เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
รื้อภพรื้อชาติ
พวกเราทุกคนเป็นนักท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตาย ซึ่งเป็นเรื่องเต็มไปด้วยทุกข์ที่แฝงกันไปกับภพชาตินั้น ๆ มาเป็นเวลานาน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน เป็นแต่เพียงว่าความจดจำแห่งความเป็นมาของตนในอดีตนั้นจดจำไม่ได้เท่านั้น ความจดจำไม่ได้นี้ไม่ได้มีอำนาจที่จะลบล้างความจริง ซึ่งเคยเป็นมาอย่างใดของเราแม้แต่น้อย
ความจริงกับความจำต่างกันมาก เช่นอย่างที่กล่าวมาสักครู่นี้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว แบกหามกองทุกข์ไปกับภพชาตินั้น ๆ หรือมากับภพชาตินั้น ๆ มาเป็นเวลานาน นี้คือความจริงมีอยู่กับทุกคน มีอยู่กับทุกตัวสัตว์ จะจำได้หรือไม่ได้ สนใจจำหรือไม่สนใจจำ สนใจคิดหรือไม่สนใจคิด ไม่เป็นสิ่งที่จะลบล้างความจริงเหล่านี้ไปได้เลย หากว่าไม่มีครูมีวิชาความรู้มาสอนอุบายวิธีการที่จะทราบความจริงที่เป็นมานี้ ด้วยความจริงแห่งธรรมนั้นแล้ว จะไม่มีทางทราบได้ตลอดไป
แต่มนุษย์เรายังดี ถ้าพูดถึงความได้เปรียบ ก็ได้เปรียบสัตว์ทั้งหลายอยู่มาก และได้เปรียบมนุษย์ที่ไม่เคยสนใจไยดีในหลักธรรม ซึ่งเป็นเครื่องมืออันเยี่ยมในทางฝ่ายเหตุ แก้กิเลสตัณหาอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์นี้ นี่เรียกว่าเรามีวาสนาสำหรับผู้ได้ศึกษาอบรม ผู้ไม่สนใจในธรรมเหล่านี้แล้ว เรียกว่าเราได้เปรียบเขาอยู่มาก แม้เราจะตำหนิเราว่าเป็นผู้ด้อยวาสนา ก็ด้อยเพื่อจะส่งเสริมวาสนาให้เจริญยิ่งขึ้น นี่ท่านเรียกความจริง ความจริงนี้ไม่มีใครที่จะสามารถ รื้อฟื้นขึ้นมาประกาศให้โลกได้เห็นได้เลย นอกจากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เท่านั้น ซึ่งเป็นต้นตระกูลแห่งความรู้แจ้งแทงตลอดในความจริงทั้งหลายเหล่านี้ ประจักษ์พระทัยของแต่ละพระองค์
เฉพาะอย่างยิ่งในองค์ปัจจุบันก็คือพระพุทธเจ้าของเรา เป็นผู้ทรงขุดค้นความจริงที่เป็นมาของพระองค์ จนสามารถกระจายไปทุกแห่งหนในบรรดาสัตว์ ซึ่งมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน ให้รู้แจ้งเห็นจริงไปหมด ตลอดทั่วถึงไม่มีที่ปิดบังลี้ลับพระปัญญาญาณของพระองค์ไปได้เลย เมื่อทรงทำการขุดค้นจนพบความจริงขึ้นมา จึงได้นำความจริงนี้ออกสั่งสอนสัตว์โลกเพื่อทราบเรื่องความเป็นมาของสิ่งลึกลับ ที่พาให้สัตว์โลกทั้งหลายได้เกิดแก่เจ็บตายมาโดยลำดับนี้ คือเชื้ออันสำคัญได้แก่กิเลสตัณหาอาสวะ ซึ่งฝังอยู่ภายในจิตไม่มีใครสามารถลบล้างออกไปได้เลย หรือชำระล้างได้ด้วยวิธีการใด ๆ นอกจากหลักวิชาธรรมะเท่านั้น
หลักวิชาธรรมะถ้าเพียงเรียนจำได้เฉยๆ ก็ไม่สามารถที่จะลบล้างหรือชะล้างกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจ หรือฝังอยู่ภายในจิตใจนี้ออกได้ นอกจากจะมีภาคปฏิบัติเข้าไปด้วยจึงจะเป็นไปได้ เพราะภาคปฏิบัตินั้นเริ่มเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เริ่มปฏิบัติก็คือเริ่มธรรมความจริง ก็เริ่มรู้เริ่มเห็นเรื่องราวของตนเองขึ้นมาเรื่อย ๆ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลึกลับมากสำหรับสามัญชนเรา แต่เป็นสิ่งที่เปิดเผยสำหรับผู้รู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งเหล่านี้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นกิเลสตัวใดก็ตาม จึงไม่สามารถจะแสดงกลมายาต่อท่านผู้ที่ปราบปรามกิเลสให้ราบคาบไปแล้วภายในจิตใจได้เลย ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน พระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ท่านก็ดี เป็นผู้ที่รู้แจ้งแทงทะลุไปหมดบรรดากิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตใจ ได้ขับไล่ออกด้วยพระปรีชาสามารถของท่านจนไม่มีเหลือแม้ชิ้นเดียว เพราะฉะนั้นกลมายาของกิเลสทุกประเภท จึงไม่สามารถที่จะหลอกลวงท่านได้ตั้งแต่ขณะที่กิเลสได้สิ้นซากไปจากพระทัยและจิตใจของพระสาวก
การรื้อถอนการขุดค้นหาต้นตออันลึกลับสลับซับซ้อน ซึ่งฝังอยู่ภายในจิตใจนี้นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก อุบายวิธีการที่จะนำมาปฏิบัติต่อสิ่งนี้ก็ยากที่จะมีผู้รู้ผู้เห็นได้ นี่เราได้เกิดในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นพระโอวาท หรือเป็นศาสนธรรมอันสำคัญมาก ในบรรดาธรรมที่เป็นเครื่องมือสำหรับขุดค้นกิเลสอาสวะ เราก็ได้รับได้ยินได้ฟังมาแล้วจากพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นองค์ที่รู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง จนถึงกับว่ารื้อป่าช้าหมดแล้วภายในพระทัยของพระองค์ไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีว่าความเกิดแก่เจ็บตายอันเป็นเครื่องหาบหามทุกข์ไปด้วย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไปตลอดกาลไหน ๆ พระสาวกอรหันต์แต่ละองค์ ๆ ก็เหมือนกันเช่นนั้น เป็นผู้รื้อป่าช้าออกจากจิตใจได้โดยสิ้นเชิง
ป่าช้าอันแท้จริงก็คือกิเลสกับจิตที่ฝังจมอยู่ด้วยกัน นั่นแลเป็นที่เพาะเชื้อทั้งหลาย หรือเป็นที่เพาะภพเพาะชาติทั้งหลายเพาะที่ตรงนั้น แต่เราทั้งหลายไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าและสาวกท่านกับพวกเราจึงต่างกันอยู่มาก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาด้วยกัน เรื่องก็เหมือนกัน แต่เราไม่รู้เราจำไม่ได้ และไม่รู้วิธีถอดถอนไม่รู้วิธีแก้ไข สำหรับท่านรู้วิธีถอดถอนรู้วิธีแก้ไข จนกระทั่งถอดถอนออกได้หมดไม่มีสิ่งใดเหลือ ท่านจึงกลายเป็นคนพิเศษเลิศโลกยิ่งกว่าพวกเราทั้งหลายเป็นไหน ๆ เราจึงได้กล่าวอ้างท่านว่าเป็นสรณะ คือ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
การถอดถอนกิเลสทุกประเภทให้พึงทราบเรื่องของกิเลสด้วยดี ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมะเพื่อจะยังผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ตนจากศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า สมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธเป็นพุทธบริษัท ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา เราควรจะรู้เรื่องของกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นข้าศึกต่อหัวใจเรามาเป็นเวลานาน และเป็นเจ้าใหญ่นายโตที่สุดอยู่บนหัวใจของสัตว์โลกก็คือกิเลส ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถปราบปรามมันลงจากหัวใจของสัตว์โลกได้เลย มันจึงผยองพองตนกล่อมสัตว์โลกไม่ให้รู้เรื่องของมันว่าเป็นภัยต่อสัตว์โลกเลย ไม่มีอันใดเกินกิเลสไปได้ นี่จึงว่าความแหลมคมไม่มีอะไรจะเกินกิเลส นอกจากธรรมเท่านั้นเหนือกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องได้ศึกษาอบรมธรรม เพื่อจะนำมาวิจัยกัน นำมาต่อสู้กัน นำมาแยกแยะกันให้เห็นดีเห็นชั่ว เห็นของปลอมของจริงซึ่งมีอยู่ในใจดวงเดียว หรืออยู่ในร่างกายและจิตใจของเราคนคนเดียวนี้ ให้แจ้งชัดไปโดยลำดับ
คำว่ากิเลส คือสิ่งที่ทำความเศร้าหมองมืดดำ หรือมืดตื้อต่อจิตใจของสัตว์ นั่นท่านเรียกกิเลส เมื่อได้เข้าสิงอยู่ภายในจิตใจของใครมากน้อย จะทำให้คนนั้นโง่หลงงมงายเซอะ ๆ ซะ ๆ ไปหมด แต่ตัวกิเลสจะไม่โง่ จะไม่เซ่อ ๆ ซ่า ๆ จะเป็นตัวฉลาดแหลมคมมากทีเดียว ไม่มีอะไรเกินกิเลส การปราบปรามกิเลสจึงต้องได้ใช้ความพยายามให้หนักแน่นมั่นคง ต่อการกระทำและวิธีการของตนที่นำมาใช้แต่ละอย่าง ไม่ได้ทำเหลาะๆ แหละๆ ไม่ได้ทำแบบเล่น ๆ แบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ
เพราะกิเลสแต่ละประเภทไม่มีกิเลสตัวไหนเหลาะแหละ ไม่มีกิเลสตัวไหนลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่มีกิเลสตัวไหนสุภาพอ่อนโยนต่อจิตใจมนุษย์และสัตว์ พอที่จะมาชำระแก้ไขกันด้วยความเหลาะแหละ ความอ่อนแอท้อแท้ ความสุภาพอ่อนโยน การแก้กิเลสแก้ด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนกิริยาท่าทางเราอันเป็นไปด้วยธรรมนี้นั้นแก้ไม่ได้ ต้องแก้ด้วยความถ้าพูดให้เต็มภาษาธรรมะ ให้เต็มความจริงก็คือว่าต้องฮึดสู้เสมอ
ให้สมกับว่ากิเลสทุกประเภท ไม่มีกิเลสตัวใดไม่ว่าลูกเต้าหลานเหลน ปู่ ย่า ตา ยาย ของกิเลส จะมีความสุภาพอ่อนโยนต่อสัตว์โลก จะเหลาะแหละเหลวไหล เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ต่อสัตว์โลกไม่มี มีแต่ตัวแหลมคม มีแต่ตัวโหดร้ายทารุณ มีแต่ตัวจริงจังในทางที่จะทำความทุกข์ให้แก่สัตว์โลกทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้การแก้ไขปราบปรามกิเลสเราจึงจะนำความสุภาพเรียบร้อย ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความเอาตามยถากรรม ความเป็นผู้ว่ามีวาสนาน้อยถอยกำลังไปสู้กับกิเลสไม่ได้ นอกจากจะเป็นเครื่องสังเวยกิเลส เป็นเครื่องเซ่นสรวงกิเลสให้ได้หัวเราะฮา ๆ อยู่บนหัวใจของเราเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น
เราให้ย้อนหลังไปถึงพระพุทธเจ้าผู้ปราบกับกิเลส เรียกว่าพระองค์เป็นพระองค์แรกที่เข้าสู่สงครามระหว่างกิเลสกับพระองค์ต่อสู้กัน มีความลำบากความทุกข์ความทรมานมากน้อยเพียงไรในระหว่างที่กำลังเข้าสู่สงคราม หรือขึ้นบนเวทีต่อกรกับกิเลสนั้น เราจะทราบได้ชัดถึงเรื่องความหนักเบาระหว่างธรรมกับกิเลสต่อสู้กัน พระพุทธเจ้าของเราทรงสลบถึง ๓ หนฟังซิ คนเราไม่ถึงขั้นสลบ คือไม่ทุกข์ถึงขั้นสลบจะสลบไปได้ยังไง ต้องทุกข์ถึงขั้นนั้นถึงจะเป็นไปได้อย่างนั้น ถ้าเลยจากขั้นนั้นก็ตาย นี่คือวิธีการ นี่คือการต่อสู้ ความลำบากลำบนในการต่อสู้กับกิเลสบนเวทีคือหัวใจเรา หนักขนาดนั้น
บรรดาพระสาวกก็เช่นเดียวกัน มีความลำบากลำบนในการประพฤติปฏิบัติ เกิดความเชื่อความเลื่อมใสในพระโอวาทของพระพุทธเจ้า หลังจากสดับตรับฟังให้ถึงใจแล้วสละตนออกบวชจากสกุลต่าง ๆ มีสกุลพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพี พ่อค้าประชาชน จนถึงขั้นคนธรรมดา เมื่อออกบวชแล้วตั้งหน้าตั้งตาเข้าสู่สงครามต่อสู้กับกิเลสเพื่อชัยชนะเป็นยอดคนคือยอดของตัวเอง โดยประกอบความพากเพียรอยู่ในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้ว
งานที่ประทานให้ในความเป็นนักบวชเริ่มต้นตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้นไปถึงอาการ ๓๒ ภายในร่างกายนี้ ยังแยกแยะไปโดยลำดับ แต่ในเบื้องต้นให้งานเท่านั้นเสียก่อน แล้วก็บอกสถานที่เป็นที่เหมาะสมในการต่อสู้กับกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมั่นคงและเฉลียวฉลาดแหลมคมมาก ต้องเลือกชัยสมรภูมิให้เหมาะสมสำหรับนักบวช
จึงทรงแสดงสถานที่ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย ท่านทั้งหลายบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาแล้ว ให้ไปเสาะแสวงหาอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ชายป่าชายเขา ตามถ้ำเงื้อมผา เพื่อเป็นความสะดวกแก่การต่อสู้กับกิเลส เอาให้ได้ชัยชนะ ยกตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ เหยียบย่ำทำลายกิเลสให้แหลกแตกกระจายไปจากจิตใจ จะไม่มีสิ่งใดกดขี่บังคับเป็นเจ้านายเหนือหัวอีกต่อไป จิตใจจะกลายเป็นอิสระอย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีสมมุติใด ๆ เข้าไปกีดขวางได้เลยตั้งแต่ขณะนั้น คือขณะที่ชนะกิเลสแล้ว
เพราะฉะนั้นการปราบปรามกิเลสทุกประเภท จึงต้องทำด้วยความจริงใจ เพราะกิเลสจริงต่อเราทุกอย่าง ความโลภเกิดขึ้นก็จริงต่อเรา สามารถนำความทุกข์มาให้มากน้อย ตามกำลังของกิเลสประเภทนั้น ๆ เกิดขึ้น ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ไม่ว่าประเภทใดขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วไม่มีประเภทใดด้อย ๆ พอที่จะนอนอยู่สบาย ให้มันขับลำทำเพลงให้เราฟัง นอกจากเสียงร้องห่มร้องไห้ภายในจิตใจของเราที่ถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลาย เรียกร้องหาความช่วยเหลือเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น นี่ละกิเลสทำลายคนทำลายอย่างนี้
ผู้ไม่ได้ปฏิบัติต่อกิเลส ผู้ไม่ได้ต่อสู้กับกิเลส ไม่ได้รบกับกิเลส ไม่มีทางทราบได้ว่ากิเลสมีความโหดร้ายทารุณต่อจิตใจของสัตว์โลกและตัวเองมากน้อยเพียงไร ต้องเป็นผู้ได้เคยต่อสู้กับกิเลส ถึงจะทราบประเภทของกิเลสแต่ละประเภทว่ามีความเหนียวแน่นมั่นคง โหดร้ายทารุณเพียงไรต่อจิตใจของเรา นี่หลักสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญหรือท่านทรงต่อสู้กับกิเลสทุกประเภทมาแล้วอย่างโชกโชนถึงกับขั้นสลบไสล ผลสุดท้ายกิเลสตาย พระองค์เพียงสลบเท่านั้น
เมื่อกิเลสตายไปแล้วพระองค์ก็ได้นำวิธีการปราบปรามกิเลสมาสอนโลก ตามวิธีที่พระองค์ทรงได้ดำเนินมาอย่างไรได้ผลอย่างไร เพราะฉะนั้นพระโอวาททุกบททุกบาทของพระพุทธเจ้า จึงไม่เคยส่งเสริมให้พุทธบริษัทหรือบรรดาสัตว์ทั้งหลายมีความท้อแท้อ่อนแอ ให้มีแต่ความขยันหมั่นเพียร ความอดความทน ความใช้สติปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาดแหลมคม เพื่อทันกับกลมายาของกิเลสแต่ละประเภท มีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน ไม่เคยบอกว่าความเกียจคร้านเป็นของดี กิเลสกลัวนักไม่เคยบอกเลย
กิเลสกลัวแต่ความพากเพียร สิ่งใดกิเลสกลัวพระองค์จะนำสิ่งนั้นมา ธรรมแง่ใดแขนงใดที่กิเลสจะพังทลายลงไป พระพุทธเจ้าทรงนำนั้นมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะพระองค์ทรงทำมาแล้วได้ผลมาแล้วเป็นที่พอพระทัย ธรรมจึงจัดว่าเป็นสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง จะไม่ชอบอย่างไรเล่า พระพุทธเจ้าทรงชำนิชำนาญมาแล้วในสงครามระหว่างกิเลสกับพระองค์ที่ต่อสู้กันด้วยธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทรงแสดงให้เป็นสวากขาตธรรม ชอบทุกสิ่งทุกอย่างทั้งฝ่ายเหตุและฝ่ายผล ตั้งแต่ต้นถึงปลายไม่มีที่ตำหนิติเตียน ดังที่เราได้กล่าวชมเชยพระองค์ว่า อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ ไพเราะเพราะพริ้งทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและสุดท้ายปลายแดน คือมีแต่ความถูกต้องแม่นยำ เหมาะสมทุกแง่ทุกมุมแห่งธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้เพื่อปราบปรามกิเลสทั้งหลายภายในหัวใจของสัตว์
เราเป็นนักปฏิบัติต้องคำนึงถึงศาสดาผู้เป็นสรณะเสมอ การปฏิบัติต่อกิเลสนี้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติยากทีเดียว ลำบากก็ลำบาก ต่อสู้กับอันใดก็ตามไม่เหมือนกับต่อสู้กับกิเลส กิเลสนี่เหนียวแน่นมั่นคงเพราะเคยเป็นจอมกษัตริย์บนหัวใจของสัตว์ เฉพาะอย่างยิ่งหัวใจเรามานาน ที่จะสลัดปัดมันลงจากแท่นบัลลังก์คือหัวใจเรานั้นจะลงได้ง่าย ๆ เมื่อไร ต้องต่อสู้กันอย่างเต็มเหนี่ยว บางครั้งต้องสละชีวิตเลือดเนื้อ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ขอให้ได้ชัยชนะ ขอให้รู้แจ้งแทงทะลุ ปราบปรามกิเลสให้ราบจากหัวใจลงไปกองอยู่กับสมมุติทั้งหลาย เหลือแต่วิมุตติล้วน ๆ อันเป็นความบริสุทธิ์เต็มหัวใจเท่านั้นเป็นที่ต้องการ
ชีวิตจิตใจจะขาดสลายลงไปเมื่อไรก็ขาดไปเถอะ แต่เรื่องความเพียร เรื่องสติปัญญาที่จะฆ่ากิเลส และความสัตย์ความจริงที่มีความมุ่งมั่นต่อการต่อสู้กับกิเลสนี้จะไม่ถอย เมื่อไม่ถึงชัยชนะเมื่อไรแล้วตายก็ตาย นี่เห็นไหมเรื่องของการต่อสู้กับกิเลสเป็นอย่างนั้น ผู้ได้เคยปฏิบัติ ผู้ได้เคยเข้าสงครามระหว่างกิเลสกับธรรมนั้นแหละ เป็นผู้ที่จะสามารถชี้แจงถึงอุบายกลมายาของกิเลสได้อย่างชัดเจน และเป็นผู้จะสามารถชี้แจงแสดงถึงเรื่องอุบายของสติปัญญา ศรัทธาความเพียรที่ปราบปรามกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน ผลก็คือสามารถแสดงถึงเรื่องมรรคเรื่องผลตั้งแต่ต้น จนถึงขั้นสุดท้ายได้แก่วิมุตติหลุดพ้นไปได้อย่างเต็มปากเต็มหัวใจ ไม่สะทกสะท้านเพราะได้ปรากฏกับตนผู้ได้เข้าสู่สงครามแล้วทั้งทางเหตุและทางผล ใครจะเกินผู้ที่ได้เข้าสงครามมาแล้ว ผู้ที่ได้เคยต่อสู้กับกิเลสมาแล้วไม่มี
นี่เราก็กำลังเข้าสู่สงครามเวลานี้ สงครามระหว่างกิเลสกับเรา เอาให้ถึงกัน ความเพียรเท่านั้นเป็นเครื่องฆ่ากิเลส เป็นเครื่องสนับสนุนในการฆ่ากิเลส สติปัญญาเป็นสำคัญมาก นี่คือเครื่องมืออันทันสมัย ไม่ว่ากิเลสประเภทใด สติปัญญาประเภทนั้น ๆ จะสามารถปราบปรามกิเลสประเภทนั้น ๆ ไปได้โดยลำดับ จนกระทั่งถึงกิเลสที่ละเอียดสุดแหลมคมที่สุด ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม หรืออันแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสนั้น จนสามารถปราบกิเลสให้พังทลายลงไปจากใจได้ ไม่เหนือสติปัญญาไปได้ สรุปความลงแล้วกิเลสไม่เคยกลัวอะไรนอกจากกลัวธรรมอย่างเดียว
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนธรรมให้แก่สัตว์โลก เพื่อเป็นเครื่องมือปราบปรามกิเลส เครื่องสนับสนุนที่จะให้เป็นไปไม่ลดหย่อนหรือไม่หย่อนกำลัง ก็คือความพากเพียร ความอดความทน ทนไปเถิดทนในสิ่งที่ดี ทนในสิ่งไม่ดีเราเคยทนมาแล้ว เราเคยทุกข์มาแล้วเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดประโยชน์เราก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับมัน เราก็เคยทนมาแล้ว นี้คือความทนเพื่อผลเพื่อประโยชน์แก่ตนโดยเฉพาะ ทำไมจะไม่ทนทำไมจะไม่เพียร ทำไมจะไม่ใช้สติปัญญา เพื่อแก้ไขตนเอง
จิตเหมือนกับผู้ต้องหาผู้ต้องขัง ถูกกิเลสบังคับบัญชากดขี่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าตั้งแต่ภพไหนชาติใดมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยลดราวาศอกกันเลย จิตได้รับความทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ทุกข์เพราะกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เคยได้ยินว่าจิตนี่ทุกข์เพราะธรรมของพระพุทธเจ้า หรือทุกข์เพราะพระธรรมไม่มี มีแต่ทุกข์เพราะกิเลส ทุกข์มากทุกข์น้อยทุกข์ขนาดไหน ทุกข์จนกระทั่งถึงไม่มีสติกลายเป็นบ้าไปเลย ก็เพราะอำนาจของกิเลสเท่านั้น นี่เรื่องความทุกข์เพราะอำนาจของกิเลส
จิตจึงเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ หากว่าจิตนี้แสดงตัวออกมาเป็นภาษาวาจาคำพูดเหมือนเรานี้แล้ว อยู่ที่ไหนจะได้ยินแต่จิตเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ เพราะถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีว่างเลยโลกอันนี้ เสียงจะกระเทือนโลกธาตุไปหมด แล้วโลกนี้เป็นที่น่าอยู่ที่ไหน เมื่อมองเห็นกันหรือไม่มองเห็นก็ได้ยินแต่เสียงเรียกร้องยุ่งไปหมด ด้วยความทุกข์ความทรมานของใจที่เรียกร้องความสนใจจากเจ้าของให้ช่วยเหลือ สัตว์ก็เต็มที่ของสัตว์ สัตว์ก็เต็มตัวในเรื่องกองทุกข์ มนุษย์ก็เต็มตัวในเรื่องความทุกข์
ไม่ว่าคนมีคนจน ไม่ว่าคนโง่คนฉลาด อันเป็นวิสัยของสามัญชนเราแล้ว จะต้องถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายให้จิตใจได้รับความทุกข์ความทรมาน ถึงกับเรียกร้องหาความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา และทั่วดินแดนเช่นเดียวกันหมด
เราอย่าเข้าใจว่าที่ไหนเป็นที่สะดวกสบาย ภพนั้นภพนี้จะสบายภพไหนจะสบาย ให้คำนึงย้อนเข้ามาสู่จิต ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่จะเข้าไปสู่ภพนั้นภพนี้ เข้าไปแบกความทุกข์ความลำบากในภพนั้นภพนี้ นี่เป็นสำคัญยิ่งกว่าอื่น จึงควรจะสนใจในนี้ ให้ถูกกับจุดที่จิตใจของเราเรียกร้องความช่วยเหลือจากเรา ด้วยการแก้กิเลสตัณหาอาสวะ โดยวิธีทำคุณงามความดี
ใจเป็นของไม่ตาย แต่ได้รับความทุกข์ความทรมานตลอดมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด จนกระทั่งป่านนี้ เป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมั่นคงเหมือนกัน แต่ก็ยอมรับทุกข์มาตลอด ถึงจะไม่พินาศฉิบหายสลายตัวไปได้ เหมือนสิ่งทั้งหลายที่ถูกทำลาย แต่ก็ได้รับความทุกข์ความลำบากตลอดมา ใจจึงเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมั่นคงมาก ไม่ถูกทำลายให้ฉิบหายวายปวงไปได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ทนความทุกข์ความทรมานในภพชาตินั้น ๆ เพราะอำนาจของกิเลสย่ำยี กิเลสไม่อยู่ที่ไหน เราจะปลูกบ้านสร้างเรือนให้กี่ชั้นกี่ห้องก็ตามเถอะ กิเลสจะไม่ไปอยู่ แต่หัวใจของสัตว์โลกนี้อยู่ตรงไหน กิเลสอยู่ทั้งนั้น บ้านเรือนของกิเลส ห้องส้วมห้องน้ำของกิเลสอยู่ที่หัวใจนี้ ที่ขับถ่าย ที่บำรุงบำเรอ ที่ขับกล่อมที่สะดวกสบายของกิเลสอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลก ผู้ที่ทุกข์ที่สุดก็คือสัตว์โลกผู้อยู่ใต้อำนาจของกิเลส
เพราะฉะนั้นเราจึงควรเห็นโทษของกิเลสซึ่งอยู่บนหัวใจของเรา และใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเราอยู่ตลอดมานี้ แล้วจะได้เร่งความพากเพียร เอาให้จริงให้จัง กิเลสทำเราทำจริงจังนะ เราทำกับกิเลสทำไมจึงจะทำแบบเหยาะ ๆ แหยะ ๆ มันจะเข้ากันได้เหรอ ต้องเอาให้จริงให้จัง เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เราเคยเป็นเคยตายมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ตายแบบโมฆะตาย ตายแบบไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เราตายในสงครามการต่อสู้กับกิเลส เป็นตายที่มีคุณค่ามาก สุดท้ายมันก็ไม่ตาย กิเลสนั้นแหละเป็นตัวจะตาย เราแค่เป็นความทุกข์ความทรมาน เพราะการปราบปรามกิเลสด้วยความเพียรของเราเท่านั้น สุดท้ายกิเลสก็ตาย
ถ้าหากว่าการประกอบความพากเพียรถึงขั้นได้ตายแล้ว จะมีในพระประวัติของพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก แล้วมีประวัติของพระสาวกจำนวนมากมาย ว่าพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรสู้กับกิเลสไม่ได้ กิเลสเหยียบย่ำทำลาย หรือกิเลสปราบพระพุทธเจ้าจนตาย แต่นี้เพียงขั้นสลบ สุดท้ายกิเลสตาย แน่ะ ในประวัติเป็นอย่างนั้น ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าตาย พระสาวกแต่ละองค์ก็ไม่เคยตายเพราะอำนาจความเพียรที่ต่อสู้กับกิเลสไม่มี มีแต่ความทุกข์ความลำบาก เช่นฝ่าเท้าแตกเพราะการเดินจงกรมไม่หยุดไม่ถอย ด้วยความพากเพียรของท่าน ด้วยความอุตส่าห์พยายาม ด้วยความอดความทน
บางองค์จักษุแตก เช่นอย่างพระจักขุบาลเป็นต้น ก็เพียงจักษุแตกเท่านั้น สุดท้ายกิเลสก็แตกจากใจ พอจักษุภายนอกแตกกระจาย กิเลสภายในใจก็แตกกระจาย ธรรมจักษุญาณก็สว่างจ้าขึ้นมาภายในจิตใจของท่านเสีย ท่านไม่เห็นตาย
เราดูซิในประวัติมีไหม พระสาวกทั้งหลายตายเพราะความเพียร พอที่จะให้เรากลัวต่อการประกอบความเพียรเพื่อแก้กิเลส ต่อสู้กับกิเลส ไม่เห็นมีองค์ไหนตาย พอจะเป็นแบบฉบับให้เราได้กลัวบ้าง สาวกทั้งหลายเหล่านั้นท่านมีรูปมีร่างมีธาตุมีขันธ์เหมือนเรา ทำไมท่านจะไม่ได้รับความทุกข์ความลำบาก แล้วกิเลสท่านกับกิเลสเราก็เหมือนกัน ทำไมจะไม่ทุกข์ไม่ลำบาก แล้วการต่อสู้กับกิเลสแต่ละประเภททำไมจะไม่ลำบาก ท่านทำไมผ่านไปได้
เราก็คนคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคตเหมือนกัน กิเลสประเภทเดียวกัน มรรคปฏิปทาเครื่องมือปราบปรามกิเลส ก็เป็นสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ชอบแล้วด้วยกัน มีอะไรบกพร่องเวลานี้ กิเลสจึงไม่ได้หลุดลอยไปแม้ตัวเดียวจากหัวใจเรา เป็นเพราะเหตุไร มันน่าเป็นปัญหาอันหนักที่สุดที่เราจะต้องนำมาวิจารณ์ต่อตัวของเรา ถ้าไม่บกพร่องในเรื่องความพากเพียรเรื่องของสติปัญญา นี่เป็นจุดสำคัญ บกพร่องตรงนี้
สติปัญญาไม่ดีไม่ทันกิเลส การที่สติปัญญาไม่ดีก็เพราะความเพียรด้อย เหตุที่ความเพียรด้อยก็เพราะถูกกิเลสมันลากเอาไว้ให้ขี้เกียจ แน่ะมันไม่พ้นเรื่องของกิเลสเพราะมันแหลมคมมาก มันสวมรอยเราในขณะที่เราทำความเพียรนั่นแหละ เดินจงกรมเราเข้าใจว่าเราเดินจงกรมทำความเพียร เรานั่งสมาธิภาวนาทำความเพียร แล้วสุดท้ายก็ให้กิเลสไปทำงานแทนเสียหมด เดินจงกรมก็มีแต่ก้าวขาเดินไป ๆ จิตถูกกิเลสลากไปกี่ทวีปก็ไม่รู้ จนกระทั่งมันเอาของดีไปกินหมดแล้วมันถึงปล่อยมา เหลือแต่ซาก แล้วก็มารู้สึกตัว ฮึ นี่เราเดินจงกรมมาตั้งหลายชั่วโมงไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร ทำไมจึงเป็นอย่างนี้
มันจะได้เรื่องอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของธรรม มีแต่เรื่องกิเลสเอาของดีไปกินหมด มันจะมีเรื่องธรรมที่ไหนอีก ถ้าเดินจงกรมก็มีสติพิจารณาด้วยปัญญา ตั้งเนื้อตั้งตัวต่อสู้จริง ๆ เหมือนกับนักมวยที่กำลังต่อยกันอยู่บนเวทีเขามีอาการอย่างไร นี่ก็เหมือนกันอย่างนั้น เราต่อยกับกิเลสก็ต้องต่อยแบบนั้น อย่าปล่อยให้กิเลสมันหามลงเปลไปโดยไม่รู้สึกตัว หามไปทวีปไหนก็ไม่รู้ เอาของดีไปกินหมดแล้วยังเหลือแต่ร่างแล้วก็ย้อนกลับมา ยังมาตำหนิธรรมอีก ว่านี่ประกอบความเพียรแทบล้มแทบตายหลายชั่วโมง ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร นี่ก็เป็นเรื่องของกิเลสมาหลอกให้มาตำหนิธรรมอีก
นั่นละกิเลสทำหน้าที่ในวงความเพียรของเรา ให้พากันทราบเสียแต่บัดนี้ถ้ายังไม่ทราบ นั่งภาวนาก็นั่งเหมือนกับคนตายแล้ว หาสติสตังจะบังคับจิตใจของตนให้อยู่กับองค์แห่งภาวนา เช่น พุทโธ ๆ เป็นต้นก็ไม่มี มีแต่เรื่องกิเลสลากเอาของดีไปกินหมดอีกเหมือนกัน คิดไปโน้นนอกโลกธาตุ มันเอาไปกินเลี้ยงกันที่ไหนก็ไม่รู้จนหมด ยังเหลือแต่ซากแล้วกลับมา ยังเหลือแต่ร่างแล้วกลับมา ก็มาตำหนิอีกแหละ นั่งภาวนากี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร จะได้เรื่องอะไรมันไม่ใช่เรื่องความเพียร มันไม่ใช่เรื่องธรรม มันเรื่องของกิเลสมาทำงานบนความเพียรของเรา เอาของดีไปกินหมดต่างหาก มันจะได้อะไร ฟังให้ถึงใจพิจารณาให้ถึงใจ เรื่องความจริงมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ
เอา ปฏิบัติไปเราจะรู้ ในขณะสติปัญญายังไม่ทันกับกิเลส กิเลสต้องเอาเปรียบเราเสมอ ได้เปรียบเสมอไป แต่ก็ไม่พ้นความผลิตสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรอยู่ไม่ถอยไปได้ เช่นเดียวกับเราเลี้ยงเด็ก เลี้ยงทุกวันรักษาความปลอดภัยให้ตลอด แล้วเด็กค่อยเจริญเติบโตขึ้นมาโดยลำดับ กลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้ จิตใจเบื้องต้นก็ล้มลุกคลุกคลาน ได้รับการอบรมศึกษาบำรุงจากเจ้าของ จากสติ จากปัญญา จากศรัทธาความเพียรอยู่โดยสม่ำเสมอไม่ลดละท้อถอย จิตก็จะมีความสงบร่มเย็น สติก็เริ่มมีขึ้นมา ปัญญาก็มีความแพรวพราว สามารถที่จะทราบเหตุทราบผลต้นปลายดีชั่ว ระหว่างกิเลสกับจิตเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกันอย่างไรบ้างได้โดยลำดับๆ
เมื่อสติปัญญาทันกิเลสประเภทใดแล้วก็สังหารกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกิเลสถึงขั้นละเอียด ปัญญาก็ฉลาดแหลมคมตามกันทันไปหมดๆ ผลสุดท้ายกิเลสจะละเอียดขนาดไหน ทนสติปัญญาอันเป็นอาวุธทันสมัยนี้ไม่ได้เลย สุดท้ายก็แหลกแตกกระจายออกไปจากใจไม่มีเหลือ สิ่งที่เหลือก็คือความบริสุทธิ์พุทโธอันเลิศโลกอยู่ภายในจิตใจ นี้แลคืออิสรเสรี ไม่มีขอบเขต อิสรเสรีตลอดอนันตกาล นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้แบบเอาจริงเอาจังเอาเป็นเอาตายเข้าว่า ผลสุดท้ายก็ไม่ตาย เป็นกิเลสตายต่างหากเราไม่ได้ตาย กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ขึ้นมา
นี่ละแบบฉบับที่ท่านสอนมา ตำรับตำราท่านสอนมาก็เป็นอย่างนั้น จึงไม่ควรที่จะท้อถอยอ่อนแอ กลัวล้มกลัวตายในการประกอบความพากเพียรที่จะแก้กิเลส ฆ่ากิเลส กิเลสพาให้เกิดให้ตายมากี่ภพกี่ชาติทำไมไม่เห็นกลัว เวลาจะประกอบความพากเพียรหรือต่อสู้กับกิเลสทำไมจะกลัวตั้งแต่ตาย กลัวเท่าไรก็ยิ่งจะได้แต่ตาย เพราะเป็นเรื่องของกิเลสอันเรื่องความกลัวนั้นน่ะ มันไม่ใช่เรื่องอะไรมันเรื่องกิเลส นี่ละกิเลสแทรกธรรมแทรกอย่างนี้
ให้ปฏิบัติกันไปเราจะทราบเรื่องกลมายาของกิเลส แหลมคมขนาดไหนจะทราบด้วยสติปัญญาของเราเอง เมื่อทราบได้อย่างชัดเจนแล้ว กิเลสก็ไม่มีกลมายาใดจะมาสู้กับสติปัญญาของเราได้ เราพูดได้เต็มปากท้าทายกิเลสได้เต็มหัวใจ ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาอาจเอื้อมได้ หมดปัญหา หาความสุขหาที่ไหน นี่ละความสุขอยู่จุดนี้ บรมสุขก็อยู่ที่จุดนี้ ที่จะเป็นความสุขความสะดวกสบายในภพน้อยภพใหญ่ที่เราไป ก็เป็นอยู่ในการชำระจิตใจ ในการบำเพ็ญคุณงามความดี เพื่อเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้ได้ไปในภพชาตินั้น ๆ สุดท้ายก็เป็นบรมสุขด้วยการปราบกิเลสให้ราบจากหัวใจไม่มีเหลือเลย นั่นแหละเป็นบรมสุข
ไม่ถามที่นี่ เรื่องเป็นเรื่องตาย ตายเมื่อไรตายที่ไหน ตายแล้วจะไปเกิดไหนภพใดชาติใดไม่ถามไม่ยุ่ง อิ่มพอตัวแล้ว นิพพานที่เคยอยากมาอย่างเต็มหัวใจก็ไม่อยาก อยากอะไรก็อิ่มแล้ว เหมือนอย่างเรารับประทานอาหาร เราหิวข้าว เราหิวอาหารเรารับประทาน เมื่อรับประทานเต็มที่แล้วอิ่มพอกับความต้องการของธาตุแล้วจะไปหิวอะไรอีก อยากนิพพานก็คืออยากสิ้นกิเลส เมื่อสิ้นแล้วจะไปอยากหาอะไรอีก
ความอยากคือเรื่องของกิเลส ความอยากคือเรื่องความหิวโหยเป็นสิ่งที่กวนใจเสมอ แม้ไม่ใช่เรื่องของกิเลส ความอยากไปนิพพานไม่ใช่เรื่องของกิเลส แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับความลำบากเหมือนกัน เป็นความหิวโหยเป็นความกระทบกระเทือนต่อใจ ความอิ่มพอความพอตัวนั้นแหละเป็นความไม่กระเพื่อม เป็นความปกติโดยหลักธรรมชาติ เรียกว่า ปรมํ สุขํ อยู่ที่ตรงนั้นไม่อยู่ที่อื่น
พระพุทธเจ้าสอนเข้ามาในจุดนี้อยู่แล้ว ทำไมจึงไม่มองดูหัวใจตัวเอง มองดูซิมันมีอะไรอยู่ตรงนั้น หน้าที่การงานอะไรก็ไม่มี มีแต่งานฆ่ากิเลสอย่างเดียว ทำไมกิเลสไม่ตายแม้ตัวเดียว มิหนำซ้ำยังจะพอกพูนกิเลสให้เต็มภายในหัวใจไปอีก มันสมแล้วเหรอกับนักบวชนักปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส เราบวชมาเพื่อสั่งสมธรรมเพื่อเสาะแสวงหาธรรม ไม่ได้มาเสาะแสวงหากิเลส ทำไมกิเลสจึงเกิดขึ้นเต็มหัวใจ นั้นแหละคือการเสาะแสวงหาด้วยหลักธรรมชาติ ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเอง กิเลสมันก็เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ถ้าสติปัญญา ศรัทธาความเพียรของเรามีความเหนียวแน่นมั่นคงแล้ว กิเลสตัวไหนมันจะเหนียวแน่นยิ่งกว่าธรรมเหล่านี้ล่ะ มันก็ต้องหมดต้องสิ้นไป
เอาให้จริงให้จังเราเป็นนักปฏิบัติ อย่าท้อถอยอ่อนแอ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล เป็นเรื่องที่จะลากคอเราลงไปตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย อยู่ในป่าช้าอันโลกวัฏจักรไม่มีสิ้นสุดลงได้เลย เราไม่กลัวเลย ตั้งแต่จะตายในชาตินี้เรายังกลัวอยู่แล้ว ไม่อยากตาย เพราะเหตุไรไม่อยากตาย เหมือนจะสิ้นจะสุดไปหมด อะไรจะสิ้นสุด มันเคยเกิดเคยตายมากี่ภพกี่ชาติแล้วไม่เห็นสิ้นสุด มันยังเกิดได้ให้เห็นประจักษ์อยู่ในตัวของเรานี้ มันสิ้นมันสุดได้ยังไง แล้วมันตายไปนี่อีกแล้วมันก็จะไปสูญได้ยังไง เมื่อเชื้อที่พาไม่ให้สูญมี พาให้มีภพมีชาติยังมีเพราะเชื้ออันนั้น ดับเชื้อลงไปแล้วเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์นั้นสูญได้ยังไง ถ้าสูญแล้วเอาอะไรมาบริสุทธิ์ นั่นฟังซิ เอาให้จริงจังให้ถึงเหตุถึงผล
หลักธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็กพอจะมาหลอกลวงโลก เอาให้ถึงของจริง ปฏิบัติจริงก็ต้องรู้จริงเห็นจริง รู้ที่หัวใจนี้แหละ ธรรมจะมีอยู่ทั่วไปในโลกก็ตาม แต่ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องสัมผัสธรรมแล้วธรรมก็เหมือนไม่มี เช่นเดียวกับรูป กับเสียง เป็นต้น มีอยู่ในโลก ถ้าไม่มีตามีหูเป็นเครื่องรับฟังเป็นเครื่องสัมผัสสัมพันธ์แล้ว รูปหรือเสียงเหล่านั้นก็ไม่มีความหมาย แม้จะมีก็เหมือนไม่มี
ธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกมาเป็นเวลานานก็ตาม มีใจเท่านั้นจะเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์รับทราบธรรมหนักเบามากน้อย ถ้าใจไม่สามารถรับธรรมแล้ว ธรรมก็ไม่มีความหมายสำหรับบุคคลคนนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องปฏิบัติตัวของเราให้ได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรม หนักเบามากน้อยเพียงไร ให้เราทราบตั้งแต่หยาบถึงขั้นละเอียด ท่านกล่าวไว้แล้วว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การเห็นสมณะเป็นมงคลอันสูงสุด
เห็นสมณะหมายถึงที่ไหน เราต้องน้อมเข้ามาสอนตัวเราซี สมณะได้แก่ความสงบ การเห็นสมณะก็หมายถึงใจเราเห็นความสงบของใจเรานั่นเอง สติปัญญาของเราเห็นความสงบของเรา ความสงบเย็นใจของเรา สมณะที่ ๑ ได้แก่พระโสดา สมณะที่ ๒ ได้แก่สกิทาคา สมณะที่ ๓ ได้แก่พระอนาคา สมณะที่ ๔ ได้แก่พระอรหัตบุคคล อยู่ที่ไหนสมณะทั้ง ๔ นี้ถ้าไม่อยู่ในบุคคล ถ้าไม่อยู่ในผู้ปฏิบัติจะอยู่ที่ไหน ไม่มีที่อยู่ การเห็นสมณะถ้าไม่เห็นที่ใจไม่มีที่เห็นไม่มีที่รู้ รู้ที่ใจ
เพราะใจเป็นตัวฟุ้งซ่าน ใจเป็นตัวมัวหมอง ใจเป็นตัวมืดตื้อด้วยอำนาจของกิเลส ใจจึงควรได้รับการซักฟอกด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรให้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาแล้ว รับได้ทั้งสมณะที่ ๑ สัมผัสได้ทั้งสมณะที่ ๒ รับทราบได้ทั้งสมณะที่ ๓ เป็นเจ้าของได้ทั้งสมณะที่ ๔ คือ อรหัตบุคคล อรหัตจิตเต็มภูมิ นั้นแหละที่นี่เรียกว่าเป็นผู้ได้รับธรรมเต็มภูมิ เห็นธรรมเต็มภูมิ บรรจุธรรมเต็มใจ หายสงสัยคำว่าสมณะ สมณานญฺจ ทสฺสนํ เมื่อได้เห็นสมณะภายในหัวใจของตนเต็มภูมิ ๆ แล้ว เป็นมงคลอันสูงสุดภายในบุคคลคนนั้น ภายในใจดวงนั้น นี่ละมงคลอันสูงสุดอยู่ที่สมณะภายในหัวใจ จงชำระจิตใจนี้ให้ใสสะอาดปราศจากทุกสิ่งทุกอย่างบรรดาที่เป็นข้าศึกต่อใจ กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมา นี่เป็นสมณะอันเอกแหละ มีอยู่ที่นี่
แล้วคำว่าธรรมมีมาในโลกดั้งเดิม มีมาเป็นเวลานาน ใครจะเป็นผู้รับทราบ ใจดวงนี้แหละเป็นผู้รับทราบ ธรรมประเภทใด ดังที่กล่าวมาแล้ว สมณธรรมความสงบ ตั้งแต่โสดา สกิทา อนาคา ถึงอรหัตธรรม เป็นใจดวงเดียวนี้เท่านั้นผู้ที่จะรับทราบ ผู้ที่จะเป็นเจ้าของ ผู้ที่จะสัมผัสสัมพันธ์ธรรมขั้นนั้น ๆ จนถึงขั้นหลุดพ้นจะหลุดพ้นที่ใจ รู้ที่ใจ เห็นที่ใจ ใจเป็นเจ้าของแห่งความหลุดพ้น หมดปัญหากันที่ใจ รื้อภพรื้อชาติการเกิดแก่เจ็บตายรื้อที่ใจ รื้อกิเลสตัณหาออกจากใจแล้วก็เท่ากับรื้อภพรื้อชาติออกจากใจ หายสงสัย ใจเป็นอิสระเสรี สมกับใจเรียกร้องหาเจ้าของซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกับใจโดยแท้
นี่เราเป็นผู้รับผิดชอบในตัวของเราทุกคน จงเห็นตัวเราเป็นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แล้วจะเกิดความสนใจปฏิบัติต่อเจ้าของ ผลก็คือความร่มเย็นเป็นสุข ขอให้ทุกท่านนำไปประพฤติปฏิบัติ การแสดงธรรมมีหนักบ้างเบาบ้าง ให้พากันนำไปแยกแยะไปพินิจพิจารณา ที่สำคัญก็ดังที่กล่าวเบื้องต้นนั้นแหละว่า กิเลสไม่มีประเภทใดจะสุภาพอ่อนโยน พอที่เราจะแก้กิเลสชำระกิเลสด้วยความสุภาพอ่อนโยน กิเลสเป็นตัวสำคัญทั้งนั้น เหมือนยักษ์เหมือนผีบนหัวใจเรา เพราะฉะนั้นการต่อสู้กับกิเลสจึงเป็นกิริยาเหมือนยักษ์เหมือนผี ฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลส กิเลสจะตายไปด้วยวิธีการนั้น ฉิบหายไปด้วยวิธีการนั้นไม่ใช่วิธีการอื่น จงพากันจำไว้ให้ถึงใจ
เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร |