เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
สงสารชาวอังกฤษ
ทางโรงหลอมเราก็สั่งเด็ด ๆ ไปแล้ว เขาก็เหมือนว่ารับรองเลย คือตอนนี้ว่าทองในสต็อกขาดไป แล้วเขาให้เหตุผลมาก็น่าฟัง แต่แน่ใจว่าจะได้ ฟาดเสียจนโรงหลอมจะจมเลยเห็นไหมล่ะ ลงได้เข้าตรงไหนแล้ว อันนี้เราก็ยังระลึกถึงหนองคายไม่ได้ ที่ไปช่วยพวกอพยพมาจากฝั่งลาวที่ถูกลัทธิที่นั่นมันขับมา ข้ามมาอยู่ทางหนองคาย โห เป็นหมื่น เป็นหมื่น ๆ เชียวนะไม่ใช่ธรรมดา เราก็ให้คนไปสำรวจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ สำรวจเรียบร้อยแล้วก็ยกทัพไปเลย รถนี้จอดเป็นแถวยาวเหยียดสิบล้อ ๆ ๆ ขนาดนั้นนะ คือไปสำรวจเรียบร้อยแล้วมาไม่ให้ผิด แจกเสียจนกระทั่ง โฮ้ เที่ยวแรกสองวัน เที่ยวต่อมาสาม ดูเหมือนแจกสามเที่ยวนะ เที่ยวแรกดูเหมือนสองวัน เที่ยวสองเที่ยวสามสามวันถึงหมดนะ ถึงครบ ถึงหมด เอาจริงเอาจังมาก
ทีนี้ที่เราสั่งปัจจุบันอีกแหละที่มันไปตีตลาดหนองคาย ร้านหนองคายล้มระนาวไปเลย คือเอาปัจจุบันมันขาดอะไรแล้วสั่งเดี๋ยวนั้นตูมเลย เข้าไปตลาดนี่ก็พวกกล้วย พวกอะไรๆ เอาหมดเลย ยกรถเข้าไปเลย แล้วพวกเครื่องกระป๋งกระป๋องขาดเท่าไร ๆ นี่ก็ยกขบวนเข้าไป เพราะฉะนั้นร้านไหนถึงล้ม ก็เขาไม่ได้หามาเพื่อให้เต็มรถๆ นี่ เขาหามาขายธรรมดา บทเวลาเข้าไปบุกนี่หงายหมดเลย จนเขาถามจะเอาไปอะไรนักหนา เขาว่างั้น คือมันพิลึกกึกกือ เอาไปอะไรนักหนา บอกอาจารย์มหาบัว โอ๊ ขึ้นทันทีเลย พอว่าอาจารย์มหาบัว โอ๊ย ขึ้นทันทีเลย หมด
นี่ก็เหมือนกัน ตึกไหนๆ ไปเอาหมดเลย หาเก็บเอาตามตึกนั้นที่เราต้องการ เก็บเอาสดๆ ร้อนๆ แถวนั้น เราค่อยจ่ายเขาทีหลัง ก็เขารู้หมดนี่ว่าไง แล้วลูกศิษย์ลูกหาหนองคายน้อยเมื่อไร จึงขบขันดี ฟาดเสียจนตลาดหนองคายล้มเลยเชียว ของในนั้นกว้านเอาหมดเลย เช่นอย่างกล้วยเอาหมด อะไรๆ เอาหมด ที่มันจำเป็นตามที่เราเข้าไปสำรวจอีกนะในโรงเขาน่ะ ไม่ใช่เราขนไปนี้ เราไปสำรวจเป็นกรณีพิเศษ พวกเด็กเจ็บไข้ได้ป่วย คนเจ็บไข้ได้ป่วย อันนี้เราเอามาปัจจุบัน เจ็บไข้ได้ป่วย พวกนม พวกเนย พวกอะไรนี่ขนมาเลย ดูเหมือนไปสามหน ข้าวนี่สิบล้อ ๆ เหมาโรงสีเลย
วัดป่าสีธน บ้านหนองตูม ตำบลบ้านจั่น พระอธิการอุทิศ สุนทโร พร้อมญาติโยมถวายทองคำหลวงตาน้ำหนัก ๕ บาท (สาธุ) อนุโมทนา
(โยมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์มาถวายทองคำ ๓ บาทและผ้าไตร) ยังอยู่ได้ประจำ ๆ นะ ไอ้หลวงตาไปอังกฤษเที่ยวเดียวเข็ดจนกระทั่งป่านนี้ นั่งเครื่องบินจากอังกฤษมานี่ ๑๔ ชั่วโมง ตอนนั้น เราตั้งนาฬิกาไว้ตั้งแต่เริ่มนั่งปั๊บแล้วตั้งไว้ เครื่องบินออกจนกระทั่งมาถึงเมืองไทย ๑๔ ชั่วโมงกว่า เข็ดตั้งแต่นั้นเลย เขาจะมาเอาไปไหน อังกฤษนี้มานิมนต์ทุกปี เขาจะเอาไปอังกฤษ เลยบอกชัดๆ เลยว่า ไม่ไปเข็ด อย่ามานิมนต์อีกนะ จากนั้นเขาก็เลยไม่นิมนต์ เขาก็มาแต่ไม่นิมนต์ อังกฤษทั้งผู้หญิงผู้ชายเขามาที่นี่ มันเข็ด เจ็บเอว เที่ยวไปมันไม่เห็นทุกข์
เรียกว่าชั้นที่หนึ่งหรืออะไร นั่นแหละ เวลาเราไปไม่มีผู้มีคนชั้นหนึ่ง มีอยู่สองสามคนเขาก็อยู่มุมนู้น เราก็ฝรั่งสามหรั่งอยู่สนุกสบาย อยากหลับอยากนอนสบาย มันไม่เห็นทุกข์ล่ะซี บทเวลาขากลับมา ชั้นนั้นละแน่นหมดเลย ขยับเขยื้อนอะไรก็ไม่ได้ โอ้โห ได้นั่งนั้นมาเป็นเวลา ๑๔ ชั่วโมง จากนั้นมาเลยเข็ด คือเจ็บบั้นเอว แต่ก่อนเรามีเจ็บเอวอยู่ด้วย เอวนี้ระบมไปหมด ตั้งแต่นั้นมาเข็ด เขามานิมนต์ไป บอกไม่ไปเราบอกเราเข็ดนั่งเรือบินนาน
อย่างสหรัฐเขามาเอาอย่างเข้มข้นก็มี อย่างธรรมดาก็มีที่เขาจะมานิมนต์เราไป เข้มข้นคือว่าจะเอาไปด้วยเลย อย่างนั้นก็มี ไม่ไป ที่ไหนไกล ๆ แล้วไม่ไป มันเข็ด อันนี้อยู่ประจำทำไมไม่เข็ด เราเข็ด เวลาไปนั้นดูเหมือนเป็นพ.ศ. ๒๕๑๗ ไปอังกฤษ ไปอยู่นั้นสองอาทิตย์กว่า เราตั้ง(ใจ) ไปดูบ้านเมืองของเขา ทัศนศึกษาเพื่อเหตุเพื่อผล ขี้เกียจขี้คร้านเท่าไรก็ต้องไปถึงเวลา กำหนดไว้ เช่นตอนเย็นบ่ายสี่โมงออก พระฝรั่งแล้วโชเฟอร์ก็เป็นคนอังกฤษ ไปดูซอกแซกซิกแซ็ก คือไปหาดูที่สำคัญ ๆ ไปดูหมด แม้ที่สุดโรงงานใหญ่ ๆ เขาก็เข้า แต่ไม่ลงนะ เข้าไปดู
โชเฟอร์เขาเป็นลูกศิษย์ โชเฟอร์ขับรถเขาเคยมาที่นี่ เขาเคารพมากอยู่ เรื่องรถทางอังกฤษก็ไม่อด สถานทูตไทยและลูกศิษย์ในอังกฤษก็มีเยอะ รถมารอตลอด เราอยากไปคันไหนได้ทั้งนั้น แต่เราจะไปตามเวลาของเรา มาแล้วก็ถามที่ไหนบ้าง ๆ ไปดู คือไปดูเป็นทัศนคติ ทัศนศึกษาแล้วก็เป็นทัศนคติ ดูซอกแซกซิกแซ็กไปหมด ยิ่งจวนจะกลับเท่าไร ค่ำ ๑๘ นาฬิกาประชุมกัน ๖ โมงเย็นประชุม เลยจากนั้นแล้วยังไปอีก ออกจากที่ประชุม เขามาฟังเต็มหมดนะ คนไทย ฝรั่งมังค่า โอ๊ย ฝรั่งนี่เพิ่มขึ้นๆ เพราะลูกศิษย์ในอังกฤษ ในกรุงลอนดอนนั้นมีมากอยู่ เขามีความเลื่อมใส แต่เขาไม่ได้มา เวลาเราไปจึงมามากมาย เพิ่มขึ้นๆ สุดท้ายเก้าอี้ที่มาตั้งไว้นั้นล้มระนาวไปเลย ฝรั่งนี้นั่งไหนนั่งได้หมดเหมือนเรานะ เขาไม่สนใจ นั่งเหมือนเราเลย เพราะมันมากต่อมาก
จึงรู้สึกเสียดาย เขาเป็นคนสุภาพ เป็นคนมีกฎมีเกณฑ์ มีวินัยมีประจำชาวบ้านเขาแล้วประเพณีของเขา เวลาได้พุทธศาสนาที่แท้จริงเข้าไปมันก็เรียบไปเลย นั่งเหมือนผ้าพับไว้ เหมือนหัวตอ ไม่ว่ารายใดเรียบตลอด ตอนเช้าก็เต็ม ตอนจังหันนู่นอาหารวาง ทั้งคนไทยทั้งอังกฤษ ตอนค่ำมากจริง ๆ เต็มหมดเลย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เล็กน้อย เรารู้สึกสงสารชาวอังกฤษเหมือนกันที่เขาตั้งอกตั้งใจฟังเทศน์ แต่เสียใจที่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง ต้องให้ล่ามแปล มันไม่ได้จิ้มเลย ๆ ถ้าจิ้มเลยนี่ โหย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ
ขนาดนั้นเรายังได้เห็นพวกคนอังกฤษหัวเราะลั่นเลย เราตอบปัญหา เขาหัวเราะกันลั่นเลย พวกอังกฤษหัวเราะ เขาก็คนเหมือนเรานี่ แต่เราได้ไปเห็นอังกฤษหัวเราะ คือตอบปัญหา เวลาเทศน์จบลงแล้วตอบปัญหาเขา เวลาฉันจังหันเสร็จเรียบร้อยแล้วหนึ่ง ตอนค่ำหนึ่ง ตอบปัญหาเขา พวกนี้เรียบมาก ฝึกหัดภาวนากัน นี่เราเสียดายถ้ามีพระตั้งใจปฏิบัติ เป็นพระที่ดีทั้งภายนอกภายในแล้ว ดีไม่ดีเมืองลอนดอนจะเป็นพุทธศาสนาได้ พุทธศาสนาที่มั่นคงขึ้นได้ในนั้นนะ แต่นี้ก็เหยาะแหยะ ๆ ทุกแห่งเป็นอย่างงั้น ก็เพราะพระเราเหยาะๆ แหยะ ๆ มันไม่จริงไม่จัง เจ้าของก็โลเล แล้วจะไปสอนใครให้แน่นหนามั่นคงได้ยังไง
พระพุทธเจ้าเป็นคนโลเลที่ไหน ศาสดาองค์เอกไม่มีโลเล เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม กราบอย่างแนบสนิท ไม่มีเทวดา อินทร์ พรหม ตนใดที่จะมาตำหนิพระพุทธเจ้าได้ ไม่ปรากฏในตำรา มีแต่นอบน้อมตลอด นี่ตัวอย่างของโลก ตัวอย่างแห่งความร่มเย็นของโลกท่านเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลากระจายออกมาเป็นพระสาวกก็รองพระพุทธเจ้าลงมา ตามนิสัยวาสนาของตนที่จะแนะนำสั่งสอนได้ กระจายมามีตั้งแต่เพชรน้ำหนึ่งๆ อย่างเลิศเลอๆ ออกมา ผู้ตั้งอกตั้งใจฟัง ธรรมก็ออกมาจากหัวใจเอง ไม่ได้ไปหาคว้าเอาคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ เพราะคัมภีร์นั้นออกจากหัวใจ พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วยังไงก็จดจากที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วไปเป็นคัมภีร์ มันก็เป็นธรรมนอก ธรรมใน
ธรรมใน คือธรรมในพระทัยพระพุทธเจ้า ธรรมในใจของพระสาวกที่ท่านรู้ท่านเห็นเต็มอยู่ในหัวใจหมดแล้ว ก็เรียกว่าจิ้มเลยๆ ๆ ทันเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง คือศาสดาองค์เอกเป็นตัวอย่างได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นพระอาการของพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาตลอด พระอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นศาสดาเอกได้ตลอด ไม่มีบกพร่องที่ตรงไหนคือศาสดาองค์เอก จากนั้นมาก็เป็นสาวก รองศาสดาลงมา เป็นคติได้ทั้งภายนอกภายใน ท่านไปที่ไหนก็ร่มเย็นเพราะท่านร่มเย็นอยู่แล้ว ไปที่ไหนท่านสง่าอยู่แล้ว ไปไหนก็สง่าไปหมด
นี้มาหาพวกเรามันเหมือนลิงเหมือนค่าง พระก็พระลิงพระค่าง ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกัน หาหลักหาเกณฑ์ก็ไม่ได้ โลเลโลกเลก ดีไม่ดีเลวกว่าประชาชนเขาไปอีก จะไปสอนใครจะให้สนิทใจลงคอ เชื่อถือและปฏิบัติตามได้ล่ะ ไม่ได้ ใครก็เหมือนกัน นี่ละเสียตรงนี้ เราไปดูชาวอังกฤษ โอ๊ สงสาร เราก็ไม่เคยเห็นอังกฤษร้องไห้เหมือนกันนะ เวลาจากไปสุดท้ายนี่ น้ำตาพังเลยเทียว น่าสงสาร เราก็สงสารจะทำไง มันเป็นขั้นๆ ประตูเขา ประตูหนึ่ง ประตูสอง ประตูสุดท้ายนั่นแหละ แหม น่าสงสาร รุมไปเลย เราไปสุดท้ายไปส่ง น้ำตาพังได้เห็นชัดต่อหน้าต่อตา เราก็สงสาร
เขาก็ขอพระท่านปัญญานี่ไว้ให้อยู่ที่อังกฤษ เราก็บอกเราไม่ขัดข้อง ให้พวกเขาคุยกันเองกับท่านปัญญา ท่านปัญญาก็หันมาหาเรา ทางชาวอังกฤษนี่เขานิมนต์ผมให้อยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์จะว่าไง คือเวลาท่านอาจารย์กลับแล้วเขาจะนิมนต์ผมให้อยู่ที่นี่ต่อไป ท่านอาจารย์จะว่าไง เราก็ตอบทันทีผมไม่มีอะไรขัดข้อง ผมสอน สอนเพื่อหมู่เพื่อคณะ สอนเพื่อโลกเพื่อสงสาร ผมไม่ได้สอนเพื่อผม ผมพร้อมเสมอ ถ้าอะไรที่จะออกเป็นประโยชน์ได้แล้วพร้อมเสมอ ผมไม่ขัดข้อง สำหรับท่านล่ะขัดข้องหรือสะดวก ขัดข้องอะไร นั่นถามมาอีก ขัดข้องทั้งภายในภายนอกของการปฏิบัติธรรมของพระล่ะซี ยังขัดข้อง สุดท้ายตอนนี้ติดเรา ว่าขัดข้อง เมื่อขัดข้องแล้วใครผิดใครถูกล่ะ ผมเปิดโอกาสตลอดเวลา ถ้าท่านพร้อมแล้วให้ท่านอยู่ได้ไปได้
พอถาม ท่านว่ายังไม่พร้อม ไม่พร้อมแล้วท่านมาถามผมหาอะไร เลยดุ ทีนี้ฝรั่งก็หัวเราะล่ะซี คือท่านปัญญาพูดให้เขาฟังที่เราดุท่านปัญญา พวกอังกฤษเลยหัวเราะลั่น มีแต่ธรรมสำคัญเวลาออกสดๆ ร้อนๆ โต้ตอบกันในเวลานั้น ตกลงก็เลยไม่ได้ ถามว่าทำไมท่านไม่ไป ยังไม่พร้อม เลยอยู่นี้จนกระทั่งป่านนี้ ท่านปัญญานี่ดูเหมือนได้ ๔๐ ปี ปี ๒๕๐๖ มาอยู่ที่นี่ นี่ตอนที่เราโง่กว่าพระฝรั่ง โง่กว่าท่านปัญญามาโง่ตอนนี้ เราไม่ลืม ทีแรกพระฝรั่งมาขออยู่ในวัดป่าบ้านตาดเรา ท่านปัญญามาก่อนมาขออยู่ เราก็ยังไม่รับ โห เก่งเหมือนกันนะ ขอที่หนึ่งยังไม่รับ มาขอที่สองอีกก็ยังไม่รับ ฟาดถึง ๕ ครั้งเลย
ครั้งที่ ๕ นี่เราติด ใส่ ๕ หมัด หมัดที่ ๕ เราอยู่หมัดเลย สู้ท่านไม่ได้ พอครั้งที่ ๕ ท่านว่า ถึงไม่ให้อยู่ประจำก็ไม่เป็นไร ว่างั้นนะ ขอมาพักชั่วคราว จะให้ไปเมื่อไรก็ได้ ขอมาพักชั่วคราว นี่ละตอนนี้ตอนใส่เรา เราก็ให้อยู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ จนกระทั่งปีนี้ เป็นปี ๒๕๔๖ ใช่ไหมล่ะ ๔๐ ปี ยังชั่วคราวตลอด คงจะชั่วคราวตลอด เมื่อท่านมาอยู่แล้วดูท่านทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านเรียบๆ ตลอดเวลาก็จะไล่ท่านไปไหน เราก็หาคนดี พระดี ของดีอยู่แล้วใช่ไหม นี่แพ้ท่าน นี่ พ.ศ.๒๕๔๖ แล้วได้ ๔๐ เราแพ้ฝรั่งตรงนี้ ท่านปัญญานี่ฉลาดนะ
จากนั้นมาเห็นพระฝรั่งมาอยู่ดูดีแล้ว องค์อื่นมาที่ควรจะรับองค์ไหนเราก็รับ ตั้งแต่นั้นมาก็เรื่อยมาเลย ท่านเชอร์รี่ดูเหมือน ๓๙ ปีอยู่นี่ นอกนั้นก็นานๆ เหมือนกัน อย่างท่านดิ๊กดูเหมือน ๒๐ ปีแล้วมั้ง ที่เข้าๆ ออกๆ อยู่เวลานี้ นี่ก็พึ่งไปเมื่อวานนี้มั้ง พระฝรั่งมาอยู่ที่นี่นานทั้งนั้นแหละ ท่านเรียบทุกอย่าง จะตำหนิติเตียนท่านที่ตรงไหนก็อยู่กันมาเรื่อย ทีนี้ฝรั่งเข้าออก เวลานี้ตั้ง ๕ องค์ ๖ องค์ คือเราไม่รับมากนัก พระเมืองไทยเราก็มีหัวใจ พระที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่ ทั้งภายในประเทศ ทั้งภายนอก ไม่ทราบว่าจะรับทางไหน ต้องแบ่งรับแบ่งสู้พอดิบพอดี แบ่งเพื่อชาติไทยของเรา แบ่งเพื่อภายนอกซึ่งเป็นมนุษย์เป็นคนเหมือนกัน เวลานี้ ๕ องค์หรือ ๖ องค์ไม่รู้นะ (๕ ครับ) ท่านดิ๊กท่านเข้าๆ ออกๆ ท่านชอบในป่าในเขา อยู่ในป่าในเขาตลอด นี่ก็ตั้งใจดี ไปอยู่ทางนาแห้วหรืออะไร นั่นก็อยู่ในป่า มาวันนี้หายไปแล้ว เมื่อวานยังเห็น ท่านมาในงาน
เราพูดถึงเรื่องที่จะเป็นคติตัวอย่างได้ดี พุทธศาสนาเราก็คือพระ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลก เป็นตัวอย่างของโลกทั้งสาม กามโลก รูปโลก อรูปโลก มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม เป็นตัวอย่างได้ทั้งนั้น กราบไหว้บูชาอย่างสนิทใจราบคาบเลย เพราะศาสดาองค์เอกเป็นศาสดาทุกพระอาการที่เคลื่อนไหว แม้ที่สุดจะปรินิพพานก็ทรงวางลวดลายไว้ประจำศาสดาองค์เอก เข้าฌาน ปฐมฌาน ทุติยฌาน....ตลอด ย้อนหน้าย้อนหลัง จากนั้นก็นิพพาน นี่คือศาสดาองค์เอก จะเข้าก็ได้ไม่เข้าก็ได้ฌาน เพราะมีความจำเป็นสำหรับผู้มีและต้องการจะใช้ ถ้าผู้ไม่มีฌาน พระอรหันต์ไม่มีฌานอย่างนั้นก็มี ตามนิสัยวาสนา ผู้ไม่มีก็ไม่จำเป็น เอาตามนิสัยของตนเอง ความบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานแห่งพระอรหันต์อยู่แล้ว เหล่านั้นเป็นเครื่องประดับ
พระพุทธเจ้ายังทรงวางลวดลายไว้เต็มที่ เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เสด็จตามนี้ไปเลย จากนี้ก็ขึ้นอรูปฌาน ๔ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ จากนั้นก็เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนา นี่พระอนุรุทธะตาม พระอนุรุทธะเชี่ยวชาญเรื่องปรจิตตวิชชา รู้จิตของคนอื่น พระจิตของพระพุทธเจ้าเป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ นี่ละดู พิสูจน์กันว่าสูญหรือไม่สูญ เอาตรงนี้พิสูจน์กัน ตอนที่พระพุทธเจ้าพระจิตบริสุทธิ์เสด็จเข้าฌาน จิตบริสุทธิ์เสด็จเข้าฌาน เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน.. คือมันมีสิ่งพาดพิง พาดพิงปฐมฌาน พาดพิงทุติยฌาน พาดพิงตติยฌาน...พาดพิงไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่าพระจิตพาดพิงกับอะไร ถ้าไม่มีสิ่งพาดพิงจะไม่รู้เลยจิตบริสุทธิ์ จะรู้ได้เวลามีสิ่งพาดพิง
สำหรับพระจิตของท่านผู้บริสุทธิ์นั้นท่านรู้กัน แต่โลกทั้งหลายจะรู้ไม่ได้ ไม่มีความหมายเลยโลก จากนี้ก็เข้ารูปฌาน รูปฌานเป็นสิ่งพาดพิงพระจิตไปจนกระทั่งถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ไปทรงสงบพระอารมณ์พระอาการอยู่ที่นั่น แล้วบรรดาพระทั้งหลายมีพระอานนท์สงสัย นี่ไม่ใช่ท่านปรินิพพานแล้วหรือ ทางพระอนุรุทธะตามดูพระจิตที่บริสุทธิ์นี้ตลอดภายในจิต ตามเสด็จพระจิตที่บริสุทธิ์ที่เสด็จผ่านฌานนั้นๆ ไปพอถึงสัญญาเวทยิตนิโรธก็สงบพระอาการทุกอย่าง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่นั่งเฝ้าอยู่นั้นสงสัย พระอานนท์ก็เลยถามว่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะตอบทันทีเลย ยัง นั่นเห็นไหมล่ะ คือดูไปจนกระทั่งสัญญาเวทยิตนิโรธ ดูเข้าไป พระจิตที่บริสุทธิ์เสด็จผ่าน เวลานี้กำลังอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ บอก เวลาเคลื่อนไหวออกมาก็บอก ตามเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงพระจิตที่บริสุทธิ์ แล้วก็เข้าฌานอีก เข้าที่สองนี่จะไปแล้ว พอเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน....ถึงจตุตถฌานแล้ว ระหว่างรูปฌานและอรูปฌาน ไม่เข้าทั้งสองฌาน ผ่านออกตรงนี้
พอผ่านออกไปแล้วหมดสมมุติที่จะพาดพิงของจิตตวิมุตติแล้ว พระอนุรุทธะก็บอกว่า ที่นี่ปรินิพพานแล้ว ไม่มีสิ่งพาดพิงจะรู้ได้ยังไงว่าไปอยู่ที่ไหน นั่นละสูญไหมอันนั้น นั่นละที่พระอนุรุทธะตามพระจิตที่บริสุทธิ์ พระธรรมธาตุ เข้าใจไหมล่ะ พอออกจากนั้นแล้วไม่มีอะไรพาดพิงก็ว่าปรินิพพานแล้ว สำหรับพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่สงสัย แต่ปุถุชนเราทั้งนั้นสงสัย นี่ละพระจิตที่บริสุทธิ์เห็นชัดๆ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าฌาน ตอนวาระสุดท้ายที่จะปรินิพพาน เสด็จเข้าฌานนี้ๆ พระจิตที่บริสุทธิ์ไปฌานนี้ๆ ไปอย่างนี้ๆ แล้วถอยมาพระจิตบริสุทธิ์เข้าปฐมฌาน.... รูปฌาน อรูปฌาน จากนี้ออกเลย พอออกจากนี้แล้วหมดสมมุติ หมดที่พาดพิง ทีนี้ปรินิพพานแล้ว พูดอย่างอื่นไม่ได้ นี่ละพระจิตอันนี้ละสูญหรือไม่สูญดูเอาซิ ผู้บริสุทธิ์ต่อผู้บริสุทธิ์ดูกัน พระอนุรุทธะก็เป็นพระอรหันต์ ตามเสด็จพระพุทธเจ้า
ท่านเป็นตัวอย่างทุกอย่างพระพุทธเจ้า ท่านจะไม่เข้าฌานก็ได้ เพราะอันนี้เป็นกรณีพิเศษที่จะใช้ตามผู้ที่มีและจำเป็นจะใช้ ถ้าผู้ไม่มีหรือผู้มีไม่จำเป็นก็ไม่ใช้ ไปเลยออกเลยตามจังหวะอัธยาศัยของท่านที่จะออก ออกแบบไหนท่านก็ออก พระอรหันต์ท่านจนตรอกที่ไหนวะ ใครจะไปรู้จริตนิสัยของตัวเองได้ยิ่งกว่าพระอรหันต์ท่านรู้ทั้งนั้น นี่เป็นคติตัวอย่างอันหนึ่ง ที่เลิศเลอสุดยอดคือพระพุทธเจ้า จากนั้นพระอรหันต์ก็เป็นคติตัวอย่างให้ความร่มเย็น ให้ความเคารพนับถือกราบไหว้บูชา ลงใจของสัตว์โลก ท่านไปที่ไหนจึงเย็นไปหมด พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านไปไหนเย็นไปหมด คนอื่นไม่เย็นทางภายในจริงๆ ก็ยังได้รัศมีของท่านไปชโลมจิตใจให้ชุ่มเย็นในขณะที่ได้พบได้เห็น ได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงวาจาของท่านที่พูดออกมาหรือรับสั่งมา ชุ่มเย็นไปหมด เพราะเป็นมหามงคลทั้งนั้น ในองค์ของท่านทั้งหมดเป็นมหามงคล
โลกที่มีความต้องการอรรถธรรมทำไมจะไม่ได้รับผลรับประโยชน์ ต้องได้ ทีนี้เวลาได้พระดีๆ มาโดยลำดับลำดา ชาวพุทธเราจะมีความร่มเย็นเป็นสุข ลดหย่อนความชั่วช้าลามกลงได้ๆ เป็นอย่างดี เพราะอำนาจแห่งความเคารพนับถือ ความเชื่อถือซึ่งเป็นธรรมย้อนเข้ามาสู่หัวใจ ทำจิตใจให้ร่มเย็น ยับยั้งชั่งตัวได้ เป็นอย่างนั้น อันนี้ไปที่ไหนก็โกโรโกโส ดูไม่ได้ แล้วจะให้เคารพที่ไหน ไม่มีใครเคารพ ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกันหมด ตัวอย่างหรือคติอันดีงามของชาวพุทธเราก็คือพระ พระที่ตั้งใจปฏิบัติดิบปฏิบัติดีจริงๆ เป็นอรรถเป็นธรรมอยู่ที่ไหนต่างกันนะ ชาวบ้านก็ต่างกัน ชาวบ้านของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หากมีเงื่อนใดเงื่อนหนึ่งพูดไม่ถูกแต่ก็รู้ได้ว่าต่างกัน ให้ความร่มเย็นแก่ชาวบ้านชาวเมือง
พูดอย่างนี้ก็ยังระลึกถึงหนองผือ เขามาพูดโป้งเป้งๆ โอ๋ย ตั้งแต่ก่อนเสือมากัดวัวกัดควายเลียบๆ บ้าน ติดๆ บ้าน ไม่เว้นแต่ละวัน พอหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่นี่หายหมดจนกระทั่งป่านนี้ ไม่ปรากฏว่าเสือมากัดวัวกัดควายเลย เขาพูดตามประสาของเขาเราก็ไม่ลืม เขาหาเรื่องเข้าไปจนกระทั่งถึงสัตว์ พวกเสือมันเคยมากัดวัวกัดควายกินอยู่ตามนี้ ตั้งแต่หลวงปู่มั่นมานี้หายเงียบเลยจนกระทั่งป่านนี้ ว่างั้น เราก็ได้ยินเราไม่ลืม อันนั้นเป็นเรื่องของเขา สำหรับท่านเองท่านก็เฉยของท่าน พวกนี้มันปากเปราะมันก็ว่าของมันไปอย่างนั้น ท่านไปที่ไหนเย็น
เราไปอังกฤษจึงทำให้สงสารพวกชาวอังกฤษ นี่ละได้ครูบาอาจารย์ที่ดิบที่ดีเป็นคติตัวอย่าง มันเป็นมงคลอยู่ในหัวใจของบริษัทบริวารลูกศิษย์ลูกหาประชาชนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่มากก็น้อยมีจนได้ๆ นั่นแหละ แล้วเจ้าของยิ่งประกอบเจ้าของเองให้ดีขึ้นไปตามก็ยิ่งดีเด่น ทั้งครูอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ลูกหา ก็ได้สัดได้ส่วนแห่งความดีทั้งหลายไปเรื่อยๆ อย่างนั้น เราพูดถึงเรื่องไปอังกฤษ เลยลุกลามไปไหนบ้างก็ไม่รู้ เราได้ยินได้ฟังแล้วอรรถธรรมจากพระพุทธเจ้า จากครูจากอาจารย์ แล้วก็นำไปปฏิบัติดัดกายวาจาใจของตน ไม่ว่าใกล้ว่าไกล แก้ไขที่ไหนได้ที่นั่น ไม่แก้ไข ติดพระพุทธเจ้าอยู่ก็เสียได้ เป็นบาปได้ ตกนรกทั้งเป็นได้ ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติตามที่ท่านสอนให้เป็นคติตัวอย่างแล้วนำไปปฏิบัติดัดแปลงตนเอง เราก็ดีวันดีคืนขึ้นไปเรื่อยๆ พากันจำเอานะ
คุณชายนำทองคำไปโรงหลอมวันที่ ๑ ธันวาคม จำนวน ๖๙ กิโลกรัม ทองคำที่หลอมแล้วมีอยู่จำนวน ๗๕๓ กิโลกรัม รวมมีทองคำจำนวนที่จะมอบเข้าคลังหลวงคราวต่อไปนี้ ๘๒๒ กิโล สั่งหลอมทองคำเพิ่มอีกจำนวน ๒๑๖ กิโลจะเป็นทองคำทั้งที่หลอมแล้วและสั่งเพิ่ม ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง เวลานี้ได้แล้ว ๘๒๒ กิโล ยังขาดอยู่อีก ๒๑๖ กิโล จึงจะครบจำนวน ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ตกลงคราวนี้จะได้ทองคำเข้าคลังหลวง ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ทีแรกเรากำหนดว่า ๑,๐๓๐ กิโล ทีนี้เวลาจะเอาให้ได้อย่างนี้ ก็มาเพิ่มได้ ๓๐ กิโล มันไม่ใช่ทองคำแท่ง เพราะทองคำที่จะเข้าคลังหลวงต้องเป็นแท่งเสมอกันหมด มันก็ขาด นี่เรียกว่าคาบลูกคาบดอก เอามาแท่งหนึ่งมันก็เลยไปอย่างนี้แหละ เขามาปรึกษาจะทำอย่างไร ถ้าจะเอาย่อยเข้ามาให้เต็มนี้มันขัดกัน ถ้าเอามาเพิ่มให้เต็มแท่งมันก็เป็น ๓๗ กิโลครึ่ง เอาเลยเราบอก ตั้งแต่สิบตันเรายังจะเอา มาว่าอะไรแค่กิโลสองกิโลวะ เอาอย่างนั้นเลย นี่ได้สั่งตายตัวมาแล้วนะเรียบร้อย รอแต่วันเวลาเท่านั้น เด็ดขาดไปเรียบร้อยแล้ว ยังไงต้องได้
โยม ที่เรือนจำจังหวัดอุดรธานี หนูได้ไปติดต่อกับผู้บัญชาการเรือนจำ เอางานไปให้ที่เรือนจำเขาทำ ได้รับสมัครนักโทษที่จะมาทำอวนหาปลา หนูได้เข้าไปพบผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดอุดรธานี แล้วหนูบอกว่ารายได้จากงานส่วนนี้ หนูขอรายได้ทั้งหมดเป็นทองคำถวายหลวงตา ท่าน ผบ.เรือนจำก็ตกลงบอกว่าเห็นด้วย ท่านก็จะร่วมมือตรงนี้ เพื่อเอารายได้ทั้งหมดที่ทำงาน เขาบอกว่าจะเอามาซื้อทองคำและดอลลาร์ถวายหลวงตา และตอนนี้รับสมัครคนที่จะมาทำงานส่วนนี้คือพวกนักโทษนะคะ นักโทษก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นักโทษก็บอกเขาจะไม่เอาสักบาทสักสตางค์ เพื่อที่จะตอบแทนพระคุณหลวงตา ตอนนี้สมัครมาแล้วร้อยกว่าคนที่จะทำงานตรงนี้
โยม รายได้ทั้งหมดนี้ ท่านผู้บัญชาการเรือนจำจะนำมาถวายหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา เออ ก็ดีแล้ว
โยม ประมาณสิ้นเดือนนี้ตกลงกันว่าจะมา
หลวงตา สิ้นเดือนนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะอันนี้เราจะมอบตามที่เรามีนี้แล้ว เหลือจากนั้นเราก็ไปมอบข้างหน้า เพราะการมอบข้างหน้านี้จะไม่หนักเหมือนคราวนี้ เพราะคราวนี้เรียกว่าเป็นอันดับ ๑ ของการมอบทองคำตั้ง ๑๐ ตัน มาหลายครั้งแล้วนะ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดทองคำ ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง จากนั้นจะลด จะไม่หนักนะ เราทำอะไรทำตามเหตุการณ์ทุกอย่าง คราวนี้ประมวลทั้งหมด ชาติไทยทั้งชาติเป็นมหากฐินกองใหญ่ เพราะฉะนั้นเหตุผลต้องลงกันจุดนี้ให้ได้มากว่างั้น พูดง่ายๆ จึงใส่กันตูมลงตรงนี้ เอาคอประกันเลย นี่ก็จะเป็นไปตามนั้น ทีนี้หลังจากนั้นแล้วก็จะไม่หนักหนา พอมอบทองคำชุดนี้แล้วก็คงจะขาดไม่ถึงตันแหละ เราคิดว่าขาดไม่ถึงตัน ในตันนั้นเราคิดว่าจะแบ่งเป็น ๒ ครั้ง เช่น ครั้งละ ๕๐๐ กิโล ๆ ไม่หนักนักอันนี้ มีหนักแต่ตอนนี้ จากนั้นแล้วก็ลาเวทีไม่เอาละ
ส่วนดอลลาร์นั้นก็กำหนดไว้ ๑๐ ล้าน อันนี้ไม่ค่อยหนักใจ ๑๐ ล้านนะ ไม่เหมือนทองคำ ทองคำหนักมาตลอด ไม่ว่ามากว่าน้อยหนักตลอด ขาดมากขาดน้อยหนักตลอดคือทองคำ คราวนี้หนักมากจริงๆ นี่เราก็เรียกว่า สำเร็จตามความมุ่งหมายละ ทองคำ ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง จะได้ตามนี้ จากนั้นก็ค่อยลงเรื่อย เหมือนกับลงตีนเขาค่อยลงๆ เวลาขึ้นคราวนี้ปีนเลยนะ คราวนี้คราว ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ปีนชัน ๆ เลย ดีไม่ดีตกตาย จะได้ว่างั้นนะ จากนั้นมาก็ค่อยลงเรื่อยไม่มีปัญหาอะไรละ เอาละมีอะไรว่ามา
โยมชาวอินโดนีเซีย (กราบเรียนถามปัญหาเรื่องภาวนา) หลายวันแล้วเห็นกระดูกแบบเอกซ์เรย์ออกมาจากหน้าอก นั่งสมาธิด้วย กระดูกก็ไหม้ด้วย ไหม้เป็นจุณไปเลย
หลวงตา เอ้า ให้ทางนี้ว่าซ้ำอีกหนึ่ง ฟัง ๆ ๆ
ผู้กำกับ ในเมื่อไหม้เป็นจุณลงไปอย่างนี้เขาก็ทราบว่ากายกับใจแยกออกจากกันแล้ว ร่างกายก็ไม่มีเจ้าของแล้ว
หลวงตา แล้วจากนั้นละ สุดท้ายเป็นยังไงว่ามา พออันนี้พังไปหมดแล้วใจเป็นยังไง
โยมอินโดนีเซีย ใจมันก็สบายดี
หลวงตา พออันนี้พังไปหมดแล้วใจก็เป็นตัวของตัวสว่างอยู่ในนี้ สบายอยู่ในนี้ใช่ไหม นี่ละที่เขามาพูดวันนี้แล้วเราเดินไปวันไหน หลังจากนั้นมา วันหรือสองวัน เราก็ไปซ้ำให้อีก ๒-๓ ประโยค เพราะเราเดินไปเฉยๆ ไปเห็นเขานั่งเป็นแถว เราก็เลยบอกไม่ให้กลัว นี่ละพระธรรมท่านให้อ่านธรรมของท่าน คือมันพังอันนี้ๆ อันไหนที่ยังไม่พังพิจารณาให้มันพังเหมือนกันหมด บอกอย่างนั้นนะไม่ต้องกลัว เอ้า มันจะพังถึงไหนให้มันพังไป ผู้รู้มีอยู่เป็นเจ้าของมีอยู่ บอกเขาชัดเจน สำคัญที่ว่าไม่ให้กลัวมันจะเป็นอะไรขึ้นมา จิตที่รู้ให้มันเห็นหมด ทีนี้เขาก็ทำตาม แล้วพังไปจิตมันก็เข้ามาเป็นตัวของตัว แต่ก่อนมันซึมซาบยั้วเยี้ยด้วยอุปาทานไปหมด เวลาตีนี้ออกเผานั้นออกมันก็หดเข้ามาๆ แล้วจากนั้นไปมีอะไร ก็พิจารณาอย่างนั้นเรื่อยๆ ไปนะ มันจะรู้เอง พิจารณาอันนี้คล่องแคล่วเท่าไรมันยิ่งรวดยิ่งเร็ว
โยมอินโดนีเซีย เห็นคนอื่นไฟไหม้ร่างกายหมดไปด้วย
หลวงตา นั่นละ พระธรรมท่านจะแสดงหมดว่า ที่ไหนทั่วโลกนี้ อย่าว่าแต่คนอื่นที่ไหนอะไรๆ ไฟไหม้คือความตายมันเอาพังลงไปหมดนั่นแหละ เข้าใจไหม ให้มันรู้ทั่วถึงครอบโลกธาตุ จิตที่มันเคยไปยึดไปถือทั่วโลกธาตุมันจะถอยเข้ามา เพราะตัวเดียวนี้เองเป็นเถาวัลย์ มันเลื้อยออกไประโยงระยางทั่วโลก พอเผานั้นเผานี้มันไม่มีที่เผามันก็หดเข้ามา คือมันไม่มีที่อยู่หดเข้าๆ เข้าใจเหรอ หดเข้ามา ให้พิจารณาเรื่อยๆ นะ มันเป็นยังไงไม่ต้องกลัว จิตเป็นผู้ที่จะรู้จะเห็นตามสิ่งที่ตนเคยหลงมา ทีนี้มันเปลี่ยนให้รู้ เปลี่ยนธรรมเปลี่ยนให้รู้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ให้เป็นที่ไม่นอนใจ เป็นที่น่าขยะแขยง น่ากลัว น่าทุกอย่าง เออ เข้าใจละนะ นี่เราจะไปละ
โยม อินโดนีเซีย ไม่มีอะไร
หลวงตา เออ เอ้า พิจารณาเอาอันนี้ละเป็นที่ทำงาน ทำงานภาวนาอยู่กับนี้ ไม่ต้องกลัว บอกเท่านั้นละ นี่ได้เวลาของเราจะไปแล้ว
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www.luangta .com หรือ www.luangta.or.th |