เดินตามธรรมต้องบังคับตัวเอง
วันที่ 10 ธันวาคม 2546 เวลา 13:00 น.
สถานที่ : ธรรมวารีสถาน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ธรรมวารีสถาน .บางคล้า .ฉะเชิงเทรา

เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [บ่าย]

เดินตามธรรมต้องบังคับตัวเอง

 

       พวกนี้มาแล้วนะนี่ พอว่าจะเทศน์มาแล้วพวกรบกวนนี่ อะไรก็ไม่รู้ ไปไหนมีแต่อันนี้ พวกรบกวน ภาษาธรรมะท่านเรียกว่าพวกเทวทัต ไอ้พวกหาถ่ายรูป พอจะนั่งปั๊บนี่ถ่ายปุ๊บปั๊บ ยุ่งที่สุดคือพวกถ่ายรูป เข้าใจหรือยัง ทางศาสนาเขาเรียกว่าพวกเทวทัต พวกกวน ยิ่งเวลากำลังเทศน์ด้วยแล้ว พาบเลย มาอย่างงั้นนะ มีบ่อยๆ เราเคยได้ว่าเสมอ อยู่เฉยๆ ดูเฉยๆ ไม่ได้เหรอ ไม่ถ่ายกล้อง ใครๆ เขามีตาด้วยกันเขาไม่เห็นมีกล้องมา เขาก็ยังดูได้ ฟังได้

       ครั้งพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เห็นมีกล้องมีแกล้งอะไร สำเร็จไปเรื่อยๆๆ พ้นทุกข์ พวกเราไปไหนสะพายกล้องเต็มคอ เหมือนขิกเหมือนขอ บนคอวัวคอควาย ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร การเทศนาว่าการเป็นเรื่องของอรรถของธรรม เป็นสิ่งที่ละเอียดสุขุมมากนะ ไม่ใช่เรื่องรุ่มร่ามๆ ดังที่กิเลสมันพาสัตว์โลก จูงสัตว์โลกรุ่มร่ามๆ อยู่เวลานี้ ตามีกี่ตาก็ตาม ใสกว่าตาแมวก็ตาม เวลากิเลสได้จูงเข้าแล้ว มันตาบอดหมดนั่นแหละ ไม่มีใครตาใสเลย ตาธรรมดูเห็นหมด จึงเรียกว่าตาเลิศตาเลอ จกฺขÿ อุทปาทิ   ญาณํ อุทปาทิ   ปญฺญา อุทปาทิ   วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ นี่ตาพระพุทธเจ้า ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างงั้น

       วันนี้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้มาจากทางใกล้ทางไกล เต็มไปด้วยศรัทธาหนาแน่นที่มาที่นี่ หลวงตาก็กลัวว่ามารจะเข้ามารบกวน และมาทำลายกองธรรมของท่านทั้งหลายให้ล้มเหลวไปหมด ก็เลยปราบมารให้ตะกี้นี้ เข้าใจไหม ปราบมารตะกี้นี้ หรือว่าหลวงตาบัวดุหรือ หลวงตาเป็นทหารธรรมปราบมารให้ท่านทั้งหลายต่างหาก ไม่อย่างงั้นพวกนี้หมอบราบไปหมด มารมันจะเอาแหลก ก็รีบปราบมารน่ะซี เพราะเราเข็ดกับมารมานานแล้ว นี่ไม่พากันเข็ดบ้างเลย

       วันนี้ก็ตั้งแต่ตื่นเช้าไม่มีเวลาว่างเลย ติดๆๆ เรื่อยมา ตลอดมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ แล้วก็มาเพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ หนักขนาดไหนก็ต้องทนทุกข์ทรมานมาเพื่อพี่น้องชาวไทยเรา เราจึงอดจึงทน วันนี้จะว่าเทศน์หรือไม่เทศน์ ต่างคนต่างมีหูก็ฟังเอานะ ผู้มีปากนี้ก็จะเทศน์จะว่าไปอย่างงี้ละ ให้พากันฟัง อะไรเป็นคติเครื่องเตือนใจให้นำไปปฏิบัติ วันนี้เรามาเสาะแสวงหาธรรม ท่านทั้งหลายก็ต่างท่านต่างอุตส่าห์พยายามสละทุกสิ่งทุกอย่างสมบัติเงินทองข้าวของ หน้าที่การงานทุกประเภท ที่เคยจัดทำตามสถานที่ต่างๆ หรือบ้านเรือนของตนก็ได้สละมาหมด เพื่อจะสั่งสมสมบัติคือธรรมเข้าสู่ใจวันนี้ด้วยความสงบ

เพราะใจของเราไม่เคยมีเวลาสงบ มันว้าวุ่นขุ่นมัวตลอดเวลา ตาก็วุ่น หูก็วุ่น จมูกก็วุ่น ปากก็วุ่น กินไม่หยุดไม่ถอยคือปาก ตัวนี้ตัวยุ่งมาก แล้วจิตใจก็ยุ่ง ไม่มีเวลาสงบ เวลานี้ต้องการความสงบ จึงไม่อยากให้อะไรเข้ามารบกวนเพื่อจะฟังอรรถฟังธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา สงบเงียบ สละออกมาจากหอปราสาทราชมณเทียร ที่โลกถือกันว่ามีราค่ำราคานั้นแหละ ออกไปสู่สถานที่โลกเขาไม่พึงปรารถนาเลยในป่าในเขา ยกมาเพียงเอกเทศ เช่นอย่างป่าอิสปตนมฤคทายวัน อย่างนี้เป็นต้น นี่เพียงเอกเทศเดียวนะ ในป่าที่พระพุทธเจ้าและบรรดาพระสงฆ์ที่บำเพ็ญ ได้ของเลิศของเลอออกมาแจกพวกเรา

       ท่านสละสิ่งที่กิเลสเห็นว่าเลิศว่าเลอ ออกไปปฏิบัติธรรมในสถานที่กิเลสสาปแช่ง ไม่ดิบไม่ดี ไม่พึงปรารถนา คือในป่าในเขา ความอดอยากขาดแคลน ความทุกข์  ความยากลำบากทรมาน ทางตาก็ไม่เห็นสิ่งที่เพลิดเพลิน หูก็ไม่ได้ดมกลิ่น จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่ได้ทำงานจั๊บ แจ๊บ กินห้ากินสิบ กินตลอดเวลาอย่างที่กิเลสพากิน ไปอยู่ที่นั่นไม่ได้กินอะไรแหละ ไปบิณฑบาตก็ขอทานเขามากิน เพราะสมัยนั้นพุทธศาสนาไม่มี แต่ประเพณีของการสงเคราะห์ให้ทานมีมาดั้งเดิม พระองค์ก็เสด็จไปบิณฑบาตตามนั้น มาบำเพ็ญในสถานที่ที่โลกไม่พึงปรารถนา และได้ธรรมอันเลิศเลอขึ้นมา

       อย่างที่ว่า จกฺขÿ อุทปาทิ    ญาณํ อุทปาทิ ก็เหมือนกัน เกิดขึ้นในสถานที่เช่นนั้นนะ จักขุญาณเกิดขึ้นแล้ว พวกญาณ พวกวิชชาความรู้ วิมุตติหลุดพ้น ความสว่างกระจ่างแจ้งได้เกิดขึ้นแล้วๆ แก่เราตถาคต ท่านแสดงท้าทายเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ขอให้เป็นที่แน่ใจ เรามาจากสถานที่นั้น เราได้สำเร็จธรรมอันเลิศเลอขึ้นมา ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณคือความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากทุกข์ที่สัตว์โลกเคยตายกองกันมากี่กัปกี่กัลป์นั้น เราได้หลุดพ้นแล้วไม่มีการกำเริบอีก อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราที่เคยตายกองกันมา บัดนี้สลัดทิ้งโดยประการทั้งปวง มีแต่เรื่องวิมุตติหลุดพ้นคือบรมสุข ครองหัวใจของเรานี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น

       นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปนี้เราจะไม่กลับมาเกิดแบกกองทุกข์ จับจองป่าช้าในที่ต่างๆ ทั่วโลกดินแดนอีกต่อไป พระองค์ทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านแสดงอย่างนี้ ได้ออกมาจากในป่าในเขาลำเนาไพรที่กิเลสไม่พึงปรารถนานั้นแล ท่านได้มาสอนโลก ทีนี้เมื่อเวลานำธรรมมาสอนโลก โลกเขาเคยเป็นยังไงๆ มันก็ต้องเป็นโลกอยู่อย่างงั้น จึงต้องสอนยากสอนลำบาก ถ้าผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจะยากลำบากก็บึกบึนตามกำลังความสามารถ เช่น พี่น้องทั้งหลายได้สละเวล่ำเวลามาในวันนี้ก็ด้วยอำนาจแห่งความรักชาติ ความรักศาสนานั้นแล ทำให้สละสิ่งที่รักชอบของตน สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยรักสงวนทั้งนั้น แต่ก็ได้สละออกมาเต็มกำลังความสามารถของตนๆ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน

       จนกระทั่งเวลานี้เพื่อช่วยชาตินะ เพราะชาติเป็นของเรา ไม่มีใครมาจับจองเอาชาติไทยนี้ไปเป็นชาติของตัวได้ ก็คือเรามีสิทธิ์เต็มตัว เป็นชาติไทยเต็มตัว มีอำนาจเต็มตัวที่จะรักจะสงวน ที่จะบำรุงรักษาเต็มตัวเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าชาติมีความบกพร่อง เอนเอียง และต่างท่านต่างก็มีความรักชาติอยู่แล้ว ก็ต่างคนต่างเสียสละเต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลานี้ผลแห่งความรักชาติ ผลแห่งความเป็นเจ้าของของเราผู้บำรุงรักษา ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับลำดา ทองคำก็ได้ร่วมเข้า ตันแล้วเวลานี้ หลวงตาด้นเดาเอาเสียก่อนตอนนี้ เพราะกำลังรวบรวมทองคำอยู่

       ทองคำที่รวบรวมเวลานี้ ผลได้มาจากการทอดกฐินรวมคนทั้งชาติ ตั้งจุดศูนย์กลางที่วัดป่าบ้านตาดได้ทอดผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้จึงรวบรวมผลของกฐินเข้ามา แล้วจะมอบคลังหลวงในวันที่ ๒๖ เดือนนี้ เวลานี้จึงกำลังรวบรวมโดยลำดับลำดา จึงยังเรียนอะไรไม่ได้ ที่ยังเหลืออยู่นั้น ที่ได้มาแล้วก็ประมาณนะ แต่ที่มันจริงอยู่แล้วมันก็อยู่ในบัญชีแล้ว มอบเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ที่เรามาพูดมันไม่แน่นอน ก็เลยเอาประมาณเข้าใส่ไป

       เวลามามอบนี้ก็จะมอบอย่างมาก ผิดกับครั้งทั้งหลายที่เคยมอบมา ครั้งเหล่านั้นมอบมาที่ ๔๐๐-๕๐๐ กิโลๆ เรื่อย ครั้งผ่านมานี้ได้ ,๐๐๐ กับ ๒๕ กิโล ได้มอบไปเรียบร้อยแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งกฐินของคนทั้งชาติ ต้องแสดงความสามารถให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่าให้แพ้ครั้งที่แล้วซึ่งเป็นเรื่องของชาวไทยด้วยกัน แต่ไม่มีงานการหนักหนาอะไรพอเด่นดวงซึ่งควรจะได้ทองคำมามากขนาดนั้น ยังได้ทองคำมาตั้ง ,๐๒๕ กิโล ได้มอบไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้มีเหตุผลเต็มประเทศไทยของเรา ด้วยการเสียสละพร้อมเพรียงกัน จะนำมามอบเข้าคลังหลวงนี้ อย่างน้อยต้องให้มากกว่านี้ ,๐๐๐ กับ ๒๕ กิโลนี้ที่มอบแล้ว

       มอบคราวนี้จะให้ได้มากกว่านี้ จะมากเท่าไรนั้น จวนวันจะมอบก็จะประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบต่อไป แต่แน่ใจว่าจะมอบมากกว่านั้น เพราะถึงเวลาที่เราจะเด็ดเพื่อชาติไทยของเราแล้วเราต้องเด็ด เวลาอ่อนก็อ่อน เวลาธรรมดาก็ธรรมดา เวลานี้เป็นเวลาที่จะเด็ดให้เข้าสู่จุด เรียกว่าสนามชัยเราอยู่ที่ทองคำได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน นี่จึงก้าวเข้าๆ  ไป ตอนนี้ก็จวนแล้ว ตันนี้จวนเข้ามาแล้ว ส่วนดอลลาร์ก็ได้เกือบ ล้านแล้ว นี่ละที่ได้มาแล้ว

       สำหรับเงินสดนั้นเราก็เคยประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบในที่ต่างๆ เรื่อยมาจนปัจจุบันนี้ ว่าเงินบาทนั้นเราแยกออกมาซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเพียงสองพันล้านกว่าบาทเท่านั้น เรียกว่าไม่มาก ส่วนที่เราแยกแยะออกไปตามกิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ ของคนไทยทั้งประเทศ ได้แก่ทุกแห่งทุกหน ทุกตำบล ทุกภาค เรียกว่ากิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ ของคลังหลวงของเรา ที่เรียกว่าเป็นหัวใจของชาติ นี่เราแยกไปช่วยคนทุกข์คนจนสร้างสถานที่ต่างๆ เช่นสถานสงเคราะห์ และโรงร่ำโรงเรียน ที่ราชการต่างๆ ตลอดถึงโรงพยาบาล

       เวลานี้โรงพยาบาลที่เราได้ช่วยเหลือไปแล้วตั้ง ๒๐๐ กว่าโรงแล้ว หมดเงินมากที่สุดก็คือโรงพยาบาล เรียกว่าบรรดาที่เราออกช่วย กิ่งก้านสาขาทั้งหลาย กิ่งใหญ่ก็คือโรงพยาบาล หมดไปมากต่อมาก เพราะอันนี้มันมีหลายกิ่งหลายแขนง ในกิ่งใหญ่กิ่งเดียวนี้ ทั้งรถทั้งรา ทั้งเครื่องมือ ทั้งที่ทั้งฐาน ทั้งสร้างตึก ที่ก็ต้องซื้อให้ ถ้ามันคับแคบก็ซื้อขยาย ถ้าควรที่จะซื้อให้หมดทั้งบริเวณนั้นเลยก็ซื้อให้ นี่จึงเรียกว่าพิสดารและสิ้นเปลืองมาก ตึกก็เหมือนกัน ตามแต่ความจำเป็นของตึกแห่งโรงพยาบาลแต่ละตึกๆ ควรจะสิ้นเงินเท่าไร สมควรจะสร้างกว้าง แคบ สูง ต่ำ สั้น ยาว ขนาดไหนก็ตกลงกัน จึงไม่แน่นอน

       พูดได้แต่ว่าโรงพยาบาลนี้เรียกว่าพิสดารมากกว่ากิ่งอื่นๆ ทางราชการ โรงร่ำโรงเรียน เรียกว่ากิ่งทั้งนั้นเหล่านี้ คนไข้ที่ได้อาศัยทางวัดได้ช่วยเหลือรับเป็นคนไข้ๆ ของวัดๆ มาเรื่อยจนกระทั่งบัดนี้ คือเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นไปได้ด้วยกันหมดนั้นแหละ ตั้งแต่สัตว์อยู่ในบ้านในเรือน สัตว์น้ำสัตว์บกมันเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นแต่เพียงเขาไม่มีโรงพยาบาล เราเป็นมนุษย์จะอวดโลกเขาว่าตัวมีโรงพยาบาลเท่านั้นเอง ความจริงแล้วมันเป็นได้ด้วยกัน แต่เรามีโรงพยาบาลก็นำมาพูดสู่กันฟัง ว่าสิ้นเปลืองไปเท่านั้นเท่านี้ ปูปลาอยู่ในน้ำเขาสิ้นไปเท่าไร จับจ่ายเรื่องหยูกเรื่องยา ค่าหมอ ค่ายาอะไรอย่างนี้ เขาสิ้นไปเท่าไรไม่เห็นได้พูดถึง

            สัตว์เหล่านี้เขามีการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน เขาไม่มีโรงพยาบาล แต่เขาก็เป็นสัตว์มาได้ตลอดทั่วถึงจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ไม่เห็นสูญพันธุ์ ถ้ามนุษย์ไม่ไปทำลายเขาเสียอย่างเดียว แต่มนุษย์นี้ไปที่ไหนตั้งยุ่งไปหมด โรงพยาบาลก็ไม่น้อยเต็มประเทศไทย ในบ้านในเรือนยาประจำบ้านก็มี นอกนั้นยาประจำย่ามมี ประจำอยู่ในกระเป๋าก็มี ควักออกมา จามไม่ได้ พอจามฟิกแฟ็กอย่างนี้จะเป็นหวัดนะ คว้าเอายาอยู่ในนั้นมาแล้ว ขี้แยที่สุดคือมนุษย์เรา ไม่ได้พิจารณาตื่นเนื้อตื่นตัวอะไรบ้างเลย ควรรักษาก็รักษา

            ยาก็เคยมีแต่ครั้งพระพุทธเจ้าเราอยู่แล้ว แต่ไม่มีมาแบบที่พวกเราใช้อยู่ทุกวันนี้ อ่อนแอจนเกินไป จามฟิกนี่ให้ไปเรียกหมอ ถ้าหมอไม่มาเราต้องไป มันอ่อนเสียจนลืมเนื้อลืมตัว อะไรอ่อนไปหมด พึ่งแต่ผู้อื่น ไม่หวังพึ่งตัวเองเลยอย่างนี้ไม่ดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้พินิจพิจารณา ธรรมท่านว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนพึ่งตนเองบ้างนั้นแหละดี อย่าไปพึ่งตั้งแต่ผู้อื่นโดยถ่ายเดียว เมื่อเจ้าของยังพอมีความสามารถที่จะช่วยตัวเองได้แล้วให้ช่วยตัวเอง เอะอะๆ ก็หวังพึ่งแต่ผู้อื่น ให้แต่ผู้อื่นช่วย คนนั้นก็อ่อนแอ ท้อแท้ เหลวไหล สุดท้ายจิตใจก็โลเล หาหลักยึดไม่ได้นะ ให้พยายามช่วยตัวเอง

       อย่างที่มาวันนี้ท่านทั้งหลายมาบริจาคนี้ก็เรียกว่าช่วยตัวเอง บุญเป็นของพี่น้องทั้งหลาย สมบัติเงินทองนี้ไหลเข้าสู่คลังหลวงหนุนชาติไทยของเรา บุญเป็นของพี่น้องทั้งหลายที่บริจาคมากน้อยไม่ไปไหน นี่เรียกว่าตนช่วยตนเอง จากนั้นก็มาฟังอรรถฟังธรรมกับครูบาอาจารย์ เรียกว่าให้ครูบาอาจารย์ให้อรรถให้ธรรม ท่านช่วยเรา เวลาฟังธรรมก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจฟัง ฟังแล้วนำข้อคิดต่างๆ ที่ท่านแสดงเป็นอรรถเป็นธรรม  เป็นผลเป็นประโยชน์ นั้นไปปฏิบัติตามกำลังของตน ที่อยู่ในสถานที่ใด เพศใดก็ตาม ความจำเป็นที่หวังพึ่งธรรมนี้มีโดยหลักธรรมชาติ ไม่บอกว่าพึ่งก็ตาม เพราะธรรมนี้ปราศจากไม่ได้โลก โลกขาดธรรมเมื่อใดโลกต้องเป็นเถ้าเป็นถ่าน จะเจริญรุ่งเรืองหนาแน่นประการใด ร่ำลือขนาดไหนก็ตาม ถ้ามีตั้งแต่กิเลสแล้วร่ำลือเพื่อจะเผากันนั่นเอง เป็นเถ้าเป็นถ่านด้วยอำนาจของกิเลส แต่ถ้าเป็นธรรมแล้วประสับประสานกันเข้าได้ เยียวยาได้เหมือนสิ่งต่าง ที่เรานำมาใช้ ควรเย็บ เย็บ ควรปะ ปะ ควรชุน ชุน ควรซ่อมแซมเช่นบ้านเรือนเราซ่อมแซมได้ นี่เป็นอย่างนี้ เราช่วยตนเอง

       ทีนี้ฟังธรรมจากท่านแล้วก็ให้ไปปฏิบัติตัวเอง พอไปช่วยตัวเองก็เรียกว่าความเพียร เป็นหน้าที่ของเราจะต้องปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้แล้ว ดังที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงว่า ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา กิจการงานต่าง ที่เป็นความชอบธรรมแล้ว ให้เป็นหน้าที่ท่านทั้งหลายทำเอง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นแต่ผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น เช่นเดียวกับที่ว่าแปลนนั้นน่ะช่างเขามอบมาให้เรียบร้อยแล้ว แปลนหลังนี้เหมาะสมกับจะสร้างบ้านขนาดใดๆ แล้วนำแปลนมากาง และปฏิบัติตามแปลนนั้น ผลจะปรากฏขึ้นโดยลำดับลำดา

       เราอย่าให้แปลนไปสร้างบ้านให้เรา อย่าให้พระพุทธเจ้าไปสร้างมรรค ผล นิพพานให้เรา นั้นละพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้แนวทางคือศาสดาองค์เอก เราก็นำเอาอันนั้นมาปฏิบัติ เช่นเดียวกับเขายื่นแปลนบ้านให้ เรานำแปลนบ้านมาปลูกสร้างตามแปลนนั้นแล้วก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างจนสมบูรณ์ขึ้นมาได้ นี่พระพุทธเจ้าทรงชี้บอกแล้ว เราก็อุตส่าห์พยายามปฏิบัติแก้ไขตนเองไปโดยลำดับ ก็เป็นบุญเป็นคุณ สมบูรณ์ขึ้นมาโดยลำดับได้ เช่นเดียวกับเขาสร้างบ้านตามแปลนนั้นแหละ เอะอะก็จะมีให้พระพุทธเจ้าไปทำให้ทุกอย่าง ให้แปลนไปสร้างบ้านให้ ไม่เคยมี

       นี่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกมีไม่ได้ ท่านจึงบอกว่าความเพียรในหน้าที่การงานทั้งหลายที่เป็นประโยชน์นั้นเป็นหน้าที่ของโลก ของสัตว์ทั้งหลายทำเอง พระพุทธเจ้าทุก พระองค์เป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น นี่เราก็ให้เป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เมื่อได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์แล้วไปปฏิบัติตนให้ได้เป็นผลขึ้นมา บรรดาสาวกก็เหมือนกัน อาศัยพระพุทธเจ้าเสียก่อน ได้ยินได้ฟังแล้วก็นำไปปฏิบัติ ทีนี้เป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ต้องหวังพึ่งพระพุทธเจ้า

       เมื่อทำลงไปก็สำเร็จ เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ขึ้นมา จนกลายเป็นสรณะของพวกเราว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้มีมาลอย ได้ยังไง ไม่ได้ลอย มีมาด้วยการพึ่งตัวเอง ช่วยตัวเอง หลังจากได้ยินได้ฟังมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ไม่ใช่ได้ยินได้ฟัง หรือไปศึกษาเล่าเรียนมาแล้วก็มาแบกคัมภีร์จนหลังโก่งไปอวดโลกเขา ว่าตัวเรียนมาก เรียนจบชั้นนั้นชั้นนี้ มีตั้งแต่ความจำ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิกจากการเรียนมาเลย ถ้าไม่สนใจปฏิบัติ แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เป็นธรรมเกี่ยวเนื่องกันว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

       ปริยัติได้แก่การศึกษาเพื่อรู้เข็มทิศทางเดินแห่งการปฏิบัติธรรม และปฏิบัติ เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือนนั้นแหละ เราได้แปลนมาแล้วคือคำสอน ปริยัติเป็นแปลนได้เรียนมาแล้วเป็นคำสอน ปฏิบัติตามปริยัติศีลก็เป็นศีลขึ้นมา ถ้าศีลเราเรียนเฉยๆ ไปสมาทานกับอุปัชฌาย์ กับครูอาจารย์เฉยๆ รับจนวันตายก็ไม่เป็นศีลขึ้นมานะ เรารับเพื่อจะรักษาเป็นศีลขึ้นมาเต็มตัวในวันนั้น พระบวชในวันนั้นเป็นศีลเต็มตัวในวันนั้น รักษาศีลด้วยการปฏิบัติ สิ่งใดที่ท่านตำหนิติเตียน หรือบอกห้ามว่าไม่ให้ทำ เราไม่ฝ่าฝืน เราไม่ล่วงเกิน นี่เรียกว่าเราปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้าที่ชี้ลงมาให้รักษาศีลให้สมบูรณ์ เราก็รักษาศีล ศีลของเราก็สมบูรณ์ตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งวันตาย ผู้นี้ศีลสมบูรณ์โดยลำดับลำดา

       จากนั้นก็ปฏิบัติทางด้านสมาธิ ความสงบร่มเย็นมีความต้องการด้วยกันทั้งนั้น โลก แต่ไม่รู้จักวิธี วิธีที่เลิศเลอก็คือศาสดาองค์เอกเหมือนกันที่มาสอนโลก ศีลคือความสงบ กาย วาจา อย่าทำบาปทำกรรม ซึ่งเป็นความเดือดร้อนแก่ตัวเองและผู้เกี่ยวข้อง แล้วศีลมีอะไรบ้าง ว่าไป ความกระทบกระเทือนในเพื่อนในฝูงด้วยกันมีมากมีน้อยขนาดไหนเกี่ยวกับศีลทั้งนั้น ถ้าเรารักษาศีลให้ดีแล้วตัวเราเองก็สงบร่มเย็น ไม่กระทบกระเทือน จิตใจไม่ระแคะระคาย ไม่เดือดร้อน บำเพ็ญธรรมก็มีความสงบ จิตใจลงสู่ความสงบได้ง่าย เช่น อบรมสมาธิ

คำว่าภาวนาคือการอบรม จิตใจไม่ได้รับการอบรมนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย เหมือนคนที่เกิดขึ้นมาไม่ว่าชาติ ชั้น วรรณะใด ถ้าไม่มีการศึกษาอบรมแล้วคนๆ นั้นก็เป็นเศษมนุษย์อยู่เท่านั้น ต้องได้รับการศึกษาอบรมมา แล้วคุณค่าของคนๆ นั้นก็จะเพิ่มขึ้นจากความรู้วิชานั้น ซึ่งนำมาอบรมตนเองก็จะกลายเป็นคนดีขึ้นๆ นี่ธรรมก็เหมือนกัน จิตใจวอกแวกคลอนแคลนไปด้วยอำนาจของกิเลสฉุดลากไปตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ หาความสงบไม่ได้เลย

