนของเด็กของเล็กที่อยู่ในความดูแลของตน ทุกอย่างให้แยกแยะด้วยความมีเหตุผล ส่วนที่อันใดไม่เป็นประโยชน์ให้คัดไว้เลย ตัดออกอย่านำเข้ามาเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนเจ้าอำนาจกับรายได้ของเรา มันจะเสียไปหมด

นี่ละธรรมท่านสอนไว้ให้รู้จักประมาณ ในการเก็บรักษา ในการใช้สอย การใช้สอยก็อย่าสุรุ่ยสุร่ายเกินเนื้อเกินตัว เห็นเขามีก็อยากมี เห็นเขาได้ก็อยากได้ เห็นเขามีอะไรก็ไม่ได้คำนึงถึงฐานะของตนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดีดดิ้นไปตามเขา นี่ก็เป็นความเสียหายประเภทหนึ่ง เรียกว่าเป็นผู้ไม่รู้จักฐานะของตน เห็นฐานะเขาดีเราก็อยากเป็นอย่างฐานะเขาที่ดี แต่ฐานะเราต่ำต้อยน้อยหน้ากว่าเขา เราจะดีดจะดิ้นเป็นคู่แข่งของเขาอย่างนั้นก็เป็นการทำลายตนและสมบัติของตนไปได้ จึงให้พากันรู้จักประมาณ

การกินอยู่ปูวายก็เหมือนกัน เวลานี้อาหารการบริโภคมีอยู่ทุกตรอกทุกซอกทุกซอย จะต้องการอะไรได้หมด มีเกลื่อนไว้สำหรับซื้อขายกันเพื่อความสะดวก แล้วก็มีตั้งแต่อยู่แต่กินแต่จับแต่จ่าย จิ๊บๆ จั๊บๆ วันหนึ่งๆ ปากทำงานไม่มีเวลาหยุดยั้ง ทำงานด้วยการเคี้ยวการกิน ทำงานด้วยการพูดการจา ทุกอย่างอยู่ในปากนี้หมด ปากจึงยุ่งด้วยการด้วยงาน แล้วก็กลับมาทำลายเจ้าของเพราะกินไม่รู้จักประมาณ

การคบค้าสมาคมกับเพื่อนกับฝูงก็ควรคัดเลือกพอประมาณ อย่าเห็นแก่ได้แก่คบ แล้วมันจะไปเจอเอาผู้ที่เป็นพิษเป็นภัย แล้วก็มาทำลายตัวของเราได้ ท่านจึงเรียกว่า กัลยาณมิตตตา ให้เสาะแสวงหาเพื่อนฝูงที่ดีงาม มีความประพฤติดีพอเป็นคติเครื่องเตือนใจและพยุงกันได้ ยิ่งเป็นผู้มีศีลมีธรรมภายในใจด้วยแล้วเป็นผู้ที่ควรคบอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหญิง หรือเป็นชาย หรือวัยใดก็ตาม คนดีย่อมไม่ขึ้นอยู่กับคำว่าหญิงว่าชาย ไม่ขึ้นอยู่กับวัย แต่ขึ้นอยู่กับความดีของคนแต่ละคน ให้คัดเลือกการคบค้าสมาคมกับเพื่อนกับฝูง อย่าคบค้าสมาคมแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำตัวของเราให้เสียได้

ท่านจึงสอนไว้ว่า ห้ามไม่ให้คบคนพาล อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา นี่ภาษาบาลีท่านแสดงไว้ แปลออกมาแล้วก็ว่า อย่าคบคนพาลสันดานไม่ดี ความประพฤติปฏิบัติหน้าที่การงานเป็นพิษเป็นภัยต่อตนและผู้เกี่ยวข้อง คนประเภทนี้ให้พยายามหลีกด้วยมารยาทอันดีงามของตนแต่ละคนๆ อย่าคบค้าสมาคมจะทำให้เสียเราได้ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ให้คบท่านผู้ดีมีศีลมีธรรม มีความประพฤติเป็นที่เชื่อถือได้ คบค้าสมาคมแล้วเป็นมงคลได้ ให้เลือกเฟ้นเสียก่อน การจะคบค้าสมาคมกับผู้คนหญิงชาย ไม่ใช่จะคบสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วก็ไปโดนเอาบุคคลที่ไม่ดีเข้า ก็มากลืนเอาเราให้กลายเป็นคนไม่ดี เป็นคนอันธพาลไปขวางโลกเข้าอีก นี่ธรรมะท่านก็สอนไว้ ขอให้ลูกหลานทั้งหลายนำธรรมนี้ไปปฏิบัติตน

เวลานี้เรามาทำงานอยู่ในสถานที่นี่ก็มีจำนวนมากมาย มาจากจังหวัดใดต่อจังหวัดใดบ้างนับแทบไม่ได้ รวมเข้ามาสู่งานอันเดียวกัน ประหนึ่งว่าเป็นงานของเลือดเนื้ออันเดียวกัน อย่าได้ถือก๊กถือเหล่า ถือเขาถือเรา ถือพรรคถือพวก ถือภาค ขอให้ถือความดีคนดีเป็นสำคัญ ใครมาจากที่ไหน ถ้าเป็นคนดีคบได้ สมาคมได้ทั้งนั้น ถ้าเป็นคนชั่วแม้จะอยู่ในครัวเรือนของเราก็คบค้าสมาคมกันไม่ได้ มิหนำซ้ำแตกแยกกันไปได้ เช่น ผัวเมียมีใจไม่สัตย์ซื่อ ไม่สุจริตต่อกัน มีลักษณะที่เคลือบแฝงไม่เป็นที่น่าไว้ใจ ชอบคบหญิงคบชายที่เป็นข้าศึกแก่ผัวแก่เมียหรือคู่ครองของตน แล้วไปคบค้าสมาคม อย่างนั้นก็เรียกว่านำยาพิษเข้ามาเผาผลาญอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดความเดือดร้อนไปตามๆ กัน

ท่านจึงสอนให้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ระหว่างเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกัน อย่าดูถูกเหยียดหยามกัน ให้ต่างคนต่างให้อภัยกัน เพราะต่างคนก็ต่างมาแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีรายได้เกิดขึ้นจากตัวแล้วนำไปทำประโยชน์ เช่น ส่งเงินไปถึงบ้านถึงเรือน ถึงพ่อถึงแม่ ถึงลูกถึงหลาน เราก็ให้ส่งไปอย่าเอามาถลุงเสียหมดๆ เป็นความเสียหาย นี่ก็เป็นความชอบธรรมที่เราปฏิบัติ ให้เก็บหอมรอมริบ เวลานายมอบรางวัลเป็นประจำเดือนๆ ให้แล้ว ให้เก็บหอมรอมริบ แบ่งสันปันส่วนที่จะแจกจะจ่ายไปทางไหน โดยความเป็นประโยชน์ทั้งนั้น อย่าเอานิสัยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเข้ามาใช้ แล้วมันจะไปกัดไปฉีกกระเป๋าให้ขาดแหลกแตกกระจายไปหมด จะไม่มีเงินทองข้าวของติดเนื้อติดตัว ตัวเองก็เสียเพราะความประพฤติไม่ดี สมบัติเงินทองพอที่จะอาศัยก็ไม่มี ที่จะส่งไปถึงบ้านถึงเรือนก็ไม่มี อย่างนี้เป็นความเสียหาย จึงอย่านำมาใช้ในวงงานอันนี้

เฉพาะอย่างยิ่ง คนจำนวนมากที่อยู่ด้วยกัน ย่อมมีจริตนิสัยต่างๆ กัน ไม่ได้เหมือนกัน นิสัยไม่ดีก็มี ดีก็มี คละเคล้ากันอยู่ จึงให้พากันระมัดระวังทุกคน ระวังตัวเอง อย่าให้เป็นนิสัยไม่ดีเอารัดเอาเปรียบคนอื่น คอยแต่จะฉวยโอกาส เช่น เขาทำดี เราทำไม่ดีก็อยากจะยื่นตัวเอง เสนอตัวเองไปเป็นคนดี ที่เขาทำดีอยู่แล้วเขาก็เสียใจ มิหนำซ้ำยังหาเรื่องหาราวต่อคนดีเข้าไปอีก บางทีก็จับกลุ่มกัน จับกลุ่มกันได้ที่แล้วก็ไปฟ้องนาย ว่าคนนั้น นาย ก. ทำไม่ดีอย่างนั้น ประพฤติตัวอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เขาดีอยู่นั่นแล แต่ถ้าไม่ว่าก็เหมือนหนึ่งว่าเขาจะเหยียบหัวเราไป เพราะเขาดีกว่าเรา เจ้านายจะมีความนับถือเขา เลยต้องยกตนทั้ง ๆ ที่ไม่ดีขึ้นเป็นคนดี แล้วไปฟ้องเจ้าฟ้องนายให้หาอุบายขับไล่หรือทำอะไรก็ตาม ให้พอกับความต้องการของตน แล้วขับไล่คนดีให้หนีไปเพื่อเราจะได้อยู่ครองความชั่ว นิสัยชั่วของเราต่อไป ใครมาเราก็จะทำวิธีการอย่างนี้ แต่เราไม่ทำงาน มีแต่วิธีการที่จะทำลายคนอื่นๆ อย่างนี้อย่าให้มีในลูกในหลานทั้งหลายนะ

หลวงตาพูดนี้ไม่ได้หมายถึงว่าลูกหลานทั้งหลายเป็นคนผิดคนพลาด เป็นคนไม่ดี แต่เรื่องความดี ความไม่ดี ความดีเป็นมงคลแก่ผู้ทำดี ความไม่ดีเป็นความเสียหายแก่ผู้ไม่ดี จึงเตือนเอาไว้ให้ระมัดระวัง การปฏิบัติตนต่อส่วนรวม คือที่อยู่ด้วยกันให้เห็นใจกัน ให้มีให้อภัยกัน อย่าไปถือสีถือสากันอย่างง่ายดาย ให้ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจ ที่มาจากบ้านจากเรือน มารวมกันอยู่ในสถานที่นี่ ล้วนแล้วตั้งแต่มุ่งหน้ามุ่งตามาหาผลประโยชน์ อย่าให้มีโทษเกิดขึ้นกับตัวและสาดกระจายไปหาคนอื่นให้เกิดความเสียหาย เพราะความเลวร้ายของตัวเอง จะเป็นของไม่ดีเลย

ให้พากันเก็บความรู้สึกไว้ต่อกัน อย่าไปเที่ยวติฉินนินทาคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ไปที่ไหนชอบปากเปราะปากบอน ไปเที่ยวพูดคนนั้นพูดคนนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เป็นท่าเลย มีตั้งแต่เรื่องปากทำลายคนอื่นไปอย่างนี้ อย่าให้มีในบรรดาลูกหลาน การคบค้าสมาคมกันให้หาสิ่งที่เป็นมงคลต่อกัน เขาเป็นคนดี เราก็เป็นคนดี ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจกัน อย่างนี้เราจะมาจากที่ไหนก็มาเถอะ เมื่อคนดีด้วยกัน ปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน เห็นใจเขาเห็นใจเราด้วยแล้ว ย่อมปฏิบัติต่อกันด้วยความถูกต้องดีงาม ยิ่งเป็นการสมัครสมานกันให้ดีและแน่นหนามั่นคงมากขึ้น

นี่ละเป็นของสำคัญ ให้ท่านทั้งหลายลูกหลานทั้งหลายได้ปฏิบัติตัวอย่างนี้ ไอ้เรื่องที่กล่าวนี้มันเคยมีมาในตำรับตำรา พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแสดงเป็นแบบฉบับมาแล้ว บรรดาครูอาจารย์ที่มีลูกศิษย์หลายคนอยู่ร่วมกัน ลูกศิษย์ผู้ดีก็มี ลูกศิษย์ที่เลวก็มี ไอ้ลูกศิษย์ที่ตัวเองเลวแล้วยังไปหาเรื่องเลวใส่คนอื่นทั้งๆ ที่เขาดี ไปฟ้องร้องครูอาจารย์ จนกระทั่งครูอาจารย์นั้นได้หาอุบายขับคนนั้นหนีอย่างนี้ก็มี เพราะจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ พูดออกมาคำไหนเรียกว่า คบคิดกันอย่างเต็มที่แล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคนนี้ไม่ดีอย่างนั้น คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น พูดเป็นเสียงเดียวกัน อาจารย์ถึงทีแรกจะปฏิเสธว่าดียังไง คนทั้งหลายบรรดาลูกศิษย์ที่มีจำนวนมากๆ รวมหัวกันเข้าก็มีกำลังอันใหญ่หลวงลบล้างความเชื่อถือคนดี เด็กดีนั้น ให้กลายเป็นคนชั่วได้ ตามคนชั่วที่ฟ้องร้อง แล้วตกลงคนดีก็กลายเป็นคนเสียหายไป คนชั่วก็กลายเป็นอันธพาล เย่อหยิ่งจองหองพองตัวต่อไป ทำลายผู้อื่น ใครมาดีกว่าเราไม่ได้ ต้องอยู่ในอำนาจของเราในเงื้อมมือของเราเป็นเจ้าอำนาจ นี่มันกลายเป็นอย่างนี้ไป

เพราะฉะนั้นลูกหลานทั้งหลายที่มาทำงานนี้ อย่าทำให้หนักอกหนักใจของท่านผู้เป็นหัวหน้า คือเจ้านายของเรา ท่านเป็นผู้มีธรรม ถ้าท่านไม่รับ แม้รายเดียวก็เข้ามาอยู่กับท่านไม่ได้ เพราะอะไร เพราะความเมตตาของท่านนั้นแลที่ท่านรับไว้ เมื่อท่านรับไว้แล้วให้เห็นใจท่านที่รับ ซึ่งเปรียบเหมือนกับพ่อกับแม่ของเรา ให้ตายใจกับท่านแล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สม่ำเสมอในเพื่อนในฝูง อย่าหาเรื่องหาราวก่อเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นในเพื่อนในฝูง จะเป็นความเดือดร้อนกระทบกระเทือนถึงเจ้านายเรา ท่านผู้เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นพ่อเป็นแม่ก็เกิดความเดือดร้อนกับลูกน้องทั้งหลายที่ไม่ลงรอยกัน อย่างนี้อย่าให้มี ให้ต่างคนต่างให้อภัยกัน ผิด ถูก ดี ชั่ว ประการใด ให้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรม อย่าเอาความโมโหโทโส ความโกรธแค้นมาเป็นทางเดิน จะทำให้พินาศขาดสะบั้นไปหมดไม่มีของดีเลย

วันนี้ได้เตือนบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ที่อุตส่าห์พยายามมาเสาะแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อตนเองและทางบ้านทางเรือนของตน ก็ขอให้ปฏิบัติต่อกันด้วยความถูกต้องดีงาม เพราะต่างคนต่างมีหัวใจด้วยกัน หญิงก็มีหัวใจ ผู้ชายก็มีหัวใจ ผิดก็รู้ว่าผิด ถูกก็รู้ว่าถูกด้วยกันทุกคน เพราะฉะนั้นจึงหาตั้งแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามมาเสนอกันให้เป็นที่จับใจ เป็นที่สมัครสมาน ให้เป็นความแน่นหนามั่นคงมากขึ้น คนงานเข้ามามากน้อยเพียงไร มีแต่คนดีปฏิบัติต่อกัน งานก็มีแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น เราก็ได้ทำงานอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ ผลเกิดขึ้นจากงานของคนดีก็มี  เป็นผลที่ชุ่มเย็น ให้ลูกหลานทั้งหลายปฏิบัติกันอย่างนี้ อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน อย่างนี้ไม่ดีเลย เสียหายมากทีเดียว ธรรมท่านตำหนิตลอด ให้เราระมัดระวัง

ส่วนมากคนเรามักจะมองดูแต่คนอื่น ตัวเองไม่ค่อยมอง ไม่ยอมมอง นี่แหละให้เกิดความเสียหาย กลายเป็นความลืมตัว เห็นเขาชั่วไปหมด เห็นตัวเป็นคนดีคนเดียว ประหนึ่งว่าเป็นเทวบุตรเทวดาบนสวรรค์ แต่เทวบุตรเทวดาบนสวรรค์ท่านดีด้วยคุณงามความดี เราดีด้วยทิฐิมานะ ดีด้วยการประจบประแจงกับเจ้ากับนายให้เชื่อถือ แล้วทำความชั่วช้าลามกแก่คนอื่น อย่างนี้ไม่เหมาะสมแก่ตัวของเราเอง และจะทำงานทั้งหลายให้เสียหาย มากกว่านั้นอาจจะทำงานนี้ให้ล่มจมไปด้วยวิธีการใดก็ได้ เพราะคนแต่ละคนๆ เมื่อมียาพิษแล้วเผาได้หมด ไม้ขีดไฟก้านเดียวเท่านั้น มันยังสามารถเผาบ้านเผาเรือนได้ คนนี้เป็นคนชั่วร่วมกันหลายคน จะทำส่วนรวมให้แน่นหนามั่นคงได้ยังไง ต้องเจ๊งไปจนได้

อย่าพากันคิด อย่าพากันดำริในความไม่ดีทั้งหลาย ให้ปฏิบัติความดีต่อกัน มีการพูดการจาไม่ดีไม่งามยังไง ก็ให้พึงคำนึงถึงเหตุผลต้นปลาย อย่าไปเพ่งเล็งแต่เขาไม่ดีอย่างเดียว ให้ดูเราที่ว่าเขาไม่ดีนั้นน่ะ เราดีอย่างไรบ้าง กิริยาการแสดงออกของเขา ทางคำพูดคำจา หรือกิริยาอื่นใด ผิดถูกประการใดให้นำมาพินิจพิจารณา ควรตำหนิก็ให้ตำหนิโดยธรรม ควรชมก็ให้ชมโดยธรรม แล้วอยู่กันได้แน่นหนามั่นคงตลอดไป ถ้าเห็นคนอื่นมีตั้งแต่คนชั่วไปหมด ถ้าว่าอำนาจก็ไม่มีใครมีอำนาจเหนืออันธพาลที่อยู่ในวงชุมนุมของคนหมู่มากนั้น ก็กลายเป็นการทำลายคนอื่นให้เสียไปได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของดี จงพากันพยายามปัดเป่าออกในตัวของเราเอง

ให้คบค้าสมาคมกันด้วยความสนิทสนม โดยความเห็นใจกัน ซึ่งต่างคนต่างมาเสาะแสวงหาผลประโยชน์ อย่าให้มีโทษเกิดขึ้นกับตัวและส่วนรวม จะเป็นความดีงาม นี่คือหน้าที่การงาน จากนั้นก็จะเริ่มเป็นธรรมะภายในจิตใจของคนงาน ที่กล่าวมานี้ก็คือธรรม เป็นความดีความชอบประจำอยู่กับทุกคน แล้วก็เป็นคนดีด้วยกัน

จากนั้นแล้วก็ขอให้ทุกๆ ท่าน ได้คำนึงถึงพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ ได้ประกาศธรรมสอนโลกให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดามา ไม่มีสิ่งใดที่จะชำระซักฟอกสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ออกจากหัวใจสัตว์นอกจากธรรมเท่านั้น จึงขอให้พากันระลึกถึงอรรถถึงธรรมเสมอ ธรรมนี้ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย เป็นธรรมที่เลิศเลอครอบโลกธาตุอยู่ตลอดมา กิเลสต่างหาก คือความชั่วช้าลามก มันตำหนิติเตียนว่าธรรมไม่ดี กลายเป็นธรรมครึธรรมล้าสมัย ไม่ได้ทันสมัย เหมือนกับกิเลสตัณหาที่มันฝังอยู่ในหัวใจ ให้เกิดความลืมเนื้อลืมตัว ดีดดิ้นในแง่ต่างๆ ซึ่งเป็นความเสียหายแก่ตน และเป็นข้าศึกต่อธรรม มันมีความคึกความคะนองไปตลอดเวลาเรื่องกิเลส แล้วก็เหยียบย่ำทำลายธรรม ที่เป็นความดีงามสำหรับตนเรื่อยๆ ไป

จึงขอให้ลูกเต้าหลานเหลนตลอดชาวพุทธเราทั้งประเทศ เพราะประเทศไทยส่วนมากเป็นชาวพุทธ ขออย่าลืมพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาองค์เอก เรานี้เป็นเหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งๆ ที่คอยรับการแนะนำสั่งสอนจากพระพุทธเจ้าโดยอรรถโดยธรรมเรียบร้อยแล้ว นำมาปฏิบัติให้เป็นผู้เป็นคน เป็นหญิงชายที่ดีมีศีลมีธรรมประจำตน คนมีธรรมประจำตนนี้ อยู่ที่ไหนก็มีความสงบร่มเย็น เพราะมีหลักมีเกณฑ์ภายในใจ คนเราไม่มีหลักเกณฑ์ภายในใจแล้ว จะมีอะไรก็ตาม

คำว่าหลักเกณฑ์ได้แก่ ธรรมสมบัติ ให้เป็นสมบัติภายในใจของตน เช่น ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และยึดธรรมของท่านมาเป็นหลักปฏิบัติต่อตัวของเราโดยสม่ำเสมอ นี่เรียกว่าผู้มีธรรม ผู้มีธรรมเช่นนี้จะเอียงหน้าเอียงหลัง กระดิกพลิกแพลงไปทางใดย่อมจะมีธรรมคอยเตือนเสมอ จึงไม่ค่อยผิดพลาดไปอย่างง่ายดาย เหมือนบุคคลที่เป็นคลังกิเลสโดยไม่คำนึงถึงอรรถถึงธรรม และเห็นว่าธรรมเป็นของครึของล้าสมัยไม่ทันกาล เหมือนกิเลสที่เป็นของทันสมัย และพาคนให้ล่มจมไปมากมายก่ายกอง ขอให้ลูกหลานทั้งหลายคิดไว้ให้ดี

เวลานี้ศาสนาพุทธของเรารู้สึกว่า ห่างเหินจากจิตใจของชาวพุทธเรามากทีเดียว การให้ทานเป็นพื้นฐาน เป็นนิสัยของชาวพุทธเราที่เคยมาดั้งเดิม ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่ มีการให้ทาน เช่น พระไปบิณฑบาต ไปที่ไหนๆ เราก็ไม่เคยเห็น ได้สะพายบาตรเปล่ากลับมา ไม่มีใครมีศรัทธาทำบุญใส่บาตรเลย แต่ไปที่ไหนเต็มด้วยอาหารการบริโภคเต็มบาตรๆ มา นี่คือพื้นฐานแห่งชาวพุทธเราที่เคยมีศรัทธาอยู่แล้วทำบุญให้ทาน การให้ทานจึงเป็นพื้นฐานแห่งชาวพุทธของเราอย่างเด่นชัดในที่ทั่วๆ ไป ในแดนแห่งกรุงสยามของเรา

แต่การรักษาศีลนั้นรู้สึกมีน้อยมาก ไม่ค่อยมีใครจะสนใจรักษาศีล ซึ่งเป็นคุณธรรมอันสูงขึ้นไปเป็นลำดับ และยิ่งการภาวนาทำจิตใจตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ตัวคึกตัวคะนอง ไม่รู้จักวันจักคืน ไม่รู้จักวัย จะเป็นจะตายก็ดีดก็ดิ้นเหมือนโลกทั่วๆ  ไปเหมือนวัยทั่วๆ ไปอย่างนี้ พูดถึงเรื่องทางด้านจิตใจ จิตใจรู้สึกว่าคึกคะนอง ไม่ว่าวัยใดๆ เพศใด เพราะอำนาจแห่งกิเลส มันเสริมให้คึกคะนองตลอดเวลา เนื่องจากกิเลสไม่มีวัย คำว่าเฒ่าแก่ชราของกิเลสไม่มี ถึงเราจะมีกิเลสอยู่ภายในจิตใจ ร่างกายจะทุพพลภาพขนาดไหนแต่ใจยังคึกยังคะนองได้ตลอดไป นี่แหละจิตใจมันคึกมันคะนอง จึงขอให้พากันนำธรรมเข้ามากำกับรักษาใจบ้าง

ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาระงับดับใจที่ฟุ้งซ่านนี้แล้ว มันจะฟุ้งซ่านตลอดไปจนหาเงื่อนต้นเงื่อนปลาย หาฝั่งหาฝาหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ ตายทิ้งเปล่าๆ มนุษย์เรานะ เราอย่าเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นเครื่องส่งเสริมเราให้มีความสุขความเจริญ สมมักสมหมายเหมือนอรรถเหมือนธรรม สิ่งเหล่านี้เราอาศัยชั่วกาลเวลาเหมือนกันหมด โลกทั้งหลายถือสิ่งเหล่านี้เป็นเนื้อเป็นหนัง จนลืมศีลลืมธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติอันประเสริฐเลิศเลอ ซึ่งเป็นคู่เคียงของใจ ฝากเป็นฝากตายของใจ โลกมักลืมกันเสียทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนให้พี่น้องทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธเรา ได้มีการอบรมจิตใจให้สงบบ้างในบางกาลบางเวลา เช่นภาวนา พุทโธ หรือ ธัมโม หรือ สังโฆ อย่างน้อยเวลาจะหลับจะนอน เรากราบไหว้พระพุทธเจ้าองค์ประเสริฐเลิศเลอทั้งหลายแล้ว กราบพระธรรมที่เลิศเลอ กราบพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เลิศเลอ จากนั้นมาก็ทำความสงบใจ ใจทำไมจึงต้องทำความสงบกับมัน ก็ใจมันฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ หาเวลายับยั้งหรือพักตัวผ่อนตัวบ้างไม่ได้เลย คือใจของกิเลสครองหัวใจนั่นเอง จึงบีบบังคับใจของเราให้ดีดให้ดิ้น ให้คิดให้ปรุงแต่งตั้งแต่เรื่องของกิเลสซึ่งจะนำฟืนนำไฟมาให้ แล้วไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่มีฝั่งมีฝาเลย คือกิเลสจูงสัตว์โลก

นี่เรียกว่ากิเลส ภาษาธรรมท่านแปลว่า ความเศร้าหมองมืดตื้อ และเป็นภัยต่อสัตว์โลก ให้ชื่อว่ากิเลส เกิดขึ้นที่ใจ อยู่ที่ใจของสัตว์โลกด้วยกัน ธรรมก็เกิดที่ใจ อยู่ที่ใจของสัตว์โลกเช่นเดียวกัน เช่นอยู่ที่ใจเรา ทั้งกิเลสก็เกิดกับใจเรา ธรรมก็เกิดกับใจเรา อยู่ที่ใจของเรา จึงขอให้นำธรรมะซึ่งเป็นเหมือนน้ำดับไฟ มาระงับดับความคิดความปรุงทั้งหลายบ้างในเวลาภาวนา ให้ใจมีความสงบเยือกเย็นขึ้นเป็นลำดับ แล้วเราจะได้เห็นโทษแห่งความหมุนติ้วของจิตตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งหลับ และยืดยาวมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ ได้เห็นโทษของมันอย่างชัดเจน

เมื่อได้เห็นความสงบของใจ มีหลายขั้นหลายภูมิ ความสงบของใจ คือสงบอารมณ์ของกิเลส ที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ใจอยู่นั่นแล ด้วยบทภาวนา เช่น พุทโธ บังคับจิตให้ทำงานอยู่กับ พุทโธ หรือ ธัมโม หรือ สังโฆ ภายในใจ มีสติตั้งไว้ให้ดีกับคำบริกรรมของตน แล้วบริกรรมต่อไปว่า พุทโธ หรือ ธัมโม หรือ สังโฆ ก็ได้ ให้ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมด ที่กิเลสเคยยึดเคยถือ เคยพาปรุงพาแต่งให้หมด ในเวลานั้นให้มีแต่คำว่า พุทโธ ๆ ทำงานแต่ผู้เดียว กิเลสปัดออกหมดเพราะเราคิดมาแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งคือตั้งแต่วันตื่นนอนกระทั่งบัดนี้ ให้ปล่อยงานของกิเลสทั้งหมด แล้วนำงานของอรรถของธรรมเข้ามาสู่ใจ ให้ใจได้ทำงานกับธรรม ได้แก่บริกรรมคำว่า พุทโธ ธัมโม หรือ สังโฆ อยู่ในนั้นด้วยสติตั้งบังคับไว้ ห้ามไม่ให้จิตใจคิดไปในแง่ของกิเลส ให้คิดอยู่กับธรรม เรียกว่า งานของธรรม

ธรรมทำงานทำอยู่ที่ใจ ด้วยการควบคุมด้วยสติ เมื่อกิเลสถูกบังคับด้วยภาวนาแล้ว จิตจะค่อยสงบลง ๆ แต่ในเบื้องต้นกิเลสจะผลักจะดันออก เรียกว่าดีดว่าดิ้น เราไม่ให้คิดทางนั้น มันอยากคิด ๆ อยากปรุงบังคับเข้ามา ให้อยู่กับคำว่า  พุทโธๆ  นี่เรียกว่าภาวนา มีคำบริกรรมว่า พุทโธๆ อยู่เสมอ แล้วบางรายนะ เพราะผลแห่งธรรมนี้จะปรากฏขึ้นแก่ผู้บำเพ็ญ เช่น การภาวนาเป็นต้น จะปรากฏขึ้นเร็วหรือช้านั้นมีต่างกันแต่ต้องปรากฏ ถ้าเราได้เริ่มก็เหมือนกับเราเริ่มขุดบ่อ ขุดบ่อน้ำ ตาน้ำมีต่างๆ กัน บางสถานที่ตาน้ำอยู่ตื้น บางสถานที่ลึกลงไป ลึกลงไป แต่ขุดไม่ถอยแล้ว ทั้งตื้นทั้งลึกย่อมเจอน้ำด้วยกัน

