ขี้เกียจตอบปัญหาอย่างนี้นะ
วันที่ 26 ตุลาคม 2546 เวลา 8:30 น. ความยาว 40.11 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ขี้เกียจตอบปัญหาอย่างนี้นะ

 

         วัดป่าภูทอง บ้านภูเขาทอง หมู่ที่ ๒ ตำบลภูเขาทอง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ถวาย ๑๔๑,๗๐๐ บาท เหรียญมาเลเซีย ๓๐๐ เหรียญ ทองคำ ๗ บาท พากันอนุโมทนาสาธุการนะ (สาธุ) มาจากสุดเขตเมืองไทยเราของเล่นเหรอ ยังอุตส่าห์มานี่นะ มาจากนราธิวาสใกล้ๆ เมื่อไร อุตส่าห์มาด้วยน้ำใจทั้งนั้นละนี่ ตั้งแต่เริ่มแรก คิดเป็นการกุศลมาตั้งแต่โน้น ได้บุญได้กุศลบรรจุใจตลอดมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ยังจะบรรจุในใจกลับไปนราธิวาส แล้วไปถึงนราธิวาสให้พากันหาใหม่มาอีกนะ ไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆ ลงทะเลนะ ไปแล้วทางนี้ล่ามโซ่เอาไว้ ได้มากพอสมควรแล้วก็ดึงโซ่กลับมาอีก เข้าใจไหม พอใจกับพี่น้องทั้งหลาย (มาก็น้ำท่วมครับ) ท่วมก็ท่วมเถอะมันไม่ท่วมหัวใจเราละ หัวใจเรามีเรามาได้สบาย น้ำก็เป็นน้ำไป ไม่ต้องกลัวมันน้ำ เอามันเลยเชียว ทองก็ ๗ บาทของเล่นเมื่อไร

นี้กำลังจะเร่งทองเข้าสู่คลังหลวงของเรา คราวนี้ได้พูดออกสนามแล้วว่า ทองคราวนี้อย่างน้อยต้องเป็นตันขึ้นไปเลยเชียว เพราะคนทั่วประเทศไทย ช่วยเหลือกันหมดทั่วประเทศไทย รวมคราวนี้ให้ได้มากกว่าทุกคราว ไม่อย่างนั้นไม่สมเกียรติของชาติไทยเรา คราวนี้เป็นคราวยิ่งใหญ่ เวลานี้กำลังรวบรวมทองคำจากที่ต่างๆ เสร็จแล้วเราก็จะลงกรุงเทพ ลงกรุงเทพก็เอาอีก รวบรวมเข้ามาอีก ขาดเหลือเท่าไรก็รู้กันตรงนั้น ทีนี้ก็จะออกมอบทองคำใส่หัวใจของชาติไทยเราทั้งประเทศ หัวใจอยู่จุดนั้นนะ ไม่ว่าใกล้ว่าไกลหัวใจอยู่จุดเดียวนี้ อย่าว่าไกลเลยนราธิวาส หัวใจก็อยู่ที่นี่อันเดียวกัน เข้าใจเหรอ

อยู่ที่ไหนเขตเมืองไทยเรา หัวใจอยู่ในนี้หมด จึงต้องได้ช่วยกันอย่างนี้ ช่วยหัวใจดวงเดียวให้หายใจโล่งปอดๆ เข้าใจเหรอ หลวงตาตะเกียกตะกายอยู่เวลานี้ไม่ได้เอาอะไรนะ มุ่งต่อบรรดาพี่น้องทั่วประเทศไทยเรา ช่วยเต็มกำลังความสามารถ หลวงตานี้ไม่เอาอะไรเลย บอกตรงๆ อย่างนี้ ไม่เอา แม้บาทหนึ่งก็ไม่เคยแตะต้อง ให้ชาติของเราทั้งนั้นๆ ตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายเพื่ออันเดียวนี้แหละ เพื่อหัวใจของชาติเรา ให้พากันเอาหัวใจของชาตินี้กางในหัวใจของเราไปตลอดนะ ไปไหนก็ไปตลอดเลย ไปๆ หาเงินหาทอง ดอลลาร์ เงินไหนเอามาเถอะ หลวงตาคอยรับอยู่ทางนี้ ไปทางไหนหลวงตาจะล่ามโซ่เอาไว้ ได้มากแล้วยังกระตุกโซ่ลองดู ถ้ายังอีกไปอีก ปล่อยโซ่อีกไปหา ได้แล้วกระตุกโซ่ทีหนึ่ง ได้แล้วยัง พอสมควรแล้วยัง พอเห็นว่าพอสมควรแล้วดึงโซ่ปุ๊บมาเลย เข้าคลังหลวง เข้าใจไหม

นราธิวาสนี้หลวงตาก็เคยไปทีหนึ่ง ไปอยู่หลายคืน กระทรวงมหาดไทยเขานิมนต์ไปงานฉลองอะไรของวัดเขากง นึกว่าลูกศิษย์จะไม่มีทางนู้น ไปนราธิวาสไม่ใช่น้อยๆ พวกหมอพวกอะไรๆ เต็มอยู่โน้นหมด ไปจังหวัดไหนนึกว่าจะไม่มีลูกศิษย์ โอ๋ย เต็มไปทั้งนั้นแหละ พอไปที่ไหนดูว่าจะไม่มี นราธิวาสก็เยอะลูกศิษย์อยู่ในนั้น ส่วนมากเป็นหมอๆ ไปพักอยู่นราธิวาส วัดประชาภิรมย์ ไปพักอยู่ที่นั่น ออกบิณฑบาต พักหลายวันอยู่ (วัดอยู่ในตัวจังหวัดครับ) เออ แต่ก่อนมันอยู่ชายเมืองนะ เดี๋ยวนี้ก็คงจะรอบไปหมดแล้วแหละ แล้ววัดพรหมนิวาสนั่นเราก็ไปแล้ว มีพระอยู่ที่นั่นติดต่อมาทางนี้ ขอหนังสือไปวัดพรหมนิวาส เราก็ส่งหนังสือไป แล้วท่านก็บอกชื่อบอกนาม เดี๋ยวนี้ลืมชื่อแล้วแหละ กับสมภารวัด ไปเราก็เข้าไปหาท่าน โอ๋ย ท่านดีอกดีใจมาก เรียกพระทั้งหลายเข้ามาหาเลยเทียวนะ สมภารวัดท่าน กับท่านมหาอะไรน้า โอ๊ย ไปคุยกันอยู่นั้นนาน เข้าหนเดียวแหละนั่นก็ดี จากนั้นมาก็ไม่ได้ไปอีกเลย ดีแล้วพอใจๆ

สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒๕ เมื่อวาน ทองคำได้ ๒๑ กิโล ๓๓ บาท ๔๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้  ๑๔,๘๗๒ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมดเวลานี้ได้ ๘,๑๘๒ กิโล ยังขาดอยู่ ๑,๘๑๘ กิโล จะครบจำนวน ๑๐ ตัน ดอลลาร์ได้แล้วทั้งหมด ๘,๔๕๙,๐๐๐ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๕๒๑,๐๐๐ ดอลล์ จะครบจำนวน ๑๐ ล้าน

วัดป่าดานวิเวก (ดงศรีชมภู) ถวายทองคำเมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๒๑ กิโล ๔ บาท ๒๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๔,๖๑๘ ดอลล์ รวมทั้งเงินสดและเช็คด้วยกันเป็นเงิน ๑,๔๙๔,๐๖๒ บาท เช็ค ๑,๒๐๑,๐๐๐ บาท รวมเงินสดและเช็คทั้งหมดได้ ๒,๖๙๕,๐๖๒ บาท อนุโมทนาทุกคน (สาธุ)

นี่กำลังรวบรวมทองเวลานี้ เราพยายามจะให้ได้ทองตามความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ไม่ต่ำกว่า ๑ ตันขึ้นไปคราวนี้ จะให้ได้มากกว่าทุกครั้ง ให้สมเกียรติชาติไทยของเราที่ตั้งขึ้นเป็นกฐินของชาติทั่วประเทศไทย จึงเรียกว่าเป็นกฐินของชาติ ใหญ่โตมากทีเดียว ผลรายได้จึงให้สมดุลกัน คราวนี้เราคาดเอาไว้ว่า ตั้งแต่ ๑ ตันขึ้นไปเลยที่จะมอบคราวนี้ เวลานี้กำลังรวบรวมทองคำจากที่ต่างๆ มาทุกทิศทุกทางยังไม่จบสิ้น จึงพูดอะไรไม่ได้ จนกระทั่งทองคำมารวมเรียบร้อยแล้วเราก็ลงกรุงเทพ รวมทองคำที่นั้นอีกทีหนึ่งแล้วก็หลอม แน่นอนเท่าไรแล้วนี้ก็ออกประกาศแหละ จะมอบเท่าไรๆ จะออกประกาศตอนนั้น

ไปกรุงเทพคราวนี้เรียกว่าไปมอบทองคำก็ไม่ผิด จะมอบวันใดวันหนึ่งให้พิจารณาเรียบร้อยเสียก่อน เดี๋ยวนี้ยังกำหนดไม่ได้ว่าทองคำจะได้สักเท่าไร แต่เราแน่ใจว่าได้มากแล้วก็มอบพร้อม คราวนี้เป็นคราวที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็กะปริบกะปรอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหมายที่เราต้องการคือทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน เราจะประกาศยุติก็ประกาศได้หลังจากนั้นไปแล้ว แต่อย่างไรพี่น้องทั้งหลายจะได้ทราบเอง หลวงตาจะเป็นผู้ประกาศการหยุดจากการขวนขวายสมบัติเข้าสู่ชาติของเราเมื่อไร จะประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทุกคน

สำหรับดอลลาร์เราก็ไม่วิตกวิจารณ์อะไรมากนัก เพราะเบากว่ากัน ส่วนทองคำนี้หนักมากตลอด จึงต้องได้ทุ่มกันเต็มกำลังความสามารถทั่วหน้ากัน เอาให้ได้ชาติไทยของเรา ให้มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศทั่วโลกในการช่วยชาติคราวนี้ ซึ่งไม่สงสัยว่าจะต้องเป็นประวัติศาสตร์แน่นอน ประวัติศาสตร์นี้ให้เป็นประวัติศาสตร์ที่สง่างามเต็มที่เลย เพราะทางชาติก็ช่วยกันเต็มเหนี่ยว ทางศาสนาก็ช่วยกันเต็มเหนี่ยว อุ้มเมืองไทยเราขึ้น ทั้งสองด้านอุ้มเมืองไทยเรา อย่างไรต้องให้ขึ้นอย่างสง่างามไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย จะเสียชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ หรือศักดิ์ศรีดีงามแห่งชาติไทยของเราไป ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นการเสียมากทีเดียว

เพราะฉะนั้น สมบัติเหล่านี้จึงเป็นเครื่องหนุนชาติไทยของเราให้สง่างามทั่วแดนของโลกนี้ อย่างไรเขาต้องได้ยินข่าวจากประวัติศาสตร์ของพวกเราจะออก แล้วประกาศทีแรกก็จะทราบว่า เมืองไทยช่วยตัวเองนั้นช่วยแบบไหน ได้เท่าไร ผลแห่งการช่วยชาติมีจำนวนมากน้อยเพียงไร ใครๆ ก็จะต้องรอฟัง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมพร้อมทุกคนในฐานะที่ว่าเราเป็นเจ้าภาพในการกอบกู้ชาติไทยของตนเอง จึงต้องเอาให้เต็มเหนี่ยว ถ้าเบากว่านั้นไม่ได้

อย่างไรก็ขอให้ฟังเสียงหัวหน้า หัวหน้าทางศาสนาเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามากางเป็นแบบแปลนแผนผังให้พี่น้องชาวไทยเดินด้วยความถูกต้องดีงาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทางฝ่ายบ้านเมืองพี่น้องทั้งหลายก็ทราบทั่วหน้ากันแล้ว ผู้นำของเราในเวลานี้เป็นบุคคลเช่นไร เราก็ทราบทั่วหน้ากันแล้ว ทั้งสองนี้เรียกว่าเป็นมงคลด้วยกันในการช่วยชาติคราวนี้ จึงแน่ใจว่าจะเป็นประวัติศาสตร์อันงดงามของชาติไทยเรา ให้โลกได้เห็นทั่วหน้ากันด้วย ตลอดกุลบุตรสุดท้ายภายหลังจะได้ยึดคติตัวอย่างของพ่อแม่ทั้งหลายได้พาดำเนิน ว่าเป็นไปด้วยความดีงามอย่างไรบ้าง

อย่างคราวที่แล้วเมืองไทยเราจะจม ทั้งๆ ที่ประชาชนจำนวนตั้ง ๖๒ ล้านคน เราก็ฟื้นขึ้นมาได้ ไม่ยอมจมขายหน้าปู่ย่าตายายของเรา เรียกว่าเราไม่ยอมขายหน้า เราเป็นลูกเป็นหลานมีจำนวนตั้ง ๖๒ ล้านคน ในระยะนั้นเมืองไทยค่อนข้างจะจม ไหลลงๆ ก็พากันฟื้นขึ้นจากจำนวนลูกหลานทั้งหลาย ๖๒ ล้านคน ก็เป็นที่พอใจมาเป็นลำดับ จนกระทั่งปัจจุบันนี้เรียกว่าพอใจ พอใจไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ต่อนี้ไปเราจะประกาศความเด็ดขาดแห่งการช่วยชาติ จากความรักชาติของพี่น้องชาวไทยเรา ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ให้ได้จำนวนตามที่กำหนดนี้ ทองคำให้ได้ ๑๐ ตันเป็นอย่างน้อย ดอลลาร์ให้ได้ ๑๐ ล้านเป็นอย่างน้อย นี่เรียกว่าเป็นความสง่างามแห่งชาติไทยของเราที่กู้ชาติ ซึ่งจะล่มจมอยู่ในเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ได้ฟื้นขึ้นมาสู่ความแน่นหนามั่นคง ยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายอุตส่าห์พยายามทั่วหน้ากันนะ

หลวงตาก็สุดกำลังแล้ว ให้เลยนี้ไม่ได้แล้ว เวลานี้มีแต่จะลดลงๆ มิหนำซ้ำยังประกาศในวันสิ้นเดือนธันวาว่า จะเที่ยวซอกแซกเทศนาว่าการตามโครงการช่วยชาติดังที่ปฏิบัติมานั้นจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะธาตุขันธ์อ่อนลงทุกทีๆ การเทศนาว่าการก็เช่นเดียวกัน หลงหน้าหลงหลังวกวนไปมา ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมี เวลานี้ก็เป็นแล้ว นี่ละเรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้พาให้เจ้าของซึ่งเป็นผู้นำได้หยุดชะงักลงไปไม่รอด แต่เรื่องการบัญชีที่รับบริจาคของพี่น้องทั้งหลายนั้น คงดำเนินไปตามเดิม จนกว่าว่าสมบัติเหล่านี้จะเพียงพอกับความต้องการที่เราได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วนั้นเมื่อไร เราจะประกาศเมื่อไรก็ไม่ยากอะไรเลย ขอให้ได้สิ่งที่เราต้องการนี้สมใจเราก็พอกัน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้แล้วไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติไทยของเราด้วย ไปปฏิบัติหน้าที่การงานของตนด้วย

อย่าพากันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม คำนี้ได้พูดอยู่เสมอเมืองไทยเรา ชอบเป็นอย่างนี้เพราะตื่น น้ำเก่าตื่นปลาใหม่ หรือปลาใหม่ตื่นน้ำเก่าน้ำใหม่ก็ไม่ทราบ เห็นอะไรไหลเข้ามาๆ คว้ามับๆ อันนี้เสียนิสัยของชาติไทยเรา ขอให้พี่น้องทั้งหลายจดจำเอาไว้ให้ดี เราเป็นเนื้อเป็นหนังของชาติไทยเรามาดั้งเดิม อะไรผ่านเข้ามาอย่าถือว่าเป็นเนื้อหนังของเขาเองโดยถ่ายเดียว จะเป็นความเสียหายแทรกมาในนั้นๆ จึงให้ระมัดระวังพินิจพิจารณา สิ่งใดที่มีอยู่แล้วในบ้านในเมืองของเราให้พากันใช้สอยตามที่มีอยู่ของเรานั้นไปก่อน เมื่อใช้สอยนี้ ผลิตกันขึ้นในนี้เรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะแน่นหนามั่นคงสดสวยงดงาม มีคุณค่ามีราคามากขึ้น แล้วการเงินการทองการซื้อการขายของเราก็คล่องตัว การสงวนเนื้อหนังของเราก็แน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราไม่หลงกลอุบายของสิ่งต่างๆ ที่ไหลมาจากทุกทิศทุกทาง

มันไหลเข้ามาเรื่อย ๆ นะเวลานี้ มีโรงงานมากเท่าไร นั่นละโรงเงิน มันจะไหลเข้าไปตรงนั้น เงินไหลเข้าไปตรงนั้นจะไปจากไหนถ้าไม่ไปจากพี่น้องชาวไทยเรา จึงต้องพิจารณาให้ดี เขาก็หวังจะเอาเงิน ที่เขามาตั้งโรงงานในเราเขาก็หวังจะเอาเงิน เราอย่าให้เสียเปรียบมนุษย์ด้วยกัน ให้อยู่ในความพินิจพิจารณาด้วยดีทุกคน เฉพาะอย่างยิ่งการสงวนเนื้อหนังของเรานี้เป็นหลักใหญ่มากนะ ชาติใดก็ตามจะมีความแน่นหนามั่นคงนั้นขึ้นอยู่กับการสงวนเนื้อหนังของตนเองนะ ไม่ใช่ไหลไปเลยเหมือนซุงทั้งท่อน ถ้าอย่างนั้นจมได้นะ หลักแหล่งของชาตินั้นอยู่ที่เนื้อหนังตัวเองสงวนรักษา และความมีความรักในสมบัติของตนยิ่งกว่าสมบัติอื่นใดที่ไหลเข้ามาแบบจร ๆ และเป็นกาฝากมาในตัว มันจะมากัดตับกัดปอดพี่น้องชาวไทยเราโดยไม่รู้สึกตัว จึงได้นำธรรมออกมาเตือนให้รู้

นี้เป็นคำเตือนของธรรมนะ ให้พากันระมัดระวังให้มาก อย่าสุรุ่ยสุร่ายเกินเนื้อเกินตัว มีเท่าไร ๆ ก็พออยู่พอเป็นพอไป นั่นละไม่มีความทุกข์มากนะ ถ้าดีดถ้าดิ้นแล้วได้มามากความทุกข์ก็มากไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่ของดี ได้มาเพื่อความทุกข์เป็นของดีเมื่อไร ได้มาหรือไม่ได้มา เราอยู่กินพอดิบพอดีของเรานั้นคือบ่อแห่งความสุข อยู่ในจุดนั้นนะ ไม่ได้อยู่ในความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อันนั้นเป็นบ่อแห่งความเดือดร้อนที่จะติดตามมาหาเรา แล้วยังจะเป็นมรดกอันเลวร้ายต่อรุ่นลูกรุ่นหลานเราต่อไป เลยกลายเป็นเมืองไทยไม่มีหลักแหล่ง นี่เสียตรงนี้นะให้พากันระมัดระวัง

เรื่องศีลธรรมเป็นของจำเป็นมาก เป็นธรรมที่จำเป็นมาก เราอยู่สถานที่ใดอย่าปล่อยศีลปล่อยธรรม ศีลธรรมจะไม่พาใครให้ล่มจม นอกจากกิเลสความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้จักเป็นจักตายนี้เท่านั้นพาโลกให้ได้เกิดความเดือดร้อนเป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นยุ่งไปอีกทั่วโลกดินแดน ดีไม่ดีฆ่าฟันรันแทงกันเพราะอำนาจของกิเลสไม่เคยยอมตัว ไม่เคยแพ้ใครเลย เจ้าของแพ้ก็ยังไม่ยอมแพ้ในใจ เรียกว่ากิเลส อย่าให้มันเข้ามาแทรกในใจ พออยู่พอกินพอเป็นพอไปแล้วก็ให้อยู่ไป ปฏิบัติหน้าที่การงานเพื่อครอบครัวเหย้าเรือนและสังคมเราให้เป็นไปด้วยดี อย่าให้เป็นไปด้วยความล้มเหลวนะ

แล้วทางด้านศีลธรรมก็ให้มีจิตตภาวนา ทำความสงบใจในวันหนึ่ง ๆ มีการภาวนาให้จิตใจมีความสงบเย็น นี้เรียกว่า พักเครื่องแห่งความวุ่นวายทั้งหลาย ใจสงบแล้วเรียกว่า พักเครื่อง ความสุขจะเกิดขึ้นที่จุดนั้นแหละ เมื่อสงบหลายครั้งหลายหนจิตใจมีคุณค่ามีราคามีความสง่างามขึ้นมาโดยลำดับ สามารถที่จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นภัยและเป็นคุณได้รอบตัวตลอดไปๆ จุดนี้เป็นจุดสำคัญมากนะ คนผู้มีจิตตภาวนาฝังใจตัวอย่างลึกแล้วเรียกว่า ต้นไม้ที่มีแก่น และต้นไม้ที่มีรากแก้ว ไม่โค่นล้มไปอย่างง่ายดายนะ จิตใจที่มีจิตตภาวนาประจำพุทธศาสนาของชาวไทยเราแล้ว เราจะมีหลักใจเป็นอย่างดี ประกอบหน้าที่การงานอะไรก็ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่ลืมเนื้อลืมตัวอย่างง่ายดาย

จิตใจที่มีธรรมอยู่ภายในจะเตือนออกมา ๆ หน้าที่การงานจะเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นแก่นไปโดยลำดับลำดา เพราะใจเป็นแก่นอยู่แล้วภายในคอยเตือน ๆ คนไม่มีภาวนาเลยนี้จิตใจล้มเหลวนะ ล้มเหลวไปทุกทิศทุกทาง กิริยาอาการแสดงออกมีแต่ความล้มเหลวทำลายตัวและสังคมเท่านั้นแหละ ถ้ามีจิตตภาวนาอยู่ภายในใจความรู้จักพอดิบพอดีจะเตือนอยู่ภายในใจ เตือนออกมา ๆ เตือนอย่างหยาบอย่างกลางอย่างละเอียด มีอยู่ภายในใจ ธรรมอยู่ที่นั่น คำว่าเตือนนั้นก็หมายความว่าธรรมเตือนเรา เราสั่งสมธรรม ธรรมมีมากน้อยขึ้นมาก็มาเป็นคุณแก่เราและเตือนเรา กลัวจะเป็นความเสียหายอย่างไรเตือน

นี่ละหลักการภาวนาจึงเป็นหลักใหญ่มากประจำชาวพุทธเรา จะได้มีความรอบคอบในหน้าที่การงานและการประพฤติปฏิบัติตัวเอง จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ขอให้นำมาปฏิบัติ ไม่มีคำใดที่จะทำให้สัตว์โลกทั้งหลายล่มจมเพราะศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เหตุที่ล่มจมนั้นก็เพราะพวกโจรพวกมารที่มันแทรกอรรถแทรกธรรม เรียกว่า กิเลส นั้นแหละ เพื่อนหรือกาฝาก มันคอยกัดตับกัดปอดเรา พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละพอ แล้วมีอะไรอีกล่ะ

โยม มีปัญหาจากอินเตอร์เน็ตครับผม

หลวงตา ประเทศไหนบ้างล่ะ ว่ามา

โยม คนที่ ๑ นะครับ เมื่อครั้งที่ลูกเคยกราบเรียนถามเรื่องการพิจารณาอสุภะ ลูกกลับมาน้อมปฏิบัติตาม คือเพ่งอสุภะให้ชำนาญไม่ให้เผลอทั้งสติ และการพิจารณาภาพ อสุภะนั้น เวลานี้เวลาเห็นผู้หญิงผู้ชายจิตมันแวบขึ้นมาว่า นี่ดูดี นี่สวย แต่ขณะเดียวกันมันก็เหมือนธรรมะขั้นต่ำ เป็นอสุภะเกิดที่ตัวเรา หลังจากที่มองคนอื่นเขาสวยเขาหล่อแต่ย้อนมาที่ตัวเราแล้วเน่าเละ ขณะจิตนั้นก็น้อมเข้าหาธรรมะเครื่องละวางกาย ความสวยความงามในทันที แต่ลูกก็ยังเพ่งอสุภะซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติอัตโนมัติเอง เดี๋ยวนี้ตั้งอสุภะแนบไว้ที่จิตไม่ทำลาย แต่แวบหนึ่งคือมันหดเข้าหาจิตที่ตั้งอสุภะ แต่ก็ไม่เป็นทุกครั้งค่ะ ตอนนี้ลูกก็ตั้งดูอสุภะนั้นอีก มันก็ยังหดเข้าหาจิต ทุกครั้งที่รู้สึกหดเข้าหาจิตมันเหมือนสลดด้วยอริยสัจความจริงที่พึงเข้าใจ ลูกพยายามดูความเคลื่อนไหวอสุภะนี้ต่อไป ถูกหรือไม่ประการใด กราบเมตตาจากหลวงตา

หลวงตา เออ ถูกต้อง ถูกต้องแล้วนะ ให้พิจารณา ถ้ายังไม่ชำนาญหมุนเข้ามา ให้อสุภะทั้งหมดมารวมอยู่ในหัวใจ เลยกลายเป็นว่าอสุภะคือหัวใจนี้เองหลอกตัวเองอยู่ภายนอก อสุภะที่แท้จริงคือหัวใจเป็นผู้เป็น  สิ่งเหล่านั้นวาดภาพออกไปจากใจนี้แหละ อสุภะข้างนอกทั้งเขาทั้งเรา จึงพิจารณาน้อมเข้ามาอสุภะทั้งหลายเข้ามาเป็นในจิตใจเสียแล้วเรียกว่าถูกต้องเข้าใจเหรอ เออ เอ้า ถูกต้องอันนี้ ให้ย้ำลงให้แน่ชัดลงไป ละเอียดลออชำนิชำนาญขึ้นไปโดยลำดับ เอ้า ว่าไปที่นี่

โยม คนที่ ๒ ครับ กราบรบกวนเรียนถามหลวงตาว่า ต้องทำภาวนานานแค่ไหนถึงรู้ว่าวิธีนี้ไม่ใช่จริตของเรา แล้วจะค้นคว้าอย่างไรในการที่จะถูกกับจริตของเรา โดยส่วนตัวผมเป็นคนคิดจินตนาการไปเรื่อย เพราะอาชีพบังคับ ต้องทำงานเกี่ยวกับการสร้างสรรค์โดยใช้ความคิด ทำให้นิ่งยากมาก ต้องใช้ความคิดแล่นอยู่ตลอดเวลา กราบขอบพระคุณหลวงตามาก แสดงว่าถามแค่นี้ครับว่า ต้องทำภาวนานานแค่ไหนถึงจะรู้ว่าวิธีนี้ไม่ใช่จริตของเรา

หลวงตา นั่นซิ เราไม่อยากพูด ไอ้เรามันยุ่ง ๆ นานแค่ไหนมันถึงจะว่างไม่เห็นมาถามบ้างล่ะ มันยุ่งมาตลอดใช่ไหม แล้วจะใช้เวลานานเท่าไรมันจึงว่างจะสบายไม่เห็นถามมา พอจะเริ่มภาวนาเพื่อความว่าง ความสบาย มันกลับว่านานเท่าไรถึงจะถูกกับจริต อันนี้มันบ้าถามหรือคนดีถามหลวงตาสงสัยอยากถามย้อนคืนอย่างนั้น เอ้า ไปตอบตัวเองบอกอย่างนั้นนะ เออ เอ้า ไป ว่าไป

โยม คนที่ ๓ ครับ กราบนมัสการเรียนถามปัญหาหลวงตาดังนี้ครับ ข้อ ๑ จิตกับความคิดใช่อันเดียวกันหรือไม่ และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

หลวงตา จิตคือความรู้ ความรู้ที่ปรุงออกไปจากจิตเป็นความรู้แขนงของจิตนี้เรียกว่าสังขารความปรุงของจิต ออกไปจากจิตแต่ไม่ใช่จิตเข้าใจเหรอ เรียกว่าสังขารคือความปรุงภายใน สังขารภายนอก เช่น ต้นไม้ ภูเขา สัตว์ทั่ว ๆ ไป นี่สังขารภายนอก สังขารภายในคือความคิดปรุงของจิตสำเร็จรูปมาในนั้นเสร็จ ปรุงว่าหญิงเป็นหญิงเรียบร้อยแล้ว ปรุงเป็นชายเป็นชายเรียบร้อยแล้ว นี่เรียกว่าสังขารภายใน เข้าใจเหรอ ทั้ง ๒ อย่างนี้ สังขารภายในเป็นตัวหลอกลวงมากที่สุด ยิ่งกว่าสังขารอื่นใด แล้วถามมาเรื่องอะไร

โยม ถามว่าจิตกับความคิดใช่อันเดียวกันหรือไม่ครับ

หลวงตา ไม่ใช่อันเดียวกัน ความคิดออกมาจากจิต จิตกระเพื่อมมันก็เป็นความคิดออกไป ถ้ามีแต่ความรู้ล้วนๆ ไม่กระเพื่อมก็เป็นจิต พอความกระเพื่อมออกไปนี้ ความรู้อันนี้ออกไปนั้นเป็นสังขาร เป็นความคิดจึงไม่ใช่อันเดียวกัน แต่ออกจากที่เดียวกันคือจิต เข้าใจหรือเปล่า เออ ว่าไป

โยม ข้อ ๒ นะครับ เวลานั่งสมาธิ บางช่วงมี ๒ ความระลึกพร้อมกันคือ  รู้ตัวว่ากำลังพิจารณาลมหายใจเข้าออกพุทโธอยู่และก็รู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องอื่น ๆ อยู่ ซึ่งจะแวบเข้ามาในความคิดประมาณ ๑-๒ นาที และหายไป ถ้าเป็นอย่างนี้ถือว่ามีสมาธิ หรือไม่ครับ

หลวงตา ขี้เกียจตอบ ถามไม่ได้หน้าได้หลัง  เอ้า ฟัง ความจริงแล้วจิตทำหน้าที่อันเดียว เราคิดนี้แล้วอันนั้นแย็บมานี้คือว่า อันนี้เบามันขึ้นทางนั้น อันนั้นเบาขึ้นทางนี้ มันออกจากจิตดวงเดียวเข้าใจเหรอ ถ้าจริงๆ แล้วจิตทำหน้าที่อันเดียวเท่านั้น ที่มันแทรกก็คือกระแสของความรู้ที่แฝงขึ้นไป ความคิดอันเป็นจุดเดิมของเรานี้เท่านั้นเข้าใจเหรอ ก็มีเท่านั้น ไม่อยากตอบไปมากขี้เกียจตอบปัญหาอย่างนี้นะ นี่ยังดีนะยังตอบให้อยู่ เอ้า ว่าไป

โยม เวลาภาวนาพุทโธไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสงบลง ๆ ภาวนาไปนานเข้าจะรู้สึกลืมพุทโธ อย่างนี้ถือว่าไม่มีสมาธิใช่หรือไม่ กราบขอบพระคุณหลวงตามา ณ โอกาสนี้ ( จาก ชวนชื่น )

หลวงตา คำว่า ลืมพุทโธ นี้ส่วนมากฟังกันก็เรียกว่ามันเผลอ มันถึงลืมพุทโธ เราพุทโธ ๆ แล้ว พุทโธหายไปแต่สติยังดีอยู่ มันเชื่อมเข้าไปสู่จุดอันเดียวกันไม่มีคำว่า พุทโธ นี่เรียกว่า ถูกต้องเข้าใจไหม ที่มันหายไปเลยเงียบ ๆ นี้ความเผลอ เข้าใจไหมที่ว่า

โยม ครับ

หลวงตา เอ้า ถามย้ำมาอีกคำเก่านั่นละ เอ้า

โยม เวลาภาวนาพุทโธไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสงบลง ๆ ภาวนาไปนานเข้าจะรู้สึกลืมพุทโธ อย่างนี้ถือว่าไม่มีสมาธิใช่หรือไม่

หลวงตา คำวาลืม พุทโธ มันเผลอไปหรือมันลืม พุทโธ ด้วยเหตุใดนั่นซิ มันน่าถามตรงนี้น่ะ เรายังตอบไม่ได้ คำว่าไม่มี พุทโธ หรือว่า ลืมพุทโธไปเลยก็มี มีพุทโธอยู่แต่พุทโธค่อยกลมกลืนกับความรู้อันเดียวกันไปอยู่อันเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่สติไม่เผลอนี้เรียกว่า ความถูกต้อง ความสงบของจิตไม่ใช้สังขารคือ พุทโธ ในระยะนั้น อันนี้เราก็เคยพูดแล้ว เวลาจิตมันดื้อก็เอาพุทโธตีเข้าไปให้หนัก ๆ แน่น ทีนี้เวลามันอ่อนตัว พุทโธ ละเอียดเข้าไป ๆ จนกระทั่งถึงตัวจิตแล้ว คำว่าพุทโธนี้หายไปเลย แต่ความรู้นั้นไม่หาย สติจับอยู่ตรงนั้น นี่เรียกว่า ไม่เผลอหรือถูกต้องด้วย แล้วเวลามันคลี่คลายออกมาก็เหมือนคนตื่นนอน พอตื่นนอนขึ้นมาก็รู้นั้นรู้นี้ อันนี้พอจิตถอยออกมาเท่านั้นแล้วก็ระลึกพุทโธตามเดิมได้ นี่ก็เคยสอนมาแล้วไม่ใช่เหรอ ก็มีเท่านั้นแหละ ให้ฝึกหัดจริง ๆ นะ มาถามจริง ๆ อย่ามาทำสักแต่ว่าทำแล้วมาถามสุ่มสี่สุ่มห้า เราไม่อยากตอบอย่างนั้น เพราะเราไม่ได้ทำเล่นนี่นะ การตอบก็ตอบเพื่อสาระสำคัญ มาถามสุ่มสี่สุ่มห้า โดยที่ความตั้งใจไม่ค่อยมี สักแต่ว่าถามนี้เราไม่ตอบ ต่อไปจะเป็นอย่างนั้น เอ้า ว่าไป

โยม จบแล้วครับผม

หลวงตา จบแล้ว เรายังอยากจบตั้งแต่ยังไม่ถามโน้น จะว่ายังไง พอ

โยม หลวงตาคะ เมื่อคืนนี้ลูกชายคนเล็กเขาอยากเดินจงกรม ลูกก็เลยให้เขาเดินแล้วบอกให้เขาพุทโธ พอเขาเดินไปได้สักพักเขาไม่ยอมหยุด ลูกก็เลยจะให้เขาขึ้นนอน พอเขาขึ้นนอนเขาบอกว่าทำไมมันเย็นดีจัง ลูกถามว่าเย็นที่ตรงไหน เขาบอกว่าเย็นที่กลางอก เขาบอกว่าเย็นสบายไม่อยากหยุดเดินเจ้าค่ะ

หลวงตา นั่นละจิต ในครั้งพุทธกาลท่านบอกพื้นฐานไว้ เด็กอายุ ๗ ขวบสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ นี่หมายถึงวี่แววแห่งความดีมันบอกอยู่กับเด็ก เด็กเย็นเด็กก็รู้ ถูกต้องแล้วที่ทำ

โยม ปล่อยให้เขาทำไปเรื่อยๆ

หลวงตา เออ ให้เขาทำไปเร่อยๆ ผู้ใหญ่ก็คอยดูแลนะ ได้เวลาแล้วก็ให้หาเรื่องแก้กันนิดหนึ่ง ถ้ามันเพลินเสียจนเกินไป เราก็ต้องมีอุบายวิธีสอนให้ผ่อนเบาลงไป แต่ไม่ให้เป็นกิเลสเป็นอุปสรรคแก่เด็ก เราก็สอน นี่มันดึกแล้วมันเหนื่อยแล้วนะลูก วันหลังเดี๋ยวภาวนาไม่ดี พักผ่อนเสียก่อน หาอุบายว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม ถ้าพูดอย่างอื่นเป็นข้าศึกของเด็กอีก ต้องระวัง เวลาเขาเดินเพลินไป นี่เหนื่อยมากแล้ว วันหลังจะภาวนาไม่ดี ว่าไป เอาละพอ

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวันที่  ได้ที่

www luangta.หรือ com www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก