เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ท่านผู้สิ้นกิเลส
ก่อนจังหัน
พระอย่ามาเลอะเทอะในวัดนะ ตั้งหน้าตั้งตามาปฏิบัติศีลธรรมให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริง ๆ อย่ามาเลอะ ๆ เทอะ ๆ ให้เห็นนะ เราเบื่อพอแล้ว เบื่อพระเรานั่นแหละ ไปที่ไหนเห็นแต่รูปพระหัวโล้นผ้าเหลือง โก้เก๋แบบโลกเขา สกปรกยิ่งกว่าโลก จำให้ดีนะ เราอยากเป็นอย่างงั้นเหรอ ถ้าไม่อยากเป็นอย่างงั้นเอ้าเร่งความเพียร ชำระตัวสกปรกอยู่ในหัวใจนั้นออก ไม่งั้นมันจะเลอะเทอะกันหมดทั้งโลกนั่นแหละ โลกทั้งโลกนี่มันเลอะเทอะอยู่ที่จิตใจด้วยอำนาจของกิเลสที่เป็นยอดสกปรก มันปกคลุมอยู่ในหัวใจ แสดงกิริยาออกเป็นส้วมเป็นถานไปหมดทั้งโลกทั้งสงสาร ยังโอ่อ่าว่าดี นั่นเห็นไหมกิเลสกล่อมคนให้เป็นบ้าสดๆ ร้อน ๆ
เอาธรรมจับเข้าไปซิ ว่าพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นเหรอ กิเลสเป็นของดิบของดีเหรอ มันขี้บนหัวใจเราเห็นไหมนั่น มันดีที่ไหน ถ้าว่าเป็นของดีพระพุทธเจ้าจะชำระและสอนให้ชำระทำไม ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าเป็นองค์เลิศเลอแล้วจิตใจของเราที่จะพอใจในการชำระกิเลสนี้จะหนักเข้าไป ๆ นะ นี่เห็นตั้งแต่พวกส้วมพวกถานคือกิเลสนั่นแหละ เป็นของดิบของดี โลกจึงเป็นบ้ากันไปทั้งโลก ไปที่ไหนมีตั้งแต่ความทุกข์เดือดร้อน ไม่เข็ดไม่หลาบ รายไหนที่ไม่มีทุกข์ฝังอยู่ที่หัวใจ อย่างน้อยฝังที่หัวใจ สุมอยู่นั้น มากกว่านั้นกระจายออกมา โอ๋ย เหมือนกับส้วมกับถาน อยู่ในส้วมเป็นอันหนึ่ง กระจายออกมานอกจากส้วมแล้วเลอะเทอะไปหมดนะ นี่ละของเหม็นเป็นอย่างงั้น กิเลสมันเป็นอย่างงั้น
ให้จำให้ดีพระเรา อย่ามาหาสอดรู้สอดเห็นเรื่องโลกเรื่องสงสารนะพระ ถ้าจับได้ไล่หนีเลยนะ มันเก่งไปทางอย่างนั้นนะพระเรา โลกเขาเป็นยังไงก็อยากรู้อยากเห็นกับโลกเขา นี่ละตัวสำคัญมาก มันมาหาธรรมแต่มันไปหาส้วมหาถานแบบนี้แหละ มันเลอะเทอะจริง ๆ นะเวลานี้ ศาสนาจนจะไม่มีเหลือ พระพุทธเจ้าจะไม่มีความหมาย มีแต่กิเลสเหยียบ เหยียบลงตลอด จนไม่เห็นพระเศียรหรือหัวพระพุทธเจ้า มีแต่กิเลสขึ้นแทน ๆ มันเอามาโปะน่ะซี พวกเปรต พวกผี พวกเรานี่แหละ ไม่รู้จักบุญจักบาป มีแต่กิเลสเป็นของเลิศของเลอ เอากิเลสไปโปะหัวพระพุทธเจ้า นอกจากโปะหัวเจ้าของจนเต็มไม่มีที่โปะแล้วก็โปะพระพุทธเจ้าเข้าไปซิ
จำให้ดีนะ เลอะๆ เทอะๆ นะเวลานี้ พระเรานี่เลอะเทอะมากที่สุด ให้ดูตัวเองนะเราเป็นพระด้วยกันทุกคน อย่าหาแต่โอ่อ่าฟู่ฟ่า เป็นบ้ากับกิเลสไป บวชมาเพื่อชำระกิเลสเลยกลายไปเป็นบ้าของกิเลสแล้วนะเวลานี้ พระเรานี้ดูให้ดีทุกคน นั่งฟังอยู่นี้น่ะ เป็นยังไงเราเป็นพระ หรือเป็นเปรตหรือเป็นผี หรือเป็นส้วมเป็นถาน หรือเป็นเทวทัตรบพระพุทธเจ้า ให้ดูตัวเองนี่นะ มันเลอะเทอะขนาดนั้น เอาละให้พร
หลังจังหัน
วัดเม็งรายดีนะ ดูแล้ว เที่ยวดูหมด โอ๊ยเหมาะสมมาก เป็นวัดป่าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงสภาพจะเหมือนวัดบ้านก็ตาม คือสภาพเหมือนวัดบ้าน สิ่งก่อสร้างหรูหราฟู่ฟ่าตามเรื่องของวัดบ้านเขา แต่นี้จะว่าสิ่งก่อสร้างเหมือนวัดบ้านตาม แต่รอบ ๆ นั้นเป็นที่สงบสงัด กุฏิพระอยู่เป็นที่ ๆ แล้วรอบ ๆ นั้นสงัดหมด ต้นไม้เต็มไปหมด ไปเที่ยวดูหมด เรียกว่าเป็นป่าได้อย่างดีทีเดียว ไม่ผิดอะไรกับวัดป่าแหละ อย่างสิ่งก่อสร้างก็ให้มันเป็นก่อสร้างไปเสีย พระก็ภาวนาอยู่ พระก็เป็นพระไป ดูแล้ววัดนี้ วัดเม็งรายมหาราช รู้สึกดูดดื่มภายในใจดี
เพราะฉะนั้นจึงเที่ยวซอกแซกไปหมดเลยนะ เขาจะว่าหลวงตาผีบ้า ถ้าเขาไม่เคยจำหน้าเราได้เขาจะว่าหลวงตาผีบ้ามาจากไหน เป็นอย่างงั้นละเรา ถ้าสถานที่ใดเขาไม่รู้เราแล้วเราจะไปได้ทุกแห่งทุกหน ซอกแซก หาดูความจริงอย่างเต็มหูเต็มตา ถ้าที่ไหนเขารู้แล้วไม่ไปแหละ แต่นี้วัดเม็งรายคนรู้เสียมาก เพราะฉะนั้นเราถึงต้องหาโอกาสที่เหมาะสมเงียบ ๆ จริง ๆ ไปดู ไปทีไรเขาก็รู้ว่าเราเสีย เป็นพวกฆราวาส หรือผู้หญิง ผู้ชายเขามองเห็นเราเขาก็รู้เสีย เพราะเราก็ไปเทศน์อยู่แล้ว ตอนที่เราไปเงียบ ๆ ด้อมนู้นด้อมนี้ ดูป่านั้นป่านี้ ออกไปหมดนะ สภาพที่จะสร้างอรรถสร้างธรรม ความหมายว่างั้น ให้เป็นที่ร่มเย็นแก่โลก
มันอยู่ในป่าในเขานะสถานที่สร้างอรรถสร้างธรรม ธรรมจะเกิด ความสุขจะมี โลกจะร่มเย็นอยู่อย่างนั้นนะ กุฏิของท่านก็น่าดูอยู่ เป็นหลัง ๆ ลงไปต่ำ ๆ เป็นหลัง ๆ เราเลยเตือนสมภารวัดที่นั่น ท่านก็ฟังด้วยความเคารพสนใจจริง ๆ เราก็ตั้งหน้าสอนจริง ๆ ให้รักษาไว้สภาพนี้ เรื่องก่อเรื่องสร้างมันเป็นไปแล้วก็ให้มันเป็นไป นี่ท่านมารักษาไว้นี้อย่ามาหรูหรากับสิ่งนี้นะ ให้หรูหราในอรรถในธรรมด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา สำรวมระวังตน อยู่ในศีลในธรรม มีหิริโอตตัปปะประจำตนนะ
วัดนี้เหมาะสมแล้ว ดูดดื่มอยู่นะ ผมมานี่ดูดูดดื่ม เราจึงชวนให้ไปดู ไปเงียบ ๆ ชวนให้ดูตรงนี้ แล้วชวนให้ดูตรงนั้น มันหากมีของมันน่ะในจิต มันก็ด้อมนี้ ๆ เอ้อเข้าท่า ไปจนหมดนะเรา คนไม่ค่อยรู้ว่าเราไปละ นี่หมายถึงวัดป่า เราจะซอกแซกมากทีเดียวด้วยความสนใจ สถานที่อยู่ด้วย พระเณรด้วย ข้อวัตรปฏิบัติอะไร ๆ เราจะดูให้หมดเลยเชียว ควรจะเตือนข้อไหนก็มาเตือน ถ้าไม่เตือนก็ผ่าน เป็นอย่างงั้น ถ้าที่ไหนเขารู้จักกับเรามาก ๆ แล้วมันลำบากนะ จะไปดูพวกวัดป่า ส่วนวัดบ้านเราไม่ค่อยอะไรละ ก็รู้อยู่แล้วสภาพของวัดบ้าน
สภาพของวัดป่าเป็นสำคัญมาก ๆ นะ เป็นที่อบรมธรรม เป็นที่เกิดของธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นชื่อว่าความเป็นมงคลจะอยู่ที่นั่น กระต๊อบมีราคาเท่าไร มีคุณค่าขนาดไหน นั่น ตึกหรือว่ากุฏิกี่ชั้นสู้กระต๊อบไม่ได้นะ ป่าไหนก็ป่าไหนเถอะน่ะสู้ป่าในที่บำเพ็ญไม่ได้ สงบสงัดเป็นเครื่องส่งเสริมได้เป็นอย่างดี เราไปสถานที่ใดเห็นที่เดินจงกรม นั่งภาวนาของพระเณรแล้วเราชื่นใจ พอใจสอน เป็นอย่างงั้นนะ ถ้าไปจืด ๆ ชืด ๆ แล้วไม่สอน เฉยเลย นี่จึงว่า โอ๊ เหมาะสมมาก ในป่าในเขาพร้อมหมด ขึ้นไปภาคเหนือแล้วตรงไหนไม่บกพร่อง
เพราะฉะนั้น พระกรรมฐานจึงชอบอยู่ทางภาคเหนือ เพราะมีสถานที่เหมาะสมๆ ตลอดไปหมดเลย ไปที่ไหนจะดูดดื่ม ๆ เป็นอย่างงั้น ไม่ทำให้จืดให้ชืดอะไร ไปเห็นทางจงกรมของพระ เห็นพระมองดูกิริยาอาการของพระ มองดูข้อวัตรปฏิบัติของพระมันจะแสดงถึงพระทั้งนั้นเข้าใจไหมล่ะ ถ้าพระมีสติสตัง มีอรรถมีธรรม มีความสำรวมระวังตนอยู่นี้แล้ว ดูภายนอกกิริยาอาการแสดงออกของพระที่ทำไว้อะไร ๆ นี้จะเรียบร้อยสวยงามไปหมด อ้าวเป็นอย่างงั้นนะ ถ้าเลอะ ๆ เทอะ ๆ โอ๊ย
อย่างวัดป่าบ้านตาดเวลานี้เลอะเทอะมากนะ จนดูไม่ได้ มองไม่ทันด้วย ไม่ทราบว่าปลูกสร้างอะไรขึ้นทางนู้น ถังน้ำสี่ถัง ว่าไม่พอใช้ ทีนี้ก็เป็นความจำเป็น อย่างท่านปัญญามาขออนุญาตสร้างถัง ทางนู้นเขาติดต่อมาอยากได้ถังน้ำ ธเนศหรือใคร นี่เห็นไหมหน้าวัดเวลานี้ขุดอะไรแหลกหมด นั่นละเป็นอย่างงั้น เราไม่เคย สิ่งเหล่านี้เพียงอาศัยเท่านั้น ๆ สิ่งที่จะพึ่งเป็นพึ่งตายจริง ๆ อยู่นี้ ๆ ๆ เพราะฉะนั้นเห็นอะไร ๆ นี้ถ้าไม่เป็นเรื่องเสริมธรรมแล้วจืดชืดไปเลย ไม่เสริมธรรมก็เหยียบธรรมในขณะเดียวกันน่ะซิ
อย่างที่ไปทางภาคเหนือ เราไปนี้รู้สึกว่าชุ่มชื่นในจิตใจ ชมป่าชมเขา แล้วยิ่งมีประกาศว่าวัดในป่ามีที่นั่นที่นี่ก็ยิ่งเพิ่มความยินดีเข้าไป ท่านผู้ทรงคุณท่านอยู่อย่างงั้น พอได้อยู่เท่านั้น พออยู่ได้ เป็นไปตามสมัยก็เอนไปบ้าง แต่ไม่ให้ลืมเนื้อลืมตัว คือเอนไปบ้าง เอนไปตามโลกบ้าง เพราะเป็นความสะดวก เกี่ยวกับเรื่องธรรมะอะไรบ้างเราก็นำมาใช้ๆ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ปัดออกๆ อย่างงั้นจึงเรียกว่าผู้คัดเลือกซี อะไรก็คว้ามับ ๆ โอ๋ย ไม่ได้นะ แสดงว่าพระเราโง่กว่าประชาชนมาก แล้วจะสอนประชาชนให้มีความเฉลียวฉลาดชุ่มเย็นได้ยังไง นี่มันวิ่งเข้าถึงนั้นทันที
ถ้าพูดถึงเรื่องความรอบคอบก็ฟังแต่ว่าศาสดาองค์เอกสอน นั่นละคือจอมแห่งความบริสุทธิ์ แห่งความรอบคอบ เลิศเลออยู่ในนั้นหมด แล้วกระจายออกมาก็เป็นความสวยงามมาโดยลำดับ พระสงฆ์สาวกท่าน อยู่ที่ไหนอยู่แต่ในป่าในเขา ในป่าในเขา ที่นั่นเป็นที่เพาะอรรถเพาะธรรม สง่างามอยู่ในป่าในเขา เป็นอย่างงั้นแหละ อย่างโยมกั้งแกพูดอยู่หนองผือนี่ โห จิตใจส่งมาหนองผือทีไรสว่างจ้าครอบหมด ก็คือพระปฏิบัติทั้งนั้น หลวงพ่อนี่ครอบไปหมด นั่นฟังซิ แกเรียนที่ไหนแต่ทำไมมาพูดได้อย่างอาจหาญ ในวัดหนองผือนี้สว่างจ้าไปหมดเลย
หลวงพ่อนี่เรียกว่าครอบหมดเลย ครอบหมดเลย แกพูดอย่างเฉยนะ ก็พูดต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ฟัง ไม่ได้พูดต่อใครฟัง แกพูดอย่างสบาย ด้วยความรู้ความเห็น เวลาเห็นพวกเทพเทวดามาเยี่ยมท่าน มาห่าง ๆ นะ ท่านบอกว่าหนองผือนี่ห่างมากเทวดา ที่มากที่สุดคือทางเชียงใหม่ ภาคเหนือมากที่สุด แทบไม่เว้น เรียกว่าไม่เว้นแต่ละคืนที่จะต้อนรับเทวดาชั้นต่างๆ จนกระทั่งมหาพรหมลงมา ฟังซิพวกเรา แล้วท่านพูดให้ใครฟังเมื่อไร นี่ก็พูดเฉพาะบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ใกล้ชิดติดพันกับท่าน ท่านก็พูดให้ฟังเวลาที่ควรพูด ถ้าไม่มีอะไรไปสัมผัสท่านจะไม่พูดเลยนะ เฉย
เหตุที่จะได้รู้ ได้เห็น ได้ทราบอย่างงั้นก็คือว่าหาอุบายซอกแซกถามท่าน แล้วก็ได้ความเข้าใจออกมาๆ ถามตรงไหน โหย ท่านรู้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร ท่านว่าไปอยู่ทางเชียงใหม่นี้เทวดาแทบไม่เว้นแต่ละคืน ท่านพูดไว้ว่า อฑฺฒรตฺเต เทวปญหากํ หกทุ่มไปแล้วแก้ปัญหาเทวดา ท่านบอกว่านี่ท่านพูดไว้เป็นส่วนกลาง นั่นเห็นไหมท่านมาแยกออก เวลาเราอยู่ในป่าในเขานั้นสามทุ่มสี่ทุ่มมาแล้ว นั่น คือไม่มีใคร เทวดาไม่ชอบจุ้นจ้าน เวลามีแต่พระล้วนๆ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว เทวดาสี่ทุ่มมาแล้ว ไม่ถึงหกทุ่ม เที่ยงคืนไปละ อันนั้นท่านพูดไว้เป็นกลาง ๆ ท่านว่า
มาทุกชั้นของเทวดา พวกรุกขเทวดา อากาสาเทวดา ภุมมเทวดา นี้ไม่ต้องนับ ไม่ต้องพูดแหละ รักท่าน เคารพท่าน พวกเทวดาชั้นสูงที่มา พวกชั้นสวรรค์มาเป็นชั้น ๆ มาเป็นลำดับลำดา ที่มารวมกันมาก ๆ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมมาก็มี นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละท่านเทศน์สอนเทวดาละที่นี่ ติดปัญหาข้อไหนเขาก็ถามมา ท่านก็ตอบรับกัน ๆ ๆ พอเรื่องเสร็จไปแล้วหายเงียบเลยๆ เรื่องหลวงปู่มั่นนี้เก่งมากเรื่องเทวบุตรเทวดา ถามท่านดูซิน่ะ ท่านพูดธรรมดาเฉย เพราะท่านเคยเหมือนกับเคยกับมนุษย์นี่ ท่านยังพูดเป็นบางครั้ง แต่ท่านก็ไม่เคยพูดใครง่าย ๆ นะ อู๊ย มนุษย์นี้มันยุ่ง ท่านว่า นั่นเห็นไหม
เทวดาเขาไม่ยุ่งนะ ภายในจิตเขาก็แสดงออกเรียบๆ มนุษย์เรานี้กิริยาท่าทางสุภาพเรียบร้อย ภายในใจมันเป็นไฟจ่อเรา ฟังซิน่ะ อย่างนี้ท่านก็พูดนะ เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงหยาบกว่าเทวดามาก ท่านไม่รู้ไม่เห็นท่านเอามาเทียบได้ยังไงใช่ไหม มนุษย์มนา เทวดาทั้งหลาย ท่านรู้หมดเข้าใจหมด เพราะท่านเคยสังคมมาแล้วทั้งนั้น พวกเทวดานี้เวลาถามปัญหาก็มีหัวหน้าถาม ฝากปัญหาถามไปกับหัวหน้า ถามท่านตอบ ๆ นอกนั้นเงียบหมดเลย ท่านว่า เคารพมากที่สุดพวกเทวดาเคารพธรรม เคารพครูบาอาจารย์ เคารพมากจริงๆ เวลาเหาะมาจากอากาศลงนู่น ลงห่าง ๆ นู่น แล้วค่อยเลียบ เดินเลียบเข้ามา
การทำความเคารพเขาทำอย่างแต่ก่อน ที่ว่าทำประทักษิณเดินเวียนรอบ เหมือนอย่างเราวิสาขบูชาซึ่งเดินเวียนรอบโบสถ์นั้นละ ทำความเคารพ คือเดินเวียนรอบสามรอบ ประทักษิณคือเวียนขวา เดินรอบ เทวดาเขายังใช้อยู่ นั่นเห็นไหมล่ะ เขาใช้ประเพณีอันเก่าแก่นั้นแหละพวกเทพทั้งหลาย เวลาเขามาฟังมีหัวหน้า ๆ มา ส่วนมากมาเป็นพรรคเป็นพวกๆ นานๆ จะมีความจำเป็นมามากๆ ทีหนึ่ง หลายชั้นมารวมกัน ปกติจะมีเป็นคณะๆ เป็นชั้นๆ พวกสวรรค์ก็เป็นชั้นๆ มา เวลามีความจำเป็นที่เทวดาทั้งหลายจะมารวมกันนี้ มาตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ฟังซิอย่างนี้น่ะ เราไปหาที่ไหนได้ยินที่ไหน ท่านไม่เห็นท่านไม่รู้ท่านไม่ปฏิบัติท่านจะพูดได้ยังไงใช่ไหมล่ะ ก็คือผ่านมานั่นเอง เหมือนเด็กมาตอนเช้า นักเรียนมาตอนบ่าย ผู้ใหญ่มา ก็เป็นอย่างนั้น
แต่กับประชาชนแล้วจะไม่ได้ยินนะเรื่องเหล่านี้ เงียบเลย ไปที่ไหนเหมือนกันไม่เคยพูดเรื่องเหล่านี้เลย เงียบ ประชาชนก็เป็นเรื่องประชาชน สอนประชาชน เรื่องเทพเป็นเรื่องเทพ สอนคนละวรรคละตอน อรรถธรรมก็ไม่เหมือนกัน เวลาสอนคนเกี่ยวข้องกับคน ท่านก็ไม่เคยนำพวกเทพมาเกี่ยวข้อง เวลาสอนพวกเทพท่านก็ไม่นำเอามนุษย์ไปเกี่ยวข้อง เป็นคนละวรรคละตอน คนละพรรคละพวก
นี่พูดถึงเรื่องวัดเม็งรายมหาราช ที่ไหนเราไปแล้วน่าดูน่าอยู่ทั้งนั้น พระกรรมฐานมีเยอะนะทางนู้น เพราะป่าเป็นที่สงบสงัดมาก เรื่องราวไม่ค่อยยุ่ง ป่าสงบสงัดมาก พระผู้ต้องการอรรถธรรมท่านชอบอยู่อย่างนั้น ที่พักของท่านก็พออยู่พอไป เหมาะสม แบบหรูหราแบบกิเลส แบบส้วมแบบถานนี่มันดูไม่ได้นะ แบบที่กิเลสพาเป็น นี่ละความสวยงามของกิเลส คือส้วมคือถานในสายตาของธรรม
สายตาของธรรมดูกิเลสดูได้ถนัดชัดเจน กิเลสไม่มีที่จะมองดูธรรม ไม่ดู ไม่สนใจต่อธรรม เกลียดธรรมด้วยซ้ำ แต่ธรรมมองดูกิเลสมองได้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นจึงเทียบกันได้ปึ๋งเลยทันที ความสะอาดสะอ้าน ความดิบความดีที่กิเลสปั่นหัวใจสัตว์โลกให้ดีดให้ดิ้นเป็นบ้ากันมาตั้งกัปตั้งกัลป์นี้ มันยิ่งผลิตขึ้นให้สะอาดขึ้น ทุกวันนี้ยิ่งถือว่าสะอาดสะอ้าน ผิดปรกติขึ้นมากๆ มีความสวยงาม มีความน่าดูน่าชม นี่เป็นเรื่องของกิเลส เป็นความสะอาดสวยงาม น่าดูน่าชมของกิเลส แต่คือส้วมคือถานในสายตาของธรรม นั่น
แล้วธรรมกับกิเลสต่างกันอย่างไรบ้าง ความสะอาด ความสกปรก กิเลสนี้โลกทั้งหลายยอมรับหมด ชม สวยงาม เพราะฉะนั้นมันถึงดีดถึงดิ้น ปลูกบ้านหลังนี้สู้เขาไม่ได้ปลูกอีก สู้เขาไม่ได้ปลูกอีก สู้เขาไม่ได้ยกมาเป็นประเภท ๆ คนหนึ่ง ๆ บ้านไม่ทราบกี่หลัง ขอให้มีเงิน ให้เขาได้ยอว่า โอ๊ย คนนี้เขามั่งมี เท่านั้นก็เอา เขามีเงินมีทองสร้างตึก สร้างบ้านไว้กี่ชั้น ไปอย่างงั้นนะ กระจายออกไปมีแต่เรื่องเขามั่งเขามีไปหมด แล้วก็หรูหราฟู่ฟ่า ผู้ที่เป็นบ้าไม่มีเงินก็เป็นบ้ากับเขา ติดหนี้ติดสินพะรุงพะรัง กองหนี้กองสินอะไรจะเกินโลกกิเลส
เมืองเราบ้านเราติดหนี้ติดสินกันระโยงระยางตามกลุ่มตามนั้นไปเรื่อย ในบ้าน ในตำบล ในอำเภอ จนกระทั่งจังหวัด ตลอดถึงประเทศไทย ติดหนี้กันระโยงระยางเป็นเหมือนตาข่ายตาแห โลกมันก็อยู่ได้ด้วยวิธีนี้จะให้ว่าไง คนจะฆ่าตัวตายก็มีทุกข์มาก เพราะติดหนี้เขาไม่มีอะไรให้เขา แล้วทั่วโลกนี้ติดหนี้กันพะรุงพะรัง สายระโยงระยางครอบโลกธาตุ นี่เป็นสายแห่งกองทุกข์ของสัตว์เต็มไปหมด ธรรมดูจ้าไปหมด มันมีสุขอยู่ที่ไหนที่โลกเป็นบ้ากันอยู่นี้ สมมุติว่าธรรมเป็นตัวบุคคลขึ้นมานะ สมมุติเป็นตัวบุคคลขึ้นมาให้ธรรมขึ้นมาดู แล้วมันมีความสุขกันที่ตรงไหนน่า ที่เป็นบ้ากันมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วนี่น่ะ แล้วยังบืนกันอีกนะ ต้นไม่มี ปลายไม่มี แล้วยังดิ้นกันอีกอยู่นี่ เป็นบ้า พวกบ้าไม่เลิก
สายตาของธรรมดู ท่านดูกระจ่างแจ้ง ท่านดูไม่มีกิเลส ท่านดูตามความสัตย์ความจริงล้วน ๆ คือกิเลสมันเสกสรรปั้นยอขึ้นมาหลอกโลก อันนั้นสวย อันนี้งาม อันนี้ดี เจ้าของจะทุกข์ขนาดไหน บืนกับว่าความหวัง ความดีดความดิ้นมันพาให้บืน ทุกข์ในนี้เลยลืมไป ครั้นพอหันหน้าเข้ามานี้เลยนอนไม่หลับ กินไม่ได้ มันเป็นอยู่อย่างงั้นทั่วโลกทั่วสงสาร โลกนี้เราว่ามีอะไร ก็มีแต่หรูหราฟู่ฟ่าสวยงามไปหมด มันมีตั้งแต่เชื้อไฟเผามนุษย์ผู้หลงทั้งนั้น เหล่านี้เชื้อไฟมันเผามนุษย์ทั้งนั้น ราค่ำราคามีที่ไหน อยู่ที่ไหนก็เชื้อไฟ ชิ้นน้อยชิ้นใหญ่เผาไปได้ ภูเขาทั้งลูกมันก็ไปปลูกบ้านปลูกเรือน ทำว่าเป็นตากอากาศอยู่ในภูเขา สบายอยู่ในภูเขาหมด นั่นละคือฟืนคือไฟมันอยู่หมด
สะอาดมานิดหนึ่งนั่นล่ะ ความทุกข์สุมอยู่ภายในหัวใจ คือกิเลสอยู่ในนั้นมันไม่ยอมออก ตัวนี้จึงทำให้สุมอยู่ตลอด กิเลสตัวสุม ภายนอกแสดงออกมากิริยาท่าทางให้ตื่นตาตื่นใจเป็นบ้ากันไปบ้างเป็นบางเวลา นอกนั้นก็ไปสุมอยู่ในหัวอกทุกคน ๆ นี่ละธรรมดูโลกดูอย่างงั้น ท่านถึงเห็นหมด จึงเรียกว่าโลกวิทู ไม่อย่างงั้นท่านมาสอนโลกได้ยังไง ทีนี้โลกเขามันก็เคยอย่างงี้ของเขาอยู่แล้ว เขาไม่เคยมีความสุขพอเป็นเชื้อให้บืนตามนี้ เขาก็บืนอยู่ตามในสิ่งเหล่านี้ ถ้ามันมีสองมันก็สนุกเลือกคนเรา จิตใจเรามีทั้งสุข มีทั้งทุกข์ มีทั้งความเศร้าหมองผ่องใส แล้วมันก็มีทางคัดเลือกนะ
ถ้ามันมีแต่มืดตื้อเสียอย่างเดียว เขาก็มืดเราก็มืด กลางคืนก็มืด กลางวันก็มืด ดิน ฟ้า อากาศ แจ้งขาวดาวกระจ่างขนาดไหนใจก็มืด มันมีแต่ความมืดๆ แล้วไม่ทราบจะไปเลือกอะไร ถ้ามันเป็นขึ้นภายในใจของคนคนเดียวนั้นแหละ มีความสว่างไสว ความสงบร่มเย็น เพราะการบำเพ็ญธรรม มันก็ปรากฏขึ้นมา เอ้อ เป็นอย่างนี้ นั่น เริ่มแล้วนะ เอ้อ จิตนี้สงบอย่างนี้ สบายอย่างนี้ นี่เราตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเห็นความสุขอย่างนี้ ความแปลกประหลาดอย่างนี้ มันก็ตื่นเต้นน่ะซิ จากนั้นก็ดูดดื่ม ดูดดื่มมันก็พากเพียร