นี่เราภาวนาบางคนเหมือนกับว่าตาน้ำอยู่ตื้นๆ พอภาวนาไป พุทโธๆ เข้าไปจิตใจจะสว่างไสวขึ้นมา และรวมเป็นผลแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาแก่ตนในเวลานั้น นี่เรียกว่าน้ำอยู่ตื้น ธรรมอยู่ที่ตื้นๆ กับหัวใจของเรา เราก็ได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของตน ผู้ที่ลึกกว่านั้นก็อย่าท้อถอย เหมือนกับเราขุดบ่อ เอาจะลึกกว่านี้ก็ขุดลงไปเจอน้ำจนได้ เจอน้ำจนได้เช่นเดียวกัน นี่การภาวนาจะลึกจะตื้นก็ตาม จะพบด้วยกัน แม้จะไม่พบการภาวนานี้  มีอานิสงส์มากทีเดียว การให้ทาน การรักษาศีล การภาวนานี้มีอานิสงส์มากกว่าธรรมทั้งสองประเภท คือการให้ทานและรักษาศีล

เราจึงต้องให้หนักแน่นในภาวนา ให้เราดูหัวใจของเราบ้าง อย่าปล่อยให้แต่กิเลสพาถลุงไปด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะ ตัณหา ความทะเยอทะยาน ความดิ้นความดีดทั้งวันทั้งคืน ผลประโยชน์ที่ได้มามีแต่ความผิดหวัง เกิดความเดือดร้อน บางรายนอนไม่หลับ เพราะความคิดมากปรุงมาก ส่วนมากมีแต่ความผิดหวังให้เกิดความเสียใจๆ เลยนอนไม่หลับก็มี รายที่หนักกว่านั้นเป็นบ้าไปก็มี นี่คือกิเลสทำลายจิตใจของสัตว์โลก ให้ท่านทั้งหลายพากันฟังเสีย ธรรมประเภทนี้จะไม่มีใครแสดง หลวงตาเป็นผู้แสดงเสียเอง ให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามความสัตย์ความจริงอย่างมั่นเหมาะ ไม่มีสงสัยในธรรมทั้งหลาย ที่นำมาแสดงแก่พี่น้องทั้งหลายนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นธรรมขั้นใดภูมิใด จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เราอยากฟัง ผู้มาพูดธรรมะประเภทนี้ให้เราฟัง เราจะโต้ตอบกันทันทีด้วยความพออกพอใจ

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดนั้น เมื่อได้เจอขึ้นไปแล้วจะตื่นเนื้อตื่นตัว เราตื่นกับกิเลสก็ตื่นมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่เห็นได้เรื่องอะไร ถ้าว่ารื่นเริงก็เพื่อความทุกข์ความเดือดร้อนไปเสีย ไม่ได้รื่นเริงเพื่อความสุขความเจริญเหมือนรื่นเริงในธรรม ธรรมนี้คือการภาวนาเป็นสำคัญมากนะ เวลาภาวนาลงไปจะเอาพุทโธ หรือเอาธัมโม ตามจริตนิสัยที่เราชอบ เราชอบถูกตามจริตนิสัยแล้วให้นำนั้นมาบริกรรม มีสติกำกับอยู่กับคำบริกรรมทุกเวลา ไม่ยอมให้เผลอคิดไปในเรื่องของกิเลสที่เคยเป็นมาแล้ว ให้อยู่กับคำบริกรรม

ทีนี้พอได้จังหวะแล้ว จิตจะสงบตัวเข้ามา สงบตัวเข้ามา พอจิตสงบ อารมณ์ของกิเลสที่เป็นสิ่งก่อกวนก็สงบไปตามๆ กัน คำว่าสงบก็คือสงบจากกิเลสสิ่งก่อกวนนั่นแล ธรรมล้วนๆ จะเริ่มปรากฏขึ้นให้เป็นความเย็นอกเย็นใจ ความสว่างไสว จนกระทั่งถึงความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ภายในใจของเรา ซึ่งแต่เกิดมาเราไม่เคยเห็น ความสุขความแปลกประหลาดอัศจรรย์ประเภทนี้ พึ่งได้มาปรากฏในวันนี้ๆ ที่เราภาวนา จะได้ออกอุทานทันทีสำหรับผู้ภาวนา ปรากฏธรรมประเภทนี้ขึ้นมา แล้วธรรมที่ปรากฏในคืนวันนั้น ในเวลานั้น จะเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์มาก สามารถดึงดูดใจของเราที่ทำหน้าที่การงานหลังจากการภาวนาไปแล้ว ไปประกอบการงานอะไร จิตใจจะพัวพันอยู่ในความแปลกประหลาดอัศจรรย์ จากการภาวนานี้อยู่โดยสม่ำเสมอ ครั้นยิ่งเราได้เพิ่มเข้าไปอีก เพิ่มเข้าไปอีกก็ยิ่งมีผลหนักแน่นขึ้นไป จิตเราสง่างามขึ้นมา

เราเกิดมาในโลกนี้เห็นจิตใครสง่างาม ไม่เคยเห็น หลวงตาพูดได้อย่างชัดเจน หลวงตาเองก็ไม่เคยเห็นจิตที่มีความสง่างาม แปลกประหลาดอัศจรรย์ในตัวเองขึ้นมา โดยอยู่เฉยๆ อย่างนี้ ไม่มี แล้วได้เกิดขึ้นมาอย่างไม่คาดไม่ฝันจากการภาวนา ได้ปรากฏมาแล้ว จึงได้นำมาอธิบายให้พี่น้องทั้งหลายได้ยินได้ฟัง แถวทางเดินแห่งท่านผู้วิเศษดำเนินมายังไง รู้ยังไง พระพุทธเจ้าเลิศเลอเพราะรู้ธรรมเห็นธรรมภายในใจ สาวกทั้งหลายเลิศเลอเพราะรู้ธรรมภายในใจ ด้วยจิตตภาวนา

เรานำธรรมนั้นๆ มาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติเข้าไปตามแนวทางที่ท่านสอน ก็ค่อยเริ่มเจอขึ้นๆ เบื้องต้นขึ้นความสงบเย็นใจ  มีความสว่างไสว มีแก่ใจหนักแน่นขึ้น ความเพียรก็หนักแน่น ความเชื่อก็มั่นคงลงไป เชื่อต่อมรรค ต่อผล ต่อนิพพาน เชื่อขึ้นไป เชื่อบุญเชื่อบาป เชื่อลงไปโดยลำดับ เมื่อปรากฏผลแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นที่ใจ ซึ่งเป็นที่รวมรับแห่งมรรค ผล นิพพาน อยู่แล้ว จิตก็ยิ่งมีความกระตือรือร้น พอจิตสงบลงไปนี้มันสว่างไสวขึ้นที่ใจ นี่จากการภาวนา เราอยู่เฉย ๆ ให้กิเลสอบรมเราตั้งแต่วันเกิดมา ไม่เห็นมีใครได้ความอัศจรรย์ มีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้หัวใจเรา ควรจะเข็ดจะหลาบ หันเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมบ้างเป็นกาลเป็นเวลา มันน่าจะเป็นประโยชน์ อย่าปล่อยตัวของเราตลอดไปอย่างนี้เรื่อยไปนะ จึงขอให้พากันภาวนา

ดังที่พูดตะกี้นี้ พูดเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจ สมกับธรรมของพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ เป็นมรรค เป็นผล เป็นนิพพาน ตลอดเวลามา และจะตลอดไปถ้ามีผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติกอดคัมภีร์อยู่ก็ตายเปล่าๆ นั้นแหละ ถ้ามีการปฏิบัติแล้วผลจะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ตั้งแต่เริ่มแรกจิตมีความสงบตามจริตนิสัยผู้ที่รู้เร็ว รู้ช้า จะค่อยปรากฏขึ้น จะปรากฏขึ้นแบบใดก็ตาม จะเป็นเครื่องปลุกจิตปลุกใจของเราให้มีแก่จิตแก่ใจดูดดื่มในการภาวนา เพราะความสุขอันนี้เราไม่เคยเจอ มาเจอเอาเวลาภาวนานี้เท่านั้น ซึ่งเหนือความสุขทั้งหลายที่เราเคยผ่านมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยมีความสุขประเภทที่ได้ขึ้นมาจากการภาวนาอย่างนี้เลย มีความตื่นเต้น มีความยินดี เต็มอกเต็มใจ ปลาบปลื้มไปตลอดเวลา ทั้งกลางคืน กลางวัน ไปประกอบหน้าที่การงานอะไรอยู่ ไม่ลืมความแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่เป็นผลเกิดขึ้นจากการภาวนาของตนซึ่งผ่านมาแล้วนั้นเลย มีแต่มุ่งหน้ามุ่งตา พอได้โอกาสแล้วจะเข้าอบรมจิตใจ

เมื่อจิตใจได้รับการบำรุงรักษาแล้ว ก็ยิ่งจะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ จิตนี้จะเปลี่ยนตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เป็นจิตอย่างที่เรานอนเฝ้าอยู่ทุกวันนี้ กับกิเลสพัวพันอยู่ กิเลสพัวพันคือความมืดตื้อ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ลืมเนื้อลืมตัวก็คือกิเลสครอบงำหัวใจสัตว์นั้นแล ลืมเนื้อลืมตัว จนกระทั่งลืมเป็นลืมตาย ลืมบุญ ลืมบาป ลืมนรกสวรรค์ไปหมด ศาสดาองค์เอกมาตรัสรู้ธรรมประกาศกระเทือนโลกธาตุก็ไม่ยอมสนใจ ยิ่งกว่าจะวิ่งตามกิเลสตัณหา นั่น