ทีนี้เอาธรรมเข้ามาระงับดับมัน เป็นน้ำดับไฟ ระงับให้หมดความคิดทั้งหมด เวลาผู้ที่จะทำตนให้เป็นศีลเป็นธรรมขึ้นที่ใจ อย่าให้เป็นโรงงานของกิเลสทำงานถลุงตัวเราเองโดยถ่ายเดียว ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตายเรียกว่าคนไร้ค่า คือคนประเภทนี้นั่นเอง ไม่เคยอบรมจิตใจเลย เกิดก็เกิดแบบไร้ค่า ตายไร้ค่า หมดภพหน้าภพหลังอะไรมีแต่ความไร้ค่า เป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นผี เป็นนรกอเวจี เพราะไม่ทำความดีแล้วมันก็ไปทำความชั่ว เพราะกิเลสลากเพื่อทำความชั่วตลอดมา ที่มีการดัดแปลงแก้ไข หรือต้านทานกัน คือต้านทานตัวภัยกิเลสนี้แหละ มันทำเรา มันจูงลากเรา เราจึงต้องได้ฉุดได้ลาก

นี่มันคิดมันปรุงเรื่องกิเลสมากมาย เราก็บังคับมันด้วยการอบรมภาวนา เช่นพระท่านอยู่ในป่าในเขามีตั้งแต่เรื่องบำรุงจิตใจ บังคับจิตใจไม่ให้มันส่ายมันแส่ ใจถือว่าเป็นนักโทษตัวหนึ่ง กิเลสนั้นน่ะเป็นผู้คุมนักโทษ คือใจ ลากใจนี้ไปสู่ที่นั่น ในกิจนั้นงานนี้ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นบาปเป็นกรรม เป็นโทษทั้งหลายอยู่ตลอดมา จึงต้องมีการระงับ การรักษา มันคิดจะทำความชั่วอะไรสติห้ามๆ นี่เรียกว่าท่านอบรมภาวนา ทีนี้เข้ามาหักห้ามที่จิต กาย วาจา เราก็หักห้ามด้วยศีล

สมาธิคือความสงบใจ หักห้ามด้วยสติปัญญา บังคับจิตใจไม่ให้มันคิดมันปรุง  ยิ่งเวลาเข้าสู่ภาวนาด้วยแล้ว ไม่ยอมให้มันคิด ให้คิดตั้งแต่เรื่องธรรมโดยถ่ายเดียว เช่น ใครทำบริกรรมบทใด ได้ภาวนาบทใด เช่น พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ  หรือธรรมบทอื่นใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยชอบเป็นธรรมด้วยกัน แล้วนำเข้ามาบริกรรม ถือคำบริกรรมนี้แน่นหนามั่นคง ติดแนบกับใจ แล้วสติบังคับลงที่คำบริกรรม ไม่ให้เผลอไปไหน นี่เรียกว่าบังคับกิเลสไม่ให้ทำงาน ไม่งั้นกิเลสจะเอาไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ จึงต้องเอาธรรมเข้าไปให้จิตใจคิด คิดพุทโธเป็นเรื่องของธรรม

บทใดก็ตามเป็นเรื่องของธรรม กิเลสไม่มีทางออก มีแต่พุทโธทำงานอย่างเดียวๆ มีแต่ธรรมทำงานอย่างเดียว เปิดช่องให้ธรรมทำงาน ผลของงานแห่งการภาวนาที่ธรรมทำงานนี้เป็นความสงบเย็นลงไป ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ จำให้ดี หลวงตาได้ผ่านเวทีมาแล้ว พูดอย่างจะแจ้งเลยว่าไม่มีสะทกสะท้านในเรื่องการภาวนา เพราะได้ผ่านมาแล้ว รอดเป็นรอดตาย พระพุทธเจ้าถึงขั้นสลบ เราไม่ได้ถึงขั้นสลบ แต่เป็นลูกศิษย์ด้อมไปตามครูจะปฏิบัติเต็มความสามารถของเรา เพราะฉะนั้นวิถีจิตที่มันคิดแบบใดจึงตามรู้ตามเห็นเป็นลำดับ จนกระทั่งรู้มันหมดเลย

เบื้องต้นมันผาดโผนโจนทะยาน เราจะบังคับให้บริกรรมเท่านี้มันก็ไม่อยู่ เผ่นออก เหมือนว่าออกนอกโลก แต่มันก็ไปเข้าในกงจักรของกิเลสผันหัวมันนั่นแหละ แล้วบังคับภาวนา สมมุติอย่างเป็นฆราวาส เอา กำหนดให้ซิ กิเลสมันบังคับเจ้าของ ไม่ต้องขีดเส้นตายอย่างนั้น ประกาศอย่างนี้ก็ตาม มันขีดเส้นตายอยู่ด้วยอำนาจของมัน ภายในใจของเรา มันดึงให้ไปตามเรื่องของมันตลอดเวลา ทีนี้เป็นเรื่องของเราที่จะบำเพ็ญธรรมเข้าสู่ใจ ภาวนา บังคับไม่ให้เผลอ จะได้สักกี่นาที แล้วบังคับมัน มันจะตายจริง หรือให้มันรู้นะ มันไม่ตายละ กิเลสหลอกเฉย

ภาวนาหาว่าบังคับยาก อึดอัดใจ ใจดีดใจดิ้น ไม่สบาย ถ้าวิ่งไปตามกิเลสสบายเหรอ พิจารณาซิอันนี้ มันพาโลกให้ตกหลุมตกบ่อนรกอเวจีมานานแล้ว วิ่งไปตามกิเลส วิ่งไปตามธรรม ธรรมข้อไหนที่พาสัตว์โลกผู้ดำเนินตามได้ตกนรกหมกไหม้ไม่เคยมี ทำไมเรามาบำเพ็ญธรรมจึงว่าอึดอัด ความอึดอัดคือกิเลสต่อสู้ธรรมไม่ให้เราภาวนา เราก็บังคับเข้าไป นี่เบื้องต้นนะ ครั้นต่อไปจิตใจก็ค่อยสงบ จะเอากี่นาทีก็ตามสำหรับฆราวาส แต่สำหรับพระนั้นฟัดกันเลย ขึ้นบนเวทีแล้วกิเลสดีให้กิเลสอยู่บนเวที เราไม่ดีสู้กิเลสไม่ได้ตกเวทีไปเลย แล้วใครล่ะเมื่อขึ้นเวทีจะต้องการความแพ้ ต้องการความชนะกันทั้งนั้น เอาฟัดกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไป นั่นละที่นี่ครองธรรม

ตั้งแต่เริ่มต้นฝึกหัดอย่างนี้ ผู้เป็นนักภาวนา พระลูกพระหลานให้จำเอาไปปฏิบัติทำภาวนา ให้จิตใจได้รับความสงบ พระเท่านั้นที่เป็นหนึ่งในพุทธศาสนาเรานี่ ที่จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล ทรงมรรคผลนิพพาน คือพระนี้เป็นอันดับหนึ่ง เพราะหน้าที่การงานสมบูรณ์แบบแล้วกับพระ  ไม่มีใครมาแย่งมาชิงเอาไปทำงานที่ไหน ไปเป็นบ๋อยเป็นขี้ข้าเหมือนกิเลสลากถูจิตใจไปเป็นบ๋อยของมัน มีตั้งแต่ทำหน้าที่ทำภาวนา เอ้า เดินจงกรมมีสติ นั่งภาวนามีสติ อยู่ที่ไหนมีสติ เว้นแต่หลับเท่านั้น เอา ทุกข์ก็ให้ทุกข์ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน

ในขณะที่กิเลสหนาแน่นนี้ แหม กำลังมันรุนแรงมาก เอา ต่างคนต่างฟัดต่างเหวี่ยง ส่วนมากมีแต่เราหงาย เบื้องต้นหงายหมา ไม่มีท่าสู้  ครั้นต่อมานี้ก็เป็นหงายแมว ล้มแล้วมันก็ยังสู้ได้อยู่บ้าง ต่อมานี้กลายเป็นเสือขึ้นมาแล้ว จิตดวงนี้ที่ได้อบรมอรรถธรรม กิเลสเคยฟัดเราหงาย เราฟัดกิเลสให้หงายๆ ต่อไปสมาธิเราแน่นหนามั่นคงมากขึ้นๆ จิตใจมีความแน่นหนามั่นคง ก้าวออกทางด้านปัญญายิ่งมีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นเป็นลำดับจากปัญญาที่ได้พิจารณาตามทางของศาสดา

นี่ละทางเดินอันราบรื่นในการที่จะปราบกิเลส ซึ่งเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาไหม้จิตใจมาตั้งกัปตั้งกัลป์ให้เรียบราบลงเป็นลำดับ จนกระทั่งม้วนเสื่อไม่มีเหลือ ก็เพราะอำนาจแห่งการประกอบความเพียรตามทางของศาสดา มีจิตตภาวนาความสำรวมระวังตนนี้เป็นสำคัญมากนะ นี่เรียกว่าอกาลิโก ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามนี้แล้วธรรมคืออกาลิโก ให้ผลคือความสงบเย็นใจไปตลอดๆ นะ แล้วก้าวขึ้นภาวนา ภาวนานี้ไม่อยากจะพูดมาก เพราะเป็นธรรมที่พิสดารกว้างขวางมาก เห็นกันรู้กันสำหรับผู้ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสทั้งหลายทุกประเภท  ส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด รู้กันภายใน กลมายาของกิเลสมียังไง มีกี่ประเภท กลมายาของธรรมที่จะฟัดกันก็มีหลายประเภทด้วยกัน

นี่ขอสรุปเลย ในการต่อสู้กับกิเลสตั้งแต่ศีลขึ้นมาหาสมาธิ หาปัญญา ล้วนแล้วตั้งแต่เราเป็นผู้รักษา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ของเราโดยถ่ายเดียว ไม่หวังพึ่งใคร เอาแปลนมาแล้วยึดแปลนนั้นเป็นหลักเป็นเกณฑ์ก้าวเดินตามแปลน เอาธรรมมาแล้วยึดธรรมเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้มีสติก็อย่าเผลอซิ ถ้าปฏิบัติตามธรรม ให้มีความเพียรก็อย่าขี้เกียจซิ เดินตามธรรมต้องบังคับตัวเอง ทีนี้จิตใจก็ค่อยก้าวขึ้นไป ก้าวขึ้นไป สูงขึ้นเป็นลำดับ เพราะธรรมที่สำหรับจะหล่อเลี้ยง หรือเป็นน้ำดับไฟคือกิเลสตัวเป็นไฟนั้นมีอยู่กับเรา เป็นแต่ว่ากิเลสนั้นมันมีอำนาจมาก

คือกิเลสมันอยู่ที่ใจ คือเกิดที่ใจ แล้วอยู่ที่ใจ ธรรมะก็เกิดที่ใจ อยู่ที่ใจ แต่ธรรมไม่มีอำนาจมากกว่ากิเลส ซึ่งมันหมุนตัวตลอดเวลา มันจึงมีอำนาจมาก การจะทำความดีงามทั้งหลายนี้กิเลสจึงบีบบังคับไม่ให้ทำ เราก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน จะสร้างความดี คิดขึ้นเท่านั้นกิเลสสร้างอุปสรรคให้แล้ว บีบบังคับเราแล้ว ถ้าว่าจะให้ทานกลัวสิ้นกลัวเปลือง แน่ะเห็นไหม จะไปวัดไปวาก็หาเรื่องหาราวใส่ ไม่ให้ไปถ้าเป็นทางดี ถ้าไปทางที่จะตกนรกหมกไหม้ ทั้งเป็น ทั้งตาย ทั้งเมืองผี เมืองคนแล้วกิเลสมันลากไปได้ทันที วิ่งตามมัน ขากุดขาด้วนก็ได้ ดีไม่ดีไปยืมขาคนอื่นมาวิ่งตามกิเลสไม่ทัน  ต้องไปยืมขาคนอื่นหลาย ขาเพื่อจะวิ่งตามกิเลสให้ทัน อันนี้คล่องตัว นี่กิเลสเวลามันมีกำลัง มันมีอย่างนั้นด้วยกันทุกคน

เวลาเราฝึกจิตใจของเรา ทีแรกก็ฟัดกันล้มลุกคลุกคลานจนจะสลบไสล เพราะอำนาจของธรรม ถึงอำนาจไม่มีมากก็สู้ไม่ถอย ฟิตไม่ถอย ต่อไปอำนาจก็มีขึ้น ก็พอฟัดพอเหวี่ยง ดังที่กล่าวเบื้องต้นนั้นว่า ทีแรกสู้กิเลสไม่ได้ ล้มหงายหมา คำว่าหงายหมาคือไม่มีท่าเลย กิเลสเหนือกว่าทุกอย่างๆ เหมือนอย่างเราเอาฝ่ามือไปกั้นคลื่นในน้ำมหาสมุทรมันกั้นได้ยังไง กิเลสมันเหมือนกับคลื่นในมหาสมุทร ธรรมของเราเท่ากับฝ่ามือ กั้นกันได้ยังไง ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังแล้วก็เหมือนมรสุมใหญ่ฟาดน้ำในมหาสมุทร ตีเป็นน้ำขึ้นให้ฟ้าตกเป็นฝนลงได้สบาย

นี่เป็นอย่างงั้นจิตใจของเรา ฝึกได้นะพี่น้องทั้งหลาย หลวงตาเคยฝึกมาแล้ว เอาหลวงตาเป็นเครื่องยันเลยก็ได้ ไม่อวด เพราะได้จัดเจนมาแล้วในเวที ฟาดตั้งแต่พรรษา ที่ออกปฏิบัติเลย ออกแต่พรรษา ที่ออกปฏิบัติ หยุดเรียนแล้ว  เป็นมหาเปรียญตามความมุ่งหมายได้ตั้งเจตนาไว้แล้ว เป็นมหาเปรียญแล้วพอสำหรับแนวทางที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย จนถึงความพ้นทุกข์ไม่เบาบางที่ตรงไหน เราแน่ใจในปริยัติที่เราศึกษามาแล้วว่าเป็นแนวทางได้เป็นอย่างดี ไม่บกพร่อง นี่ละหยุดจากนั้นแล้วก็ก้าวขึ้นสู่เวที

เวทีคืออะไร เข้าป่าเข้าเขาลำเนาไพร ในถ้ำเงื้อมผา ความทุกข์ความยากลำบากลำบนที่ไหนเป็นเวทีทั้งนั้นสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไม่สนใจเรื่องอยู่ เรื่องกิน การหลับ การนอน ได้มากได้น้อยไม่สนใจ แต่ความมุ่งมั่นเพื่อแดนพ้นทุกข์กับธรรมทั้งหลายนี้เรียกว่าหมุนติ้วกันเลย อันนี้มีกำลังมาก เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายจึงมารบกวนไม่ได้ ที่โลกถือว่าเป็นภาระอันหนัก การอยู่ก็อยากอยู่ดิบอยู่ดี บ้านกี่ชั้น กี่ห้องกี่หับ เอ้ามีแต่ดีทั้งนั้น ทุกอย่างให้ดีไปหมด เครื่องใช้ไม้สอย เอ้ารถรามีเท่าไร ในบ้าน มันจะมีถึงกระทั่งห้องน้ำห้องส้วมรถยนต์

ในโรงงานเขามีผลิตไว้ไหมรถยนต์นั่น รถยนต์ไว้สำหรับผู้ที่ขับขี่เข้าไปห้องน้ำห้องส้วม ขับขี่เข้าไปห้องหลับห้องนอน เพราะมันจะคล่องตัวสำหรับผู้ที่มีความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมตัวเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา นี่โลกถือกันอย่างนี้ อะไรไม่มีบกพร่อง โอ๋ยขายหน้า ไม่มีหน้าไม่มีตา ทั้งๆ ที่หน้าตามันมีอยู่กับทุกคน ให้กิเลสมันลูบหน้าลูบตา ทั้ง ที่มีหน้าอยู่นั้นว่าหน้าตัวไม่มี บอดไหมตาเรา เรามีทั้งหน้า ตาก็อยู่กับเรา เห็นอยู่ว่าใครมีตาไม่มีตา ทำไมจึงกลัวเสียหน้าเสียตา มันเป็นยังไง นี่ละกิเลสหลอกกันมันถึงเป็นบ้าด้วยกัน

ทีนี้เรื่องการอยู่การกิน เอาการกินก็เอาอีกแหละ ไม่หยุดไม่ถอย เลี้ยงกันนี้ แหม โต๊ะหนึ่งเก้าอี้หนึ่ง ตั้งเป็นหมื่นๆ แสนๆ ก็มี ไม่ใช่เล่นๆ นะ เลี้ยงเขาแล้วติดหนี้ด้วยการเลี้ยงก็มี เพื่อเอาหน้าเอาตานั่นละ หน้ามันไปไหนไม่รู้ ไปติดหนี้เขา นี่กิเลสลากไปเห็นไหม การอยู่อยู่ที่ไหนพิจารณาซิ สถานที่อยู่ของมนุษย์ขนาดไหนควรจะพินิจพิจารณากันให้เหมาะสมกับมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ พระพุทธเจ้าพาอยู่ยังไง หอปราสาทยังเสด็จออกมาสู่ป่าเขาลำเนาไพร 

เป็นยังไงป่าเขากับหอปราสาท ถ้าพูดถึงคุณค่าที่นิยมกัน อย่างมนุษย์เป็นบ้าอยู่ทุกวันนี้ หอปราสาทล่ะซิมีราคามากกว่าป่ากว่าเขา แต่พระพุทธเจ้าเห็นป่าเขามีคุณค่ามีราคา ยกพระองค์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้ หอปราสาทที่เคยอยู่มานั้นกี่ปีกี่เดือนจนกระทั่งได้เสด็จออกบวช ไม่เห็นยกอะไรได้เลย นี่เทียบเข้าไปอย่างงั้นซิ นี่เราอยู่ในบ้านในเรือน พ่อแม่เราไม่เคยเกิดกับหอปราสาทราชมณเทียร พ่อแม่เราอยู่ไหนก็อยู่นั้น อย่าตื่นอย่าเต้น อย่าดีดอย่าดิ้นจนเกินไป มันเป็นเรื่องฆ่าตัวเอง ลืมตัว คนลืมตัวหมดค่าหมดราคา ถึงเขาจะยกยอปอปั้นว่าดีขนาดไหน ตัวเองมันเลวอยู่ในหัวใจ และความเลวนั้นละพาให้ทุกข์ มันทุกข์อยู่ที่ตัวเรา ความยกย่องสรรเสริญมันเป็นประโยชน์อะไร ให้พิจารณา

นี่ละความดีดความดิ้นกับโลกกับสงสาร  มันไม่เหมือนธรรม ผู้มุ่งปฏิบัติต่อธรรมแล้วท่านไม่ยุ่งนะ อยู่ยังไงท่านอยู่ไป ร่มไม้ ภูเขา ในถ้ำเงื้อมผาอยู่ไป เอ้าการกิน บิณฑบาตจากประชาชนเขามาได้ ไม่ว่าอาหารประเภทใดท่านจะไม่สนใจกับเรื่องอาหารการกิน ว่าประณีตหรือเลวทรามอะไรท่านไม่สนใจ ท่านมุ่งต่ออรรถต่อธรรม บิณฑบาตก็มีธรรมในใจประจำทั้งไปทั้งกลับ รับบิณฑบาตจากชาวบ้านมาก็ไม่ได้สนใจว่าอาหารดิบดีขนาดไหน ไม่ดีขนาดไหน พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้นพอแล้ว เพื่อการปฏิบัติธรรม

นี่ท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมท่านผู้หลุดพ้นจากทุกข์ ท่านผู้เป็นคนเลิศของโลก คือศาสดาของเราท่านดำเนินอย่างนี้ เช่น เสด็จออกจากหอปราสาทราชมณเทียรไปเป็นคนขอทานพระองค์ทำมาแล้ว พวกเราเป็นยังไงลูกศิษย์ตถาคต ลูกชาวพุทธของเรา ต้องคิดบ้างซิ การอยู่ การกิน การใช้การสอยอย่างว่า อย่าให้หรูหราฟู่ฟ่าจนเกินไป เมืองไทยเราเป็นนิสัยฟู่ฟ่า นิสัยลืมเนื้อลืมตัวอย่างง่ายดายนะ นี่ก็จะจมอยู่ไม่กี่ปีมานี้ ครั้นพอฟื้นขึ้นมาได้บ้างแล้ว เอาละที่นี่ตึกก็จะเอาเท่านั้นชั้น เท่านี้ชั้น แซงหน้ากันไป พวกคนทุกข์คนจนแซงหน้ากันต่อหน้าเศรษฐีเขาที่มีเงินมีทอง แต่เขามีธรรมในใจเขารู้จักประมาณ มันน่าอายเขาขนาดไหน ไอ้เราที่มาอวดดิบอวดดี อวดเบ่ง อวดมั่งอวดมีอย่างงี้ ให้พากันพิจารณานะ

เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าลืมเนื้อลืมตัว นี่ละธรรมพระท่านปฏิบัติ ผู้ตั้งใจปฏิบัติอรรถธรรม ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระ จิตมันจะหมุนเข้าไปหาจุดเดียวกัน ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งอาศัยเท่านั้นวันหนึ่ง ๆ ขอให้ได้สิ่งที่พึงหวังเป็นที่พอใจ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย สิ่งที่พึงใจคืออะไร คือธรรมที่เลิศเลอ ท่านอยู่ได้สะดวกสบาย วันหนึ่งๆ ไม่เจอกับใคร เมื่อไม่ฉัน ส่วนมากกรรมฐานท่านจริตนิสัยถูกทางไม่ฉันอาหาร อดอาหารภาวนาดีๆ ท่านมักจะเน้นหนักทางอดอาหาร ถ้าท่านไม่ฉันกี่วันก็ตาม ไม่ได้พบใครละ พบแต่ท่านองค์เดียวอยู่ในป่าในเขา ท่านก็ไม่สนใจอยากพบใคร เขาก็ไม่สนใจจะพบท่าน หน้าที่การงานของเขามีเขาก็ทำของเขากันไป ท่านก็บำเพ็ญเต็มเม็ดเต็มหน่วย

องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นั้นสำเร็จสกิทา องค์นี้สำเร็จพระอนาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สุดท้ายก็มาเป็นสรณํ คจฺฉามิของตัวเองได้โดยสมบูรณ์ แล้วก็เป็นสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพี่น้องทั้งหลาย ล้วนแล้วตั้งแต่ท่านได้สมบุกสมบัน ฟาดฟันกับกิเลสตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ตัวลืมเนื้อลืมตัวนี้ให้ขาดสะบั้นลงไป ท่านอยู่สบาย อยู่ได้ นอนได้ กินได้ สบาย ๆ นี่ให้เอาคติอันนั้นมาสั่งสอนอบรมเราบ้าง จะรู้จักประมาณบ้างนะเมืองไทยเรา เราก็ส่งเสริมเมืองไทย อุ้มเมืองไทยเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เมืองไทยจะบกพร่องตรงไหนเราก็เตือน อันนี้เป็นเรื่องมีในนิสัยของคนไทยเรา ถ้าเป็นของเมืองนอกเมืองนา อู๊ยชอบที่สุดเลย

นี่ละมันเสียตรงนี้ ไม่ตั้งใจสร้างเนื้อสร้างหนังของตัวเองขึ้นมา เห็นของเขาดีก็ยอมรับ แต่เอามาใช้ด้วยความจำเป็น แล้วมาเป็นคติเครื่องสอนตัวเองอีก ไม่ว่าวัตถุสิ่งใดๆ นำมาใช้ก็ใช้ นำมาเป็นคติตัวอย่างเพื่อเราจะเลียนแบบอย่างเขาไปให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองขึ้นจากวัตถุสิ่งนั้น ๆ ที่ได้มาจากเมืองนอกเมืองนาเมืองเขาก็ทำ อย่างนี้ถูก ถ้าไม่มีก็ให้ทราบว่าไม่มี ถ้ามีก็ให้ทราบว่ามี อย่าไปยุ่งทั้งที่ไม่มี ถ้าเป็นของของเขาแล้วดีทั้งหมดๆ นี่พวกบ้า บ้าคืออะไร ก็บ้าลูกชาวพุทธเรานี่ พวกบ้าไม่รู้เนื้อรู้หนังตัวเอง ไม่ดี อาศัยเนื้อหนังเขามาเป็นมันเป็นประโยชน์อะไร

นี่การปฏิบัติศีลธรรมได้พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง นี่ละที่ท่านปฏิบัติ แล้วมรรค ผล นิพพาน มีอยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้า ดังที่ท่านแสดงไว้แล้วกับพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายเมื่อเราตายไปแล้ว” ฟังซิ พระองค์ไม่ได้ว่าเมืองอินเดียเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย สถานที่นั่นที่นี่ ที่เราปรินิพพานไปแล้ว หรือเที่ยวไปไหน ๆ เป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ท่านไม่ได้ว่า

ศาสดาคืออะไร คือธรรมคือวินัย ให้รักษาพระวินัยให้ดี อย่าฝ่าฝืนล่วงเกิน ให้รักษาธรรมให้ดี มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม มีความอดความทนต่อเหตุการณ์ต่างๆ เก็บความรู้สึกไว้ได้ดี ไม่ปากเปราะจนเกินไป ซึ่งเป็นการทำลายตัวเอง นี่เรียกว่าธรรม แล้วความพากเพียรเพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เพียรตลอดไปเลย นี้เรียกว่าธรรม

ถ้าใครปฏิบัติตามนี้แล้ว เรียกว่าเดินตาม หรือตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั่นแล ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน เพราะศาสดาได้แก่ธรรมแก่วินัย ธรรมวินัยเรารักษาเทิดทูนตลอดเวลาจนกระทั่งถึงหลับ ตื่นขึ้นมาธรรมวินัยมีประจำเราแล้วก็เท่ากับมีศาสดาประจำเราแล้ว ทำไมจะเป็นผู้ไม่ทรงมรรค ผล นิพพานได้ มรรค ผล นิพพาน เธอทั้งหลายอย่าไปถามหาใครนะ ให้ถามอยู่กับองค์ศาสดา ถ้าองค์ศาสดาคือธรรมวินัยของท่านทั้งหลายบกพร่องแล้ว เรื่องผลคือ มรรค ผล นิพพานก็บกพร่อง

ถ้าข้ามเกินธรรมวินัยแล้วเรียกว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้า หาผลประโยชน์ไม่ได้เลย นั่นฟังซิ นี่พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนั้น พระองค์นิพพานที่ไหน เอาธรรมเอาวินัยเป็นศาสดาแทน ผู้ใดก็ตาม ฆราวาสก็ตาม ประชาชน หรือพระเณรก็ตาม ถ้ามีธรรมมีวินัย มีหิริโอตตัปปะ ปฏิบัติตามพระองค์แล้วเป็นผู้สามารถจะทรงมรรคทรงผล มรรค ผล นิพพาน ได้เช่นเดียวกันหมด เพราะมรรค ผล นิพพาน ไม่ได้นิยมเพศ นิยมผู้ปฏิบัติตามเท่านั้น นี่ที่ท่านปฏิบัติเห็นไหมล่ะ หรือเวลานี้ว่ามรรค ผล นิพพาน ไม่มี ๆ อย่างงั้นเหรอ ให้กิเลสลูบไปหมดเหรอ มันโง่ไหมมนุษย์เรา

ศาสดาองค์เอกโดยแท้ๆ เป็นผู้มาสอนโลก ซึ่งทรงมรรค ผล นิพพาน มาแล้ว มาสอนโลกอย่างจังๆ เต็มพระทัย แล้วให้กิเลสมันลบเสียหมดว่ามรรค ผล นิพพานไม่มี ๆ ใครสอนมรรค ผล นิพพาน กิเลสมันเอามรรค ผล นิพพาน มาจากไหน มาหลอกเราอยู่เวลานี้ ทำไมเราจึงเชื่อมันง่าย ๆ ถ้าไม่ใช่เรามันโง่เสียจนเกินไป จะทรงตั้งแต่ส้วมแต่ถานไปตามกิเลสตลอดไป เกิดในภพใดชาติใดก็จะมีแต่กองทุกข์เผาไหม้ตลอด แล้วก็ไม่มีวันเข็ดหลาบ เมื่อวันเข็ดหลาบไม่มี วันที่จะเจอความสุขตามอรรถธรรมพระพุทธเจ้าก็ไม่มีเหมือนกัน ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิดได้อ่านนะ

วันนี้ได้พูดถึงเรื่องการดำเนิน การฝึกจิต ตั้งแต่เริ่มต้นภาวนาเรื่อยไปจนกระทั่งถึงขั้นสมาธิ ขั้นปัญญา มีแต่เรื่องภาวนาทั้งนั้น เอาปัญญาขั้นละเอียดขึ้นเป็นสติอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติ จนก้าวขึ้นถึงมหาสติ-มหาปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดาไป อยู่บนหัวใจเรานั้นแหละ นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าท้าทายอยู่ สำหรับผู้ปฏิบัติตามจะเป็นผู้รู้เห็นในธรรมเหล่านี้ ผู้ไม่ปฏิบัติตามไม่รู้ไม่เห็น  ผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ตาม บาป บุญ มีอยู่กับผู้ทำ ใครทำทำได้ นี้เราทำบุญทำกุศล สร้างคุณงามความดีก็อยู่กับเรา ศาสดาอยู่กับเราแล้ว ธรรมวินัย นั่น แล้วปฏิบัติ

มรรค ผล นิพพาน จะไปหาเอาที่ไหน บนฟ้าอากาศไม่มี ที่ไหนๆ ไม่มี มีอยู่กับผู้ทำ ทั้งทำดี ทำชั่ว ทั้งที่แจ้ง ที่ลับ เกิดได้ทั้งนั้น ไม่มีนิยมกาล สถานที่ ท่านจึงบอกว่าอกาลิโก ธรรมไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา ใครทำที่ไหนได้ทั้งนั้น ทั้งดี ทั้งชั่ว ทำชั่วได้บาป ทำดีได้บุญด้วยกัน กิเลสก็เป็นอกาลิโกเหมือนกัน นี่ละการปฏิบัติธรรม วันนี้พูดเป็นแนวทางให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ ได้ปฏิบัติ ให้รู้เนื้อรู้ตัวบ้างนะ ศาสนามาแบกคัมภีร์อยู่เฉยๆ แหมน่าสลดสังเวชนะ เรียนไป ๆ เลยเป็นบ้าเรียน ครั้นจำได้ ๆ ก็เอาความจำนั้นมาประดับตน ทั้งๆ ที่เป็นกิเลสนะเอามาประดับตนเอง ว่าเรียนได้ชั้นนั้น ชั้นนี้ ชั้นสูง โอ่อ่าฟู่ฟ่า มันสั่งสมกิเลสพอกหัวมันเท่าไรแล้วคนเรียนประเภทนั้น ไม่ได้สนใจปฏิบัติ

ถ้าเรียนปฏิบัติถูกต้อง อย่างปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คำว่า ปฏิเวธ ก็รู้แจ้งเห็นจริงในการปฏิบัติของตนตามหลักธรรมหลักวินัยนั่นแล เช่น เราปลูกบ้าน เริ่มขุดดิน ฟันไม้ เราก็รู้แล้วเห็นแล้วนั่น วันนี้เริ่มขุดดิน ต่อมาเทเสาเทคานก็เห็น นี่เรียกปฏิเวธ คือรู้ในผลของตนเป็นลำดับ จนกระทั่งบ้านสำเร็จแล้วก็เห็นชัดเจน นี่ละปฏิเวธธรรม รู้ตั้งแต่จิตใจมีความสงบเยือกเย็น จนกระทั่งถึงใจเป็นสมาธิ เป็นปัญญา เฉลียวฉลาด จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น รู้ด้วยตัวเองๆ เป็นปฏิเวธสุดยอดตลอดไป ไม่เคยขาดวรรคขาดตอนที่ไหนเลย ขอให้ท่านทั้งหลายได้พินิจพิจารณา

วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราได้มาพบกัน หลวงตาก็สอนโลกมานี้นานแสนนาน สอนด้วยความมั่นใจ ไม่ได้สอนด้วยความลูบๆ คลำๆ สงสัย การเรียนปริยัติเรายกให้ หลวงตาก็เรียนมาเหมือนกัน จึงเอามาเทียบได้ถนัดชัดเจนในหัวใจของเราดวงเดียวกันนี้แหละ เวลาเรียนไปท่านว่าอะไรเป็นจริงทั้งนั้นแหละในปริยัติ แต่หัวใจที่มันปลอมมันไม่ค่อยจะเชื่อนะ เช่น บาป บุญ นรก สวรรค์ มีหรือไม่มีนา มันว่าอย่างงั้นนะ ส่วนมากมันจะปัดไปเลยว่าไม่มี ๆ นั่นละเห็นไหมความจำมันหลอก เพราะกิเลสมันมีอยู่ในใจ ความจำมันก็อยู่กับกิเลส ความจริงอยู่กับพระพุทธเจ้า สอนไว้ตามหลักความจริง บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี คือพระพุทธเจ้ารู้แล้วเห็นแล้วด้วยความสัตย์ความจริง นำมาสอนโลกด้วยพระเมตตา

แต่โลกมันโลกตาบอด มันลูบมันคลำ แล้วสุดท้ายมันก็ลบไปเสียบาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี สร้างตั้งแต่บาป ที่ว่าบาปไม่มี ไม่ได้เป็นบาปแล้วจมอยู่ในนรก นรกหลุมไหนที่นรกนี่ร้างไม่มีสัตว์ทำความชั่วช้าลามก ไม่ไปตกนรก นรกร้างมีไหม สวรรค์ร้างไม่มี คนดีมีทั่วโลกดินแดน สวรรค์ชั้นใด ๆ ไม่เคยร้าง เต็มอยู่ด้วยกันๆ เพราะคนดีก็มี คนชั่วก็มี  แล้วนรก พวกเปรต อสุรกาย ว่างที่ไหนโลกอันนี้ ในน้ำก็มีสัตว์ บนบก ดิน ฟ้า อากาศ ไม่มีที่นิยมว่าจิตวิญญาณจะเกิดไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ทั้งดี ทั้งชั่ว เกิดได้ทั้งนั้น อยู่ได้ทั้งนั้น

นี่พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้ทรงเห็นมาแล้ว ไม่ใช่มาด้นเดาเอาและมาสอนโลกแบบด้นเดา การตรัสรู้พระองค์ก็ตรัสรู้ด้วยความสัตย์ความจริง ตรัสรู้ผึงขึ้นมาแล้วก็สอนโลกเป็นโลกวิทู ๆ เรื่อยมา จนกระทั่งวันปรินิพพานก็สอนพระอานนท์ ฝากธรรมะนี้ไว้ สำหรับผู้ที่จะก้าวเดินไปตามทางของศาสดาก็ให้ได้ปฏิบัติตามกำลังของตน เต็มกำลังของตน ก็จะได้มรรคได้ผล นี่สอนท่านทั้งหลายให้รู้จักการภาวนาบ้างนะ อย่าปล่อยให้กิเลสตัณหาลากเข็นไป นี่สอนวิธีภาวนา ที่หลวงตาสอนนี้ได้ดำเนินมาแล้ว วิธีทรมานฟัดกันกับกิเลสนี้ก็เอาจนกระทั่งเราหงายๆ ก็เคยแล้ว คือสู้มันไม่ได้ กิเลสมีกำลังมาก ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ นี่เรียกว่ากิเลสเอา สู้ไม่ได้ ตั้งลงไปทีไรล้มผล็อย ๆ เรียกว่าไม่เป็นท่า เขาเรียกหงายหมา เข้าใจไหม ล้มทั้งหงาย

เวลาสู้เข้าไม่หยุดไม่ถอย หลายครั้งหลายหนก็ค่อยดีขึ้นมา ถึงจะล้มก็ล้มแบบหงายแมว ยังตบได้ ล้มก็มีท่าต่อสู้ ต่อไปก็ไม่ล้ม ล้มน้อยที่สุด มีแต่กิเลสล้มไป ๆ ต่อไปมีแต่กิเลสล้มโดยถ่ายเดียว ดังที่ท่านสอนว่าสติปัญญาอัตโนมัติ นี่คือมีแต่กิเลสล้ม จิตดวงที่เป็นสติปัญญาอัตโนมัติคือแก้กิเลส ถอดถอนกิเลส ชำระกิเลส ฆ่ากิเลสไปโดยหลักธรรมชาติ อิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมานี้เป็นธรรมที่แก้กิเลสเป็นลำดับลำดาไป

เหมือนกันกับกิเลส ซึ่งมันก็เป็นอัตโนมัติของมัน มันสร้างผลประโยชน์ของมันในหัวใจของสัตว์เป็นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งอะไร แม้ที่สุดมันก็ปรุงขึ้นมาได้เป็นอัตโนมัติของมัน นี่คือกิเลสสร้างผลประโยชน์ของตนบนหัวใจของสัตว์เป็นอัตโนมัติเหมือนกันหมด อันนี้ใครพูดท่านทั้งหลายพิจารณาซิ เราก็ไม่เคยรู้เคยเห็นแต่ก่อน เวลามาฟัดกันแล้วมันก็รู้ขึ้นมา ทีนี้พอถึงขั้นธรรมะมีกำลังกล้าเข้าแล้ว แต่ก่อนพาถูพาไถ ล้มลุกคลุกคลาน ครั้นหนุนเข้าไป ๆ มีความแก่กล้าสามารถ จนก้าวเข้าสู่สติอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนเป็นสติปัญญา มีแต่ฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว

จากนั้นก็เชื่อมกันถึงมหาสติ-มหาปัญญา กิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้เลยขาดสะบั้นๆ แล้วก็ดีดผึงเลย กิเลสสิ้นซาก ม้วนเสื่อ ทีนี้เป็นยังไงโลก เวิ้งว้างไม่มีอะไรเหลือ มีแต่กิเลสเท่านั้นเป็นภัยต่อจิตใจของสัตว์โลกไม่ว่ามากว่าน้อย กิเลสสิ้นไปจากใจแล้วไม่มีอะไรเป็นภัย อยู่ที่ไหนอยู่ได้สบาย ตายเมื่อไรตายได้ มืดแจ้งมีปัญหาอะไร มันมีปัญหาอยู่กับกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากไปแล้วสมมุติทั้งมวลก็สิ้นไป เรียกว่าถึงวิมุตติแล้วสิ้นเสร็จเรื่องยุ่งทั้งหลายไม่มีอะไรเหลือ จึงขอให้ท่านทั้งหลายนำไปประพฤติปฏิบัติ

หลวงตาได้ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการในสถานที่ใดก็ตาม หลวงตาจึงไม่เคยเอาโลกสกปรก โลกส้วมโลกถานนี้มากั้นกางหวงห้าม หรือมากีดขวางการเดินของธรรมที่แสดงออกไป ว่าเทศน์ให้คณะนั้นสูง คณะนี้ต่ำ เทศน์ขั้นนั้นเขานิยม ขั้นนี้เขาไม่นิยม อย่างนี้ไม่มี อันนั้นสูงอันนี้ต่ำไม่มี เรื่องของธรรมเหนือหมด อะไรผิด อะไรถูก สูงต่ำมันผิดได้ด้วยกัน ถูกได้ด้วยกัน ถ้าอยู่ในสมมุติแล้วผิดได้ ถ้าพ้นจากสมมุติไปแล้วไม่ผิด ผ่านไปหมดแล้ว ขึ้นชื่อว่าสมมุติมีผิด มีถูก มีดี มีชั่ว ธรรมนั้นเลยไปหมดแล้ว

นั่นแหละธรรมพระพุทธเจ้าที่มาสอนโลก ท่านเกรงอะไร ท่านเกรงกลัวอะไร  สิ่งที่กลัวก็คือกิเลส มันก็ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว สิ่งที่กล้าก็คือกิเลส ก็ขาดสะบั้นไปจากใจแล้ว เอาอะไรมากล้า เอาอะไรมากลัว อะไรเป็นธรรมท่านก็ประจักษ์ในท่านเอง นั้นแหละธรรมสอนโลกจึงสอนได้อย่างแม่นยำ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ นั้นแหละให้เอาไปปฏิบัติ นี่ก็ได้ปฏิบัติมาอย่างนั้น เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มกำลังความสามารถ

ท่านทั้งหลายยังให้กิเลสมาแอบอยู่ข้างๆ กระซิบกระซาบหรือว่าหลวงตาบัวนี้ว่าโอ้ว่าอวด หลวงตาบัวปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฟาดจนแทบล้มแทบตาย หลวงตาบัวไม่ได้หวังพึ่งใครนะ หวังพึ่งธรรมพระพุทธเจ้าเท่านั้น เวลารู้ขึ้นมาแล้วก็เอาธรรมนี้มาสอนโลก เอ้าใครจะเอาก็เอา เมื่อใครไม่เอาก็เป็นกรรมของสัตว์ ของเขาของเรา ช่วยไม่ได้ ก็มีเท่านั้น

วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าจะหนักไปทางธาตุทางขันธ์ เหนื่อยลงไป ๆ เวล่ำเวลาอะไรก็ไม่สำคัญละ มันมืดมันแจ้งอยู่งั้น แต่ธาตุขันธ์เวลานี้ต้องได้ระมัดระวัง ยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอะไร พูดถึงเรื่องภาวนาเลยไปใหญ่ วันนี้พวกเราทั้งหลายได้มาสร้างมหากุศลผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อชาติไทยของเรา มีการทอดผ้าป่ามหากุศลเพื่อชาติไทยของเรา ส่วนวัตถุเงินทองข้าวของที่ท่านทั้งหลายนำมานั้นมากน้อย เข้าสู่คลังหลวงและกระจายไปสถานที่ที่จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมทั้งสิ้น

ส่วนบุญส่วนกุศลที่ท่านทั้งหลายได้นำมาบริจาคนี้ บุญนี้ย้อนกลับมาเป็นบุญเป็นกุศลของท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน หลวงตาจึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ตั้งแต่วันเริ่มแรกที่ได้นำท่านทั้งหลายตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยได้ติเตียนในแห่งหนตำบลใด ภาคใดทั่วประเทศไทย ว่าบรรดาชาวพุทธเราที่มีความรักชาติ ชาวไทยเรามีความรักชาติ ขัดข้องหรือว่ามีกีดมีขวางประเภทต่างๆ พาก้าวเดินเพื่อหนุนชาติ ไม่ยอมก้าวอย่างนี้ไม่มี มีแต่ความเห็นพร้อม การบริจาคเอามีเท่าไรถึงไหนถึงกันเรื่อยมาอย่างนี้

การเทศน์ไม่ว่าไปเทศน์ที่ไหน ประชาชนเข้ามาฟังเทศน์นี้หนาแน่นทุกแห่งทุกหนไป นี่ก็คือน้ำใจของพี่น้องชาวไทยที่รักชาติ รักความเสียสละ มีเท่าไรเอ้า เราไม่เป็นเศรษฐีเรามีเท่าไรก็บริจาคไป ก็หนุนชาติของเราเอง หนุนชาติของเราเอง นี่บุญกุศลจึงเป็นสมบัติอันล้นค่าของเรา บ้านเมืองของเราก็มีความอบอุ่นเย็นใจ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้แล เราไม่เคยได้ตำหนิติเตียนบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย ที่ได้ก้าวเดินนำพี่น้องทั้งหลายมาเป็นเวลาร่วม ๖ ปีนี้แล้ว มีแต่ความชมเชยสรรเสริญกำลังใจ กำลังบริจาคด้วยความสามัคคีของท่านทั้งหลายทั่วทุกๆ ภาคตลอดมา เรียกว่าเป็นกำลังใจ หนุนกำลังใจหลวงตาได้เป็นอย่างมาก

วันนี้จึงขอขอบคุณกับบรรดาพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศ ที่อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายอุ้มชาติของตน  โดยมีศาสนาเป็นแกนอันสำคัญ หรือเป็นผู้นำ ดังหลวงตานำอุบายวิธีการต่างๆ มาสอน และพาท่านทั้งหลายดำเนินนี้ก็ราบรื่นเรื่อยมา จึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องชาวไทยเราทุกๆ ภาคทั่วประเทศไทย และขอความสุขความเจริญจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.luangta.or.th

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก