เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ผู้จะทรงศาสนาไว้ได้
(วันนี้มีปัญหาอินเตอร์เน็ตนะครับ) เดี๋ยวเอาไว้ก่อน ไว้ตบท้าย คุยอะไร ๆ จบลงแล้วค่อยตบท้ายด้วยอินเตอร์เน็ตทางปัญหา เราเปิดโอกาสอยู่เสมอเรื่องปัญหานะ เพราะปัญหาเป็นจุดสำคัญ ๆ ไม่น้อยนะ คือเทศน์นี่ไปกลาง ๆ แล้วแต่ใครจะยึดได้อะไร กลางๆ ส่วนปัญหานี้มันเป็นเรื่องกระตุกใจ ถามมาแล้วแต่ความรู้ความเห็นของคนซึ่งมีจำนวนมาก มีแง่ต่างๆ กันในอรรถในธรรมจากปัญหานั้นๆ เวลาถามปัญหามายังไง ทีนี้การตอบมันก็ออกไปทางนั้น ๆ ปัญหาในแง่ต่าง ๆ นั้นละทำให้คนได้เป็นคติเครื่องเตือนใจและสะดุดใจ มันเป็นจุด ๆ ส่วนเทศน์ไปกลาง ๆ ไปเลย
เพราะฉะนั้นเราถึงได้บอกว่าการช่วยชาติคราวนี้ ตั้งห้าปีหกปีมาแล้วนี้มีบกพร่องอยู่ทางด้านการถามการตอบปัญหา เราบอกตรง ๆ เพราะมันบกพร่องตรงไหนก็บอกตรงนั้น ที่สำคัญๆ จะสะดุดใจๆ คือปัญหานะ เราจะยกตัวอย่างให้ฟังเราเองผู้ตอบปัญหาเรายังไม่ลืม อย่างนี้ละปัญหาเราเองเป็นผู้ตอบเรายังไม่ลืม อีตาคนนั้นมาเห็นเรา หัวเราะ ฮ่าๆ ๆ เราสวนหมัดปั๊บเดียวเท่านั้น เราลงมาจากภูเขา ธรรมดาเราเป็นอย่างงั้น ลงมาผอมโซ คนนี้แกเคยปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่แถวนั้น เรามาก็ได้มาพักแคร่เก่าเขาที่มาจากภูวง เราไปอยู่คนเดียวลงมา เราจะไปหาพ่อแม่ครูจารย์นั่นแหละ แต่มาพักที่นั่นก่อน เพราะมันเพลียมากพักเอากำลังสักหน่อยถึงจะไป
มาตอนนี้ก็ฉันจังหันละนี่ก่อนจะไปหาท่าน ตอนลงมานั่นซีผอมโซมาเหมือนคนไข้ เหลือแต่หนังห่อกระดูกมา แกมารับบาตร บ้านคำบ่อนี่แหละเรายังไม่ลืม แกมาเห็นเรา เราออกมาจากบ้านแกก็ไปรอรับบาตร เพราะแกเคยรับบาตรพระกรรมฐานที่พักอยู่ก่อนหน้านี้มาแต่ก่อนเราแล้วนะ โฮ่ เป็นยังไง ท่านเป็นยังไงเห็นผอมโซนักหนา ว่างั้นนะ ท่านเป็นไข้เหรอ เอ๊ ไม่ได้เป็นไข้นะ ถ้างั้นเป็นยังไง ว่างั้นนะ หรือท่านอดอาหารเหรอ ก็อดบ้างแหละเราไม่ได้ทำนาขอเขากินอย่างนี้แหละ เราว่างั้น ตอบกันไปอย่างนี้ โห ขึ้นเลยแกนะ เพราะแกเรียนหนังสือได้นักธรรมตรี แต่แกยังไม่รู้ว่าเราเป็นมหา รู้ก็ตาม ก็ตามนิสัยของแกนั่นแหละ นิสัยแกลักษณะบ๊งเบ๊ง ๆ ตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นมันถึงเข้าตรงนี้ได้ถนัดล่ะซิ
มันเป็นประโยชน์ยังไง ในตำราก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านอดอาหารตั้ง ๔๙ วันท่านไม่เห็นได้ตรัสรู้ ท่านจะมาอดทำไม พระพุทธเจ้าไม่เห็นตรัสรู้ แกว่างั้นนะ แล้วโยมกินทุกวันหรือ โอ๋ย กินทุกวันแหละผม จะมาอวดเราซิ ผมกินทุกวันแหละ ปั๊บเข้าไป แล้วได้ตรัสรู้ไหม โยมกินทุกวันได้ตรัสรู้ไหม แกก็งง พองงก็ใส่ซ้ำเข้าอีก ไม่ได้ตรัสรู้มาอวดทำไม สะแตกจนอิ่มท้องแล้วมาอวดพุงทำไม นึกว่าจะเอาธรรมมาอวดกัน ว่าโยมกินทุกวันหรือ กินทุกวันแหละผม ได้ตรัสรู้ไหม เอาจุดนี้ ไม่ได้ตรัสรู้มาอวดพุงทำไม กินอิ่มแล้วน่ะ ไม่ได้เอาธรรมมาอวด เราว่างั้น โฮ้ มาช่องนี้นะ แกหัวเราะก้ากๆ เลย ตรงที่เอา โยมกินทุกวันเหรอ ได้ตรัสรู้ไหม ทีแรกแกก็โอ่อ่า กินทุกวันแล้วผมไม่อด เปิดแล้วเต็มที่แล้ว ได้ตรัสรู้ไหม ปั๊บเข้าตรงนั้น เลยหยุด ตั้งแต่นั้นมาเห็นหน้าเรายังหัวเราะกั้ก ๆ อย่างงั้นล่ะปัญหาเข้าใจไหม เราเองเราก็ยังไม่ลืม เวลาถามแก ใส่ปั๊วะเข้าไปเลย โฮ้ มาช่องนี้เทียวนะ เรายังไม่ลืม โฮ้ มาช่องนี้เทียวนะ อย่างงั้นละ ปัญหามันมีช่องให้สะดุดใจอยู่
เราก็ผ่านไปผ่านมาอยู่เรื่อย แต่เราไม่เคยพักที่นั่น ผ่านไปผ่านมา คราวหลังไม่ได้ผ่านเที่ยวกรรมฐานเหมือนแต่ก่อน ไปก็ไปด้วยรถยนต์ ผ่านไปธุระ ๆ แถวนั้นเที่ยวหมด ไปบ้านตาด-ภูวง ที่ถ้ำไม่น่าอยู่ แดดร้อนข้างบน เราเลยมาอยู่ตีนถ้ำพักภาวนาอยู่นั้น เวลาลงมามันก็ผอมล่ะซิ เพราะส่วนมากเราไม่ค่อยฉันจังหัน ถ้าไปโดยลำพังอย่างงั้นแล้วไม่ค่อยฉัน เป็นอย่างนี้มาตลอดเราเอง เราจึงได้มองดูพระดูเณร หลับหูหลับตาดูนะ พระอยู่ในวัดเรานี่ คือมันขวางหูขวางตา ขวางทุกอย่าง ที่เราดำเนินมากับนี้เป็นยังไง ไม่ใช่มาอวดกันนะ คือมันดูไม่ได้ว่างั้นเลย