ต่อมาค่อยปรากฏขึ้น ก็เห็นโทษสิ่งที่ถูกเผามานานแสนนานค่อยเห็นๆ ทีนี้ขยับเข้าทางนี้ ทางนั้นก็ค่อยห่าง เพราะจิตใจไม่ไปสนใจกับมันมากยิ่งกว่าความสงบร่มเย็น มันก็ค่อยเปิดกว้าง เปิดออก ๆ พอธรรมเปิดออกตรงไหนหาที่ต้องติไม่ได้ มันก็ยิ่งเบิกออก ๆ ใจดวงเดียวนี้แหละ จึงว่ามีธรรมเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างชำระกิเลสทุกประเภทได้ นอกจากธรรมแล้วไม่มี โลกธาตุนี้กว้างแสนกว้าง ศาสนามีกี่ศาสนา ถ้าเป็นศาสนาของคนมีกิเลส เป็นคลังแห่งกิเลสแล้ว มันก็คือคลังของฟืนของไฟอันเดียวกันหมด
คำสอนของกิเลสก็มี คำสอนของธรรมก็มี คำสอนของกิเลสก็คือเสกสรรปั้นยอตัวเองขึ้นเป็นศาสดา สอนโลกสงสารด้วยศาสนานั้นศาสนานี้ ก็กลายเป็นศาสนาขนโคไปหมด เขาโคก็เลยไม่มี คือศาสนาที่พูดตามความสัตย์ความจริง รื้อขนสัตว์ออกจากโลกโดยถูกทางๆ มันไม่มี มันมีแต่ศาสนาขนโค สอนให้กล้าหาญชาญชัยในสิ่งที่จะเป็นบาปเป็นกรรม เช่น ฆ่าคนได้ไปสวรรค์ พระเจ้าให้ฆ่าคนแล้วไปสวรรค์ คนนั้นยิ่งกล้าหาญฆ่าคนเพื่อจะไปสวรรค์ มันสร้างนรกทั้งเป็นเห็นไหมล่ะ มันขัดอย่างนี้ ไม่ได้ตำหนิใคร เราเอาความจริงมาพูด มันพวกขนโค ตรงไหนๆ ก็มีแต่ลากสัตว์ลงนรกๆ
คำสอนใดที่จะประเสริฐพอขนขึ้นมา คำสอนใดพอเป็นเขาโค ขนโลกขึ้นมาจากขนให้เป็นเขาขึ้นมามีที่ไหน พิจารณาซิ นี่พูดจริงๆ เราจวนจะตายแล้ว เราก็ไม่เคยกล้าเคยกลัวกับผู้ใดจะมาดูถูกเหยียบหยามทำลายอะไร เราก็ไม่เคยสนใจ เราเอาธรรมความเป็นจริงนี้มาพูดตามหลักความจริงนี้เท่านั้นเราก็พอใจแล้ว ว่าเราได้ทำประโยชน์แก่โลก ส่วนเขาจะยึดถือเอามากน้อยเป็นเรื่องของสัตว์โลก กรรมดีกรรมชั่วของสัตว์โลกเอง ถ้าเทียบถึงเรื่องคำสอนหรือศาสนา มันมีแต่ขนโคเต็มโลกเต็มสงสาร ไปที่ไหนที่จะไม่มีศาสนามีเหรอ นั่นละมีอยู่ตรงไหนคือขนโคทั้งนั้น สอนโลกผิดๆ ถูกๆ ลากกันลงนรกให้เป็นบาปเป็นกรรม แล้วก็ลงนรก เพราะอุบายวิธีการเป็นโครงการของกิเลสทั้งหมด ออกจากใจของผู้เป็นหัวหน้าศาสนานั้นๆ เพราะไม่มีธรรมที่ถูกต้องดีงามเป็นเครื่องสอนโลก มีแต่กิเลสมันก็สอนกันไป
อย่างฆ่าสัตว์ถ้าฆ่าเพื่อกินไม่เป็นบาป นั่นมันตกแต่งเอาได้ ถ้าฆ่าอย่างอื่นแล้วเป็นบาป ถ้าฆ่ากินไม่เป็นบาป แล้วฆ่าคนยิ่งได้ไปสวรรค์ พระพุทธเจ้า-แม้แต่สัตว์อยู่ในครรภ์ยังไม่ให้ฆ่า มันขัดกันอย่างนี้ฟังเอาซิ นี่ละขนโคมันมืดแปดทิศแปดด้านเต็มโลกเต็มสงสาร มีแต่ขนโค เขาโคที่จะพาสัตว์โลกให้พ้นมีอันเดียวๆ เท่านั้นที่สอนโลกมานี่ สวากขาตธรรมๆ ตรัสไว้ชอบแล้ว นี้คือเขาโค ใครจะบำรุงเขาโคตนเองให้แหลมให้คมขึ้นไปเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ ก็ให้บำรุงตามคำสอนของศาสดาที่สอนไว้เรียบร้อยแล้วนี้ พระองค์เป็นพยานแล้วในความพ้นทุกข์ บาป บุญ นรก สวรรค์ ทรงผ่านไปหมด นิพพานถึงแล้ว มาสอนโลกจะผิดไปที่ไหน
บรรดาสาวกทั้งหลายเป็นผู้ทรงธรรมเหล่านี้ไว้แล้วสอนโลก ผิดไปที่ไหน เป็นอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นจึงว่าเขาโค สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ ที่นี่เวลาศาสนาเป็นเขาโค ชาวพุทธเราลูกพุทธศาสนานี้มันมีแต่ขนโคนะเดี๋ยวนี้ เขาโคธรรมท่านสอนด้วยความถูกต้อง ขนโคนี้บึกบึนฝ่าฝืน หน้าด้าน ตำหนิติเตียนบาป บุญ นรก สวรรค์ ครูบาอาจารย์ ที่ถูกต้องดีงาม ตำหนิพระพุทธเจ้าว่าเป็นโมฆะไปหมด เอาตัวเองเป็นศาสดาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป นี่พวกขนโค เข้าใจไหม มันมีแต่ขนโคเต็ม ลูกศิษย์หลวงตาบัวยิ่งขนโคมาก เพราะหลวงตาบัวนี้เป็นตัวขนโค สอนลูกศิษย์ออกมามีแต่ขนโคเกลื่อนกลาดไปหมด เดินไปนี้ระวังไปเหยียบขนโคเข้านะ ขนโคมันมาก เขาโคแทบไม่มี
เดินจงกรมหย็อกๆ ทีนี้เขาโคหลุดแล้ว ไปหาขนโคหมด เข้าใจไหม ให้เดินจงกรมหย็อกๆ นี้ เดินจงกรมคือเขาโค พอเดินจงกรมหย็อกๆ นี้เขาโคนี้หลุดแล้ว ไปอยู่กับขนโคเมื่อไรไม่รู้ ไปอยู่กับเสื่อกับหมอนกับความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่ขนโค พวกนี้พวกขนโคนั่งกินนอนกินอยู่กับขนโคทั้งนั้น ไม่ได้ไปหาเขาโคเลย มันมีไหมลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่ อาจารย์พาเป็นขนโค จะตำหนิลูกศิษย์เสียทีเดียวก็ไม่ได้ ไอ้เราก็เป็นขนโคเหมือนกัน ทีนี้อาจารย์เป็นขนโคแล้วลูกศิษย์จะเป็นเขาโคได้ยังไง มันก็ต้องวิ่งตามอาจารย์ อาจารย์เป็นยังไงลูกศิษย์เป็นอย่างนั้น อาจารย์เป็นขนโค ลูกศิษย์เป็นขนโคไปด้วยกัน เลยไม่ทราบว่าจะดุใครด่าใคร มันพอๆ กัน เอาละเพียงเท่านั้น
(ลูกศิษย์อ่านจดหมายของจังหวัดชวนเชิญลงลายมือชื่อ เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจในหลวงในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชตามพระราชอัธยาศัย)
เรื่องราวที่ขอมานี่ หากว่าเรื่องราวมันเป็นไปตามที่ว่าใน พ.ร.บ.เล่มนั้นๆ จริงๆ ว่าเป็นการลิดรอนพระราชอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ที่ประชาชนออกความรู้ความเห็นซึ่งเป็นเรื่องของประชาธิปไตยแล้วก็มีการทำได้ ไม่มีอะไรขัดข้อง เข้าใจเหรอ เราพูดนี้ก็ไม่ขัดอะไร คำว่าลิดรอนมันเป็นของผิดแล้วนั่น ถ้าไม่ลิดรอนทางนี้ก็ไม่หนุน ลิดรอนจริงๆ เหรอ ในข้อนั้นเป็นอย่างนั้นจริงเหรอ จริงก็เอากันได้แล้ว แก้ไขกันได้แล้ว เราเป็นเจ้าของของชาตินี่นะ ผู้ออกกฎหมายก็เป็นคนของชาติออกกฎหมาย ทำไมชาติต่อชาติจะแก้ไขดัดแปลงเพื่อชาติของตนให้อุดมสมบูรณ์หรือแน่นหนามั่นคง เป็นความสงบสุขร่มเย็นไม่ได้ ต้องทำได้ เข้าใจไหม ก็เท่านั้นละไม่มีอะไร การทำอย่างนี้เพื่อความดิบความดีไม่ใช่เพื่อการทำลายกัน ไม่มีความเสียหายอะไร ในฐานะของเราซึ่งเป็นประชาธิปไตยด้วยกัน ผิดถูกดีชั่วแก้ไขกันได้ ไม่เอาโทษเอากรรมต่อกันและกัน
(ทางฝ่ายอเมริกาโดยวัดรัตนาวนาราม เขาจะถวายผ้าป่าช่วยชาติแด่หลวงตา ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พ.ย. ๔๖ เวลาบ่ายโมงตรง เขาอยากให้หลวงตาเทศน์สดๆ บอกไปถึงทางโน้นด้วยครับ) โอ๋ย เราเทศน์นี่เทศน์สดๆ ร้อนๆ นั่นแหละ นอกจากพวกมาฟังมันจะเน่าเฟะมาฟังเท่านั้น เรานี่เทศน์สดๆ ร้อนๆ ตลอดเลยเรา นอกจากพวกฟังมันจะเน่าเฟะมาฟังเท่านั้น ถ้าฟังสดๆ ร้อนๆ มันก็เต็มทั้งสองฝ่ายนะ ปัญหามีเท่านั้น คราวก่อนที่เขาทอดผ้าป่าวันที่ ๑๖ หรือไง ก็พอดีเราเทศน์ที่จังหวัดเชียงราย บ้านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ คุณสุรเกียรติ เสถียรไทย ก็เอาเทศน์กัณฑ์นั้นแหละส่งให้เลย เทศน์วันนั้นดูจะเป็นวันที่ ๑๕ หรือไง (๑๕ ครับ) เออ ๑๕ แล้วเขาเป็นวันที่ ๑๖ เทศน์เราก็ส่งให้เลย เอานั้นแหละกัณฑ์เทศน์ อันนี้ฟังตอนไหนก็ส่งให้เลย เข้าใจเหรอ ก็เราเทศน์มาตลอดแล้ว เอากัณฑ์ไหนก็ได้นี่ ส่งให้เลยได้เลย ก็มีเท่านั้นเองยากอะไร
เรื่องเทศน์และออกช่วยชาติคราวนี้รู้สึกว่าเป็นประโยชน์มากพอสมควร สมกับเราช่วยชาติ เมืองนอกเมืองนาได้ผลประโยชน์ทางด้านธรรมะมาก มิหนำซ้ำยังได้ทางด้านวัตถุมาบำเพ็ญประโยชน์ต่อชาติของเขา แม้เขาอยู่เมืองนอกเขาก็เป็นคนชาติไทย เขายังได้ถวายผ้าป่าบังสุกุลมา นอกจากได้อรรถได้ธรรม เขายังได้วัตถุนี้อีก แล้วได้บุญจากวัตถุนี้อีกเป็นชั้นๆ กันไป ก็นับว่าดีอยู่ การนำชาติคราวนี้ได้ทั้งวัตถุและธรรมภายในใจ วัตถุก็ขนสมบัติเข้าคลังหลวง แล้วกระจายทั่วประเทศไทยเราให้ได้ความเย็นอกเย็นใจด้วยกัน เบาใจด้วยกัน สร้างนั้นสร้างนี้เรื่อยไป และทางด้านอรรถด้านธรรม ฟังธรรมะเรานี้ทั่วประเทศไทยแล้วยังออกเมืองนอกอีก เป็นเวลา ๖ ปีนี้แล้วที่เทศน์อย่างเปิดเผยมานะ ช่วยชาติมาได้ ๕-๖ ปีนี้แล้ว เทศน์ก่อนหน้านั้น ตกลงก็มาด้วยกันนะที่เทศน์ก่อนหน้า เพราะเอาเทปนี้ไปเปิดออกทางโน้นออกอีกเหมือนกัน เทศน์ที่ศาลาพระนี้มีแต่ธรรมะเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ จะได้ฟังหมดแหละธรรมะของเรา ตั้งแต่พื้นๆ จนถึงที่สุด สุดอรรถสุดธรรมสุดกำลังวังชาความสามารถของเรา อยู่ในนี้หมด เราเทศน์เต็มเหนี่ยวแล้ว จะได้ประโยชน์พอสมควร
ที่มันเกิดขัดๆ ข้องๆ กันอยู่นี่ในวงชาวพุทธเอง อย่างผ่านมาปีนี้ พ.ร.บ.นั้น พ.ร.บ.นี้ พระพุทธเจ้าท่านมีที่ไหน เอามาเทียบกันซิ ยกขึ้น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คำเดียวเท่านั้นกระเทือนไปหมดเลย นี้ตั้งขึ้นๆ แล้วมากวนกันยุ่ง ตั้งเพื่อกิเลสตัณหา ไม่ได้ตั้งเพื่ออรรถเพื่อธรรม ก็เลยเป็นกิเลสตัณหายุ่งกันตลอดไปอย่างนี้ละ
เราพูดจริงๆ เราที่มาเล่นอยู่ด้วยนี่ ได้รับคำข้อปรึกษาหรือเสนออะไรต่ออะไรอย่างนี้ เรามาขยี้ขยำมูตรคูถเฉยๆ นะ เราพูดจริงๆ อย่างนี้ละหัวใจมันเป็นอย่างนั้นจะให้ว่ายังไง แต่ก่อนเราก็ไม่เคยพูดเพราะไม่เคยรู้ เวลามันรู้จะให้ว่ายังไง ไม่ว่าตามความรู้ความเห็นความเป็น มีแต่พวกมูตรพวกคูถเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายทำลายซึ่งกันและกัน ไม่มีเรื่องที่จะส่งเสริมกันพอจะได้อนุโมทนา เอ้อ เข้าทีนะอย่างนี้ ไม่เห็นมี มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย เรื่องของกิเลสนั่นละ ไม่พ้นไปจากที่ว่ากิเลสเข้าแทรกให้ก่อกวนยุ่งเหยิงวุ่นวายกัน เพื่อเอายศเอาศักดิ์ เขามองหน้า โอ๊ คนนี้เขาดีนะ เท่านั้นก็เอา แต่ไม่ทราบว่ามันได้อะไรหรือไม่ นี่ที่น่าทุเรศมาก
เราก็อุตส่าห์บึกบึนขยี้ขยำมูตรคูถกับโลกทั่วๆ ไป เราไม่อวด เราไม่เหยียบใคร เราเอาความจริงมาพูด เพราะหัวใจเราไม่เคยยุ่งกับอะไร ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วว่างหมดโลกธาตุตลอดมาอย่างนี้ และจะตลอดไป จะให้เราว่ายังไงอีก เราพูดเล่นเหรอ เราปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย จะถึงขั้นสลบไม่รู้กี่ครั้งกี่หนฟัดกับกิเลส จนกระทั่งได้เห็นผลเป็นที่พอใจก็จ้าออกมาดังที่พระพุทธเจ้าสอนด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว รู้ก็รู้อย่างนั้นจะให้ว่ายังไงอีก เราไม่มีเรื่องอะไร มายุ่งอยู่นี้ก็เพราะอาศัยโลกอยู่ สงสารก็บึกบึนไปตามนั่นแหละ คอยแก้คอยไข มีตอบมีรับมีทุกอย่างดังที่เห็นมานี่แหละใช่ไหม เหมือนว่าเรานี่เป็นคลังกิเลสคลังฟืนคลังไฟเผานั้นเผานี้ มันมาแหย่เราก็ตีเอาซิ อยู่เฉยๆ เราไม่เห็นมีเรื่องอะไร
ก็มันไม่มีจริงๆ ในหัวใจนี่ไม่มี ไม่เคยมีอะไรเข้ามายุ่ง ว่าเอ๊กิเลสตัวนี้มายุ่ง ไม่เคย นั่นจึงว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ธรรมะนี้พอ ฆ่าก็ฆ่ากองทุกข์ รบกับกองทุกข์คือกิเลสสร้างขึ้นนั่นเอง พออันนี้หมดไปมากน้อยความทุกข์ก็ดับไปมากน้อย กิเลสดับโดยสิ้นเชิง ทุกข์ภายในหัวใจก็ดับโดยสิ้นเชิง ดับหมด ก็ยังเหลือแต่ในธาตุในขันธ์เท่านั้นเอง ธาตุขันธ์เป็นสมมุติ จิตถึงจะบริสุทธิ์ขนาดไหนก็รับผิดชอบอยู่ในขันธ์ซึ่งยังไม่ล้มละลายตายจากจิตไป ก็ต้องได้มีความรับผิดชอบโดยสัญชาตญาณหรือโดยหลักธรรมชาติ พาอยู่พากิน พาหลับพานอน พาขับพาถ่าย อย่างนี้มีแต่เรื่องของขันธ์กวนทั้งนั้น จิตท่านไม่ได้กวน ไม่มีอะไร มีแต่เรื่องขันธ์ อยู่ไปวันหนึ่งๆ มีแต่เรื่องของขันธ์ ปฏิบัติต่อขันธ์กันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
เมื่อสิ้นกิเลสตัวก่อกวนภายในจิตใจแล้ว จิตใจก็ไม่มีเรื่อง มีแต่บรมสุขโดยสิ้นเชิงตลอดไป เรื่องขันธ์นี้มันก็จะยุติกันในวาระสุดท้าย คือลมหายใจสิ้นปั๊บ ตาย นั่นละที่นี่ท่านก็ปล่อยทันทีเลย อนุปาทิเสสนิพพาน เรียบร้อยไปแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน ก็คืออันนี้ยังก่อกวนอยู่ ก็ได้ดูแลอยู่ ไม่ใช่ท่านไม่บริสุทธิ์ ท่านดูแลด้วยความบริสุทธิ์ หากดูแลเรื่องธาตุขันธ์ที่มันไม่บริสุทธิ์ ก็ดูแลตามเรื่องของมันไม่บริสุทธิ์ พอขันธ์หมดไปแล้วเรื่องราวก็หมดไป สมมุติก็หมดไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ นั่นละท่านสร้างธรรมสร้างถึงความพอ พออย่างนั้นจริงๆ ส่วนโลกไม่มีคำว่าพอ ต้นไม่มี ปลายไม่มี หมุนกันไปอย่างนี้ตลอดเวลา
ถ้าใครอยากให้ความทุกข์และภพชาติค่อยหดค่อยกุดค่อยด้วนเข้ามาๆๆ จนกระทั่งหมดทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้ว จงอย่าลืมศีลลืมธรรม ให้พยายามติดเนื้อติดตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าห่างจากนี้เมื่อไรแล้ว วัฏวนความทุกข์ทั้งหลายจะมาพร้อมๆ กัน เสริมกันเข้าทันทีๆ เพราะตัวนี้เป็นอัตโนมัติ การสร้างทุกข์ใส่หัวใจสัตว์นี้กิเลสสร้างด้วยอัตโนมัติของมันตลอดมา เมื่อธรรมได้เอากันเต็มที่ถึงขั้นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสแหลกไปแล้วไม่มีอะไรมากวน หมดโดยสิ้นเชิง คือท่านผู้สิ้นกิเลส
นี่เราพูดจริงๆ ใครจะว่าเราบ้าเราบออะไรเราไม่สนใจ เพราะโลกมันสุญญากาศไปแล้ว สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ไปหมดแล้ว มันว่าง ว่าอะไรมันก็เป็นอยู่กับที่เกิดขึ้นนั้น อันนั้นดับไปก็ดับหัวใจเราไม่มีจะเอาอะไรมาเป็น ก็เท่านั้นเอง เราก็มาขยี้ขยำไปอย่างนั้นแหละ พอถึงกาลเวลาแล้วก็ผึงเลยเท่านั้น เราไม่ได้สงสัยในการปฏิบัติของเรา การสอนในธรรมทุกขั้นสอนโลก เราก็ไม่เคยสงสัย ออกมาบทใดบาทใดขั้นใดภูมิใดของธรรม เราสอนเต็มบทเต็มบาทตามขั้นตามภูมินั้น เรียกว่าเต็มขั้นเต็มภูมิไปเลย ไม่เคยได้ตรวจได้แก้ เพราะมันพอแล้วกับนี้ ออกไปก็พอไปเลยๆ เพราะฉะนั้นการสอนธรรม เราจึงไม่ตามแก้ตามไขเพิ่มเติมอะไรเราจึงไม่มี
แม้จะถอดออกจากเทศน์มานี้ก็พิมพ์ได้เลย ไม่ได้แก้ตรงไหนว่าผิด ไม่มี ถ้าหากจะเป็นการรำคาญบ้าง เช่น ก็ อย่างนี้นะ ตัดออกเสียเท่านั้นเอง เช่น ก็หรือและ นี้ไม่ใช่เป็นความผิดอรรถผิดธรรมใช่ไหม ตัดออกไปเฉยๆ เพื่อมันคล่องตัวไปเลย ก็มีเท่านั้น ที่จะให้ผิดอรรถผิดธรรมแล้วไปแก้ไขเพิ่มเติมไม่มี เทศน์ที่ไหนเหมือนกันหมด ไม่ว่าที่ไหน ถ้าพูดตามหลักธรรมชาติไม่มีแหละคำว่าสูงว่าต่ำ เทศน์ที่ไหนว่าที่ไหนก็ว่าไป สอนโลกนี่วะ พอจบแล้วก็ไปเลย มีเท่านั้น
โยมอินโดนีเซีย เมื่อวานยังไม่เข้าใจดี ลงไปเดินจงกรมแล้วเห็นร่างกายเปลี่ยนเป็นคนแก่ กลางคืนนอนไม่หลับ มองใบหน้าไม่มีหนังหุ้ม แล้วลูกตาหลุดออกไป เหลือแต่ฟันอย่างเดียว ดูแล้วน่าเกลียดมาก จึงลุกเข้าห้องน้ำไปส่องกระจกก็เห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หลวงตา ใจกำลังเห็นอย่างนั้นอยู่ เอากระจกมาส่องมันก็เป็นอย่างเก่า เพราะมันเป็นอยู่กับใจไม่ได้เป็นอยู่กับกระจก พอใจเปลี่ยนนี้แล้วมันก็หายไปเลย เอากระจกมาส่องเท่าไรมันก็เป็นตามกระจก ทีนี้เวลาใจมันเป็นอย่างนั้น เอากระจกมาส่องเท่าไรมันก็ไม่ได้เป็นอย่างกระจก มันเป็นตามจิตไม่ได้เป็นตามกระจก
โยมอินโดนีเซีย ร่างกายเป็นอะไรไปก็ไม่เกี่ยวกับจิตใช่ไหมคะ
หลวงตา ไม่เกี่ยวกับจิต คืออันนี้ให้จำไว้นะ เราไม่ต้องวิตกวิจารณ์ตกใจไปไหนเลย นี่พระธรรมแสดงสอนเราทุกวิถีทาง ให้เราย่นเข้ามาถึงกฎอนิจจัง อย่าไปตื่นเต้นกับมัน เรื่องแปรสภาพมันก็แปร แม้แต่ยังไม่ตายมันก็แสดงให้เห็นอยู่ พระธรรมท่านมาแสดงให้เห็น ให้รู้ไว้ว่าพระธรรมท่านมาสอนอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เรายังไม่เคยเป็นอย่างนั้น แต่พระธรรมท่านบอกไว้แล้วเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลาเป็นความจริงมันก็เป็นอย่างพระธรรมท่านบอก มันจะแตกไปหมดตัวนี่ อ้าว จริงๆ ถึงขั้นสุดท้ายนะ นี่ท่านสอนไว้แล้วถูกต้อง อย่าไปตกใจนะ มันจะเป็นอะไรช่างมัน จิตเป็นผู้เปลี่ยนแปลง จิตกับธรรมอยู่ด้วยกันจะแสดงอาการต่างๆ ออกมา โอ๋ย ทุกแบบทุกฉบับ เรื่องนิสัยของผู้ฝึกฝนอบรมนี่นะ เป็นทุกแบบทุกฉบับ แต่ขอให้มีครูมีอาจารย์คอยแนะเท่านั้น ไม่งั้นหลงได้นะ เสียได้
ถ้ามีครูอาจารย์ที่ท่านเคยแล้วมาแนะก็ไม่ผิด ดังที่ว่านี่เราก็แน่ใจในการสอนของเรา อย่าไปตื่นเต้นกับมัน นี่พระธรรมท่านแสดง แสดงอย่างนี้ ให้เราเรียนตามนี้ เรียนกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอย่างนี้ๆ ต่อไปจะแตกสลายทำลายหมดเลย สุดท้ายมันก็เป็นอย่างนั้น เข้าใจหรือ ไม่ต้องตกใจ มันเป็นอย่างไรก็ให้รู้ มันเป็นไปจากจิตนี่ อาการของจิตคืออาการของธรรมแสดงออก
โยมอินโดนีเซีย เห็นใจเป็นไฟด้วยค่ะ
หลวงตา ผู้รู้ว่าใจเป็นไฟไม่ได้เป็นไฟ นี้อาการของใจต่างหากที่ว่าเป็นไฟนี้นะ ผู้รู้ว่าใจเป็นไฟนี้ไม่ได้เป็นไฟ เข้าใจไหม มันเป็นซ้อนๆ กันอยู่อย่างนี้ อย่าไปตกใจ จะเป็นอาการใดก็ตามมันเหมือนอาการอย่างที่ว่า อันนี้แตกอันนี้หักอันนี้ทำลาย มันเหมือนกัน แสดงเป็นไฟบ้าง เป็นอะไรบ้าง เป็นอาการของจิตที่ออกมาให้เรารู้เรื่องของอาการอันนี้ทุกอย่าง แล้วสุดท้ายมันก็ลงกฎอนิจจัง มันไปจากจิตอันนี้ละ ทีนี้พอจิตรู้รอบตัวแล้ว สิ่งเหล่านี้จะค่อยหดเข้าไป หรือละเอียดเข้าไป เปลี่ยนเข้าไปเรื่อยนะ ไม่ได้อยู่แค่นี้ ยังจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตละเอียดเท่าไร สิ่งเหล่านี้จะน้อยลงๆ เข้าไปหาจิต เอาเท่านั้นเสียก่อนนะ ไม่ต้องตกใจ ตกใจหาอะไร ถ้าไม่อยากเป็นบ้าอย่าตกใจ เอาอย่างนี้ ต้องสั่งเสียให้ชัดเจนอย่างนี้ไม่งั้นไม่แน่ใจ เข้าใจแล้วนะ เออ ไป ทีนี้ให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน
ได้ที่www.Luagnta.com หรือ www.Luangta.or.th |