ทีนี้เวลาธรรมเข้าสัมผัสใจแล้วกิเลสตัณหามันจะปล่อยของมันเอง เพราะเป็นของเลวทรามต่ำช้า ไม่ได้เป็นของเลิศเลอเหมือนธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจจากการภาวนานี้เลย ก็ยิ่งมีความขะมักเขม้นตื่นเนื้อตื่นตัว สารประโยชน์ในโลกนี้ ที่เราเกิดมานี้มีอะไรเป็นสาระ มองดูดินฟ้าอากาศ ก็มีมืดกับแจ้ง เขาเป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ สิ่งนั้นสิ่งนี้ต้นไม้ภูเขา สมบัติเงินทอง เราใช้มา อาศัยมาตั้งแต่วันเกิด เราก็มีแต่กระหยิ่มยิ้มย่องกับเขา ว่าจะได้เรื่อยไป ทั้งที่มันได้มาแล้วมันเสียไปก็ตาม ยังมีแต่จะได้เรื่อยไปๆ เหล่านี้นะ เวลาเทียบเข้ามากับใจที่ปรากฏขึ้นแล้วมันจะมีความแน่นหนามั่นคง ปล่อยใจ วางใจ อบอุ่นได้ตลอดไป ไม่เหมือนสมบัติภายนอก นี่ท่านเรียกว่าสมบัติภายในเกิดขึ้นจากการภาวนา นี่ละอยากขอบิณฑบาตให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้ทำบ้าง

การเทศน์นี้ไม่ได้เทศน์ด้วย ลมๆ แล้งๆ นะ เราเทศน์ด้วยความจริงความจัง ด้วยการปฏิบัติมาแล้ว จึงได้นำมาสอน พระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิบัติมาแล้ว จนได้ตรัสรู้แล้วนำธรรมที่ได้ตรัสรู้จากการปฏิบัติมาแล้วมาสอนโลก จนกลายเป็นพุทธศาสนาเรื่อยมาทุกวันนี้ นี่ก็ได้นำจากพุทธศาสนาที่ท่านสอนไว้แล้วนั่นแลมาปฏิบัติ จิตใจดวงนี้ดูมันตั้งแต่ต้นเลย ตั้งแต่ต้นเริ่มบวช มันเป็นยังไงจิตนี้ เริ่มบวชเป็นยังไง มันก็มืดหนาสาโหดเหมือนเราเหมือนท่านนั้นแล แต่สำคัญที่ความรู้สึก เราบวชแล้วเราละเว้นความชั่วทั้งหลายหมด จะทำตั้งแต่ความดีงามทั้งนั้น ถึงมืดก็ทำแต่ความดีงาม มืดก็ทำแต่ความดีงาม ไม่ทำความชั่วตลอดมาตั้งแต่บวช นี่คือการบำรุงรักษาตน ซักฟอกจิตใจ

จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่การภาวนา เวลาภาวนา นี้ละจิตตัวแปลกประหลาดอัศจรรย์จะเกิดขึ้นนะ ธรรมพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นที่ใจของเรา พอเราภาวนาเข้าไป เกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมายิ่งทำให้เอะใจตื่นเต้นตัวเอง ความขยันหมั่นเพียรทางด้านจิตตภาวนาก็มากขึ้นๆ การเร่งความพากความเพียร เพื่อจะชำระจิตใจให้ผ่องใสขึ้นไปก็ยิ่งเร่งขึ้นไป จิตใจนี้เปลี่ยนสภาพจากความมืดความบอดเข้ามาเป็นความสง่าผ่าเผย เป็นความสว่างไสว มองเห็นบุญ เห็นบาป เห็นดี เห็นชั่ว ทีนี้มีหิริโอตตัปปะ ประจำใจขึ้นมา

หิริโอตตัปปะ คือ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม และมีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อบุญต่อกุศลประจำใจเรื่อยไป หนักแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ นี่เมื่อธรรมได้เข้าสู่ใจ ใจจะต้องรู้ตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้ามีแต่กิเลสเข้าครอบงำหัวใจจนกระทั่งวันตายก็ไม่มีวันดีคนเรา   มีแต่ทะนงตัวด้วยความสำคัญมั่นหมายไปตามกิเลสทั้งนั้น หาสาระไม่ได้ ตายแล้วทิ้งกระดูกไว้นี้ ไม่เห็นใครดี สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อย ทิ้งเกลื่อนไปตามกันกับร่างกายของเราที่หมดสภาพแล้ว ส่วนจิตใจนี้เราไม่เคยสร้างคุณงามความดีเอาไว้ จิตใจก็แห้งผากจากคุณงามความดี มีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมาน ออกจากภพนี้ก็ไปสู่ภพใหม่ ภพใหม่ก็ภพคนไม่มีบุญ มีแต่บาปเต็มหัวใจนั่นแล มีแต่ความทุกข์ความร้อน

เอ้า ความเกิดเป็นสัตว์ก็ไปเป็นสัตว์เสีย ทั้งที่ ๆ เราเคยเป็นมนุษย์ มันก็ไม่ยอมเกิดเป็นมนุษย์ เป็นนาย ก. นาย ข.นาง ก. นาง ข. มันก็ไม่มาเป็น นาย ก. นาย ข. มันไปเป็นสัตว์ เป็นกบเป็นเขียดนี้อย่างน้อยนะ เป็นสัตว์ทุกประเภทไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ตามแต่กรรมของผู้นั้นจะไสส่งลงไปให้ไปเกิด จนกระทั่งเป็นเปรตเป็นผี ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นกรรมชั่วที่เราทำมาแล้วนั่นแล มันกลับเข้ามาเป็นผลชั่วช้าลามกไม่พึงปรารถนาต่อตัวของเราเองนั่นน่ะ

ทีนี้ลงไปจนกระทั่งนรก ทั้งๆ ที่เราลบล้างว่านรกไม่มี คือกิเลสที่มันหนาในใจมากๆ แล้ว มันจะลบล้างหมด บรรดาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยความเลิศเลอของธรรมและของศาสดา มันจะไม่ยอมรับ ว่าบาปพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์สอนไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอน ไม่มีใครปฏิเสธบาปได้เลยว่าไม่มี บุญไม่มี ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์สอนรับรองในบาป ในบุญ ในนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เสมอกันไปหมดเลย เพราะท่านรู้ท่านเห็นความเป็นจริงเหมือนกัน นี่มันก็ไม่ยอมรับ

กิเลสถ้ามันลงหนาๆ เข้ามาแล้วมันไม่ยอมรับ จะเป็นกี่ศาสดาก็ตามมันไม่ยอมรับ มันจะยอมรับตั้งแต่กิเลสตัณหาตัวเป็นฟืนเป็นไฟ หลอกล่ออยู่ตลอดเวลา แล้วก็วิ่งตามกิเลสๆ อยู่นั้น ผลสุดท้ายก็จมลงไปๆ การที่มันไม่ยอมรับธรรมแล้ว มันก็ยอมรับแต่การทำชั่วเท่านั้นเอง พอใจในการทำชั่วไม่คำนึงถึงบุญถึงบาป มิหนำซ้ำยังบอกว่าตายแล้วสูญ  ตายแล้วสูญ ๆ เราจะทำอะไรให้ทำเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี้ พอสิ้นชีวิตไปแล้ว จะไม่ได้เสวยดีเสวยชั่วเหมือนมีชีวิตอยู่นี้เลย เพราะตายแล้วสูญ นี่กิเลสมันลบเข้าไปอีกอย่างหมัดเด็ดเลย

ทีนี้คนนั้นก็สร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามกตามความสำคัญของกิเลสที่มันหลอก ทีนี้อยากทำอะไรอยากทำตามกิเลสทั้งนั้น ที่จะอยากทำตามศีลตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่มี นี่แหละที่นี่พอตายลงไปแล้วภพเปรต ภพผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ ท่านมีในตำราตามความสัตย์ความจริงที่มีอย่างนั้นจริง ๆ มันก็ไปโดนเข้าไป โดนเข้าไปแล้วสายเกินไปเสียแล้ว ถ้าว่าเป็นสัตว์ เป็นเสือ เป็นเปรต เป็นผี มันก็สายเกินไปแล้ว เราเป็นแล้วไปแก้ไขได้ยังไง จากนั้นก็ลงนรกอเวจี เอ้า สายไปเสียแล้ว

แต่ก่อนเราลบว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี  มันก็โดนลงไปนรก มีหรือไม่มีเจ้าของก็รับเอง แล้วเราจะไปหาโทษใส่ผู้ใด ก็เพราะความโอ้อวดความดิบความดียิ่งกว่าศาสดาไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบนรกมันเหยียบไม่ได้น่ะซี เวลาลงไปแล้วไปเหยียบนรก ว่านรกไม่มี นรกเผาเอาเสียแหลก คือประเภทที่ไปตกนรกนะมีหลายประเภท ประเภทที่กรรมหนักมากที่สุดก็มี ท่านก็บอกไว้ ใครจะเก่งยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก คนธรรมดาสามัญมาเป็นเจ้าของศาสนา สอนทั้งเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ได้ยังไง ตั้งแต่สอนตัวก็ยังพาตัวให้จมไป ไปสอนคนอื่นได้ยังไง

พระพุทธเจ้าเลิศเลอสุดยอดแล้ว หมดทางต้องติแล้วเป็นศาสดาเอกของโลก เห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างมาสอนมันก็ไม่ยอมรับ ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี มันไม่ยอมรับ ไม่เชื่อฟัง มันสร้างตั้งแต่บาปแต่กรรม ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัว พอตายลงไปแล้ว ร่างผีสวมเข้าทันที ร่างนรกอเวจีสวมเข้าทันที ในร่างมนุษย์ที่ยังไม่ตาย พอตายแล้วร่างเปรตร่างผีสวมเข้าไปทันที ควรเป็นเปรตเป็นเปรต ควรเป็นผีประเภทใดเป็น ควรตกนรกหลุมไหนๆ เป็นทันทีๆ เลย นี่เป็นอย่างงั้น แล้วใครไปแก้ไขได้ที่นี่ ก็เจ้าของเป็นผู้ทำขึ้นมาเองทำลายเจ้าของเอง แล้วจะไปตำหนิติเตียนผู้ใดว่ามาให้โทษให้กรรมแก่เรา ก็โทษแห่งความไม่เชื่อฟังผู้ท่านผู้ดิบผู้ดีท่านผู้หูแจ้งตาสว่าง คือพระพุทธเจ้ามันไม่ยอมเชื่อ มันถือว่าเป็นของดิบของดีตั้งแต่กิเลสตัณหา ความมืดบอดของมันเท่านั้น ตายแล้วโทษแห่งความมืดบอดไปแสดงในนรก ใครไปแก้ ใครไปถอนมันขึ้นมามีไหม ใครไปเอาสัตว์นรกขึ้นมาเหมือนอย่างเขาติดคุกติดตะราง ไปติดคุกติดตะรางที่ไหน ไปลากไปเข็นกันออกมาได้ไหม ไม่ได้ ต้องสิ้นกรรม สิ้นอายุของกรรมของมันนั่นแหละ เช่นติดคุกติดตะรางกี่ปีก็ต้องให้สิ้นปีนั้นแล้วถึงจะออก เจ้าหน้าที่เขาก็ปล่อยออกมาเอง นั่นเป็นอย่างงั้น

ทีนี้ในเมืองผีก็กรรมของเรานั่น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผู้เหนืออำนาจบังคับเราทั้งหมด ลงในนรกกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะฟื้นขึ้นมา เรายังดูถูกพระพุทธเจ้าว่านรกไม่มี แล้วใครไปตกนรก นั่น เป็นอย่างนั้นนะ นี่ผู้มันหนามันหนาอย่างนั้นนะ เวลานี้ยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ นะ เรื่องกิเลสหนาแน่นในหัวใจของสัตว์ ลากเข็นสัตว์โลกให้ลงในนรกทั้งเป็น ๆ มีอยู่ทุกแห่งทุกหน เราอย่าเข้าใจว่านรกเมืองผีโดยถ่ายเดียว นรกเมืองคนที่สร้างความชั่วช้าลามกเป็นฟืนเป็นไฟเผากัน และเผาตัวเองมีเกลื่อนอยู่นี่

นี่นรกเมืองคนดูเอา ไปที่ไหนก็มี แล้วมิหนำซ้ำยังมาเป็นสักขีพยานอีก ไปที่ไหนก็มีเรือนจำเห็นไหมล่ะ เรือนจำขังนักโทษ มันไม่มีคุณมีแต่โทษขังเอาไว้นั่น จนกระทั่งมันพ้นโทษขั้นนั้นออกมา นี่แหละนรกเมืองมนุษย์ นรกเมืองผียิ่งเป็นไปอีกยิ่งกว่านี้ ตายลงไปแล้วตกนรกตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วฟื้นขึ้นมาแล้วกรรมชั่วนั้นมันทำเข้าไปอีกก็เป็นอีก ตกนรกหมกไหม้อีกกี่ครั้งกี่คราวไม่คำนึง

ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำ พินิจพิจารณาเสีย เวลานี้เราอยู่ในท่ามกลางแห่งสิ่งเหล่านี้ อ้าว ทางเมืองเทพ-เมืองพรหมก็มีเหมือนกัน ผู้สร้างคุณงามความดี พอตายลงไปนี้ภาพแห่งเมืองเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม จะสวมจิตใจดวงมีบุญมีกุศลนั้นทันที ๆ จึงไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ในพรหมโลกชั้นนั้นชั้นนี้ได้เพราะอำนาจแห่งบุญกรรมของตนที่สร้างไว้แล้วนั้นแล นี่เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เราอย่าไปเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าถ้าไม่อยากจมทั้งเป็น จมทั้งเป็นไม่มีวันฟื้น ใครจะเลิศเลอ เฉลียวฉลาดยิ่งกว่าศาสดา โลกวิทูผู้รู้แจ้งโลกทั้งภายนอกภายในตลอดทั่วถึงก็คือศาสดา นำมาสอนโลกในธรรมที่เหมาะที่ควรแก่สัตว์โลกก็คือศาสดา

พวกเราที่สอนตนเองไม่เห็นได้เรื่องได้ราว เถลไถลไปโน้น เถลไถลไปนี้ มันไม่ได้เป็นไปตามความสัตย์ความจริง แล้วจะไปสอนใคร แล้วยังจะมาเชื่อตัวเองอีก ก็พากันจมอีก ขอให้พากันปฏิบัติ จิตใจนี้เป็นสิ่งที่กว้างขวาง มีความสว่างกระจ่างแจ้งมาก จิตใจพระพุทธเจ้าเป็นพุทธภูมิ จิตใจของสาวกทั้งหลายสว่างกระจ่างแจ้งรองกันลงมาๆ มองเห็นหมด แล้วทีนี้พวกเรา พวกหูหนวกตาบอดไปอวดตนอวดตัวว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ให้ท่านเหล่านี้ผู้มีความเฉลียวฉลาดหูแจ้งตาสว่างจ้าอยู่ทั้งวันทั้งคืนนี้ฟังท่านจะฟังได้ยังไง นอกจากท่านมีความสลดสังเวชต่อความมืดบอดของพวกเราเท่านั้น จะให้ท่านมายอมพวกเราที่มืดบอด ก็เหมือนกับคนตาดีมายอมคนตาบอดได้ยังไง ให้คนตาบอดไปจูงคนตาดีเราเคยมีไหม ต้องเป็นคนตาดีไปจูงคนตาบอด มันจึงจะพ้นภัย

อันนี้ให้คนโง่คลังกิเลสๆ สัตว์นรกนั้นไปจูงพระพุทธเจ้ามันเคยมีไหม นี่พระพุทธเจ้าพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาสอนพวกเรา ถ้าหากว่าให้ตัดสินใจหรือให้พิจารณาตัวเองทุกคน ๆ หัวใจเราเวลานี้มันเสี่ยงอยู่ในทางหลายแพร่งนะ ไม่ว่าจะไปทางเปรต ทางอสุรกาย ทางนรก ทางสัตว์เดรัจฉาน มันแล้วแต่กรรมของเจ้าของจะทำ การที่ทำกรรมดีชั่วนี้ ต้องขึ้นอยู่กับจิตใจที่ผลักดันให้ทำ ถ้าได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมมันจะชอบทำคุณงามความดี ทำบุญให้ทาน ละเว้นสิ่งที่บาปชั่วช้าลามกทั้งหลาย มันก็ไม่ไปในอบายภูมิทั้ง ๔ นี้

ถ้าจิตมีความรักชอบแต่ความชั่วช้าลามกแล้ว ตายแล้วก็ไปนรก ๑  เปรต ๑  อสุรกาย ๑ สัตว์เดรัจฉาน ๔ ธรรมชาติ ๔ แห่งนี้เป็นที่ที่มนุษย์เราจะไปตกจนได้แหละ ไม่มีจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์ใดที่สอนไว้ ว่าเปรต นรก สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ สัตว์ทั้งหลายเกลื่อนอยู่แล้ว เรายังจะลบอยู่หรือสัตว์ทั้งหลาย หรือเราอยากจะไปสมัครเป็นสัตว์ทั้งหลาย ในนรก เปรต อสุรกายนั้นอีก ตั้งแต่เป็นมนุษย์นี้ มันก็ทุกข์พอแล้ว ยังจะไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่อีก แล้วมันก็ยิ่งหนักเข้าไป ให้พิจารณาตนเองตั้งแต่บัดนี้นะ หัวใจเวลานี้กำลังอยู่ในทาง ๔ แพร่งนะ มันจะไปทางไหนทาง ๔ แยก ๔ แพร่ง ให้เราคิด ทางที่ดีเราก็เป็นตัวของเราเองทำ ทางที่ชั่วก็เราเองจะเป็นผู้ทำ

เมื่อได้ยินคำสอน ซึ่งเป็นคำสอนของศาสดาองค์เอกไม่มีผิดมีพลาดแล้วนำไปปฏิบัติยิ่งจะมีความสงบร่มเย็นแก่จิตใจ ดังที่เทศน์ตะกี้นี้ถึงเรื่องการภาวนา การภาวนานี้จะทำความรู้ให้เบิกกว้างออกไปโดยลำดับลำดา ที่เราเรียนมาตามตำรับตำรายกไว้ เรียนจบคัมภีร์ไหนก็มีแต่ความจำๆ ไม่ปรากฏผลภายในจิตใจให้ประจักษ์ใจได้เลย เหมือนภาคปฏิบัตินะ เรียนเท่าไรก็ได้แต่ความจำ ท่านว่านรกก็จำได้แต่ชื่อนรก ไม่เคยเห็นนรก ท่านเขียนไว้ว่าสวรรค์ก็จำได้แต่ชื่อสวรรค์ เราไม่เคยเห็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ก็จำได้แต่ตามตำรับตำรา เราไม่เคยเป็นพรหมโลก นิพพาน ต่อเมื่อได้มาปฏิบัติตัวเอง ปรับปรุงตัวเองไปตามแถวแนวแห่งธรรมที่ท่านสอนไว้แล้วนี้ แล้วสิ่งเหล่านี้จะค่อยปรากฏขึ้น ๆ โดยลำดับลำดาในหัวใจของเราเอง ที่มันเคยโง่ ๆ มานั้นแหละ

เวลาเปิดกิเลสตัณหาตัวมืดตัวบอดออกไปด้วยธรรม ชะล้างๆ เข้าไป เฉพาะอย่างยิ่งด้วยจิตตภาวนา นี่เห็นผลประจักษ์ๆ รวดเร็วทีเดียว แล้วจิตใจจะค่อยสว่างไสวเบิกกว้างออกไป ๆ ที่ท่านพูดว่า บาปมี บุญมี ไปถามที่ไหน มันเกิดอยู่กับเรา ให้เห็นอยู่นี้ นั่น เวลาจิตมีความสว่างกระจ่างแจ้งแล้วอะไรกระเพื่อมขึ้นมารู้หมด ไม่ว่าบาป ว่าบุญ มันจะเกิดขึ้นที่ใจ แสดงที่ใจ รู้ที่ใจ เห็นที่ใจ ละที่ใจ นั่น ที่ว่านรก เปรต อสุรกาย ดูที่ใจนี้กระจ่างไปหมดเลย นี่ตาพระพุทธเจ้า กับตาพวกเรามันต่างกันยังไงบ้าง พิจารณาซิ เราจะมาเชื่อตั้งแต่ของเราที่ฝ้าๆ ฟาง ๆ นี้เหรอ ตาพระพุทธเจ้าไม่ยอมเชื่อกันบ้างหรือ แล้วมันจะจมกันทั้งโลกนี่นะ

ถ้าไม่เชื่อธรรมพระพุทธเจ้าเท่านั้นจมได้ไม่ต้องสงสัย ยิ่งอวดตนเก่งกว่าพระพุทธเจ้าด้วยแล้วจม ไม่สงสัย   นี่ละตาพระพุทธเจ้า ตาสาวกรองกันลงมา บาป บุญ นรก สวรรค์ ท่านจ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้ว ท่านจะไปถามใคร พระพุทธเจ้าไม่ถามหาบาป บุญ นรก สวรรค์ พระสาวกทั้งหลายท่านไม่ถามหาบาป บุญ นรก สวรรค์ เพราะเห็นอยู่แล้ว ประจักษ์อยู่ในหัวใจนี้แล้ว เนื่องจากใจนี้ อาโลโก อุทปาทิ  สว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดเวลา ท่านจะไปถามใครให้สงสัย ไอ้พวกเราตาบอดนี่ซี อวดตนว่าดิบ ว่าดี ว่ารู้ ว่าฉลาด ตายแล้วจมด้วยกัน จมด้วยกัน เพราะความโง่ของกิเลสนั้นแลมันอวดตนว่าฉลาด ทำตัวเป็นผู้ฉลาด สร้างแต่ความชั่วช้าลามกแล้วก็เผาตัวเองๆ 

ให้พากันพินิจพิจารณานะบรรดาพี่น้องลูกหลาน วันนี้หลวงตามีโอกาสได้มาเทศนาว่าการให้ท่านทั้งหลายฟัง การมาเทศนาว่าการนี้ไม่ว่าจะเทศน์ที่ไหน เท่าที่เทศน์ในคราวที่ช่วยชาติบ้านเมืองนี้ เรียกว่าเทศน์มากที่สุดแล้ว เป็นเวลากำลัง ๖ ปีมานี้ สอนคนทั้งประเทศ วันหนึ่งเทศน์กี่กัณฑ์ๆ มาจนกระทั่งบัดนี้นานสักเท่าไร  เราไม่ได้ไปหาหยิบหายืมเอาตามแบบตามแผน ตามคัมภีร์ใบลาน ไม่ไปหาเอาที่ไหน

พูดแล้วสาธุ เราเรียนมาแล้ว รู้มาแล้ว เคารพมาแล้ว แต่นี้เรามาปฏิบัติตามธรรมที่ในปริยัติท่านสอนไว้ให้ปฏิบัติ เราก็มาปฏิบัติตามนั้น จึงปรากฏผลขึ้นเป็นที่แน่ใจขึ้นมาเป็นลำดับ แน่ใจขึ้นมาตั้งแต่จิตว้าวุ่นขุ่นมัวแต่ก่อน กลายเป็นจิตที่สงบเย็นใจขึ้นมาภายในตัวเองโดยไม่คาดไม่ฝันก็เห็นขึ้นมาๆ และกระจ่างขึ้นมาอัศจรรย์ขึ้นมา เอ้าขั้นนี้ก็ว่าอัศจรรย์ เอ้าขั้นนั้นขึ้นมายิ่งอัศจรรย์กว่านี้ขึ้นไปอีก เพราะการบำเพ็ญธรรมทำจิตใจของเราให้สว่าง สว่างขึ้นมาๆ ตั้งแต่พื้นแล้วก้าวไปโดยลำดับลำดาสูงขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป จนกระทั่งสว่างจ้าหมดเลยภายในจิตใจ ไม่มีอะไรสงสัยแล้วในแดนโลกธาตุนี้ ใจรู้เห็นหมดแล้ว แล้วจะไปหาลูบคลำที่ไหนเมื่อใจรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

นั้นละพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างงั้น นี้สาวกทั้งหลาย และประชาชน หรือพระเณรใครก็ตามถ้าปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นอย่างนี้เป็นลำดับลำดา ดังที่ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราสอนด้วยความแน่ใจทุกอย่าง ไม่ว่าธรรมะขั้นใดที่สอนโลก ขั้นใดเราสอนด้วยความแน่ใจ มั่นใจ แม่นยำในใจของเรา ไม่สงสัยในธรรมตรงนั้นว่าจะผิดไป ธรรมขั้นใดก็ตามสอนเต็มอรรถเต็มธรรมที่กระจ่างแจ้งอยู่ภายในจิตใจนี้หมดแล้ว นี้เป็นยังไง มรรค ผล นิพพาน มีหรือไม่มี หรือให้กิเลสกลืนเอาหมดแล้วหรือว่ามรรค ผล นิพพาน ไม่มี มีแต่กิเลสกองเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกธาตุ เอาไฟเผาสัตว์โลกอยู่งั้น นั่นหรือเป็นของดี

ส่วนอรรถธรรมที่เป็นน้ำดับไฟระงับกิเลสทั้งหลายนั้น ว่าหมดเขตหมดสมัยไปแล้ว เห็นไหมกิเลสมันทำลายธรรม เพื่อมันจะก้าวเดินเอาไฟมาเผาหัวสัตว์โลก เรายังไม่รู้ตัวกันอยู่หรือทั้งๆ ที่ธรรมท่านสอนอยู่เวลานี้ ต้องเอาให้จริงให้จัง ระงับดับกิเลสตัวหลอกลวงต้มตุ๋นนี้ไม่มีใครเกินกิเลส เอ้า เอากันให้มันขาดลงไป เมื่อจิตได้จ้าขึ้นมาแล้วถามหาอะไร ไม่ต้องถามหาอะไร มันรู้อยู่ภายในจิตใจ ผลจากการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการสอนโลกเราจึงไม่เคยสะทกสะท้าน ไม่ว่าจะเป็นโลกใด เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ไม่เหนือธรรม ธรรมเหนือหมดแล้ว สอนไปตามเหตุตามผลที่ควรผู้ที่มาเกี่ยวข้องนั้นจะได้รับประโยชน์มากน้อยก็สอนไปตามนั้น ถ้าพอควรที่จะถึงนิพพานสอนทันทีให้ถึงนิพพาน หัวใจนี้มันเป็นนิพพานสดๆ ร้อนๆ แล้วจากการปฏิบัติมาตามธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านหลอกโลกที่ไหน

เราปฏิบัติรู้แล้ว ยอมรับท่านกระจ่างแจ้งไปหมด สิ่งที่เคยสงสัยทั้งหมดหายสงสัยกันทั้งหมดไปเลย นี่ลบกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ จากภาคปฏิบัติในธรรมของพระพุทธเจ้า จึงว่าศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า คือ ตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน อย่าพากันมัวเมาเกาหมัดอยู่เฉยๆ นะ วันหนึ่งคืนหนึ่งอยู่เฉย ๆ ลมหายใจฝอด ๆ พิจารณาดูตัวเอง ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ก็หาที่ไปไม่ได้ งงงันอั้นตู้เหมือนไก่ตาแตก นี่คือจิตใจมันโง่ด้วยกิเลส ยิ่งผู้สร้างความชั่วช้าลามกไว้แล้ว พูดถึงเรื่องความเป็นความตายนี้เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่อยากพูด ต้องเอาเรื่องเพลิดเรื่องเพลิน เรื่องอื่นเรื่องใดเข้ามากลบไป พอผ่านไป ๆ

ผู้ที่ทำคุณงามความดีไม่เป็นอย่างนั้น เบื้องต้นเรื่องความตายก็ กลัว ๆ ปฏิบัติเข้าไปๆ ความกล้าหาญต่อความตาย เพราะเรามีหลักยึดแล้วเราก็ไม่กลัว ๆ เรื่อยไป สุดท้ายความตายเป็นมิตรเป็นสหายกัน เห็นเป็นตามความจริงด้วยกันหมด แล้วคำว่ากลัวว่ากล้าไม่มี ผ่านพ้นไปด้วยกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา พ้นไปแล้วหมด นี่ท่านไม่ได้ตื่น ธรรมเหล่านี้ปฏิบัติแล้วธรรมพระพุทธเจ้านั่นน่ะมีหรือไม่มี พิจารณาซิ เราจะให้กิเลสมันหลอกอยู่เหรอ

ศาสนาเต็มบ้านเต็มเมือง ในวัดในวา ในบ้านในเรือนมีแต่คัมภีร์ของศาสนา แต่มันไม่เคยสนใจปฏิบัติล่ะซี มีแต่ฟังแล้วก็เอามาโอ้มาอวดกัน ว่าเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เอาความจำมาอวดกัน กิเลสเต็มหัวใจไม่เคยถลอกปอกเปิกจากความจำนั้นเลย นี่มันผิดกันอย่างนี้นะ เรียนได้มากเท่าไรยิ่งเสริมกิเลสให้มากขึ้นๆ  เพราะไม่ปฏิบัติตามที่เรียนมา แต่ท่านผู้เรียนมาด้วยความมุ่งหวังที่จะปฏิบัติตนนั้นยกให้ ยอมรับ เพราะท่านแสดงไว้แล้วเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เรียนแล้วต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วต้องได้รับผล นี่คือศาสนาที่สมบูรณ์แบบ