เราเอาจริงเอาจังทุกอย่าง จึงได้กล้าพูดทุกอย่างซิ ก็ออกมาจากความจริง ๆ อย่างใน ๙ ปีนี้ นี่เรียกว่าเราตกนรกทั้งเป็นก็บอกแล้ว ไม่มีเวลาหยุดหย่อนผ่อนคลายเลย หนักตลอดๆ ฟัดกันตลอดกับกิเลส ไปคนเดียวๆ ๆ นั่นละหนักมากตอนนี้ ถึงว่าเป็นตกนรกทั้งเป็น เราก็เคยพูดแล้วว่าถ้าหากว่าไปติดคุกติดตะรางนั้น กิเลสขาดลอยออกไปเหมือนกันกับเราทำความเพียรฆ่ากิเลสนี้แล้ว เราจะสมัครไปติดคุกติดตะราง เพราะในนู้นมันขาดความเคารพนับถือเท่านั้นเอง เป็นคนไร้ค่าไร้ราคา โลกไม่ยอมรับกันเท่านั้นเอง
แต่เวลางานของเขานี่ไม่เห็นหนัก งานนักโทษไม่ได้หนักนะ กินข้าววันละสองหนสามหน ทำงานก็อย่างว่าละพอขอไปทีวันหนึ่งๆ จักตอกได้วันละสี่เส้นห้าเส้น จักตอกเหลาตอก พอฆ่าเวล่ำเวลาให้หมดไปได้ออกจากคุก เขาจะทุกข์อะไร ทีนี้ของเรามันไม่ได้เป็นอย่างงั้น มันเก่งกว่านักโทษเป็นไหนๆ บังคับตัวเอง ไม่มีใครมาบังคับ นักโทษนั่นนายเขาบังคับ สำหรับเราเองเราบังคับเราเองตลอดด้วยความพออกพอใจ หนักเบามากน้อยจะเป็นจะตายนี้ด้วยความสมัครใจทั้งนั้น มันก็ทุกข์มากละซิ ถ้าหากว่าเข้าไปติดคุกติดตะราง แล้วกิเลสหลุดลอยไปเช่นเดียวกับเราทำความเพียรฆ่ากิเลสนี้แล้ว เราจะสมัครเข้าไปอยู่เลย ใครนับถือไม่นับถือไม่สำคัญ ขอให้กิเลสหลุดออกจากใจเราพอใจแล้ว เราฆ่ากิเลสเพื่ออรรถเพื่อธรรม แต่ไปอยู่อย่างงั้นมันไม่ได้เรื่อง แน่ะ
เพราะฉะนั้นจึงว่าทุกข์ของเรานี่ติดคุกเราสมัครเลย การทำความพากเพียรอยู่ตามลำพังของเรามันหนักมากจริงๆ ระลึกย้อนหลังน่ากลัวนะ คือน่ากลัวความเพียรของเราที่ก้าวเดินมาตลอดๆ จนกระทั่งพิจารณาย้อนหลัง ว่าเราได้บกพร่องเรื่องความพากความเพียร ท้อแท้อ่อนแอภายในจิตใจ หรือเกิดความท้อถอยน้อยใจมีตรงไหนบ้าง ไม่มีเลย ทุกข์ถึงจะเป็นจะตายนี้จิตใจมันพุ่งๆ ของมันต่ออรรถต่อธรรม จนกระทั่งสุดท้ายที่เราได้พิจารณาย้อนหลังหาที่ตำหนิไม่ได้ นอกจากขยะ ๆ คือแต่ก่อนมันยังหนุ่มยังน้อย อายุ ๓๐ ย่านเร่งความเพียรมากๆ ก็อยู่ในย่าน ๒๐ กว่า ตั้งแต่ ๒๗ ไปละ ๒๗ ออกปฏิบัติ สอบเปรียญได้พรรษา ๗ อายุก็ ๒๗ ออกจากนั้นแล้วทีนี้เอาเรื่อยเลย จนพรรษา ๑๖ อายุก็ดูเหมือนจะเป็น ๓๖
นี่ละกำลังวังชาดี ถึงได้ตีกันอย่างหนักๆ เอากันอย่างหนัก ทุกข์ลำบากแสนสาหัส พิจารณาดูความเพียรของเจ้าของ จนมาถึงวาระสุดท้ายย้อนพิจารณาข้างหลังเจ้าของ จนขยะๆ ในความเพียร ที่ว่าอย่างนั้นมันก็ทำได้ อย่างนั้นมันก็ทำได้ คืออย่างทุกวันนี้ที่เราพิจารณาย้อนหลังนี่มันทำไม่ได้ ทำตายเลย ตอนนี้ธาตุขันธ์มันแก่มาแล้ว อันนั้นธาตุขันธ์กำลังวังชาดีทุกอย่างๆ มันก็ฟัดกันอย่างเต็มเหนี่ยวๆ ซิ เวลาพิจารณาแล้วขยะๆ กลัวความเพียรของตัวอง แล้วทีนี้เวลามามองดูพระดูเณร ดูที่ไหน มันดูไม่ได้ พูดจริง ๆ เราไม่ได้คุยนะ เราไม่เคยทำอย่างนั้นว่างั้นเลย อย่างพระอยู่ในวัดนี่ยั้วเยี้ย ๆ นี่เหมือนกัน เราหลับหูหลับตาดูนะ นาน ๆ ถึงจะว้ากใส่ทีหนึ่ง มันทนไม่ไหวแล้วก็ว้ากใส่ทีหนึ่ง พอทนก็ทนไป หลับหูหลับตาไป มันเป็นอย่างงั้นนะความเพียร
นี่ละความเพียรฆ่ากิเลส สำหรับเรานิสัยวาสนาอาภัพทำธรรมดาเหมือนทั้งหลายทำไม่ได้เรา ต้องเอาอย่างหนักๆ มาตลอด เรียกว่าหมดราค่ำราคา อยู่คนเดียวในป่าในเขาคนเดียวๆ ตลอดเลย ไม่เอาใคร นิสัยก็ชอบอย่างงั้นด้วย ไม่เอาใครเป็นเพื่อน มันเป็นเหมือนน้ำไหลบ่า ไม่พุ่งช่องเดียว ถ้ามีเพื่อนไปคนหนึ่งด้วยกันหรือสองคนมันก็เป็นน้ำไหลบ่า มันรับผิดชอบกันโดยหลักธรรมชาตินะ ด้วยสัญชาตญาณ จะทำอะไรมันก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ห่วงนั้นห่วงนี้
ถ้าสมมุติเราอดอาหาร หมู่เพื่อนมาอดด้วย อดด้วยเรา เกรงใจเราหรือไง แน่ะ เราเห็นหมู่เพื่อนมาอดด้วยเราก็เกรงใจหมู่เพื่อน ไม่สนิทใจ นี่ละเรียกว่าน้ำไหลบ่า แต่เราไปองค์เดียวนี่มันไม่มีอะไรเลย เป็นกับตายมอบไว้เลย ป่าช้าอยู่กับตัวของเราเองยุ่งอะไร เท่านั้น คำว่าป่าช้าในตัวของเราเอง ตายที่ไหนก็เป็นป่าช้าที่นั่น มีแต่มุ่งต่ออรรถต่อธรรม ทีนี้มันก็พุ่งๆ ตลอด เดินไปบ้านนั้นบ้านนี้ เดินไปธุดงค์จะไปพักบ้านนั้นบ้านนี้ ไปทั้งวัน เดินจงกรมทั้งวันเราไปคนเดียว ขาดความเพียรเมื่อไร ไปที่ไหนว่า โอ๊ย วันนี้เสียเวลาเดินทางอย่างงั้นไม่มี เป็นความเพียรตลอด อยู่ที่ไหนเป็นความเพียรตลอดๆ อยู่งั้น
หน้าที่การงานมายุ่งเราไม่ได้เลยนะ ที่ออก ๙ ปีนี้ เรื่องงานนั้นงานนี้จะมายุ่งเราไม่ได้ จะเรียกว่าคนตับเดียวก็ถูก เพราะไปตรงไหนมันพุ่งเลย ๆ งานการอะไรมายุ่งไม่ได้ มีแต่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อิริยาบถทั้งสี่อยู่ด้วยความเพียรอันเดียวเท่านั้นเพื่อฆ่ากิเลส เรื่องงานเรื่องการไม่มี เรื่องที่จะไปฉันในบ้านในเรือนเราเรียกว่าไม่มีเลยนะเรา ก็ไปอยู่ในป่าในเขากับคนป่าคนเขา ไปฉันในบ้านในเรือนอะไรเขา อยู่อย่างงั้นตลอด เทศนาว่าการก็ไม่มี ไม่สอนใครทั้งนั้น เรียนปริยัติก็ไม่สอนใคร ออกปฏิบัติแล้วก็ไม่สอนใคร สอนตัวเองล้วนๆ เลยเชียว
นี่จึงว่าเต็มเม็ดเต็มหน่วยสำหรับเราทำมาด้วยลำพังเราเองนะ ไม่มีอะไรบกพร่อง ความเพียรทั้งวันทั้งคืน งานการมายุ่งไม่ได้ จะมาสร้างป๊อกๆ แป๊กๆ นี้ไม่ได้สำหรับเรา เพราะเราไม่ได้มาสร้าง ตัดทีเดียวขาดไปเลย เรามาภาวนา ทำอย่างไรถึงเรียกว่าภาวนา นั่นเอาลงจุดนี้ การเทศนาว่าการก็อยู่ในป่าในเขาจะไปเทศน์ให้ใครฟัง แล้วเราก็ไม่ได้สนใจจะไปเทศน์ให้ใครฟังนี่นะ ตั้งใจจะเทศน์สอนเจ้าของ หากว่ามีบ้างก็ดังที่เคยพูดให้ฟัง เวลาจำเป็นเขามีงานการในบ้านในวัดของเขา เราไปพักอยู่นอกบ้าน เขามานิมนต์ให้ไปเทศน์ในงานของเขา เราบอกว่าเทศน์ไม่ได้เท่าไรเขาไม่ยอมฟัง อู๋ย ขนาดเป็นมหาแล้วเทศน์ไม่ได้ไม่มี แน่ะไปอย่างนั้น ก็ไปเทศน์ให้เขาเสีย นานๆ จะมีทีหนึ่ง จากนั้นก็มีแต่เรื่องฟัดตัวเองตลอดเลย เรียกว่าความเพียรของเราเพื่อเราโดยแท้ในเบื้องต้นนะ
เรียนก็ไม่ได้สอนใครนี่ เรียนก็เรียนเพื่อเรา ออกปฏิบัติก็เพื่อเราๆ ตลอด จนกระทั่งพูดให้มันเสร็จสิ้นไปเสีย ลงเวทีแล้วนั่นแหละเพื่อนฝูงถึงได้รุมมา ไปอยู่ในป่าเขาตามอัธยาศัยด้วยความสะดวกสบายมันก็ไม่สบาย เดี๋ยวองค์นั้นโผล่เข้าไป เดี๋ยวองค์นี้โผล่เข้าไป อยู่ที่ไหนก็ไม่ได้อยู่แหละ เราจึงได้ว่าพระจมูกดี หมาสู้ไม่ได้ เฉยนะ พวกนี้จมูกดีนักนะหมาสู้ไม่ได้ เฉย ขอให้ได้อยู่ด้วยก็พอ อย่างนั้นละ หมามันดมนั้นดมนี้ไม่เห็นเจ้าของกลับแล้ว อันนี้ดมจนกระทั่งถึงตัว มันเป็นอย่างนั้นนะอยู่ในป่าในเขา จึงเรียกว่าทุกข์มากจริงๆ ในชีวิตของพระเรา ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรหนักยิ่งกว่าชีวิตของพระในเวลาประกอบความพากเพียรฆ่ากิเลส อันนี้หนักมากจริงๆ จนไม่ลืมในชีวิตของเรา
งานการภายนอกเราก็เคยทำเป็นฆราวาส หนักก็ยอมรับว่าหนัก แต่เราทิ้งมันได้เลย เราไม่ได้สละชีวิตกับมันนะ แต่งานภาวนานี้สละ ถึงคราวสละแล้วเอาเลย เป็นก็เป็น ตายก็ตาย พุ่งเลย ไม่รู้กี่ครั้งนะ งานการภายนอกเราไม่เคยสละกับมัน ทุกข์ลำบากขนาดไหนก็เหมือนเขาเหมือนเรา โลกนะ แต่งานภาวนานี้จะเหมือนไม่เหมือนไม่ทราบ เป็นอย่างนี้ละ ถึงเวลาที่ เอาหนา เป็นถอยไม่ได้เลย พุ่งๆ นี่ละฆ่ากิเลส แต่เราพูดนี่พูดตามนิสัยวาสนาเรามันอาภัพ ถ้าทำธรรมดามันไม่ได้ ต้องเอาอย่างหนัก หนักตลอด จึงว่าในชีวิตของเราไม่มีกาลใดสมัยใดที่จะหนักยิ่งกว่าชีวิตในเวลาประกอบความพากเพียรฆ่ากิเลส อันนี้หนักมาก เด่นด้วย เพราะถึงกาลเวลามันเอากันจริงจังนี้ถึงเป็นถึงตายเลย แต่ไม่เคยสลบก็บอกว่าไม่สลบ หากเฉียดไป หากไม่เคยสลบ นั่นละกิเลสฆ่ายากไหมล่ะ
เอาจนเต็มเหนี่ยวแล้วมันก็เห็นทุกแง่ทุกมุม กลอุบายวิธีการฆ่ากิเลส กิเลสมันมาแง่ใดมุมใด ธรรมไปแง่ใดมุมใดแก้กัน อย่างนี้มันก็รู้กันหมด ทีนี้เวลาใครพูดขึ้นมาที่ไหนมันก็รู้หมด เพราะเราได้ปฏิบัติมาเต็มเหนี่ยวแล้ว เวลามาถึงเขตถึงแดนนั้นแล้วมันมาเกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อนละซี มาเห็นหมู่เห็นเพื่อน แต่ก่อนก็ยังดีนะ ทุกวันนี้เลวลงนะกรรมฐานเรา ไปอยู่ในป่าในเขาด้วยกันนั้นดีอยู่ ออกมาทุกวันนี้มันกลายเป็นเลอะๆ เทอะๆ ไปแล้วนะ มันอ่อนลงทุกวันมันไม่ได้แข็งขึ้นกรรมฐาน ผู้ปฏิบัติศาสนาอ่อนลงทุกวัน ชาววัดก็อ่อนลง ชาวบ้านก็อ่อนลง สิ่งที่หนาแน่นขึ้นมาก็มีตั้งแต่พวกกิเลสตัณหา หนาแน่นขึ้นทุกซอกทุกมุมเลย จนมองไม่ทัน อันนี้หนาแน่นขึ้นทุกวันๆ จึงทำให้ โอ๊ย อิดหนาระอาใจเหมือนกันนะ มันยิ่งเพิ่มทวีขึ้นไปโดยลำดับ เรื่องกิเลสที่จะอ่อนลงพอให้ยับยั้งฟังเสียงเจ้าของบ้างไม่มี มีแต่เอาเตลิดเปิดเปิงเหยียบหัวเจ้าของไปเลย เราที่จะมีแก่จิตแก่ใจซักฟอกจิตใจของเราให้กิเลสได้ชะงักตัวลงบ้างมันไม่มี มีแต่ปล่อยให้มันไปเรื่อยๆ
จึงต้องได้ว่าอยู่เรื่อย ว่าพระว่าเณร มันก็จำเป็น หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย อย่างที่เห็นนี่ ทีนี้เราก็เกี่ยวกับงานของโลกอีกด้วย แล้วก็มองไม่ทัน ไม่ทราบจะมองทางไหนต่อทางไหน ทีนี้อะไรมันก็เลอะเทอะเข้ามาๆ ในวัดในวา ไม่ว่าทางด้านใดฝ่ายใด เลอะเข้ามาเป็นลำดับลำดา ที่จะดีเข้ามามันมองไม่เห็น มีแต่เลอะเทอะๆ วัดนี้จึงกลายเป็นวัดสำเพ็งไป วัดเดือนเก้า หมาเดือนเก้า เป็นวัดสำเพ็งไปเลย มันเป็นได้เมื่อไร ก็อย่างนี้ละมองไม่ทัน ออกไปธุระกลับมานี้เลอะเทอะไปหมดข้างนอกเราไปดู เพราะเราไม่เคยปฏิบัติอย่างนี้มา ทน นั่นฟังเอา ดูด้วยทนเอา ถ้าจะให้เป็นไปตามนั้นแล้ว โอ๋ย ตัดหมดเลยเทียว เพราะเคยปฏิบัติมาอย่างนั้น ยั้วเยี้ยๆ อู๊ย หาผลจะเอาได้เพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้ แน่ะ ดีไม่ดีมาช่วยกันทำลาย แน่ะมันเป็นหลายขั้นหลายตอน
นี่ละที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย เห็นประจักษ์ เราตัวเท่าหนูก็เห็นประจักษ์ในใจของเรา การประกอบความเพียรเพื่อแก้เพื่อถอดถอนกิเลสนี้ไม่ค่อยมี มีแต่สั่งสมกิเลสแบบลึกๆ ลับๆ แล้วเจ้าของยังภูมิใจว่า เจ้าของทำความเพียรแก้กิเลส ความจริงกิเลสฟาดหัวพระผู้กำลังทำความเพียร ทำไปก็เซ่อๆ ซ่าๆ สติสตังความระมัดระวังตัวไม่มีๆ กิเลสเหยียบไปเรื่อย เดินจงกรมมันเดินหย็อกๆ ชนต้นไม้ล้มลงไป ลุกขึ้นมาใหม่เดินอีก เซ่ออีก ไม่เข็ดเรื่องความเซ่อนะ เอ้า เดินไปเรื่อยเดินไป เพราะมันเซ่อก็ไปชนหัวตอบ้างอะไรบ้างล้มลงไป ล้มลงไปลุกขึ้นมาล้มอีก ก็ยังล้มไปเรื่อยๆ ไม่ได้สติสตัง ไม่เข็ดหลาบ นี่ละความเพียรของเราทุกวันนี้ แบบว่ามันเซ่อเสียจนล้ม ลุกขึ้นมาแล้วไป เซ่ออีก ไม่เข็ดไม่หลาบ แหม
จึงอัศจรรย์พระพุทธเจ้า มองแล้วจ้าไปหมด หมดทางที่จะพูดนะ นี่ละที่ว่าเมื่อถึงขนาดนี้แล้วจะสอนใครได้ สอนใครที่ไหนเขาก็จะว่าบ้า มันสอนไม่ได้จริงๆ ดูธรรมชาตินั้นกับอันหนึ่งทั้งหลายมันดูกันไม่ได้เลย โลกมันก็แข่งของมัน แต่เราไม่รู้ว่ามันแข่ง มันหากเป็นเครื่องผลักดันของกิเลสตัวนี้เอง มันฝึกมันซ้อมมันฟิตของมัน พวกเราพวกตาบอดนี้ก็หัวชนฝาไปตามมัน ล้มทางนี้มันจูงไปทางนั้น ล้มทางนั้นอีกจูงไปทางนี้ ไปเรื่อยตลอดนะ ไม่เห็นโทษเห็นภัยของมัน จะจูงไปไหนนักหนาหัวมันแตกแล้ว พอรู้อย่างนี้บ้างก็จะรู้ภัยของกิเลส ว่าจูงเราชนต้นไม้ชนภูเขาจนหัวแตก เห็นโทษกิเลสอย่างนี้แล้วเราก็จะได้ระวังไม่ต้องชนต้นไม้ นี่ไม่มีคำว่าระวัง ชนดะไปเลย ล้มลุกใหม่ไปเรื่อยเลย กิเลสลากสัตว์โลกเป็นอย่างนั้น
พูดแล้วมันสลดสังเวชนะ มันเป็นมาอย่างนี้ทุกหัวใจของสัตว์โลกเราจะไปตำหนิใคร มีหลักธรรมชาติอันหนึ่งอยู่ในหัวใจ หลักธรรมชาตินี้แหละที่พาให้เกิดแก่เจ็บตายแบกหามกองทุกข์อยู่ตลอดเวลา คือตัวนี้เอง ท่านว่ากิเลสๆ เชื้อแห่งความทุกข์ เชื้อแห่งภพแห่งชาติซึ่งเป็นที่มาแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย คือตัวนี้เอง พอแก้ลงไปๆ ตั้งแต่มันมืดไม่เห็นทิศเห็นทางแหละ แก้ลงไปไม่หยุดไม่ถอยก็ค่อยรู้ทิศรู้ทางขึ้นมา พอรู้ทิศรู้ทางขึ้นมาแล้วก็เห็นคุณค่าของธรรมที่ทำให้เรารู้ทิศรู้ทาง ทีนี้ก็ขยับเข้าๆ จากนั้นที่มันหนาแน่นก็ค่อยจางไปๆ ธรรมค่อยสว่างขึ้นก็เห็น เพราะโทษมันมีอยู่รอบตัว ถ้ากิเลสดูไม่มีโทษ มีแต่คุณทั้งนั้นแหละ จึงลากสัตว์โลกไปเรื่อยๆ
ทีนี้มันก็ค่อยสว่างขึ้นๆ ธรรมเมื่อเราอบรมแล้วก็มีความเจริญรุ่งเรือง เราก็รักษาตัวของเราผู้อบรมให้มีความสง่างามมากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงอย่างพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานาน พอตรัสรู้ขึ้นแล้วทรงท้อพระทัย คือไปเจอเอาอย่างนี้แล้ว กับดูที่พระองค์และสัตว์โลกเคยจมมานั้น พัวพันกันมาทั้งฟืนทั้งไฟทั้งส้วมทั้งถานมาด้วยกัน มาตลอดกัปตลอดกัลป์ก็ไม่เห็นโทษของมัน ยินดีมันอย่างกับพวกกิมิชาติที่ยินดีในส้วมในถานไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัว พอพ้นจากนี้มาปั๊บ มองดูนี้มันมองกันไม่ได้ นี่พระองค์ทรงท้อพระทัย
จิตดวงนี้เวลามันจ้าขึ้นมามันเห็นหมดเลย สิ่งที่เป็นภัยแต่ก่อนมาแต่ตัวเองที่ไม่เคยรู้เคยเห็น มันเห็นขึ้นแล้วมันจะไม่สยดสยองยังไงคนเรา แล้วจะสอนโลกลากโลกให้ขึ้นมานี้ จะลากอะไรมันก็ลากเหมือนหนอนออกจากส้วมจากถานนั่นเอง มันไม่อยากขึ้น เวลากิเลสมันหนามันเห็นส้วมเห็นถานดีไปหมดว่าไง เวลามันบางขึ้นไปก็เหมือนเรารู้เรื่องรู้ราวของส้วมของถานนั่นแหละ รู้ไป ๆ จนขยะกัน เข้ากันไม่ได้ นั่น ธรรมเวลารู้เข้ามากๆ ก็เป็นอย่างนั้น มันขยะ มันเข้ากันไม่ได้
พระก็ยิ่งหลั่งไหลมาทุกวันๆ มาจากทุกทิศทุกทาง พอจะได้สติสตังบ้างเราก็ไม่ว่านะ นี่มันไม่ค่อยได้หน้าได้หลังอะไร แล้วค่อยอ่อนลงทุกวันๆ กรรมฐานเราก็ดี ครูบาอาจารย์ผู้จะแนะอรรถแนะธรรมก็เหมือนกัน ร่อยหรอลงไปๆ ทีนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องเลอะเทอะไปตามกันหมด ถ้ากรรมฐานเลอะเทอะแล้วหมดนะศาสนา เวลานี้เราพูดโดยตรงตามหลักของอรรถของธรรม ว่ามีกรรมฐานที่ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรม ปฏิบัติต่ออรรถต่อธรรม ทรงอรรถทรงธรรมนั้นแลเป็นผู้จะทรงศาสนาไว้ได้ เป็นเกาะเป็นดอนที่คนจะได้ยึดได้เกาะให้ได้รับความร่มเย็นบ้าง นอกนั้นไม่ว่าเขาว่าเรามันเลอะไปด้วยกันหมด จะไปพึ่งใคร เจ้าของก็พึ่งเจ้าของไม่ได้แล้วจะให้ใครมาพึ่ง เจ้าของก็เป็นไฟเผาหัวใจเจ้าของ เผาหมดทั้งตัวเลย กิริยามารยาทเป็นกิริยาที่เป็นฟืนเป็นไฟของกิเลสเผาเราทั้งนั้นๆ แล้วเราจะเอาน้ำเอาท่ามาดับไฟที่ไหน
กิริยาแห่งความดีไม่มี มันก็เท่ากับไม่มีน้ำดับไฟ ก็ปล่อยให้ไฟกิเลสเผาหัวใจอยู่ตลอดเวลา หาความสุขที่ไหน ในวัดก็วัดเถอะน่ะ พระก็พระเถอะ ถ้านอกเหนือไปจากธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นน้ำดับไฟแล้วไม่มีทาง ถ้าใครติดพันอยู่กับธรรมกับวินัยพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ศาสดาแทนพระพุทธเจ้าแล้วมีทางตลอด อกาลิโกๆ มีทาง เขาร้อนก็ตามเราเย็น ขึ้นเลยทันที จะร้อนทั้งโลกก็ตาม เราปฏิบัติตามธรรมเราเย็นตลอดนะ เป็นเกาะแห่งความชุ่มเย็นของเราคนเดียวก็พอ ถ้าไม่มีธรรมแล้วอะไรก็เถอะ กว้างแสนกว้างก็เถอะ มันเหมือนกระทะทอดสัตว์โลกนั่นแหละเผาแหลกอีก วัฏจักรนี้มันเป็นเหมือนกระทะใหญ่ สัตว์โลกเต็มอยู่ในกระทะ พวกเราๆ ท่านๆ หาความสุขไม่ได้ มันเหมือนกันหมดนั่นแหละ พากันตั้งอกตั้งใจบ้างซิการปฏิบัติธรรม
นี่ยิ่งจวนจะตายแทนที่จะมาเป็นห่วงเจ้าของกลับไม่มีนะ เราพูดจริงๆ แทนที่จะมาเป็นห่วงเจ้าของมันไม่มี ไม่มีก็บอกว่าไม่มี มันเป็นห่วงโลกสงสาร แทนที่เจ้าของจะตาย จะตายวันตายคืนอยู่มันก็ไม่เคยสนใจ อะไรนี่ก็ประสากองกระดูกรับผิดชอบมัน พาอยู่พากินพาขับพาถ่ายมันก็หนักพอแล้ว แล้วจะไปห่วงมันอะไรล่ะ ห่วงแบกมันอีกเหรอ นั่น ทิ้งปั๊วะเสียเท่านั้นมันก็สบายเท่านั้นเอง มันไม่ทิ้งนั่นซี มันห่วงมันหวง นี่ไม่ห่วงนะ ถึงขั้นไม่ห่วงไม่ห่วงจริงๆ มันหากเป็นของมันเอง บังคับให้ห่วงมันก็ไม่ห่วง เวลามันได้ห่วงดึงออกมันก็ห่วง ท่านว่าอุปาทานๆ พายึดมั่นถือมั่น ดึงออกมันก็ยึดของมันมันไม่ถอย เวลามันปล่อยแล้วบังคับให้ยึดมันก็ไม่ยึด มันเป็นอฐานะ
เอ้าถามมาปัญหา ไม่พูดอะไรมาก วันนี้จะไปเทศน์มหาวิทยาลัยขอนแก่น กะว่าบ่ายโมงครึ่งพอดี ไปถึงโน้นก็บ่ายสามโมง เข้าแวะบ้านเขารับทองคำแล้วก็ไปเทศน์ จากเทศน์แล้วก็ไปวัด กะว่าบ่ายโมงครึ่งพอดี จากนี้ไปขอนแก่นก็ไม่เลยชั่วโมง ๑๐ นาทีเท่านั้นแหละ เคยไปแล้วนี่ นี่กะว่าเป็นชั่วโมงครึ่งเรากะเวลาไว้ก็พอดีแล้ว ไปแวะรับทองเขาแล้วก็มาเทศน์ จากเทศน์แล้วก็ไปพักที่กุฏิ คราวนี้คนน่าจะมากอยู่ เพราะเป็นมหาวิทยาลัย ประชาชนเข้าไปรวมกันเยอะนะ ปัญหามีอะไรเอ้าว่ามา
โยม ปัญหาทางอินเตอร์เน็ตนะครับ ข้อที่ ๑ กระผมภาวนา พุทโธ เรื่อยๆ แรกๆ ก็ไม่นิ่ง แต่อาศัยความอดทนข่มเวทนาไว้ ข่มความเจ็บปวดเมื่อย ง่วงเหงาหาวนอนเอาไว้ ช่วงหลังจิตมันก็เลยรวมนิ่งลงไปมาก ในความรู้สึกรู้สึกว่ามันว่างไปหมด แต่ยังรู้ตัวอยู่ทุกขณะ สักพักใหญ่ๆ ก็ไปนึกเอาคำบริกรรม พุทโธ ก็กลับมาอีกแล้วก็นิ่งอีก มันสลับกันอยู่แบบนี้ ไม่ทราบว่ากระผมมาถูกทางแล้วหรือยัง
หลวงตา ถูก อันนี้ถูกแล้ว
โยม และอยากทราบว่า การพิจารณานั้น ขณะจิตไม่นิ่งไม่เป็นสมาธิจะสามารถพิจารณาได้หรือไม่
หลวงตา ได้ ถ้าเป็นความจริงความจังของความตั้งใจของเรา เช่น อย่างแสดงไว้ว่าปัญญาอบรมสมาธิ คือจิตมันวุ่นวี่วุ่นวาย เมื่อมันวุ่นมาก ๆ ก็ตั้งฐานทัพรับกันสู้กัน มันจะวุ่นไปไหนนะ เอ้า ติดตามมันดู ทีนี้ก็ซัดกัน ความวุ่นทั้งหลายเลยสู้ปัญญาไม่ได้ ไล่ต้อนเข้าสู่ความสงบแน่วได้เลย อันนี้ก็เหมือนกัน แต่จะปล่อยให้มันคิดธรรมดา ๆ เถลไถลไม่ได้ อันนี้เรียกว่าพิจารณาปัญญาไม่ได้ ถ้าเราไม่ตั้งเอาจริงเอาจังจริง ๆ นะ มันก็เถลไถลไปตามกิเลสที่มันลากไปนั้นเสีย เข้าใจเหรอ เออ เอ้า ว่าไป
โยม ข้อ ๒ ครับ ผมนั่งสมาธิยังไม่รู้สึกสงบดีนัก แต่รู้สึกว่าเหมือนร่างกายเบาเหมือนกับตัวเองเป็นกระดาษทราย แล้วรู้สึกเหมือนร่างกายจะค่อยๆ หดลงเรื่อย ๆ ผมก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ร่างกายมันค่อย ๆ งุ้มลงศีรษะค่อยงุ้มจรดลงพื้น ทันใดนั้นเกิดความลังเลขึ้นมาว่าจะเป็นมิจฉาสมาธิ ผมก็ค่อยๆ ฝืนตัวเองขึ้น แล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งอยู่ในร่างกาย แต่รู้สึกเพียงเล็กน้อยครับ ก็เลยเกิดความสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น ขอเมตตาหลวงตาช่วยชี้แนะด้วยครับ
หลวงตา อันนั้นธรรมดาเราเป็นผู้ฝึกหัดจิตใจเราก็ไม่ควรปล่อยมันอย่างนั้น ค่อยฝึกของมันไม่ให้มันลงก็เป็นการฝึกอันหนึ่ง เข้าใจไหมล่ะ คือมันจะลงอย่างนั้น มันจะไหลเข้าไปสู่อัธยาศัยเดิมนิสัยเดิม เราอยากอยู่ยังไงอยู่อย่างนั้น ทีนี้เวลาภาวนามันก็อยากเป็นอย่างนั้น เราหักไว้ได้อันนี้นะ เข้าใจเหรอ แต่เว้นไว้ในบางกรณี เช่น บางคนภาวนานี้ ตัวมันชักมันงอมันดิ้นมันดีดของมัน เป็นลักษณะที่ไม่น่าดูในกิริยาของผู้ภาวนาเช่นนั้น อย่างนี้มี แต่เราเพื่อจะดัดตัวของเรา เอ้า มันเป็นยังไง คือหลักใจที่เราจับไว้นี้ เช่นเราทำภาวนายังไง อานาปานสติ เราไม่ปล่อยอันนี้ อันนั้นมันจะดีดไปไหนปล่อยให้ไปในเวลานั้น แต่ตัวนี้ไม่วางเข้าใจเหรอ ต่อมามันก็เข้าสภาพเดิมมันได้ อย่างนี้ก็มีเข้าใจเหรอ เอ้า ว่าไปที่นี่
โยม คนที่ ๓ ครับ เมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิถึงระดับหนึ่ง แล้วทำใจให้ว่าง มีสติอยู่กับสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในจิตคือความคิดความปรุงแต่ง แล้วใช้ปัญญาพิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์ คือผมรู้สึกว่าไม่มีตัวผม ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร คือสติที่ใช้พิจารณามันตามทันตลอดทุกการปรุงแต่ง แม้แต่ตัวที่ใช้พิจารณามันยังรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง คือรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงอะไรไม่รู้ ที่ผุดขึ้นมาแล้วหายไป ช่วงนั้นสติจะตามจี้สิ่งที่ผุดขึ้นมาแนบแน่นมาก คือไม่ว่ามันจะมาจากทางไหนสติตามตลอด แล้วเกิดความรู้สึกว่า เมื่อออกจากการภาวนาแล้วเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่สัมผัสทางกาย หู จมูก ลิ้น ใจ มันไม่มีความหมายก็ไม่ใช่มีความหมาย พูดยากครับ เช่น มองเห็นน้ำก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร และมีข้อสังเกตคือบังคับให้มันเป็นอย่างไม่ได้ ต้องทำจิตให้ว่างก่อนเสมอ ขอเรียนถามหลวงตา ๓ ข้อครับ
ข้อ ๓.๑ ทำไมจึงรู้สึกว่า สิ่งที่รับรู้ได้เหมือนมันไม่มีความหมายครับ และรู้สึกว่าไม่มีตัวเอง
หลวงตา อันนั้นคือจิตมันไม่วิพากษ์วิจารณ์ มีแต่ความรู้อยู่เฉยๆ ก็รู้ ไม่ตีความหมายออกไป เรียกว่าจิตรู้อยู่ไม่เคลื่อนไหวเข้าใจไหม รู้นิ่ง ๆ จิตไม่เคลื่อนไหวก็ไม่ทราบอะไรเป็นอะไร พออาการของจิตเคลื่อนไหวออกไป ถ้าเป็นนักภาวนาก็เรียกว่าปัญญาจะเริ่มออกพิจารณา อันนี้มันก็รู้ว่าอันนั้นเป็นนั้นอันนี้เป็นนี้ไป ถ้ามันอยู่นิ่ง ๆ อะไรมันก็ไม่ว่า มันอยู่ของมันเฉย ๆ อย่างที่ว่าน้ำก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะจิตมันไปให้ความหมายเขา ตัวจิตนี้เป็นตัวให้ความหมายทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเป็นบ้ากับความหมายที่ตนไปให้นั่นแหละอยู่เสมอมา เวลาพิจารณาเข้าไปจริง ๆ แล้ว ความหมายเหล่านั้นมันจะถอนตัวเข้ามาหมด มันไม่หมาย ถ้าหมายก็ออกพิจารณาเป็นทางปัญญาไปเสีย หมายทางปัญญาที่จะเกิดผลเกิดประโยชน์ ไม่ใช่หมายไปธรรมดาลม ๆ แล้ง ๆ เข้าใจเหรอ มันก็มีเท่านั้นจะให้ว่ายังไง
โยม ข้อต่อไปนะครับ ข้อ ๓.๒ ครับ ทุกสิ่งมันเกิดที่จิตแล้วมันดับที่จิต คือจิตไปรับรู้แล้วมาปรุงให้เกิดทุกข์ คนเราไปโทษสิ่งภายนอก จิตเราควรดูแล้วก็รับรู้ที่จิตใช่หรือไม่ครับ
หลวงตา ใช่ ใช่เราอยากจะพูดว่าใช่ ๆ ๆ ๆ วันยังค่ำตรงนี้เพราะมันใช่จริง ๆ เข้าใจไหม นี่ละอันนี้พูดถูกต้องดี เพราะอย่างนั้นเราจึงตอบว่า ใช่ ๆ ๆ ๆ เรื่อยไปเลยเข้าใจไหมให้มันถึงใจ มันไม่มีใครมาพูดอย่างนี้สักทีนะ เออ เอาละ
โยม เขาบอกคนเราทุกข์เพราะสิ่งที่ผุดขึ้นในจิตใช่ไหมครับ
หลวงตา มันไม่ใช่เสมอไป ทุกข์เพราะสิ่งที่ผุดขึ้นในจิต ธรรมผุดขึ้นในจิตก็ได้ กิเลสผุดขึ้นในจิตก็ได้เข้าใจไหม ถ้ากิเลสผุดขึ้นในจิตแล้วสร้างทุกข์ ถ้าธรรมผุดขึ้นในจิตแล้วสร้างสุขเข้าใจไหม เพราะอย่างนั้นมันจึงไม่เสมอไป ให้ผุดเป็นธรรมแล้วเป็นสุขเข้าใจไหม
โยม ข้อ ๓.๓ ครับ ผมควรภาวนาอย่างไรต่อไปครับ จึงจะหลุดพ้นเหมือนหลวงตา ขอความกรุณาตอบปัญหาธรรมด้วยครับ เพราะผมไม่รู้จะไปถามใคร
หลวงตา ไม่ตอบ กลัวเป็นบ้าเหมือนคุณผู้ถาม
โยม คนที่ ๔ ครับ กระผมเคยปฏิบัติกรรมฐานที่สำนักแห่งหนึ่งด้วยวิธีกำหนดยุบพอง แต่ด้วยจิตที่เกิดความอยากในขณะนั้น อยากที่จะเห็นนิมิตและปาฏิหาริย์ทำให้เกิดการบีบบังคับจิตเพื่อให้เกิดสภาวะดังกล่าว ซึ่งก็ไม่เกิดสภาวะใด ๆ ตามที่ต้องการ ที่สำคัญกับเกิดความตรึงแน่นของร่างกาย และเกิดความเครียดจุกแน่นของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณลิ้นปี่และท้ายทอย ซึ่งก็เกิดเป็นประจำจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเกิดความตื่นเต้น และเมื่อทำสมาธิก็จะเกิดความเครียด และมีความฟุ้งซ่านง่วงนอนติดตามมา ทำให้มีความท้อแท้มากในบางครั้ง แต่เมื่อได้มีโอกาสศึกษาธรรมะ คำสั่งสอนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ทำให้ความคิดที่อยากให้เกิดสภาวะของปาฏิหาริย์ต่าง ๆ หรือนิมิตต่าง ๆ หมดไป แต่มีสิ่งที่เป็นโทษดังที่กระผมกราบเรียนมาข้างต้นปรากฏอยู่เช่นเดิม กระผมอยากน้อมจิตกราบหลวงตาได้โปรดชี้แนะ
หลวงตา เบื้องต้นคืออะไร
โยม จุกแน่นร่างกาย บริเวณลิ้นปี่ และท้ายทอย เพราะอยากให้เกิดนิมิตและปาฏิหาริย์ ก็เลยกราบให้หลวงตาโปรดช่วยชี้แนะ แก้ไขความทุกข์ดังกล่าวด้วย
หลวงตา ก็รู้โทษมันแล้ว หยุดมันแล้วก็ไม่มีอะไรนะ อย่าไปคิดอย่างที่มันเกิดโทษมาแล้วเข้าใจเหรอ ที่ว่าคราวหลังมานี้มันถูก คือระงับอย่างนั้นไม่คิด หรือว่ายังไง
โยม เขายังปรากฏจุกที่ลิ้นปี่และท้ายทอยอยู่
หลวงตา ปรากฏก็ช่างหัวมันเถอะ เราหามาเองก็แบกไปอย่างนั้นละ ก็ไม่มีใครไปหามาให้ ตัวเป็นบ้าขนาดไหน โทษของบ้ามันก็มาอย่างนั้นละ ตัวดิ้นแล้วไปหาคนมาแก้บ้า จะแก้ยังไงตัวดิ้นเอง แล้วมีอะไรอีก
โยม คนที่ ๕ ครับ วันนี้มากหน่อยครับ การเฝ้าดูจิตขณะปัจจุบัน จิตมี ๒ อย่าง อันหนึ่งมันเกิดมันดับเห็นอยู่รู้อยู่ ไม่วิเคราะห์วิจารณ์อะไรดูอยู่เฉย ๆ ส่วนจิตอีกอันหนึ่งสว่างจ้าไม่เกิดไม่ดับ เห็นอยู่ดูอยู่ แต่บอกไม่ได้ว่ามีลักษณะเช่นไร อธิบายไม่ถูกบอกไม่ถูก ในส่วนของการปฏิบัติอยู่นี้ ผิดถูกเช่นไรกรุณาช่วยชี้แนะด้วยครับ กราบนมัสการจาก ส้มโอ
หลวงตา ให้ปฏิบัติตามนั้นแหละ ก็ที่ทำมาแล้วมันก็เป็นทั้ง ๒ เจ้าของก็เข้าใจแล้วนี่นะ อันแรกเป็นอะไรเกิดดับ ๆ เราก็รู้มันอยู่ มันก็ไม่ผิดเมื่อรู้อยู่ อันที่ ๒ สว่างจ้า เป็นบางขณะของจิตที่มันสว่างขึ้นมา มันก็รู้อยู่เห็นอยู่เหมือนกันนี้ก็ดี มันก็ไม่ผิด การเดินทางมันต้องมีสูงมีต่ำ มีคดมีเคี้ยวเราก็รู้ตามสายทางไป ลักษณะนี้มันก็เหมือนกัน ก็ไม่ทราบจะให้ตอบว่าไง ก็เราเดินไปตามนั้น มันคดก็คดไป มันงอก็งอ มันขึ้นก็ขึ้น มันลงก็ลงไป มันก็ไม่น่าจะสงสัยในสายทางที่ก้าวเดินไปนะ อันนี้ก็เป็นอย่างนั้นมันก็ไม่น่าสงสัย จึงไม่อยากตอบ ถ้าตอบกลัวส้มโอจะเป็นบ้า พอ เราไม่อยากให้ส้มโอเป็นบ้า เราไม่ตอบ รั้งกันไว้เดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งโลก
โยม คนที่ ๖ ครับ คนสุดท้ายครับ
หลวงตา เอ้า ว่ามา
โยม การทำสมถะภาวนา มีจุดมุ่งหมายทำให้ตัวจิตมีสติ มีความสงบ มีสมาธิ
หลวงตา ถูกต้องแล้ว เอ้า ว่าไป เดี๋ยวเราลืมเราตอบเสียก่อน
โยม เพื่อจะให้ได้ใช้ในการทำวิธีวิปัสสนาต่อไป การทำวิปัสสนามีจุดมุ่งหมายต้องการให้ตัวจิตเห็นรูปธรรม นามธรรม ตรงตามความเป็นจริง การเห็นรูปธรรมตรงตามความเป็นจริง คือเห็นมีความเป็นธาตุ มีความเป็นไตรลักษณ์ การเห็นนามธรรมตรงตามความเป็นจริง คือเห็นเป็นนามธาตุเห็นเป็นไตรลักษณ์ อันนี้ไม่ใช่จิต รูปธรรม นามธรรมก็มีแสดง เกิดแล้วก็ดับตามความเป็นจริง แม้จิตจะมาเห็นความจริง หรือจิตยังไม่มาเห็นความจริง ทั้งรูปธรรมและนามธรรมก็แสดงความจริงอยู่อย่างนั้น เมื่อจิตมาเห็นความจริงอย่างนั้นแล้ว จิตจะมีความรู้ไม่เข้าไปยึดรูปธรรม นามธรรม แต่ในมุมกลับจิตก็ยังติดอยู่กับความรู้ที่ไปรู้ความจริง
หลวงตา เอ๊ย ขี้เกียจตอบนะ
โยม เดี๋ยวขออ่านให้จบก่อน ที่ไปรู้รูปธรรม นามธรรม ดังนั้นต้องหาแยบคายให้ตัวจิตถอนตัวออกจากความรู้ที่กล่าวมาข้างต้น จึงจะเป็นการพิจารณาที่ถูกต้องสมบูรณ์ หนูอยากเรียนถามว่าวิธีการดังกล่าวมาถูกต้องหรือไม่ในภาคปฏิบัติ ขอหลวงตาเมตตาด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา ตอนปลายนี้ถูกต้องอยู่ เข้าใจเหรอ ตอบเอาตอนปลายเลย ขี้เกียจตอบมาก มันไม่ค่อยจะคุ้มค่าว่างั้นเลย เอาอย่างนี้ดีกว่า ตอนปลายนี้ดีอยู่ นั่นละ ผู้ชายจันทบุรีนั้นน่าฟังมาก เราหาที่ค้านไม่ได้ นั่น ถ้าไม่มีที่ค้านเราก็ไม่ค้าน ยอมรับเขาเลย ถูกต้องเลย นั่นละการปฏิบัติ เขาถามเรามาเขาพูดให้เราฟัง ไม่ใช่เขาสงสัยนะ เขาพูดให้เราฟังในฐานะว่าเราเป็นครูเป็นอาจารย์สอนคน เขาสอดทางนี้มา เราจะว่ายังไงหรือไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่เป็นอารมณ์ แต่เขาก็ถามมา นี้เราก็ตอบไปเฉย ๆ เราก็ไม่เป็นอารมณ์เหมือนกันเข้าใจไหม อันนั้นละเข้าท่าดีคนนั้น
อย่างนั้นละธรรมะ ถ้าใครปฏิบัติอยู่ที่ไหน ๆ มันจะปรากฏขึ้นมาตามกำลังของตน เช่นเดียวกับจอกแหนมันจะปกคลุมหมดทั้งบึงทั้งบ่อจนจะมองไม่เห็นน้ำ ใครไปแหวกจอกแหวกแหนขึ้นตรงไหนมันก็เห็นน้ำตรงนั้นเข้าใจไหม ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นเสียโดยประการทั้งปวงนะ ใครไปแหวก เปิดจอกเปิดแหนออกที่ไหน น้ำอยู่ที่นั่นมีแล้วมันก็เห็นน้ำ ๆ อันนี้ธรรมมีอยู่เป็นพื้นอยู่แล้วในหัวใจ กิเลสคลุมอยู่ เราภาวนายังไงมันควรจะปรากฏให้เห็นความสงบสุข นั่นเท่ากับเห็นน้ำเป็นลำดับลำดา มันก็เห็นได้เข้าใจเหรอ ถ้าไม่ทำเลยก็ปล่อยให้จอกแหนคลุมตายเลยพวกเรา ตายจมอยู่ในจอกแหนนั่น เข้าใจเหรอ ก็มีเท่านั้นแหละ เราอยากให้ผู้ปฏิบัติได้ทำนี่นะ ฟังซิว่าจอกแหนปกคลุมหมดบึงบ่อ เหมือนว่าไม่มีน้ำ ใครเปิดก็เห็นแหละ นั่น ใครเปิดมากเปิดน้อยจะเห็น ธรรมมีอยู่ในใจ จำเอานะ เอ้า ว่ามา
โยม พระหลวงตาเจ้าคะ ผ้าป่าหน้าศาลาวันนี้ได้ ๑,๒๒๐ บาท แล้วก็ ผ้าป่าของวัดป่าโนนทอง ๑,๙๐๐ บาท รวมทั้งหมดเป็น ๓,๑๒๐ บาทเจ้าค่ะ
หลวงตา เออ เอาละวันนี้ก็มีเท่านั้นละ ว่าจะไม่นานมันก็เห็นไหมนี่ ๓ โมงครึ่งแล้ว ตอบนั้นตอนนี้ไป มันตอบลำบาก ทั้งรำคาญก็มีบางแห่ง มันโล่งตั้งแต่คนจันทบุรี ตั้งแต่ต้นขึ้น โล่งไปตลอดเลย เราก็ไม่มีอะไรตอบเขา มีแต่อนุโมทนาโดยเทียบเคียงไป หรือว่าทางอ้อมไปอย่างนั้นละ จะว่าอนุโมทนาจริงๆ มันก็มีส่วนเสียส่วนหนึ่งสำหรับคนที่ไปฟัง มีลำบากอยู่นะการตอบ ตอบปัญหาตอบแง่นี้ไป จะได้แง่นี้ จะเสียแง่ไหนต้องคิดอีกๆๆ เช่นอย่างคำถามเขาถามมานี้ เวลามันออกมันออกร้อยเปอร์เซ็นต์ ออกตอบรับ ต้องคิดถึงผู้ที่จะรับปัญหานี้ไป จะได้มากน้อยเพียงไร แยกปัญหานี้อีก ควรจะให้ ๕๐-๖๐-๗๐% ก็ให้ไปตามนั้น ถ้าควรให้ร้อยเลย ทางนั้นผางมาทางนี้ผางไปเลยทันที ร้อยต่อร้อยแล้วกันไปเลยไม่มีปัญหา แน่ะมันมีหลายอย่างนะการตอบปัญหา ส่วนมากมักออกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เวลาตอบต้องแยกออกมาตอบตามผู้ที่มารับจะรับไปได้มากน้อยเพียงไร นี่มันก็แยกออก ไม่แยกไม่ได้นะ แล้วตอบไปแล้วมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรอีก ผู้ที่ฟังเกี่ยวโยงกันไป แน่ะมันก็มีหลายขั้นหลายภูมิ จึงลำบากอยู่นะ
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |