ยศอะไรจะยิ่งกว่ายศของศาสนธรรม
วันที่ 4 ธันวาคม 2546 เวลา 8:40 น. ความยาว 35.43 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ยศอะไรจะยิ่งกว่ายศของศาสนธรรม

 

         นับดูตั้งแต่ตั้งวันไปจนกระทั่งวันกลับไม่ว่างเลย แล้วไม่ใช่ไปที่หนึ่งที่เดียวในวันหนึ่งๆ ไปนี้แล้วไปนี้ๆ อยู่อย่างนั้น ถ้าไปที่เดียวค่อยยังชั่ว วันหนึ่งๆ หลายงานก็มี

วันที่ ๒๖ มอบทอง ตายตัวๆ สั่งขาดไปหมดแล้ว ไม่เคลื่อน นอกจากจะมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ ที่ทั่วประเทศไทยทราบกันทั่วหน้า อย่างงั้นถึงจะเคลื่อน ถ้าธรรมดานี้ไม่เคลื่อน วันที่ ๒๖ ๑๑ โมงเช้ามอบทองคำ มอบทองคำนั้นก็เอาที่สวนแสงธรรมตามเดิม เราไม่ให้ยุ่ง ไม่ให้เกี่ยวรบกวนอย่างวงราชการต่างๆ เช่น นายกฯ อย่างนี้ไม่ควร เป็นเรื่องของเราโดยเฉพาะ มอบเลยๆ

         คราวนี้ได้ตายตัวไว้แล้วว่า ๑,๐๓๗ กิโล ถ้าหากโผเผมา ยังมีมากกว่านั้นใส่อีกตูม เพิ่มเลย ก็ ๑๐ ตันขวางหน้าอยู่แล้ว เราจะพุ่งใส่ ๑๐ ตัน คราวนี้ถ้าสมมุติว่าแบบบุญดลบันดาลนี้มันได้ขึ้นกว่า ๑,๐๓๗ กิโล เท่าไรใส่ตูมเลย บวกเข้าไปเลย ข้างหน้าก็หดเข้ามาทันที.เรากะว่าอย่างงั้น สำหรับดอลลาร์เราไม่ค่อยกำหนด เพราะทองคำเราหนักมาก จึงไม่ไปอะไรกับดอลลาร์ เมื่อสมควรที่จะหมุนมาดอลลาร์หากเป็นของมันเอง อย่างไปมอบคราวที่แล้วนี้ไม่ได้หมุนนะ บทเวลาจะเอาจริงๆ เลยหมุนๆ ๆ ใหญ่เลย ได้ดอลลาร์ตั้ง ๔๓๒,๐๐๐ เพราะจุดของมันดอลลาร์ขาด ๘ ล้านอยู่เท่านี้ เลยโหมกันใหญ่เลยเชียว ตูมเลย ได้พอดี อย่างงั้นนะ

         เวลาเอาตูมตามก็ได้ลูกศิษย์ของเรา เอาแบบไหนได้ทั้งนั้น ตูมตามก็ได้ อย่างดอลลาร์เราก็ไปหมุนแต่ทองคำ เวลาขากลับมามาหาดอลลาร์ก็นึกว่าจะเข้าตามมีตามเกิด ทีนี้ก็มาถามกัน ดอลลาร์อยู่ในคลังหลวงเวลานี้มีเท่าไร ขาด ๘ ล้านอยู่เท่านั้น เราก็มีไปประมาณสองแสนกว่าแล้ว ต้องการจะให้มันครบ ๘ ล้าน นั่นแหละเรื่องราว ขาดเท่าไร ๆ ทุ่มเลย เลย ๘ ล้าน นั่น ทองคำก็ได้ตั้ง ๑,๐๒๕ กิโล ดอลลาร์ก็ได้ตั้ง ๔๓๒,๐๐๐ คราวที่แล้ว เพราะฉะนั้นคราวนี้ถึงอ่อนกว่านั้นไม่ได้เลย ฟังแต่ว่าไม่ได้เลย ขาดสะบั้นเลยเชียว ต้องให้ได้ ๑,๐๓๗ กิโลเป็นอย่างน้อย หากว่าบุญวาสนาของพวกเราเกิดขึ้นโดยบังองบังเอิญอย่างงี้ มันได้เพิ่มเข้ามา เราก็ใส่ตูมเลยๆ แล้วทางข้างหน้าก็ย่นเข้ามาๆ ส่วนที่ขาดเหลือคราวต่อไปนี้ ถ้าสมมุติว่ายังขาด ๑ ตันหรือเท่าไร เรากะจะมอบสองหนพอดี แต่ยังไงก็ให้อยู่ในนี้

นี่ก็เด็ดอีกเหมือนกัน อย่างมากที่สุดไม่ให้เลย ๔๗ ทั้งหมดนี้เลย เพราะปีนี้เป็นปีที่หลวงตาจะลาเวทีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเร่งเข้าทุกอย่าง ก็ไม่ได้ขาดมาก เช่นอย่างขาดอยู่ตามนี้ ๒ หนเท่านั้นพอ จะริบรวมเข้า ปัจจัยเราก็รวมเข้าๆ ไสเข้าหาทอง ไม่ได้รวมนักก็คือว่าผู้ที่มาขอก็ขอทุกวี่ทุกวัน ก็ไม่ทราบจะแบ่งอะไรไปที่ไหนบ้าง ทีนี้เมื่อหนักไปทองคำทางนี้ก็พักไว้ หมุนเข้าหาทองคำ เพราะอยู่กับความรับผิดชอบของเราคนเดียวในสมบัติเหล่านี้

คิดดูซิตั้งแต่ต้นเรายังประกาศไว้แล้วตั้งแต่ออกช่วยชาติเบื้องต้นเราลืมเมื่อไร บอกว่าทองคำกับดอลลาร์นี้จะเข้าคลังหลวงทั้งหมด ส่วนเงินสดนี้ไม่เข้า บอกนี้เสียก่อน เงินสดนี้จะออกตามกิ่งก้านของประเทศไทยเราทั้งประเทศ คือจะเฉลี่ยไปหมดทุกจังหวัดไหนที่มีความจำเป็นทุกภาค เงินจำนวนเหล่านี้เรากะไว้อย่างนั้น ครั้นทำไปๆ ก็เรารับผิดชอบทั้งสองทั้งดอลลาร์ ทองคำ กับเงินสด เพื่อประโยชน์แก่ชาติไทยของเราโดยตรง เลยเห็นว่าทางทองคำเรายังเบาอยู่มาก เลยหมุนเงินเข้ามาที่ว่าจะไม่ให้ กลับแบ่งเข้ามาได้ตั้งสองพันกว่าล้านซื้อทองคำ แล้วยังเจียดไว้อีก เดี๋ยวนี้กำลังเจียดอยู่ เจียดไว้ๆ  พวกกิ่งก้านสาขาก็มีเหี่ยวแห้งบ้างไม่มากนัก แต่ชุ่มเย็นตรงกลาง ต้นลำอันใหญ่โตสดชื่นแล้วไม่เป็นไร กิ่งก้านมันค่อยงอกค่อยเงยขึ้นไปเองสดเขียวไปเองถ้าลำต้นมันดีอยู่แล้ว

เวลานี้เรากำลังหมุนใส่ลำต้นอย่างหนัก เพราะฉะนั้นจึงเจียดเงินเข้ามาไว้ เมื่อเสร็จนี้แล้วเราก็ลาเวที เราเร่งเพื่อลาอยู่ภายใน ๔๗ นี้ เราจะไม่ให้เลยนี้ เร่งเข้าทองคำ ไม่ขาดมากนักก็จะเร่งเข้าๆ ส่วนดอลลาร์ก็แน่ใจไปแล้ว ยังขาดอยู่ไม่มากนัก ส่วนทองคำนี้รู้สึกว่าขาดมากอยู่ ทั้งน้ำหนักของมันก็หนักมากอยู่ ดอลลาร์ได้แล้วทั้งหมด ๘,๕๙๓,๒๑๑ ดอลล์ ยังขาดอีก ๑,๔๐๒,๗๘๙ ดอลล์จะครบ ๑๐ ล้าน ไม่ขาดมากนัก แต่ทองคำขาดอยู่ตั้ง ๑,๔๕๕ กิโลครึ่งจะครบ ๑๐ ตัน อันนี้หมายถึงว่าเราเข้าแล้วหรือยังก็ไม่รู้ เราเข้าจำนวนนี้แล้วยัง เรานับจำนวนนี้หรือเปล่าว่าขาดอยู่เท่าไรทั้งหมด เวลานี้ขาดในจำนวนนี้ไม่มากนัก แต่ยังไงมันก็จะได้ เมื่อเราเอาจำนวนนี้ ๑,๐๓๗ กิโลเข้าไปแล้วมันจะขาดเท่าไร (๑,๒๑๘ ค่ะ) นี่ก็เรียกว่าไม่มากนัก ถ้านับจำนวนที่เราผ่านมาแล้ว กะว่าจะมอบสองหนพอ ประมาณครั้งละสี่ร้อยห้าร้อย ตามแต่เหตุผลของมัน แต่กะว่าจะมอบสองหนเท่านั้น ให้เสร็จภายใน ๔๗ นี้

ทุกอย่างจะให้เสร็จสิ้นหมดเลยใน ๔๗ จะไม่ให้เลยไป เพราะมันเหน็ดมันเหนื่อยพอแล้ว เข้า ๖ ปีแล้ว ตามประกาศก็วันที่ ๑๒ เมษา เต็ม ๖ ปี เมษานี้อาจจะได้เข้าอีกค่อนข้างแน่ จะได้เข้าอีกทีหนึ่ง เพราะตอนเร่งก็เร่งเรื่อย มันจะเร็วเข้าเรื่อย ถ้าหัวหน้าพาเร่งก็เร่ง หัวหน้าพาช้าก็ช้าอยู่กับหัวหน้า นี่เราก็เร่งอย่างเต็มที่จุดนี้ เราค่อนข้างแน่ใจแล้วในจุดนี้ จะพอ พอจากนั้นไปแล้วมันก็เบาบาง เหตุผลกลไกที่จะได้สมบัติมามากน้อยก็ลดลง เพราะงานใหญ่ผ่านไปแล้ว คืองานกฐินของชาติผ่านไปแล้ว ทีนี้ก็เบาลง กะว่ามอบ ๒ หนพอ

ทางด้านพระเณรเราก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจ เราเข้มงวดกวดขันกับทางพระอยู่ตลอด เราไม่เคยอ่อนแอนะทางพระ ไม่ให้มีอะไรไปทำลายให้ลดเรื่องความพากความเพียรสำหรับพระ เรารักสงวนการจิตตภาวนาทางด้านจิตใจ รักสงวนพระมาก จึงไม่ยอมให้อะไรเข้าไปผ่าน วงของมันก็มีแล้ว ห้ามเข้าๆ เป็นสถานที่บำเพ็ญของพระ เพราะฉะนั้นพระจงพากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ จะไม่มีมรรคมีผลเหลืออยู่ในพุทธศาสนาของเรา ซึ่งเป็นศาสนาเลิศเลอด้วยมรรคด้วยผลตลอดมาตั้งแต่องค์ศาสดาของเรา องค์นั้นสำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นี้สำเร็จอรหันต์ เรื่อยมา เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ตลอดมาด้วยความสมบูรณ์พูนผล ซึ่งเกิดจากเหตุแห่งการปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางของศาสดาที่สอนไว้

การบำเพ็ญก็เอาจริงเอาจังเพื่อมรรคเพื่อผลจริงๆ มรรคผลก็แสดงออกมาอย่างสง่างามในครั้งพระพุทธเจ้าเรา สง่างามมาด้วยมรรคด้วยผลจากพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรื่อยมา แล้วมานี้ค่อยเรียวแหลมเข้าไปๆ เวลานี้มันจะกลายเป็นเรื่องกิเลสย้อนหลังเข้าไปทำลายศาสนา มีกฎมีเกณฑ์อะไรตั้งขึ้นมา มีแต่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำลายศาสนา โดยที่เจตนาของเจ้าของไม่มีว่าจะทำลายศาสนา แต่เจตนาที่จะให้เป็นไปตามความมักความหมายซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสนี้เต็มหัวใจพระเรานะเวลานี้ มันน่าสลดสังเวชเหลือเกิน

พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรงไหนๆ นั้นคือศาสดาองค์เอกๆ อยู่นั้น เราข้ามเกินไปตรงไหนนั้นคือข้ามหัวพระพุทธเจ้า เวลานี้กำลังเริ่มข้ามหัวพระพุทธเจ้าหนักเข้าๆ ด้วยการเอากิเลส ความเห็นแก่ยศแก่ลาภ บรรดาศักดิ์ สมณศักดิ์ อะไรเหล่านี้ เข้าไปเหยียบทำลายศาสนาพระพุทธเจ้า ซึ่งมีศักดิ์เลิศเลอของโลกอยู่แล้วให้เป็นอันตรายไปเรื่อยๆ ทีละเล็กละน้อย คืบไปคลานไปเพราะอำนาจของกิเลส ทุกวันนี้หนาแน่นเข้าทั้งเราและท่าน ทั้งพระและประชาชน เอาตำรามากางซิ ตำราพระพุทธเจ้าที่ทรงมรรคทรงผลไว้อย่างสมบูรณ์จากผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตลอดมา

เวลานี้มีแต่ทำลายแง่นั้นทำลายแง่นี้ ดังขึ้นตรงไหนมีแต่กิเลสดังขึ้น ดังขึ้นตรงไหนมีแต่กิเลสแผ่พังพานๆ เพื่อลาภเพื่อยศ โลกามิสนั่นแหละมันเป็นส้วมเป็นถานโปะหัวพระอยู่เวลานี้ พระจนไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว มรรคผลนิพพานนี้เป็นหลุมเป็นบ่อเป็นส้วมเป็นถานไปแล้ว กิเลสกำลังพอกพูนตัวอยู่ในหลุมในบ่อให้สูงขึ้นไป กลายเป็นจอมมูตรจอมคูถสูงขึ้นจากหลุมนั่นแหละ ทำลายศาสนาให้จมลงไปแล้วกิเลสพอกพูนตัวแทนขึ้นมา เวลานี้กิเลสกำลังสูงขึ้น มียศมีลาภสูงเท่าไรยิ่งเป็นบ้าหนัก พระเรานี้แหม น่าสลดสังเวชจริงๆ พระพุทธเจ้าทั้งองค์มันไม่ได้อายเลย มันเป็นบ้ากับยศกับลาภ

ตั้งตรงนั้นแล้วตั้งตรงนี้ ตั้งตรงไหนเทียบเข้ากับธรรมวินัย กลืนธรรมวินัยเข้าไป ๆ จนได้ ที่จะส่งเสริมธรรมวินัยไม่เห็นมี ว่างั้นนะ ก็เรียนมาด้วยกัน มาอวดก้ามใส่กันหาอะไร เรียนมาด้วยกัน มันก็พูดได้ด้วยกันซิ ผิดถูกชั่วดีทำไมจะไม่รู้ อย่าเป็นบ้านักนะพระเรา เวลานี้พระเรากำลังเป็นบ้ายศเอามากทีเดียว จนจะไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยิ่งว่าจะได้สมณศักดิ์ชั้นนั้นชั้นนี้ที่อะไรที่จะพระราชทานพัดยศให้พระ ตื่นตั้งแต่ตี ๓ ไปแล้วพระ มันเป็นบ้าอะไรนักหนา เต็มอยู่นั่นแล้ว อู๊ย น่าทุเรศ มันเป็นจริงๆ เราพูดไม่ได้เหรอ ผู้มันเป็นอย่างน่าอายยังเป็นได้ ผู้พูดพูดแบบเป็นอรรถเป็นธรรมทำไมจึงพูดไม่ได้

เรื่องยศเรื่องศักดิ์เรื่องอะไรนี้แหม รุมกันเลย เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่สนใจ พระองค์หนึ่งทั้งเขาทั้งเรา พระเขาพระเรา ไม่ทราบมีศีลกี่ข้อ หรือหมดตัวไปแล้วก็ไม่รู้ ยังเหลือแต่หัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ คลุมหัวอยู่ กวนบ้านกวนเมืองกวนศาสนาอยู่เวลานี้มีใคร ก็พวกเรานี่แหละ พวกเรานี่กลายเป็นหมากัดกันนะเวลานี้ แทนที่จะเป็นเจดีย์ของโลกให้เขากราบไหว้บูชา กลายมาเป็นหมากัดกัน แย่งยศแย่งลาภกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย น่าทุเรศที่สุด พุทธศาสนาของเราในแดนแห่งชาติไทยของเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ กำลังเหลวไหลมากเวลานี้ นี่คือบ้ายศ เอาธรรมพระพุทธเจ้ามากางแล้วก็รู้ทันที พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นบ้าหายศอย่างนี้เหรอ

ยศอะไรที่ยิ่งกว่ายศของมรรคของผลของศาสนธรรม ของมรรคผลนิพพานมีที่ไหน ไอ้กิเลสตัวมันพาดิ้นอยู่นี้ มันก็คือส้วมคือถานมันวิเศษวิโสอะไร ถ้าวิเศษวิโสศาสนาไม่จำเป็นต้องมี เอานี้ขึ้นเหยียบไปเลยได้นี่ แต่นี้มันไม่วิเศษน่ะซี พอกพูนเท่าไรยิ่งเป็นส้วมเป็นถานกองใหญ่ขึ้นมาแล้วก็ทำลายกันนั่นเอง กลายเป็นหมากัดกันไปเลย อู๊ย น่าทุเรศนะ มรรคผลนิพพานพระพุทธเจ้าก็แสดงไว้เต็มเม็ดเต็มหน่วย บวชก็บวชมาเพื่อมรรคผลนิพพาน รุกฺขมูลเสนาสนํ ท่านสอนไว้แล้ว บรรพชาอุปสมบทแล้วให้เธอทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมด้วยความสะดวกเถิด แล้วให้ทำความอุตส่าห์พยายามอย่างนั้นตลอดเถิด

ท่านไม่ได้บอกว่า บวชมาแล้วให้เป็นบ้ากับยศกับลาภกับสมณศักดิ์ชั้นนั้นชั้นนี้ ให้อุตส่าห์พยายามเอาจนขาขาดแขนขาด อย่าไปถอย อุตส่าห์พยายามอย่างนั้นตลอดชีวิตของเธอทั้งหลายเถิด ถ้าได้ของดิบของดีแล้วเอามาอวดตถาคตบ้างเถิด ไม่เห็นมี เวลานี้มันกำลังกำเริบเสิบสานนะพระของเรา กำลังจะยกทัพกัดกันเวลานี้ ฟังซิ รู้กันทั่วดินแดน จะยกทัพกัดกัน ขู่กันทางนั้น ขู่กันทางนี้ มันน่าทุเรศจริงๆ นะ เป็นยังไงพระวัดป่าบ้านตาดเรานี่ ตอบมาซิ หลวงตาเป็นหัวหน้า หลวงตาเป็นเจ้าคุณบัว ถ้ายศไม่พอ พาเจ้าคุณบัวแห่เข้าไปรบในหลวงนะ  รบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขนเอาสมณศักดิ์มา ท่านจะเอาตั้งแต่ส้วมแต่ถานโปะหน้าพระที่หน้าด้าน เพราะพวกนี้มันหน้าด้านมากไม่มียางอาย อู๊ย น่าทุเรศจริงๆ

ธรรมวินัยมีอยู่เห็นอยู่ด้วยกัน ทำไมจะพูดกันไม่ได้ ถ้าอุตริหาพูดอย่างนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี้ถอดออกมาจากอรรถจากธรรมความดีงามทั้งหมด ผิดก็รู้ว่าผิด บอกตามเรื่องของความผิด ถูกก็รู้ว่าถูก บอกตามเรื่องของความถูก แล้วก็เรียนมาด้วยกัน ทำไมมันถึงดื้อด้านเอานักหนาพระหัวโล้นเรา อยู่ในประเทศไทยเรานี่น่ะ ทั้งหลวงตาบัว นับกระจายออกไปทั่วประเทศไทยไม่เว้น พวกนี้พวกหัวโล้นอาศัยขอทานเขากินทุกวันๆ แทนที่จะบำเพ็ญคุณงามความดีตามเจตนาของเขาที่ให้ทาน ด้วยความกราบไหว้บูชาเลื่อมใสพระผู้ปฏิบัติดี กลับกลายเป็นให้อิดหนาระอาใจต่อการเสียสละทำบุญให้ทาน เพราะพระพวกเรามันเหลวไหลมากเวลานี้

ผ้าเหลืองที่ไหนก็ได้มีเต็มบ้านเต็มเมือง คนนั่นซี ผ้าเหลืองมาห่อขี้นี่วะ ใครจะอยากกราบอยากไหว้ พระให้ตั้งใจนะพระวัดป่าบ้านตาดเรา อย่าเหลวไหลไม่ได้นะ นี่เราก็พยายามสอนพระสอนเณรเราไม่ลดเลย เข้มงวดกวดขันทางภาคปฏิบัติ ทั้งธรรมทั้งวินัย เทิดทูนพระพุทธเจ้าด้วยข้อปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยตลอดมา มีแต่เพียงว่าเราไม่ค่อยได้อยู่ ทำการทำงานเกี่ยวข้องกับชาติและกับศาสนาไปด้วยกันนั่นแหละ ไม่ค่อยมีเวล่ำเวลา จึงได้กำชับกำชาพระเณรไว้ แต่ท่านก็ปฏิบัติดีของท่านอยู่ จะไปตำหนิติเตียนท่านยังไง แต่เตือนไว้ในฐานะครูอาจารย์ เหมือนพ่อแม่กับลูกเตือนกันนั้นแหละ ลูกจะดีขนาดไหนพ่อแม่ก็จะต้องเตือนอยู่เรื่อยๆ กลัวลูกจะลืมเนื้อลืมตัว

อันนี้ลูกศิษย์ลูกหาก็เหมือนกัน กลัวจะลืมเนื้อลืมตัวก็เตือนไปๆ  ถ้าได้รับคำเตือนเสมอสมกับที่ตั้งหน้าตั้งตามาหาครูหาอาจารย์แล้ว ผลรับกันก็คือความดีงามแห่งการประพฤติปฏิบัติของเรานั่นแหละ วันนี้ไม่พูดอะไรมากนัก เอาแค่นั้นแหละ

โยม ประมาณอาทิตย์กว่ามานี้จิตรวมค่ะ แต่รวมไม่เป็นเวลา เช่น  กำลังกวาดตาดอยู่ก็ยืนถือไม้กวาดอยู่อย่างนั้นแล้วจิตก็รวม

หลวงตา มันรวมมันนิ่งเหรอ

โยม มีสองแบบค่ะ รวมแบบกระแทกลมหายใจกับรวมแบบนิ่งค่ะ แต่ว่ารวมไม่เป็นเวลาเลยเจ้าค่ะ

หลวงตา กระแทกลมหายใจผลมันแสดงออกมายังไง

โยม สติเด่น ลมเข้าลมออกเด่นเจ้าค่ะ

หลวงตา เท่าที่เจ้าของสังเกตดู อะไรเป็นผลดีกว่ากัน กระแทกกับนิ่ง ส่วนมากจะเป็นนิ่งดีกว่า

โยม นิ่งดีกว่าเจ้าค่ะ แต่ไม่สามารถจะควบคุมได้

หลวงตา ให้ตั้งสติไว้ให้ดี เหล่านี้มันจะเปลี่ยนแปลงของมันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป มันจะเปลี่ยนของมันไปเรื่อยๆ แต่สติกับความรู้ที่กำกับกับเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ที่มันจะแสดงขึ้นมานี้อย่าปล่อย เข้าใจไหม สติสำคัญมากนะ มันเคลื่อนไหวไปยังไง สติอยู่กับจิต จิตเป็นนักรู้ สติเป็นเครื่องเสริมรู้ได้เร็วๆ แก้ได้เร็ว มันเป็นยังไงช่างมัน เราภาวนาเข้าไปหารังใหญ่ของทั้งธรรมและกิเลสซึ่งเป็นรังใหญ่ มหาเหตุอยู่ตรงนั้น กิเลสจะแสดงฤทธิ์ยังไงจะเห็นเวลาภาวนา ธรรมจะระงับดับกันได้แค่ไหน จะเห็นจากการภาวนา จะเห็นกันทั้งสองอย่าง แพ้หรือชนะก็เหมือนกัน ถ้าเราแพ้สู้กิเลสไม่ได้ก็เห็นในตัวของเราเอง ถ้าเราชนะกิเลสราบก็เห็นในตัวของเราเอง เช่น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา เอาเท่านั้นไม่เอามาก

โยม ยังมีอีกเจ้าค่ะ เมื่อสองวันก่อน จิตรวมเป็นแบบนิ่งนะคะ แล้วคราวนี้เป็นสมาธิแบบลืมตา คราวนี้ก็เลยกำหนดอสุภะเป็นโครงกระดูกตามที่หลวงตาชี้แนะมา แต่คราวนี้มีโครงกระดูกอีกโครงหนึ่งเกิดขึ้นมาข้างๆ กับโครงกระดูกสีขาวที่กำหนดเอง แต่โครงกระดูกนี้เป็นสีดำเหมือนกับไหม้แล้ว แล้วพอมองต่อไป โครงกระดูกสีดำที่เกิดขึ้นเองที่เห็นนี้ก็เหมือนกับหลุดแล้วร่วงลงไปกองเป็นกองกระดูกสีดำ ต่อไปก็เหลือแต่ผงขี้เถ้าสีดำกองอยู่ข้างๆ กับนิมิตโครงกระดูกสีขาวที่กำหนดเองเจ้าค่ะ แล้วอย่างนี้ควรจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ

หลวงตา อันนี้ถูกต้องแล้ว ลงไปที่สุดของธาตุส่วนผสมอันนี้นะ แล้วถูกเผาถูกไหม้ลงไปมันก็ลงเป็นเถ้าเป็นถ่าน จากนั้นก็กลายเป็นสภาพดินสีของดินธรรมดาไปเลย เข้าใจเหรอ ให้พิจารณาอย่างนี้แหละ ไม่ต้องตกใจไม่ต้องกลัว ความเปลี่ยนแปลงแห่งความรู้ความเห็นมันแสดงออกจากจิต จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เราไม่ต้องตื่นเต้น นักรู้อยู่กับเราสติอยู่กับเรา ดูเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้าใจเหรอ เอาแค่นี้เสียก่อน

โยม จิตโลดโผนมากเจ้าค่ะ พอจากนี้ คือเขาไปเห็นเองอีก เขาเริ่มจะต่อเนื้อแดง ต่อเส้นเอ็นกับโครงกระดูกสีขาวนะค่ะ เริ่มจะเป็นมนุษย์นะค่ะ

หลวงตา ก่อตัวนั่นแล้วไม่ก่อตัวอย่างไร เกิดแล้วตายที่นี่แล้วไปเกิดที่นั่นอีก มันก่อตัวอยู่นั่น เข้าใจไหม

โยม เลยไม่แน่ใจว่าควรจะพิจารณาเฉพาะโครงกระดูกอย่างเดียวก่อน หรือว่าโครงกระดูกแล้วต่อเสร็จเลยเจ้าคะ

หลวงตา มันต่อไปไหนก็ให้ดูมันอยู่ ความเปลี่ยนแปลงของโครงกระดูก มันจะเปลี่ยนแปลงไปไหน ออกไปจากใจผู้ไปก่อเรื่องขึ้นมาให้เป็นภพเป็นชาติ เข้าใจหรือ อย่าไปตกใจกับมัน มันก่อเรื่องอะไรก็ให้รู้ ถ้าขี้เกียจพิจารณามาก มันเหนื่อยแล้วถอยจิตเข้ามาหาความรู้นี้เสียมีพุทโธเป็นต้น เรื่องเหล่านั้นจะระงับไป เข้าใจ ? เอาเท่านั้นแหละนะ

โยม มีข้อสุดท้ายเจ้าค่ะ

หลวงตา เอ้า ข้อไหน ว่าไปให้มันสุด

โยม พอจิตรวมแล้วนี้ค่ะ ก็จะรวมจนไปถึงขั้นว่าง แต่คราวนี้พอว่าง มันก็เป็นว่างของปลอมเจ้าค่ะ พอสักพักก็เข้าใจว่า กำหนดรู้อยู่กับความว่าง แต่สักพักหนึ่งกิเลสก็แทรกเข้ามาเองเจ้าค่ะ บางทีก็มีธรรมเข้าแทรกก็คือเป็นทั้งธรรม ทั้งกิเลสแล้วก็ความว่าง สับสนเจ้าค่ะ

หลวงตา เออ พอกิเลสไม่แสดงตัวออกจากใจมันก็ว่าง พอกิเลสแพล็บเข้ามาสวนเข้ามาก็ไม่ว่าง ถ้าจะว่าทำงานกับกิเลสเราก็ไม่อยากพูด ให้พูดถนัดจะพูดว่ายังไง ที่มันว่างอยู่นั้นคือจิตสงบธรรมครอบเอาไว้ ที่มันไม่ว่างนั้นกิเลสแสดงออกมา ถ้าภาษาโลกๆ ก็ว่ากิเลสทำงาน ภาษาของธรรมที่เป็นคู่ต่อสู้กันบอกว่า ที่มันโผล่มามีเรื่องราวนั้นคือกิเลสมัดคอคน เข้าใจไหม สู้มันไม่ได้ เอ้า มีอะไรอีก เอาแค่นั้นก่อน นี่มันยังไงกันนี่

โยมชาวอินโดนีเซียถามปัญหาธรรมะ

ถาม จิตไม่สนใจในร่างกาย สนใจแต่จิตใจ มี ๓ อย่าง คือ ดี ไม่ดี และเฉยๆ พิจารณาในจิตใจ

หลวงตา โอ๋ย อันนี้มันก็ธรรมดาแหละ เราไม่อยากฟังเท่าไรนัก เราอยากดูเวลาความเคลื่อนไหวของจิต เคลื่อนไหวไปทางกิเลสหรือทางธรรม บังคับกันได้ด้วยวิธีใด อยากฟังอันนั้น อันนี้ดีไม่ดีเฉย ๆ มันธรรมดา

ถาม จะให้ทำอย่างไรทั้ง ๓ อย่าง

หลวงตา ๓ อย่างมันเป็นผลมาจากการพิจารณา เราพิจารณายังไงทุกวันนี้ที่เราดำเนินอยู่พิจารณายังไง เรื่องอสุภะอสุภังเป็นยังไงมันมีเงื่อนต่อไปยังไงบ้าง

โยม ทางร่างกายไม่สนใจ สนใจแต่ด้านจิตใจใน ๓ อย่างนี้ อยากรู้จะทำต่อไปอย่างไร

หลวงตา สนใจในด้านจิตใจนี้ คือ ดีใจ ไม่ดีใจ เฉย ๆ ก็ให้รู้อยู่กับมันเสีย ให้รู้อยู่ตรงนี้แหละ สิ่งเหล่านั้นมันแวดล้อมอยู่ มันคอยจะมายุแหย่ให้เปลี่ยน เวทนา ๓ นี้จะเปลี่ยนเรื่อย ๆ เพราะอาการเหล่านั้นมาสัมผัส เข้าใจไหม ที่ควรจะดีใจมันก็ดี ที่ไม่ควรดีใจมันก็จะเสียใจ บางทีมันก็เฉย ๆ ธรรมดา ขี้เกียจพิจารณาเฉยก็มี เอ้า พิจารณาอยู่ในจิตนี้ก่อนนะ

ถาม อยากรู้ว่าจะให้ทำอย่างไร

หลวงตา ออกจากนี้ก็ให้พิจารณาร่างกายอีก ร่างกายมันยังไม่ได้สิ้นสุดนะ มันเป็นระยะ ๆ ไป หยาบกลางละเอียดไปเรื่อย ๆ เราควรจะพักตามทางไป ตอนไหนที่เราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเราก็พักของเราไป แล้วพิจารณาไปเรื่อยๆ ร่างกาย แล้วถอยเข้ามาหาจิต ออกพิจารณาร่างกาย แล้วมันจะเข้ามาหาจิต เข้าใจเหรอ เพราะจิตเป็นหลักใหญ่ เอาแค่นั้นก่อน แล้วมีอะไรอีกล่ะ

ถาม คือยังไปติดเรื่องจิต ๓ อย่างนี้ค่ะ จะให้ทำอย่างไร

หลวงตา เอ้า ดูจิตมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง มันดีใจ เสียใจ เฉย ๆ ดูตัวนี้มันจะเคลื่อนไหวยังไง เข้าใจเหรอ ให้ดูแต่จิตเสียก่อน เรื่องร่างกายที่ควรจะปล่อยไว้ก็ปล่อยไปเสียก่อน ทีนี้ให้มาดูที่จิตทำงานในจิตโดยเฉพาะ เพราะจิตนี้เป็นรวงรังของทั้งธรรมทั้งกิเลส ส่วนมากเป็นกิเลส มันแสดงอาการอะไรออกมาให้ดูที่จิต เข้าใจเหรอ ไม่ให้มันเผลอ แล้วมาคราวหลังให้ได้ความนะ เมื่อจ่อเข้าไปนี้จะรู้จะได้ความ เข้าใจ? เอาให้รางวัลล่วงหน้าไปก่อน เอาละไปละได้เวลา

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน  ได้ที่

www.luangta .com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก