เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
เรื่องจอมปลอมแทรกธรรม
เมื่อวานนี้ไปสองแห่ง โห ไม่ใช่เล่นๆ นะ เหน็ดเหนื่อยเทศน์ สำคัญมากที่เทศน์นั้นเหนื่อย เทศน์แต่ก่อนกับปัจจุบันนี้มันผิดกัน แต่ก่อนอายุยังหนุ่มยังน้อย กำลังวังชาไม่ได้มาเป็นอารมณ์กับมันเลย เดี๋ยวนี้มันกลับมาเป็นอารมณ์กับเครื่องมือคือธาตุขันธ์ของเรา เวลาเทศน์จบลงมาแล้วเหนื่อย แต่ก่อนไม่เป็น ธาตุขันธ์คือเครื่องมือของธรรม เครื่องมือของใจออก ถ้าเครื่องมือดีก็สะดวก สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้น ใครก็เถอะมันเหมือนกันนั่นแหละ พูดนี้ถ้าเป็นธรรมะเข้มข้นรู้สึกค่อนข้างจะไม่ได้นะ ธรรมะเข้มข้น ส่วนมากต่อมากก็มีธรรมะขั้นสูงแหละ มันหากเป็นของมันเองขั้นสูง เทศน์ธรรมดานี้ถ้าเป็นธรรมะขั้นสูงจะเร่งๆ เรื่อยๆ เลย ลมมันกระแทกเข้ามา
ธรรมะขั้นสูงกับความเข้มข้นของเสียงของอะไรมันจะไปพร้อมๆ กัน แล้วมันมากระแทกแรง มากระแทกก็คือเข้าในหัวใจ อันนี้จะแสดงความรู้สึกออกมา พอรู้สึกแล้วเริ่มเหยียบเบรก เป็นอย่างนั้นนะ เพราะมันมีโรคหัวใจฝังอยู่ลึกๆ มันไม่ใช่เหนื่อยธรรมดา มีโรคหัวใจซึ่งมันยังไม่หาย มันเหมือนว่าหายนะ เราจะทราบได้เวลานี้ละ ส่วนมากสำหรับเราเองไม่มีอะไรมากระทบ มีแต่เรื่องของลมที่แสดงออกมากระทบ อย่างอื่นไม่เห็นมี เวลาเทศน์เข้มข้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะหมุนของมันเร็วเข้า ทีนี้ลมมันก็กระแทกๆ สักเดี๋ยวอันนั้นก็แสดงออกมา มันลำบากอย่างนี้นะ
ศิริราชนี่ก็ไปเทศน์ ตอนช่วยชาติดูเหมือนไปสองหนหรือสามหนน้า อย่างน้อยสองหน แต่ก่อนก็เคยเทศน์มาอยู่แล้ว เทศน์มาตั้งแต่สมัยอาจารย์หมออุดม อาจารย์หมออวยนู่น เราไปเทศน์แต่นู้นมา จากนั้นมาก็ค่อยห่างไปหน่อย ตั้งแต่มีการช่วยชาตินี้ก็มีเข้าไปอีก ดูเหมือนไปเทศน์สองครั้ง ครั้งหนึ่งฟ้าหญิงเล็กเสด็จ เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องเทศนาว่าการนี้มาวิตกวิจารณ์แต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นะเรา ทุกวันนี้นะ แต่ก่อนไม่มี ออกอย่างพุ่งเลยเทียว นี่มันก็มีกรรมอันหนึ่งของเราอยู่อย่างว่านั่นแหละ ตอน ๒๕๐๖ โรคหัวใจนี่ขึ้นอยู่บนธรรมาสน์ นั่นละมันรุนแรงเรื่องเทศน์ ในระยะที่ยังหนุ่มยังน้อยเทศน์สอนพระล้วนๆ เกือบจะว่าล้วนๆ เพราะพระเป็นพันในงานศพท่านอาจารย์กงมา วัดดอยธรรมเจดีย์
เวลามันเร่งมันหมุนติ้วๆ เลย เทศน์สอนพระมันเร่งของมัน ประชาชนก็มี แต่ว่าจิตมันมุ่งใส่พระมากกว่าประชาชน เพราะนานๆ จะได้เทศน์สอนพระเสียทีหนึ่ง ความหมายว่างั้นนะ ส่วนประชาชนเขามันพอตัวตลอดเวลาแหละเขาน่ะ ว่าอย่างนั้นเสียดีกว่า พระนี่มีหิวโหย ส่วนมากมีแต่พระปฏิบัติเต็มไปหมดเลย นั่นละจึงได้เทศน์ธรรมะเร่ง เร่งถึงขนาดที่ว่าโรคอันนี้เกิดที่นั่นเลยในเวลานั้น จนจะสลบไสล ปึ๋งปั๋งขึ้นมาทันทีเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ หยุดกึ๊กเลย นั่งตัวสั่นไป อ้าว เราทำไมถึงเป็นอย่างนี้เพราะไม่เคยเป็น เงียบกริบเลยคนมากๆ เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้ มันจะสลบไสลน่ะ พอมันค่อยคลี่คลายออกมา แล้วลงธรรมาสน์หนีไปเลย นั่นแหละหยุด หยุดไม่มีใครรู้ ตั้งแต่นั้นมามันมาตัดทอนตัวนี้ ตั้งแต่ ๒๕๐๖ มาถึง ๒๕๒๐ ละมัง ที่เริ่มเทศน์สอนเพาพงา ได้หนังสือสองเล่มมา นี่ละห่างตั้งแต่ ๒๕๐๖ ไปจนกระทั่ง ๒๕๒๐ ถึงได้เริ่มเทศน์ มันก็ตัดไปเสีย
จากนั้นมาต้องอยู่ในความระมัดระวังเรื่อยที่นี่นะ เพราะฉะนั้นมันถึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีอะไรอันหนึ่งจะว่าเป็นกรรมอะไรก็ถูกอยู่ มันตัดทอนตอนเวลากำลัง วัยก็กำลังพุ่งด้วย วัยแข็งแรง ธรรมไม่ต้องพูดแหละระยะนั้นแล้วนะ ๒๕๐๖ ไปแล้วไม่ต้องพูดแหละ เพราะฉะนั้นมันถึงพุ่งซีกับพระน่ะ ถึงขนาดโรคหัวใจเกิดในเวลานั้นเลย นี่อำนาจแห่งธรรมที่ออกอย่างรุนแรงแล้วลมมันก็พุ่งๆ กระแทกเข้าๆ ใส่กึ๊กเดียวเลยเทียว นี่ละเรื่องธรรมท่านทั้งหลายฟังเสียนะ จะมีหลวงตาองค์เดียวนี่พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เรื่องธรรมนี่พูดจริงๆ พุ่งทีเดียวเลยไม่มีขอบเขต แบบไหนจะมา-มา มันจะออกรับกันทันทีๆ มันมีพร้อมอยู่แล้วทุกอย่างในจิตใจ เป็นแต่เพียงว่าจะออกมากน้อยตามบุคคลที่มารับฟัง ที่ควรจะได้หนักเบามากน้อยเพียงใด เป็นตามพื้นตามเพไปเรื่อยๆ การเทศน์มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นๆ จะให้เลยนั้นไม่ได้มันขัดกับความพอดี ขนาดนี้พอดีกับธรรมประเภทนี้ พอดีกับขนาดนี้ๆ ระยะนี้เรื่อย
วันนั้นมีแต่พระเป็นพันนะ กรรมฐานแทบทั้งนั้น นานๆ จะได้เทศน์ให้พระทั้งหลายฟัง ซึ่งมีความหิวกระหายอยู่แล้วในเรื่องธรรมภาคปฏิบัติกับพระกรรมฐาน เพราะฉะนั้นจึงได้ถือโอกาสเทศน์วันนั้น เริ่มก็พุ่งเลยเทียว พุ่งก็พุ่งใหญ่เลย มันก็เสียเสียตรงนั้น จากนั้นมาก็ล้มลุกคลุกคลานไปเรื่อย ตั้งแต่ ๒๕๒๐ เทศน์ก็ได้ระวัง ตั้งแต่นั้นมาเลยระวัง ไม่ระวังไม่ได้ นี่ละที่ว่ามันก็กรรมอันหนึ่งเหมือนกันมาตัดทอนเอาตอนสำคัญๆ ธาตุขันธ์ก็แข็งแรงอยู่ด้วยเต็มที่ ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นขึ้นมา มันก็เป็นขึ้นมาเรื่อยมา ถึงทุกวันนี้มันเหมือนหายนะ แต่มันไม่หาย เวลาเทศน์ธรรมะเร่งเข้าๆ หนักเข้าๆ มันจะยิบแย็บ พอรู้อย่างนั้นรีบเหยียบเบรก ไม่เหยียบไม่ได้นะมันเอาอย่างรุนแรง รวดเร็วด้วย เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เทศนาว่าการเลยมันไม่ได้เป็นเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ใครจะว่าเทศน์ดิบเทศน์ดีอะไรก็ตามเถอะ เราเป็นคนเทศน์เอง สภาพร่างกายและจิตใจเราเป็นผู้รู้เอง มันถึงไม่ได้สะดวก ทุกวันนี้ยิ่งถือธาตุขันธ์เป็นผู้มีอำนาจมากกว่าใจแล้ว จะเทศน์อะไรจะต้องได้ดูเครื่องมือเสียก่อน เครื่องมือเป็นไปได้ขนาดไหน ก็ต้องเอาเครื่องมือเป็นประมาณ คือธาตุขันธ์ของเราซึ่งเป็นเครื่องใช้ของอรรถของธรรม ถ้าธาตุขันธ์ไม่ดีเทศน์ไปไม่ได้นะ จากนั้นมาแล้วเราก็หลบหลีกตัวเอง หลบไปอยู่ที่นั่นที่นี่ อย่างที่ว่าวัดช่องลม ชลบุรี นี้ เราก็เคยไปพักวัดช่องลม แต่ไม่ได้อยู่วัดช่องลม อยู่โน้นในสวนลึกๆ ที่สงัดเงียบ นี่ละหลบหลีกตัว
ถ้าอยู่กับนี้ไม่ได้แขกคน แล้วหมอเขาก็บอกไม่ให้รับแขกด้วย เราก็รู้ด้วยว่ารับไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงหลบนู้นหลีกนี้ไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ไม่เทศนาว่าการ แม้แต่ไปอยู่ชลบุรีคนก็มาก แต่เราสั่งไว้เลยไม่ใช่บอกนะ สั่งไว้เลยเชียว บอกว่ามานี้มาเฉพาะจังหันเท่านั้นนะ ที่จะให้พูดจาเทศนาว่าการ ไม่เอานะ นี่หลบหลีกมาต่างหาก ไม่ได้มารับแขกรับคนนะ บอกตรงๆ อย่างนี้ พอบอกอย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่ฝืนแหละ พอเสร็จแล้วเขาก็เลิกกลับไปเลย เพราะไม่เลิกก็บอกเลย ไป เลิก กลับ จากนั้นเราก็อยู่ตามสบายของเรา ไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย มันเขตพัทยาต่อกัน อยู่ลึกๆ สงัดเงียบ นั่นละเหมาะสม ได้หลบโน้นหลีกนี้แต่ก่อน ต่อมามันก็เป็นอะไรไม่ทราบ แล้วก็กลับมาช่วยบ้านช่วยเมือง ทีนี้เทศน์เลยไปใหญ่เลย มันอะไรก็ไม่รู้ วาระธาตุขันธ์อ่อนลงก็กลับได้ใช้งานมากขึ้น
ไม่เคยคิดนะว่าใครจะมาตำหนิติชมอย่างใดๆ นี้ไม่เคยถือมาเป็นอารมณ์ เรื่องของโลกหาประมาณได้เมื่อไร เรื่องของธรรมมีประมาณประจำตัว ควรจะหนักเบามากน้อยยังไงๆ จะออกตามนั้นๆ ใครจะตำหนิติชมยังไงก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเรากับอรรถกับธรรมที่จะทำประโยชน์ให้โลกเป็นเรื่องของเราเอง เพราะฉะนั้นการพูดจึงหาประมาณไม่ได้ คือเอาธรรมเป็นกฎเกณฑ์ ถือเอาธรรมเป็นกฎเกณฑ์ ความหนักเบามากน้อยเพียงไรมันจะมีอยู่ในนี้เกี่ยวข้องกับประชาชน นั่งปั๊บมองดูปั๊บไม่ต้องคุยมันรู้แล้ว ควรจะเทศน์หนักเบามากน้อยเพียงไรมันบอกในตัวแล้ว พูดให้มันตรงๆ อย่างนี้ นอกจากไม่พูดเฉยๆ จะเข้าสมาคมใดก็ตามมันเหมือนกับเข็มทิศ มันจะจับของมันทันทีเลย พูดให้มันตรง ท่านทั้งหลายเคยฟังไหมคำนี้ มันเป็นอยู่เต็มหัวใจนี่แล้ว
ธรรมะเป็นของจริงพูดตามหลักความจริงผิดไปไหนวะ เพราะฉะนั้นเราจึงได้สงสารโลก พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว มีอันเดียวเท่านี้ เราก็พูดชัดแล้ว ได้พิจารณาเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีอะไรข้อข้องใจสงสัยในพุทธศาสนานี้แล้ว ว่าศาสนาของศาสดาองค์เอกขึ้นเลยเทียว เพราะได้พิสูจน์กันหมดแล้วในหัวใจ หาที่ค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ไม่มี ไม่มีที่ค้าน ปฏิบัติไปยังไง รู้แง่ไหนมุมใดๆ มีแต่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดๆ โห เรานี่มันหนวกมันบอดมาแต่เมื่อไร พอมันปรากฏขึ้นแง่ไหน พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วๆ ไม่ว่าธรรมะขั้นใดไม่เคยมีที่จะขัดแย้งพระพุทธเจ้าเลย ขัดแย้งไม่ได้ เป็นขึ้นนี่กับเรื่องของพระพุทธเจ้ามันรับกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ กับปริยัติไปอีกแง่หนึ่งนะ นี่เราก็เรียนมา ถ้าไปกับปริยัติเป็นอีกแง่หนึ่ง พุ่งใส่ตัวจริงเลยคือองค์ศาสดา เพราะองค์ศาสดารู้ด้วยการปฏิบัติ อันนี้มันก็เป็นขึ้นด้วยการปฏิบัติ วิ่งใส่กันถึงกันกึ๊กๆ
ออกทางด้านปริยัติมันมีอะไรอยู่ของมันละ พูดยากๆ นะ ถ้าว่าน้ำหนักก็ไม่เหมือน ไม่เหมือนที่ตรงของจริง มันรู้นี้มันวิ่งใส่นั้น อันนั้นสอนไว้อย่างนี้แล้ว นั่นอย่างนั้นนะ ไปทางปริยัติบางทีเราก็ไม่เห็นมันเป็นขึ้นมา ปริยัติท่านว่ายังไงก็ไม่ทราบ ดังที่เขาพูดใน บุพพสิกขา เราเลยไม่ลืม จับเอาไว้นะ แต่ก่อนเราก็ยังไม่เข้าใจ ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน นี่ละเรื่องจอมปลอมมันเข้าไปแทรกในธรรม เป็นอย่างนี้เอง ถ้านอนหลับยังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเป็นอรหันต์เหรอ มึงจึงมาคุยโม้นัก ว่างั้น มึงไม่อายดินฟ้าอากาศบ้างเหรอ เราอยากถามว่างั้นนะ นี่มันผิดขนาดนั้นนะ มันด้นเดามาอวดได้นี่วะ
พระอรหันต์คือขันธ์ ๕ นี่เหรอ อรหันต์น่ะ ขันธ์ ๕ มันก็เหมือนกับโลกทั่วๆ ไป โลกฝันได้ทำไมขันธ์ ๕ พระอรหันต์ฝันไม่ได้ แน่ะพิจารณาซิ ความบริสุทธิ์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ความบริสุทธิ์ไม่ใช่ความฝันนี่ เอามาเข้ากันทำไม มันประกาศชัดเจนว่า นี่คือกิเลสมันแทรกธรรมมันแทรกอย่างนี้ ที่มันบ่งบอกอย่างชัดเจน เพราะได้อ่านดูจริงๆ อ่านดูได้พิจารณา แต่ก่อนยังไม่มีข้อค้านนะ เป็นแต่เอามาพิจารณา พระอรหันต์นอนหลับท่านไม่ฝัน ท่านไม่ฝันเหรอ สงสัยอยู่นะแต่ไม่ได้คิดหลังมานั้น พอคราวหลังมานี้มันจับกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ พระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน แล้วย้ำเข้าอีกว่า ถ้าฝันอยู่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ว่างั้น จึงย้ำเข้าอีกอะไรมันจะพอกัน โคตรพ่อโคตรแม่มึงนี่ เข้าใจไหมน้ำหนัก โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเป็นพระอรหันต์เหรอ มึงถึงได้มาอวดเอานักหนา ไม่มียางอายเลย อยากถามว่างั้น นี่เขาเรียกน้ำหนัก เข้าใจไหม ไม่ได้เป็นความหยาบความโลนอะไร
บอกว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ยังย้ำเข้าไปอีก ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ มันย้ำเข้ามา เมื่อมันย้ำเข้ามา เราจะเอาอะไรไปสู้ ก็ยกโคตรเข้าใส่ละซี น้ำหนักมันถึงจะเท่ากันใช่ไหม โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเป็นพระอรหันต์เหรอ มึงถึงได้มาคุยโม้โอ้อวดไม่มียางอายเลย นั่น เข้าใจไหม นี่คือว่าเมื่อมันรู้อย่างจังๆ แล้วมันค้านกันได้อย่างจังๆ ผิดอย่างจังๆ นั่น มันบอกชัดๆ อย่างนี้เลย คำฝงคำฝัน การหลับการนอนการตื่นนี้เป็นเรื่องของขันธ์ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของความบริสุทธิ์ ที่ท่านว่า ชาคโรๆ นั่นใช่แล้ว ชาคร ผู้ตื่นอยู่ คือหลักธรรมชาตินั้นตื่นตลอด ไม่มีหลับมีตื่น ยืนเดินนั่งนอนไม่มี อันนั้นเป็น ชาคร เรายอมรับทันที เรื่องของขันธ์ให้เป็นเรื่องของขันธ์ซี
เราถึงได้กล้าพูดละซีว่า เรื่องของขันธ์นี้ก็เป็นเหมือนโลกทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าโลกเขาเป็นยังไง ธาตุขันธ์ของพระอรหันต์ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเป็นธาตุขันธ์เป็นสมมุติอย่างเดียวกัน เพราะจิตอันนั้นไม่ได้อยู่ในนี้ จิตที่บริสุทธิ์นั้นยกไว้เสีย หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง แดนสมมุติไม่ว่าหยาบละเอียดไม่เข้าถึงแล้ว เป็นคนละอย่างแล้ว นี่ละเรื่องราวมัน ธาตุขันธ์นี้โลกเป็นยังไง ธาตุขันธ์นี้ก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่น เอายาเสพย์ติดมาให้พระอรหันต์กินดูซิ อรหันต์นั้นไม่ติด แต่ธาตุขันธ์ของอรหันต์เป็นสมมุติเหมือนโลก ติดได้เหมือนโลก เอายาเสพย์ติดเหล่านี้ เอายาบ้งยาบ้าไปให้พระอรหันต์ ไปให้พระพุทธเจ้าฉันซิน่ะ ติด ขันธ์ของท่านติดแต่ท่านไม่ติด เพราะขันธ์นี้เป็นเรื่องของโลกทั่วๆ ไป เข้าใจไหมที่พูดนี่
ใครพูดไหมคำนี้ มีใครพูดไหมในโลกอันนี้ นี่พูดได้อย่างจังๆ มันรู้กันอย่างจังๆ แล้วมันแยกกันอย่างจังๆ อีกด้วย เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เป็นไปเหมือนสมมุติ อะไรที่มันเคย มันบอกว่าอันนี้ชอบอันนั้นไม่ชอบ พูดได้เหมือนกันกับโลก แต่เพียงว่าขันธ์นี้มันเกี่ยวข้องกับนี้ มันชอบกันไม่ชอบกันอยู่เพียงแค่นี้ ไม่ได้เข้าไปหาความบริสุทธิ์ เข้าใจไหม ธาตุขันธ์เหมือนกัน เช่น อาหารการกินอะไร เอ้อ อันนี้ดี อันนี้ชอบอันนี้ไม่ชอบ ท่านก็พูดได้สบายๆ เพราะเป็นอยู่ระหว่างขันธ์กับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นสมมุติด้วยกัน มันไม่ได้เป็นอยู่ในวิมุตติ เข้าใจเหรอ พากันฟังซิน่ะ แล้วใครพูดคำพูดเช่นนี้น่ะ ไม่มีใครพูดนะ อีตาบัวองค์เดียวพูด พูดให้มันชัดๆ มันไม่มีสะทกสะท้าน เอาของจริงออกมาพูดนี่ ดึงออกมาจากนี้ อันไหนจริงอันไหนปลอมมันรู้หมดของมัน
พูดชัดๆ อย่างทุกวันนี้ สิ่งที่จอมปลอมเข้ามาที่มันจะทำให้โลกเสียผู้เสียคนไปมากมายก่ายกองเป็นลำดับลำดาขึ้นไปนี้ กำลังคืบคลานเข้ามาๆ ก็ได้พูดแล้วนะ เราเกี่ยวข้องกับโลกมียังไง อะไรเข้ามาคว้ามับๆ คืออะไร เพียงเท่านี้ก็พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ ทำให้ลืมเนื้อลืมตัว ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นบ้ากันไป นี่คือเรื่องของโลกเรื่องของกิเลสมันพัวพันกันได้อย่างง่ายดาย ทีนี้ธรรมจับปุ๊บรู้หมดเลย นั่น เข้าใจไหมล่ะ ธรรมนี้จะไม่มีคุ้นกับอะไร เข้ามาแง่ไหนๆ เป็นเรื่องของกิเลสมันจะรู้ทันทีๆ โดยไม่ต้องบอก หากเป็นเครื่องรับกันได้ทันที
เราจึงได้วิตกวิจารณ์ถึงเรื่องโลกที่เข้ามาๆ คืบคลานเข้ามาทุกแบบทุกฉบับ โลกไม่รู้นะ แต่ธรรมปิดไม่อยู่ๆ รู้ตลอดเลย เมื่อรู้ตลอดแล้วมันก็ไม่หลงตลอด ไอ้ผู้ที่ยังหลงอยู่นั่นหลงตลอด ไม่มีอะไรมันก็หลง ยิ่งมีอะไรเข้ามาเพิ่มความหลงเข้าอีก เข้าใจไหมล่ะ เวลานี้กำลัง สิ่งที่จะทับอรรถทับธรรมทับศาสนา ทับคนที่มีหัวใจเต็มไปด้วยกิเลส แต่มีความใฝ่ฝันอยู่กับอรรถกับธรรมนี้ มันจะเข้ามาตีเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ แล้วหนักขึ้นๆ พวกจอกพวกแหนหนาแน่นขึ้นเรื่อย น้ำในบึงในบ่อใสสะอาดขนาดไหนก็อยู่ใต้จอกใต้แหน มีแต่มันปกคลุมตลอด นี้กิเลสปกคลุมธรรม ธรรมเหมือนน้ำในบึง น้ำในบึงคืออะไร บึงก็คือจิต น้ำคือธรรมก็อยู่กับจิตนั่น
กิเลสเกิดขึ้นจากจิต แต่มันมาปกคลุมหุ้มห่อจิต หุ้มห่อธรรมไม่ให้เห็น นี่ที่ว่าศาสนาจะไม่มีเหลือ คือมีแต่พวกจอกพวกแหน พวกกิเลสตัณหามันปกคลุมหุ้มห่อไว้หมด ไม่ให้เห็นเลย ทีนี้ก็ว่าสระนี้บึงนี้ไม่มีน้ำ ใครมองไปก็ไม่มีน้ำ ก็จอกแหนมันปกคลุมไว้หมดแล้วไม่ให้เห็นน้ำ ก็ไปเห็นแต่จอกแต่แหน ไม่มีน้ำมีอะไรล่ะ โอ๊ย มีแต่จอกแต่แหน แต่ถ้ามันรู้ว่ามีแต่จอกแต่แหนเท่านั้นมันมีข้อตำหนิกันอยู่บ้างนะ น้ำอยู่ข้างใต้ มันมีแต่จอกแต่แหน มันเห็นแต่จอกแต่แหน ผู้ที่ท่านรู้ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างพระอรหันต์ท่าน น้ำเป็นน้ำ จอกแหนปกคลุมน้ำท่านก็รู้หมด
ทีนี้พวกเราไปนี้มันก็เห็นแต่จอกแต่แหนไม่เห็นน้ำน่ะซิ มันก็ไม่สนใจในน้ำ เข้าใจไหม ส่งเสริมตั้งแต่จอกแต่แหนเต็มบ้านเต็มเมือง กองทุกข์ก็ส่งเสริมไปด้วยกัน เต็มหัวใจสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่มีใครสูงใครต่ำเรื่องกิเลสได้เหยียบหัวใจแล้ว กิเลสจะไม่อยู่ต่ำ มันอยู่บนหัวใจสัตว์โลก ธรรมเท่านั้นเปิดได้ นอกจากธรรมไม่มีอะไรมาเปิด นอกจากธรรมไม่มีอะไรแก้ได้ สังหารกันได้ มีธรรมเท่านั้น บอกว่าเท่านั้นเลย สามแดนโลกธาตุเป็นแดนของกิเลสทั้งหมด มีธรรมเท่านั้นที่เหนือแดนสมมุติ จะเอามาจับกันได้อย่างสนิท หรืออย่างแจ่มแจ้ง นอกนั้นไม่มี
นี่ถึงได้วิตกวิจารณ์เรื่องประชาชนชาวพุทธเรา ผู้ที่จะคอยแนะนำสั่งสอนก็เป็นบ้าไปด้วยกันกับโลกเสีย ทีนี้จะมาสอนโลกยังไง เราก็ตาบอด ลูกศิษย์ก็ตาบอด อาจารย์ก็ตาบอด เลยต่างคนต่างตาบอด เลยต่างคนต่างชนต้นไม้ อาจารย์ก็ชนข้างนี้ ลูกศิษย์ก็ชนข้างนั้น สุดท้ายต้นไม้ต้องล้ม มันมีแต่หัวชนต้นไม้ โหย กองทุกข์พิลึกพิลั่นนะ จึงว่าอัศจรรย์เรื่องธรรมพระพุทธเจ้า นี่ละที่ได้เข้าถึงขั้นที่ว่า เหอ เป็นขนาดนี้แล้วจะสอนใครได้ยังไง นั่น คือมันเลยเสียทุกอย่าง ที่โลกเห็นสามแดนโลกธาตุนี้ โลกเห็น โลกเป็นอยู่นี้ มันก็เหมือนอยู่ในส้วมในถาน ทีนี้ธรรมไม่ใช่ส้วมใช่ถาน ส่องลงมานี้มันจ้าไปหมด เมื่อมันเห็นยังไง ไม่พูดอย่างงั้นได้ยังไง ก็ความจริงเป็นอย่างงั้น นั่น
นี่ล่ะท่านพูด พระพุทธเจ้าสอนจึงไม่มีสะทกสะท้าน เอาของจริงถอดออกมาเลย นี่น่า ๆ อยู่งั้น ตาบอดหรือจึงไม่ดู ว่างั้น นี่มันถึงได้วิตกวิจารณ์ ถึงขนาดที่ว่า เหอ ลงเป็นถึงขนาดนี้แล้วใครจะรู้ได้เห็นได้ สอนใครให้รู้ได้เห็นได้ เขาจะหาว่าเป็นบ้ากันทั้งบ้านทั้งเมือง หาว่าเราเป็นบ้า แน่ะ แล้วสอนเขาไปทำไม อยู่ดี ๆ นี้เขาไม่ได้ว่าเป็นบ้ามันก็สะดวก ทั้งไม่ได้ยุ่งเหยิงวุ่นวายในการแนะนำสั่งสอนที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย สอนไปทำไม นั่นมันท้อใจ พระพุทธเจ้าท่านทรงท้อพระทัย เวลามันโดนเข้าปั๊งนี่ ตัวเท่าหนูมันก็ท้อใจแล้ว ตรงนี้ก็เคยพูดให้ฟังไม่ใช่เหรอ
จึงได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหา ยกข้อเปรียบเทียบขึ้นมา ถึงภูเขาทั้งลูก นั่น ภูเขาลูกนี้ดำทะมึนไปหมด แล้วมันจะมีแต่ของไร้สาระไปเสียทั้งหมดนั่นเหรอ นั่นเวลาพิจารณาเข้าไป มันจะไม่มีสิ่งที่เป็นสาระ เช่น แร่ธาตุต่าง ๆ ฝังอยู่ในภูเขาลูกนี้บ้างเหรอ ค้นดูเข้าไป ค้นเข้าไป อ๋อมี นั่น ถึงจะดำทะมึนประหนึ่งว่าไม่มีสารประโยชน์อะไรอยู่ในเขานี้เลย มันก็มีอยู่ในนั้น ฝังอยู่ในนั้น ไม่มากก็มีในนั้น อ๋อมี นั่น ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลก จากนี้ก็พิจารณาเข้าไป ๆ ทีแรกทอดอาลัยเลยนะ จะสอนไปทำไม เกิดประโยชน์อะไร การปฏิบัติของเราก็แทบเป็นแทบตาย ไม่พูดนะนี่ ภาคปฏิบัติคือการดำเนินของเราที่จะให้เจออันนั้น นี่เรียกว่าคุ้ยเขี่ยขุดค้นเข้าไป ๆ เจอ
พอเจอขึ้นมาแล้วก็ เหอ นี่จะไปสอนใครได้ ถ้าลงขนาดนี้แล้วสอนใครเขาจะว่าเป็นบ้าไปหมด แล้วก็มีธรรมอันหนึ่งกระเทือนขึ้นมาในใจ ผุดปึ๋งขึ้นมาเลย ก็เมื่อว่าธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลก ไม่มีใครจะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหนเราถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นั่น พอว่าเพราะเหตุใดนี้ก็สายทางคือธรรมที่ท่านสอนไว้แล้ว ให้ก้าวมาตามนี้ ๆ เอ้า ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา นี้คือทางเดินมา เรารู้ได้เพราะเหตุใด มันก็รู้ทางเดินของเจ้าของมา อ๋อรู้ได้ นั่นเห็นไหม อ๋อถึงขนาดที่ว่าสะดุ้ง อ๋อรู้ได้ ไม่มากก็รู้ได้ ยอมรับเลย ทีแรกว่าจะไม่สอนใครได้เลย พอถึงว่ารู้ได้เพราะเหตุใด มีสายทางมานี่ บ้านนี้มีบันได มีลิฟท์ขึ้น อันนี้ธรรมก็เหมือนกัน คือธรรมวิสุทธิธรรม ความหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง มีสายทางมา นั่น
พระพุทธเจ้าเป็นผู้แนะนำสั่งสอนมา สวากขาตธรรม สอนมา อ๋อได้ นั่นเห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้นละ ละเอียดขนาดไหนธรรม ฟังซิ เลิศเลอขนาดไหน แม้พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้ามา ๑๖ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง ๔ อสงไขยบ้าง เฉพาะอย่างยิ่งที่เราเห็นประจักษ์ก็คือพระพุทธเจ้าของเรา เวลาตรัสรู้แล้วทรงทำความขวนขวายน้อย ไม่อยากสั่งสอนสัตว์ เห็นว่าสุดวิสัยของสัตว์จะรู้ได้เห็นได้ นั่นดูซิน่ะ จากนั้นมาโดนเอาอย่างเรานี่เข้า ก็เป็นจริง ๆ จะให้ว่าไง พูดอย่างอื่นไม่ได้ จึงว่า โอ้โห ขนาดนี้แล้วจะไปสอนใครได้ สอนที่ไหนเขาจะหาว่าเป็นบ้าไปหมด อยู่เฉย ๆ ไม่ไปสอนเขา เขาก็ไม่ว่า อยู่อย่างนี้ดีกว่า แล้วอยู่ไปกินไปพอถึงวันเวลาแล้วก็ไปเสียเท่านั้น จะไปยุ่งหาอะไร
นี่ละทีแรกมันจะทอดอาลัย แล้วพอธรรมนี้ผึงขึ้นมากระตุกเอาอย่างแรง ก็เมื่อว่าธรรมชาตินี้เป็นธรรมชาติที่สุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้ ประหนึ่งว่าไม่มีใครเห็นได้รู้ได้ว่างั้น แต่เราเป็นเทวดามาจากไหนถึงมารู้ได้เห็นได้ รู้มาลอย ๆ เทวดาองค์นี้ก็รู้มาอย่างลอย ๆ รู้ได้เห็นได้เพราะเหตุใด มันไม่ลอยที่นี่ มันมีสายทางเข้ามานี้ อ๋อ ทันทีเลย ยอม ไม่มีที่ปฏิเสธได้เลย อ๋อ รู้ได้เพราะดึงเอาเรื่องปฏิปทาที่เราดำเนินมาตั้งแต่ขั้นต้น ล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อย ๆ ตามสายทาง ตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าสอนไว้มาจนกระทั่งมาถึงนี้ปั๊บ รู้ได้เพราะเหตุใดก็เพราะเหตุนี้เอง มันมีสายทางมา เพราะฉะนั้นจึงว่าอ๋อรู้ได้ ไม่มากก็รู้ได้ ขึ้นเลยแหละ ไม่มีที่จะปฏิเสธได้เลย ยันได้เลยว่าได้ ๆ
นี่ละพระพุทธเจ้าท่านเป็นมาก่อนแล้ว ทรงท้อพระทัย พระองค์จะคิดไว้ยังไงแต่ก่อน เราเองเราก็ไม่คิดนี่น่ะ บึกบึนมาแทบเป็นแทบตาย ถึงขั้นจะสลบไสลไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เวลามันจ้าขึ้นมามันก็เป็นอย่างที่ว่านี่ละ ท้อใจหมด ไปสอนใคร สอนที่ไหนเขาจะหาว่าบ้าไปหมด อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอถึงวันแล้วพอแล้ว นั่น จึงมีธรรมกระตุกขึ้นมาอย่างว่า จากนั้นมาก็มีแก่ใจที่จะสอน พินิจพิจารณา เพราะยอมรับสายทางแล้วนี่ ยอมรับไม่มีข้อค้านได้เลย รู้ได้เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดก็คือเพราะเหตุนี้เอง สายทางที่มานี่เห็นไหม มันก็ยอมรับ อ๋อ ขึ้นทันที ยอมรับ ไม่มีปฏิเสธเลย อ๋อได้ รู้ได้
เวลานี้มันกำลังหนาเข้า ๆ พวกจอกพวกแหนนี้มาทุกทิศทุกทาง อะไรมาก็ดีนะ ๆ อันนี้ดีนะ แม้ที่สุดดีกระทั่งแอปเปิล ถ้ามาจากเมืองนอกแล้วดีหมด แอปเปิล จะตีหน้าผากเอา บ้านพ่อเมืองแม่มึงไม่มีเหรออยากว่า มันเป็นบ้าแอปเปิลที่ไหน ถ้าไม่มีจริง ๆ ไปที่จันทบุรีน่ะ นั่นสวนเขามีแต่สวนแอปป้งแอปเปิล ที่ไหนเต็มบ้านเต็มเมืองทั่วประเทศไทย ตามึงบอดหรือมึงไปเห็นตั้งแต่แอปเปิลของไอ้บ้าจมูกโด่งนั่นหรือ อยากว่างั้นเข้าใจไหม พวกบ้าลืมตัว เข้าใจไหม อะไรดีหมด นี่ละพวกจอกพวกแหนมันมาคว้ามับ ๆ
พอพูดอย่างนี้ก็ลูกศิษย์ของเราผู้หญิงคนนั้น เป็นนายตำรวจผู้หญิงคนนั้น เรายังขบขัน ใส่ต่อหน้าเลยอย่างนี้ละเวลามันออก มันดูหน้าใครเมื่อไร เขาได้ช็อกโกแลตมา ก็เป็นความเจตนาดีของเขา เขาปลื้มปีติยินดีเขาได้ของดีมาถวายครูอาจารย์ เข้าใจไหม นี่เป็นเจตนาของเขา เอาช็อกโกแลตยาวขนาดนี้มา นี่ได้มาจากฝรั่งเศส ดีได้มาจากฝรั่งเศส เหอ ใส่ปั๊วะเลยทีเดียว เอาเดี๋ยวนั้นเลย แล้วนายกเทศมนตรีจังหวัดอยุธยา เพราะหลังจากนั้นจะเข้าไปเทศน์นี่นะ นายกเทศมนตรีนั่งอยู่นี้ พวกวงราชการทั้งหลาย ผู้นี้เป็นหัวหน้านะ
เวลามาหันใส่ลูกศิษย์น่ะซี ปั๊วะเดียวนี้พุ่งเลย ถึงขนาดบ้า มันลืมตัวอะไรช็อกโกแลตเอามาอวด นี่เหรอเลิศเลอ จี้เข้าไปเลย ถ้าลงมันออกสด ๆ ร้อน ๆ มันไม่อัดไม่อั้นล่ะน่ะพุ่ง ๆ ๆ เลย นี่ก็หน้าซีด ไม่สนใจ ใส่เปรี้ยงๆ ทางนั้นก็ได้ฟังชัดเจน นายกเทศมนตรีฯ ไม่เคยจะได้ยินธรรมะประเภทนี้ ใส่เปรี้ยงๆ จนสุดขีด ขนาบลูกศิษย์ ได้มาจากฝรั่งเศสจะมาอวด เขายินดีที่เขาได้ของดีมา แต่เรามันไม่ได้มาคิดของดี เมืองไทยของเราเมืองดีขนาดไหน จะเอาอะไรมาอวด ถ้าเอาอันนี้ เห็นของคนอื่นดีอยู่นี้ เมืองไทยของเราไม่มีทางที่จะเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมาได้ ใช่ไหมล่ะ
เราไม่ฟิตตัวของเรา มีแต่ลูกเขาก็ดี ผัวเขาก็ดี อะไรก็ดี ๆ ไอ้ลูกตัวผัวตัวมันเป็นยังไง นั่นเข้าใจไหม นี่มันตีเข้ามาตรงนี้นะ ถ้าอยากให้ดีก็ฟิตตัวเข้าซี ผัวเขาดี เมียเขาดี ลูกเขาดี ฟิตผัวเมียตัวเองฟิตให้มันดีแข่งกัน มันก็มีแต่คนดีทั่วโลก ทีนี้ไม่ต้องรบกันเข้าใจไหม ความหมายเข้าใจแล้วเหรอนี่ นี่ละที่เอาลูกศิษย์เป็นตำรวจ นายพันตำรวจตรี ยังไม่แล้วนะนี่ สักวันสองวันหรืออะไรเขามาหาอีก มากราบอีก นี่ตัวดี อู๊ย หน้าซีดไปเลย ซ้ำอีกนะ นี่ตัวดี เอากันอย่างงั้นแหละ อู๊ย ขบขันดี
นี่พูดถึงเรื่องมันออกสด ๆ ร้อนๆ เรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องเป็นเนื้อเป็นหนัง ถ้าเราไม่สนใจฟิตตัวของเราให้ดิบให้ดี เห็นของเขาก็ว่าดี ดีเพื่อจะทำตัวของเราให้ดีอย่างงั้น หรือสูงกว่านั้นไปถึงถูก เห็นเขาดีแล้วหมอบกับเขา หมอบเขา มีแต่หมอบให้เขาเหยียบหัวไปเรื่อยๆ เข้าใจไหมล่ะพวกบ้านี่ สุดท้ายสรุปความให้พรว่าพวกบ้า เข้าใจ พวกบ้าลืมตัว เอาแค่นั้นละ วันนี้ไม่มีปัญหา (ไม่มีครับ)
(โยมมาถวายปัจจัย) เอามาเรื่อยอยู่นะนี่ ไปเอาเงินมาจากไหนนัก เงินไม่ใช่น้ำมหาสมุทร บางทีลูกศิษย์ลูกหามาถวายดุเอา มาถวายอะไรทุกวันทุกเวลา เงินไม่ใช่น้ำมหาสมุทร ไม่เอาเดินหนีเลย (โยมมาถวายผ้าห่ม ๒๕๐ ผืน ทำในเมืองไทยนะครับ) รีบแก้เลย นี่เรากำลังจะถามพอดีทางนั้นตอบมาก่อนแล้ว โถ เหมือนรู้วาระจิตของเรา (ส่งไปเอาสตางค์ไอ้จมูกโด่งด้วยครับ ไปขายเมืองนอก) เออเข้าท่าดี เก่งมาก ๆ อยู่ไหนจังหวัดไหน (กรุงเทพฯ) อยู่จังหวัดกรุงเทพฯเหรอ จังหวัดอื่นยังว่านั้นได้ จังหวัดกรุงเทพฯทำไมพูดไม่ได้วะ ว่าจังหวัดพระนะคงนครอะไร จังหวัดกรุงเทพฯ ก็ได้นี่วะ ก็ตั้งมาเพื่อให้เรียกใช่ไหม ตั้งมาแล้วทำไมไม่เรียกวะ มันจะสูญพันธุ์ไปแล้ว เราบอกจังหวัดกรุงเทพฯ ปั๊บเข้าเลย (อันนี้สีกรรมฐานครับ) เออกรรมฐาน เอาใส่ด้วยกันไป กรรมฐานกับไม่กรรมฐานอยู่ด้วยกันเหมือนของปลอมของจริงอยู่ด้วยกันละ
(พระหลวงตาเจ้าค่ะ วันนี้ผ้าป่าหน้าศาลาวันนี้ ๕,๔๖๐ บาท)
เมื่อวานนี้ที่ไปเทศน์ผ้าป่า วัดหนองแวง อำเภอไชยวาน ทองคำได้ ๒ กิโล ๓๑ บาท ๘๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๑๓๕ ดอลล์ เงินสดได้ ๓๖๐,๐๔๓ บาท ผ้าป่าวัดอภัยดำรงธรรม อำเภอสว่าง ทองคำได้ ๕ กิโล ๓๐ บาท ๘๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒,๑๘๐ ดอลล์ เงินสดได้ ๑,๒๐๘,๔๓๑ บาท รวมสองแห่งทองคำได้ ๗ กิโล ๖๒ บาท ๖๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓,๓๑๖ ดอลล์ เงินสดได้ ๑,๕๖๘,๔๘๐ บาท เมื่อวานนะ
นี่เราขยับเข้าเรื่อยๆ จนกระทั่งเราไปถึงกรุงเทพฯ แล้วพิจารณาเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว นั่นจะเป็นความแน่นอนว่าได้เท่าไรหรือขาดเท่าไร ตอนนี้เราพูดอะไรไม่ได้ เพราะทองคำก็มาเรื่อย ๆ นี่อย่างเมื่อวานนี้ไปก็ได้ ๗ กิโลแล้วเมื่อวาน บรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็ต่างคนต่างตื่นเนื้อตื่นตัว ไปที่ไหนก็ผิดปรกติเข้าเรื่อยๆ เรียกว่าเข้มข้นขึ้นเรื่อย พวกทองคำ พวกดอลลาร์เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เช่นอย่างเราไปภาคเหนือกลับมาก็ได้ทองคำตั้ง ๖๗ กิโล แต่ก่อนมันก็ธรรมดา ๆ เรื่อย ๆ แต่คราวนี้เป็นคราวที่เร่งรีบแล้วก็เข้มข้น ไปที่ไหนเห็นได้ชัด อย่างเราไปภาคเหนือนี้กลับมานี่ได้ทองคำตั้ง ๖๗ กิโล (๖๗ กิโลกับ ๔๓ บาทครับ) เออนั่น นับว่าได้มากเป็นประวัติการณ์
อย่างไปเมื่อวานนี้ก็ได้ตั้ง ๗ กิโล บรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็ต่างคนต่างตื่นเนื้อตื้นตัว เร่งรีบก้าวเดินตามหัวหน้าเพื่อสู่คลังหลวงของเรา สง่างามอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าค่อยเร่งเข้า ๆ เพราะฉะนั้นจึงพูดยังไม่ได้ นู้นจนกระทั่งลงไปกรุงเทพฯ ไปเคลียร์หมด นำทองคำนี้ลงไป ๆ แล้วทองคำที่มีอยู่ทางนู้นมากน้อยเพียงไรมาบวกกัน ได้เท่าไร ถ้าขาดขาดไปเท่าไร หรือว่ามันจะเหลือเหรอ เอ้าเหลือเท่าไรก็ให้รู้ รู้ตรงนั้นแหละตอนที่เราลงไปกรุงเทพฯ แล้วแหละรู้ ตอนนี้จึงพูดอะไรไม่ได้ ต้องรอจังหวะที่เราไปกรุงเทพฯไปเคลียร์ทั้งหมด ทั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งได้ไปจากที่อื่น ไปรวมแล้วได้เท่านั้น ที่นี่ก็ชัดเจน เอ้าขาด ขาดเท่าไรรู้ อ้าวมันเหลือ เหลือเท่าไร คือมันได้มากกว่าที่เรากำหนดเอาไว้เท่าไรก็ให้รู้ แต่ให้ระวังนะนี่มันจะไม่มากกว่านะ มันมีแต่ไม่พอนะ จำให้ดีนะคำนี้น่ะ เอาละจะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luagnta.com หรือ www.Luangta.or.th |