ศาสนาที่ขาดอยู่เวลานี้ ขาดบาทขาดตาเต็งก็คือพวกเรานี้ละ มีตั้งแต่เรียนเฉย ๆ ไม่สนใจปฏิบัติ แล้วศาสนาจะเต็มยังไง เมื่อไม่มีปฏิบัติ ปฏิเวธคือความรู้แจ้งแทงทะลุ ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติก็ไม่มี ถ้าอยากให้เห็นผลของศาสนาพระพุทธเจ้าว่าเต็มบาทเต็มเต็งตามที่ทรงแสดงไว้แล้ว เรียนแล้วให้ปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็จะได้เห็นผลเป็นลำดับลำดา ถึงนิพพานไม่ต้องถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้วว่า จะเป็นผู้รู้เอง เห็นเอง จากการปฏิบัติของตน นั่น

นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าท้าทายตลอดเวลา แต่เวลานี้กิเลสมันเหยียบธรรมนะ ไปที่ไหนธรรมแทบไม่มี มีแต่กิเลสออกหน้าออกตา ที่ไหนกิเลสเป็นตัวอำนาจวาสนากว้างขวางมากนะ ไปที่ไหนออกหน้าออกตา ดีไม่ดีคนจะไปวัดไปวานี้กิเลสมันพูดถากถาง พูดเยาะเย้ย นี่เขาจะไปวัดไปวานะ เขาจะไปสวรรค์-นิพพานแล้วนะ พวกเราอยู่ไปตามบุญตามกรรมของเรานี้แหละ นี่เห็นไหม เราไม่มีบุญมากเหมือนเขา มันเป็นทุกอย่างนะกิเลส หายุแหย่ก่อกวนทำลายศาสนา ทำลายคนดีเป็นอย่างงี้ ให้จำเอานะ

ในหัวใจของเราก็เหมือนกัน ครั้นเวลาจะไปวัดไปวานี้ไม่ได้นะ วันนี้ไม่ว่าง อันนี้มีงานนั้น อันนี้มีงานนี้ แล้วจะไปหาอะไร ไปวัดไปหาอะไร แน่ะ ไปอย่างงั้นนะ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร มันลบล้างตัวอยู่ในตัวนั้นแหละ เรื่องกิเลสนี่มันหนาแน่นมาก ฉลาดแหลมคมมาก มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องจับมัน ธรรมนี้จับได้หมด มันจะออกมาแง่ใดมุมใด ธรรมจับได้หมด นี่เรียกว่าธรรม โลกุตรธรรมเป็นธรรมที่เหนือโลกอยู่แล้ว

จึงขอให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้เป็นข้อคิดข้ออ่านนะ ที่มาเทศนาว่าการเหล่านี้ หลวงตาไม่หวังเอาอะไรนะ สมบัติเงินทองที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคทานมามากน้อยนี้ จำนวนเท่าไรหลวงตามอบเข้าสู่คลังหลวง และทำประโยชน์ให้โลกโดยสมบูรณ์ โดยหลวงตาไม่แตะต้อง แม้บาทหนึ่งไม่เคยมีเลย บริสุทธิ์ถึงขนาดนั้นละ เพราะช่วยโลกด้วยความเมตตาสงสาร เดินซอกซอนไปที่นั่นที่นี่ลำบากลำบน คนทั้งหลายเขาอาจจะคิดว่าหลวงตานี้หากวนบ้านกวนเมือง ไปที่ไหนกวนนั้นกวนนี้ เอาห้า เอาสิบ ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ยุ่งไปหมดอย่างนี้ก็มี

แต่เราไม่สนใจ เพราะเราทำความดี ทำประโยชน์แก่โลกที่กำลังบกพร่อง หนุนกันเต็มกำลังความสามารถของเราที่จะทำไปได้แค่ไหน แล้วก็ก้าวเดินไปอย่างงั้น ให้ได้เรามีความหวังต่อสมบัติทั้งหลาย ที่ได้มารับบริจาคจากท่านทั้งหลาย มาเป็นเวลา ๖ ปีนี้ หลวงตาไม่เคยแตะ ไม่เคยสนใจ หลวงตาพอทุกอย่างแล้ว ในธรรมที่ท่านสอนไว้แล้วนั้นว่าไง ปฏิบัติตามนั้น เมื่อถึงขั้นพอแล้วพอ เรื่องจิตใจนี้ไม่มีความหิวความโหยอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นสภาพของโลกของสงสาร ใจเป็นความพอแล้วไม่เอาอะไรทั้งนั้น

เราสอนพี่น้องทั้งหลายช่วยพี่น้องทั้งหลาย เราช่วยด้วยความเพียงพอของใจเรา เราไม่มีความบกพร่องหิวโหยกับอะไรทั้งนั้น สอนโลกด้วยความพอแล้วทุกอย่าง เต็มเม็ดเต็มหน่วยในหัวใจ เป็นแต่เพียงเป็นห่วงเป็นใยกับพี่น้องทั้งหลาย จึงได้อุตส่าห์พยายามเดินซอกซอนไปที่นั่นที่นี่เรื่อยไปอย่างนี้ละ ขอให้พากันทราบเอาไว้ นี้ละหลักของพุทธศาสนาที่ปฏิบัติมาแล้วภูมิใจขนาดไหน ประกาศท้าทายได้กับกิเลสตัวสกปรก อย่างแต่ก่อนความหิวโหยโรยแรงเราก็มีเต็มหัวใจ เวลานี้ไม่มีเลย ตั้งแต่ขณะที่กิเลสพังลงจากหัวใจแล้ว ไม่เคยปรากฏว่ากิเลสตัวใดเข้ามายุแหย่ก่อกวนให้ได้รับความทุกข์ภายในใจเลย ไม่มี

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย ทีนี้ความหิวความโหยก็ไม่มี มันหิวโหยก็คือกิเลสนั่นแหละเป็นเครื่องยุแหย่ก่อกวน จึงขอให้พากันอุตส่าห์พยายาม ให้ระมัดระวังตัวนะ ให้สร้างความดี อย่าเห็นความชั่วเป็นของดีนะมันจะเลวกันหมด นั่นละโลกทั้งโลก หรือเรากลัวว่านรก สวรรค์มันจะคับแคบไปหรือ เราจะไม่ไปตกนรก พวกนรกมันเต็มไปแล้ว มันคับแคบไปแล้ว เราสนุกทำบาปทำกรรม ทำลงไปแล้วก็เรียกว่าไม่ได้ไปตกนรก ไม่ได้รับผลแหละ เพราะนรกมันเต็มไปหมด อย่าหวังนะ  ขอให้ทำลงไปเถอะมากขนาดไหนๆ มันจะไม่มีเหลือ จมด้วยกันทั้งนั้นๆ 

วันนี้แสดงธรรมให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้คิดได้อ่านบ้างนะ เรื่องศาสนานี้สำคัญมาก เลิศเลอมาแต่ดั้งเดิม แต่ถูกกิเลสปกคลุมเอาไว้เสียหมด ศาสนาเลยเป็นของครึของล้าสมัย  กิเลสเป็นของทันสมัยไปหมด โลกทั้งหลายจึงสนุกทำบาปทำกรรม มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนทั่วหน้ากัน เพราะกิเลสมันดัดสันดาน ก็ยังไม่เห็นโทษของมันพอที่จะนำธรรมเข้ามาชะล้างมัน

เอาละวันนี้ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุ แก่ขันธ์ แก่กาลเวลา งานของเรานี้เป็นงานที่มีเกียรติมากนะวันนี้ มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านอุตส่าห์มาเยี่ยม แล้วก็ท่านผู้เป็นหัวหน้า ก็พาพี่น้องทั้งหลายบำเพ็ญกองการกุศลผลประโยชน์แก่ชาติไทยของเรา นี้ละสมบัติที่ท่านทั้งหลายบริจาคนี้จะเข้าสู่คลังหลวงของเรา เพราะคลังหลวงเป็นหัวใจ คนไทยทั้งชาติหายใจจากคลังหลวง ถ้าคลังหลวงบกพร่องเสีย หายใจก็ไม่สะดวกกัน นี้คลังหลวงหนุนเข้าไปๆ ดังที่รับบริจาคจากท่านทั้งหลายนี้จะนำเข้าสู่คลังหลวง ให้ลมหายใจของพี่น้องชาวไทยเต็มปอดทั่วหน้ากัน เราจะมีแต่ความสงบร่มเย็น

แล้วประพฤติศีลธรรมให้มีประจำวันนะทุกคน ๆ ชาวพุทธเราเหลวไหลมากเวลานี้ เราขอพูดตามความสัตย์ความจริง ไม่ได้พูดแบบดูถูกเหยียดหยามนะ มันบกพร่องตรงไหนก็บอกบกพร่อง บกพร่องเพื่อให้สมบูรณ์นั่นเอง ศีลธรรมบกพร่อง เรื่องของกิเลสจะเพิ่มขึ้น ๆ เมื่อศีลธรรมดีขึ้นกิเลสจะยุบยอบลงไป นี่แหละที่ว่าตำหนิ ตำหนิเพื่อก่อ เพื่อส่งเสริม ไม่ได้ตำหนิเพื่อทำลาย จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้เข้าอกเข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติ พอเป็นที่ระลึกบ้างว่าวันนี้หลวงตาบัวได้มาเทศนาว่าการ สอนพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย วันนี้เข้ามาสู่ที่สถานที่นี่แล้ว เราก็เป็นคนไทยด้วยกัน เราได้ยินได้ฟังอรรถธรรมเสมอหน้ากันแล้ว ขอให้นำธรรมนี้เข้าไปประพฤติปฏิบัติ ให้ได้สร้างคุณงามความดีประจำแฝงกันไป กับเรื่องกับหน้าที่การงานของเรา อย่าให้แต่กิเลสกอบโกยเอาไปกินหมด เรานี่ท้องแห้ง ๆ จิตใจไม่มีธรรมเรียกว่าคนท้องแห้งนั่นเอง เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ.

  

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก