เทศน์อบรมฆราวาส ณ บ้านต้นสน ริมลำน้ำกก จ.เชียงราย
โดย ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน
วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ผู้สิ้นทุกข์
(กราบนมัสการพระเดชพระคุณ พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน กระผมนายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในนามพุทธศาสนิกชนชาวเชียงราย มีความซาบซึ้งในเมตตาธรรมของพระเดชพระคุณ พระธรรมวิสุทธิมงคลเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านได้มาแสดงธรรมเพื่อให้ชาวจังหวัดเชียงรายและผู้มีจิตศรัทธาในวันนี้ กระผมและพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงรายและพุทธศาสนิกชนอีกหลายๆ จังหวัดทั่วประเทศ ต่างตระหนักในความสำคัญ และประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศชาติ เพื่อแสดงให้ปวงชนทั่วไปทั้งในและต่างประเทศเห็นถึงความสามัคคี ความเสียสละของประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ที่มุ่งจะช่วยเหลือชาติบ้านเมืองให้มีความมั่นคงสถาพรตามกำลังที่จะกระทำได้
ให้ทุกคนเห็นและภูมิใจถึงศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย ที่ร่วมมือร่วมใจกันเพื่อส่วนรวม นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายพร้อมที่จะนำธรรมะที่ได้รับไปปฏิบัติในกิจกรรมประจำวันภายในครอบครัว ชุมชน และหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่ความสันติสุขของส่วนรวม จึงได้ร่วมกันจัดโครงการแสดงธรรมะ และทอดผ้าป่าช่วยชาติขึ้นในวันนี้ ในโอกาสนี้อันเป็นมงคล กระผมขออาราธนาพระเดชพระคุณท่านได้แสดงธรรมะ และรับผ้าป่าช่วยชาติในลำดับต่อไป ขอกราบนมัสการ)
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวจังหวัดเชียงราย และแถวใกล้เคียง กระจายออกไปถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งท่านผู้รักชาติและมีศรัทธาความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาบำเพ็ญประโยชน์ต่อชาติของตนอย่างมากมาย โดยมี ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคุณหญิงสุธาวัลย์ เสถียรไทย ภรรยา คุณสันติธาร เสถียรไทย บุตรชาย ดร.สุนทร-คุณหญิงเกื้อกูล เสถียรไทย บิดามารดาของท่านรัฐมนตรีฯ และนายศรีพรหม หอมยก รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นประธานในงานแห่งชาติของเราคราวนี้ รู้สึกว่าเป็นมหามงคล และเป็นเกียรติต่อชาติไทยของเราทั้งประเทศเป็นอย่างมาก
เพราะงานช่วยชาติไม่ใช่งานเล็กน้อย เป็นงานใหญ่โตสำหรับคนไทยทุกๆ ท่าน ด้วยความรักชาติของตนเอง ที่จะต้องได้อุตส่าห์พยายามดูแลรักษาทุกด้านทุกทาง จนกระทั่งได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาในสิ่งที่ไม่คาดไม่คิดต่อประเทศไทยของเรา จะทำชาติไทยของเราให้ล่มจมลงไป เพราะอำนาจแห่งพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ ซึ่งมีประธาน มีหัวหน้ามาเป็นลำดับ ตั้งแต่สูงสุดจนกระทั่งถึงพี่น้องชาวไทยทุกๆ ท่าน ได้มีความสะดุดใจและอุตส่าห์พยายามช่วยเหลือกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมา
งานของเรารู้สึกว่าราบรื่นดีงามมาตั้งแต่ต้น ด้วยความไม่นอนใจของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ ได้อุตส่าห์พยายามขวนขวายด้วยความรักชาติ และต่างท่านต่างเสียสละ มีมากมีน้อยเสียสละลงไปด้วยความรักชาติ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน งานตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้รู้สึกว่าราบรื่นดีงามมาจากพี่น้องชาวไทยที่รักชาติทั้งหลาย ได้อุตส่าห์พยายามทุกวิถีทางด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกันเรื่อยมา เวลานี้ทองคำเราก็ได้ถึง ๘,๐๐๐ กว่ากิโลแล้ว และดอลลาร์ก็ได้ ๘ ล้านกว่า นี่จำไม่ค่อยได้ กว่านี้กว่ามากอยู่นั่นแหละจำไม่ได้ ต่อไปนี้ก็จะได้มอบอีกไม่นาน เดือนธันวาปลายเดือนนี้ก็จะได้มอบอีก ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่แจ่มแจ้งชัดเจนมากขึ้นทีเดียว
นี่ก็ล้วนแล้วตั้งแต่บรรดาพี่น้องทั้งหลายทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่ชาติไทยเราไม่ใช่เป็นชาติแห่งเศรษฐีมีเงินกองเท่าภูเขาเหมือนเมืองเขาเป็นเศรษฐีทั้งหลาย แต่เมืองไทยเราเป็นเมืองที่มีน้ำใจรักชาติ และเป็นนักเสียสละตลอดมา เพราะเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ชาวพุทธย่อมมีจิตใจอันกว้างขวาง ยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ได้ถือชาติชั้นวรรณะสูงต่ำประการใดมาเป็นอุปสรรคกีดขวางความพร้อมเพรียงสามัคคี ซึ่งเป็นเนื้อหนังอันแน่นหนามั่นคงนี้ให้ร่อยหรอกำลังลงไป มีตั้งแต่ความสนับสนุน
ดังจะเห็นได้ในเวลาหลวงตาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย นับตั้งแต่วันประกาศเพื่อเป็นผู้นำเท่านั้น บรรดาพี่น้องทั้งหลายไม่ว่าอยู่ทิศใด แดนใด ภาคใด ไปที่ไหนพร้อมกันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ความรักชาติ ความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงกัน พร้อมกับความรักใคร่ใกล้ชิดต่ออรรถต่อธรรม ฟังอรรถฟังธรรมตลอดไป ไม่เคยปรากฏว่าไปสถานที่หนึ่งที่ใดประชาชนมีจำนวนน้อยไม่ให้ความร่วมมือ อย่างนี้ยังไม่เคยมีเลย ตั้งแต่วันนำพี่น้องทั้งหลายมาเป็นเวลาร่วม ๖ ปีนี้แล้ว มีตั้งแต่เพิ่มกำลังใจของหลวงตาที่มีความเมตตาต่อชาติสุดหัวใจทุกอย่างในชีวิตนี้เพื่อช่วยชาติไทยของเรา จึงเป็นการหนุนกำลังจิตใจให้มีความหนักแน่นมั่นคง และอุตส่าห์พยายามมากขึ้นเป็นลำดับๆ
เช่นวันนี้บรรดาพี่น้องทั้งหลายมีท่านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมทั้งคุณหญิงสุธาวัลย์ซึ่งเป็นภรรยา ตลอดถึงท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายซึ่งมาในงานนี้ ก็มาให้ความร่วมมือร่วมใจด้วยความรักชาติ ด้วยความเสียสละ แล้วก็เป็นเกียรติต่อชาติไทยของเราเป็นอย่างยิ่งด้วยกันในงานนี้ หลวงตาจึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาท่านทั้งหลายผู้มีเกียรติเป็นอย่างมาก ที่มาเสริมสร้างชาติไทยของเราให้มีเกียรติสูงขึ้นไปโดยลำดับ พร้อมกับสมบัติทั้งหลายที่หนุนเข้ามาด้วยความรักชาติ ด้วยความเสียสละก็แน่นหนามั่นคงขึ้นมาโดยลำดับลำดา
หลวงตารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่ให้ความร่วมมือเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมา ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่เคยปรากฏเลยว่าได้ขาดกำลังแห่งความสามัคคีลงไป แม้น้อยไม่ปรากฏ แม้จะไปเทศน์ในสถานที่ใด บ้านนอกคอกนา ไม่ว่าแต่ในเมืองใหญ่เมืองหลวง ไปเทศน์ตามอำเภอบ้านนอกคอกนา จังหวัดในป่าในเขา ประชาชนไม่เป็นป่าเป็นเขา แต่เป็นผู้รักชาติ เป็นผู้เสียสละด้วยความพร้อมเพรียงกันมาโดยลำดับลำดา เสมอกันหมดทั่วประเทศไทยของเรา หลวงตาจึงรู้สึกซาบซึ้งกับพี่น้องทั้งหลายว่า เมืองไทยของเรานี้ต้องอยู่ได้ด้วยความรักชาติดังที่เห็นมาแล้วนี้
ต่อไปก็จะต้องปฏิบัติด้วยความรัก ความสงวนสมบัติเงินทองข้าวของของตนในความรักชาติ ไม่ให้ร่อยหรอ ไม่ให้รั่วไหลแตกซึมไปในแง่ต่าง ๆ ที่จะเป็นความเสียหายแก่ชาติของตน พร้อมกับเมืองไทยเราเป็นเมืองแห่งชาวพุทธ คำว่าชาวพุทธ องค์ศาสดาเป็นผู้เฉลียวฉลาดแหลมคม ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ที่ทรงฉลาดแหลมคมด้วยความสิ้นกิเลส สว่างกระจ่างในพระทัยทุกแง่ทุกมุมในธรรมทั้งหลาย มองเห็นได้ตลอดทั่วถึง นี่เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย เราได้ถือท่านว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เรื่อยมาอย่างถึงใจ ฝากเป็นฝากตาย
จิตใจของพี่น้องชาวไทยจึงเป็นจิตใจที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยความเมตตาเป็นพื้นฐานแห่งความเป็นชาวพุทธ ไปที่ไหนไม่เคยอดอยากขาดแคลน มีความเห็นแก่อกแก่ใจ เมื่อได้เจอความจำเป็นในสถานที่ต่างๆ กับบุคคลที่จำเป็นจริงๆ ช่วยเหลือตนไม่ได้ ก็ได้ช่วยเหลือกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมาทั่วประเทศไทย นี่คือน้ำใจอันกว้างขวางที่ออกจากเมตตา กล้าเสียสละได้ทั้งๆ ที่ไม่ได้เคยรู้เคยเห็นหน้าค่าตากันมาแต่ก่อนแต่ใดเลย แต่ความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือด้วยความเมตตาแก่ผู้จนตรอกจนมุม หากมีเต็มหัวใจ สามารถสละได้ด้วยกันทั่วหน้า ทั่วประเทศไทยของเรา นี่คือพื้นฐานแห่งความเป็นชาวพุทธ และเครื่องหมายแห่งความเป็นชาวพุทธแสดงต่อพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศ
หลวงตาจึงขอขอบคุณกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่ได้ช่วยชาติไทยของเราในคราวนี้ และต่อไปเราก็จะได้ปฏิบัติอย่างนี้เรื่อยๆ ไปด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี ธรรมเท่านั้นที่จะยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เรี่ยราดสาดกระจาย ให้มารวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นกำลัง เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมา ให้เป็นความแน่นหนามั่นคงต่อตนเองและส่วนรวม นี่คือธรรม ธรรมเป็นเครื่องประสาน ไม่ใช่เป็นผู้ยุแหย่ก่อกวน เป็นผู้ทำลาย เที่ยวถีบเที่ยวยัน เที่ยวจุด เที่ยวเผาที่นั่นที่นี่ นั้นคือภัยของธรรม ภัยของศาสนา ท่านให้ชื่อว่ากิเลส กิเลสตัวนี้อยู่กับหัวใจของโลกนั้นแหละ โลกที่ไม่มีศาสนาย่อมแสดงสิ่งเหล่านี้ออกได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งอิดหนาระอาใจสำหรับผู้ได้พบได้เห็น
แต่โลกที่มีธรรมในใจแล้ว ไปที่ไหนมีความสมัครสมานพร้อมเพรียงสามัคคี ไม่ต้องเคยเห็นหน้าค่าตา ชาติ ชั้น วรรณะกันก็ตาม แต่ความดีที่มีต่อกันด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความเชื่อถือกัน ความเสียสละ ความเห็นอกเห็นใจกันนี้ หากเป็นธรรมเครื่องประสับประสานกันเอง ไปที่ไหนสนิทสนมกันทั่วประเทศ หรือทั่วโลกดินแดน หากโลกมีธรรมประสานใจ ถ้าสถานที่ใดมีธรรมในใจมาก สถานที่นั่นจะมีความสงบร่มเย็นเป็นลำดับลำดา เพราะฉะนั้น ธรรมจึงเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอสำหรับแก้ไขดัดแปลง หรือชะล้างสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้ดีขึ้นมาๆ และประสานสิ่งที่แตกกระจัดกระจายให้เข้ามารวมเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นตัวของตัวเข้ามา
นี่คือความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ความเคารพกัน ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน เพราะธรรมท่านกล่าวไว้แล้วว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เมื่อเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันแล้ว ความสุข ความทุกข์ ความลำบากลำบน ความพึ่งพาอาศัยกันต้องมีด้วยกันทุกรูปทุกนาม เมื่อเป็นเช่นนั้นจำเป็นต้องดูแลซึ่งกันและกัน เห็นอกเห็นใจกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกัน นี่เรียกว่าธรรมออกจากพระพุทธเจ้าผู้เลิศเลอ เพราะความกว้างขวางนี้ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า กว้างขวางครอบโลกธาตุ
เวลาสร้างคุณงามความดี ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่พระองค์นี้ไม่เคยมีในพระโพธิสัตว์ ไปที่ไหนยอมเสียสละตลอดไป แม้ที่สุดเวลาจะอดอยากขาดแคลน จะเป็นจะตาย ยอมให้บรรดาบริษัทบริวารได้รับความสุข ได้รับความสมหวังมากกว่าตัวของตัว ตัวจะอดตายก็ตามขอให้บริษัทบริวารได้บรรเทาทุกข์ไปโดยลำดับลำดา ไม่เห็นแก่พระองค์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่จะเอาเท่าไรก็ได้ แต่ไม่ทรงทำอย่างนั้น เพราะความเมตตาเป็นใหญ่มาก เห็นบรรดาสัตว์ทั้งหลาย เพื่อนฝูงบริษัทบริวารที่มีความจำเป็นนี้ มีน้ำหนักยิ่งกว่าพระองค์ พระองค์จึงทรงเสียสละเพื่อบรรดาบริษัทบริวารทั้งหลายตลอดมา จนได้มาเป็นพระพุทธเจ้า ก็ทรงเสียสละตลอดมาไม่เคยลดละเลย
ความเสียสละด้วยความเมตตาสงสาร เป็นทางเดินอันกว้างขวางของศาสดาทุกๆ พระองค์ไป ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่จะมีความตีบตันคับแคบ ไปที่ไหนอดอยากขาดแคลน แนะนำสั่งสอนสัตว์โลกก็จืดๆ จางๆ ชืดๆ ไม่มีใครเคารพนับถือในพระพุทธเจ้า อย่างนี้ไม่เคยมีแม้พระองค์เดียว ก็เพราะธรรมเป็นธรรมเลิศ เป็นธรรมประเสริฐ สัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์ความทรมาน หวังที่พึ่งเหมือนกันกับคนไข้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย มีความหวังจะพึ่งยาพึ่งหมออยู่แล้ว ต้องเข้าไปหาหมอ หมอก็พร้อมแล้วที่จะรักษาคนไข้ด้วยความเมตตาสงสาร มีอะไรขวนขวายมารักษาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่คำนึงถึงรายได้รายเสียของตนมากกว่าคนไข้ที่จำเป็นเข้ามาอาศัยนั้นเลย
พระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน จึงทรงเป็นศาสดา เป็นธรรมสอนโลกมาได้ถึงพวกเราชาวพุทธ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดไปเป็นคติเครื่องเตือนใจ ธรรมนี่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเกินจะแทรกธรรมได้ ขอให้นำธรรมนี้มาปฏิบัติ ไม่ได้มากก็ให้ได้ตามกำลัง วันหนึ่งๆ เวล่ำเวลามี ๒๔ ชั่วโมงตั้งแต่วันเราเกิดมา ๒๔ ชั่วโมง ไม่ลดไม่ละเป็นอย่างนี้สม่ำเสมอ หน้าที่การงานของเราที่จะแบ่งหนักแบ่งเบาทั้งภายนอกภายในก็ขอให้มีการแบ่งหนักแบ่งเบา แบ่งได้แบ่งเสียในหน้าที่การงานของตน ซึ่งมีอยู่สองประเภท
ประเภทหนึ่งได้แก่การขวนขวายวิ่งเต้นสำหรับธาตุสำหรับขันธ์ สำหรับหมู่คณะ สำหรับส่วนรวม ตั้งแต่ย่อยถึงส่วนใหญ่ก็ให้ทำไปตามความจำเป็นอันนี้ ด้วยความสุจริตยุติธรรม แม้จะอดจะอยากขาดแคลนเพราะทำประโยชน์ให้โลกสงสารก็ยอมอด ขอให้โลกมีความสมบูรณ์พูนผล หรือบรรเทาไปด้วยความเสียสละของเรา นั้นแลเป็นมงคลอันสูงสุด เราจะอดอยากขาดแคลนเพียงไรก็มีวันฟื้นขึ้นได้ ขอให้ส่วนรวมมีความฟื้นตัวขึ้นมาจากการช่วยเหลือของเราด้วยความเมตตาสงสาร นี้เป็นธรรมของผู้ใหญ่ เราดำเนินอย่างนี้ นี่เรียกว่างานภายนอก
งานตามบ้านตามเรือนที่ไหนก็ตาม มนุษย์เราเกี่ยวโยงกัน ไม่ว่างานทางราชการงานเมือง งานซื้อ งานขาย งานไปมาหาสู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดมา ให้ต่างคนต่างทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่าคิดเอารัดเอาเปรียบคนนั้นคนนี้ เพื่อความดิบความดีสำหรับตน นั้นคือความชั่ว มันเข้ามาขัดมาขวางอยู่ภายในใจของเรา ความคิดความหมายของเราว่าตนได้ดิบได้ดีจากการฉกการลัก การปล้นการสะดมเขามา โดยไม่มีใครรู้ใครเห็น ใครจับไม่ได้ แต่ตัวของเราเองผู้ทำนั้นจับตัวอยู่ตลอดเวลา ผลที่ได้มามากน้อยก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่ภายในจิตใจ ไม่ใช่ของดี
ใครจะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม ไม่มีใครที่จะเกินธรรมไปได้ ธรรมนี้ไม่มีที่แจ้งที่ลับ เปิดเผยตลอดเวลาด้วยการกระทำ ทำดีเป็นความดี ทำชั่วเป็นความชั่ว ผลเป็นบาปเป็นกรรมตลอดไปทีเดียว จึงต้องได้ระมัดระวัง เวลาเราทำหน้าที่การงานสำหรับส่วนตัวหรือส่วนร่วมก็ให้พากันระมัดระวัง สมว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ อย่าเห็นแก่ได้ แก่เอา เห็นแก่ความอยาก ความทะเยอทะยาน เห็นแก่ช่องเห็นแก่โอกาสที่จะควรรีดควรไถประการใด อันนั้นเป็นเรื่องความชั่วเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา และเรียกว่าเรานี้เริ่มเป็นภัยต่อส่วนรวม ต่อเพื่อนฝูงและส่วนรวม ตั้งแต่คับแคบไปถึงกว้างขวาง เราเป็นข้าศึกต่อส่วนรวม ให้รีบแก้ไขดัดแปลงตนเอง
ขอให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยความประพฤติหน้าที่การงาน เป็นความสะดวกสบาย แม้จะอดจะอยากขาดแคลน เอ้าให้อดไป ประชาชนทั้งประเทศเขาก็มีปากมีท้อง เขาย่อมมีอดมีอยากเช่นเดียวกับเรา เราจะมาเอาตั้งแต่สิ่งที่ตนมีโอกาสที่จะได้อย่างนี้ จะได้แบบใดก็เป็นโอกาสของตัวเองอย่างนี้ถ่ายเดียว นั้นเป็นความเสียหาย เป็นภัยแก่ตนเองด้วย เป็นภัยต่อส่วนรวมด้วย ให้พากันพินิจพิจารณา งานสะอาดคือตัวของเราสะอาด งานสกปรกคือตัวของเราสกปรก ได้มาจากการสกปรกมาเป็นเศรษฐี ก็คือเศรษฐีแห่งความสกปรก หาความดีแม้ชิ้นหนึ่งไม่มี แม้ตัวจะชมเชยภาคภูมิใจว่าไม่มีใครรู้ใครเห็น ตัวของตัวเองก็รู้เห็นตนอยู่เต็มหัวใจ
นี่ละธรรมท่านจึงไม่มีคำว่าที่แจ้งที่ลับ ตัวของเรานั้นแลเปิดเผยต่อตัวของเราเอง เมื่อเราทำดีแล้วทำที่แจ้งที่ลับ ทำที่ไหนก็ดีทั้งนั้น นี่เรียกว่าการงานที่เกี่ยวข้องกันในทางภายนอก เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ความเป็นอยู่ปูวายของเราก็จำเป็นต้องได้ขวนขวาย ไม่ขวนขวายไม่ได้ ไม่ใช่สัตว์ตาย คนตาย เกิดมาแล้วมีความหิวโหยกระวนกระวาย หาที่อยู่ ที่กิน ที่หลับที่นอนทั่วหน้ากันหมด จึงจำเป็นต้องได้วิ่งเต้นขวนขวาย ไม่เช่นนั้นประทังชีวิตอยู่ไม่ได้ ต้องตาย นี่งานนี้ก็เป็นงานจำเป็น ขอให้เราทำตามความจำเป็นโดยเหตุโดยผล แต่อย่าให้เป็นความเสียหายและทุกข์ร้อนแก่ตน โดยความไม่ดีงามในความประพฤติของตนก็แล้วกัน
นี่คืองานประเภทหนึ่งสำหรับร่างกายที่ครองขันธ์อยู่นี้ ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ ต้องมีที่อยู่ ที่กิน ที่หลับที่นอน ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเครื่องอาศัยในธาตุในขันธ์นี้เราก็ดำเนินด้วยความจำเป็น นี่เป็นงานประเภทหนึ่ง งานประเภทที่สองได้แก่การขวนขวายหาคุณงามความดีเข้าสู่ใจ ใจนี้เป็นความจำเป็นมากยิ่งกว่าร่างกายเป็นไหน ๆ เพราะร่างกายของคนคนหนึ่งอายุจะยุติลงไปในเวลาลมหายใจขาดดิ้นไปเท่านั้น ลมหายใจขาดลงไป ธาตุขันธ์หมดความสืบต่อ หมดราค่ำราคา สมบัติเงินทองข้าวของที่มีมากน้อยก็ขาดกันไปโดยลำดับในขณะที่ลมหายใจขาดลงไป แล้วสิ่งเหล่านั้นขาดลงไป ลมหายใจขาดลงไป พวกนี้ไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรม ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อน
ร่างกายแตกลงไปจากส่วนผสมคือธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็กลายลงไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ตามเดิม สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเขาก็เป็นแร่ธาตุต่าง ๆ อยู่ตามสภาพของเขาอย่างนั้น แต่ส่วนใจนี้ตายลงไปแล้วคือธาตุขันธ์นี้สลายเรียกว่าตาย ส่วนใจนั้นไม่ตาย ตามหลักความจริงเป็นอย่างนี้มาดั้งเดิมแต่กัปไหนกาลใด ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสบอกออกมาว่าจิตนี้ตายแล้วสูญ จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว คำว่า เกิด ได้แก่ไปอาศัยสิ่งใดเป็นส่วนผสม เช่นเกิดเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็เป็นส่วนผสมอันหนึ่ง เรียกว่าเกิด
ส่วนใจนี้ไม่เคยเกิด หากไปอาศัยสิ่งนั้น ๆ ตามอำนาจแห่งกรรมดี กรรมชั่วของตน ซึ่งไม่เป็นของแน่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมดี กรรมชั่ว เมื่อเราไม่ดีเราทำความชั่วเสียบัดนี้ แม้ชาตินี้เราจะเป็นใหญ่เป็นโต มียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำประการใด สมบัติเงินทองข้าวของ บริษัทบริวารมากมายเพียงไร พอลมหายใจขาดลงไปเท่านั้น สิ่งเหล่านี้จะสลายตัวไปทันที ภพใหม่จะเป็นขึ้นมาในจิตใจดวงนี้ แล้วจิตใจดวงนี้ได้สร้างบาปสร้างบุญอย่างไรไว้หรือไม่
ถ้าได้สร้างบาปก็มีแต่เรื่องบาปเรื่องกรรม บีบบี้สีไฟให้ไปเกิดในภพไม่พึงหวัง เช่น เกิดภพนี้เป็นคน เกิดภพหน้าอย่างน้อยเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์นรก ตกนรกอเวจีไปเรื่อยๆ ตามอำนาจแห่งกรรมดี-กรรมชั่วของใจดวงไม่เคยตายนี้ แต่ความทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ จะทุกข์มากทุกข์น้อยขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ ใจดวงนี้จึงสมบุกสมบันมากยิ่งกว่าร่างกายในภพชาติหนึ่ง ๆ จึงขอให้ชาวพุทธเราสนใจพินิจพิจารณา ส่วนสำคัญคือใจดวงนี้ซึ่งเป็นรากฐานแห่งภพแห่งชาติ ทั้งดีทั้งชั่วซึ่งเราจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว
ให้พินิจพิจารณาขวนขวายรักษาจิตใจของเราให้ไปในทางที่ดี พาทำแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ชั่วจะเป็นภัยต่อใจเอง ใจจะได้รับความทุกข์จากสิ่งชั่วที่ตัวทำลงไปนั้นแล เช่น เป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์นรกอเวจี ตกลงไปในนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ตามอำนาจแห่งกรรมชั่วของตนมีมากมีน้อยก็ต้องไปตกอยู่งั้น เราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมแห่งการกระทำดีชั่วของเรา ส่วนใจนี้ไม่เคยฉิบหาย จะตกนรกกี่กัปกี่กัลป์ตามตำรับตำราที่แสดงออกมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไม่เคยแย้งกันเลย ว่านรกมี สัตว์ทั้งหลายตกนรกตามขั้นภูมิของนรก ตามที่ท่านแสดงไว้ว่านรกมี ๒๕ หลุม
นี่ใครเป็นคนแสดง คนหูหนวกตาบอด ตาสีตาสาอยู่ตามท้องนานี้จะไม่มาแสดงอย่างนี้ได้เลย เป็นแบบเป็นฉบับให้โลกนี้ ต้องเป็นศาสดาองค์เอกมาสอนเป็นแบบเป็นฉบับ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมเป็นแบบเป็นฉบับมาแล้ว จึงได้มาสั่งสอนสัตว์โลก ท่านสอนว่านรกมี ใครจะลบล้างนรกว่าไม่มีนี้ไม่ได้ นอกจากความสำคัญมั่นหมายซึ่งเป็นตัวกิเลสหลอกลวงตัวเองให้มืดดำเข้าไปอีก แล้วสร้างกรรมคือความชั่วช้าลามกให้หนักเข้าไปอีก แล้วจมลงในนรกหลุมเก่านั้นโดยไม่รู้สึกตัวว่าเคยตกมา ทั้งๆ ที่ฟื้นขึ้นมาก็มาทำความชั่วอีก ตกไปอีกแล้วก็ไปเสวยกองทุกข์อีก ด้วยจิตดวงที่ไม่ตายนี้แล จึงต้องให้พากันระมัดระวัง
การห่างเหินศาสนานั้นคือการห่างเหินจากความดิบความดี ความสุข ความเจริญ รุ่งเรือง เรียกว่าห่างจากความสุข พูดง่ายๆ การใกล้ชิดติดพันกับอรรถกับธรรมให้เหมาะสมดังที่กล่าวมาในงาน ทั้งทางส่วนร่างกาย และทางส่วนจิตใจ คือการปฏิบัติต่อจิตใจด้วยดีนี้เป็นความชอบธรรมสม่ำเสมอ ทีนี้เวลาเราพยายามรักษาตัวของเราก็เท่ากับเรามีคุณค่าอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถ้าเราได้ทำลายตัวด้วยความชั่วเสียเมื่อไร นั้นแหละคือเราทำลายตัวของเรา ถึงใครจะมายกยอเราขึ้นอยู่ในสวรรค์ชั้นพรหมก็มีแต่ลมปาก ตัวของเราเองจมอยู่กับความชั่วที่เป็นไฟเผาตัวอยู่นั้นแหละ ไม่เป็นอื่นเป็นใด
ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าศาสดาองค์เอกไปไม่ได้ เพราะตรัสยังไงต้องเป็นอย่างนั้นตามที่ทรงรู้ทรงเห็นทุกอย่างแล้วจึงมาสอนโลก ท่านเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีใครที่จะตรัสชอบยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกมาสอนโลกจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เช่นพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ก็ทรงประทานพระศาสนา หรือทางเดินเอาไว้เพื่อเราทั้งหลายถึง ๕๐๐๐ ปี เวลานี้ศาสนาก็สมบูรณ์อยู่กับเรา เท่ากับพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกสถิตอยู่กับเราผู้มีธรรมอยู่ในใจ รักความดีงามทั้งหลาย พุทโธคำเดียวกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ
พระพุทธเจ้ามีมากขนาดไหน ธัมโมที่ครอบโลกธาตุอยู่นี้มีมากขนาดไหน สังโฆที่เป็นสรณะของพวกเรานี้ท่านเป็นพระสงฆ์มากี่ยุคกี่สมัย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่ตรัสรู้ขึ้นมา มีสาวกติดแนบมาด้วยตลอดถึงปัจจุบันนี้มีมากขนาดไหน สาวกเหล่านี้เป็นธรรมธาตุที่เลิศเลอได้เข้าถึงใจเรา เมื่อเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี มีความรักใคร่ใกล้ชิดต่ออรรถต่อธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว ก็เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ทุกฝีก้าวของเรานั้นแล พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พอระลึกคำไหนขึ้นเป็นอันเดียวกัน ๆ เลิศเหมือนกันหมด นี่ขอให้พากันรักกันสงวนให้มาก
จิตใจถ้าห่างเหินจากศาสนา จากอรรถจากธรรมแล้ว เรียกว่าห่างเหินจากความหวังของเรา เพราะโลกนี้ไม่ได้หวังความทุกข์ ความลำบากลำบน ความทรมานต่างๆ หวังแต่ความสุข ความสมหวัง ความดีงามทั้งหลาย จนกระทั่งถึงความสุข ความเจริญ จนถึงความพ้นทุกข์ นี่เป็นความมุ่งหมายของโลกทั่วๆ ไปมุ่งหมายกัน แต่จะเป็นไปตามความมุ่งหมายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของเรา ดำเนินงานดังที่ว่านี่ละ เช่น เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการอบรมจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น
ในเวลาว่างที่จะหลับจะนอนไหว้พระย่อ ๆ เราไม่ได้มากเอาย่อ ๆ เอาย่อ ๆ ก็เอา ให้มีสติการไหว้พระ อิติปิโส ภควา ก็ให้มีสติติดแนบอยู่กับคำ อิติปิโส ภควา แล้วเวลาเข้ามาบริกรรมภาวนาย่อ ๆ ไม่เอามาก เช่น เอาพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ หรือสังโฆก็ได้ ให้ติดแนบอยู่ในใจด้วยความมีสติจดจ่อ บังคับจิตของเราไม่ให้มันเพ่นพ่านไปในอารมณ์อื่นใด ซึ่งเคยหลอกลวงเรามาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ความคิดปรุงเหล่านี้ไม่เคยสงบตัว นี้คือความคิดปรุงของกิเลสตัณหา ซึ่งก่อฟืนก่อไฟมาเผาเราให้เกิดความเดือดร้อนอยู่ภายในจิตใจตลอด
เวลานี้บังคับอารมณ์อันนั้นออกให้หมด ให้เหลือตั้งแต่อารมณ์แห่งพุทโธคำเดียว เปิดช่องทางให้พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ บทใดก็ได้ตามแต่เราที่นำมาบริกรรม ให้อยู่กับธัมโม ๆ เป็นทางเดินของธรรม จะนำความสุข ความร่มเย็นเป็นสุข ความสงบเย็นใจขึ้นจากเราที่บำเพ็ญคำว่าพุทโธๆ เป็นต้น นี้คือการบำเพ็ญธรรมจากความคิดความปรุงซึ่งเป็นธรรม ความคิดความปรุงที่เป็นกิเลสตัณหาทั้งหลายนั้นเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้เรา เมื่อเราระลึกอยู่อย่างนี้ก็เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ทุกฝีก้าว การทำบุญทุกประเภทเป็นการเสด็จตามพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา และจะถึงความพ้นทุกข์ด้วยอำนาจแห่งความดีคือบุญกุศลนี้ทั้งนั้น
คนเราจะถึงความพ้นทุกข์ได้เพราะการทำความชั่วช้าลามกนี้ไม่เคยมี ถ้าหากว่ามีได้อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาตรัสรู้สอนโลก ไปตามแนวทางของศาสดาผู้พ้นโลกไปแล้ว ก็จะต้องสอนไปแบบนรกอเวจี แบบกิเลสตัณหา สอนไปแบบให้สร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามกจกเปรตไปอย่างนั้น แล้วก็จะไปสวรรค์ไปนิพพานด้วยกันหมด ศาสดาก็ไม่มีในโลก นี่ก็เพราะหนีความจริงไปไม่ได้ ผู้ทำความชั่วต้องได้รับความทุกข์วันยังค่ำ ผู้ทำความดีต้องได้ผลดีเป็นความสุขตลอดไป นี้คือความจริง ศาสดาตรัสรู้ตามธรรมแถวนี้ ไม่ได้ตรัสรู้อย่างอื่น
เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าขอให้ระลึกเนื้อระลึกรู้สึกตัว อย่าได้ห่างเหินจากอรรถจากธรรม จะเสียตัวของเรา เราจะมีคุณค่าจากใจที่มีธรรม ไม่ได้มีคุณค่าจากสิ่งอื่นใดภายนอกยิ่งกว่าธรรม ธรรมเป็นของธรรมชาติที่เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเหนือธรรม ขอให้ระลึกถึงธรรม เราอย่าเห็นสิ่งเหล่านั้นที่นอกเหนือไปจากธรรมแล้วนี้ว่าดี ว่ายิ่ง ว่าวิเศษวิโสกว่าธรรม นั้นแหละส้วมและถานมันจะกลายขึ้นมาพอกหัวเรา เทิดทูนส้วมเทิดทูนถานซึ่งเป็นของสกปรกแข่งพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ส่วนที่จะเหม็นคลุ้งนั้นคือหัวของเราเอง หัวใจของเราเอง ตกทุกข์ได้ยากลำบาก ลงในนรกอเวจีก็เป็นหัวใจของเราดวงที่สกปรกด้วยมูตรด้วยคูถนี้เอง นี่เพราะฝืนธรรมของพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงสอนโลก แม้คนเดียวก็ไม่เคยมีรายใดที่ว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วไปตกนรกหมกไหม้ ไปติดคุกติดตะรางเพราะการทำความดี นอกจากมีเป็นกฎแห่งกรรมอันหนึ่ง หรือความปลิ้นปล้อนหลอกลวงของกันและกัน คนทำดีพลิกเป็นคนทำชั่วไปเสีย คนทำชั่วพลิกให้เป็นทำดีไปเสีย ด้วยความปลิ้นปล้อนหลอกลวงของกิเลสซึ่งมีหลายสันพันคมนี้มันเป็นไปได้ ถึงจะไปติดคุกก็ตาม คนที่ดีอยู่แล้วอยู่ในเรือนจำก็เป็นคนดี คนที่ไม่ติดคุกแต่เป็นคนชั่ว อยู่นอกเรือนจำก็เป็นคนชั่วนอกเรือนจำ เป็นทุกข์นอกเรือนจำอยู่นั้นแล ไม่นอกเหนือไปจากความดีนี้ไปได้เลย
เพราะฉะนั้นเราเป็นลูกชาวพุทธขอให้ทุกๆ ท่านได้หนักในอรรถในธรรม ศาสนาห่างเหินจากชาวพุทธเราไม่ใช่ของดี การกระทำของเราจะเอนจะเอียงไปทางความชั่ว ฟืนไฟจะค่อยลุกลามขึ้นมา ๆ เพราะความชั่วเป็นเชื้อของไฟให้ไฟเผาเข้ามาได้ ถ้าเป็นความดีงามคือการประพฤติตัวให้เป็นคนดี ทำหน้าที่การงานด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว เราจะมีความสุขเต็มยศในตัวของเรา แม้แต่จะทุกข์จะจนหนโลกขนาดไหนก็ตาม แต่ใจมีธรรมเท่ากับเป็นผู้สมบูรณ์อยู่ภายในใจที่เลิศเลอ เพราะธรรมเป็นธรรมชาติเลิศเลอ ครองหัวใจใดเลิศเลอ
ส่วนนอกนั้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องประดับอาศัยกันไปชั่วกาลชั่วเวลาเท่านั้น ที่สำคัญมากก็คือธรรม การสร้างคุณงามความดีทุกด้าน เช่นการให้ทานก็เรียกว่าสร้างธรรมคือความดีงามเข้าสู่ตน สร้างบุญสร้างกุศล รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา เหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่การสร้างบุญสร้างกุศลหนุนจิตใจของเราให้มีคุณค่ามีราคา ทรงสภาพแห่งความดีงามอยู่ตลอดไป ตายแล้วความสุขนี้ไม่ต้องบอก ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดจะไปลากไปเข็นบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นเป็นผู้บำเพ็ญคุณงามความดีเต็มหัวใจของตน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ แต่เวลาตายแล้วต้องให้พระพุทธเจ้ามาช่วยหนุนขึ้นอย่างนี้ไม่เคยมี
บุญกรรมสำเร็จรูปมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าชั่ว ไม่ว่าดี ทำชั่วลงไป ใครจะดึงไว้ให้อยู่เท่าไรก็อยู่ไม่ได้ ตกลงทั้งนั้น ลงชั่วๆ ลงจมไปได้ในความทุกข์ทั้งหลายได้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ก็มาฉุดลากไว้ไม่ได้ เพราะเจ้าของเป็นผู้ทำเอง และการสร้างความดีก็เหมือนกัน จึงไม่จำเป็นจะต้องให้พระพุทธเจ้ามาฉุดลากขึ้น บุญกุศลที่เราสร้างนั้นแลเป็นเครื่องฉุดลากเราเองๆ นี่ละท่านเรียกว่าธรรม ท่านทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธที่ยังไม่เคยได้สนิทติดจมกับธรรมขอให้นำไปประพฤติปฏิบัติ เราจะได้เห็นความสง่างามของเราภายในจิตใจที่เกี่ยวข้องพัวพันกับธรรมของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นจิตประเภทใด
ตั้งแต่ก่อนเราก็หมักหมมกับความชั่วช้าลามก อารมณ์ธรรมดาเหมือนโลกทั่วๆ ไป เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ก็ไม่ทราบว่าใครได้สุข ใครได้ทุกข์ ไปที่ไหนก็มีแต่คนบ่นเพ้อกันไปหมดทั่วโลกดินแดน หาความสุขความสบายไม่ได้ทั้งๆ ที่ใครก็หาแต่ความสุขความเจริญ หาแต่ความสมหวัง แต่ครั้นได้มาก็มีแต่ความผิดหวังๆ เฉพาะอย่างยิ่งมันสุมอยู่ภายในหัวใจ กิริยามารยาทภายนอกมีความสดสวยงดงาม น่าเคารพบูชา น่ารัก น่าชอบใจ แต่ภายในหัวใจนั้นคือความชั่ว ความไม่ดีของตัวเองเผาสุมอยู่ภายในหัวอก ตัวเองไม่ชม คนอื่นมาชมเท่าไรก็ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ เพราะตัวเองเป็นผู้ร้อน
เมื่อเราทำตัวของเราให้เป็นผู้เย็นด้วยคุณธรรมแล้ว ใครจะตำหนิติเตียนอย่างไรก็ตาม มีตั้งแต่ความเย็นฉ่ำอยู่ภายในจิตใจ นี่เรียกว่าธรรม ผู้บำเพ็ญธรรมจะเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น ศาสดาองค์เอกจึงเป็นเอกตลอดมา พูดไม่มีผิดพลาด ไม่เหมือนกิเลสตัณหาที่มีร้อยสันพันคมหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลกนี้เก่ง แล้วสัตว์โลกก็ชอบมันเสียด้วย มันว่าอะไรนี้ดีหมด ๆ ถ้าเป็นกิเลสว่าดีหมด ถ้าเป็นธรรมว่านี้มันไม่อยากเชื่อ นี่เพราะเหตุไร ก็เพราะกิเลสมันกีดมันขวาง
ถ้าเราจะสร้างคุณงามความดีกิเลสมันมีกำลังมากกว่า มันก็กีดก็ขวางภายในจิตใจของเรา ให้ตีบตันอั้นตู้ไปเสีย หาว่าไม่มีเวล่ำเวลา หาว่าไม่มีเงินมีทอง มีข้าวมีของ หาไปทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่จะกีดขวางการทำดีได้กิเลสจะหามาปิด กำแพงเจ็ดชั้นสู้กิเลสไม่ได้นะ ห้ามจนกระทั่งอยู่หมัดเลย ทำความดีก็ไม่ได้ จะให้ทานข้าวทัพพีหนึ่งก็เสียดาย วัตถุมากกว่านั้นก็เสียดาย เพราะกิเลสหึงหวง ทีนี้กิเลสมันก็โยนทุกข์เข้ามาให้ธรรมอีก ว่าการทำคุณงามความดีทั้งหลายนี้ทำลำบากลำบน การทำตามกิเลสไม่ลำบากเพราะมันไหลไปเลย นี่ละกิเลสหลอกสัตว์โลก
ตามความจริงแล้ว การสร้างความดีลำบากที่ไหน ความดีคือบุญคือกุศลทำใครให้ลำบาก นอกจากกิเลสเท่านั้นมันกีดมันขวางไม่ให้ทำบุญให้ทาน นี้คือตัวกีดขวางของกิเลส มองดูข้างหลังของมันที่มันหนุนหัวใจ กีดกั้นความดีของเราไม่ให้ทำนี้บ้าง เราจะได้รู้เนื้อรู้ตัว การสร้างคุณงามความดี พระพุทธเจ้าหลุดพ้นจากทุกข์ สาวกทั้งหลายหลุดพ้นจากทุกข์ สัตว์โลกหลุดพ้นจากทุกข์ เพราะการสร้างคุณงามความดีทั้งนั้น ไม่เคยมีผู้ใดที่ว่าตกนรกหมกไหม้ไปเพราะการสร้างความดี นอกจากผู้สร้างบาปหาบกรรม ไม่เชื่อฟังคำสอนพระพุทธเจ้านี้จมได้ไม่สงสัย
วันนี้ได้เทศนาว่าการให้บรรดาเราทั้งหลายได้ยินได้ฟัง เริ่มต้นมาตั้งแต่ออกช่วยชาติบ้านเมือง จนกระทั่งบัดนี้ และต่อไปนี้ก็จะช่วยบ้านเมืองของเราให้เป็นไป และขอให้กลมกลืนกับศีลกับธรรมเรื่อยๆ ไป บรรดาเราทั้งหลายอย่าห่างเหินอรรถธรรม ซึ่งเป็นของเลิศเลอ เราจะเลวลงทุกวันๆ ความเสกสรรปั้นยอว่าดิบว่าดีอย่างนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส มันเสกสรรกันได้ง่าย ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ดีไปตามความเสกสรร แต่การทำความดีเสกสรรไม่เสกสรรมันหากดีอยู่ภายในจิตใจของเรา
เช่น เรานั่งภาวนาจิตใจมันดื้อมันด้าน หักโหมกันอย่างเต็มที่เต็มฐาน ไม่ยอมให้มันคิดมันปรุงไปหากิเลสที่จะเอาฟืนเอาไฟมาเผาตน ให้มันคิดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เช่น พุทโธ ๆ เป็นต้น ด้วยความไม่ให้เผลอสติ สุดท้ายจิตก็อยู่ในเงื้อมมือของเรา ใจก็สงบขึ้นได้ด้วยธรรมๆ เย็นขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อไปกิเลสตัววุ่นวายทั้งหลายก็ค่อยเบาไป การบำเพ็ญจิตตภาวนาก็สว่างไสวขึ้นมา สงบร่มเย็นขึ้นมาเรื่อย ๆ ต่อไปนั้นก็เป็นความสว่างไสว
จิตใจของเราที่เคยมืดตื้อมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกไม่เคยสว่างไสว พอเจริญเมตตาภาวนาเข้าไปก็ชำระล้างสิ่งมืดดำ คือกิเลสที่มันหุ้มห่อจิตใจออกไปโดยลำดับ จิตใจก็สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นไป ความสุขก็ปรากฏขึ้นมาๆ จนกระทั่งปรากฏเป็นความอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเห็นความสุขประเภทนี้ แต่แล้วก็มาปรากฏในเวลาเราภาวนา สู้กับกิเลสตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้ให้เข้าสู่ความสงบด้วยบทธรรม จนกลายเป็นใจสงบร่มเย็น เมื่อใจสงบร่มเย็นจนเกิดเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในตัวเองแล้ว ย่อมเห็นโทษความวุ่นวายส่ายแส่ทั้งหลายได้ประจักษ์ใจเช่นเดียวกัน
นี่ละผู้บำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลายที่ไม่ลดละความดีที่เคยทำอยู่นั้น ยิ่งหนักมากขึ้นไป เพราะท่านเห็นผลของท่านดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เห็นโทษของกิเลสที่ชั่วช้าลามก เป็นเสี้ยนเป็นหนามนั้นหนักเข้า ๆ ท่านจึงสร้างตั้งแต่ความดี ยิ่งสร้างมากเท่าไรจิตใจยิ่งเบิกบาน ๆ จะเป็นจะตายไม่คำนึง เพียงร่างกายนี้แตกออกไปเท่านั้น ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลที่ไหนเมื่อหมดสภาพแล้วตายได้ด้วยกัน แต่ถ้ามีความดีอยู่แล้วไม่สะทกสะท้าน เหมือนผู้ที่ไม่เคยมีความดีแต่สนใจกับความชั่ว ตื่นขึ้นมาไม่ได้ทำความชั่วช้าลามกอยู่ไม่ได้ วันนั้นเสียลวดลาย ถ้าไม่ได้ทำความชั่วเสียลวดลาย ถ้าได้ทำความชั่วเสียวันนั้นภูมิใจ นี้ละมันภูมิใจต่อไฟนรกอเวจี ตายเมื่อไรลงเลย
ผู้ที่มีความภูมิใจในอรรถในธรรม ด้วยการต่อสู้กับกิเลสตัวไม่พอใจในการสร้างบุญสร้างกุศลให้อ่อนตัวลง สร้างความดีของเรา การทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา หนักขึ้นทุกวัน ผู้นี้ยิ่งหนักไปด้วยคุณงามความดี สร้างทางราบรื่นให้แก่ตัวเอง ผู้นี้การตายไม่กลัว เมื่อความดีเห็นอยู่ประจักษ์ภายในใจอะไรตาย ใจก็ไม่เคยตาย สง่างามอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา อะไรจะบกพร่อง ๆ โลกนี้เกิดมาอยู่ในท่ามกลางแห่งกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะให้มันเที่ยงถาวรไปที่ไหน โลกเขาโลกเรามันเหมือนกัน แต่หัวใจนี้เมื่อมีธรรมส่งเสริมเข้าไปแล้วใจเป็นปกติที่ไม่เคยตายอยู่แล้ว ยิ่งมีการส่งเสริมเข้าไปก็ยิ่งมีความสง่างาม ๆ ขึ้นไป กล้าหาญชาญชัยต่อความตาย ไม่ได้กลัวเลยความตาย
แต่ก่อนกลัวจนตัวสั่น หาอารมณ์เพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงเข้ามากลบเอาไว้ ๆ ไม่อยากคิดถึงเรื่องความตายเพราะเดือดร้อน เป็นอย่างนั้นจิตที่มีแต่ความชั่ว ถ้าจิตมีความดีแล้วทีแรกก็กลัวตาย ครั้นต่อมาความดีมีมากขึ้นไม่กลัวความตาย พิจารณาความตายทั้งวันยิ่งดี ยิ่งเบิกทาง ๆ เราสร้างกำลังวังชาภายในจิตใจเป็นที่แน่ใจแล้ว อยู่เดี๋ยวนี้เราสุขหรือเราทุกข์ ปัจจุบันนี้เราก็เป็นสุข ไม่ตายนี้เราก็เห็นประจักษ์ ตายไปแล้วอันไหนจะมาทุกข์ หัวใจไม่ทุกข์แล้วอะไรจะมาทุกข์
ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ แตกลงไปเขาไม่เห็นเป็นความทุกข์ ไม่ไปสวรรค์ ไปนิพพาน ตกนรกอเวจีที่ไหน ก็คือใจดวงเดียวนี้เองเป็นผู้ไป แต่เมื่อใจดวงนี้เป็นผู้ได้สั่งสมความดีเข้าสู่ตัวเองจนเป็นที่แน่นหนามั่นคงแล้วกลัวอะไรกลัวตาย ใจดวงนี้ไม่เคยตาย ยิ่งใจมีความบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงแล้วอยู่ที่ไหนท่านอยู่ได้ทั้งนั้น เช่นพระพุทธเจ้า พระสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระอรหันต์ท่านทั้งหลาย ท่านไม่มีความหวั่น ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ท่านก็สอนโลกด้วยความเมตตาสงสารตลอดมา
ถึงกาลเวลาแล้ว ในบรรดาสาวกทั้งหลายส่วนมากมักจะเข้าในป่าในเขาหาที่หลบซ่อนผ่อนคลายตัวเองสบาย ๆ ไปตามธาตุตามขันธ์ที่หมดเวล่ำเวลา หมดสภาพแล้ว เข้าไปที่ไหน นั่งอยู่ในร่มไม้ร่มไหนได้ หมดลมหายใจดีดผึงเลย จิตท่านบริสุทธิ์แล้วตั้งแต่ยังไม่ตาย ท่านสิ้นแล้วเรื่องทุกข์ทั้งหลายในโลกที่แบกหามกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ท่านไม่มีในหัวใจของท่าน ผิดกันไหมกับพวกสัตว์โลกทั้งหลายที่มีแต่กิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน และท่านผู้ชำระกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟออกจากจิตใจหมดแล้ว จนใจกลายเป็นมหาวิมุตติ มหานิพพาน เป็นธรรมธาตุแล้ว ท่านอยู่ที่ไหนท่านก็เป็นสุขหมด ท่านไม่มีคำว่ากลัวว่ากล้าอะไรเข้ามายุ่งเหยิงวุ่นวาย
นี่ธรรมเมื่อเราปฏิบัติแล้วจะเห็นประจักษ์ใจของผู้ปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ในความคาดความหมาย ความด้นความเดานะ อยู่กับการกระทำจริงตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรมต่างหาก ขอให้นำไปปฏิบัติ อย่าอยู่เฉยๆ วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่ลมหายใจเป็นสาระอะไร สัตว์ก็ตายได้ คนก็ตายได้ ความดีไม่สนใจไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ ใครจะยกยอว่าเท่าฟ้ามันก็มีแต่ลมปากเท่าฟ้า ฟ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้ คนผู้ที่จะตายจะจมคือเรามันมีความหมายอะไร ใครยกย่องอะไร
เราเป็นผู้รับผิดชอบเรา เราต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อตัวของเรา ให้สมกับว่าเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ผู้เกิดมาพบพุทธศาสนาที่ไม่เคารพนับถือก็เป็นกรรมของสัตว์ เขาก็เป็นอย่างนั้น แต่เรายังมีความเคารพเลื่อมใสในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาชั้นเอกแล้วไม่ปฏิบัติไม่ได้ ต้องปฏิบัติให้ตัวเป็นคนดี มีศักดิ์ศรีดีงามภายในจิตใจ ป่าช้าอยู่ที่ไหนไม่สนใจ ลมหายใจขาดแล้วทิ้งปั๊วะไปเลย นี่คือพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านบำเพ็ญ ท่านพอแล้วด้วยจิตตภาวนา จากคุณงามความดีทั้งหลายที่ท่านสร้างมา
การให้ทานท่านก็สร้างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คือความดีงามหนุนจิตใจ การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นการกุศลท่านก็สร้างมา หนุนจิตใจไปโดยลำดับ จนกระทั่งจิตใจแก่กล้าสามารถด้วยการสร้างความดีทั้งหลาย แล้วหลุดพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวงไม่มีอะไรเหลือเลย นั้นคือผู้สิ้นทุกข์ ธาตุขันธ์จะเป็นอยู่เหมือนโลกก็ไม่มีปัญหาอะไร การเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัว ตัวร้อน นี่เป็นเรื่องสมมุติในธาตุในขันธ์มีเหมือนโลก แต่จิตใจของท่านไม่ยึดไม่ถือ ไม่หนักไม่หน่วง ไม่มีอะไรจะไปแทรกในจิตใจของท่านให้กระทบกระเทือนและเอนเอียงไปได้เลย เพราะใจที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วพ้นจากความเอนเอียงทั้งหลาย กฎอนิจจังไม่มีในจิตของพระอรหันต์ ความทุกข์แม้นิดหนึ่งเม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่มี เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นสมมุติ ขาดสะบั้นลงไปหมด เหลือแต่ธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เท่านั้น
นี้ละจิตดวงนี้ที่ว่าไม่ตาย พอลมหายใจขาดแล้วธรรมชาติที่บริสุทธิ์ซึ่งครองขันธ์อยู่นี้ เมื่อขันธ์นี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจิตก็ดีดผึงเป็นธรรมธาตุ นั้นละธรรมธาตุที่ว่าไม่เคยตาย ตั้งแต่ไปตกนรกทั้งๆ ที่มีกิเลสอยู่ มีทุกข์เต็มหัวใจ ถูกความทุกข์ทรมานบีบบี้สีไฟ ทุกข์แสนสาหัสก็ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ เมื่อหมดสภาพนั้นแล้วฟื้นตัวขึ้นมา สร้างคุณงามความดี จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง บริสุทธิ์พุทโธแล้วกลายเป็นธรรมธาตุหายไปไหน นี้ละธรรมธาตุนี้แลเป็นธรรมที่ครอบโลกธาตุเวลานี้ นี้ออกจากธรรมทั้งนั้น ออกจากธรรมพระพุทธเจ้าที่ค้นพบ
ธรรมนี้มีมาดั้งเดิมแต่ไม่มีใครสามารถค้นพบ คนหูหนวกตาบอด นิสัยวาสนาอาภัพไปค้นพบธรรมเลิศเลอนี้ได้ยังไง ต้องเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นนักเสียสละ ทำบุญให้ทานทุกด้านทุกทาง จนกลายเป็นศาสดาเอกขึ้นมา เพราะอำนาจแห่งความดีทั้งหลายมากต่อมาก พอกพูนหนุนพระองค์ขึ้นไปจนได้ตรัสรู้ขึ้นมา นี่ละศาสดาองค์เอกเป็นที่ตายใจได้ของพวกเราทั้งหลาย จึงขอให้พากันยึดกันถือ อย่าอยู่ไปกินไป นอนไป เพลิดเพลินไปเฉยๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร สัตว์เขาก็เพลินได้ มนุษย์เราก็เพลินได้ มันก็ไม่เห็นเหนือกันมนุษย์กับสัตว์ ถ้าเราไม่มีธรรมในใจ
ถ้ามีธรรมในใจแล้วไปที่ไหนมันหากแปลกอยู่ในใจนะ เรามีใจเป็นกุศลในใจของเรา ไปไหนมีความยิ้มแย้มแจ่มใสภายในใจ จะทุกข์จะร้อนอะไรทางใจไม่ทุกข์ เอ้าสมบัติเงินทองจะขาดแคลนบกพร่อง เอา ใจนี้ไม่เป็นทุกข์ ไม่ขาดแคลน เป็นอย่างงั้นนะ ยิ่งใจมีความหนาแน่นมั่นคงด้วยอรรถด้วยธรรมเท่าไรแล้ว ไม่สนใจกับสิ่งภายนอก จึงเรียกว่าปล่อยหมดโดยประการทั้งปวง จิตใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วพอ ไม่มีคำว่าบกพร่องที่จะมาเพิ่มเติม ส่งเสริม และไม่มีคำว่าเกินไปที่จะตัดออก คือจิตที่บริสุทธิ์ถึงเมืองพอแล้วนั้นแล
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายทุกท่าน ได้ใกล้ชิดติดพันกับศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะได้เห็นสมบัติอันล้นค่าที่พระพุทธเจ้าประกาศมาให้เราทั้งหลายปฏิบัติ นี้ขึ้นประจักษ์กับใจของเราๆ โดยทั่วกัน วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ กำลังวังชา และเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
ชมการถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |