คิดบัญชีตัวเราเอง
วันที่ 31 มีนาคม 2508 ความยาว 43.25 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมคณะหมออวย เกตุสิงห์ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘

คิดบัญชีตัวเราเอง

 

ขณะที่เรานั่งฟังเทศน์ โปรดทำใจให้สบาย ทำความรู้สึกไว้กับใจโดยเฉพาะ คือไม่สนใจหรือคาดเอาไว้ว่าท่านจะเทศน์เรื่องอะไรบ้าง และไม่ส่งจิตใจมาอยู่สถานที่ท่านเทศน์ หรือสิ่งที่ท่านจะเทศน์ แต่ส่งใจเข้าสู่ความรู้สึกของตน เมื่อจิตได้ตั้งอยู่เฉพาะความรู้สึกที่จะรอรับสัมผัสแห่งธรรมนั้น ย่อมเป็นขึ้นในที่นั่น จิตเมื่อได้รับความสัมผัสจากธรรมไม่ขาดระยะ ความรู้สึกของจิตที่จะสืบต่อกับธรรมะก็ไม่ขาดวรรคขาดตอน ตอนนั้นจิตก็ลืมคิดกับเรื่องภายนอก และค่อยมีความสงบขึ้นเป็นลำดับๆ ในขณะที่ฟังเทศน์

เวลานี้เป็นโอกาสอันดีที่บรรดาท่านนักใจบุญทั้งหลายได้มาเสาะแสวงหาบุญ พูดง่ายๆ ก็คือเรามาคิดบัญชีของเรา บัญชีในตัวของเราเอง เรื่องคิดอ่านกับกิจการงานภายนอกเราก็ได้ทำมาพอสมควร บัดนี้เราพยายามจะคิดเรื่องบัญชีภายในตัวของเรา การพิจารณาเรื่องความเป็นมาแห่งอัตภาพร่างกายของเรา แม้จะไม่สามารถรู้ได้ในอดีตชาติที่เคยเป็นมาก็ตาม เราก็ถือเอาอัตภาพที่ปรากฏอยู่กับตัวของเรา ณ บัดนี้ ขึ้นมาพิสูจน์พิจารณาถึงความเป็นมาแห่งกาย นับตั้งแต่วันเริ่มแรกมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ กิจการงานที่ร่างกายต้องจัดต้องทำเป็นประจำมาจนถึงวันนี้มีมากเท่าไร ผลรายได้มีเท่าไรและเสียไปเท่าไร ต่อจากนี้ไปจะเป็นเวลานานเท่าไร ที่ร่างกายของเรานี้จะทำธุระหน้าที่ให้เราได้ตามต้องการ เราต้องคิดบัญชีของเราอย่างนี้

เพราะทุกสิ่งในส่วนร่างกายของเรานี้ ถ้าเทียบถึงการเดินทางแล้วก็ไม่มีวันหยุด ถึงเราจะนอน ส่วนร่างกายที่แปรสภาพอยู่ตามปรกติของเขาทุกๆ อาการก็ไม่ได้นิ่งนอนอยู่เหมือนอย่างเรา มีความแปรไปอยู่เช่นนั้น แปรไปเป็นลำดับๆ จนถึงจุดสุดท้าย นี่เรื่องของส่วนร่างกายเป็นเช่นนั้น ส่วนอาการของจิตที่คิดอยู่ภายในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นลำดับเช่นเดียวกัน การคิดบัญชีโดยวิธีนี้เป็นเหตุที่ให้เราได้ชั่งน้ำหนักคือผลประโยชน์ที่เราได้มาแล้ว และที่จะได้ไปข้างหน้า มารวมกันจะได้ประมาณสักเท่าไร เป็นเหตุจะไม่ให้เรานิ่งนอนใจในความเป็นอยู่แห่งสกลกายเรานี้ และเป็นเหตุให้มีการวิ่งเต้นขวนขวาย เพื่อหาคุณงามความดีอันเป็นสมบัติของใจที่จะไปสร้างโลกใหม่ขึ้นมา

โลกนี้เรียกว่าโลกปัจจุบัน ได้แก่ร่างกายของเรา โลกที่ผ่านมาแล้วคือภพคือชาติที่เป็นมาแล้ว ดับสูญไปแล้ว แตกสลายไปแล้ว นั้นเป็นโลกเก่า โลกที่เราปรากฏอยู่บัดนี้ในร่างกายของเรา นี่เป็นโลกปัจจุบัน โลกอนาคตที่เราจะไปครองข้างหน้านั้นจะเป็นโลกอะไร เราต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ เตรียมพร้อมทรัพย์สมบัติภายในใจเพื่อใจดวงนี้ แม้จะทำด้วยกาย พูดด้วยวาจา คิดทางใจในทางที่ถูกที่เป็นกุศล ก็ต้องเป็นเรื่องเพื่อใจ คือสั่งสมทรัพย์สมบัติภายในไว้อย่างพร้อมมูล ในขณะที่สังขารร่างกายอันเป็นเครื่องมือของเรายังมีอยู่ซึ่งพอจะดำเนินไปได้ เราก็ต้องอาศัยร่างกายอันนี้เป็นเครื่องดำเนิน

เช่นจะให้ทานอย่างนี้ ก็ต้องอาศัยส่วนร่างกายไปเสาะแสวงหามาได้ด้วยความบริสุทธิ์แล้วให้ทานไป การได้มาก็ได้ด้วยร่างกาย การแบ่งเป็นทานก็แบ่งด้วยกาย ยกให้เป็นทานก็ต้องอาศัยกายนี้เป็นเครื่องมือ นี่เป็นเครื่องมือสำหรับเราที่จะทำกิจธุระหน้าที่ใดๆ ร่างกายอันนี้ท่านเรียกว่าขันธ์ คือรวมกันอยู่เป็นหมวดเป็นหมู่ เมื่อผสมกันเข้าแล้วท่านให้ชื่อว่าร่างกาย หรือว่าสังขาร สังขาร แปลว่า ส่วนผสม ไม่ใช่เป็นเอกเทศอยู่เฉพาะตนเอง เมื่อเป็นส่วนผสมแล้วก็ย่อมมีความสลายแปรลงไปตามเรื่องของเขา เราผู้เป็นเจ้าของคือใจซึ่งครองอยู่นี้ จึงควรให้มีความฉลาดรอบคอบต่อเรื่องของขันธ์ จะพาจัดพาทำอะไรในเวลามีชีวิตอยู่นี้

เพราะโลกเก่าเราก็ผ่านมาแล้ว มาถึงโลกปัจจุบัน ณ บัดนี้ จากนี้ก็จะไปโลกหน้าคือโลกใหม่ ได้แก่ออกจากร่างนี้แล้วก็จะไปร่างนั้น จะเป็นร่างใดนั้นแล้วแต่อำนาจของกรรมที่กายวาจาใจของเราได้สั่งสมเอาไว้ด้วยใจเป็นผู้บงการ เราอย่าให้เสียท่าเสียทีที่ได้ผ่านโลกอันนี้มานาน โลกอันนี้ไม่ใช่เป็นโลกที่จะควรสงสัย เพราะเป็นโลกที่เราเคยอยู่เคยหลับเคยนอนเคยไปเคยมา เคยสุขเคยทุกข์ สิ่งเหล่านี้ได้ผ่านมาด้วยกันทุกคน จึงไม่น่าสงสัยว่าจะเป็นอะไรต่อไปอีก นอกจากจะเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดกาลของเขาเท่านั้น สำคัญที่เราจะพยายามดำเนินตัวของเราให้ก้าวขึ้นอันดับสูงกว่านี้เป็นลำดับไป ด้วยความขยันหมั่นเพียรหรือด้วยความเฉลียวฉลาด รอบรู้เรื่องความเป็นไปหรือความเป็นอยู่ของเรา นั่นละเป็นหลักสำคัญ

เรื่องของใจแล้วอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะเรื่องเกิดกับเรื่องตายเป็นเรื่องของใจ ธาตุขันธ์ที่จะมาผสมกันเข้าเป็นรูปร่างกลางตัวของเราของท่าน เป็นขึ้นมาจากใจเป็นหลักสำคัญ ถ้าเพียงแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟเท่านี้ไม่มีความรู้สึกคือใจเข้าแทรกสิงเป็นเจ้าเรือนแล้ว ก็ไม่ผิดอะไรกับต้นไม้ภูเขาซึ่งเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟเหมือนกัน ที่ผิดจากสิ่งเหล่านั้นก็เนื่องจากใจซึ่งเป็นผู้ครองร่างนี้อยู่ รู้ดีรู้ชั่ว รู้สุขรู้ทุกข์ รู้ร้อนรู้หนาว รู้ทุกอย่าง คำที่ว่าไม่รู้แล้วเป็นไม่มีสำหรับเรื่องของจิต แต่เราจะปฏิบัติต่อความรู้ที่รู้นั้นด้วยอุบายปัญญาแยบคายขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความแยบคายอันหนึ่ง ซึ่งก็เกิดขึ้นจากจิตอีกเหมือนกัน นี่ท่านให้ชื่อว่าปัญญา ความฉลาดรอบตัว

การที่เรานั่งภาวนาเพื่อความสงบของจิตใจนี้ ก็คือการคิดบัญชีตัวเองและสั่งสมคุณงามความดีให้มากขึ้น เตรียมพร้อมไว้ที่จะต่อสู้ในวาระสำคัญ การนั่งภาวนา การเดินจงกรม การทำคุณงามความดีทุกอย่าง แม้จะเป็นการยากการลำบาก หรือว่าเป็นความทุกข์ทรมานอยู่บ้างก็ตาม แต่เราควรจะคิดถึงเรื่องความทุกข์ที่มากยิ่งกว่านี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเราในอนาคตนั้น จะเป็นทุกข์ขนาดไหน เราควรจะคิดไว้และเตรียมพร้อมไว้ แม้จะมีความทุกข์ยากลำบากอยู่บ้างก็ทุกข์เพื่อเราไม่ใช่ทุกข์เพื่อใคร การรักษาศีลก็ต้องเป็นทุกข์ คือไม่ได้ทำตามใจหวัง เราจะทำอะไรก็มีข้อห้ามมีกฎเกณฑ์บังคับ กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นรั้วกั้นที่จะไปในทางผิดของเรา นี่ก็เป็นความลำบากอันหนึ่ง แต่ก็กลายเข้ามาเป็นความเย็นใจสำหรับเราเมื่อรักษาไว้ได้

การอบรมจิตใจเพื่อความสงบเยือกเย็นเห็นผลประจักษ์ภายในจิตใจของตัวเอง ก็ต้องเป็นความทุกข์ความลำบากอยู่บ้าง ไม่ว่ารายใดต้องเป็นเช่นเดียวกัน เพราะคำว่าการกระทำแล้วต้องมีทุกข์แฝงอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ภาวนาท่านก็เรียกว่าการกระทำ เพื่อจะให้เห็นผล ต้องมีทุกข์บ้างลำบากบ้างเป็นธรรมดา ความทุกข์ความลำบากถ้าเราจะถือสิ่งเหล่านี้มาเป็นหัวหน้าหรือมาเป็นผู้นำเราแล้ว เราก็จะไปถึงจุดประสงค์ไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่เคยเห็นรายใดเลยว่าได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง หรือสมความมุ่งมาดปรารถนาเพราะความเกียจคร้านเป็นผู้นำ นอกจากความขยันหมั่นเพียรบึกบึนอดทนต่อกิจการที่ชอบ ซึ่งตนเห็นแล้วว่าจะเป็นผลประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมเท่านั้น แล้วอุตส่าห์พยายาม ยากก็ทำ ง่ายก็ทำ จะลำบากขนาดไหนก็ทำ นี่เป็นทางที่จะนำเราให้พ้นจากทุกข์เป็นลำดับๆ ไปไม่ว่าทางโลกทางธรรม

คนเกียจคร้านจะทำงานทางโลกก็ไม่พออยู่พอกิน ไปที่ไหนหมู่เพื่อนก็รังเกียจ ผู้เป็นนักบวชเข้ามาบวชในพระศาสนาเป็นคนเกียจคร้าน ก็ทำให้หนักวัดหนักวา หนักอกหนักใจครูบาอาจารย์และหมู่เพื่อน ตลอดถึงประชาชนที่มาเกี่ยวข้อง ไม่อยากจะเคารพกราบไหว้เพราะเห็นพระเกียจคร้าน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะหลักธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกบททุกบาท ไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นมาจากความเกียจคร้าน ความอ่อนแอ แต่เกิดขึ้นมาจากความขยันหมั่นเพียรทั้งนั้น

พระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทัน ก็เนื่องจากความขยันหมั่นเพียรเป็นพื้นฐานจนถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่มีขณะใดที่ธรรมะจะเกิดขึ้นในพระพุทธเจ้าและสาวกเพราะอำนาจแห่งความขี้เกียจขี้คร้าน ความเห็นแก่หลับแก่นอน ความเห็นแก่ตัวโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลที่จะได้รับความทุกข์ร้อนหรือไม่ เมื่อเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า หนักก็ตาม เบาก็ตาม ทุกข์ก็ตาม จะลำบากแค่ไหนก็ตาม ก็ชื่อว่าเราเดินทางหรือตามเสด็จพระพุทธเจ้า ไม่เป็นสิ่งที่จะควรให้เกิดความอิดหนาระอาใจ เราไปถึงไหนสุดความสามารถแล้ว เราก็ต้องอยู่ที่นั่น ผลที่เราจะพึงได้รับซึ่งเกิดขึ้นจากการวิ่งเต้นขวนขวายของเราไม่ได้เสื่อมสูญไปไหน ดังทุกๆ ท่านที่ได้อุตส่าห์มาด้วยความเสียสละทุกๆ ด้านนี้ จึงเป็นที่น่าอนุโมทนาและเห็นใจอย่างยิ่งในความอุตส่าห์พยายามทุกๆ ด้าน การทำทั้งนี้หรือการอุตส่าห์ทั้งนี้ก็เพื่อเราทั้งนั้น

หลักของการภาวนา ก็เคยได้เรียนให้ท่านทั้งหลายได้ทราบมาหลายครั้งแล้ว ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นไปเพื่อความสงบเยือกเย็น นั่งภาวนาทำยังไงเวทนาจึงจะไม่รบกวน นี่เราคงจะมาคิดเพียงแง่ว่า เรานั่งภาวนาเวทนารบกวน เราอยู่เฉยๆ เวทนาก็รบกวนเหมือนกันตอนนั้น แต่เราไม่เอาเรื่องกับเขา แต่เรามาเอาเรื่องตอนนั่งภาวนาเวทนารบกวน นี่รู้สึกว่าจะเป็นอุปสรรคต่อเราตอนนี้ ถ้าหากว่าเวทนารบกวนเราต้องถือว่าเวทนานี้มีอยู่ทุกแห่งทุกหนในกายของเรา มีอยู่ทุกเวลา เราจะเดินไปไหนก็ต้องมีทุกขเวทนา นั่งที่ไหนนั่งนานก็ต้องเป็นทุกขเวทนา ทำกิจการงานทุกอย่างทั้งหนักทั้งเบาต้องเป็นทุกขเวทนาทั้งนั้น เวลามานั่งภาวนาก็ต้องเป็นทุกขเวทนาเหมือนกัน ให้เราเทียบเคียงออกไปกว้างๆ อย่างนี้ เราก็จะมีทางนั่งต่อสู้กับเวทนา ให้รู้เรื่องของเวทนา เพื่อผลประโยชน์ที่เราจะให้เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา

ถ้าเราจะมาคิดเจาะจงเฉพาะการภาวนาเกิดทุกข์ เป็นความลำบากนี้ ก็จะเป็นเหตุให้ท้อใจไม่อยากนั่งภาวนา คือกลัวทุกข์ก่อนแล้ว พอเริ่มจะนั่งภาวนาทั้งๆ ที่ทุกข์ยังไม่เกิด ก็คล้ายกับว่าทุกข์มานั่งอยู่ต่อหน้าเรานี้แล้ว ให้เห็นทุกข์ก่อนนั่งภาวนา นี่ก็ทำความท้อใจให้เราไม่อยากจะทำ ผิดถูกเราไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องของทุกข์ แต่สนใจกับผลประโยชน์ที่จะพึงได้จากการกระทำของเรามากน้อย เมื่อทุกข์มากเราก็หยุดได้ ผ่อนผันสั้นยาวกันไป

เพราะเรื่องของขันธ์ถ้าเราจะบังคับบัญชา หักโหมจนเกินไปก็ไม่ดี เพราะเป็นเครื่องมือที่เราจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เป็นเวลานาน หากว่าเรามีความประหยัดหรือรู้จักประมาณในการใช้ขันธ์ของเรา ก็เช่นเดียวกับเครื่องมือต่างๆ ที่เรานำมาใช้เป็นประโยชน์ในบ้านในเรือนของเรา ถ้าว่าควรจะได้ผลในขณะนั้น ถึงจะทุกข์ลำบากมากขนาดไหนแต่จะเป็นคติอันหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในเวลานั้นแล้ว เราก็รีบตักตวง พอสละเป็นสละตายก็สละในเวลานั้น เพื่อผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่อันอาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะนั้น อย่างนี้เราก็ต้องต่อสู้

เพราะการภาวนานั้น ถ้าหากว่าสบเหมาะเข้าในเวลาใด ผลย่อมปรากฏขึ้นในเวลานั้น บางครั้งไม่นานผลก็ปรากฏขึ้นให้เห็นประจักษ์ บางครั้งก็ต่อสู้กันเป็นเวลาหลายชั่วโมง บางครั้งถึง ๖ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง ยังต่อสู้กับเวทนาอยู่ ยังไม่ได้ผลอะไรเลย นอกจากเห็นแต่ผลที่เป็นทุกข์ขึ้นมาภายในตัว ซึ่งเกี่ยวกับการนั่งมากนั้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อจิตมีความสามารถอาจหาญต่อสู้กับเวทนา และสนใจที่จะรู้เรื่องกับเวทนาที่เกิดขึ้นภายในกายของเราด้วยสติด้วยปัญญา มีความเพียรเป็นเครื่องหนุนหลังแล้ว เรื่องทุกขเวทนาที่ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดและเป็นเครื่องทับถมจิตใจของเราอยู่นั้น ก็ไม่ทนต่อสติกับปัญญาไปได้ สามารถจะรู้เรื่องของกันและกัน และเวทนาก็ดับลงได้ในปัจจุบันนั้น จิตก็รวมลงได้อย่างสนิท เกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นในเวลานั้น นอกจากนั้นยังเป็นคติอันสำคัญที่เราจะถือเอาเป็นเครื่องดำเนินในเวลาต่อไป

         ที่กล่าวถึงเรื่องทุกขเวทนาอย่างหยาบที่ว่าหนักมากนี้ เพื่อท่านผู้บำเพ็ญเป็นบางเวลาจะได้ถือเป็นคติ ในกาลที่ควรจะต่อสู้กันก็ต้องต่อสู้อย่างนั้น ในขณะที่เวทนาได้ดับไปด้วยอำนาจของการพิจารณารู้ชัดนั้น จะเป็นของแปลกประหลาดกว่าเวทนาที่ดับไปธรรมดาของตน จิตก็จะเป็นจิตแปลกประหลาดและอัศจรรย์ยิ่งในขณะนั้น เมื่อถอนออกมาแล้วก็ได้ความอาจหาญร่าเริงต่อวิธีการดำเนินของตนในกาลข้างหน้า และเป็นสิ่งที่จะเชื่อมั่นในตนของตนว่าถึงวาระสุดท้าย พูดง่ายๆ ก็คือว่าถึงคราวที่เราจะตายจริงๆ เรื่องของทุกขเวทนานี้เท่านั้นจะเป็นเรื่องใหญ่โตที่สุดในเวลาเช่นนั้น หากว่าเราไม่สามารถจะพิจารณาให้รู้เรื่องของเวทนาเหล่านั้นเสียตั้งแต่บัดนี้ หรือเราไม่สามารถจะพิจารณาให้รู้ร่องรู้รอยเขาไว้บ้างตั้งแต่บัดนี้ ถ้าถึงเวลาเช่นนั้นแล้วเราจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไรบ้าง นี่เราก็ต้องเสียหลักอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการอบรมจิตใจนี้ จึงเพื่อการต่อสู้เพื่อเอาชัยชนะมาสู่ตนเองหลายทางเหมือนกัน

         ทางปัจจุบันก็คือให้รู้ให้เห็นประจักษ์ แล้วเป็นความสงบสุขเยือกเย็นเห็นผลประจักษ์ขึ้นมาภายในใจของตน นี่อันหนึ่ง วาระต่อไปเราก็จะเป็นผู้แน่ใจในคติคือความเป็นไปของเรา ว่าอย่างไรก็ไม่ตกต่ำเพราะจิตของเราได้อบรม จนปรากฏมีความสงบเยือกเย็นและกล้าหาญต่อเรื่องของทุกขเวทนาที่จะผ่านมาข้างหน้าแล้ว ไม่มีทุกขเวทนาตัวไหนจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมา พอจะหลอกหลอนให้เราหลงได้ในเวลาจะตาย ถ้าเราได้รู้ชัดเห็นชัดเขาเสียตั้งแต่ต้นมือด้วยการภาวนาของเรานี้แล้ว

         ดังนั้นพระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี จึงไม่ปรากฏว่าพระองค์ใดได้มีความเหลวไหลต่อทุกขเวทนาในขณะที่พระองค์ท่านจะนิพพาน หรือสาวกทั้งหลายท่านนิพพาน ก็ปรากฏแต่ว่านิพพานไปอย่างสะดวกสบาย ไม่ปรากฏว่าได้ลุ่มหลงต่อเวทนาอะไรเลย เนื่องจากจิตท่านได้ฝึกฝนอบรมท่านมาจนชำนิชำนาญ และรู้เท่าทันซึ่งเวทนาที่มีอยู่กับกายและกับใจของตนโดยละเอียดแล้ว ท่านจึงเป็นผู้นอกสมมุติทั้งๆ ที่อยู่ในขันธ์อันเป็นก้อนสมมุติเช่นเดียวกับเรา และที่ผ่านขันธ์ไปแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ในวงสมมุติ นี่อำนาจหรืออานิสงส์แห่งการอบรมจิตใจต้องเป็นผลเช่นนี้ เรื่องการเกิดการตายซึ่งเป็นปัญหาอันใหญ่โตสำหรับเราผู้ซึ่งก็เคยเกิดเคยตายด้วยกันมา ก็จะเป็นเรื่องที่เบาบางลงไปเป็นลำดับ จนถึงกับว่าสิ้นสงสัยในปัญหาเหล่านี้ โดยถือหลักปัจจุบันของจิตเป็นสักขีพยาน ว่าหมดแล้วซึ่งเชื้อที่จะให้เกิดต่อไปอีก

เชื้อของภพของชาติก็ได้แก่สิ่งเคลือบแฝงภายในจิตใจ ตามหลักธรรมท่านกล่าวไว้ในส่วนละเอียดว่า อวิชฺชาปจฺจยา คำว่าอวิชชาไม่ใช่ธรรมส่วนหยาบ เป็นธรรมส่วนละเอียด หมายถึงจิตล้วนๆ ธรรมชาตินั้นแลที่เป็นเชื้อให้ปรากฏภพปรากฏชาติ ปรากฏเป็นรูปร่างกลางตัว เป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมาให้เราเห็นอยู่ทั่วโลก คือเกิดก็เป็นไปอยู่ทั่วโลกทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ตายก็เป็นไปอยู่ทั่วโลกทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ไม่ปิดบังกันได้ในเรื่องเกิดกับตาย เพราะอำนาจของอวิชชาดวงนี้เองที่เป็นเชื้ออันสำคัญ แต่ธรรมชาตินี้เราไม่สามารถจะมองเห็นด้วยตาเนื้อ

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้พิจารณาทางด้านปัญญา ค้นคว้าดูเรื่องที่มีอยู่กับตัว สิ่งภายนอกเราทำไมสามารถมองรู้หรือทะลุปรุโปร่งไปหมด รู้ชัดตามเรื่องของเขาที่เป็นที่มีอยู่ แต่สิ่งภายในคือเรื่องของใจของเราก็เป็นของมีอยู่เช่นเดียวกันกับสิ่งภายนอกเหล่านั้น ทั้งๆ ก็รู้อยู่ตลอดเวลา ทำไมเราจะไม่สามารถรู้เรื่องความเป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไปของจิต

เรียนทุกอย่างเราก็พอจะเรียนจบ แต่เรื่องเรียนจิตนี้ทำไมจะเรียนไม่จบถ้าเราตั้งใจเรียนจริงๆ เพราะเรื่องของจิตเป็นเรื่องของเรา จิตก็เป็นจิตของเรา เรื่องกิเลสตัณหาอาสวะไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดจะนำมาพอกพูนหรือเอามาทิ้งให้เรา แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากความบกพร่องของเราที่ไม่รอบคอบต่อสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นก็มีช่องทางที่จะรั่วไหลเข้ามาสู่จิตใจของเราได้ ใจของเราก็กลายเป็นภาชนะสำหรับที่จะรับรองสิ่งเหล่านั้นไว้ให้เป็นเชื้อ และเป็นเครื่องรบกวนตนเองอยู่ตลอดเวลา

ปัญญาที่พระองค์ท่านสอนไว้ว่า สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป ได้นำเข้ามาพินิจพิจารณาภายในจิตใจของเราแล้ว เราต้องทราบวิถีทางเดินของใจ จะไปในทางดีทางชั่วต้องรู้ คิดเป็นกิเลสหรือคิดเป็นธรรมะก็รู้ คิดเพื่อถอดถอนกิเลสหรือคิดเพื่อสั่งสมกิเลสก็รู้ มีละเอียดขนาดไหนปัญญาก็ละเอียดไปตามกัน เมื่อสิ่งละเอียดต่อสิ่งละเอียดเข้าถึงกันแล้ว ก็ปรากฏเป็นความจริงขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเป็นพระพุทธเจ้าที่จริงทั้งองค์ สาวกก็เป็นสาวกอรหันต์จริงทั้งองค์ ไม่มีปลอมแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง

ก็ธรรมะของท่านเมื่อเรานำมาปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามหลักของสวากขาตธรรมแล้วเราจะเป็นคนปลอมมาจากที่ไหน เพราะธรรมะก็เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า ทุกขสัจ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือที่เรียกว่า อริยสัจ ก็เป็นอันเดียวกัน สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโปจนถึงสัมมาสมาธิก็เป็นธรรมออกจากพระโอษฐ์พระองค์เดียว มาแก้ก็มาแก้กิเลสประเภทเดียวกัน ผลที่จะพึงได้รับจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นไปเพื่อความหมดจดพ้นทุกข์ได้ด้วยกัน จะต่างอยู่บ้างก็เพียงช้ากับเร็วเท่านั้น ตามความอุตส่าห์พยายามที่ตนทำได้มากน้อย

แม้จะยังไม่ได้หลุดพ้นไปตามพระพุทธเจ้า ผลที่จะพึงตามสนองเราในภพนั้นๆ ก็จะเป็นภพชาติที่พึงพอใจ ด้วยอำนาจแห่งกุศลที่เราได้ก่อร่างสร้างเอาไว้ เป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจของเรา เช่นเดียวกับต้นผลไม้ที่เจ้าของนำไปปลูกในพื้นที่อันดี สมบูรณ์ด้วยปุ๋ยด้วยน้ำ ย่อมจะเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และผลิดอกออกผลให้เป็นที่พึงพอใจ ผลศีล ผลทาน ผลภาวนาของเรา ก็ต้องปรากฏขึ้นภายในจิตเช่นนั้นเหมือนกัน

ฉะนั้นขอบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย โปรดได้ทำความพยายามปรับปรุงตัวของเราให้ได้ในวันหนึ่งๆ อย่าให้เสียเวล่ำเวลาที่ผ่านไปๆ ผลประโยชน์ที่เราจะพึงได้ก็เป็นสิ่งที่เราจะได้รับเป็นลำดับๆ ไปตามประโยคพยายามของเรา จึงขอยุติธรรมเทศนาเพียงเท่านี้ เอวัง

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก