พื้นฐานแห่งความสำเร็จในธรรม
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 เวลา 8:35 น. ความยาว 41.42 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

พื้นฐานแห่งความสำเร็จในธรรม

 

         (ข่าวจากสหรัฐอเมริกาครับ มูลนิธิวัดป่าบ้านตาดในสหรัฐอเมริกา ได้รับการอนุมัติยกเว้นภาษีเรียบร้อยแล้ว หมายความว่าเงินที่มูลนิธิได้รับบริจาคไม่ต้องเสียภาษีรายได้ให้รัฐบาล และใบเสร็จของมูลนิธิ ใช้หักภาษีได้ตามกฎหมาย มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่จดทะเบียน คือ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๖)

         (มีปัญหาข้อเดียวสั้น ๆ ) ว่าไงอ่านออกมาซิ เขาว่าไงปัญหาสั้น ๆ (ผู้ถามปัญหาลงชื่อว่า นายหวีด บัวเผื่อน มาจากอำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี เขากราบเรียนถามหลวงตาดังต่อไปนี้ กระผมได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว กระผมจิตว่างอยู่หลายปี ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งหลายจนจิตว่างไปหมด เหลือแต่ผู้รู้ แต่ก็ยังมาติดผู้รู้อีก เมื่อพิจารณาผู้รู้อย่างจริงจัง ก็เหมือนมีสปริงดีดผู้รู้นั้นกระเด็นหายไปทันที เหลือแต่ผู้รู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ในขณะนั้นสมมุติทั้งสามแดนโลกธาตุปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่กระผมเข้าใจว่าธาตุผู้รู้นี้ไม่ดับไม่สูญ เป็นรู้ที่อยู่ในรู้ตลอดชั่วนิรันดรใช่ไหมครับ แม้สังขารนี้จะดับไปแล้วก็ตาม ขอความกรุณาหลวงตาช่วยตอบกระผมด้วยครับ)     

         การตอบนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ คือมีส่วนได้มีส่วนเสียสำหรับผู้ฟัง จึงน่าคิดอยู่ ไม่ใช่ว่าถามอะไรตอบสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องคำนึงผู้ถามมา และผู้จะได้ยินได้ฟังจากกันต่อ ๆ ไปจะได้ผลได้ผลเสียยังไงบ้าง ถ้าธรรมดาแล้วปัญหาเป็นอย่างนี้แล้วมันก็หมดปัญหาไปในตัว ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ที่ถามนั้นเขาก็มีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นด้วย สำหรับคนผู้ถามปัญหาเราก็เชื่อเขาแล้วว่าเขาไม่มีปัญหา แน่ะ  เราเชื่อแล้ว เพราะฉะนั้นการตอบของเราไม่ตอบของเราจึงไม่มีปัญหาอะไร ที่พูดอย่างนี้ที่ว่าตอบไม่ตอบก็เลย มันจะเกี่ยวกับผู้มาฟัง

         อันนี้เราให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสมบัติของคุณเอง รับรองคุณเองก็แล้วกัน ไม่ตอบ ที่เขาพูดมานี้ถูกต้องเป็นลำดับ ย่นเข้ามาปุ๊บ ๆ เข้ามาเลย เขาติดจิตว่างอยู่กี่ปี (หลายปี ไม่ได้บอกจำนวนครับ) นั่นหลายปี ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ที่พูดให้ฟังบ้าง กระตุกบ้างอะไรบ้างมันก็ช้า ไปโดยลำพังตัวเอง ไปได้แต่ช้า ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยแนะคอยกระตุกเรื่อยๆ ไปเร็ว มันต่างกันนะ

         พอพูดอย่างนี้เรายังเสียดาย ดังที่เคยพูดถึงเรื่องหลวงปู่มั่น เรื่องของเราที่มันไปติดความสว่างไสวอัศจรรย์บ้าตัวเองอยู่นั้น มันอัศจรรย์จริงๆ ยืนรำพึง มันสว่างไสวมันอะไร สรุปความลงมาว่า อัศจรรย์ ทำไมจิตของเราจึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา นี่ถ้าสมมุติว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ไปกราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์มั่น จะทะลุไปเดี๋ยวนั้น นี่มันก็จมกันไปอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ คือไม่มีผู้กระตุกผู้เตือน นี่มันต่างกันอย่างนี้ คือมันช้ามันเร็วต่างกัน เวลามันผางขึ้นมาแล้วมันถึงได้รู้ อ๋อ คือตอนนั้นธรรมท่านเห็นว่าหลงแล้ว ติดที่อัศจรรย์ความสว่างไสวของเรา สายตาของธรรมซัดบอกว่านี่ติดแล้ว ถ้าเป็นหลวงปู่มั่นก็พุ่งเข้ามาเลย

เตือนขึ้นมานะ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ก็คือผู้รู้ มันก็ไปติดอยู่นั้นเสีย นั้นแลคือตัวภพ ถ้าสมมุติว่าเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังอย่างหลวงปู่มั่นอย่างนี้ พอพูดอย่างนั้น ก็จุดนั้นแล้วตัวใสตัวสว่างไสวนั้นแหละ คือตัวภพ จะเป็นตัวไหนไปน่ะ ถ้าว่าอย่างนั้นมันก็ผางทีเดียว ขาดสะบั้นไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ มันเป็นอย่างนี้ธรรมะ เพราะฉะนั้นบางองค์จึงตรัสรู้ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า เวลาพระองค์แก้ปัญหาบรรลุธรรมปึ๋งต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าก็มี ก็อย่างนี้แล้ว นี่เราเสียดายเราแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ตอนนั้นท่านล่วงไปแล้ว เราเป็นอยู่ที่วัดดอยหลังจากถวายเพลิงศพท่านเรียบร้อยแล้วเราขึ้นไปวัดดอยฯ ขึ้นก็ไปติดปัญหานี้ ถ้าสมมุติว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ไปเล่าถวายท่านเท่านั้น ใส่ทีเดียวเท่านั้นละผึงเลยขาดสะบั้นไปเลย อย่างนี้ละปัญหาสำคัญ อย่างที่เขาเล่ามานี้ไม่มีที่ต้องติ หมดปัญหาไป

         หมดแล้วนะปัญหา (หมดแล้วครับ) นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ นิยมไหมว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เพศหญิง เพศชาย กิเลสกับธรรมไม่มีเพศ จิตผูกได้ด้วยกันทั้งนั้น แก้ได้ด้วยกัน นี่ผลแห่งการแก้ การบำเพ็ญ จะเป็นฆราวาสก็ตามก็เป็นอย่างให้เห็นอยู่นี้แหละ นี่เป็นอยู่ที่จิต ผู้ปฏิบัติต่อจิตเป็นอย่างนี้ และผู้ไม่เป็นอย่างงั้นก็ค่อยเป็นมาโดยลำดับ ขอให้ได้รับการบำรุงรักษาเถอะ จะค่อยเป็นค่อยไปของมันอยู่นั้นละ นี้ไม่มีการบำรุงรักษา มีแต่ขยี้ขยำ เผาอยู่ตลอดเวลา จิตถ้าเป็นของฉิบหายได้ หมดไม่มีเหลือแหละโลกอันนี้ แต่นี้มันไม่ฉิบหายละซิ จึงพาเกิดพาตายอยู่ตลอด เผาขนาดไหนก็เผา ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่มีความฉิบหายคือจิต

         ผู้รู้อันหนึ่งที่เด่นอยู่นั้นดีดผึงออกไป นั่นละตัวภพตัวชาติที่ว่าจะเป็นอะไร มันดีดผึง เหมือนมีสปริงอะไรแล้วแต่ใครจะสมมุติมาพูด อันนี้ผู้เป็นเบาผู้เป็นหนักมี ไม่ใช่แบบเดียวกันหมดนะ มีหนักมีเบา มีผาดโผน เรียบ ๆ มี แย็บเรียบๆ ไป ความตัดสินใจหากเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ด้วยกัน อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ผาดโผนนะ จิตขั้นนี้ท่านผาดโผนมากอยู่ โอ๋ย ผาดโผนอย่างพิสดารหลวงปู่มั่น เราจนน้ำตาร่วงเวลาท่านเล่าให้ฟัง น้ำตาร่วงในขณะนั้นเลย อัศจรรย์ แสดงความผาดโผนผางขึ้นมาเรียบร้อยแล้วยังแสดงฤทธิ์เดชต่างๆ อีกหลายแง่หลายมุม ของท่าน ต่างกันอย่างงั้นละ

         บางรายก็พับตรงนี้ก็ไปเลย ตามนิสัยวาสนาต่างกัน สำหรับหลวงปู่มั่นพิสดารมากเทียว ที่เราเขียนในประวัตินั้นก็เท่าที่จำได้นะ ที่จำไม่ได้เราก็ไม่เขียนมา ที่จำได้ไม่สนิทใจนักเราก็ไม่เขียน เวลาผ่านไปแล้วยังไม่แล้ว ยังแสดงลวดลายทุกสิ่งทุกอย่างออกหลังจากนั้นแล้ว นี่ละการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ายืนยันรับรองตลอดเวลา เป็น อกาลิโก ผลพร้อมที่จะให้แก่ผู้บำเพ็ญตลอดเวลาทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว จึงปฏิเสธบาปบุญไม่ได้ เพราะกิริยาที่แสดงนี้เป็นกิริยาของบาปของบุญทั้งนั้น แต่ท่านไม่เรียกว่าบาปว่าบุญ เรียกว่ากิเลส เรียกว่าธรรมเฉย ๆ จะแยกออกมาชื่ออันนี้ก็ชื่อบาปอย่างนี้ ชื่อบุญอย่างงั้น

         บาปคือความมัวหมอง หรือผ่องใสของบาป หลอก นั่น มันก็เป็นอันหนึ่ง มันจะพาให้เราจมได้ คือพาให้เราเสียได้อยู่นะ จึงเรียกว่าบาป ถ้าทางดีจริง ๆ เรื่อยไปแล้วมันก็ไม่เสีย ธรรมของพระพุทธเจ้ามีเป็นพื้นฐานมา ไม่มีต้นไม่มีปลายอย่างนี้ตลอด ผู้บำเพ็ญก็เป็นอกาลิโก คือธรรมนั้นเป็นพื้นฐาน อกาลิโก อยู่แล้ว ผู้บำเพ็ญปฏิบัติตามเมื่อไรก็ได้ผลขึ้นมาๆ ไม่มีกาลเวลา เกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าทางดีทางชั่วเกิดได้ทั้งนั้น นี่เขาก็เป็นฆราวาสเขาพูดให้ฟัง นี่ละจิตและธรรมไม่มีฆราวาสไม่มีว่าพระ จิตเป็นจิต ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลสอยู่ในนั้น แก้ออกแล้วความบริสุทธิ์นั้นก็จิตนั้นบริสุทธิ์ ร่างกายของคนเราเป็นอย่างหนึ่ง ส่วนจิตนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนกัน

         เราจึงพูดแล้วพูดเล่า การแนะนำสั่งสอนทางด้านจิตตภาวนาเวลานี้ก็ค่อยเบิกออก กว้างออก สงสาร มีแต่งมเงากันอยู่ๆ ตัวจริงไม่เคยเข้าไปเกี่ยวไปข้องเลย มันก็ได้แต่เปลือกแต่กระพี้เข้าไปกว่าจะถึงแก่นก็นาน ถ้าหมุนอันนี้เข้าไปด้วยกันมันก็เร็ว นั่นมันต่างกัน หมุนเข้าไปทั้งแก่น ทั้งราก ทั้งกระพี้ ทั้งดอก ทั้งใบ หมุนกันไปร่วมกันนั้น ผลก็ตามๆ มาด้วยกัน การภาวนาจึงเป็นหลักของการบำเพ็ญกุศลอันยิ่งใหญ่ทีเดียว ถ้าลงมีภาวนาแทรกเข้าไปแล้วเรียกว่าเกี่ยวโยงกันหมด ทั้งรากแก้ว รากฝอย ทั้งกิ่ง ก้าน ดอก ใบ จะเข้าถึงกันหมด เรียกว่าได้สาระ ๆ การภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เวลารู้ขึ้นมาแล้วไม่ได้คาดได้คิด เหนือความคาดความคิดของเราทุกอย่าง คือไม่เคยคาดเคยคิด เวลาเป็นขึ้นมานี้ยอมรับๆ เลยทั้งที่ไม่เคยคาดเคยคิดเอาไว้ ยอมรับด้วยความเชื่อ ตายใจๆ ทันที แม่นยำ

         การภาวนานี่ก็เหมือนเราขุดน้ำบ่อนั้นแหละ ตาน้ำอยู่ตื้นก็มี อยู่ลึกลงไปๆ ก็มี แต่มีน้ำอยู่ด้วยกัน เป็นแต่เพียงว่าลึกตื้นต่างกัน ผู้ที่รวดเร็วอย่างขิปปาภิญญา พอหยั่งจอบหยั่งเสียมลงจ๊อกๆ เท่านั้น น้ำพุ่งขึ้นมาแล้ว แล้วลึกกว่านั้นไปอีก ขุดลงไปอีก น้ำก็ขึ้น ซัดลงไปจนกระทั่งน้ำข้างล่างยังไม่ขึ้น น้ำเหงื่อไหลเต็มหลังหมดก็มี น้ำข้างล่างยังไม่ขึ้น แต่มันก็ขึ้นได้ถ้าขุดไม่ถอย ถ้าน้ำข้างล่างยังไม่ขึ้น น้ำบนหลังก็ขึ้นก่อน น้ำเหงื่อ เข้าใจไหม น้ำเหงื่อแตกออกน้ำข้างล่างยังไม่ขึ้นก็มี มันลึกมันตื้นต่างกัน ท่านจึงบอกไว้หลายประเภท

สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ทั้งปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว นี่เป็นอันดับหนึ่ง

สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้า

ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็ว

ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทั้งปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า

นั่น ๔ ประเภท ท่านแยกไว้หมด สัตว์โลกอยู่ใน ๔ ประเภทนี้ เพราะฉะนั้นจะเอามาวัดมาเทียบกันไม่ได้ ตามแต่จริตนิสัยของใครของเรามันพอดีตัวเอง จะไปเทียบกับใครก็ไม่ได้ ควรจะเร็วมันก็เร็วขึ้นมาตามนิสัยของผู้นั้น ควรจะช้าก็ช้า แต่สำคัญที่ความอุตส่าห์พยายาม อันนี้เป็นพื้นฐานแห่งความสำเร็จในธรรมทุกขั้น ไม่ว่าขั้นเร็ว ขั้นหยาบหรือขั้นช้า ความเพียรหนุนตลอด...ได้ ท่านไม่ให้ละความเพียร จึงว่า วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนที่จะล่วงจากทุกข์ไปได้โดยลำดับ เพราะอำนาจแห่งความเพียร ถ้าปล่อยความเพียรเสียไม่ได้เรื่อง ถึงขิปปาภิญญาก็นอนแช่อยู่อย่างนั้น เฝ้ากันอยู่ ไม่เปิดประตูให้ก็ออกไม่ได้ นอนจมอยู่ประตูนั้น พอเปิดคือหมายถึงว่าปฏิบัติปั๊บ เปิดประตูแล้วพุ่งผึงออกเลย ต่างกันอย่างนั้น มีหลายประเภท

เรื่องธรรมในใจนี้เป็นเข้ากับผู้ใดแล้วมันก็แน่ใจๆ แต่ธรรมมีผิดกันกับโลกก็คือว่า ไม่มีผาดโผนโจนทะยาน ไม่มีอยากพูดอยากคุยอยากโม้อยากอวด ต่างกันอย่างนี้กับกิเลส กิเลสมีมากมีน้อยมันออกของมัน มันอยากออกอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่ปฏิบัติ แต่ธรรมไม่เป็นอย่างนั้น ธรรมท่านจึงเรียกว่าสุขุม ควรแก่การกราบไหว้บูชาทุกประเภทของธรรม พอดิบพอดีไปตลอดเลย ไม่ผาดโผนโจนทะยานเหมือนกิเลส ต่างกัน ผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าในเขา เหมือนกับคนหมดคุณค่าหมดราคานะท่านอยู่อย่างนั้น นักปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ ท่านอยู่ในป่าในเขา เหมือนสัตว์นรก ไม่มีใครสนใจ เหมือนไม่มีราค่ำราคา เข้าไปตลาดแล้วพวกกองมูตรกองคูถมันรุมเอาหลงทิศไป เข้าใจไหม รุมทองคำทั้งแท่งอยู่ในหัวใจของท่าน เพราะฉะนั้นท่านถึงไม่อยากเข้ามา พวกมูตรพวกคูถมันรุม โปะเอาเสียจนจะไม่มีเหลือ ท่านรำคาญ

ความรู้สึกของกิเลสในหัวใจคนมันมีประมาณเมื่อไร มันออกทุกแบบทุกฉบับ แต่มันก็พอใจออกตามเรื่องของกิเลส แต่ธรรมท่านไม่พอใจฟังละซิ ใช่ไหม ท่านรำคาญท่านจึงไม่ค่อยจะเข้ามาในบ้านในเมือง ในที่ชุมนุมชนวุ่นวาย ท่านผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านหาอยู่แต่อย่างนั้น ไม่ว่าอิริยาบถใดท่านสะดวกสบาย โล่งอยู่ภายในใจตลอดๆ มองเห็นอะไรๆ ก็เป็นอรรถเป็นธรรมไปหมด ใบไม้ร่วงก็เป็นธรรม นี่หมดสภาพแล้วมันก็ร่วง คนหมดสภาพแล้วตาย ท่านเทียบปั๊บเลยอย่างนั้น ต้นไม้อะไรๆ ก็ตามมีความเปลี่ยนแปลงแปรปรวน กับธรรมชาติอันนี้มันเข้ากันได้ๆ ท่านพิจารณาเทียบเคียง

เมื่อจิตลงได้ก้าวเข้าสู่ธรรมแล้ว สัมผัสสัมพันธ์อะไรจะเป็นธรรมแก้ตัวเองๆ ล้วนๆ ไปเลย กิเลสถ้าลงได้เต็มในหัวใจแล้วจะเห็นอะไรก็ตาม กว้านเข้ามาสู่ฟืนสู่ไฟเผาตัวเองทั้งนั้นๆ เพราะฉะนั้นพวกที่กิเลสหนาๆ จึงไม่ชอบคุณงามความดี ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป เชื่อแต่นรกอเวจี เชื่อยังไง คือเชื่อว่านรกอเวจีไม่มี แล้วสร้างตั้งแต่นรกอเวจี เข้าใจไหม เชื่อว่าบาปว่าบุญไม่มี เชื่อว่านรกอเวจีไม่มี ความอยากที่จะโดนนรกอเวจีมันไม่ได้คิดละซี มันอยากทำสิ่งที่ต้องการๆ สิ่งที่ต้องการคือเบิกทางไว้แล้วที่จะลงจุดนั้น นี่ที่ว่ามันชอบทำไปทางนั้นเสีย ผู้มีธรรมขยะแขยงต่อความชั่วความสกปรก ผู้สกปรกพัวพันกับสิ่งที่สกปรกทั้งคืนทั้งวัน นั่งร้องห่มร้องไห้ก็ยังพอใจร้องห่มร้องไห้ นั่นเป็นอย่างนั้น อำนาจของกิเลสมันกล่อมสนิทมากนะ ท่านผู้อยู่ในที่เช่นนั้นท่านเห็นได้แปลกๆ ต่างๆ ในสิ่งที่โลกไม่เห็นท่านเห็น เพราะธรรมไม่เหมือนโลก โลกไม่เห็นธรรมเห็น โลกไม่รู้ธรรมรู้ แน่ะเป็นอย่างนั้นนะ

ท่านภาวนาอยู่ในป่า เวลาคุยธรรมะธัมโม ท่านสนทนากัน โอ๋ย เพลิน นั่งกี่ชั่วโมงลืม มีแต่หมุนกันกับอรรถกับธรรมเรื่อยๆ ไปอยู่ที่นั่นเป็นอย่างนั้นๆ ภาวนาเป็นอย่างนั้น นอกจากนั้นจะออกถึงเรื่องพวกเปรตพวกผี พวกเทวบุตรเทวดา ตามแต่จริตนิสัย ท่านก็ออก ที่มีจริตนิสัยเหมือนกันแล้วพูดกันเป็นตุเป็นตะไปเลย เหมือนเรามีตาด้วยกัน ไปที่ไหนเห็นด้วยกันรู้ด้วยกันมันก็ไม่สงสัยกัน เพลินในการพูดการคุยต่อกันในสิ่งที่รู้ที่เห็นใช่ไหมล่ะ อันนี้จิตใจของท่านที่มีนิสัยไปทางนั้น ท่านก็เพลินไปทางนั้นเป็นกาลเป็นเวลาที่สนทนากัน แต่หลักใหญ่เพลินในการแก้กิเลสด้วยความพากเพียร

เรื่องเหล่านี้ไม่ได้แก้กิเลสนะ เป็นสิ่งที่รู้ที่เห็นตามสิ่งที่มีอยู่นี้เท่านั้น เหมือนอย่างเรามองไปเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้ยินสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันไม่ได้แก้กิเลสถ้าไม่ทำให้แก้ ถ้าไม่ทำให้ผูกไม่เป็นกิเลส เห็นก็เห็นไปเฉยๆ ถ้ากิเลสมีมันก็คอยจะเป็นแต่กิเลส ถ้าธรรมมีก็คอยจะเป็นธรรม มันขึ้นอยู่กับเจ้าของผู้ไปสัมผัส ถ้าจิตเป็นธรรมมองไปที่ไหนได้ยินอะไร เป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมนำมาแก้เจ้าของๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลส ไปที่ไหนนำมาพันเจ้าของๆ

เรื่องจิตนี้พิสดารมาก กิเลสก็พิสดารเต็มเหนี่ยวของมัน ท่านผู้ปฏิบัติเหล่านั้นมาเล่าภาวนาสู่กันฟัง เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ก็อย่างที่โยมเขามาพูดนี้แหละน่าฟังไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมดาก็ว่าเป็นของง่ายนิดเดียว เขาแทบตายนะนั่น ติดความว่างมากี่ปีนั่นน่ะ ถ้ามีผู้แนะอยู่จะไม่ติดนาน...ความว่าง ก็อย่างนั้นแหละ เขาก็บำเพ็ญมาอย่างนั้น เขารู้อย่างไรเขาก็เล่ามาตามเรื่องของเขา มันน่าฟังนะ เรานี่เข้าใจทุกกระเบียดที่เขาเล่ามานั้น นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม รู้ได้เห็นได้ รู้ไม่ได้เห็นไม่ได้พระพุทธเจ้าไม่รู้และไม่มาสอนโลกได้แหละ ทรงรู้มาก่อนเห็นมาก่อน คือละมาก่อนบรรดาความชั่วช้าลามกทั้งหลายที่เรียกว่ากิเลส ท่านละมาเรียบร้อยแล้ว ธรรมก็รู้เต็มหัวใจ สอนออกมาจึงไม่มีคำว่าผิดว่าพลาด

ท่านนิพพานนานสักเท่าไร ผู้บำเพ็ญก็เห็นตามอย่างนี้แหละ คำว่านิพพานนานไม่นานมันเป็นเรื่องสกลกายของเรา ตายที่ไหนก็ตายได้ แต่ธรรมอยู่ในนั้นไม่ตาย คำสอนสอนว่าอย่างไร สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วชอบตลอดไป นิพพานไม่นิพพานก็ตามไม่มีปัญหา ชอบตลอดไป ถูกตลอดไป ผู้ก้าวเดินก้าวเดินตามนั้นก็ถูกตลอดไป แล้วถึงเรื่อยไปอย่างนั้น ถ้าผิดก็ผิดไปเรื่อยๆ ธรรมของพระพุทธเจ้านี่เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว จึงไม่ขึ้นอยู่กับว่านิพพานไม่นิพพาน ให้ยึดเอาหลักที่ท่านสอนไว้แล้ว นั้นแหละคือทางก้าวเดินเพื่อพบเพื่อรู้เพื่อเห็นศาสดาองค์เอก ตามรอยพระบาทท่านไป คำสอนของท่านท่านสอนไว้ เดินไปตามนั้นจึงจะรู้จะเห็น ผู้สนใจธรรมนั่นแหละจะรู้เห็นธรรมอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก ผู้รู้เห็นธรรมเป็นอย่างนั้น ผู้รู้เห็นกิเลสนี้ โอ๊ย ทุกอย่างทำโลกให้กระเทือนเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด เรื่องของกิเลสมันทำความกระทบกระเทือนมากนะ ส่วนธรรมไม่กระเทือน

อยากให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายปฏิบัติธรรม นี่เราก็จวนตายแล้ว สอนไว้เพื่อเป็นสารประโยชน์ ให้ได้ยึดได้เกาะอันนี้ไว้ แล้วจะเป็นคุณมหาคุณต่อจิตใจของเรา การตายของใครก็ตาม ครูบาอาจารย์หรือเรา ตายได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ขอให้ได้ความดีไว้เป็นสาระของใจ ตายไปก็ไม่ต้องพูดละ พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว ไปตกแต่งทำไม อวดรู้อวดฉลาดกว่าศาสดาทำไม ว่าบาปมี บุญ มี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มี พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว มันควรจะไปโดนอันไหนมันก็โดนตามที่เราทำไปนั่นแหละ ท่านห้ามไม่ให้ทำอย่างนี้มันจะเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้นถ้าฝืน ถ้าทำตามท่านที่สอนนี้แล้วจะเป็นตามท่านไปเรื่อยๆ นั่น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครนะ

         พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วเราจะไปอวดดีกว่าท่าน ไปลบล้างได้อย่างไร ทุกพระองค์ไม่เคยมีในคัมภีร์ใบลาน ว่าพระพุทธเจ้าสอนธรรมนี้ค้านกัน ไม่มี สอนแบบเดียวกันหมด เพราะรู้อย่างเดียวกัน สิ่งใดที่ตรัสรู้ขึ้นมาเห็นอย่างเดียวกัน แล้วจะไปสอนให้ผิดแปลกจากกันได้อย่างไร ก็ต้องสอนแบบเดียวกัน อย่างบาปบุญนรกสวรรค์เหล่านี้ มีมาเท่าไร ใครอวดรู้อวดฉลาดมาจากไหนจะไปลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ได้ เราก็เชื่อว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีนั่นแหละ ความเชื่อนี้แหละมันพาให้จม จำให้ดีนะ ถ้าเชื่อตามพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่จม สิ่งใดผิดแก้ทันทีหลีกทันที ถ้าเชื่อตามพระพุทธเจ้า สิ่งใดที่ถูกบืนเข้าไปทันที ถ้าเชื่อตามกิเลสอย่างที่ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี นี่แหละตัวสำคัญ ให้พากันสั่งสมเชื่ออันนี้ให้มาก ๆ นะ เข้าใจเหรอ พากันสั่งสมให้หมดลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่มันเก่ง มันมักทำลายสิ่งที่พระพุทธเจ้าซึ่งทรงรู้ทรงทราบพอแล้วให้ฉิบหายวายปวง มันเอาความโง่ของมันเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า แล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป แล้วก็เหยียบหัวตัวเองจม เข้าใจ ?

         เอาละ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นแหละอย่าให้พูดมาก เหนื่อย วันไหนก็เหนื่อยทุกวัน ๆ จะให้พูดว่าอย่างไรอีก

 

ชมถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก