วางลวดลายศาสดาวาระสุดท้าย
วันที่ 13 ตุลาคม 2546 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

วางลวดลายศาสดาวาระสุดท้าย

 

         สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๑๒ ทองคำได้ ๔๔ บาท ๓๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๒๑๕ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๓๕ บาท ๖๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๐๑๗ ดอลล์ เงินสดได้ ๑๗๒,๙๔๐ บาท รวมผ้าป่าและกฐินทองคำได้ ๑ กิโล ๑๔ บาท ๒๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒,๒๓๒ ดอลล์ นี่ก็หมายถึงเมื่อวานที่อ่านมา (ครับเมื่อวาน) เวลานี้ทองคำได้ ๔๐๕ กิโล ๕๑ บาท ๓๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๕๖,๒๔๙ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๑๓๐ กิโลครึ่ง ยังขาดอยู่อีก ๑,๘๖๙ กิโลครึ่ง จะครบจำนวน ๑๐ ตัน ดอลลาร์ได้แล้วทั้งหมด ๘,๔๕๖,๒๔๙ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๕๔๓,๗๕๑ ดอลล์จะครบจำนวน ๑๐ ล้าน ดอลลาร์มันตามเข้าไปทุกที เรามอบทองคำปั๊บดอลลาร์ก็ตามเข้าไป ๆ คราวนี้จะได้เท่าไรคอยดู เวลานี้ดูเหมือนได้หนึ่งแสนกว่าแล้วนะดอลลาร์ (ครับผม)

         (หลวงตาครับ คณะศิษย์ของหลวงปู่หลวง ลำปางนะฮะ เขาอยากได้คำไว้อาลัย หลวงตาจะเขียนก็ได้ หรือเทศน์ก็ได้ เขาอยากได้คำไว้อาลัยไปพิมพ์หนังสือครับผม) ไม่เอา หาเรื่อง เรื่องโลก ๆ เลก ๆ อย่ามายุ่งกับเรา

         ที่วัดโพธิสมภรณ์เมื่อวานนี้ทองคำ ได้ ๓๙ บาท ๙๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๔๓๓ ดอลล์ เงินสดได้ ๓๘๒,๖๕๖ บาท หมายถึงเงินสดที่เทศน์วัดโพธิ์เมื่อวานนี้

         เมื่อวานนี้ไปฟังเทศน์ที่วัดโพธิฯ หรือเปล่า (ไปเจ้าค่ะ) ไปเหรอ เทศน์ก็มีหลง นั่นละไปเทศน์ที่ไหนหลง ไม่มากหากรู้ชัด มันหลง มันขาด สัญญาตัดขาด ตั้งใหม่เมื่อวาน ทั้ง ๆ ที่ก็ระวังนะ เทศน์เท่าไร (๕๓ นาทีครับ) คนไม่ค่อยมากเมื่อวาน เพราะมันเพียบไปจากวัดนี้แล้ว งานกฐิน เพียบไปจากนี้แล้ว โดนที่วัดโพธิฯ เข้าอีก เมื่อวานคนจึงไม่มากนัก แต่ถ้าคนที่ไม่เคย เวลาเทศน์ในที่ต่าง ๆ ก็จะว่าคนมาก แต่เราที่เคยเทศน์เคยนั้นแล้วคนไม่ค่อยมากเมื่อวาน เพราะงานอันนี้มันทับเอาเสียจนแหลก แตกไปหมดเมืองอุดร ดีที่เมืองอุดรไม่ร้าง ยังมีเหลือมาฟังเทศน์เมื่อวาน มันทับกันขนาดนั้นเพราะงานใหญ่ เมืองอุดรต้องเป็นเมืองเจ้าภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างรับนั้นรับนี้ ยุ่งตลอดอุดร ทั้งใกล้ทั้งไกลอะไร

         เราไม่อยากกังวลกับอะไรนะเรื่องหยูกเรื่องยา ทำไปอย่างงั้นแหละ ใจมันไม่กังวลกับอะไร ไม่สนใจกับอะไร ว่าจะรักษาจะอะไรเฉยไปเลย อะไรเหลือก็ใช้มันไป อะไรไม่เหลือทิ้งไป ๆ เหมือนอย่างงั้นละ ทิ้งไป ๆ หมดแล้วทิ้งเลยไปเลย มันเป็นลักษณะอย่างนั้น อะไรก็ไม่มีเลย หมายถึงว่าในสกลกายของเรา มันก็ใช้ไปอย่างงั้น ที่จะให้เยียวยารักษาด้วยความสงวนไม่เห็นมี บังคับเอานะ บังคับรักษาเอา

         เมื่อวานเขาขึ้นไปกุฏิ เขาก็เลยเปิดผ้าที่เคยเอาวาง เขาเปิดผ้าได้ทองคำไปจำนวนหนึ่ง หือเอามาวางไว้ตั้งแต่เมื่อไรกูลืม คือลืมถนัดอย่างนั้น ทองคำอยู่ใต้นั้น เขาเอาไปเมื่อวาน ก็อย่างนั้นแล้วมันลืม มันได้เรื่อย ๆ เข้านู้น ๆ ไม่ได้ออกมานี้พอจะได้ชั่งน้ำหนักเท่านั้นเท่านี้นะ เพราะไม่หายไปไหน เรียกว่าร้อยทั้งร้อย ๆ ทุกอย่างเลย ใครมาทุจริตกับเราไม่ได้บอกว่าคอขาดเลย ขนาดนั้นนะ พวกที่มาเกี่ยวข้องกับเรา บอกตรง ๆ เลยนะพวกลูกพวกหลานนี่ มีตั้งแต่เหมือนหัวใจเราเลย ที่เรามาใช้นี่นะ ใครไม่แน่ใจปัดออกไม่ให้มายุ่งเลย เราไม่มีใกล้มีไกลนะ ธรรมเป็นที่สนิทตายใจของเรา ใครที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรา กับประโยชน์ส่วนรวมนี้ด้วยแล้วต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้นะ

         เพราะฉะนั้นเราจึงชี้นิ้วเลยว่าเราไม่มีอะไรในหัวใจ ที่จะขุ่นมัวเกี่ยวกับเรื่องสมบัติที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาค มันไม่มีจริง ๆ อำนาจแห่งความเมตตาครอบไว้หมดเลยเชียว ถ้าพูดแบบภาษาของโลกใครจะกังวลกับประเทศชาติยิ่งกว่าเราซึ่งเป็นหัวหน้านะ มันคิดทุกแง่ทุกมุม คิดไปหมด นอกจากไม่มาแสดงออกเท่านั้น อันไหนที่แสดงออก สมควรจะแสดงค่อยแสดง อะไรที่ไม่สมควรมันก็รู้ของมันเอง รู้ของมันเอง เก็บไว้ ๆ ๆ ๆ อย่างหนึ่งปัดออก อย่างหนึ่งเก็บ ส่วนมากมีแต่เก็บไว้ ปัดออกไม่ค่อยปรากฏ

         เราทำทุกอย่างเราไม่หวังอะไรทั้งนั้นบอกแล้ว ไม่เอา อะไรที่เป็นประโยชน์แก่โลกเราทำเต็มที่ของเราแล้วไปเลย ปล่อยผ่านไปเลย ผ่านไปเลย เราถึงบอกว่า ประวัติศาสตร์คราวนี้ผู้นำอย่างที่เราได้นำ บอกได้เลยว่าบริสุทธิ์เต็มส่วนเลย ไม่มีหาเอาเถอะว่างั้น ไม่ใช่คุยนะ คือเราเชื่อในหัวใจเรา สำหรับเราเองเราเชื่อขนาดนั้น อะไรขัดกับธรรมไม่ได้เลย ปัดทันทีเลย มันไม่ฝืนกับธรรมนะ ไม่ฝืน นี่ละหลักธรรมชาติเป็นอย่างนั้น อะไรมาขัดปั๊บนี่ปัดออกทันที ๆ อะไรเป็นธรรมก็เรื่อยไปเลย เราจึงเชื่อความบริสุทธิ์ของเรา เพราะความเมตตานี้เหนือ เหนือเข้าไปอีกครอบความบริสุทธิ์ใจอีกทีหนึ่ง

         นี่ก็ให้รวมนี้เสียก่อนนะ กฐินรวมเรียบร้อยแล้ว ทราบชัดจากทางนู้นเรียบร้อยแล้ว เวลาลงไปหากว่ามันควร กะว่าจะมอบ คิดว่าจะมอบพักนี้แหละ แต่จะช้าหรือเร็วต้องไปดูเสียก่อนนะ เร่งทองคำให้ได้ตามจุดอีกทีหนึ่งก่อน แล้วถึงจะย้ายออก ย้ายออกก็เข้าคลังหลวงเลย คราวนี้เราก็คิดไว้จะไม่ให้ต่ำกว่า ๑ ตัน แล้วขยับไปเรื่อยๆ ลดหรือจะต่ำบ้างเราก็ไม่ว่าอะไร ค่อยขึ้นค่อยลงแล้วหมดสิ้นไปเลย เพราะกำลังของพวกเราไม่ใช่น้ำมหาสมุทรนี่วะ บืนมาจากหัวใจประชาชนแล้วจะเอาน้ำมหาสมุทรมาแข่งได้ยังไง เราค่อยไปของเราอย่างนี้ละ บืนไปเรื่อยๆ แต่จุดที่ตามต้องการของเรา ๑๐ ตัน ขาดไม่ได้ว่างั้น ได้กำหนดพินิจพิจารณาเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันและดอลลาร์ ๑๐ ล้านนี้ขาดไม่ได้เลย เป็นพื้นฐานไว้เลยเทียว ในหัวใจนี้ปักไว้อย่างนั้นแล้ว ถ้าสมมุติว่าเจ้าของทำเอง เจ้าของขาดเองก็ให้ตายไปเสียเลย นู่นน่ะฟังซิ

จิตเราไม่เหมือนจิตใครยังบอกแล้ว ว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลยไม่มีเงื่อนต่อ ถ้าลงได้ฝังลงตรงไหนแล้วไม่มีลืม ฝังลึกมากเทียว สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา สดๆ ร้อนๆ อยู่อย่างนั้นตลอด จะจืดๆ จางๆ ไม่มีในหัวใจนี้นะ จับติดเลยๆ จะยังไงเวลาเดียวกันก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายตื่นเนื้อตื่นตัวนะ พระพุทธศาสนานี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว มีเท่านี้ทั่วแดนโลกธาตุ ชี้นิ้วเลย พุทธศาสนาเท่านั้น บอกเท่านั้นเลย นอกนั้นเราไม่พูดถึงเลย ฟังแต่ว่าเท่านั้น ลบไปหมดแล้วใช่ไหมล่ะ ขอท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามนะ ฝ่าฝืนความชั่ว ที่มันเคยทำความทุกข์ความทรมานมาให้เรามากต่อมากแล้ว ด้วยความลุ่มหลงและพอใจไปตามมันนั่นแหละ แล้วมันเป็นพิษเป็นภัยกลับมาหาเราๆ ฝืนเข้าเพื่อธรรม

ธรรมนี้ทีแรกก็เป็นอย่างนั้นเสียก่อน ฝืนละธรรม จะทำความดีแล้วกิเลสมันหนา มันมาต้านทานแล้วล้มตามมันๆ นี้มากต่อมากนะ ทีนี้ฝืนไปหลายครั้งหลายหนทีละเล็กละน้อย ต่อไปก็ขยับเข้าๆ ทีนี้เวลามันชินแล้วทางเดินของความดีก็ค่อยราบรื่นไปเรื่อยๆ ราบรื่น กว้างออกๆ  ทีนี้กิเลสเข้ามามากน้อยรู้ทันทีๆ เลย จากนั้นก็โล่งไปเลย กิเลสผ่านไม่ได้ นั่นถึงขั้นธรรมมีกำลัง ผ่านก็ขาดสะบั้นไปเลย นี่ละธรรมเวลาเราบำรุงส่งเสริมแล้ว ธรรมก็มีกำลังอย่างนี้เอง เหมือนกับเราบำรุงส่งเสริมกิเลสทั่วโลกดินแดน ไปที่ไหนผลของกิเลสแสดงมีแต่ความทุกข์

อย่างเทศน์เมื่อวานได้ยินไหมล่ะ ไม่ได้เปิดออกหมดนะนั่น ถ้าจะพิจารณาตามนี้ โห ฟังไม่ได้นะ พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ เราพูดแต่กำลังของผู้ไปฟังนี้จะรับได้มากน้อยเพียงไร ก็ออกมาแค่นั้นๆ โลกธาตุมีที่ไหนมีความสุข ไม่มี ถ้าเอาภาษาธรรมออกแล้วบอกไม่มี ความสุขก็ยิบแย็บ ความสุขเพียงยิบแย็บ ความทุกข์นี้เหลือล้นพ้นประมาณอยู่ทุกหัวใจของสัตว์ เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด โลกทั้งหลายไม่มีธรรม นี้เรายังดี ประเทศไทยเรายังเป็นเมืองพุทธศาสนา เป็นเกาะเป็นดอนที่ยึดที่เกาะให้เป็นที่ตายใจและปลอดภัยได้ ควรจะพิจารณานะทุกท่าน ขอให้พิจารณาให้ดี หลวงตาตายไปแล้วคำนี้ก็เป็นคำจริงตลอดไป ไม่มีใครมาลบล้างได้คือความจริง

พระพุทธเจ้าเหมือนกัน ตรัสรู้แล้ว สอนธรรมไว้แล้ว เป็นความจริงล้วนๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามเป็นกรรมของผู้นั้นเอง ส่วนที่ท่านตรัสไว้แล้วถูกต้องแม่นยำทุกอย่างแล้ว ไม่มีเคลื่อนคลาดเลย นี่เราได้พิจารณาแล้ว พุทธศาสนานี้ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่กระจ่างมาก พูดได้เต็มเหนี่ยวเลย ไม่ต้องไปถามใครเลย เวลาแตกออกไปนี้มันรู้ๆ มันเห็น ยอมรับทันทีๆ โดยไม่ต้องไปหาใครมาเป็นพยาน นี่ละพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน สอนโลกได้สามโลก เป็นอย่างนั้น ย่นลงมาสาวกก็แบบเดียวกัน ไม่มีองค์ใดที่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าในแง่สงสัยของตน ไม่มี เหมือนกันหมดเลย

ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตนๆ หรือ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง ก็เหมือนเรารับประทาน เผ็ดเค็มเปรี้ยวหวานรู้ อิ่มขนาดไหนรู้ อิ่มเต็มที่ก็รู้ หยาบๆ นี้มันก็รู้ด้วยกันไม่เห็นใครไปถามใคร อันนั้นธรรมะยิ่งละเอียดสุดยอด ตีตราแม่นยำๆ ไปพร้อมเลยเชียว เราก็ไม่เคยคาดคิดจะได้พินิจพิจารณาถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม ได้รู้ได้เห็นดังที่เป็นอยู่เวลานี้ ไม่เคยคาดเคยคิด เวลาเป็นขึ้นแล้วมันไม่อยู่กับความคาดความคิด มันเป็นอยู่กับเหตุที่บำเพ็ญ ผลจะปรากฏขึ้นมาตามเหตุๆ  เหตุทางดีเป็นยังไง ผลทางดีก็ขึ้นมาอย่างนั้น ทีนี้เหตุทางชั่วเป็นยังไง ผลทางชั่วก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องนรกนี้อย่าไปคาดนะ อันนั้นว่าไปเฉยๆ ความจริงเหตุมันไปจากเจ้าของ มีหรือไม่มีนรกมันจะบอกเองในนี้ หมุนตัวเข้าไป นรกไม่มี แต่หมุนไปเรื่อยๆ ก็โดนปึ๋งเลย สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีหรือไม่มี มันก็เหมือนกันอีก คืออยู่กับเหตุ เหตุดีผลต้องดีเรื่อยๆ  ถ้าเหตุชั่วทำให้ดียังไงก็ไม่ดี

เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันพยายามนะ เราเปิดเต็มเหนี่ยวแล้วกับกำลังของประชาชนที่จะได้ยินได้ฟัง เปิดให้เต็มเหนี่ยวแล้วในธรรมทั้งหลายที่มาแสดง เราไม่สงสัยในการแสดงธรรมว่าจะผิดไปจากความจริงทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทรงแสดงไว้แล้ว นี่ก็เป็นธรรมประเภทเดียวกัน ตามกำลังของตนที่รู้เห็นมากน้อยนั้น มันก็รู้อย่างนั้นเห็นอย่างนั้น แล้วก็แม่นไปตามสัดตามส่วนแห่งความรู้ของตน เราจึงได้ประกาศให้ฟังเสมอ คราวนี้เป็นคราวสำคัญมากที่เราได้นำพี่น้องทั้งหลาย ก็ได้นำธรรมออกไปพร้อมเลย ออกไปพร้อมตั้งห้าหกปีแล้ว เทศนาว่าการทั่วประเทศไทย

ทางด้านวัตถุเราก็ได้ดังที่เห็นนี่แหละ ก็เป็นความอบอุ่นในจิตใจของเรา ได้สมบัติเข้าสู่คลังหลวงอบอุ่น ทั้งๆ ที่มันจะจมให้เห็นกันอยู่ทั้งประเทศนั่นแหละ แต่เวลานี้ฟื้นขึ้นมาๆ เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ทางด้านจิตใจเราก็อยากให้พี่น้องทั้งหลายฟื้นขึ้นจิตใจของตัวเองแต่ละคนๆ ขึ้นมา อย่าปล่อยให้มันจมไปเรื่อยๆ มันจะฟูขึ้นมาเองไม่มีทางนะ ปล่อยให้มันจมแล้วมันจะจมไปตลอด ถ้าไม่มีฉุดมีลากยังไงก็ขึ้นไม่ได้ ไม่ขึ้น ต้องอาศัยฉุดลาก เจ้าของรับผิดชอบเจ้าของเอง อะไรที่ผิดเป็นภัยต่อเจ้าของก็ต้องปัดออก ฝืนปัดออก ไม่ปัดไม่ได้เผาเลย อันใดดีให้กว้านเข้ามาๆ

เกิดมาในภพนี้ชาตินี้เราได้พบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เลิศเลอ เราจึงบอกว่าตลาดแห่งมรรคผลนิพพานคือพุทธศาสนา บอกแล้ว นอกนั้นไม่มี บอกได้ตรงๆ เลยไม่มี อย่างที่พระพุทธเจ้ารับสั่งแก่ สุภัททะ คนแก่นั้น ถามถึงเรื่องศาสนาว่ามีมากมายในโลกนี้ ใครก็ว่าศาสนาของใครดีๆ พระองค์ก็ย่นลงมาว่า ศาสนาใดมีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ ย่นลงมานี้เลย ไม่ได้ตำหนิติเตียนศาสนาใด ศาสนาใดที่มีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ ศาสนานั้นแลจะเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล

จากนั้นก็บอกว่าสมณะที่หนึ่ง คือ พระโสดา สมณะที่สอง พระสกิทาคา สมณะที่สาม พระอนาคา สมณะที่สี่ คือพระอรหันต์ อยู่ในศาสนาอันนี้ ไม่ได้บอกว่านอกไปจากนี้ มีอยู่นี้เท่านั้น สอนย่อๆ บอกว่าอย่าถามเรามาก เวลาเรามีน้อย พระองค์รู้ไว้แล้วเขตของพระองค์ว่าจะปรินิพพานตอนไหนๆ นั่นพระญาณหยั่งทราบไว้แล้ว จึงว่าเวลาเรามีน้อย คือมีน้อย จะไปถึงจุดนั้นได้รวดเร็ว เข้าใจไหมล่ะ เวลาเรามีน้อย จะไปถึงนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องตายภาษาเรา ต้องนิพพาน อย่าถามเราไปมากเวลาเรามีน้อย พระองค์ก็แสดงให้ฟังอย่างย่อๆ เท่านั้นไม่เอามาก จากนั้นก็รับสั่งให้พระอานนท์ เอา รีบบวชเสีย บวชเดี๋ยวนั้นละ ครั้นบวชแล้วให้ตั้งหน้าปฏิบัติตัวเอง อย่ามาสนใจกับความเป็นความตายของเรา ความเป็นความตายของเธอก็มีเต็มตัวเช่นเดียวกัน ให้พิจารณาความเป็นความตายซึ่งเป็นเรื่องอริยสัจในตัวของเราให้กระจ่างแจ้งแล้วบรรลุธรรมขึ้นมา เป็นสาวกองค์สุดท้ายในเวลาเราจะปรินิพพาน เป็นปัจฉิมสาวก บอกชัดเจนไว้เลย องค์นี้ละเป็นปัจฉิมสาวก

บอกให้พระอานนท์บวชให้ แล้วให้ไปบำเพ็ญสมณธรรม ให้ได้บรรลุธรรมในเวลาเดียวกันกับเราปรินิพพาน คือเวลาเราตาย พูดง่ายๆ  นี่คือปัจฉิมสาวก บอกไว้ชัดเจนเลย ทางนั้นก็ไม่มายุ่งกับพระพุทธเจ้า บอกไม่ให้มายุ่ง บอกให้ไปดูอริยสัจของตัวเอง ความเกิดแก่เจ็บตายเป็นหินลับปัญญา พิจารณาก็บรรลุธรรมเป็นปัจฉิมสาวก นั่นละคำพูดของพระพุทธเจ้า คิดดูซิว่า อย่าถามเรามาก เวลาเรามีน้อย คือเวลาจะปรินิพพานขีดเส้นตายไว้แล้ว เวลาเรามีน้อยจึงรีบสอน จากนั้นก็สอนพระสงฆ์

พระสงฆ์เหล่านั้นมีตั้งแต่ขั้นอรหันต์ลงมา พระอรหันต์ พระอนาคา พระสกิทา พระโสดา กัลยาณปุถุชน คือพระที่ยังมีกิเลส แต่เป็นผู้ที่สวยงามด้วยอรรถด้วยธรรม เต็มอยู่นั้น เวลานั้นในตำราก็ไม่เห็นบอกไว้ว่ามีประชาชนญาติโยมมาเกี่ยวข้อง พอไปถึงมัลลกษัตริย์ก็ออกมาทูลถามว่าพระองค์เสด็จมาเพื่ออะไรต่ออะไร เราจะมาตายที่นี่ บอกเลย นั่นเห็นไหมล่ะ บอกจะมาตายที่นี่ในคืนวันนี้ ในสวนมัลลกษัตริย์ ทางนั้นก็รีบจัดที่ให้ปรินิพพาน ตอนนั้นพระสงฆ์ติดตามมาก็คงมากอยู่นะ แต่ไม่ได้กล่าวถึง กล่าวถึงตั้งแต่ตอนให้โอวาท ปัจฉิมโอวาท ปัจฉิมโอวาทคือการสั่งสอนครั้งสุดท้าย สำหรับประชาชนไม่ปรากฏนะ ก็ทรงบอกว่า ดูก่อน เธอทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนเธอทั้งหลายให้พิจารณาสังขาร

สังขารในเวลานั้น เรานี้แน่ใจในสังขารภายใน สังขารภายนอก เช่น ต้นไม้ ภูเขา สัตว์ บุคคล เป็นสังขารภายนอก แต่เวลาสอนพระในเวลาสุดท้ายปลายแดนอย่างนั้น จะไปสอนนอกๆ ไม่ได้ เราแน่ใจว่าสอนสังขารภายใน เพราะผู้พิจารณาธรรมเพื่อจะบรรลุธรรมอย่างรวดเร็วในเวลานั้นยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้นจึงสอนสังขารภายใน มันเกิดแล้วดับ ๆ สังขารภายใน มันมีความเสื่อมความเจริญในตัวของมันเอง ให้พิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด พิจารณาสังขารก็ด้วยปัญญาและด้วยสติ จากนั้นก็ปิดพระโอษฐ์ ได้เวลาแล้ว นั่นเห็นไหม ทรงทำหน้าที่ปรินิพพานให้เต็มลวดลายของศาสดาที่เป็นครูเอกสอนโลก จึงเข้า ปฐมฌาน ทุติยฌาน

อันนี้ถ้าธรรมดาแล้วพระองค์จะเข้าก็ได้ ไม่เข้าก็ได้ เหมือนสาวกทั้งหลาย ใครผู้มีความรู้ในทางนี้แล้ว จะเข้าอันนี้ก็เข้าได้ ผู้ไม่มีความรู้ในทางนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้า เพราะอันนี้ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ เป็นกิริยาอาการหนึ่งๆ ไม่เกี่ยวข้องก็ได้ แต่ศาสดาแล้วสำคัญมาก เพราะเป็นศาสดา วาระสุดท้ายต้องวางลวดลายให้เต็มองค์ของศาสดา เพราะฉะนั้นจึงขึ้นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เรียกว่ารูปฌาน ๔ จากนั้นก็เข้าอรูปฌาน ๔ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี่คือนามธรรมล้วนๆ ละเอียดเข้าไป เข้าไปโดยลำดับๆ  จนกระทั่งเข้าไปสัญญาเวทยิตนิโรธ บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายนั่งเฝ้าดูตลอดเวลา เห็นสงบเงียบเลย ดูเหมือนจะเป็นพระอานนท์ ว่าไม่ใช่พระองค์ปรินิพพานแล้วหรือ

พระอนุรุทธะนั่งอยู่นั่น ดูคือตามเสด็จพระจิตของพระพุทธเจ้าตลอด ตั้งแต่ปฐมฌาน ถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด ตั้งแต่ปฐมฌานถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ธรรมชาติที่เข้าฌาน ก้าวไปตามฌานนี้ คือพระจิตที่บริสุทธิ์ นั่น ดูเอาซิ พระจิตที่บริสุทธิ์นี้ก้าวไปตามฌานนี้ ๆ ก็รู้ว่า เวลานี้เสด็จถึงนั้น ๆๆ ถ้าหากว่าไม่มีสมมุติเลย ธรรมชาตินี้จะพูดไม่ได้เลย แต่นี้มีสมมุติ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ก้าวไปตามสมมุติ ขึ้นถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วก็มีพระท่านถามขึ้น พอถึงขั้น สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนา สัญญาและเวทนา เวทนาทางกายไม่ใช่จิตนะ เรื่องพระอรหันต์แล้วไม่มี เวทนาทางจิตไม่มี ไม่ว่าสุขว่าทุกข์เฉย ๆ นี้เป็นเวทนาทางกายทั้งนั้น พอเข้าไปถึงนั้น สงบระงับพระอาการ เช่นความทุกข์ความทรมานในพระสรีระ ที่เรียกว่าทุกขเวทนาระงับ ดับสัญญาและเวทนา คือดับทุกขเวทนา สัญญาจำนั้นจำนี้ก็ระงับดับไป สงบพระองค์เวลานั้น

พระอานนท์สงสัยจึงถามขึ้นมา นี่ไม่ใช่พระองค์ปรินิพพานแล้วหรือ ยัง พระอนุรุทธะตอบทันที เวลานี้ประทับอยู่ใน สัญญาเวทยิตนิโรธ บอกเลย นั่นละตามพระจิตที่บริสุทธิ์ไปจนกระทั่งถึงนั้น ทีนี้พอออกจากนั้นก็เคลื่อนลงมา เคลื่อนออก ๆ บอกว่าเคลื่อนลงมาแล้วก็ตามจนกระทั่งถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา แล้วก้าวเข้าฌานอีก ปฐมฌาน ถึง จตุตถฌาน รูปฌานผ่านมาแล้ว อรูปฌานก็ไม่เข้า ออกท่ามกลาง ทีนี้ออกจากสมมุติแล้วนะ ฌานทั้ง ๒ เป็นสมมุติทั้งนั้น พอออกจากนี้พระอนุรุทธะว่า นี่ปรินิพพานแล้ว คือว่าออกจากนี้แล้วจะไม่มีที่พาดพิงพอให้รู้ได้ว่าไปอยู่ที่ไหน ๆ พระจิตที่บริสุทธิ์นั้นไปอยู่ที่ไหน พูดไม่ได้เลย แต่ไม่สงสัยสำหรับพระอรหันต์นะ ที่นี่ปรินิพพานแล้ว อันนี้ท่านวางลวดลายไว้เต็มส่วนของพระองค์จากนั้นก็นิพพานเลย นั่น ถึงวาระแล้วท่านรอที่ไหน พระญาณหยั่งทราบไม่มีสอง เอกนามกึ คือพระญาณหยั่งทราบอะไรเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ว่างั้น

เรื่องความรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ อะไรนี้ไม่เหมือนกัน ต่าง ๆ กันไปโดยลำดับตามนิสัยวาสนาที่ทำความปรารถนามาต่าง ๆ กัน องค์หนึ่งเด่นทางหนึ่งๆ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งสมณศักดิ์ให้เด่นคนละทิศละทาง อันนี้หมายถึงกิริยาอาการบารมีที่เป็นเครื่องประดับความบริสุทธิ์ ส่วนความบริสุทธิ์เสมอกันหมดเลย นี่ละต่างกันอย่างนี้

พุทธศาสนานี้ท้าทายเหมือนกิเลสท้าท้ายโลก กิเลสท้าทายหัวใจของโลกกิริยาของโลกให้หมุนเป็นกงจักรอยู่นี้ฉันใด ธรรมะก็ท้าทายเหมือนกับว่าถูกเก็บไว้ในตู้ในหีบ ท้าทายอยู่ในตู้ในหีบ เพราะไม่มีใครเปิดตู้หีบนั้นออกมาให้พระธรรมแสดงลวดลายเหมือนกิเลสเข้าใจไหม กิเลสแสดงลวดลายอย่างเปิดเผยให้สัตว์โลกเห็นอยู่ทั่วไปจึงไม่มีใครสงสัย แต่ธรรมนั้นเหมือนว่าอยู่ในตู้ ตู้ก็คือจิตอันเดียวกัน กิเลสมันออกก่อนปิดธรรมะนี้ไว้หมดเหยียบย่ำทำลาย เหมือนจอกแหนปกปิดน้ำนั่นแหละ ทีนี้เวลาเราเปิดอันนี้ออกทีนี้ก็ออกแสดง ๆ ธรรมะออกแสดงมากเข้า ๆ ๆ ก็ลบหมดเลย กิเลสตัวมืดตื้อก็จ้าขึ้นมา นั่น

นี่ละที่ว่าธรรมะอันนี้อยู่ในตู้กิเลสปิดเอาไว้ ตู้ของธรรมะที่เลิศเลอคือกิเลสนั่นเองมันครอบเอาไว้ มันไม่ให้ออก พอเปิดอันนี้ออกแล้วมันก็จ้าขึ้นมาเลย ทีนี้แสดงเต็มเหนี่ยว พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านแสดงเต็มเหนี่ยว นี่ละออกจากที่กรงขังที่คุมขังแล้วเป็นอย่างนั้น เรื่องธรรมกับเรื่องกิเลสอยู่ในใจอันเดียวกันไม่ไปอยู่ที่ไหน แสดงฤทธิ์เดชตามแต่เราจะหมุนไปทางไหน ฤทธิ์เดชของกิเลสก็เป็นฟืนเป็นไฟ พาหมุนโลกหมุนไปอย่างนี้ตลอด อำนาจของธรรม ถ้าเราหมุนไปทางธรรม ธรรมก็แสดงลวดลายดับกิริยาอาการของกิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟนั้นลงโดยลำดับ ๆ ซึ่งเท่ากับน้ำดับไฟ แล้วดับลง ๆ ด้วยอาการของธรรมที่แสดงออก มากเข้า ๆ ดับพรึบหมดเลย ทีนี้ไม่มีแล้วกิเลส ความร้อนจึงไม่มีธรรมดับหมดแล้ว เป็นน้ำดับไฟ

นี่ละพุทธศาสนาของเรา พูดอะไรมันก็ไม่ถึงใจนะ เราพูดจริง ๆ นะ เราสอนโลกนี้เราไม่ได้อวด มันไม่ถึงใจกับความรู้ที่มันรู้มันเป็น อะไรที่จะสอนออกมาให้ผู้รับ ผู้รับเป็นขนาดไหน นี่ละมันมาติดตรงนี้นะ ผู้รับมีความสามารถขนาดไหนมันจะออกรับกันทันที ๆ เปิดเรื่อย ๆ ๆ พุ่งเรื่อยไปเรื่อยผลไปเรื่อยเลย ผู้รับได้ขนาดไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน ธรรมะจึงพอเหมาะพอดีกับกำลังของผู้รับฟัง จะนำไปปฏิบัติให้ได้ตามกำลังของตนๆ เท่านั้นละ เมื่อเขยิบขึ้นไป ธรรมะที่รับกันก็เขยิบเรื่อยเลย เป็นอย่างนั้นละ ธรรมะพระพุทธเจ้าครอบโลกธาตุ เราอย่ามาว่าโลกธาตุ ธรรมะนี้เหนืออีกครอบโลกธาตุ แล้วจะจนตรอกจนมุมกับสมมุติได้ที่ไหนกันไม่มี เหนืออยู่ตลอดเวลา พากันจดจำเอาตั้งใจไปปฏิบัติ

เวลานี้ได้นำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติบ้านเมือง แล้วช่วยทางด้านจิตใจเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ฝืนนะไม่ฝืนไม่ได้จิตใจนี่ คือกิเลสมันจะดึงลงตลอด เราต้องฝืนลากขึ้นด้วยการสร้างความดี ไม่ทำความชั่วตามมันที่ดึงลงไป ต่อไปก็ค่อยดีขึ้นเรื่อยขึ้นไปอย่างนั้นละ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้เห็นว่าพอเหมาะ

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก