เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ปัจจยาการภาคปฏิบัติ
ก่อนจังหัน
พระเราเปลี่ยนหน้ามาใหม่เรื่อย ๆ นะ เปลี่ยนเข้ามา ตั้งใจมาศึกษาดูให้ดี ตาดู ตาละสำคัญมากนะ หู สองอันนี่สำคัญ ให้นำไปใช้พินิจพิจารณา มาศึกษาต้องศึกษาจริง ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่เลิศเลอ เราอย่ามาแบบส้วมแบบถาน มาทำลายศาสนาไม่ได้นะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติให้ดี ออกไปแล้วให้มีความชุ่มเย็นจากครูจากอาจารย์ที่ได้ปฏิบัติด้วยความสนใจ แล้วขยายธรรมออกไปเป็นประโยชน์แก่โลก อย่างนี้จึงเรียกว่าถูกต้องกับการมาศึกษาอบรม
มาแล้วเอาเป็นชื่อเป็นนามไปอวดกินนี้มีเยอะนะ เวลานี้ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้เต็มบ้านเต็มเมือง ใครก็ออกหน้าว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว ไม่ทราบว่าหลวงตาบัวเป็นยังไง และเจ้าของเป็นยังไงก็ไม่รู้ ออกไปขายกินนะ กิเลสมันคอยสวมรอย ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่ปรากฏชื่อลือนามเข้าไปแอบไปแฝง ออกไปแล้วแสดงฤทธิ์เดช ไปแบบเทวทัตนั่นละ ดีไม่ดีต่อสู้ครูก็มี เทวทัตเป็นอย่างนั้นต่อสู้ครู แต่ยังดีเทวทัตรู้โทษของตัวเองถวายคางกรรไกรต่อพระพุทธเจ้า ได้เห็นโทษเห็นภัยสุดขีดสุดแดนแต่แก้ไขไม่ได้แล้ว คือสายเกินไป แล้วก็ขอถวายคางกรรไกรเป็นพุทธบูชา
คุณสมบัติอันล้นพ้นที่ตอบแทนก็คือ หลังจากตกนรกมากี่กัปกี่กัลป์ ผ่านพ้นขึ้นมาจากกรรมอันนี้แล้วก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่ออัฏฐิสาระ จากนี้ก็ถึงอนันตกาลหลุดพ้นไปได้ เราอย่ามาเป็นแบบเทวทัตในเบื้องต้น เป็นแบบไหนก็ไม่ควรเป็นละ ความดีนั้นอยู่กับทุกคน จะให้ดีเลิศอย่างไรก็ได้จากเรา ให้พากันศึกษาอบรมดี ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ตานั้นละสำคัญ ดูอะไรดูด้วยความพินิจพิจารณา สติปัญญาอย่าห่างจากตัว ถ้าสติปัญญาห่างจากตัวแล้วอะไรก็เลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมด ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติด้วยดี
มาศึกษากับครูบาอาจารย์ ให้ได้อรรถได้ธรรมไปใช้เป็นประโยชน์แก่บ้านแก่เมือง หลังจากเป็นประโยชน์แก่เราในอับแรกแล้วนะ ตั้งใจปฏิบัติ มรรค ผล นิพพาน อยู่กับสติกับปัญญา มีหลักธรรมวินัยเป็นรั้วกั้นไว้อย่างดีทีเดียว ให้เดินตามหลักพระวินัย อย่าข้ามอย่าเกิน และให้เดินตามธรรม ทางท่านสอนว่ายังไง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี้คือทางก้าวเดินของพระธรรมเพื่อมรรค ผล นิพพาน ให้พากันตั้งใจ มรรค ผล นิพพานอยู่กับศาสดา ศาสดาคือธรรมวินัยสอนไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เคลื่อนจากนี้จะเจอศาสดาอย่างแท้จริงนะ ถ้าเคลื่อนจากนี้แล้วใครจะเก่งเท่าฟ้าเท่าแผ่นดิน มันก็เป็นฟ้าเป็นแผ่นดินไปหมด มันไม่ได้เก่งนะ พากันจำให้ดี
เรามาอยู่ด้วยกันให้ระวังเรื่องจิตมันจะกระทบกระเทือนกัน พอมันแย็บออกไปในทางไม่ดีให้ตีเข้ามาหาตัวเองซึ่งมาศึกษา จะไปว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี นั่นเปิดทางให้ความชั่วมันออกแล้ว ยกโทษยกกรณ์ ไปที่ไหนไม่มีใครดี หาแต่ดูโทษดูกรรมคนอื่น โทษของตัวยิ่งกว่าภูเขานั้นไม่ดู นี่ส่วนมากกิเลสจะทำอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น ลากสัตว์โลก ลากเราไปอย่างนั้นนะ ให้ดูตัวเรา สติดูที่นี่ก่อนอื่น ดูที่อื่นไม่เป็นประโยชน์อะไรแหละ ถ้าไม่ดูตนเองก่อนนะ พากันตั้งใจ ข้อวัตรปฏิบัติอย่าให้บกพร่องนะ บกพร่องข้อวัตรปฏิบัติก็คือความบกพร่องในตัวของเรา เห็นนอกเป็นของไม่จำเป็น เห็นในเป็นของจำเป็นกว่า ในก็ไม่จำเป็น ถ้าลงในจำเป็นอะไรจำเป็นหมดรอบตัวของเรา นี่ละสำคัญอยู่ตรงนี้นะ ให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานนี้ไปไหนจำไม่ได้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นแหละ เช่นอย่างไปเมื่อวานนี้ วันนี้ระลึกไม่ได้นะ หดเข้ามา ๆ ความจำหดเข้ามา ๆ มีแต่เรื่องสังขาร คือเรื่องสังขารมันปรุงของมันอยู่ธรรมดา สังขารคือความคิด ความคิดนึก ท่านเรียกว่าสังขารขันธ์ ความจำเรียกสัญญาขันธ์ สิ่งที่มันไม่เห็นลดลงในขันธ์ห้าก็คือสังขารขันธ์ มันปรุงของมันอยู่อย่างนั้นแหละ สังขารอันนี้มันปรุงของมันเรื่อยๆ สังขารของปุถุชนนี้ปรุงด้วยอำนาจของกิเลสผลักดันให้ปรุง อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ คือกิเลสนี้อยู่ภายในจิตดันออกมาให้อยากคิด
ส่วนอื่นก็อยากรู้ อยากเห็น อยากอะไรเหมือนกัน แต่เรื่องสังขารนี้ไม่ทราบว่าอยากอะไรไม่อยากอะไร มันหากอยู่ลึก ๆ ของมัน ปรุงเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ อันนี้ดูมันไม่เห็นลดลงนะ รูปขันธ์ของเราก็มีเยอะ กำลังวังชาแข็งแรง กลับลดลง ๆ เวทนานี้รู้สึกจะค่อยเป็นไปของมัน มันก็แสดงของมันธรรมดาของมัน เวทนาความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ ประจำขันธ์ สัญญาความจำนี้ดูว่าหดเข้ามา หดเข้ามาเห็นได้ชัด ความจำของเราที่มันยืดยาว หมายไปทางไหนมันได้รอบจักรวาล แล้วมันค่อยหดเข้ามา เรียกสัญญา
สังขารความคิดความปรุง คิดได้ตลอดจนกระทั่งหลับ แต่สังขารของคนมีกิเลสคิด มีเครื่องบังคับให้คิด ไม่หยาบก็ละเอียดบังคับอยู่ในตัวให้คิด วิญญาณความรับทราบในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็รับทราบของมัน แต่ที่เด่นในขันธ์ห้านี้คือ สังขารขันธ์ ดูมันไม่ลดตัวของมัน เวลามีกิเลส กิเลสก็ผลักดันให้มันหมุนมันคิดเรื่องของกิเลสไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นมีสุด เวลากิเลสสิ้นไปแล้วขันธ์อันนี้ก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ มันก็คิดของมัน หากไม่เป็นพิษเป็นภัยกับเจ้าของ มันหากคิดยิบ ๆ แย็บ ๆ เหมือนหางจิ้งเหลนขาด ไม่มีเจ้าของ
จิ้งเหลนเข้าใจไหม มันถูกกระทบอะไรจนหางมันขาด ตัวมันวิ่งเข้าป่าแล้ว หางมันดุกดิก ๆ ที่มันขาด พากันเห็นไม่ใช่เหรอ นี่ละขันธ์คิดก็คิดอย่างนี้ มันดุกดิก ๆ ของมันอยู่งั้น ตัวมันวิ่งเข้าป่าแล้ว เช่นอย่างกิเลสนี่เข้าป่าไปแล้ว ตัวนี้มันคิด ได้แก่กิเลสพาไป พาหางนี้ไป ตัวมันถูกฆ่าแล้วด้วยธรรมแล้วมันก็ดุ๊กดิ๊ก ๆ เราได้สังเกตดู เอ๊ มันหากคิดของมันอยู่งั้น หากไม่ได้เป็นโทษเป็นกรรมอะไรแหละ มันหากคิดของมันยิบแย็บ ๆ ถ้าว่าเป็นบาปเป็นกรรมมันก็ไม่มี สังขารอันนี้ไม่มี มันหากคิดของมัน นี่หมายถึงว่ามีแต่ขันธ์ล้วน ๆ นะ
ถ้าขันธ์มีกิเลสอะไรเป็นกิเลสหมดรอบตัว เป็นเครื่องมือกิเลสจับใช้ตลอดเวลา ใช้ทางหู ทางตา ทางอะไรได้หมดเลย เวลามันมีเจ้าของเป็นอย่างนั้น เวลาเจ้าของมันวัฏจักรวัฏวนให้พาเกิดพาตายดับลงไปแล้ว ยังแต่ขันธ์ ที่ว่าวาระสุดท้ายของขันธ์มันก็วิ่งจนถึงขีดมัน ร่างกายก็เป็นไปตามเดิมไม่มีอะไรบกพร่อง รูปขันธ์ก็เห็นอยู่อย่างนี้แหละ เวทนาขันธ์สุข ทุกข์ เฉย ๆ ที่มีประจำขันธ์ห้ามันก็มีอยู่อย่างนี้ แต่ไม่เกี่ยวกับจิตเท่านั้นเอง เวทนา สัญญามันก็จำของมันไปตามเรื่อง อย่างว่ามันกุดด้วนเข้ามา ด้วนเข้ามาความจำ หดเข้ามาๆ เหมือนว่ามันชรา แต่สังขารไม่ชรามันหากยิบแย็บ ๆ ดุกดิก ๆ ของมัน
วิญญาณความรับทราบก็รับทราบธรรมดา ไม่มีอะไรบกพร่องนะ ที่เห็นชัดกว่าเพื่อนก็สัญญาความจำ บกพร่องเข้ามา หดเข้ามา จะว่าไม่อยากจำหรือก็ไม่ใช่ มันหากเป็นของมันธาตุขันธ์ สัญญาขันธ์ จำไม่จำมันก็ไปของมันอย่างนั้น สังขารมันปรุงของมันเรื่อย ๆ นี่ละที่ว่าเครื่องมือของกิเลส มันหากใช้ตลอดเวลาเลย กิเลสใช้ตลอดเวลา หมุนเป็นกิเลสตั้งกัปตั้งกัลป์ก็หมุนอยู่อย่างนี้ ออกจากภพนี้ไปภพไหนกิเลสตัวหมุนอยู่ภายใน มันพาไปเกิดไปตาย ตัวนี้ละตัวพาเกิดพาตาย ตัว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้เวลามาแปลเราไม่เรียงลำดับนะ พระพุทธเจ้าท่านแปลเรียงลำดับตามลวดลายของศาสดาที่เป็นสวากขาตธรรม
ตรัสไว้ว่าอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารให้เกิดวิญญาณ นามรูป อายตนะไปเรื่อยๆ ท่านว่าไปตามหลักของมันที่เกี่ยวโยงกัน บทเวลาเป็นเข้าจริง ๆ เราเอาอันนี้เลย อันนั้นท่านปรุงไว้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราคอยล้างมือเปิบ ทีแรกก็ฟัดกันตัวนี้ก่อน ไม่ต้องไปพิจารณา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ คอยดูอยู่ต้นนี้ กิ่งก้านจะออกไปจากนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้ไปเรื่อย เวลาพิจารณาลงไป ๆ เอาอันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ท่านจึงว่า อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา ท่านบอกว่ามันดับ ทีนี้ดับไปตาม ๆ กันหมด เวลามันเป็นอันนี้แล้ว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา วิญฺญาณํ อวิชฺชาปจฺจยา นามรูปํ ขึ้นแล้วเข้าใจไหมละ มันไม่ต่อนะ คืออะไรๆ ก็ตาม อันนี้พาให้เกิดทั้งนั้นความหมาย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา วิญฺญาณํ อวิชฺชาปจฺจยา นามรูปํ
.เรื่อย อวิชชา นี้ทั้งนั้น ๆ เลย เวลามันเอาได้แล้วนะ ทีนี้เวลาดับก็เหมือนกัน อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ สังขารดับ วิญญาณดับ นิโรธา ๆ ลงนี้หมดเลย
เวลาเราไปวัด สมเด็จฯ ท่านมองหน้าเรา มองเราก็เฉย เพราะเราเอาความจริงมาพูด คือท่านไม่เคยได้ยิน พอไปนั่นปั๊บท่านเอาหนังสือพวกหมอเขาเขียน เขาลาบวชสามเดือนแล้วเขามาเขียนรูปเรื่องของอวิชชา ภาพของอวิชชา ก็น่าดูอยู่ ดูตามนี้ก็น่าดู แต่มันไม่น่าสนใจ มันน่าดูเฉย ๆ เขาทำก็ดีของเขา ท่านว่า นี้ดูซิอวิชชา ท่านว่างี้ มาเปิดให้ดูด้วย นี่ดูซิอวิชชา นี่หมอเขาเขียนรูปอวิชชาอะไรนี่ เอ๊ย กระผมไม่ดู อวิชชาในแบบไม่เหมือนอวิชชาในจิต ฆ่าอวิชชาในแบบไม่สำเร็จ ฆ่าอวิชชาในจิตสำเร็จ เราว่างี้นะ ท่านมองหน้าเราเลย อันนี้ใครเขียนก็ได้ แต่ไม่มีใครทำได้ ท่านมองหน้าเราเลย มองเราก็เฉย เหมือนไม่เห็นท่านมองเรานะ ความจริงมันรู้หมดแล้วนั่น ท่านสนใจ เรียกว่าท่านทึ่งนั่นแหละเวลาเราแจงไป
อันนั้นท่านเขียนรูปเรื่องมันมาเฉย ๆ แต่วิธีแก้จะไปแก้อย่างนี้ตายทิ้งเปล่า ๆ แก้ไม่ได้ เราว่างี้เลย ต้องแก้ในหลักใหญ่ของมัน คืออวิชฺชาปจฺจยา นี่ตัวนี้แก้ตรงนี้ จะเกิดจะดับ ที่ตรงนี้ ยึดที่ตรงนี้ ไม่ไปยึดอันนู้น ๆ นะ ตัวนี้พาให้เป็น เช่นต้นลำขึ้นแล้วกิ่งก้านสาขามันก็ไปของมัน พอถอนรากของมันขึ้นแล้ว กิ่งก้านสาขามันดับพร้อมกันหมดเลย มันไม่ไปหาดับอันนั้นแล้วดับอันนี้มานะ มันดับพร้อมกันนั่นแหละ เราว่างี้เลย ท่านงงเหมือนกันทีแรก เราพูดเราพูดแบบเฉยนะเรา ก็มันแน่อยู่ในหัวใจนี้ ไม่ได้เอาลูบ ๆ คลำ ๆ มาพูดนี่วะ คนหนึ่งวิ่งใส่ตำรับตำรา นี้มันไม่ได้ไปวิ่ง วิ่งใส่ตัวหัวมันเลย
นี่ละที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา เราพูดอย่างนี้ พวกปริยัติทั้งหลายเขาก็จะว่าแบบเดียวกันละ ทั้ง ๆ ที่เราก็เรียนมา ก็เรียนมาอย่างนั้น แต่เวลาปฏิบัติมันเป็นอย่างงี้ เราได้ทั้งสองอย่างมาพูด พออันนี้ดับพรึบเท่านั้นไม่มีเหลือเลย พร้อมกันหมด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ...ว่าไปก็ตามเถอะ พรึบเดียวพร้อมกันหมดเลย รากแก้วพรวดนี้มันก็พร้อมกันหมด เข้าใจไหมล่ะ ดับหมด ยุบยอบไปตาม ๆ กัน พร้อมกันในขณะนั้น นี่ละที่มันก่อภพก่อชาติให้สัตว์คือตัวนี้เอง เวลาไล่เข้ามา ๆ ทีแรกมันแผ่พังพานออกไป เลื้อยไปเรื่อยเหมือนเถาวัลย์ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ แล้วเลื้อยไปเรื่อยครอบจักรวาล มันออกจากนี้อันเดียว
พอถอนพรวด เหมือนเถาวัลย์มันจะเลื้อยไปไหนก็ไปเถอะ ถอนพรวดขาดเรียกว่าดับไปตาม ๆ กันหมด เลื้อยไปไหนก็ไป พอถอนรากนี้ออกเท่านั้นละก็ดับไปพร้อมกันหมด เข้าถึงตัวนี้ มันไล่เข้ามาเป็นลำดับลำดา กว้างขอบเขตจักรวาลมันไปเป็นเถาวัลย์เลื้อยไปหมด อวิชชาเป็นเถาวัลย์เลื้อยไปหมด แล้วก็ค่อยตีเข้ามา กุดด้วนเข้ามาๆ เข้ามาเรื่อย ๆ ผู้ที่บำเพ็ญช้าค่อยกุดด้วนเข้ามาๆ จนกระทั่งมาถึงรากเหง้า ถ้าผู้ที่ว่าเร็วนี่ถอนรากทีเดียวปึ๋งเลยทันที พร้อมกันหมดเลย ขิปฺปาภิญฺญา ทนฺธาภิญฺญา ต้องไล่กันไปเรื่อย ๆ มันต่างกันนะ
อย่างผู้สำเร็จพระอนาคาก็เหมือนกัน พระอนาคาที่สำเร็จขิปฺปาภิญฺญาพุ่งทีเดียวหมดเลย ถ้าทนฺธาภิญฺญา พออันนี้ขาดแล้วได้ระดับ ฝึกซ้อมกันไปในอัตโนมัติของมัน เป็นอย่างนั้นนะ คือตัวใหญ่มันออกหมดแล้ว ยังเหลือเขาเรียกอะไรพูดไม่ถูกนะ คือมันยังมีอะไรติดๆ มัว ๆ หมอง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ มันไม่ใช่ที่จะไปทำอย่างนั้นให้ภพชาติกำเริบกลับคืนมาเกิดอีกนะ ไม่เกิด เหมือนกันหมด แต่มันก็เป็นธรรมชาตินั้นที่จะต้องขัดต้องเกลาอยู่ในนั้น ละเอียดเข้าไป ๆ ก็เลื่อนขึ้นไป ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ เหมือนว่าสอบได้ทีแรก อนาคามีสอบได้ ๕๐% มันหากเป็นเองในนั้น เป็นในเจ้าของรู้เองไม่ต้องไปถามใคร มันหากฝึกหากซ้อมอยู่ในนั้นละ จนกระทั่งหมดมันก็รู้เอง
ถ้า ขิปฺปาภิญฺญา ผึงเลย หมดเลย อย่างที่ว่าอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี นี่เพื่อหลายชั้นของผู้บำเพ็ญ เมื่อรู้แล้วอยู่ในชั้นนี้ ๆ ๆ พวกขิปฺปาภิญฺญา ผึงอกนิษฐาเลย ต่างกันนะ คำว่าบรรลุธรรม ผู้บรรลุอย่างรวดเร็วก็ผึง ไปนั่นละแต่ว่าเร็ว.ผึงเลย. ที่ช้าก็ไปลำดับลำดา จนกระทั่งถึงสุดอกนิษฐา นี่เป็นลำดับ ๆ พอถึงอวิชชาดับพร้อมกันหมดเลย อวิชชาไม่มีขั้น พรึบเดียวหมดเลย แต่อันนี้เป็นไปตามลำดับของอุปนิสัยผู้ช้าผู้เร็ว ผู้ที่เร็วก็ผึงทันทีเลย ผึงเลย ผู้ที่ช้ากว่านั้นก็เร็วเป็นลำดับ ๆ ตั้งแต่อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐาไปเรื่อย
มันเห็นอยู่ในใจก็ไม่ทราบจะไปถามใคร มันเป็นอยู่ในใจ ดังที่เคยพูดให้ฟัง อยู่ทางกระโหมโพนทอง มันเป็นไข้เสียดแทงหัวอกอยู่ในนี้ มันจะตาย คืออยู่ในขั้นนี้เอง แน่ะ ไม่วิตกวิจารณ์ถึงเรื่องตาย เรื่องตายแต่ก่อนเราไม่ได้คิด มีแต่จะเอากิเลสให้ตายๆ ทีนี้กิเลสยังไม่ตาย เราเป็นโรคแบบเขาที่เขาเอามาเผาอย่างน้อยวันละสามศพ อย่างมากวันละแปดศพ เราไปกุสลาจนไม่ได้กลับที่พัก นั่นละเขาเรียกว่าไข้เจ็บขัดอก แต่เวลามาเป็นกับเราเองขึ้นอยู่ในป่าช้า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างรวดเร็วเสียด้วยนะ ทีแรกยิบแย็บ ๆ เหมือนเสี้ยนเหมือนหนามแทง เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวหนักเข้าๆ เร็วเข้า ทีนี้เลยกลายเป็นเหมือนหอกเหมือนหลาวมันทิ่ม สวนกันอยู่ในนี้ อ้าว โรคอันนี้มันเป็นกับเราแล้วนี่ ยังไงกัน โรคที่เขาตายเขาเผากันอยู่นี้นะ มาเป็นกับเราแล้วนี่ เรามันก็จะตายแบบเขา
พอว่าจะตายแบบเขามันก็วิ่งถึงธรรม ที่อยู่ของจิตของธรรมละซี รีบบอกเขาเลย บอกว่าเราเป็นแล้วโรคที่กำลังตายอยู่เวลานี้ อาตมาเป็นแล้วนะ เป็นเดี๋ยวนี้ เป็นอยู่ที่นั่งนี้ ให้อาตมากลับที่พักเถอะอย่าให้อยู่เลย มันรวดเร็วมากนะ บอกตรงๆ อย่างนี้ เขาก็รีบทันที โอ๋ย ถ้าอย่างนั้นนิมนต์ท่านไป อย่าให้ท่านอยู่เลย เขาไม่มีเลยคำว่าหักว่าห้ามเรา ไม่มี เหมือนว่าไสให้ไปเลย เพราะเขาเห็นโทษของคนที่มาตายวันละ ๓ ศพเป็นอย่างน้อย วันละ ๘ ศพ มากวันละ ๘ ศพ วันละ ๕-๖ ศพนี้ โอ๊ย เป็นประจำ เรากุสลาจนไม่ได้กลับมาที่พัก เอ๊ ก็เรามาภาวนาทำไมจึงต้องมากุสลาทั้งวัน
ทีนี้เวลามันเข้าอันนี้แล้วมันก็สะเทือนถึงเรื่องความตายของเราซิ นี่หรือมันจะตายเร็วๆ นี้มันยังไงนี่ จิตของเรายังไม่ถึงที่สุดนี่ แน่ะมันก็รู้ ถ้าตายเดี๋ยวนี้ค้าง แน่ะ ค้างวันเดียวก็ไม่อยากค้าง ถ้ามันหมดสิ้นแล้วไปเมื่อไรไปเลย เราไม่เป็นห่วงเป็นใยกับเรื่องความเป็นความตาย เดี๋ยวนี้ห่วง ยังไม่อยากตาย เพราะยังไม่ถึงที่สุด นี่มันเอามาเป็นพยาน มันรู้ชัดๆ ขนาดนั้นจะให้ว่ายังไง ไปถามใครวะ ถ้าตายเดี๋ยวนี้ค้าง ยังไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงก็ยังไม่อยากตาย ให้ถึงเสียก่อน ถึงแล้วเมื่อไรได้เลยเราไม่ห่วงใยอะไร ห่วงแต่ที่ยังไม่ถึง มันจะค้าง ค้างที่ไหนไม่อยากค้าง ถ้าถึงที่สุดถึงนิพพานปึ๋งแล้ว ไปเมื่อไรได้เลย มันก็มาวิตก
พอไปถึงวัด มันวิตกแหละ ทีนี้ความวิตกวิจารณ์กับการพิจารณาทุกข์ทั้งหลายมันก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งถึงวาระแล้วธรรมก็เตือนขึ้นมา กระตุกเลยนะไม่ใช่เตือน กระตุกอย่างแรงเลย อ้าว ท่านจะมากังวลอะไรกับเรื่องความเป็นความตาย ความเป็นความตายมันก็เป็นอริยสัจ คือ ชาติปิ ทุกฺขา เป็นต้น มันก็อยู่กับท่าน นี่ท่านก็เคยพิจารณามาแล้ว ว่างั้นนะ สมบุกสมบันเต็มเหนี่ยวมาแล้ว มันวิ่งถึงเวลาเรานั่งตลอดรุ่ง เอากันอย่างเต็มเหนี่ยว ท่านจะมากังวลอะไรกับความเป็นความตายอีกล่ะ ท่านก็เคยพิจารณามาแล้วเรื่องเหล่านี้ พอว่าอย่างนั้นจิตมันกลับปุ๊บเลยแล้วก็หมุนติ้วเลย เลยไม่สนใจกับเรื่องเป็นเรื่องตาย เพราะมันได้พยานมาตั้งแต่ธรรมเตือนปึ๊งขึ้นมาเลย ท่านก็เคยพิจารณามาแล้วเรื่องเหล่านี้ ท่านสงสัยหาอะไร เท่านั้นแหละนะ นี่ละเห็นไหมธรรมเกิด นี่เรียกว่าธรรมเกิด ธรรมเตือนเรา เราลังเลไม่อยากตาย ยังเป็นกังวลกับเรื่องที่ยังจะตกค้างๆ มันก็เลยรบกันอยู่อย่างนี้ กำลังของความเพียรมันก็ไม่หนักละซี
พอถูกธรรมกระตุกเข้าเท่านั้น เรื่องเหล่านี้ท่านเคยพิจารณามาแล้วอริยสัจ ท่านมาวิตกกังวลอะไรเรื่องความเป็นความตาย ว่าอย่างนั้นนะ พอว่าอย่างนั้นมันสะดุดใจกึ๊กก็หมุนติ้วเลย ทีนี้หมุนใหญ่เลยนะ เรื่องสงสัยว่าตายไม่ตาย ห่วงใย ไม่มีเลย ฟัดกันลงตรงนั้น หอกแหลมหลาวที่มันทิ่มอยู่นี้ ฟัดกันในนี้ ทุกขเวทนาไล่เบี้ยกันอยู่ในนี้ มันก็ถอนออกๆ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละแก้ด้วยธรรมโอสถ ถอนออกๆ พิจารณาตามเข้าๆ เพราะมันไม่มีอะไร อดีตอนาคตที่ไหน มีแต่ปัจจุบันซัดกันอยู่นั้น ความเป็นความตายในอดีตอนาคตไม่มี ทีนี้จิตก็เบิกออกๆ กว้างออกๆ ตามต้อนด้วยการพิจารณาทุกขเวทนา เพราะเราเคยพิจารณามาแล้วดังที่ธรรมท่านเตือนนั่นแหละ สิ่งนี้ท่านเคยมาแล้วไม่ใช่หรือ ท่านเคยมาแล้วนี่นะ ท่านมากังวลอะไร พอว่าอย่างนั้นมันก็ย้อนกลับปุ๊บทันทีเลย ใส่ตูมๆ เข้าเลย ทีนี้มันก็เบิกออกๆ พวกแหลมพวกหลาวลดลงๆ ที่เป็นเสี้ยนเป็นหนาม
มันรวดเร็วนะ สติปัญญาตามต้อนกัน เอาจนขาด พอขาดนี้โล่งหมดเลย นั่นเห็นปัจจุบัน ที่นี่ไม่ตาย นั่น มันก็รู้อีกละทีนี้ไม่ตาย โล่ง กำหนดพิจารณาดูเวทนาตัวไหนที่มียิบๆ แย็บๆ ขึ้นมา ไม่มีเลย โล่งไปหมด หายในเวลานั้นเลย นั่นเห็นไหม ที่เขาตายกันอยู่นั้น อย่างรวดเร็วๆ ตายแบบนี้เอง ทีนี้เรามีธรรมโอสถแก้เข้าไป หายเลยในคืนวันนั้นเอง นี่มันชัดเจนขนาดนั้นนะ แล้วจะไปถามใคร ธรรมพระพุทธเจ้าลงได้ประจักษ์ใจไม่ถามใคร เรียกว่ามันค้าง ถ้าสมมุติว่าตายเวลานั้นค้าง เพราะฉะนั้นถึงไม่อยากตาย ไม่อยากค้าง พูดให้มันตรงๆ มันก็ไม่อยู่ในขั้นไหนละ ขั้นนั้นแหละ ถึงจะไม่มาเกิดอีกก็ตามแต่ก็ไม่อยากอยู่ มันก็รู้เสีย เป็นห่วงที่มันจะค้างๆ
ที่จะห่วงความเป็นความตาย เป็นทุกข์เป็นลำบาก โอ๋ย ไม่มี มีแต่ว่ามันจะค้าง ค้างวันหนึ่งคืนหนึ่งก็ไม่อยากค้าง เพราะไม่ใช่ที่พักที่อยู่ ถ้าถึงที่แล้วไปเมื่อไรได้เลย ใส่ปึ๋งๆ เลย พออันนี้หายไปแล้วมันก็โล่งหมดเลย ไม่มีเลยทุกขเวทนาที่มันเป็นแหลมเป็นหลาวทิ่มสวนกัน รุนแรงมากนะ ไอนี่โถ สลบไปเลยนะ หายใจแรงก็ไม่ได้ นี่เป็นชัดเจนแล้ว นี่ที่ว่ามันตายแล้วมันจะไปชั้นไหน ไม่มีใครบอกมันรู้เอง ชั้นไหนก็ไม่อยู่ พูดง่ายๆ นอกจากนิพพานเท่านั้น ไม่อยู่ทั้งนั้น นี่ละมันถึงไม่อยากตาย มันจะค้างตรงนี้ๆ รู้ ทีนี้พอมันผึงเข้าไปแล้ว เต็มเหนี่ยวของมันแล้ว ไม่มีอะไรข้องใจแล้ว อย่างอยู่หนองผือ เห็นไหม แน่ะ นี่วาระที่สอง ถ่าย ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน เวลามันอาเจียนนี้ เศษอาหาร มันก็ไม่มีอาหารอะไร มันอาเจียนอย่างรุนแรง เศษอาหารพุ่งติดฝา มันแรง นั่นละอ่อนลงทันทีเลย หดพุบเข้าไปมันจะไปเดี๋ยวนั้น ก็ไม่เห็นว่าอะไรนะ หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ เอ้าไปก็ไป แน่ะ มันไม่เห็นว่ารอเสียก่อนนะ ไปก็ไป เท่านั้น มันไม่เห็นห่วงอะไรเลย เอ้า ไปก็ไป
เพราะมันหดเข้ามาหมดแล้ว ความรู้ทั้งหมด นี่จุดรวมของความรู้ ทางนี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เข้าพร้อมกัน มันหดเข้ามาๆ วุบปุ๊บเข้ามาตรงนี้ ยังเหลือแต่ความรู้เท่านั้น ร่างกายนี่เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ทุกขเวทนาดับหมดไม่มีอะไรเหลือเลยในร่างกายที่มันเป็นทุกข์อย่างสาหัส ถึงกับว่าจะไปเดี๋ยวนั้น ดับหมดเลย เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูด คนเราถ้ามีสติสตังแล้ว เวลาจะตายนี้ทุกขเวทนาจะดับหมดนะ จิตจะเคลื่อนได้แล้ว ถ้าไม่มีสติล้มหรือตกเตียงไปมันก็ไม่รู้ เพราะสติไม่มีมีแต่ทุกขเวทนา นี้สติมี ถึงเวลามันจะไปจริงๆ มันหดเข้าพรึบๆ เลยลงไปอยู่ในนั้น ยังเหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มี เป็นหลักธรรมชาติ
พอถึงนั้นแล้ว นั่นละเรียกว่า ๙๙% มันเข้าไปหมด ความรู้อะไรเข้ามาหมดแล้ว กายนี่เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนไปหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดับหมดไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความรู้อันเดียว ถึงขั้นที่ว่า หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ เอ้าไปก็ไป นั่น ไม่เห็นห่วงใยอะไร เพราะสติก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง กำหนดเข้าไปรู้อันนั้น เลยไปเสริมกำลังกัน มันไม่ไปนะสติจับเข้าไปตรงนั้น เอ้าไปก็ไป ตกลงสุดท้ายความรู้เลยกระจายออกมาอีกนะ ความรู้ที่ลงโน้นขึ้นนี้ออกอย่างรวดเร็ว ร่างกายเราก็ ตา หู จมูก ลิ้น กายรับทราบละที่นี่ รับทราบ นี่ความรู้นี้ออกไปก็รับทราบ ความรู้นี้หดเข้ามาหมดแล้วความรับทราบไม่มี
คือความรู้มีอยู่ตามประสาทส่วนต่างๆ เวลาหดเข้ามาแล้วอันนี้ก็ไม่มีความหมาย เพราะความรู้ออกมาก็ออกมาประสาทส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายของเรา มันก็รู้หมดทั่วร่างกาย หือไม่ไปเหรอ ไม่ไปก็อยู่ซี มันไม่เห็นมีเรื่องอะไร นั่นมันถึงสองวาระนะ วาระนั้นห่วงไม่อยากตาย วาระนี้ หือจะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ เอ้า ไปก็ไปซี แน่ะไม่เห็นมีอะไรเลย มันเป็นอย่างนั้น นี่ละจิตฝึกให้ถึงที่สุดของมัน เรียนเรื่องขันธ์ วัฏวนของขันธ์นี้ตลอดทั่วถึงไม่มีอะไรสงสัย มันก็จะไปหวั่นกับอะไรล่ะ นี่ละตัวพาให้เกิดให้ตาย คืออวิชชา ตายที่นั่นเกิดที่นี่อยู่อย่างนั้น ไม่มีสิ้นมีสุด ภพน้อยภพใหญ่ตามแต่กรรมดีกรรมชั่วพาให้ไปเกิด เพราะกรรมดีกรรมชั่วติดอยู่กับจิตพาให้ไปเกิด พออวิชชาถอนพรวดออกไปแล้วหมด ท่านจึงเรียกว่า ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียแล้ว บุญก็ดี บาปก็ดี เป็นสมมุติทั้งหมด ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ไม่ใช่สมมุติ นอกสมมุติไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำว่าบุญว่าบาปในจิตดวงนั้น เพราะไม่มีสมมุติ
เวลามันถึงที่ของมัน หมดแล้วสมมุติโดยประการทั้งปวง สิ่งที่จะพาหมุนให้เกิดให้ตายขาดสะบั้นไปหมดแล้ว มันก็รู้อยู่ในจิตนั้น แล้วจะไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก นี่เองคำว่ารู้อยู่ในจิตก็ สนฺทิฏฺฐิโก ที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้ว จะรู้ด้วยตนเองของผู้ปฏิบัติ พอปั๊บเข้าไปนั้นแล้วจะไปถามพระพุทธเจ้าหาอะไร มันก็ชัดเจนเรียบร้อยแล้ว เป็นอย่างนั้นนะ
สดๆ ร้อนๆ นะพุทธศาสนา ธรรมของพระพุทธเจ้าเรา ไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ว่าอดีตอนาคต ไม่มีที่ไหน อยู่ที่ใจ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจ คำว่ามรรคผลนิพพานก็คือธรรมดังที่พูดเมื่อก่อนจังหัน ธรรมก็ดี วินัยก็ดี นั้นคือองค์ศาสดา ให้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย แล้วมรรคผลนิพพานจะอยู่ที่ตรงนั้น ไม่อยู่ที่ไหนนะ ธรรมก็เช่นอย่าง สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ความพากความเพียร ขันติธรรม ความอดความทน เหล่านี้เป็นธรรมหนุนเข้าไป สติก็ดูใจ ปัญญาพิจารณาแก้ไขใจ วิริยะ พากเพียรแก้ไข พากเพียรถอดถอน อดทน ถึงทุกข์ยากลำบากก็ทน ทนเพื่อการถอดถอนเป็นธรรม ก็หมุนไปในนั้นๆ แล้วนิพพานจะอยู่ที่ไหน ไปหาที่ไหนนิพพาน
ธรรมอันนี้เบิกกว้างออกๆ สิ่งที่มันปิดนิพพานก็อยู่ในนั้น เปิดหมดแล้วมันก็เห็น ก็เท่านั้นเองนิพพานจะอยู่ที่ไหน สดๆ ร้อนๆ เรื่องมรรคผลนิพพาน บาปบุญสดๆ ร้อนๆ เหมือนกันหมด ไม่ได้เป็นไปตามกิเลสหลอกโลกให้หลงไปตามทุกวันนี้นะ หากเป็นมาเรื่อยๆ มีแต่กิเลสหลอกทั้งนั้น กิเลสมันไม่เอาความจริงมาพูด บอกแล้ว เอาแต่ความจอมปลอมมาหลอกทั้งนั้นๆ ความจริงกิเลสหามาไม่ได้ ธรรมนี้มีแต่ความจริงไม่มีคำว่าหลอก จริงตลอดไปเลย เพราะฉะนั้นจึงให้ปฏิบัติตามธรรม ถ้าปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะผ่านได้เป็นลำดับลำดา ถ้าปฏิบัติตามกิเลส หลงตามกิเลสแล้วจมไปเรื่อยๆ ไม่มีต้นมีปลายละ ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ หมุนไปหมุนมาอยู่อย่างนี้
ทีนี้เวลาผ่านพ้นไปหมดแล้ว โลกธาตุนี้พูดให้มันเต็มยศ ให้มันเต็มศัพท์เต็มแสงเต็มตามความจริง ไม่ได้พูดหยาบพูดโลน ไม่ได้พูดแบบดูถูกเหยียดหยามหรือย่ำยีอะไรแหละ เอาความจริงมาพูด เหมือนกับว่านี้กองมูตรกองคูถ นี้คือทองคำ แล้วเวลาถามคน นี้คืออะไร นี้คือกองมูตรกองคูถ นี้คืออะไร นี้คือทองคำ อะไรดีกว่ากันแม้เด็กอมมือก็รู้ใช่ไหม นี้กองมูตรกองคูถ นี้ทองคำก็รู้ นั่น นี่ละธรรมที่ได้ผ่านไปหมดแล้วเหมือนทองคำ ทองคำอันนี้ไม่มีความรู้ ทองคำอันนั้นเป็นธรรมธาตุ จ้าไปหมด รู้หมด เข้าใจไหมล่ะ ต่างกัน แล้วดูโลกธาตุเหมือนส้วมเหมือนถาน ฟังให้ชัดนะ มันเป็นอย่างนี้แหละ
พวกเรานี่พวกหนอน ปีนป่ายอยู่ในส้วมในถาน เต็มอยู่ในนั้น เพลินอยู่ในนั้น ทีนี้ธรรมดู แล้วคำว่าธรรมนี้ ก็เคยอยู่ในส้วมในถานมาด้วยกันกี่กัปกี่กัลป์แล้วใช่ไหมล่ะ เคยเป็นมาอย่างนี้กี่กัปกี่กัลป์แล้ว มันไม่เห็นมันก็เป็นอย่างนี้ด้วยกัน แต่เวลามันผ่านขึ้นมาได้แล้ว มันก็กลับมาเห็นเรื่องของตัวเอง เรื่องของตัวเองกับเรื่องของสัตว์โลกมันก็อยู่ด้วยกันใช่ไหมล่ะ โอ้โห นั่น เป็นอย่างนั้นละ พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย จ้าขึ้นมาแล้วไม่ได้เหมือนอะไร ไม่ได้คาดได้หมาย ใครได้คิดไว้เมื่อไรธรรมชาตินี้ เมื่อเปิดออกแล้วเป็นหลักธรรมชาติ มันเห็นเองอย่างนั้น จะตำหนิไม่ตำหนิมันก็เห็นเป็นอย่างนั้นตามความจริง
พระพุทธเจ้าที่ท้อพระทัยก็คือว่าสอนสัตว์โลกนี้ คือมองดูที่ไหนเหมือนว่าจะไม่มีรายใดไปด้วย ยอมรับไปเลย ก็มีแต่รายมองลงไปก็เห็นแต่มันปีนอยู่กองมูตรกองคูถด้วยกัน พวกหนอนเข้าใจเหรอ กิมิชาติ ท่านว่ากิมิชาติ พวกหนอนคือสัตว์โลก มันปีนอยู่ในส้วมในถาน คือสมมุตินิยม อันนั้นดีอันนี้ดี มันปีนของมันอยู่อย่างนั้นเข้าใจหรือเปล่าล่ะ มันไม่ใช่เป็นกองมูตรกองคูถจริง ๆ อันนี้ข้อเทียบเฉย ๆ คืออันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี นั่นละเหมือนกองมูตรกองคูถ ไอ้หนอนมันก็คือพวกเราปีนนั้นปีนนี้ จะเอาอย่างนั้นจะให้ได้อย่างนี้ เข้าใจไหมล่ะ แล้วปีนเป็นบ้า ผู้ที่ท่านดูพวกเราปีนเป็นบ้าอยู่ในกองมูตรกองคูถคือสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี มันน่าสลดสังเวช แล้วดึงขึ้นไปมันไม่อยากไปซิ สู้อันนี้ไม่ได้เข้าใจไหม นั่น เข้าใจแล้วเหรอที่ว่าเทียบกับกองมูตรกองคูถ คือวัตถุทุกสิ่งทุกอย่าง ในแดนโลกธาตุนี้เหมือนกองมูตรกองคูถ หนอนคือพวกสัตว์ทั้งหลาย มันปีนมันยินดียินร้ายอยู่กับอันนี้ ปีนกันไปปีนกันมา มันไม่สนใจจะไปไหนมันติดอยู่นี้เข้าใจเหรอ ท่านผู้ผ่านไปแล้วท่านมาเห็นซิ เข้าใจแล้วนะ
นี่ละที่ว่าพูดหยาบโลน มันไม่ได้หยาบ เข้าใจไหม เทียบกันอย่างนี้ เรื่องของสัตว์โลกเป็นอย่างนั้น เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น ท่านจึงเรียกว่า ธรรมธาตุ เวลามันเป็นของมันอยู่นี้มันปีนอยู่อย่างนี้ไม่ว่าท่านว่าเรา แม้พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นมาแล้วกี่กัปกี่กัลป์ ก่อนที่จะมาปรารถนาพุทธภูมิก็เป็นแล้ว ปรารถนามันก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพ้นปึ๊บนี่เห็นสภาพของพระองค์เอง อย่างที่ว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติได้คือ ระลึกชาติของพระองค์ย้อนหลังไปนานเท่าไรกี่กัปกี่กัลป์ ทะลุปรุโปร่งไปหมด โอ้โห ชาตินี้เราเป็นมาอย่างนั้น ๆ ๆ สลดสังเวชในชาติของพระองค์เอง แล้วทีนี้สัตว์โลกล่ะจะเป็นเหมือนเราไหม พิจารณาเรื่องสัตว์โลก จุตูปปาตญาณ พอพิจารณาเท่านั้น อู้ฮู้ ยิ่งยั้วเยี้ยยิ่งกว่าเรา เราเป็นรายเดียว อันนี้ทั่วโลกธาตุ มากกว่าเราขนาดไหน มันก็เป็นอย่างเดียวกันนี้หมด นั่นละเรื่องราว
จึงได้เอาทั้ง ๒ นี้มาประมวล ว่าทั้ง ๒ ทั้งเราและโลกทั่ว ๆ ไปที่พากันมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปีนป่ายกันอยู่อย่างนี้นั้น เป็นมาจากอะไร อะไรเป็นสาเหตุ จึงได้พิจารณาย้อนไป ปฏิจจสมุปบาท ปัจจยาการ เข้ามาหา อวิชชา จึงได้เห็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เรื่อยจนกระทั่ง อวิชฺชายเตฺวว ดับ ๆ พรึบเลยตรงนี้ อันนี้เป็นสาเหตุ พิจารณาไปตรงนี้ ได้ตัวนี้แล้วถอนพรวดขึ้นมาหมด เพราะไม่มีอะไรเหลือ นั่นแหละท่านจึงมาสอนโลก ทีนี้สอนโลกใครจะไปตามได้ล่ะ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจึงท้อพระทัยนั่นเอง โอ๊ย จะสอนไปอะไรเป็นอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น อย่าว่าใครก็ตามเถอะ ถ้าลงได้เป็นแล้วมันเป็นเหมือนกัน ตามสัดตามส่วนของพระพุทธและสาวกผู้รู้ตามเห็นตาม แต่เป็นนี้เป็นแบบเดียวกัน ท้อใจ พอจ้าขึ้นมานี้ โอ๊ย.จะไปสอนใคร นั่น เมื่อมีสายทางอยู่ สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วคือสายทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ เมื่อพิจารณาตามนี้ใครก้าวเดินตามนี้ มันจะใกล้จะไกลไม่พ้นที่จะไปได้ถึงได้ นั่น เอ้า ๆ ไปได้ อย่างนี้ละ จึงว่า โอ๋ ได้ นั่น สอนสัตว์โลก สวากขาตธรรม มีอยู่ไปได้ มันจะไกลขนาดไหนมีทางอยู่ไปได้ นั่น ไม่สุดวิสัย นี่แหละที่มีพระทัยสอนโลกนะ เป็นอย่างนั้น
คิดดูซิเราตัวเท่าหนูมันยังเป็น ไม่ได้โอ้ได้อวดนะ มันเป็นก็บอกว่าเป็น ใครมาบอกให้เป็นอย่างนี้ มันก็เป็นของมันเอง เวลามันจ้าขึ้นมาแล้ว โอ๋ย อ่อนใจ ท้อใจ จะสอนใคร เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว จะไปสอนใครให้เขารู้ได้เห็นได้ สอนคนไหนเขาก็จะว่าบ้าไปหมด นั่น สุดท้ายก็ โอ๊ย อยู่ไปกินไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นพอแล้ว เวลาเห็นทีแรกมันเป็นอย่างนั้น ท้อใจไม่อยากสั่งอยากสอน คือสั่งสอนเขาแทนที่จะฉุดลากเขาไปได้ กลับเขายังมาปัดมือเราออก มาฉุดทำไมกองมูตรกองคูถของข้า มันดีกว่าของเธอขนาดไหนวะ เท่านั้นพอ จึงโอ๋ย สอนไปทำไม อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอ นั่น เห็นไหมล่ะเพียงตัวเท่าหนูมันเป็น มันเป็นมาแล้วก็พูดละซิ
ต่อจากนั้นมีธรรมอันหนึ่งผุดขึ้นมากระตุกอย่างแรงทีเดียว เห็นว่าจะปล่อยอะไรจะไม่เอาอะไรแล้วนี่ จึงกระตุกแรง คิดว่าอย่างนั้นแหละ ก็เมื่อสิ่งเหล่านี้ว่าสุดวิสัยของสัตว์โลกที่จะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหนถึงรู้ได้เห็นได้ เรารู้ได้เพราะเหตุใด เห็นได้เพราะเหตุใด เหตุก็คือสายทางมา เรามาถึงที่นี่แล้วเราถือว่าสุดวิสัยไม่มีใครจะรู้ได้ อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอถึงวันตายพอแล้ว ก็เมื่อว่าสุดวิสัยของโลกแล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหนถึงมารู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด มันก็มีสายทางมา ตั้งแต่คืบคลานมาเรื่อย ๆ จนแข็งขึ้นมา แข็งแกร่งขึ้นมา จนพุ่งขึ้นมาถึงนี้ได้ อ๋อ เมื่อมีสายทางคือ สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ก้าวเดินตามนี้เถอะ ไม่ว่าใกล้ว่าไกลจะมาได้ด้วยกัน นั่น ความหมายว่าอย่างนั้น
ทีนี้มันก็ยอมรับทั้ง ๆ ที่มันอ่อนใจพอแล้ว ท้อใจพอแล้ว ประหนึ่งว่าจะไม่เล่นกับใครเลย อยู่ไปกินไปพอถึงวันตายไปเท่านั้นพอ อยู่ก็อยู่ในป่าในเขาไม่ยุ่งกับใครเลยขนาดนั้น แต่เวลาธรรมนี้กระตุกมันยังพลิกตัวมาได้ รู้ได้เพราะเหตุไร ก็เรารู้มาเพราะเหตุนี้ เพราะก้าวเดินตามธรรมมานี้เรื่อยมา พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ก็เพราะเหตุนี้เอง คือทำมานี้ยอมรับทันทีนะทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธ อ๋อ รู้ได้ นั่น อ๋อ รู้ได้ ไม่มากก็ได้ ๆ ไม่มีคำว่าปฏิเสธ อ๋อ รู้ได้มีสายทาง ก็มันทนโท่อยู่หัวใจ มากับปฏิปทาเครื่องดำเนินมานี้ก้าวมานี้ ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศป้าง ๆ มาเป็นสายทางมาจนถึงที่
เหมือนอย่างมาจากอุดรมาเข้าวัดป่าบ้านตาด สายทางจนมาเข้าถึงวัดป่าบ้านตาดแล้ว จะว่าสุดวิสัยใครจะมาตามไม่ได้ เรามาถึงวัดป่าบ้านตาดได้เพียงคนเดียวอย่างนี้ได้เหรอใช่ไหม ขาเขาก็มีทางก็มีเขาก็มาได้ล่ะซิ อันนี้ธรรมก็มีความเพียรเราก็มี เหมือนว่าเรามีขาใช่ไหม เราก็รู้ได้เห็นได้ล่ะซิ จึงว่า อ๋อ รู้ได้ นั่น ยอมรับนะ ไม่มากก็น้อยรู้ได้ ๆ ยันเลยรู้ได้ ยอมรับ นั่นเห็นไหม ก็มีสายทางมานี่ ก็เหมือนอย่างมาวัดป่าบ้านตาด ไปพูดท้าทายกับเขา สูอย่ามา กูมาคนเดียวสูมาไม่ได้หรอก สุดวิสัยสูแล้ว เขาเอาทางมาตีหน้าผากเรานี้ มึงมาเพราะทางเส้นไหนถ้ามึงไม่มาเส้นนี้ กูกำลังมาทางเส้นนี้มึงอยากตายเหรอก็ได้ใช่ไหม โอ้ ๆ ใช่แล้ว ๆ ยอม เข้าใจไหมล่ะ ให้พากันเข้าใจนะ
นี่ละสายทางแห่งความดีงามของเราที่สร้างมา เอ้า สร้างไปเถอะ นี้แหละคือทางเดิน ยังไงก็พ้น ไม่เป็นอย่างอื่นเลย ยอมรับนะ จึงว่า อ๋อ ขึ้นทันทีเลย อ๋อ รู้ได้ ทันทีเลย ไม่มากก็น้อยจะรู้ได้ ๆ ยันเข้าเลย รู้ได้ มากน้อยรู้ได้ว่างั้นเลย นั่น จึงยอมรับ พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยก็แบบเดียวกัน ถึงขนาดท้าวมหาพรหมมาอาราธนา พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ, กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ, สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา, เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ.นี่ที่เวลาเทศนาว่าการก็ อาราธนาเทศน์ก็ พฺรหฺมมา จ โลกา คือเอานามท้าวมหาพรหมที่อาราธนาพระพุทธเจ้าให้โปรดสอนสัตว์นั่นแหละมาพูด พฺรหฺมมา จ โลกา แต่ พฺรหฺมมา จ โลกา ของท้าวมหาพรหมไม่เหมือน พฺรหฺมมา จ โลกา ของพวกเราทุกวันนี้เท่านั้นละ ทางนี้ พฺรหฺมมา จ โลกา ยังไม่ถึงไหนจะหลับแล้วผู้อาราธนา ผู้เทศน์ก็มองหาแต่กล้วยหอมกล้วยไข่ มันก็เลยไปคนละแบบเข้าใจไหม เลยไม่ได้เรื่อง มันผิดกันที่ตรงนี้เท่านั้นแหละเข้าใจเหรอ เอาละพอวันนี้
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www luangta.com หรือ www.luangta.or.th |