โลกันตรนรกภายในจิต
วันที่ 27 มีนาคม 2525 เวลา 19:00 น. ความยาว 67.45 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕

โลกันตรนรกภายในจิต

 

        สิ่งที่เป็นข้าศึกทั้งลี้ลับทั้งเปิดเผยแก่สัตว์โลก ไม่มีอะไรเกินกิเลส ผู้ที่จะสามารถรู้แจ้งแทงทะลุและตัดขาดสะบั้นออกจากจิตใจ อันเป็นที่ซ่องสุมที่เกิดที่อยู่ที่ก่อกวนของกิเลสได้นั้น มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นในขั้นเริ่มแรก นอกนั้นไม่มีใครสามารถฉลาดรู้ทันกลมายาของมันได้เลย ด้วยเหตุนี้โลกจึงยอมจำนนต่อมัน โดยไม่มีข้อคิดใดๆ ที่จะนำมาคัดค้านมันได้ว่าเป็นภัย จะแสดงออกมาในกิริยาท่าทางอันใด ส่วนชั่วส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด ที่จะให้เป็นความรื่นเริงบันเทิงหรือความเสียอกเสียใจ แสดงผลเป็นความทุกข์ร้อนขึ้นมา ก็มีแต่เรื่องมันครอบไว้หมดไม่ให้ทราบเรื่องโทษของมันบ้างเลย ธรรมชาตินี้จึงเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมากที่สุด ตามหลักธรรมชาติของมัน

        หากพระพุทธเจ้าไม่มาอุบัติตรัสเทศนาสั่งสอนสัตว์โลกแล้ว ก็ประหนึ่งว่าอยู่ในโลกันตรนรก คำว่าโลกันตรนรกนั้นยังมีกาลมีเวลาที่จะหลุดพ้น หรือผ่านพ้นขึ้นมาได้ เช่นว่านักโทษติดคุกตลอดชีวิตก็ยังมีผ่อนผันกันมาได้ไม่ตลอดจริงๆ เวล่ำเวลาเป็นสิ่งที่ตัดทอนเข้ามา ทางโลกเขาถือว่าได้ทำความดีความชอบในความเป็นนักโทษของตนต่อประเทศชาติบ้านเมือง ย่นเข้ามา ผ่อนเบาโทษนั้นเข้ามา แทนที่จะติดตลอดชีวิตดังที่ตัดสินไว้นั้นเลยกลับกลายพ้นออกมาได้

        ส่วนโลกันตรจิตที่มืดมิดไปด้วยกิเลสประเภทต่างๆ ครอบงำอยู่ตลอดเวลานี้ หากไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงแนะนำสั่งสอนแล้ว  จะไม่มีวันผ่านพ้นไปได้เลย ไม่เหมือนโทษตลอดชีวิตของนักโทษในเรือนจำ ผิดกันอยู่มาก สิ่งที่ครอบนี้ละเอียดเกินกว่าความรู้ธรรมดาของเราที่ไม่มีอรรถมีธรรมเป็นเครื่องพิสูจน์ จะไม่มีทางทราบได้ตลอดไป  ด้วยเหตุนี้ที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์นั้น  จึงเป็นมหามงคล เป็นความอัศจรรย์แก่โลกจนหาประมาณไม่ได้   เพราะจะทรงเป็นผู้รื้อถอนโลกให้พ้นจากโลกันตรนั้นขึ้นมาได้เป็นพัก ๆ หรือเป็นวรรคเป็นตอน  จนหลุดพ้นไปได้ตามกำลังของผู้นั้นจะตะเกียกตะกายได้มากน้อยเพียงไร  ความช้าความเร็วย่อมเป็นไปตามนั้น เพราะการได้ยินได้ฟังพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนไว้ แม้จะทรงสั่งสอนด้วยพระโอษฐ์ก็ดี หรือที่จดจารึกในคัมภีร์ใบลานอันเป็นแบบเป็นฉบับสืบเนื่องมาจากพระองค์ก็ดี

        หากไม่ได้ยินได้ฟังธรรมที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็เรียกว่าไม่มีหวัง  แต่เมื่อได้ยินได้ฟังนี้แล้วก็ค่อยหลุดลอยขึ้นมาโดยลำดับ เพราะฉะนั้นคำว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้วในโลกนี้จึงเป็นเหมือนธรรมชาติที่อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วเพื่อประโยชน์แก่โลก เพราะคำว่าพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้วกับธรรมธรรมชาติที่สว่างกระจ่างแจ้ง ส่องทางให้สัตว์โลกได้เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน  พระสงฆ์ได้เกิดขึ้นแล้วก็คือสักขีพยานแห่งพระโอวาทของพระพุทธเจ้าผู้ทรงสั่งสอนเป็นลำดับลำดามา  เรียกว่าพระสงฆ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ๆ ในโลก  นี่คือผลแห่งการแสดงของพระองค์

        นี่เราจะว่าอุบัติขึ้นมาในเพศของพระก็ไม่ผิด เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ก็เหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไปไม่มีอะไรแปลก อุบัติขึ้นมาในความเป็นนักบวชนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากในบุคคลแต่ละคน เพราะได้เข้าสู่วงศาสนธรรมอันถูกต้องดีงาม หรือเป็นสถานที่เป็นแหล่งที่จะซักฟอก สิ่งที่ไม่มีคุณค่าและเป็นโทษทั้งหลายนั้น  ให้ค่อยจืดจางหรือเสื่อมคลายหายไปโดยลำดับลำดา  จิตเริ่มมีคุณค่ามีราคาขึ้นมา เพราะอำนาจแห่งความซักฟอกของธรรม

        นี่เราที่ได้บวชมาในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีหน้าที่การงานซึ่งจะทำได้โดยสมบูรณ์  ไม่มีอะไรขัดข้องยุ่งเหยิงเหมือนฆราวาสเขา  เป็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการที่จะบำเพ็ญตนให้ถูกต้องดีงามโดยลำดับจนถึงจุดหมายปลายทาง  ตามทางของศาสดาที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม ด้วยเหตุนี้จึงมีนักบวชเท่านั้นที่เป็นผู้มีความสะดวกในการปราบปราม หรือห้ำหั่นกับกิเลสทั้งหลายภายในจิตใจของตนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย  ถ้าไม่ปล่อยให้ความขี้เกียจขี้คร้านอันเป็นเรื่องของกิเลส ความท้อถอยอ่อนแออันเป็นเรื่องของกิเลสเข้ามาทำงานเสีย ในขณะเดียวกันกับเจตนาที่ว่าจะบำเพ็ญธรรมนั้นเท่านั้น

        พระวินัยก็ดี พระธรรมก็ดี เป็นทั้งทางเดินทั้งรั้วกั้นไม่ให้ปลีกแวะ  เช่นพระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทางไว้  ธรรมเป็นทางสายกลาง เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา  พระวินัยเป็นรั้วกั้นไว้ทั้งสองฟากไม่ให้ข้าม หรือปลีกแวะออกไปปีนรั้วปีนราวคือหลักธรรมหลักวินัย อันเป็นสวากขาตธรรมด้วยกันทั้งนั้น การทำรั้วไว้ด้วยศีลก็คือการปิดกั้นทางที่จะผิดเป็นโทษเป็นภัยแก่ผู้เดินทางนั้น ไม่ให้ปีนออกไปสู่ภัยสู่อันตรายทั้งหลายอันจะนำมาซึ่งโทษ และดำเนินตามสายทางคือมัชฌิมาเป็นลำดับลำดา ไม่ปลีกแวะจากหลักมัชฌิมานี้ ด้วยความอุตส่าห์พยายามไม่ลดละท้อถอย อย่างไรต้องถึงจุดที่หมายปลายทางโดยไม่ต้องสงสัย

        ผู้จะถึงจุดหมายปลายทางคือผู้เช่นไร ถ้าพูดถึงเพศก็คือเพศนักบวช จะเป็นผู้ถึงจุดหมายปลายทางได้สะดวกยิ่งกว่าประชาชนทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธด้วยกัน  เพราะสมณะไม่มีกิจการงานยุ่งเหยิงวุ่นวายหลายด้านหลายทางเหมือนฆราวาส มีหน้าที่การงานอันเดียวคือการบำเพ็ญตนการชำระตนเท่านั้นในอิริยาบถต่าง ๆ ปัจจัยเครื่องสนับสนุนก็มีพร้อมมูลอยู่แล้ว ไม่ทำให้เกิดความขัดข้องยุ่งเหยิงด้วยปัจจัยทั้งหลายเพราะพร้อมแล้ว มีแต่หน้าที่ของเราที่จะดำเนินตามหลักธรรมหลักวินัยไม่ให้ปลีกแวะ ตามสายทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทานี้เท่านั้น

        เราต้องมีความหมายมั่นปั้นมืออยู่ภายในตัวของเรา และเชื่อมั่นในตัวเองเสมอที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทางด้วยข้อปฏิบัติของตน คือ ฉันทะ วิริยะ  จิตตะ วิมังสา เป็นสำคัญ มีความพอใจในงานของตนที่ทำ คือ การดำเนินตามหลักมัชฌิมา  วิริยะ พากเพียรโดยสม่ำเสมอไม่ลดละท้อถอย จิตตะ มีความฝักใฝ่ใส่ใจอยู่กับงานนั้น  ไม่ถืองานใดเป็นสาระสำคัญยิ่งกว่างาน คือการบำเพ็ญของตนเกี่ยวกับเรื่องสมาธิ ปัญญา วิมังสา อย่าได้ปราศจากความไตร่ตรองพินิจพิจารณา  จะทำอะไรควรใช้ปัญญาเสมอไม่ว่ากิจนอกการใน  นี่ก็เป็นธรรมที่จะให้ถึงจุดที่หมายได้ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่ก็เช่นเดียวกัน ศรัทธาความเชื่อมั่นต่อมรรคผลมีแล้ว ให้มีความเชื่อมั่นต่อความเพียรของตนอันเป็นวิธีก้าวเดิน  วิริยะก็เหมือนกัน

        สติเป็นของสำคัญ อย่าให้เหินห่างจากตัว อย่างน้อยให้รู้สึกอยู่กับตัว มากกว่านั้นจุดใดที่เรากำลังพิจารณาหรือกำลังภาวนา ให้รู้อยู่ที่จุดนั้น สมาธิอันเป็นผลจากความพากเพียรเหล่านี้จะไม่เป็นอื่น ต้องเป็นความเหนียวแน่นมั่นคงขึ้นมาภายในจิตใจดวงที่เคยวอกแวกคลอนแคลนนั้นแล  ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพินิจพิจารณาเสมอในกาลเวลาที่ควรจะพิจารณา อย่าไปคิดคาดถึงขั้นสมาธิขั้นนั้นจะใช้ปัญญาขั้นนี้จะใช้ปัญญา ถึงเวลาจะใช้ปัญญาให้ใช้  ปัญญากับสมาธิอยู่ในจิตดวงเดียวกัน  เป็นอาการของจิตด้วยกัน ที่จะซักฟอกหรือตัดฟันกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งหุ้มห่อภายในจิตใจนี้ให้ขาดไปได้โดยลำดับเช่นเดียวกัน  จึงไม่ควรคิดถึงสมาธิขั้นนั้นขั้นนี้ที่จะก้าวเดินทางด้านปัญญาให้มากไปกว่ากาลเวลาที่เหมาะสม ซึ่งควรจะทำจิตให้เป็นสมาธิหรือจะก้าวเดินทางด้านปัญญา

        เพศของพระนี้เป็นเพศที่แน่นอน เป็นเพศแห่งนักรบอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว  ให้มีความเชื่อมั่นในตน พระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ยิ่งหย่อนกว่ามนุษย์ทั้งหลายในความเป็นมนุษย์สมบัติ เราก็ไม่ได้วิกลวิการอะไรในเครื่องมือที่จะนำมาใช้สำหรับอรรถธรรมแก้กิเลสทั้งหลาย มีอย่างเดียวกันกับท่าน เพศของพระนี้กับเพศของพระในครั้งพุทธกาล ก็เป็นพระสมบูรณ์แบบตามหลักสากลนิยมเช่นเดียวกัน แล้วธรรมทั้งหลายที่ประทานไว้แล้วก็เป็นธรรมที่เหมาะสมตลอดเวลา ไม่มีธรรมข้อใดที่ล้าสมัยซึ่งจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ไม่ได้ เป็นธรรมที่พร้อมเสมอซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ได้โดยลำดับลำดาของผู้บำเพ็ญ

        ส่วนมากมักจะมีแต่กิเลสเข้ามาเหยียบย่ำทำลาย ไม่ให้คิดถึงดีถึงชั่วอะไรได้เลย คิดไปตามเรื่องของกิเลสนี้เป็นสำคัญมาก ในวันหนึ่งคืนหนึ่งจึงไม่ปรากฏผลที่พึงหวังพอเท่ากับแสงหิ่งห้อยบ้างเลย ก็เพราะมีแต่กิเลสทำงานบนหัวใจเราทั้ง ๆ ที่กำลังทำความพากเพียรอยู่นั้นแล  นี่เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องคิดเสมอ

        กิเลสทุกประเภทมีประเภทใดบ้างที่ล้าสมัยใช้ไม่ได้  ให้เราคิดอย่างนี้สำหรับนักธรรมะที่จะฆ่ากิเลส เราอย่าไปคิดถึงอรรถธรรมซึ่งเป็นของจริง ที่จะนำมาฆ่ากิเลสให้แหลกละเอียดไปนั้น  ว่าเป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัย  พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนานเท่านั้นเท่านี้  ธรรมที่สอนไว้นี้สอนไว้แล้วตั้งแต่ครั้งโน้นจนกระทั่งบัดนี้  เป็นสิ่งที่ครึเป็นสิ่งที่ล้าสมัย นี่เป็นกลมายาของกิเลสที่เข้าทำลายธรรม  ในขณะเดียวกันก็เข้าทำลายความเชื่อความเลื่อมใส เข้าทำลายความพากเพียรของเรา และเข้าทำลายมรรคผลนิพพานอันจะพึงเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเราโดยไม่ต้องสงสัย นี้แหละกลมายาของกิเลสมันแทรกเข้ามาอย่างนี้

        ส่วนกิเลสเองมีตัวไหนตั้งแต่ครั้งใดๆ มาก็ตาม ว่าเป็นกิเลสที่ครึที่ล้าสมัยใช้ไม่ได้แล้ว อย่านำกิเลสประเภทนั้น ๆ มาใช้ ประเภทนั้นล้าสมัยไปแล้ว เก่าแก่คร่ำคร่าชราหลุดลอยไปหมดแล้วอย่านำมาใช้ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เคยมี กิเลสตัวใดแสดงออกมานี้กล่อมได้ทั้งนั้น ทำให้เกิดความทุกข์เป็นพิษเป็นภัยได้ด้วยกัน ตั้งแต่สมัยโน้นจนกระทั่งสมัยนี้ แล้วยังจะเป็นอีกต่อไปมากน้อยเพียงไร ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเลย มันผลิตขึ้นมาเป็นกิเลสได้ทุกขณะทุกเวล่ำเวลา และผลิตผลทุกข์ให้เกิดแก่สัตว์โลกตลอดไป  จึงเรียกว่าโลกันตรจิตโลกันตรนรก อยู่ภายในจิตใจของเราที่ถูกกิเลสมันครอบให้มืดมิดปิดตานี้แล ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย

        เหล่านี้เป็นของปลอมทำไมเราจึงเชื่อ เพราะมันกล่อมจิตนั้นให้จิตปลอมไปตามมัน จิตทั้งดวงเลยกลายเป็นจิตปลอมไปตามกิเลสหมด เพราะฉะนั้นกิเลสกระดิกพลิกแพลงออกในท่าใดจึงเป็นไปตามเรื่องของกิเลส โดยไม่คำนึงว่าถูกว่าผิดดีชั่วประการใด นี่ละที่มันไม่ทันกัน เพราะกิเลสหนาแน่นมันมืดมิดปิดตา มันให้กระดิกพลิกแพลงไปด้วยอำนาจของมันทั้งนั้น ไม่ได้กระดิกพลิกแพลงจิตใจออกไปด้วยอำนาจแห่งธรรมเลย

        นี่เรามาบวชในพุทธศาสนาแล้ว นำธรรมเข้าสู่ใจ  ตั้งแต่เริ่มแรกเจตนาที่จะบวชก็เป็นธรรมอยู่แล้ว ได้บวชมาแล้วเห็นประจักษ์ตนก็เป็นธรรมขั้นหนึ่ง จากนั้นก็ประพฤติปฏิบัติรักษาตามสิกขาบทวินัยตลอดถึงธรรมในแง่ต่างๆ นำเข้ามาประยุกต์กันกับกิเลส จะมีธรรมข้อใดบทใดบาทใดว่าเป็นของปลอม  ธรรมเป็นของจริงพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ด้วยสวากขาตธรรมล้วนๆ อยู่แล้ว และเป็นนิยยานิกธรรมอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับกิเลส ถ้านำมาปราบกิเลส กิเลสจะต้องหลุดลอยไปเช่นเดียวกันหมดทุกประเภทแห่งธรรม  ขอให้นำมาใช้นำมาประพฤติปฏิบัติ  อย่าให้เสียเวล่ำเวลา อย่าให้กิเลสหลอกอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน จะหาสาระตามเจตนาของตนไม่ได้

        ถ้านักบวชเราไม่สามารถปฏิบัติตนให้เป็นไปได้ตามความมุ่งหมายแล้ว ใครในโลกนี้จะปฏิบัติได้ คำว่าอำนาจวาสนามีอยู่ที่ไหนถ้าไม่มีอยู่ที่เราซึ่งเป็นนักบวชและกำลังบำเพ็ญอยู่เวลานี้ เราจะไปหาอำนาจวาสนาที่ไหน ก็หาจากหรือเพิ่มพูนขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่ลดละความพากเพียรในทางความดีทั้งหลายนั้นแล ท่านเรียกว่าการสั่งสมอำนาจวาสนา เมื่อสั่งสมไปนานอำนาจก็มีมาก อำนาจของธรรม สติก็แก่กล้าปัญญาก็รวดเร็ว วิริยะความพากเพียรก็เพียรได้เป็นอัตโนมัติ เมื่อถึงขั้นที่จะเป็นไปได้  นี่คือความแก่กล้าในทางธรรม

        ธรรมมีความแก่กล้าก็ต้องมีความสามารถฉลาดรู้ ทันกลมายาของกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งเคยปกปิดหรือครอบงำจิตใจให้มืดมิดปิดตามาเป็นเวลานาน จะกี่กัปกี่กัลป์ก็ตามเถอะ  เช่นเดียวกับความมืดที่มีอยู่ประจำโลกนี้ จะมืดมานานเพียงไรก็ตาม พอเปิดไฟขึ้นเท่านั้นความมืดจะกระจายหายไปหมด เหลือแต่ความสว่างล้วน ๆ เท่านั้น  นี่ก็เช่นเดียวกันกิเลสจะเคยครอบงำหัวใจมาอย่างมืดมิดปิดตาย หาทางออกทางเข้าไม่ได้ก็ตาม เมื่อได้นำสติปัญญาศรัทธาความเพียร อันเป็นเหมือนดวงไฟที่สว่างจ้าเข้ามาใช้กำจัดกิเลสแล้ว ความมืดบอดทั้งหลายจะต้องค่อยกระจายตัวออกไป สุดท้ายก็สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นที่ใจดวงนี้ โดยไม่ต้องหาเวล่ำเวลาที่ไหนมาตัดสินกัน

        ปัญญานี้แลเป็นเครื่องตัดสิน ความเพียรของเรานี้แลเป็นเครื่องตัดสินกันกับกิเลสทั้งหลาย พระพุทธเจ้าท่านนำอันนี้มาตัดสินกับกิเลส  ท่านไม่ได้เอากาลไม่ได้เอาสถานที่เวล่ำเวลา ไม่ได้คำนึงถึงวาสนามากวาสนาน้อยอะไรมากยิ่งกว่าการเข้ารบฟันหั่นแหลกกันกับกิเลสที่จะให้หลุดลอยไปเท่านั้น จนกระทั่งกิเลสได้หลุดลอยไป เพราะอำนาจแห่งความเพียรของพระองค์  แล้วได้มาสั่งสอนพวกเราทั้งหลาย

        ต่างองค์ต่างมาอบรมศึกษาขอให้คิดในเรื่องของตัวโดยเฉพาะๆ อย่าเอาเรื่องอื่นใดหรือของบุคคลผู้ใด ที่เห็นว่าไม่เป็นสิริมงคลอันจะเป็นข้าศึกต่อตน อย่างน้อยเป็นข้าศึกต่อตน อย่านำมาใช้อย่านำมาคิด ให้คิดในวงของตัวเองที่จะเป็นอรรถเป็นธรรม คิดเรื่องของผู้ใดก็ให้เป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรม เป็นเรื่องฆ่ากิเลสไปในตัว อย่าคิดเรื่องสั่งสมกิเลสขึ้นมาเผาลนหัวใจตนเอง  จะเป็นเทวทัตทำลายตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว

        การอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ กิริยาท่าทางหูตาจมูกลิ้นกาย ย่อมมีการยักย้ายผันแปรไปต่าง ๆ ตามความเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ไม่ใช่คนตาย ต้องมีการแสดงออกเป็นธรรมดา  ผู้มาศึกษาต้องเป็นผู้ใช้สติปัญญาโดยทางธรรม อย่านำโลกมาใช้จะเป็นการทำลายตัวเอง นอกจากนั้นก็ทำให้กระทบกระเทือนแก่หมู่แก่คณะที่อยู่ด้วยกันให้หาความผาสุกไม่ได้ เพราะความคิดนั้นผิด ปล่อยให้กิเลสเข้าย่ำยีตีแหลกภายในจิตใจของตนแล้ว ยังตีแผ่กระจายออกไปภายนอกให้ระบาดออกไป กลายเป็นเรื่องความกระทบกระเทือน  นี่คือเรื่องของกิเลสทั้งมวลให้คิดให้ทราบให้รู้โทษของมัน

        เวลานี้เรามาชำระตนเอง เรามาแก้ตัวของเรา อย่าไปสนใจแก้ผู้หนึ่งผู้ใดให้เป็นไปอย่างนั้นให้เป็นไปอย่างนี้ ยิ่งกว่าจะแก้ความคิดผิดของตนซึ่งออกนอกลู่นอกทาง อันแสดงอยู่ภายในจิตนี้ ให้เห็นชัดเจนกันตรงนี้และแก้กันตรงนี้ จะชื่อว่าเป็นผู้มาศึกษาอบรมอรรถธรรมโดยแท้  เรื่องคิดภายนอกเกี่ยวกับคนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้ นั่นเป็นนิสัยของกิเลสที่เคยฝังจมมาเป็นเวลานาน  มาบวชเป็นพระแล้วมันก็ยังต้องเป็นต้องติดตามมาด้วย เพราะมันไม่ได้บวช  ใครจะบวชสักเท่าไรก็ตามกิเลสต้องเป็นกิเลสวันยังค่ำถ้าไม่แก้ไม่ตก ถ้าไม่ทำลายไม่แตก ต้องทำลาย

        ผู้ปฏิบัติต้องดูหัวใจของตัวเอง ความเคลื่อนไหวในแง่ใดให้ทราบให้ทันความกระเพื่อมของจิตที่คิดออกไปในแง่ใดทางใดดีชั่วประการใด จึงชื่อว่าผู้ปฏิบัติ เพื่อจะให้ทันเรื่องของกิเลสที่ละเอียดแหลมคมมาก จึงต้องได้สั่งสมสติปัญญาขึ้นให้เพียงพอ พอที่จะได้ทราบกิเลสประเภทนั้นๆ โดยลำดับลำดาไป จนกระทั่งทราบโดยตลอดทั่วถึงและทะลุปรุโปร่งทำลายไปได้หมดไม่มีเหลือภายในใจ ยิ่งจะทราบได้ชัดที่นี่เรื่องอาการของจิตที่มีกิเลสเป็นผู้ผลักดันออกมาให้คิดให้ปรุง ให้สำคัญมั่นหมายในเรื่องต่างๆ นั้น กับความคิดปรุงของจิตที่ออกมาเป็นขันธ์ล้วนๆ ต่างกันมากน้อยเพียงไร จะทราบได้หมดโดยตลอดทั่วถึง

        ขันธ์ที่มีกิเลสเข้าแทรกมีกิเลสเป็นผู้บงการ ย่อมจะแสดงออกมาในทางกิเลสทั้งมวล ไม่มีอันใดที่จะแสดงออกมาเป็นธรรม เพราะกิเลสกับธรรมเคยเป็นข้าศึกกันมาแต่กาลไหนๆ แล้ว เมื่อได้ชำระกันจนกระทั่งหมดเชื้อที่จะผลักดันออกมาไม่มีแล้ว แม้ขันธ์จะมีอยู่ก็ตาม รูปมีอยู่ก็เห็นเป็นตามความจริงของรูป  ไม่ถือว่าเป็นเราเป็นของเราของเขาของใครทั้งนั้น

        เวทนา คือ ความทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นภายในร่างกาย ก็ทราบว่าเป็นความจริงอันหนึ่ง  ไม่เห็นว่าเวทนาคือความทุกข์นี้ไปให้โทษให้ภัยแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย ในตัวเองในธาตุในขันธ์นี้ ที่แสดงขึ้นมาในธาตุในขันธ์นี้ ทุกข์อันนั้นก็สักแต่ว่าทุกข์ที่ปรากฏขึ้นมาตามหลักธรรมชาติของตน และก็ไม่ทราบความหมายของตนอีกด้วย มีแต่จิตเป็นผู้ไปทราบ และไม่ยึดด้วยเมื่อรู้แล้ว  ก็เป็นสักแต่กิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น

        สัญญา ความหมายความจำก็สักแต่ว่าจำ ไม่ได้ฝังจิตฝังใจให้จิตใจนั้นลุ่มหลงไปตามสัญญา

        สังขาร ความคิดความปรุงก็เหมือนกัน เป็นแต่เพียงอาการหนึ่งๆ จึงเรียกว่าขันธ์ล้วนๆ ไม่มีอะไรเข้าเคลือบแฝง คือกิเลสประเภทต่างๆ ไม่มาเป็นเจ้าตัวการมาผลักดันมาใช้ขันธ์อันนี้ให้เป็นกิเลสไปตามตน เมื่อได้เห็นชัดทั้งขันธ์ที่เต็มไปด้วยกิเลสเป็นผู้บงการ และเห็นชัดทั้งขันธ์ที่ไม่มีกิเลสมาเป็นเจ้าบังคับการอยู่นั้นแล้ว ย่อมจะเห็นชัดโดยตลอดทั่วถึงว่าต่างกันอย่างไร

เวลานี้ขันธ์ของเราเป็นขันธ์นักโทษ ถูกกิเลสปกครอง ถูกกิเลสบังคับบัญชากดขี่ข่มเหงให้คิดให้ปรุงให้สำคัญมั่นหมายไปในทางใด เป็นไปตามมันทั้งนั้น ไม่มีแง่ต่อสู้ต้านทาน เพราะรู้ไม่ทันมัน ความคิดทั้งหมดจะผิดประการใดก็เข้าใจว่าความคิดนั้นเป็นของตน และเข้าใจว่าถูกเสมอไป นี่เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนี้ ต้องเข้าใจว่าถูกเสมอ เข้าฝ่ายตัวเสมอ เข้าฝ่ายตัวคือเข้ากิเลส กิเลสไม่ยอมเข้าฝ่ายใครนอกจากฝ่ายมันอย่างเดียวเท่านั้น

        ผู้ปฏิบัติจึงต้องให้ทราบ อันใดที่เป็นเรื่องเข้าฝ่ายตัวเองนั้น นั้นแลคือเรื่องกิเลสกอบโกยหาผลประโยชน์เข้ามาสู่ตนให้มีกำลังมากขึ้น ถ้าเข้ากับเหตุกับผลนั้นเป็นเรื่องธรรม และในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องปราบปรามกิเลสความเห็นแก่ตัวออกได้โดยลำดับ จึงมีความเสมอภาคภายในจิตใจ ให้ความเสมอภาคกับสิ่งทั้งหลาย ให้ความจริงตามส่วนนั้น ๆ ของสิ่งทั้งหลายสม่ำเสมอกัน ไม่ได้ข้องได้แวะกับสิ่งใดเลย นี่คือจิตที่พอตัว จิตที่รอบภายในตัวแล้วย่อมไม่ติดย่อมไม่พัน ย่อมไม่สำคัญมั่นหมายกับสิ่งใด ที่จะถือมาเป็นโทษเป็นภัยเผาลนตนเอง  และไปเผาลนผู้ใดผู้อื่นอีกต่อไป

        การปฏิบัติให้ดูจิตซึ่งเป็นตัวก่อเหตุอันสำคัญ อย่าไปดูคนนั้นอย่าไปดูคนนี้ อย่าไปคิดตีความหมายคนนั้นเป็นอย่างนั้น ตีความหมายคนนี้เป็นอย่างนี้  ให้ตีความหมายของความคิดความปรุงของตนที่มันแสดงออกมาด้วยความเป็นโทษโดยที่เราไม่รู้  ให้ใช้ปัญญาเข้าไปจดจ่อพิจารณาคลี่คลายดูตามเหตุการณ์ที่มันแสดงออกมา จะทราบไปโดยลำดับๆ แล้วมันจะระงับตัวลงไปไม่แสดงรุนแรง และต่อไปก็ระงับดับได้ พอปรุงขึ้นมาเรื่องใดก็ตามที่จะเป็นภัยแก่ตนเองย่อมทราบทันทีๆ และระงับดับกันลงได้ทันที นั่นชื่อว่าอุบายของธรรม อุบายของสติปัญญาทันกับกลมายาของกิเลส  กิเลสย่อมหมดอำนาจไปโดยลำดับ ๆ นี่การปฏิบัติตนให้ปฏิบัติอย่างนี้

        การที่ท่านแสดงว่ามองกันให้มองในแง่เหตุผล มองในแง่เมตตา  มองในแง่แห่งความให้อภัยกัน นั่นเป็นประเภทหนึ่งแห่งธรรม ประเภทอันสำคัญก็คือให้มองดูจิตของตน มันปรุงออกไปกับเรื่องใดกับบุคคลผู้ใด ดีชั่วประการใด ให้ดูตัวนี้ตัวก่อเหตุ แสดงออกมานี้กระเพื่อมออกมาที่นี่ พอกระเพื่อมออกไปแล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาแล้วกลับมาหลอกเจ้าของ นี่เป็นสำคัญ ให้ดูจุดนี้อย่าดูที่อื่นจึงชื่อว่าผู้ปฏิบัติ ดูจิตเป็นสำคัญกว่าอื่น

        การทำความพากเพียรอย่าทำพรวดพราดแบบโลกๆ แบบลวกๆ ใช้ไม่ได้ อย่าเอาเวล่ำเวลาเข้ามาเป็นใหญ่ กว่าความต้องการที่จะรู้จริงเห็นจริงจากความเพียรของตน  ไม่ว่าจะเป็นธรรมประเภทใด ที่เราต้องการอยากรู้อยากเห็นอยากให้เป็น ให้มีความหมายมั่นปั้นมือกับธรรมประเภทนั้นด้วยความเพียรของตนอย่าลดละ ดังที่เคยกล่าวอยู่เสมอว่าสมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี

ทำไมจิตจึงสงบไม่ได้  ถ้ามีความจริงจังต่อกันแล้วเป็นไปได้เหรอที่มันสงบไม่ได้  ก็คือไม่มีความจริงเท่ากับกิเลสที่มันทำเรานั่นเอง  มันทำพิษเรามันทำจริงทำจัง  กิเลสตัวไหนออกมาทำจริงทำจัง  ไม่ได้มีคำว่าเหลาะแหละเหมือนเราที่จะแก้กิเลสฆ่ากิเลสปราบปรามกิเลส  เราทำด้วยความเหลาะแหละไม่จริงไม่จัง  มีแต่ให้กิเลสย่ำยีเอาทุก ๆ ครั้งที่ต่อสู้กัน  หากมีการต่อสู้ แต่หมอบราบนี่สำคัญมากนะ มักจะมีแต่การหมอบราบโดยไม่รู้สึกตัว  กิเลสตัวใดออกมากล่อมก็หลับไปเลยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่นอนหลับมันก็หลับไปเลยในความเพียรนั้นแลนี่สำคัญ  ให้พิจารณาด้วยดี

        ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เลิศ ขอให้ได้ปรากฏขึ้นที่ใจเถอะ ไม่เคยรู้เคยเห็นก็ตามเห็นองค์พระศาสดา เห็นองค์ธรรมทั้งหลาย เห็นพระสงฆ์ จะเป็นสักขีพยานขึ้นอย่างเต็มตัวภายในจิตใจตามขั้นแห่งธรรมนั้นๆ  ถ้ายิ่งถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นเต็มดวงภายในใจ  ใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจแล้วเท่านั้น หาความสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไม่ได้เลย เพราะเป็นอันเดียวกัน นี่แหละที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคตเห็นตรงนี้  เพราะความจริงเป็นเครื่องยืนยัน

        ธรรมที่กล่าวมานี้อยู่ที่ไหน เวลานี้ถูกปิดหุ้มห่อหรือถูกกลบไว้อย่างสนิทจากกิเลสประเภทต่าง ๆ ธรรมชาตินี้จึงไม่ปรากฏออกมาได้  ความเพียรของเราก็คือการขุดคุ้ยสิ่งที่ปกคลุมหุ้มห่อนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะให้ของจริงนั้นเริ่มฉายแสงออกมา  เช่น สมาธิธรรม เป็นต้น เริ่มฉายแสงออกมาด้วยความสงบเย็นใจ  จากนั้นก็ฉายแสงออกมาด้วยความสงบแน่วแน่ ลำดับต่อไปก็ใช้ปัญญารื้อถอนสิ่งที่ปกคลุมหุ้มห่อด้วยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น  เพราะเหตุแห่งความลุ่มความหลงนั้นแลเป็นสำคัญ ไม่หลงไม่ยึด  ถ้ารู้แล้วไม่ยึด ถ้ารู้เป็นของจริงเต็มส่วนแล้วย่อมปล่อยเต็มภูมิไม่มีอะไรเหลือ แต่นี้ไม่รู้  จึงเรียกว่ากลมายาของกิเลสละเอียดมากที่สุด

        ท่านจึงสอนให้พิจารณาเปิดเข้าไป ๆ ถึงกาลเวลาพิจารณาทางด้านปัญญา  เวลาจะทำสมาธิให้จิตมีความสงบเยือกเย็นพอเป็นกำลัง หรือเป็นบาทแห่งวิปัสสนาก็ให้ทำ  เพราะธรรมทั้งสองนี้มีความเกี่ยวเนื่องหรือเกี่ยวโยงกันแยกกันไม่ออก  จิตไม่สงบจะพาพิจารณาอะไรจะได้เรื่องได้ราวอะไร  วิ่งโน้นวิ่งนี้เผ่นโน้นเผ่นนี้  เถลไถลอะไรจะเร็วยิ่งกว่ากิเลส นี่มันรวดเร็วมากตามไม่ทัน  จึงต้องได้ใช้อุบายวิธีการหลายอย่างตามแต่จริตนิสัยที่จะนำมาใช้

        ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาและมีอยู่ทั่วไป เราจะคิดจะค้นจะพิจารณาอะไรซึ่งเป็นเครื่องแก้เครื่องถอดถอนแล้วเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่จำเป็นจะต้องไปดูแต่ตำรับตำราคัมภีร์อยู่ตลอดเวลาถึงจะมาแก้กิเลสได้ กิเลสไม่เห็นมันไปมองดูคัมภีร์ ทำไมมันเป็นกิเลสออกมาทุกขณะที่แสดงขึ้นมาในหัวใจของเรา และเหยียบย่ำทำลายจิตใจของเราให้ชอกช้ำหรือขุ่นมัวไปได้ทุกๆ ขณะจิต ทุกๆ ขณะที่กิเลสทำงาน มีกิเลสตัวไหนไปมองดูตำรับตำราไม่เห็นมี ทำไมมันเป็นกิเลสขึ้นมาได้ทุกระยะ  การที่จะแก้กิเลสภายในจิตใจของเราด้วยอุบายสติปัญญาซึ่งก็มีอยู่แล้วในตำราทำไมเราจึงจะแก้ไม่ได้  อุบายของสติปัญญาประเภทต่างๆ ที่จะปรากฏขึ้นมาภายในจิตใจนั้นมันแล้วแต่อุปนิสัย หรือแล้วแต่จริตนิสัยของใครที่จะคิดจะค้นออกมาในแง่ใด ที่จะเป็นเครื่องฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลส เป็นใช้ได้ทั้งนั้น ให้นำมาใช้

        อย่าอยู่เฉย ๆ อยู่แบบลอย ๆ เลื่อน ๆ ลอย ๆ มาศึกษากับครูกับอาจารย์ก็ไม่เป็นท่าเป็นทาง  เอาแต่ความสะดวกสบายของกิเลสมาเหยียบย่ำทำลายตน  และเหยียบย่ำทำลายหมู่เพื่อนให้หนักอึ้งไปหมดทั้งวัดใช้ไม่ได้ ต้องมีความคล่องตัวนักปฏิบัติ อย่าอืดอาดเนือยนาย เรื่องของธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องมานอนใจมาประมาท เอานิสัยความขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอเข้ามาเหยียบย่ำทำลายตนและเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกัน มันหนักยิ่งกว่าอะไร  ภูเขาทั้งลูกอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ของมันไม่เคยมาทับมาถม  คนนี่ซิพระนี่ซิที่นำเรื่องนำราวเข้ามาเหยียบย่ำทำลายซึ่งกันและกัน อันนี้จึงหนักยิ่งกว่าอะไรเป็นภัยยิ่งกว่าสิ่งใด  จึงควรระวังตนด้วยกันทุกคน

        หัวใจมีทุกคน สติปัญญามีเพื่อทำความสงบร่มเย็นให้แก่ตน และเพื่อทำความสงบร่มเย็นให้แก่กันและกันทำไมเราจะทำไม่ได้  กิเลสทำไมมันผลิตขึ้นมาได้รวดเร็วนัก  เอามาแก้กันซิ  วันหนึ่งคืนหนึ่งรอบหนึ่งตามสมมุติก็ว่า ๒๔ ชั่วโมงมันไปอยู่ยังไงจิต มันทำงานอะไรถึงไม่ได้เรื่องได้ราวถ้าตั้งใจทำงานจริง ๆ ทำไมมันสงบไม่ได้ ถ้าไม่ถูกจูงจมูกจากกิเลสทั้งหลายอยู่ตลอดเวลาทำไมจะไม่เป็นธรรม

        ธรรมนี้สอนเพื่อความสงบร่มเย็นแท้ ๆ ในด้านสมาธิธรรมก็ดี  ด้านปัญญาท่านก็สอนเพื่อความเฉลียวฉลาดทำไมจึงไม่ฉลาด เป็นเพราะอะไร ถ้าไม่นอนอยู่เหมือนหมู นั่น ถ้าจะให้ฉลาดตลอดวันตายก็หาทางฉลาดไม่ได้เลย ปัญญาถ้าไม่นำมาคิดค้นอย่าเข้าใจว่าปัญญาจะเกิดขึ้นมาเอง ต้องใช้ต้องคิดต้องค้น สิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลานี่แล  เป็นสิ่งที่ปลุกสติปัญญาของผู้ที่จ้องมองที่พิจารณาอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย  แต่ถ้าแบบหลับหูหลับตาอยู่นั้นอะไรมาสัมผัสสัมพันธ์ จะถูกจนกระทั่งศีรษะแตกก็ไม่เห็นเพราะไม่มีตามอง นี่เพราะไม่มีปัญญาพิจารณาจึงโดนอยู่เรื่อย ๆ  มันเลยศีรษะแตกไปโน่นน่ะ มันก็ไม่เห็นไม่รู้

        ได้พูดให้ฟังอยู่เสมอว่าศาสนธรรมคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน สงสัยไปที่ไหน พร้อมเสมอที่จะแสดงผลให้เห็นแก่ผู้บำเพ็ญเหตุถูกต้องดีงามและสมบูรณ์เต็มที่ ผลจะแสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ประจักษ์ใจ  ไม่แสดงที่ไหนจะแสดงที่ใจ  คำว่าธรรมมีอยู่ในโลกก็คือใจดวงนี้แล จะเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์รับทราบธรรมทั้งหลายที่ว่ามีอยู่ๆ ส่วนอื่นๆ ไม่มีทางที่จะรับทราบได้  ตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นสภาพอันหนึ่งที่จะรับทราบ  เป็นเครื่องมือที่จะรับทราบในสิ่งต่างๆ ตามวิสัยของตน แต่ใจนี้สามารถรับทราบได้หมดไม่ว่าทางโลกทางธรรม  เฉพาะอย่างยิ่งคำว่าธรรมมีอยู่ใครจะเป็นผู้รับทราบ ใครจะเป็นผู้ยืนยัน แล้วธรรมนั้นจะเกิดขึ้นที่ไหน สัมผัสสัมพันธ์ที่ไหน นอกจากสัมผัสสัมพันธ์ใจและเกิดขึ้นที่ใจมากน้อย โดยลำดับของความสามารถของใจเท่านั้น เกิดขึ้นที่นั่น

        ให้พากันขะมักเขม้น เอาให้จริงจัง การจมอยู่ในกิเลสนี้ไม่มีใครวิเศษวิโสต่างกันอะไร เราเห็นกันอยู่แล้วนี่ หากจะวิเศษคนมีกิเลสทั้งโลกนี่ สามแดนโลกธาตุใครที่ว่าไม่มีกิเลสมีเมื่อไร ถ้าหากจะวิเศษวิโสก็วิเศษวิโสไปนานแล้ว ไม่มีใครจะต้องนอนจมและบ่นให้ทุกข์อยู่นี้ทั้งๆ ที่ไม่หาทางออก เราหาทางออกด้วยธรรมแท้ๆ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ให้พิจารณา

        นี่สอนแทบล้มแทบตายสอนหมู่สอนคณะสอนมาเป็นเวลานาน ไม่มีวี่ๆ แววๆ พอให้เห็นเหตุเห็นผลให้เป็นกำลังใจพอเป็นสักขีพยานบ้าง จะเรียกว่าไม่มีมันก็น่าจะพูดได้แล้วนี่ มันเป็นอะไร  ธรรมที่สอนนี้ไม่ได้สอนแบบลูบดำกำตามาสอนกัน  ไม่ได้สอนแบบกำดำกำขาวสอนแบบด้นเดา  สอนด้วยความถนัดจริง ๆ ทั้งฝ่ายเหตุที่ได้ผ่านมามากน้อยหนักเบาเพียงไร ก็ได้นำมาสอนหมู่เพื่อน ตลอดถึงผลหากจะเกิดขึ้นก็จะปิดอยู่ได้ยังไง  ก็ต้องนำมาสอนหมดดังที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว  มันไม่ถึงใจบ้างเหรอมันเป็นยังไง  สิ่งที่ถึงใจฝังใจมีแต่กิเลสเท่านั้นเหรอ  อย่างอื่นจะวิเศษวิโสกว่านั้นไม่มีแล้วเหรอถึงไม่สนใจ ถึงไม่ปฏิบัติ ถึงไม่เจอกัน

        ท่านว่าธรรมประเสริฐๆ อะไรเดี๋ยวนี้ประเสริฐ มีแต่กิเลสถือกิเลสประเสริฐ  เชื่อกิเลสมากยิ่งกว่าธรรมแล้วจะเห็นธรรมได้ยังไง ธรรมจะเกิดขึ้นได้ยังไง พอปรากฏขึ้นบ้างถูกกิเลสตบต่อยเสียทีเดียวแหลกไปๆ ถูกกิเลสเผาเสียแหลกไปหมด คำว่า ตปธรรมเลยไม่ได้เผากิเลส แล้วจะหาความวิเศษวิโสมาจากไหน  เกิดชาติใดก็ตามมันก็คือความทุกข์กองทุกข์อันเดียวกัน  คำว่าเกิดก็เกิดทุกข์พร้อม ๆ กันวิเศษวิโสอะไร  เกิดแก่เจ็บตายวิเศษวิโสที่ไหน ล้วนแล้วแต่เป็นการหาบหามกองทุกข์มาทั้งมวล  ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย มีช่องว่างที่ตรงไหนในสกลกายและจิตใจของเรานี้ ที่จะว่างออกจากกองทุกข์ทั้งหลายไม่ให้ทับถมโจมตีเรา ไม่เห็นมี

        นำธรรมแทรกเข้าไปบ้างซิจะเป็นยังไง ความสุขจากธรรมกับความสุขอย่างอื่นต่างกันยังไง ความทุกข์ในทางความเพียรเพื่อปฏิบัติธรรมให้ได้รู้แจ้งแทงทะลุ จะเป็นทุกข์ขนาดไหนก็ให้รู้กันซิ ส่วนทุกข์จากกิเลสเหยียบย่ำทำลายเรา เคยทุกข์มาแล้วไม่สงสัยกัน  พอจะก้าวเข้าสู่ธรรมมีความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลัวแต่จะล้มจะตาย  เวลาให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายกี่ภพกี่ชาติ ทำไมไม่เห็นกลัวเป็นกลัวตายกัน ไม่ใช่ให้มันกล่อมจนจมมิดไปแล้วเหรอ พิจารณาซิสติปัญญามี  อย่างไรจะผ่านพ้นไปได้ด้วยอุบายของตนเองให้นำมาใช้  อย่านิ่งนอนใจอยู่เฉย ๆ

        การมาศึกษาอบรมกับครูกับอาจารย์ก็เป็นของไม่แน่นอนทั้งสองฝ่าย  มีการพลัดพรากผันแปรกันไปได้ทั้งเป็นทั้งตาย จึงเรียกว่าโลกอนิจจัง  ในขณะที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่ผู้มาศึกษาอบรม ก็ควรที่จะได้ขะมักเขม้นในทางความพากเพียรของตน  ยึดอะไรยึดให้จริงให้จังอย่าทำเหลาะ ๆ แหละๆ ไม่ใช่เรื่องของธรรม  ความเหลาะ ๆ แหละ ๆ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลมันหว่านมันล้อมไว้หมด  ปักเสียบขวากหนามไว้เต็มไปหมดรอบหัวใจกายวาจาของเรา  เรายังไม่ทราบว่าเราอยู่ในวงล้อมเหรอเวลานี้  นี่เราจะบุกเบิกวงล้อมออกไปด้วยอรรถด้วยธรรม ทำไมจึงตีบตันอั้นตู้ไปเสียหมด แล้วจะหาความวิเศษวิโสมาจากไหน

        ควรคิดให้มากผู้ปฏิบัติ เราจะหวังความวิเศษวิโสจากอะไรนอกจากธรรมเท่านั้น  สิ่งเหล่านั้นได้เห็นกันมาแล้ว พอจะคิดในแง่ธรรม เหมือนกับว่าอะไรก็สุดเอื้อมหมดหวังไปเสียหมด แน่ะฟังซิ ความคิดขึ้นมาอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของกิเลส สุดเอื้อมหมดหวังแล้วก็ทำให้ท้อแท้อ่อนแอ อ่อนเปียกไป ให้เข้มแข็งให้เห็นประจักษ์ตัวบ้างซิ  เวลามันอ่อนปวกเปียกก็ให้รู้  เวลามันมีความเข้มแข็งขึ้นมา เพราะกำลังวังชาของผลที่ปรากฏขึ้นนับแต่ความสงบขึ้นไป

        เพราะกำลังวังชาของสติปัญญา ที่สอดแทรกตัดฟันหั่นแหลกกับกิเลสขึ้นไปโดยลำดับ ๆ จนเป็นกำลังจิตใจให้หมุนตัวไปด้วยความเพียรนั้น ก็ให้มันเห็นกันได้เอามาเทียบเคียงกันบ้างซิ  ขณะที่ล้มลุกคลุกคลานเป็นยังไง  ขณะนี้เป็นขณะที่เกรียงไกรที่สุดทั้งด้านความพากเพียรทั้งด้านสติปัญญา และกิเลสหมอบราบไปโดยลำดับๆ ก็ให้เห็นชัดๆ ซิ  สิ่งเหล่านี้จะปรากฏขึ้นมาได้ในวงปฏิบัติในผู้ปฏิบัติ แต่จะไม่เกิดกับหมูขึ้นเขียงไม่ยอมลง ให้พากันฟังให้ถึงใจ

        ความตะเกียกตะกายใครก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ตะเกียกตะกายเหมือนกัน  เราไม่ยอมรับพระพุทธเจ้ามาเป็นสรณะเรากล่าวทำไมพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ พระองค์ล้างมือเปิบเมื่อไร ตะเกียกตะกายสลบไสลเห็นอยู่แล้วในตำรา พระสาวกก็เหมือนกันไม่ใช่ท่านผู้ล้างมือเปิบ เป็นผู้ตะเกียกตะกายมาด้วยกัน เราดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้าทำไมจึงต้องอ่อนแอ ไม่อยากตะเกียกตะกายแต่จะให้ดีวิเศษล้นโลกเป็นไปได้ยังไง  มันเป็น อฐานะ เป็นไปไม่ได้

        เดินทางไปจุดใดก็ตาม สู่สถานที่ใดก็ตาม  ขรุขระก็ต้องผ่านไปตรงนั้น สะดวกก็ต้องผ่านไปในทางสายนั้นไปที่อื่นไม่ได้ผิดทาง  คดโค้งก็ต้องไปตามคดตามโค้ง  ตรงก็ต้องไปตามทางตรง ราบรื่นหรือไม่ราบรื่น ขรุขระก็ต้องผ่านไปนั้น  นี่การดำเนินของเรานี้ก็เหมือนกับคนเดินทางไปสู่จุดที่หมาย นี่จุดที่หมายของเราคือความหลุดพ้นโดยประการทั้งปวง และก้าวไปด้วยความพากเพียรของตน จะตะเกียกตะกายทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ต้องยอมรับกัน แต่ไม่ยอมถอยหลัง

        ถึงเวลาที่จะเกรียงไกรมันก็เป็นไปเอง เมื่อความพากเพียรได้หนุนอยู่เสมอๆ สติปัญญาเมื่อฝึกหัดอยู่เรื่อย ๆ ก็ย่อมมีความแก่กล้าสามารถไปโดยลำดับจนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ หรือเป็นมหาสติมหาปัญญาได้จากความเพียรของผู้บำเพ็ญ หรือของผู้บำรุงอยู่เสมอนั่นแล เราเห็นประจักษ์ภายในใจด้วย แล้วมาเทียบกันกับเวลาล้มลุกคลุกคลาน ในขณะที่จิตได้มีความเกรียงไกร ทั้งความพากความเพียร ทั้งความเฉลียวฉลาดทุกด้านทุกทางเข้าไปแล้ว กับความล้มลุกคลุกคลานเป็นยังไง  ที่จะมาถึงขั้นนี้ก็มาจากการล้มลุกคลุกคลานนั่นแล  มันเป็นบทเป็นบาทเครื่องหนุนกันมาเป็นลำดับลำดา จะไม่เดินทางสายนี้จะเดินไปไหน

        เป็นยังไงก็ต้องยอมรับ  ทุกข์ก็ต้องยอมรับกัน ถึงเวลาสุขจะปรากฏขึ้นมาจากความทุกข์ความตะเกียกตะกายนั้นแลไม่ได้ไปจากไหน สุดท้ายเมื่อจิตมีกำลังเต็มที่มีสติปัญญารอบตัวแล้ว ความรู้สึกเปลี่ยนไปหมดนั่นแหละ เลยกลายเป็นอัตโนมัติ อยู่ไหนก็เพียร อยู่ไหนก็มีสติ อยู่ไหนก็มีปัญญา อิริยาบถใดก็มีความเพียรหรือสติปัญญารอบตัวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งข้าศึกได้หมอบราบไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว สติปัญญานั้นก็หมดความจำเป็นไปเอง โดยไม่ต้องได้ปลดได้ปลงกันด้วยเจตนา หากหมดไปเองโดยหลักธรรมชาติ

        เพราะส่วนมรรคก็เป็นสมมุติ สติปัญญาก็เป็นสมมุติ แก้สมมุติคือกิเลสประเภทต่าง ๆ เป็นสมมุติทั้งมวล  สติปัญญาก็เป็นสมมุติทั้งมวล  เมื่อแก้ได้ทะลุปรุโปร่งจนไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว สมมุติทั้งสองภาคนี้ก็เป็นอันว่าหมดความจำเป็น เฉพาะอย่างยิ่งสติปัญญาศรัทธาความเพียร หากหมดความจำเป็นโดยหลักธรรมชาติของตนเองโดยไม่ต้องบังคับ  เพราะข้าศึกหมดไปแล้ว

        ทีนี้จิตไปไหนที่นี่ ไม่ได้อยู่ในสองภาคนี้  จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้อยู่กับสติไม่ได้อยู่กับปัญญา ไม่ได้อยู่กับความพากความเพียร ประโยคพยายามต่าง ๆ ที่เคยดำเนินมานั้นไม่ได้อยู่ในจุดนั้นๆ และไม่ได้อยู่กับกิเลส อยู่กับความบริสุทธิ์ นั่น แล้วความบริสุทธิ์นี้ไม่ได้อยู่กับอะไร  เพราะทั้งมวลเป็นสมมุติ  ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้เป็นวิมุตติ  ถ้าอยู่ก็อยู่กับวิมุตติ  แต่คำว่าวิมุตติก็พึงทราบว่าเป็นสมมุติอันหนึ่ง ธรรมชาติอันนั้นไม่ใช่ชื่ออันนี้ ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาตินั้น ถ้าอยู่ก็อยู่กับอันนั้น

        นี่คือผลที่พึงหวังเต็มหัวใจตรงนี้ เมื่อถึงจุดนี้แล้วเต็มหัวใจ ไม่มีทางปลีกทางแวะ ไม่มีความหิวความโหย ความอยากซึ่งเป็นมรรคคืออยากหลุดอยากพ้นก็ยุติกันลง  ทุกสิ่งทุกอย่างยุติกันหมด เหมือนเราไปสู่ที่นั้น  เมื่อถึงที่นั้นแล้วความอยากก็หมด  เราต้องการความพ้นทุกข์  พยายามตะเกียกตะกายจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์แล้วความอยากพ้นทุกข์ก็หมด  ความอยากประเภทนี้พึงทราบว่าเป็นมรรค  ให้มีกำลังใจ ให้มีความพากความเพียร  ถ้าไม่อยากเอาความเพียรมาจากไหน

        ความอยากเป็นกิเลสก็คือความโลภความโกรธความหลง ตัณหา ๓  กามตัณหาภวตัณหา วิภวตัณหา นั่นเป็นฝ่ายกิเลส ส่วนความอยากหลุดพ้นและประกอบความพากเพียร อันนี้เป็นความอยากที่เป็นฝ่ายมรรค ความอยากอันนี้แลไปทำลายความอยากอันนั้น เมื่ออันนั้นหมดไปแล้ว อันนี้ก็หมดไปตาม ๆ กัน เพราะเป็นสมมุติด้วยกัน นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ  สุขอื่นใดยิ่งกว่าความบริสุทธิ์หลุดพ้นอันเป็นความสงบตายตัวนั้นไม่มี ก็มีเท่านี้

        จงพากันตั้งอกตั้งใจเอาให้จริงให้จัง อย่าเหลาะแหละคลอนแคลน อย่าชินชากับความพากเพียร อย่าหวังสิ่งใดในโลกามิสหรือโลกสมมุติทั้งมวล มีเท่านั้นเท่ามันมี เป็นเท่ามันเป็นนั่นแล ไม่นอกเหนือไปจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้เลยในสามแดนโลกธาตุนี้ ขอทำจิตให้หลุดพ้นจากวงแห่งอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้เถอะจะหายสงสัยโดยประการทั้งปวง

การแสดงธรรมหยุดแค่นี้

พูดท้ายเทศน์

        ทำจริง ๆ ทำความเพียร เดินจงกรมทั้งวันก็เดินได้ของมัน  ไม่ได้สนใจกับอะไร มีแต่ทำงานของเจ้าของ หมุนติ้วๆ เวลาผ่านมาแล้วมันก็อยากอยู่คนเดียวไม่อยากยุ่งกับอะไร เพราะคนเดียวมันสบาย ไม่ได้หวังอาศัยอะไรนี่  จิตไม่ได้หวังพึ่งอะไรอาศัยอะไร  อยู่ก็อยู่ไปอย่างนั้น แม้แต่ธาตุขันธ์นี่มันก็เหมือนสิ่งทั่วๆ ไป อยู่ด้วยกันนี้แหละธาตุขันธ์ ไม่ว่าแข้งว่าขา แข้งขาเขาไม่ได้ว่า มันเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เป็นแต่ความรู้มันแทรกไปตามนี้  อาศัยเป็นเครื่องมือของความรู้นี่เท่านั้นเอง  ดูอะไร ๆ เขาไม่ได้รู้กับเราเลย เขาไม่รู้เรื่องเรา  มีแต่เราไปสำคัญเอาเองว่านี้เป็นเราเป็นของเรา  เหมือนกับว่าอันนี้ก็รู้เรานั่นก็รู้เรา ไม่มี  ความจริงมันไม่มี  ไม่มีอะไรรู้กว่าเรา

        ก็เหมือนกับเราจับอันนี้ขึ้นมา  สมมุติว่าจับไฟฉายฉายอันนี้ ไฟฉายก็เป็นไฟฉาย  ผู้จับก็เป็นผู้จับ  ร่างกายแต่ละส่วน ๆ มันก็เป็นของมันเหมือนไฟฉาย  ผู้รู้ก็เหมือนเป็นผู้จับไฟฉายนี่  เพราะฉะนั้นจึงว่าจะหวังพึ่งกายมันก็ไม่มีจะว่าไง  อาศัยกันอยู่อย่างนี้ ก็เหมือนเราถืออะไรอยู่นี้ แบกอะไรอยู่นี้ ภารา หเว ถึงจะไม่แบกด้วยอุปาทานก็แบกด้วยสัญชาตญาณความรับผิดชอบกันมันเป็นอย่างนั้น  แต่ก่อนไม่เป็น เราทั้งหมดนี่เราทั้งนั้น  มีแต่เรา ๆ หมดทั้งตัว  อันนั้นไม่มีนี่สักแต่ว่ารู้กันอยู่เท่านั้น  ความรู้มันซ่านออกไปเป็นกิ่งเป็นก้าน

        ก็เข้ากันได้กับที่ว่าเราถ่ายท้อง ๒๕ หน อาเจียน ๒ หนนั่น  เวลามันจะไปจริง ๆ กระแสของความรู้มันหดตัวเข้ามา เหมือนกับดึงจอมแหนี่พรวดเข้ามาทีเดียว  ความรู้ซ่านไปกับสิ่งต่าง ๆ หดตัวเข้ามาหมด  ร่างกายก็เหมือนท่อนฟืน มีสักแต่ว่ารู้อยู่ภายในเท่านั้น  หูก็ดับหมด  มันไม่ใช่หูหนวก มันหูดับไปเลย ตาก็ไม่ใช่ตาบอดมันเลยบอดไปเลย มันเหมือนท่อนไม้  พูดง่าย ๆ ว่าเป็นท่อนไม้ ความรู้หดเข้ามาอยู่จุดเดียวเท่านั้น แต่มันไม่เป็นจุดนะ  ที่เราว่าจุดเดียวเราว่าเฉย ๆ มันสักแต่ว่ารู้ รู้ก็อยู่ตรงกลางนี่นะไม่รู้อยู่บนสมอง รู้ก็รู้ของมันอยู่อย่างนี้จะว่าไงไม่ได้ขึ้นบนสมองนี่

        ทางด้านภาวนาเท่านั้นเริ่มลงมาที่นี้แล้วมันไม่ขึ้นนี่ เรียนหนังสือมันขึ้น ขึ้นสมอง ภาวนาไม่ได้ขึ้นมันอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกแห่งความสงบ รู้มันก็รู้ตรงนี้เรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งที่ว่าเป็นความรู้ความผ่องใสเป็นจุดเด่นของมันอยู่นั้น มันก็อยู่ตรงกลางนี่เสีย  อันนั้นหมดไปมันก็อยู่ภายในนี่เสีย มันรู้อยู่ตรงกลางนี่เสียแต่มันไม่รู้เป็นจุดเท่านั้นเอง  ก็รู้อยู่ตรงกลางนี้อีก แต่ยึดไม่ได้นะว่าตรงกลางนี้คือที่ไหนที่อะไร  มันเป็นจุดตรงไหนไม่รู้ อยู่ตรงนี้ ซ่านของมัน มันไม่ได้ขึ้นมาข้างบน ขึ้นมาอันนี้ก็ทราบว่าเป็นอาการมันออกมาเสีย

        ให้มันรู้อย่างนั้นซิการปฏิบัติ กล้าหาญที่จะพูดตามความจริงนี้ไม่มีสะทกสะท้าน  ก็ถอดมาจากความจริงที่เป็นอยู่เห็นอยู่รู้อยู่นี่ ไปพูดมันจะผิดไปไหน สะทกสะท้านอะไร  ขอให้รู้เถอะไม่สะทกสะท้าน แม้แต่เทศนาว่าการก็เหมือนกัน เทศนาว่าการกับคนชั้นไหนๆ ไม่ได้เห็นมีชั้นอะไรนี่ว่ากันไปอย่างนั้น ความรู้นั่นเท่านั้น ผู้รับฟังก็คือจิตรู้สะทกสะท้านที่ไหน เขาให้เทศน์ก็นั่งตัวสั่นผมก็เคยเป็น แต่ก่อนเคยเป็น มันเป็นอยู่ภายในมันสั่นอยู่ภายในจิต เพราะไม่มีความจริงในตัวอาศัยแต่ความจดความจำว่าไปเฉย ๆ

        พอความจริงได้ปรากฏขึ้นมากน้อยก็พูดได้ตามขั้นแห่งปรากฏ  คือตามขั้นแห่งความปรากฏ เช่น จิตเป็นสมาธิอย่างนี้มันก็โวหารเก่งเหมือนกัน มันแน่นปึ๋ง  แต่มันไม่สนใจจะพูดกับใครสอนใคร  มีแต่พยายามแก้เจ้าของ มันละเอียดยิ่งกว่านั้น  ไปถึงขั้นปัญญาด้วยแล้วยิ่งใครมายุ่งไม่ได้  ได้ทำงานของตัวเองอยู่ตลอดเวลานั้นเรียกว่าเหมาะที่สุด  ใครมาคุยด้วยไม่ได้

        พูดอย่างนี้ยังทำให้คิดถึงเมื่ออยู่หนองผือ มีเสียงบันไดก๊อกแก๊ก ใครๆ กระผมเอง ขึ้นมาทำไม ไล่แล้ว จะมานวดเส้น ไม่นวด ไป เส้นอะไรก็เลยไม่มีนะเรื่องนวดนะ คือมันไม่อยากพรากจากงานพูดง่าย ๆ มันติดต่อกันอยู่นั้นพัวพันกันอยู่นั้น  จะมามัวนวดเส้นแก้เส้นอะไรกัน พันกันอยู่นั้น  พอตื่นขึ้นมาพันกันแล้ว เป็นเอง ก็ไม่เคยคิดว่าอยากสอนใครนะ จึงว่าดีอันหนึ่งคือเราได้ภาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดไปเลย  ตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติไม่มีคำว่าการก่อการสร้างยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอะไรไม่มีเลย ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติจนกระทั่งถูกเสกสรรปั้นยอว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ของหมู่คณะ ไม่ได้ยุ่งกับอะไรมีแต่งานภาวนาอย่างเดียว

        หมู่เพื่อนที่อยู่ด้วยกันให้ดูกันนะ อย่าให้ได้หนักอกหนักใจ ผู้หนัก-หนัก ผู้อยู่บนบ่าหมู่เพื่อนมีนะ อย่าให้ได้พูดนะเรื่องหยาบ ๆ เหล่านี้ ข้อวัตรปฏิบัติที่เป็นเรื่องความสามัคคีที่จะต้องจัดต้องทำซึ่งเป็นความจำเป็นของแต่ละราย ๆ ที่เรียกว่าข้อวัตรประจำตัว  อย่าให้ได้พูดอย่าให้ได้บอกนะของหยาบ ๆ

 

***********

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก