เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๒
หลงกลลวงของกิเลส
ฉิบหายหมด คนหมดศาสนาในหัวใจ มีแต่บาปแต่กรรมเต็มหัวใจ มืดหนาสาโหด มืดหนาแล้วยังไม่แล้วยังสาโหดอีก โหดร้ายทารุณ คนหนาเราดูซิดูก็รู้ดูความมืดหนาของคน ดู กิริยาแสดงออกเท่านั้นก็รู้ มีกิริยาของคนเมื่อไร เป็นยักษ์เป็นผีไปหมด ท่านว่า มนุสฺสติรัจฺฉาโน มนุสฺสเปโต นี่ละเป็นเปรตเป็นผีไป มนุสฺสเทโว มีน้อยมากทีเดียว พระพุทธเจ้าของเรามาตรัสรู้ มาตรัสรู้ธรรมของจริงซึ่งเป็นของมีอยู่ในโลกนี้ ทรงรู้ทรงเห็นแบบเดียวกัน สั่งสอนแบบเดียวกัน ไม่มีปรากฏว่าองค์ไหนจะเป็นพระพุทธเจ้าแหวกแนวสั่งสอนธรรมะแบบแหวกแนว เหมือนอย่างพวกนับถือพุทธศาสนาเราอยู่ทุกวันนี้ พวกแหวกแนวมีอยู่เยอะ พวกเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามีเยอะ ทั้งๆ ที่มีแบบมีฉบับอยู่มันก็ไม่ทำตามอยากดังพูดง่าย ๆ
ถ้าทำตามหลักของศาสนาแล้วมันหาที่ตำหนิติเตียนไม่ได้ ไม่ว่าพระว่าเณร ฆราวาสก็มีศีลมีธรรม ต่างปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาที่ตนนับถือก็จะมีเรื่องอะไรกัน พระก็จนแตกเข้ากันไม่ติด เป็นนิกายนั้นนิกายนี้ก็เพราะความประพฤติล่วงล้ำพระธรรมวินัย เหยียบย่ำทำลายพระธรรมวินัยซึ่งเป็นของจริง เอากิเลสเข้าไปเป็นศาสนาแทนศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว ทำอย่างนี้ถูก ความชอบใจอย่างนี้แล้วถูกหมด มันก็เป็นไปเรื่อยๆ นี่มันเป็นเรื่องหยาบ เรื่องละเอียด ที่อยู่ภายในใจของเราทั้งหลายแม้เป็นนักปฏิบัติ ซึ่งได้หลงกลของมันอยู่ตลอดเวลามานี้คืออะไร ความรัก ความชัง ความโกรธ ความเกลียด ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามอารมณ์ที่คิดภายในจิตใจ ซึ่งออกมาจากเรื่องของกิเลส เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เคลิ้มไปตามมัน ถ้าว่าคล้อยยังเบาไป เคลิ้มไปตามมัน หลับไปตามมัน มีอยู่ทุกหัวใจ
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย สิ่งใดที่เป็นภัยย่อมนำมาซึ่งโทษเสมอ ความรักก็ดีความชังก็ดี ความเกลียดก็ดี ความโกรธก็ดี ความฟุ้งซ่านของจิตใจไปตามรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อะไร ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสบงการออกมาให้ยุ่งให้เหยิงให้เป็นสัญญาอารมณ์ไปตาม มันล้วนแล้วแต่เป็นภัย นี่ธรรมะท่านก็สอนไว้แล้ว แต่เราก็เคลิ้มตามมันอยู่เรื่อย ๆ ถ้าไม่เคลิ้มตามมันอยู่เรื่อยๆ ทำไมจิตใจจะไม่สงบล่ะ หากเราพยายามระมัดระวังรักษาความคิดความปรุง ความยุ่งเหยิงวุ่นวายของใจซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสก่อกวน เอาสังขารเอาสัญญานี้มาเป็นเครื่องมือก่อกวนจิตใจของเราให้เกิดความเดือดร้อนอยู่เสมอ เราก็ยังไม่เห็นโทษของมัน
เพียงจิตไม่สงบก็ทราบแล้วว่ามีโทษแล้วนั่น โทษแห่งความฟุ้งซ่านจิตถึงสงบไม่ได้ ความที่จิตฟุ้งซ่านได้ก็เพราะมีสิ่งก่อกวน มีสิ่งต้านทาน ผู้ปฏิบัติถ้าไม่คิดในแง่โทษเหล่านี้เสียหาคุณไม่ได้ คุณสมบัติของจิตคือความสงบจะเป็นขึ้นมาไม่ได้ ต้องคิดเสมอเรื่องเหล่านี้ต้องถือเป็นภัย ต้องระมัดระวัง ถ้าไม่ระมัดระวังนี้จะไปหวังแต่มรรคผลนิพพาน ก็สิ่งเหล่านี้กีดกันอยู่ตลอดเวลาจะไปเห็นมรรคผลนิพพานที่ไหน คิดออกมาแย็บใดก็มีแต่เรื่องกิเลส ปรุงออกมาเรื่องใด หมายเรื่องใดก็มีแต่ ไม่ได้หมายเรื่องอรรถเรื่องธรรม มีแต่หมายเรื่องกิเลสตัณหาอาสวะ แล้วจะเห็นมรรคผลนิพพานที่ไหนกัน ต้องคิดซีผู้ปฏิบัติไม่คิดไม่ได้
ทางเดินของกิเลสมันเดินอยู่ตลอดเวลา เดินออกทางสังขารทางสัญญา ทางสัญญา นี้เดินได้ตลอดเวลา เดินทางรูปทางเสียงเดินเป็นกาลเป็นเวลา กระทบกระเทือนระหว่างอายตนะภายนอกกับภายในเข้าสัมผัสกันเป็นกาลเป็นเวลา แต่ธรรมารมณ์ที่ยึดออกจากสิ่งที่สัมผัสกับทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายนี้ เข้ามาเป็นอารมณ์ก่อกวนตนเอง คิดแล้วคิดเล่า ปรุงแล้วปรุงเล่าไม่หยุดไม่ถอย ปรุงอะไรก็มีแต่เรื่องของกิเลสปรุง ไม่ใช่เรื่องธรรมะ ไม่ใช่เรื่องสติปัญญาปรุงขึ้นมา ถ้าเป็นเรื่องของปัญญาปรุงคิดอ่านไตร่ตรองขึ้นมามันก็เป็นทางธรรม สังขารถ้าคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรม คิดเรื่องแยกธาตุแยกขันธ์พินิจพิจารณาด้วยปัญญาก็เป็นธรรม ปรุงเรื่องขึ้นมาเพื่อเป็นธรรมก็เป็นธรรม สัญญาหมายไปตามการพิจารณา เหมือนกับดีดเส้นบรรทัดไว้แล้ว ปัญญาเดินตามนั้นก็เป็นธรรม อันนี้ ๙๕% มันมีแต่เรื่องของกิเลส ๕% ก็ยังทั้งยากที่จะเป็นอรรถเป็นธรรมในอิริยาบถต่างๆ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมะจึงไม่ปรากฏธรรมะภายในจิตใจ ให้เห็นอย่างชัดเจนภายในใจมีความสงบเป็นต้น
ความสงบนี้ไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน เพียงระงับอารมณ์เหล่านั้นได้ด้วยสติแล้วก็เป็นความสงบขึ้นมา เราก็ยังไม่สามารถที่จะทำใจให้สงบจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย นี่ก็เคยเทศน์ให้ฟังซ้ำๆ ซากๆ หลายครั้งหลายหนยิ่งกว่ากิเลสซ้ำหัวใจคน อย่างนั้นก็ควรจดจำไปพินิจพิจารณา การแก้กิเลสต้องเป็นของยาก ไม่มีอะไรจะเหนียวแน่นยิ่งกว่ากิเลส นี่ได้เคยทำมาแล้ว โอ้โห เอาเป็นเอาตายเข้าว่า มาคิดย้อนหลังถึงเรื่องปฏิปทาของเราที่เคยดำเนินมาระยะนี้จนเจ้าของจะกลัว คือเช่นอย่างทุกวันนี้มันทำไม่ได้ มันขนาดนั้น สุขภาพมันไม่อำนวย ความมุ่งมั่นอย่างนั้นมันก็ไม่มี อยู่เฉยๆ อย่างนั้นแหละทุกวันนี้ อยู่จืดๆ จางๆ ไปอย่างนั้นแหละ มันไม่มีความมุ่งมั่น
มรรคผลนิพพานที่ไหนไม่ได้ประมาทนะ เราพูดตามความจริงของจิตในระยะนี้กับระยะก่อนๆ มันผิดกันอยู่มาก ไม่มีอะไรมีแต่ความมุ่งมั่นภายในอรรถในธรรม มุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพาน มุ่งมั่นต่อความหลุดพ้น เมื่อความมุ่งมั่นมีอยู่มาก อะไรๆ มันก็หมุนเข้าไป เพราะนั้นเป็นเหมือนแม่เหล็กเครื่องดึงดูดความพากเพียร ความอดความทนทุกแง่ทุกมุม เรื่องความพากเพียรเป็นมาเอง ความอดความทนเป็นมาเอง ความเหนียวแน่นแก่นนักรบก็เป็นมาเอง เพราะความหมายมั่นปั้นมือต่อมรรคผลนิพพานซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมันเต็มหัวใจอยู่แล้ว อะไรจะมาทำลายไม่ได้ง่ายๆ มันสลัดพับๆๆ ทั้งๆ ที่สติปัญญาก็ยังไม่ได้เกรียงไกรอะไรนักหนา แต่ความมุ่งมั่นมันมีกำลังมาก
การประกอบความพากเพียรทุกข์ยากลำบากก็ทนๆ ต่อสู้กิเลสเพราะมันเหนียวกิเลส จะทำเหลาะแหละง่ายๆ อย่างสบาย จิตใจหลักๆ ลอยๆ ไปอย่างนั้นไม่ได้นะ ต้องให้เป็นคนหนักแน่นในเหตุในผล เชื่อธรรมนั้นแหละเป็นหลักใจสำคัญ เมื่อเชื่อธรรม-ธรรมท่านว่าอย่างไร ธรรมท่านว่าให้ฝืนต้องฝืน เช่นอยากดูอย่างนี้ ฝืนไม่ดู อยากฟังในสิ่งที่ผิด ที่จะเสริมกิเลสเป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเอง ไม่ฟัง มันอยากอะไรฝืนความอยาก ไม่ว่าจะอยากเห็นอยากได้ยิน อยากอะไรก็ตามขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วฝืนกันทั้งนั้น ความฝืนกับกิเลสมันก็ต้องเป็นทุกข์ ทุกข์ก็ทุกข์เพราะฝืนเพื่อจะแก้จะถอดจะถอน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฝังจมอยู่ภายในจิตใจได้รับความเดือดร้อนมานาน เราต้องฝืน เราเป็นนักต่อสู้ ผู้ที่จะถอนพิษภัยออกจากจิตใจต้องเป็นนักต่อสู้มีความเข้มแข็งอดทน
อะไรก็ตามถ้าหลักใหญ่มันฝังจิตใจอยู่แล้วมันพอเป็นพอไปทั้งนั้น ไม่ได้สนใจกับว่า ความขาดเขินหรือบกพร่องในสิ่งใดๆ บรรดาปัจจัยทั้งสี่ที่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะที่อยู่ที่อาศัย จนกระทั่งถึงยาแก้โรคแก้ภัย ไม่ได้สนใจ ความสนใจมันทุ่มลงไปในอรรถในธรรมเสียทั้งสิ้น เฉพาะอย่างยิ่งก็ทุ่มลงไปเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว มันมีกำลังมาก สิ่งเหล่านั้นจึงไม่เข้ามาเกี่ยวข้องได้ ไม่มากวนใจได้เลย อยู่ก็อยู่เพื่อจะบำเพ็ญให้พ้น กินก็กินเพื่อจะบำเพ็ญให้พ้น มีแต่เพื่อจะพ้น นอนก็พอระงับสังขารร่างกายให้มีกำลัง เพื่อจะทำงานให้เกิดความหลุดพ้นขึ้นมาที่ใจ อะไรก็เพื่อสิ่งนั้นทั้งนั้น ทีนี้มันก็เข้มแข็งเองถ้าความมุ่งมั่นมันมาก
มรรคผลนิพพานจืดจางไปที่ไหนเวลานี้ อยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจนั้นแหละ ถูกกิเลสปกคลุมหุ้มห่ออยู่ ใจจึงเป็นของไร้ค่า ไม่มีคุณค่าใดๆ ภายในจิตใจ ก็เพราะกิเลสมันลบออกเสียหมด เรายังไม่เห็นโทษของมันเหรอ มันลบของดิบของดีของวิเศษวิโสออกจากตัวของเรา มีแต่เรื่องของมันออกหน้าออกตา เอาสินค้าปลอมๆ มาวางหน้าร้านของเราแทนสินค้าจริงไปเสีย อย่างนี้เราไม่สลดสังเวชบ้างเหรอ
ฟังซิเรื่องครูบาอาจารย์องค์ไหนที่ท่านปรากฏชื่อลือนาม เป็นที่เคารพกราบไหว้ของประชาชนพระเณรท่านทำยังไง อย่างท่านอาจารย์ขาวก็ได้เคยสนทนากันแล้ว อู๋ย เด็ดมาก เด็ดเดี่ยวมากทีเดียวความพากเพียร ท่านพูดถึงเรื่องความเด็ดมันจะเป็นภัย จะเป็นแง่ไม่ดีโดยเจ้าของไม่รู้ก็ไม่รู้ท่านว่า ทรมานเจ้าของเลยจะกลายเป็นข้าศึกต่อเจ้าของไปก็มี นี่เพราะความเด็ดของท่าน จึงต้องได้พลิกมาหลายเล่ห์หลายเหลี่ยมหลายสันหลายคม ท่านก็เคยเล่าให้ฟัง นั่นเพราะความเด็ด เอากันอย่างหนักแน่นทีเดียว ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่จังหวัดเชียงใหม่ท่านก็เล่าให้ฟัง ไปอยู่ที่ไหนก็เล่าให้ฟัง ล้มลุกคลุกคลานไปอย่างนั้นแหละ บวชก็บวชเมื่อแก่ มีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็หลบหลีกปลีกตัวของท่านอยู่เรื่อยๆ ท่านไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ชิดติดพันท่าน อย่างท่านอาจารย์มั่น เราก็ตะเกียกตะกายตามท่านไปเชียงใหม่ตามท่านไป จนกระทั่งไปถึงองค์ท่านได้อยู่อาศัยกับท่าน ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมกับท่าน ความพากเพียรก็เอาเป็นเอาตายเข้าว่า
อย่างท่านอาจารย์พรหมก็ได้เคยสนทนาธรรมะกัน ถึงใจนั่นก็ดี ท่านพูดถึงเรื่องความผ่านพ้นไปตั้งแต่อยู่เชียงใหม่ ผ่านตั้งแต่อยู่เชียงใหม่โน้นแล้ว มีแต่ท่านผู้เด็ดเดี่ยวทั้งนั้น อยู่ธรรมดาๆ จะให้ได้มรรคผลนิพพานนี้ยาก อย่างท่านอาจารย์คำดีนี่ก็เด็ดเหมือนกันเคยเล่าให้ฟังแล้ว ท่านเปลี่ยนนิสัยหมด แต่ก่อนนิสัยท่านขึงขังตึงตังเพราะความเข้มแข็งของจิต ความเด็ดเดี่ยวของจิตนั่นเองที่ทำให้ขึงขังตึงตัง ท่านเปลี่ยนนิสัยมาเป็นนิสัยนี้ท่านว่าอย่างนั้น
ผู้ที่จะต่อสู้กิเลสได้ชัยชนะ ต้องเป็นผู้เข้มแข็ง ต้องเป็นผู้อาจหาญ ต้องเป็นผู้ฝืนเสมอ ไม่เห็นอะไรยิ่งใหญ่กว่าธรรมซึ่งจะปรากฏขึ้นที่จิตนั่นแหละ จิตจะประเสริฐก็ประเสริฐขึ้นจากธรรมที่บำเพ็ญ จิตจะเลวก็เลวเพราะเรื่องของกิเลสมันปกคลุมหุ้มห่อ ไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิงก็เพราะกิเลสมีมากปกคลุมหุ้มห่อเสีย ของจริงเลยไม่เจอมองไม่เห็น มองเห็นตั้งแต่ฟืนแต่ไฟ ไฟกิเลสตัณหาราคะมันเผาลนจิตใจอยู่ตลอดเวลา
ยืนก็ร้อน นั่งก็ร้อน นอนก็ร้อน อิริยาบถใดก็มีแต่ร้อน เป็นความรำคาญไปหมด มองดูใครก็เลยผิดไปหมดเพราะหัวใจมันผิด มันเป็นพิษแก่ตนเอง มองดูเพื่อนฝูงก็ไม่เย็นตาเย็นใจ หงุดๆ หงิดๆ อยากยกโทษยกกรณ์ อันนี้พอเป็นทางระบายของกิเลสที่มันเผาผลาญอยู่ภายในจิตใจ มันเป็นได้เรื่องเหล่านี้ ครูบาอาจารย์จะวิเศษวิโสเพียงไร มันก็ไม่เห็นวิเศษวิโสด้วย เพราะกิเลสมันไม่ใช่ตัววิเศษนี่ เมื่อมันครอบงำจิตลงไปแล้วมันจะให้จิตคิดอะไรเป็นเรื่องวิเศษวิโสได้ยังไง มันก็ต้องเป็นไปตามแถวของกิเลสทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องฝึกต้องทรมาน เอาให้ได้ อย่างน้อยให้สงบให้ได้เห็นประจักษ์เสียที ผลจากการปฏิบัติทางด้านสมาธิภาวนานี้แหละที่จะยัง อย่างต่ำก็สมาธิคือความสงบใจให้เกิดขึ้น ไม่พ้นจากการฝึกฝนอบรมและทรมานจิตใจของตนนี้เลย
จิตเราเคยปล่อยมันแล้ว เราต้องคำนวณเราต้องบวกต้องลบคูณหารกันสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อหากำไรแก่ตนเอง จะต้องบวกลบคูณหารกระแสของจิตที่มันเคยคิดมากี่มื้อกี่วันกี่เดือนกี่ปีมันได้อะไรบ้าง ทั้งๆ ที่เราก็คล้อยตามมันๆ คล้อยไปเท่าไรก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเป็นผลตอบแทนขึ้นมาจนได้เกิดความเดือดร้อน เรายังจะฝืนคล้อยตามมันเคลิ้มตามมันหลับไปตามมันอยู่เหรอ ทั้งๆ ที่เราก็ตื่นอยู่นี้ เราต้องคิด-ต้องคิดหาแง่ นี่เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องต่อสู้กิเลส ไม่ผลิตสติปัญญาขึ้นมาไม่มีทางแก้กิเลส นอกจากงมไปเดาไปอย่างนั้นแหละ นั่งก็นั่งพอเป็นพิธี พอเกิดความทุกข์ความลำบากขึ้นมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ทั้งๆ ที่จิตหาความสงบยังไม่ได้เลยก็นอนเสีย นอนลงไปเพื่อระงับดับทุกข์ทั้งหลายนี้มันก็เป็นการเสริมกิเลส นอนมีกำลังมากเท่าไรกิเลสราคะตัณหายิ่งพอกพูนขึ้นมา
เราก็ต้องเทียบซิ ต้องบวกลบคูณหารกันให้เห็นชัดเจน ยังไงมันก็ต้องมีทางต่อสู้กันจนได้แหละ เมื่อเราก็เป็นนักเหตุผลอยู่แล้ว เป็นนักธรรมะอยู่แล้วเพื่อความพ้นทุกข์ ทำไมจะคุ้ยเขี่ยหาอรรถหาธรรมเป็นเครื่องยืนยัน เป็นเครื่องแข่งขันต่อสู้กันกับกิเลสนี้ไม่ได้ล่ะ มันต้องได้ ในขณะใดขณะหนึ่งสำหรับผู้ที่ชอบใคร่ครวญหาเหตุหาผล เพื่อสอนตนเองด้วยเหตุผลอันนั้นๆ จึงต้องได้ปรากฏจนได้
คนเราไม่ได้ฉลาดมาตั้งแต่วันเกิดใครก็ดี มันแบกความโง่มาด้วยกัน เพราะเกิดมาในท่ามกลางแห่งกิเลสตัวพาให้สัตว์ทั้งหลายโง่ เวลาจะฉลาดก็ต้องได้อาศัยอรรถอาศัยธรรม อาศัยครูอาศัยอาจารย์ อาศัยการฝึกฝนอบรม กิริยาท่าทางก็ค่อยแสดงผิดแปลกจากปกติขึ้นเรื่อย เพราะจิตใจค่อยเปลี่ยนสภาพการณ์ทั้งหลายภายในตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากการอบรม เพราะฉะนั้นการอบรมการได้ยินได้ฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
ยิ่งครูบาอาจารย์ผู้ที่มีความแน่นอนในการประพฤติปฏิบัติ และเป็นความแน่นอนทั้งผลที่ได้รับจากการปฏิบัติด้วยแล้ว ฟังก็ยิ่งเพลินในจิตในใจ เพราะท่านผู้ที่รู้จริงเห็นจริงท่านไม่มีละที่จะพูดเรื่องลูบๆ คลำๆ พอให้เราสงสัย มีแต่พูดตรงไหนจริงตรงนั้นเพราะท่านเคยปฏิบัติมาแล้ว ทั้งเหตุท่านก็ผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน ผลก็เห็นประจักษ์กับใจแล้ว พูดจะผิดที่ตรงไหน
ดังพระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมสอนโลก ที่นับพอประมาณก็ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่านั้น เพียงนิดเดียวไม่ได้มากตามความรู้สึกของเรา อันนี้เรายอมรับท่านอาจารย์มั่นที่ท่านพูดไว้ ดังที่เรานำมาเขียนตอบปัญหาของท่านที่ถามเกี่ยวกับเรื่องม.ร.ว.คึกฤทธิ์ว่า ธรรมที่มาในคัมภีร์นั้นเท่ากับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เท่ากับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ธรรมที่ไม่ได้มาในคัมภีร์นี้เหมือนน้ำมหาสมุทรทะเล กว้างลึกขนาดไหน นั้นละผิดกันขนาดนั้น
เพราะท่านปฏิบัติทุกวัน ท่านบอกรู้ทุกวัน เห็นทุกวัน จิตมันซึ้งมันเข้าใจเรื่องนั้นเข้าใจเรื่องนี้ เข้าใจไปทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่ากว้างว่าแคบ ลึกตื้น หยาบละเอียด หาประมาณไม่ได้ในความเข้าใจอันนี้ของจิต เพราะจิตนี้มันไม่ได้ติดข้องอะไรแล้วจิตของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว สนุกพินิจพิจารณาแหวกว่ายหัวหางกลางตัวได้อย่างสะดวกสบาย ถ้าเป็นปลาใหญ่ในทะเลก็ดี เพราะทะเลก็กว้าง ปลาก็ตัวใหญ่ อันนี้จิตใจก็ยิ่งมีความบริสุทธิ์เต็มที่ด้วยแล้ว จะพิจารณาเรื่องอรรถเรื่องธรรมลึกตื้นหยาบละเอียดแค่ไหน มีประมาณได้ยังไง ไม่มีประมาณ ไปได้อย่างสะดวกสบายเพราะไม่มีเครื่องผูกพันจิตใจคือกิเลส
ตอนที่กิเลสผูกมัดอยู่กระดิกไปไหนก็ไม่ได้ มีแต่เรื่องกิเลสห้อมล้อมสกัดลัดกั้นไว้หมดหาทางเดินไม่ได้ มีแต่เรื่องของกิเลส อยู่กับกิเลส นั่งกับกิเลส คิดก็คิดเรื่องของกิเลส มันคิดไปด้วยกิเลสทั้งนั้น ปรุงไปด้วยกิเลส อะไรๆ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล มันก็ไม่มีธรรมที่จะปรากฏขึ้นมาได้ แต่เมื่อกิเลสมันสิ้นสุดกลายเป็นวิมุตติขึ้นมาแล้วก็อย่างท่านว่า นั่งอยู่ที่ไหน ความรู้ในธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดไม่ถอย
เพราะฉะนั้นจึงได้เกิดความเชื่อพระพุทธเจ้าว่า พระสาวกทั้งหลายที่ท่านรู้ท่านเห็นแล้วจะต้องกว้างขวางมากมาย ธรรมจึงเหมือนกับท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ เพราะความรู้ท่านกว้างขวางมาก ลึกซึ้ง เราเพียงแค่นี้เรายังสามารถพิจารณาได้ตามกำลังของเรา ทำให้เกิดเป็นเชื้ออันหนึ่งหรือเป็นหลักฐานพยานอันหนึ่งขึ้นมา ที่จะเชื่อความรู้ความสามารถฉลาดแหลมคมของพระพุทธเจ้า และสาวกทั้งหลายได้อย่างประจักษ์ใจไม่สงสัย ท่านว่าอย่างนั้น แต่เรานำมาเขียนนั้นเพียงย่อๆ พอได้ใจความเท่านั้นเอง ตอนท่านพูดนี่ โอ๊ย ฟังนี่ แหมมันเคลิ้มไปเลยภายในจิตใจ มันเพราะมันพริ้งมันซึ้งเพราะท่านผู้บริสุทธิ์ นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น
จิตเวลาหมอบก็หมอบ เวลาอับเฉาก็อับเฉา ถ้ากิเลสมันครอบงำมากมันก็อับเฉา แต่เวลาฝึกหัดอบรมหรือดัดแปลงแก้ไข ฝึกทรมานกิเลสให้ออกจากจิตใจได้มากน้อย จิตก็แสดงความสง่าผ่าเผยขึ้นมา คุณค่าก็รู้อยู่กับจิตดวงนั้นแหละ เมื่อกิเลสหลุดลอยออกไปมากน้อยเพียงไร คุณค่าของจิตจะแสดงขึ้นมาให้เห็น เพราะธรรมชาติของจิตมีคุณค่าอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าสิ่งหาคุณค่าไม่ได้เข้าไปครอบงำ จึงกลายเป็นของเลอะเทอะเปรอะเปื้อนหาคุณค่าไม่ได้ ไม่เป็นที่ปรารถนาไปเสีย
ทุกข์ใครปรารถนามันเมื่อไร แต่ทำไมมันถึงได้ครอบหัวใจของโลกอยู่ล่ะ นั่นละ ทุกข์มันเกิดขึ้นมาจากกิเลส กิเลสใครจะปรารถนามัน เพราะมันสร้างแต่ความทุกข์ขึ้นมา แต่มันจำต้องได้แบกได้หามได้รับเสวยอยู่นั้นแหละ เพราะมันเกิดอยู่กับเรา เราไม่สามารถด้วยอุบายสติปัญญาศรัทธาความเพียรทุกด้านพอที่จะต่อสู้มันได้ ก็ต้องยอมรับกันไป
แต่ยังไงก็ตามเราขึ้นชื่อว่าเป็นนักต่อสู้แล้วไม่ควรจะถอย ให้มีความเข้มแข็งละสำคัญ ฝึกหัดนิสัยของตนให้เป็นคนจริงจัง อย่าเป็นคนเหลาะแหละวอกแวกคลอนแคลนเหมือนหลักปักขี้ควายคอยแต่จะล้ม ทำอะไรจับๆ จดๆ หาความจริงจังไม่ได้ ทำอะไรให้ทำจริงนักปฏิบัติ สิ่งอะไรที่จริง อะไรก็จริงๆ นี้รวมตัวเป็นกำลังเข้าไป ถึงกาลจริงจังต่อความเพียร ถึงกาลจริงจังต่อการแก้กิเลสทุกประเภท เป็นความจริงจังไปตามๆ กันหมด ไม่ใช่ว่าจริงจังภายนอกกับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะเป็นประโยชน์เฉพาะนั้นเท่านั้น ยังมาเป็นนิสัยของจิตให้มีความจริงจังต่อภายในในการแก้กิเลสได้อีก นี่หลักสำคัญอยู่ที่ตรงนี้
นี่พูดก็เพราะความเป็นห่วงหมู่เพื่อน ลำบากลำบนเราก็ต้องมา เราเคยเห็นโทษของมันมันเหยียบย่ำทำลายเราเหลือประมาณจิตใจนี้ บางทีมันเหยียบเราต่อหน้าต่อตาเราไม่มีกำลังสู้มัน บทเวลามีกำลัง เพราะฉะนั้นมันถึงขนาบกันลงอย่างเต็มที่ เอาจริงเอาจัง ขนาบกันเต็มที่เลย โกรธแค้นจิตใจเจ้าของให้ตัวเองนี้ก็โกรธแค้น แต่ก็หาวิธีที่จะโต้ตอบกันด้วยความสามารถของตัวเองยังไม่พอก็จำต้องยอมรับ เรียกว่าแค้นอยู่ภายในใจ พอมันมีสติกำลังขึ้นมาทีนี้เอาใหญ่เลย มีกำลังวังชาขึ้นมาทางด้านจิตใจ เช่นมีความสงบ นั่นละเป็นต้นทุนแล้วที่นี่ มีกำลังขึ้นมา
พอจิตเริ่มได้รับความสงบมันก็ปราศจากความวุ่นวายทั้งหลาย ที่มันคิดส่ายคิดแส่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนบ้าอยู่ภายในจิตใจเรานั้น สงบลงไป เมื่อสงบไปแล้วก็สบาย นั่นละสมาธิหรือความสงบ เมื่อจิตสงบแล้วจิตย่อมสบาย นี่เราจะพาพิจารณาทางด้านปัญญา จิตมันอิ่มตัวอิ่มอารมณ์เพราะความอิ่มธรรมคือความสงบนั้น เราจะพาทำหน้าที่การงานคิดอ่านไตร่ตรองอะไรด้วยปัญญา มันก็เป็นสติเป็นปัญญาไปโดยลำดับๆ ไม่เหมือนขณะที่จิตกำลังหิวโหยวุ่นวายอยู่นั้น เราพิจารณานี้มันไม่ได้เรื่องนะ มันเถลไถลไปเป็นสัญญาอารมณ์ไปเสีย พิจารณาอะไรเป็นสัญญาอารมณ์ไปเสีย
เพราะฉะนั้นจึงว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก คือสมาธิเป็นเครื่องหนุนปัญญา เมื่อมีความสงบแล้ว พิจารณาทางด้านปัญญาก็เป็นปัญญาไปได้เรื่อยๆ ตามขั้นของสมาธิ ปัญญาก็เป็นไปตามขั้นของสมาธิ ต่อไปก็กลายเป็นปัญญาที่ละเอียดแหลมคมเข้าไปเรื่อยๆ เห็นผลมากเพียงไรก็ยิ่งเกิดความมีแก่ใจขึ้นมากเท่านั้นคนเรา
บทเวลามันมีความฉลาดมีความอาจหาญ เอ้า ทีนี้อะไรจะมาผ่านไม่ได้ นั่นละทีนี้กำลังเต็มที่ละไม่มีคำว่าถอย ทีแรกก็หมอบให้มันเหยียบไปเสียก่อน เหยียบหัวเหยียบอะไรก็เหยียบไป แค้นขนาดไหนโกรธขนาดไหนเราก็ต้องทนเอา เพราะเราไม่มีกำลังวังชาสติปัญญาสามารถที่จะตอบโต้มันได้ ก็ต้องยอมในระยะนั้น คือจิตของเราหาหลักฐานยังไม่ได้ ตั้งหลักตั้งฐานก็ยังไม่ได้ กิเลสก็ยิ่งเหยียบย่ำทำลาย ยืนเดินนั่งนอนหาความสุขความสบายไม่ได้เลย เป็นมาพอแล้วผมนี่พูดตรงๆ มันเป็น อยู่เฉยๆ ก็แน่นอยู่ในหัวอกนี่ เอ๊ มันอะไรกันนี่ มันไปคิดเรื่องอะไรมาเมื่อไรจิตมันถึงร้อนเหมือนฟืนเหมือนไฟ เหมือนไฟไหม้แกลบนั่นแหละ มันสุมอยู่ลึกๆ
เอ๊ ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ ดูแล้วก็ยังปรากฏอยู่มันไม่ได้เรื่อง ไม่มีสติปัญญาที่จะคลี่คลายมันออก นั่นเวลามันไม่มีปัญญาก็ต้องยอมทนเอา ยากขนาดไหนทุกข์ขนาดไหนยอมทนเอา เคียดแค้นขนาดไหนก็ต้องเคียดแค้นอยู่อย่างนั้น ไม่เกิดประโยชน์ในเวลานั้น แต่ความพยายามไม่ถอย จนกระทั่งมันได้รับความสงบขึ้นมาแล้วเอาละที่นี่ พอได้ที่แล้วทีนี้หมุนติ้วทางสมาธิ เอาให้หนักลงไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งว่านั่งอยู่เฉยๆ นี่แหละไม่ต้องทำพิธีเข้าที่เข้าทางภาวนาอะไรเลยไม่ใช่คุยนะ
ถึงขั้นมันชำนาญแล้วมันคล่องตัว เพราะมันเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา สมาธิความสงบลงไปจนปราศจากความคิดปรุงของเจ้าของจริงๆ มันก็เป็นสมาธิประเภทหนึ่งที่เรานั่งสมาธิ หรือภาวนาจิตก็สงบอยู่ คิดอ่านไตร่ตรองอะไรก็ได้ แต่ฐานของจิตมันแน่นอยู่เหมือนหินนี่ แข็งปึ๋งอยู่เหมือนหิน นั่นละมันสร้างฐานของมันจนกระทั่งแน่นปึ๋งเลยเชียว สงบแล้วสงบเล่า สงบหลายครั้งหลายหนเราก็บำรุงขึ้นเรื่อยๆ บำรุงอยู่ไม่หยุดไม่ถอย นอกจากสงบเข้าไประงับขันธ์ชั่วกาลชั่วเวลาแล้ว ถอนออกมาแล้วฐานแห่งความมั่นคงมันยังแน่นปึ๋งเห็นได้อย่างชัดเจนภายในจิตใจ
นั่นละที่นี่ เอ้า เราก็อย่างว่านั่นแหละ ถ้าหากว่าเราได้เร่งพิจารณาปัญญามาเสียตั้งแต่ครั้งโน้นมันก็ไม่นาน นี่ก็ติดสมาธิ เอาลงเมื่อไรก็ได้ นั่งอยู่เฉยๆ กำหนดนี่มันจะพอนาทีอะไร พอกำหนดนี้มันแน่วเลยเพราะฐานมันเป็นอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราลัดเข้าไปถึงฐานนั่นเท่านั้นมันก็ได้อย่างรวดเร็วละซี นี่หมายถึงความชำนาญ เพราะฉะนั้นเวลาออกทางด้านปัญญามันถึงรวดเร็ว มันติดๆ อยู่นั้นแหละ ถือเอาความรู้ที่อยู่อันเดียวๆ นั่นจะเป็นนิพพาน มันเลยไปนั้นนะ นี่คำว่าติด มันไม่สนใจต่อการพิจารณาทางด้านปัญญา จนพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านขนาบมันถึงได้ออก
เวลาออกมันก็ออกใหญ่โตทีเดียว เพราะมันพร้อมอยู่แล้วนี่ สมาธิขนาดนั้นแล้วไม่พร้อมได้ไง ขี้เกียจพอแล้วสมาธิ พอออกทางด้านปัญญามันก็หมุนติ้วๆ รู้แง่นั้นรู้แง่นี้ ตัดกิเลสตัวนั้นขาดไป ตัวนี้ขาดไป ตัวนั้นขาดไป เอ๊ะ ชอบกลๆ นั่นละที่นี่มันได้พยานแล้วนะ มันก็ยิ่งเสริมความหมุนติ้ว ความขี้เกียจหายหมดเลย ในขั้นสมาธิมันขี้เกียจนะ อย่าว่ามันไม่ขี้เกียจนะสมาธิ ขี้เกียจคิดขี้เกียจพิจารณาไตร่ตรองอะไร มันไม่เอา มีแต่ให้อยู่สงบสบายอยู่นั้น มันเป็นสมาธิขี้เกียจ พอถูกท่านไล่ออกแล้ว ออกพิจารณาพอได้ความในการพิจารณาแล้ว ทีนี้ไม่ต้องบอกแล้วความเพียร
มันไม่พอดีสำหรับผมเอง เวลาออกทางด้านปัญญาออกเสียจนเข้าไม่ได้ มันไม่สนใจจะเข้าจะว่าไง มันหมุนติ้วๆ สู้กันวันยังค่ำคืนยังรุ่ง บางคืนหมดคืนตลอดรุ่งไม่หลับ กลางวันยังไม่หลับอีก เดินตัวปลิวไปคอยแต่จะหกจะล้ม มันไม่ได้หลับได้นอนเพราะมันคิดมันค้นมันต่อสู้กับกิเลสตัณหาอาสวะ คำว่าแพ้นี้ไม่ให้มี เอาตายเท่านั้น แพ้ก็ต้องตายกันถึงจะเรียกว่าแพ้ ที่จะแพ้ถอยหลังเฉยๆ นี้เป็นไปไม่ได้บอกงั้นเลย ไม่มีทาง มีแต่จะให้คอขาดหัวขาดไปพร้อมๆ คำว่าแพ้ ก็คือว่าตายแล้วถึงจะเรียกว่าแพ้ แต่ตายด้วยความถอยหลังนี้เป็นไปไม่ได้ เมื่อถึงขั้นมันแล้วเป็นได้นะ
นี่พูดความจริงให้ท่านทั้งหลายฟัง ไม่ได้นำมาโอ้อวด พูดตามหลักความจริงทั้งฝ่ายเหตุที่ดำเนินยังไง มันหมุนเป็นยังไงๆ แต่ก่อนเป็นยังไง ล้มลุกคลุกคลานขี้เกียจขี้คร้าน แบกตั้งแต่กิเลสตัณหาอาสวะ แบกตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเต็มหัวใจทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ไฟไม่ได้พรากจากใจเลย มันก็เคยแบกมาแล้ว บทเวลาฝึกฝนทรมานจิตใจจนกระทั่งได้รับความสงบ ก็เพราะความพากเพียร ความอดความทนต่อสู้กันไป มันก็ปรากฏขึ้นมาความสงบ
เมื่อสงบขึ้นมาแล้วก็ได้กำลัง แล้วก็หมุนตัวเข้าไปเรื่อย ภาวนาเร่งเข้าเรื่อย จิตสงบเข้าเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นความรู้สึกว่า นี่ละนิพพานอยู่ตรงนี้ นั่นมันลืมตัวแล้ว ความรู้พอส่งแน่วเข้าไปตรงนั้นแล้ว มันไม่ได้คิดได้ปรุงเรื่องอะไรเลย โลกเหมือนไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดแน่วอยู่นั้น เอาละ สุดท้ายมันก็ว่านี้แหละ ตัวนี้จะเป็นนิพพาน
ยังดีที่มันไม่ว่าเป็นนิพพานเสียก่อนนะ มันหากว่าตัวนี้ละจะเป็น มันยังว่าจะเป็นอยู่ ยังดีอยู่มีจะ เวลาเราพิจารณาทางปัญญาเราถึงรู้ว่ามันเกี่ยวโยงอยู่กับเรื่องอะไรต่ออะไร แล้วมันจะเป็นนิพพานได้ยังไง พอปัญญาคลี่คลายออกมามีแต่กิเลส กิเลสมันหมอบเฉยๆ กิเลสสงบตัวเฉยๆ เพราะอำนาจของสมาธิข่มหัวมันไว้ กดหัวมันไว้มันสงบตัว บทเวลาปัญญาคลี่คลายออกมา ก็ค่อยปรากฏออกมาแสดงออกมา แสดงออกมาตรงไหนก็เป็นเรื่องของปัญญาแล้วนี่ มันก็ฆ่ากันไปซิ มันไม่ได้เสริมนี่ปัญญา มีแต่เรื่องฆ่าทั้งนั้นไปโดยลำดับลำดา
ขั้นของจิตมันเป็นไปอย่างนั้นนะ เวลาแย่ก็แย่จริงๆ อยู่กับหมู่กับเพื่อนตำหนิตัวเอง หมู่เพื่อนองค์ใดๆ ดูก็เหมือนท่านสิ้นกิเลสไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่เราคนเดียวเป็นฟืนเป็นไฟ เวลาไปอยู่กับท่านอาจารย์มั่นปีแรกๆ ระยะแรกๆ มันเป็นอย่างนั้นความรู้สึก มองดูองค์ไหนก็เหมือนท่านเป็นความร่มเย็น การประกอบความเพียรของท่านเหล่านั้นก็ไม่เห็นเท่าไรนัก ไอ้เรานี่ฉันจังหันแล้วเข้าไปอยู่ในป่าจนกระทั่งถึงเวลาปัดกวาดถึงด้อมๆ ออกมา มันยังไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไรนี่ เพราะว่าตอนนั้นจิตมันเสื่อม เร่งเอาจิตนี้คืนไม่ได้ เพราะฉะนั้นความเพียรมันถึงเร่ง
เวลาคุยธรรมะกันนานเข้าๆ ถึงค่อยรู้เรื่องหมู่เพื่อนกันไป ยิ่งเราได้หลักได้เกณฑ์เข้าไปก็ยิ่งรู้เรื่องของเราเข้าชัดเจน เพื่อนฝูงก็รู้เรื่องของเรา ไม่รู้ได้ยังไงเวลาเราพูดกับครูบาอาจารย์ก็ต้องพูดความจริงให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้แก้ไขปลดเปลื้องในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะทางไม่เคยเดิน พอได้กำลังทางสมาธิแล้วปัญญาถูกท่านขนาบแล้วมันก็ออก เอาละที่นี่กิเลส นอนหมอบอยู่ไม่ได้ที่นี่ ลากคอมันมาฟันหัวมันหมดเลย พอคว้าได้แขนก็ลากแขนมันออกมา คว้าขาได้ก็ลากขาออกมาฟันเรื่อย คว้าได้คอก็ลากคอมาฟันเรื่อย นี่ถึงขั้นปัญญาแล้วมันก็หมุนติ้ว มันหมุนตั้งแต่ขั้นปัญญาพิจารณาร่างกายเป็นอสุภะอสุภัง มันหมุนไปแล้วละ หมุนตั้งแต่นี้แล้ว แต่มันแรง
ปัญญาขั้นพิจารณาร่างกายนี้มันรุนแรงโลดโผนผาดโผนมาก พอมันหมดปัญหาเรื่องร่างกายนี้ มันเข้าใจรู้เท่าทันกันทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมันก็อิ่มตัว มันอิ่มตัวแล้วมันก็ไม่ยอมพิจารณาร่างกายเพราะอิ่มตัวแล้ว เหมือนกับเรารับประทานอิ่มแล้วจะรับอะไรอีกมันอิ่มแล้วนี่ มันดูดดื่มกับอะไร ส่วนมากก็พวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สำคัญจริงๆ ตัวสัญญา สัญญานี้ละเอียดมากทีเดียว สังขารยังมีแย็บ สัญญานี้ไม่แย็บ มันค่อยเยิ้มออกมาเป็นภาพออกมาเลย หมายได้อย่างละเอียดลออ โอ้โห ขนาดนี้เชียวนา มันตามกันไปตามกันมา แต่ไม่พ้นปัญญาละน่ะ
ลงว่าเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ หรือพูดให้มันเต็มปากก็มหาสติปัญญาแล้ว อะไรจะผ่านไปได้วะ เมื่อถึงขั้นมันหมุนรอบตัว มันรอบตัวอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องได้บังคับบัญชา นอกจากเรารั้งเอาไว้เท่านั้น จึงเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ มันหมุนตัว ฉันจังหันอยู่มันก็ไม่ได้ฉันจังหันด้วยนะ มันทำงานของมันอยู่อย่างนั้นละ มันเป็นเอง เมื่อถึงขั้นนี้แล้วความขี้เกียจไม่มีละ หายหมด นอกจากได้รั้งเอาไว้ความเพียร ไม่งั้นจะตายจริงๆ นี่นะ ต้องได้รั้งเอาไว้ บางทีจะตายจริงๆ มีนะ โอ้โห มันเพลียหมดร่างกายนี่ เดินจนจะไม่ออก ก็กลางคืนมันไม่ได้นอนนี่ กลางวันมันก็ไม่ยอมหลับ มันหมุนติ้วอยู่นั้นตลอดเวลา ต้องมายับยั้งกับพุทโธ
เอาพุทโธมาบริกรรมถี่ยิบไม่ยอมให้มันออกไปทำงานนั้นเลย ปล่อยจากงานนั้นฉุดลากเข้ามา งานคือระหว่างปัญญากับกิเลสกำลังฟาดฟันกัน แต่ไม่ทราบว่ามันเอาทางสันหรือทางคมลงน่ะซี เวลามันเข้าชุลมุนวุ่นวายกันแล้ว คิดว่าเอาสันลงนั่นแหละ เพราะมันเมื่อยมันเพลียพอแล้วหากไม่ถอย ใจยังสู้นี่ เวลาเรามาพักนี้เราถึงจะรู้เรื่อง ทางจิตบังคับด้วยคำบริกรรมพุทโธๆ เอาให้ถี่ยิบไม่ยอมให้ปรุงเลย แน่วอยู่นั่นบังคับอยู่นั่นเอาจริงเอาจัง บังคับให้เข้าสมาธิมันก็ไม่ยอมเข้า บังคับๆ แต่เพราะมันเคยอยู่แล้ว บังคับไม่นานมันก็ค่อยสงบตัวเข้ามาๆ แน่วลงไป พอแน่วลงไปนี่ โอ๋ย เหมือนกับว่าถอดเสี้ยนถอดหนาม กำลังวังชาความสุขความสบายไม่ทราบมาจากไหน ซ่านไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกาย ไม่ว่าแต่ส่วนจิตใจนะ ลงไปอยู่ขนาดนั้นแล้วยังต้องได้บังคับอยู่นะไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้อยู่เฉยๆ พอเรารามือสักหน่อยพูดง่าย ๆ มันจะถอนออกมาไปทำงานอีก จึงต้องบังคับไว้ จนกระทั่งมันมีกำลัง รู้สึกว่ามีกำลัง เอ้อ เหมาะแล้วที่นี่ พอปล่อยมันดีดผึงเลยนะ ผึงใส่งานนะไม่ใช่ผึงใส่ไหน พอดีดผึงก็พันกันเลยกับงาน ทีนี้สำคัญนะมันเหมือนเอาคมลงละที่นี่ พิจารณาไม่นานนะขาดสะบั้นๆ ไปเลย
นั่นละสมาธิจึงเป็นของสำคัญมาก ต้องพักไม่พักไม่ได้ ถึงเวลาที่ควรพัก อิดหิวเมื่อยล้าจะตายแล้ว เราจะเห็นตั้งแต่ว่าผลของงานเกิดขึ้นจากการทำงานอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงเรื่องการพักผ่อนเพื่อเอากำลังวังชาที่จะต้องไปประกอบงานต่อไปอีก มันไม่ได้ พักผ่อนนอนหลับรับประทานอาหาร มันจะหมดไปเพราะการรับประทาน เสียไปเท่าไรหมดไปเท่าไรก็ให้หมดไป เวล่ำเวลาหมดไปเท่าไรก็ให้หมดไปเวลานั้น เพื่อกำลังของร่างกายที่จะควรแก่การงานต่อไปอีก นี่ก็เหมือนกันเพื่อกำลังของจิต กำลังของธาตุขันธ์ที่จะต่อสู้กับกิเลสอาสวะต่อไปอีก ต้องได้พักให้มีกำลัง
เมื่อจิตมีกำลังด้วยสมาธิพักสบายแล้วออกไปพิจารณานี้ เหมือนกับว่าปัญญานั้นมันเหมือนกับมีดที่ได้ลับหินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของก็มีกำลังวังชา มีดก็มีดเล่มนั้นแหละ ไม้ท่อนนั้นแหละ คนคนนั้นแหละ แต่ว่ามีดก็ได้ลับแล้ว ลับหินเรียบร้อยแล้ว คนก็มีกำลังแล้ว ฟันลงไปไม่กี่โป๊กหรอกขาดสะบั้นไปเลย สติปัญญาอันนี้ก็เหมือนกัน พอได้กำลังแล้วก็ออกพิจารณา ไม่นานนะขาดสะบั้นๆ ไปเลย นั่นเห็นคุณค่าของสมาธิ จิตหมุนติ้วๆ
นี่พูดถึงขั้นของใจก็ละเอียดเป็นลำดับๆ กิเลสก็ละเอียดตามๆ กันไป สติปัญญาก็ละเอียดตามกันไป มันพอๆ กันนั่นแหละ ถึงจะเป็นสติปัญญาเหมือนน้ำไหลรินก็ตาม แต่ไหลรินแบบไม่ผาดโผน ขั้นพิจารณานามธรรมพวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาเรื่องอวิชชานี่ มีแต่ความละเอียดของปัญญาทั้งนั้น จะพิจารณาแบบปุบปับๆ เหมือนอย่างพิจารณาร่างกายนี้มันไม่ได้ มันก็บอกในตัวของมันเอง รู้เอง เหมือนเขาถากไม้นั่น เวลามันหยาบก็ขวานฟาดลงไปเหมือนกับจะฟันทิ้ง พอถึงขั้นละเอียดแล้วเอากบไสแคร็กๆ เอามีดไปฟันไม่ได้เสียหมด นี่เหมือนกันขั้นของจิตที่ควรแก่มัชฌิมาปฏิปทาคือสติปัญญาขั้นใด มันก็บอกกันเองรู้กันเองในตัวเรา เอาจนขาดทะลุไปหมด
อะไรก็ตามถ้ามันพอแล้วมันปล่อยทั้งนั้นแหละ ถ้ายังไม่ปล่อยไม่พอ ถ้ามันอิ่มตัวแล้วปล่อย การพิจารณาร่างกายนี้ก็เหมือนกัน อสุภะอสุภังก็ฟาดลงไปให้มันแหลก เมื่อมันพอแล้วมันก็ปล่อยของมัน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันอยู่ด้วยกันนั่นแหละมันไม่อยู่ที่ไหน สัญญาความหมายนี่ก็เหมือนกัน มันออกมาจากไหน ออกมาจากจิตมันก็ไปหลอกจิตนั่นแหละ สังขารปรุงขึ้นมาจากจิตก็ไปหลอกจิตนั่นแหละ เพราะเป็นสังขารเครื่องมือของอวิชชา เป็นสัญญาเครื่องมือของอวิชชามันจะไม่หลอกจิตได้ยังไง มันก็ต้องหลอกจิต ถ้าสติปัญญาไม่ทันก็ต้องหลงมัน
เพราะฉะนั้นจึงต้องแยกต้องแยะด้วยสติปัญญาไม่หยุดไม่ถอย หลายครั้งหลายหนมันก็เข้าใจ มันก็อิ่มตัวอีก อิ่มตัวทางรูปแล้วก็อิ่มตัวทางนามธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อิ่มตัวปล่อยๆ มันมีอะไรอีกมันยังไม่อิ่มตัว ก็มีแต่จิตกับอวิชชาที่พันกันอยู่นั้น เราก็ไม่รู้ นั่นแหละเราถึงเห็นความละเอียดของกิเลส เมื่อเข้าถึงขั้นอวิชชาล้วนๆ แล้ว ไม่มีอะไรจะละเอียดยิ่งกว่าอวิชชาว่างั้นเลย อวิชชาร้องเพลง เหมือนกับเราไปนอนอยู่ในถ้ำเสือ เสือกระหึ่มๆ คำราม จะกัดหัวกินยังว่าเขาร้องเพลงให้ฟัง
อวิชชาเหมือนกับเสือโคร่งตัวหนึ่ง ยังไปหมอบราบกับมันรักมันสงวนมันจนได้เพราะความละเอียดของกิเลส จอมกษัตริย์แท้ๆ ก็คืออวิชชา แต่มันก็ทนสติปัญญาไปไม่ได้ เพราะสติปัญญาขั้นนี้แม้จะยอมรับว่าจิตนี้ละเอียด จิตนี้ผ่องใส จิตนี้องอาจ จิตนี้เป็นเรา เป็นของเราอยู่ในขั้นนี้ก่อนก็ตาม แต่ความที่ว่ามหาสติมหาปัญญานั้นจะไม่นอนใจ ทั้งรักษาทั้งระมัดระวังทั้งสังเกต
เมื่ออวิชชามันก็เป็นสมมุติอยู่แล้ว ทำไมความเคลื่อนไหวของสมมุติอันละเอียดนั้น มันจะไม่มาสัมผัสกับสติปัญญา ซึ่งจดซึ่งจ้องซึ่งพินิจพิจารณาสังเกตสังกาอยู่ตลอดเวลาได้เล่า มันก็ต้องจับกันจนได้ เมื่อจับได้แล้วจิตมันก็หมุนติ้วเข้าไปตรงนั้น หรือสติปัญญาก็หมุนติ้วเข้าไปตรงนั้น พอหมุนติ้วเข้าไปตรงนั้น อันนั้นก็เป็นเป้าหมายของการพิจารณาเช่นสภาวธรรมทั้งหลาย ทีนี้มันจะทนได้เหรอ มันก็แตกกระจายเท่านั้นเอง เมื่อแตกกระจายไปแล้วมันก็อิ่มตัวที่นี่
ทีนี้อิ่มตัวครั้งสุดท้ายอิ่มตัวจากการพิจารณาทางรูป อิ่มตัวจากรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสแล้วยังไม่แล้ว อิ่มตัวในการพิจารณารูปกายของเราอีก อิ่มตัวในการพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอีก เมื่อรอบคอบรอบตัวแล้วก็อิ่มตัวๆ มันก็ไปยังอยู่จิตล้วนๆ กับอวิชชา ตัดแล้วสะพานไม่มีทางออกแล้ว ทางไหนก็ออกไม่ได้ ออกทางเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ออกไม่ได้ เพราะรู้เท่าทันแล้ว
เหมือนกับตัดสะพานลงไป ออกทางรูป เสียง กลิ่น รส ยิ่งห่างไกลไปมากไม่ต้องพูดไปเลย เพราะมันขาดเข้ามาๆ ก็เหลือแต่ตัวอวิชชา มันไม่มีที่หลบที่ซ่อนที่นี่ มันก็เด่นดวงอยู่นั้นแหละ เพราะถูกเปิดเผยออกหมด รูปก็เปิดออกมันปกคลุมหุ้มห่ออยู่นั้นด้วย รูปก็เปิดออกด้วย เวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ ก็เปิดออกๆ เวทนาส่วนหยาบส่วนละเอียดเหล่านี้ ส่วนละเอียดสุดมันยังมีอยู่ในอวิชชา เมื่อเปิดอวิชชาออกเมื่อไรมันก็ออกได้ อวิชชายังมีอยู่เวทนานั้นยังมี มันก็เปิดเข้าไป สัญญา สังขาร วิญญาณ เปิดเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายเปิดอวิชชาออก เมื่อเปิดอวิชชาออกแล้วเวทนาก็หมด
เพราะฉะนั้นเรากล้าพูด ผิดหรือถูกก็แล้วแต่ แต่เป็นความถนัดเป็นความประจักษ์ในจิตใจ เราพูดถึงเรื่องพระอรหันต์ผู้ท่านสิ้นกิเลส เราไม่พูดถึงเรื่องเราซึ่งเท่ากับหนูตัวหนึ่ง พระอรหันต์มีเวทนาที่ไหนในจิต เวทนาไหนก็ตามไม่มีในจิตของพระอรหันต์ นั่นละอิ่มตัวที่นี่ เมื่ออิ่มตัวแล้วจิตก็ไม่หลงจิต ไม่หลงสิ่งใดแล้วยังไม่หลงความบริสุทธิ์อีก เมื่ออิ่มตัวแล้วอยู่จึงเรียกว่าอิ่มตัว ไม่คว้าโน้นไม่คว้านี้ ไม่หิวไม่โหย เป็นขั้นๆ เข้าไป อิ่มตัวเป็นขั้นๆ ปล่อยวางเข้าไป อิ่มตัวในสภาพใดสิ่งใดก็ปล่อยตัวเข้ามาๆ จนกระทั่งวาระสุดท้ายอิ่มตัวในจิตและอวิชชา ปล่อยได้เต็มที่แล้ว หมดปัญหาที่จะพูดต่อไป
นั้นละความปลดเปลื้องทุกข์ทั้งหลาย ปลดเปลื้องกันตรงที่อวิชชาสิ้นสุดยุติลงไป ด้วยอำนาจของมหาสติมหาปัญญาศรัทธาความเพียร เรียกว่าสายฟ้าแลบหรือว่าอาวุธที่ทันสมัยที่สุด ยุติกันลงตรงนั้น ทีนี้อยู่ไหนก็อยู่ มันหมดเรื่องสมมุติภายในหัวใจแล้วอยู่ก็ว่ากันไป ไปก็ว่ากันไป มืดแจ้งเท่านั้นแหละ ปีเดือน วันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง เห็นไปอย่างนั้นเหมือนบ้า ว่าแต่ไม่หลงก็จะเป็นอะไรไป ว่าด้วยหลงด้วยเข้าท่าอะไร
นั่นแหละจิตตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมาโดยลำดับลำดา แทบล้มแทบตาย แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน แทบจะเสียผู้เสียคน เพราะกิเลสตัณหาอาสวะมันเหยียบย่ำทำลาย แต่เพราะความมุมานะของเราผู้เป็นนักปฏิบัติ มันพ้นวิสัยของเราไปไม่ได้ ขอให้จริงจังเถอะ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีปัญหาแล้ว กับคำว่ามัชฌิมานี้ที่จะแก้กิเลสตัวใดไม่ได้ไม่มีปัญหา มัชฌิมาทุกประเภทสามารถแก้กิเลสได้ทุกประเภทของกิเลส ไม่มีกิเลสตัวใดจะมีความฉลาดแหลมคมและเหนือสติปัญญาที่เป็นมรรคนี้ไปได้ จึงเรียกว่ามัชฌิมา แปลว่าความเหมาะสมในการแก้กิเลสทุกประเภท เราแปลด้วยความถนัดใจเรา
ทุกข์ขนาดไหนก็มีเวลาปลดเปลื้องได้การประกอบความพากเพียร มีที่ยุติกัน ระงับดับกัน และดับไปตลอดสายด้วยไม่มีอะไรเหลือ ภาระภารังอะไรที่เราแทบล้มแทบตายมาก็มีที่ปลดที่เปลื้อง มีที่ยุติกันได้สบาย งานของโลกมีที่ไหนที่จะให้มีเวลาหยุดยั้ง จนกระทั่งวันตายงานก็ยังไม่สิ้นสุด ตายจากการจากงาน ตายจากเพื่อนฝูง ตายจากพ่อจากแม่ญาติวงศ์สามีภรรยา ตายจากสังขารร่างกาย ตายไปทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ยังไม่เสร็จไม่สิ้นจะว่าไง แต่งานอันนี้เป็นงานที่เสร็จสิ้นลงได้ งานปราบกิเลสนี่มีทางสุดสิ้น มีเวลาสุดสิ้นลงได้ เมื่อกิเลสมันราบลงหมดไม่มีกิเลสใดเหลืออยู่ภายในจิตใจแล้ว งานนั้นก็หมดไป ท่านจึงเรียกว่า วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ แปลว่า เสร็จงาน พูดง่ายๆ ว่าอย่างนี้เลย เสร็จงาน
การประพฤติพรหมจรรย์ก็คือการต่อสู้กับกิเลสนั่นเอง งานคือการต่อสู้กิเลสนั้นเสร็จสิ้นลงไปแล้วเพราะกิเลสมันดับหมดแล้ว ตายหมดแล้ว หมอบราบแล้ว การประกอบความเพียรของท่านเพื่อวิหารธรรม ความอยู่สะดวกสบายระหว่างขันธ์กับจิต นั้นมันเป็นตามอัธยาศัยของแต่ละองค์ๆ อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องของกิเลส ทำไปอย่างนั้นละจะว่าไง ก็เหมือนการกินอยู่หลับนอนธาตุขันธ์ของเรานี่แหละ เมื่อยังไม่ตายก็ต้องมีการกินอยู่หลับนอนเป็นธรรมดาอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของเราที่จะต้องปฏิบัติ เพราะเป็นสิ่งที่จะรู้อยู่กับตัวทุกคนๆ ว่าควรนอนควรพักผ่อน ควรกินควรดื่ม ควรยืนควรเดิน มันรู้ด้วยกันทุกคน ที่เป็นความจำเป็นจะต้องปฏิบัติต่อขันธ์นี้อย่างไร นั่นท่านก็รู้อย่างนั้นเหมือนกัน ในการปฏิบัติต่อขันธ์ระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่ด้วยกัน ยังไม่สลายตัวไป ต้องปฏิบัติอย่างนั้น แต่ว่าภาระอันใหญ่หลวงที่เคยกดถ่วงจิตใจมาเป็นเวลานานและหนักอึ้งยิ่งกว่าสิ่งใดๆ นั้น ท่านปลดเปลื้องลงได้แล้วไม่มีสิ่งใดเหลือ
เราก็เอาซีเราเป็นนักรบไม่ใช่นักหลบ รบจริงๆ เอาจริงเอาจัง ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ เรื่องมรรคผลนิพพานไม่ต้องสงสัย สงสัยไปหาอะไร ธรรมพระพุทธเจ้าทุกบททุกบาทสอนเพื่อมรรคผลนิพพานทั้งนั้น ไม่ได้สอนเพื่อโมฆะนี่นะ เราสงสัยไปไหน ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องของกิเลสมาหลอกเราต่างหากนี่นะ เอาซิเอาให้มั่นซิ ศรัทธาเชื่อต่อมรรคต่อผล เชื่อต่อความสามารถของตัวเองซิ วิริยะเพียรเข้าไป ฉันทะความพอใจ จิตตะให้จิตรอบตัวอยู่นั้น ฝักใฝ่รักความเพียร วิมังสาใคร่ครวญพินิจพิจารณา อย่าทำแบบเซ่อๆ ซ่าๆ หาสติปัญญาไม่ได้ไม่เกิดประโยชน์ กิเลสหัวเราะ เอาแค่นี้ละ ต่อไปนี้ให้ท่านปัญญาอธิบายให้หมู่เพื่อนฟัง
*********** |