ศาสนาเซน
วันที่ 6 ตุลาคม 2546 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ศาสนาเซน

 

         ที่ไปเทศน์ที่กรุงเทพฯคราวนี้ ได้ทองเยอะไปคราวนี้ก็ดี สมกับเจตนาที่เราเร่งทองคำ ทองคำที่ได้เวลานี้ ทองคำ ดอลลาร์ และกฐิน รวมกฐินด้วย ตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลา ทองคำได้ ๑๐ บาท ๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๔๖๘ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๖ บาท ๔๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๔ ดอลล์ นี่หมายถึงกฐินทองคำในวันที่ ๕ นี้ เงินบาทได้ ๒๗,๘๐๐ หรือไง ทองคำและดอลลาร์ที่ได้เพิ่มหลังมอบเข้าคลังหลวงแล้ววันที่ ๒๖ สิงหา มา ทองคำได้ ๓๐๑ กิโล ๔ บาท ๗ สตางค์  ดอลลาร์ได้ ๙๐,๙๘๑ ดอลล์  รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๐๒๖ กิโล ยังขาดอยู่อีก ๑,๙๗๔ กิโลจะครบจำนวน ๑๐ ตัน รวมดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๓๙๐,๙๘๑ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๖๐๙,๐๑๙ ดอลล์ จะครบจำนวน ๑๐ ล้านดอลล์

รวมกฐินช่วยชาติที่ได้แล้ว ทองคำได้ ๒ กิโล ๖๓ บาท ๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๕,๓๘๗ ดอลล์ เงินบาทได้ ๑,๒๘๘,๕๖๗ บาท จะให้มันแน่นักก็ไม่ค่อยแน่ละอันนี้นะ แต่ไม่แน่มันก็อยู่ในวงนี้ จะเป็นอื่นไปไม่ได้หลวงตาชี้นิ้วเลย ว่างั้นพูดง่าย ๆ คือไม่ไปแผนกนั้นก็มาแผนกนี้ เท่านั้นเอง ให้ออกที่อื่นไม่ออก เพราะอย่างนี้เราเด็ดขาดมากนะ

         เพราะฉะนั้นเงินเราจึงกล้าพูดชี้นิ้วได้เลยว่า เงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคผ่านเรามานี้ แม้แต่บาทหนึ่งเราไม่เคยแตะเลย ที่จะเป็นเรื่องของเราเป็นทุจริตมัวหมองอย่างนี้ไม่มีเลย จะจ่ายมากจ่ายน้อยไปทางไหนเป็นเรื่องของเราพิจารณาเรียบร้อยแล้ว เห็นสมควรแล้ว เอาจ่าย ๆ นี่เรียกว่าบริสุทธิ์แล้วใช่ไหมล่ะ เพราะส่วนรวมทั่วประเทศ แล้วแต่มันจำเป็นจะแยกไปทางไหน ๆ เพราะมันมาทุกด้านทุกทางที่จะแยก ดังที่เห็นกันนั่นแหละ เป็นอย่างนั้นตลอดมา ส่วนเราที่จะมาแตะต้อง โอ๋ยไม่ ก็ความเมตตาความห่วงใยชาติไทยถึงร้องโก้ก มันจะมายุ่งอะไรกับเงินเพียงหนึ่งบาทเข้าใจไหมล่ะ ยังอยากได้มากเข้าไปกว่านี้อีก

         นี่ก็กำลังกวนพี่น้องทั้งหลายอยู่นี่ กวนเข้ามาใส่นี้ไม่ได้กวนไปไหนนะ เราจึงว่าเรานี้บริสุทธิ์ทุกสัดทุกส่วนเราพูดจริงๆ เหมือนกับหัวใจของเราที่ว่านี้แหละ ไม่ได้แปลกจากนี้ไปเลยเพราะออกจากนี้ไปใช้ทุกอย่าง อะไรขัดธรรมแล้วจะไม่ผ่านเลยนะ ไม่ข้ามเป็นอันขาด ถ้าอะไรเป็นธรรมเรียบร้อยแล้วโล่งมากโล่งน้อยจะออกตามนั้น ๆ กำหนดพิจารณา ทุกอย่าง ๆ แล้วออกตามนั้นๆ เรื่อย ๆ เลย ถ้าอะไรมาผ่านแล้วไม่ออก ต้องพิจารณา ปัดออกเลยอันนี้ขัดไม่เอา ไม่ทำ นั่น โล่งตรงไหน ๆ แล้วออกตรงนั้น ๆ เรื่อยมาตั้งแต่เริ่มช่วยชาติบ้านเมืองของเรา เพราะเราช่วยด้วยความเป็นธรรมล้วน ๆ จริง ๆ

         จึงว่าเป็นประวัติศาสตร์ได้ในการช่วยชาติสำหรับเราเอง ในความบริสุทธิ์เป็นประวัติศาสตร์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย นี่ละธรรมเข้าที่ไหน ให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าธรรมเข้าที่ไหนเป็นอย่างงั้นละ แจ้งขาวดาวกระจ่างไปหมด ไม่มีมัวหมองมืดตื้อเลย ธรรมเข้าที่ไหนสะอาดไปเรื่อย กระจ่างไปเรื่อยอย่างนี้ ธรรมจึงแยกจากโลกไม่ได้ ถ้าโลกยังมีความหวังยังมีความหมายอยู่ แล้วต้องมีธรรมเข้าแทรกเสมอ กิเลสมีแต่ทำลายท่าเดียว ที่จะเสริมไม่มี ธรรมนี้มีแต่เสริมท่าเดียว ทำลายไม่มี นี่ละมันแก้กันร้อยทั้งร้อยสวนทาง กิเลสกองทำลาย ธรรมะกองปราบปรามชะล้าง เป็นอย่างงั้น

         เราดูในจิตเราก็รู้ เอาจิตนี้ออกกางได้หมดเลย จิตมัวหมองมืดตื้อมากขนาดไหน ไม่รู้บุญรู้บาปคนเรา ทำได้ทุกอย่าง จึงให้ชื่อกันว่าหน้าด้าน คือจิตมันด้านเสียพอ มันไม่รู้บุญรู้บาปอะไร คนเช่นนี้ไปที่ไหนขวางโลก ทับโลก เข้าสมาคมใดก็เหมือนกัน ถ้าหอบกิเลสไปด้วยเป็นอย่างงั้น เท่ากับหอบไฟไปด้วยเผาไปได้หมด ไม่ว่าลำสดลำแห้งเผาได้ ถ้าธรรมไปที่ไหนเป็นคุณเป็นประโยชน์ไปเรื่อย ๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ทำให้ระลึกได้ ที่ยายคนหนึ่งแกพูด คือเรามาสุพรรณผ่านมานั้น เราเห็นเขาขายแห้วเป็นกระป๋อง ๆ เป็นแถว แล้วมียายแก่คนหนึ่งดูแก่ นั่งอยู่คนเดียว ขายแห้วกระป๋อง ๆ

         เราก็คิดสงสารแก ขายแห้วก็ไม่เห็นมีใครไปซื้อ เลยเข้าไปซื้อแห้ว นี้ซื้อด้วยความสงสารนะ เราจะเอามาหาอะไรแห้วมันเต็มท้องอยู่นี่ ราคาเลยแห้วไปมากขนาดไหน เลยจอดรถซื้อแห้ว เอาหลายกระป๋องนะ พอเสร็จแล้วก็จ่ายเงิน ให้แกคิด แกจะคิดเป็นไหมคิดเงิน ทดลองดู แกคิด คิดแล้วก็จ่ายให้แกตามนั้นละนะ “แน่นอนแล้วเหรอ” “แน่นอน” แกว่า “ไม่ผิดไม่เพี้ยนไปไหนเหรอ” แกก็ยังมีฉลาดอยู่  “คิดว่าไม่ผิด” คิดว่า ข้อแม้ของแกมีทางออก เราก็จ่ายให้แกแล้ว เรื่องทอนเรื่องอะไรไม่ให้ทอน ให้หมดเต็มร้อย ใบละร้อย ๆ ให้เลย เพราะสงสารมีคนเดียวยายแก่ขายของ

         อย่างนั้นแหละไปซื้ออะไรด้วยความสงสารนะ พอไปแล้วเราไม่สนิทใจ พอขึ้นรถก้าวรถไปแล้ว ลองคิดใหม่ซิบอกคนขับรถ พอไปแล้วให้คิดใหม่ คิดไป จะได้ถึง ๑๐ กว่ากิโลละมั้งกว่าจะคิดอันนี้เรียบร้อยนะ ออกรถไปแล้วก็เริ่มให้คิด ว่างั้นเถอะ เพราะมันมีพยานอยู่นี่ คือกระป๋องหนึ่งเท่าไรๆ  ก็คิด แกคิดเงินเท่านั้น ทีนี้เรามาคิดตามนี้ ที่แกเอาไปนั่นมันขาดไป ๒๐ กว่าบาท ไม่ได้กลับคืนมา เอาเงินคืนไปให้แก ๒๐ บาท เวลาไปให้เป็นร้อยเลย เรามาจอดรถ “นี่ยายคิดว่าถูกแล้วมันไม่ถูกนะ มันขาดไปเท่านั้น ๆ นี่เอาคืนมาให้” แกยกมือสาธุขึ้นนะ โอ๊ย ไม่เคยเห็นพระอย่างนี้ ไปจนเงียบแล้ว ยังกลับมาเอาเงินมาให้อีก ไม่เคยเห็นพระอย่างนี้ สาธุ เราก็เลยไม่ลืมนะ

         นี่เห็นไหมล่ะน้ำใจมีคุณค่ามาก เย็นใจขนาดไหนนะ เงินไม่ได้มีคุณค่าอะไร น้ำใจเป็นสำคัญมาก ยื่นอะไร ๆ ให้กันอย่างนี้เงินเท่านี้ น้ำใจสูงขึ้นเท่านั้น ๆ นี่แหละอำนาจแห่งทาน จึงไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า เรื่องความเสียสละเป็นเรื่องประสานโลกให้สนิทสนมกัน ให้ตายใจต่อกัน ไม่ถือสีถือสากัน ถ้าลงมีการเสียสละ มีการให้อภัยกันแล้วไปเข้าได้ทุกแห่ง นี่อำนาจแห่งทาน ของเล่นเมื่อไร ความตระหนี่มันเอาความดีมาให้ที่ไหน ใส่เงินไปเต็มกระเป๋าแบกไปมันก็หนักบ่าเจ้าของเฉย ๆ ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากเงินที่แบกไปนี้ไม่มี มีแต่ความหนัก

         เวลาแจกออกไปที่ไหน แจกน้ำใจ ๆ แสดงออกไปนี้ดีใจทั่วหน้ากันหมด คุณค่าแสดงจากเงินที่ออกไปในกระเป๋า อยู่ข้างในนี้ไม่มีอะไร ไม่มีคุณค่า พอออกไปเท่านั้นกระจายเป็นคุณค่าไปหมด ดีอกดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส เจ้าของผู้ให้ก็ร่มเย็นเป็นสุข เพราะให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และให้ด้วยความสงสาร หรือให้ด้วยความเลื่อมใสเคารพบูชา หลายด้านการให้ แต่ยังไงก็ตามเรื่องน้ำใจที่มีความยินดีรับกันนี้ ผู้รับมีความยินดีมากทีเดียว ยิ่งเป็นคนทุกข์คนจนแล้วยกมือแล้วยกมือเล่า นี่ละเงินเพียงเท่านี้ แต่น้ำใจมีมาก นั้นเขาก็ไม่ลืมนะ ได้ไปแล้ว เงินเราก็ให้ไปแล้ว เราไม่คำนึงคำนวณ แต่เขาจะไม่ลืม เงินทองข้าวของที่ได้ให้มากให้น้อย นี่อำนาจแห่งการให้ทาน

         คนมีการเสียสละ มีความเมตตา เห็นอกเห็นใจกัน ไปที่ไหนกว้างขวางเบิกบานไปหมดนะ ผิดกันมากกับคนตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัว คอยเอารัดเอาเปรียบเพื่อนฝูงตลอดเวลา คนคนนั้นสร้างขวากสร้างหนาม สร้างฟืนสร้างไฟ สกัดลัดกั้นตัวเอง เพื่อนฝูงก็เข้าไม่ติดเพราะร้อน ทางเดินของตัวเองก็ตีบตัน เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวมันปิดไว้ ๆ ไปที่ไหนแทนที่จะมีความสมบูรณ์พูนผลเหมือนเพื่อนฝูงของเขาที่มีความรุ่งเรือง  กลับคับแคบตีบตัน อดอยากขาดแคลนนะ ต่างกันมากนะ อำนาจแห่งการให้ทานกับความตระหนี่ถี่เหนียวต่างกันมาก ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน ในโลกนี้ไปไหนกว้างไปตลอด คนมีนิสัยกว้างขวาง กับคนตระหนี่ถี่เหนียวมันก็เป็นอย่างว่า สวนทางกัน

         นอกจากนี้แล้วอยู่ในโลกนี้ก็กว้างภายในใจ ไปโลกหน้าก็อีกแหละ สมบัติทิพย์จะเกลื่อนอยู่บนสวรรค์ สวรรค์ชั้นใดที่ควรแก่ผู้ทำบุญให้ทานขั้นใด ๆ แล้ว สวรรค์ชั้นนั้น ๆ จะเกลื่อนไปด้วยทาน สมบัติทิพย์ ๆ ไม่ขึ้นอยู่กับที่แจ้งที่ลับ ขึ้นอยู่กับการเสียสละ ด้วยเจตนานี้เปิดรับแล้วด้วยความไม่มีคำว่าลับ เปิดรับแล้วแจ้งขาว ไปไหนไม่อดอยากขาดแคลน อำนาจแห่งการให้ทาน นอกจากนั้นอยู่กับสถานที่ใดก็เป็นเครื่องสมานกันได้หมด การให้ทานเป็นเครื่องสมานน้ำใจกัน สนิทตายใจกัน ฝากเป็นฝากตายต่อกันได้ การเสียสละ การให้ทานไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

         เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ไม่เคยเว้นเลยว่าจะไม่ยกทานเป็นที่หนึ่ง ทานนี้ขึ้นเป็นที่หนึ่งของโพธิสัตว์ทั้งหลายที่จะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ยกทานบารมีขึ้นเลย เป็นนักเสียสละสุดยอด ว่างั้น ทีนี้เวลาผลได้มาก็แบบสุดยอด ๆ เหมือนกัน ไปที่ไหนเกลื่อนด้วยไทยทาน ไม่มีคำว่าอดอยากขาดแคลน อำนาจแห่งการให้ทานจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไอ้เรื่องที่ลับที่แจ้งใครจะเห็นไม่เห็นอย่าเอามาคิด เรื่องนี้เรื่องกิเลส มันฉก มันลัก มันขโมยได้ก็เพราะมันหาที่ลับที่แจ้งใช่ไหม มันทำได้ทุกอย่างก็ได้ ขโมย คนชั่ว แต่คนดีนี้ไม่ว่าที่ลับที่แจ้งไม่ทำของไม่ดี เอ้าการให้ การทำความดีไม่มีที่ลับที่แจ้งทำได้หมด นี่ความดีมันเป็นอย่างงั้นนะ ความดีคนดีต่างกัน

         พูดถึงเรื่องอะไรมันถึงมาเรื่องการให้ทาน เรื่องยายสุพรรณ แกยกมือสาธุ ไม่เคยเห็นพระอย่างนี้ว่างั้น ไปหายเงียบไปเลยยังกลับคืนมา แกสาธุ เราก็ไม่ลืมนะ ก็คือความเมตตาของเรา เราไม่แน่ใจกับแก แกจะคิดเงินถูกหรือไม่ถูก เราก็มอบให้แกคิด ครั้นคิดแล้วแกก็ยังมีข้ออันหนึ่งอยู่ ถูกต้องไหมล่ะ คิดว่าถูกอยู่ ครั้นไปมันก็ผิด จะมาว่าแกก็ไม่ได้เพราะแกคิดว่าถูก มันผิดก็ได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าว่าถูกเหมือนกับว่ารับรองยืนยัน เวลามันผิดมาแกก็มีโทษใช่ไหม นี่แกคิดว่าถูก แกก็มีทางออก เราเอามาคิดหมดนะเรื่องเหล่านี้ มันมีทางออกทางเข้าอยู่

         ชาวพุทธเราก็เป็นอย่างนี้ พื้นฐานแห่งชาวพุทธคือมีการเสียสละ มีความเห็นอกเห็นใจกัน ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน สงเคราะห์สงหากันได้ด้วยน้ำใจๆ ไปที่ไหนสมานสามัคคีกันได้หมดอำนาจแห่งการให้ทาน ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถือตนถือตัว ถือพรรคถือพวก ถือภาค อันนี้เป็นมหาภัยทำลาย เอาทางนี้ให้แน่นตีทางนู้นให้แหลกในขณะเดียวกัน เห็นแก่ตัว มัดของตัวให้แน่น ตีคนอื่น เห็นแก่พรรคแก่พวกของตัว มัดพรรคพวกของตัวให้แน่น จะตีพรรคพวกทั้งหลายคนจำนวนมากให้เสียไปๆ นี่มันเป็นอย่างงั้นนะ อ้าวยกตัวอย่างอีก เอาภาคของตัว ตีภาคทั้งหลายทั่วประเทศให้แตกไปหมด นั่นมันเป็นของเล่นเมื่อไร เป็นภัย ๆ

         เพราะฉะนั้นจึงอย่านำมาทำลายชาติของตน ซึ่งเป็นส่วนรวมอันใหญ่โต จะแน่นหนามั่นคงด้วยส่วนรวมแน่นหนานี้นะ ไม่ใช่มีแต่คนจำนวนมากแต่มีแต่ระหองระแหง แหวกแนวทะเลาะเบาะแว้งเพราะความเห็นแก่ตัว ๆ มากเท่าไรก็เป็นไฟเผากันทั่วโลก ถ้ามีความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน และมีความสงเคราะห์สงหาเห็นอกเห็นใจกันแล้ว กว้างขนาดไหนสมานกันได้หมดเลย เห็นไหมแม่น้ำมหาสมุทรมันแตกสามัคคีกันไหม ไม่มีแม่น้ำมหาสมุทรแตกสามัคคีจากน้ำทั้งหลายที่ไหลรวมเข้าไปๆ แม่น้ำมหาสมุทรเก็บน้ำได้หมด รวมตัวเป็นแม่น้ำมหาสมุทร ไม่มีแตกร้าว แม่น้ำมหาสมุทรไม่แตก

         น้ำใจของคนที่มีเมตตาเท่ากับน้ำมหาสมุทรครอบไว้แล้วเข้ากันได้หมด ไม่มีอะไรทำลายกันเลยละ เรื่องความเมตตา ความสงเคราะห์สงหา การเสียสละ นี่เท่ากับน้ำมหาสมุทรกว้างที่สุดไม่มีอะไรทำลายได้ละ อะไรจะไปเกินพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเรียบร้อย ๆ ทุกอย่าง แล้วแสดงมาเป็นทางเดินของโลก สอนโลกให้ก้าวเดินตามนั้น จึงไม่ผิด ท่านเรียกว่าสฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม  แต่เราตัดออกมาย่อ ๆ ว่า สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นั่น ตรัสไว้ชอบทุกอย่างไม่ว่าจะธรรมขั้นใด ๆ แสดงไว้เรียบร้อยด้วยสวากขาตธรรม ถูกต้องทั้งนั้น ๆ โลกจึงชุ่มเย็น

         นี่เมืองไทยของเราโอนเอนมาก็เห็นกันชัดเจน เวลานี้ก็ค่อยหนักแน่นขึ้นมา หนักแน่นขึ้นมาดี ทางโลกก็ช่วยกัน ทางธรรมก็ช่วยกัน ต่างคนต่างแยกไป หมุนไปทางไหนก็เป็นมงคล ทางโลกก็ชื่นใจ ทางธรรมก็ชื่นใจ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างด้านวัตถุก็ค่อยแน่นหนามั่นคง ด้านธรรมภายในใจก็ค่อยรู้จักเหตุจักผล รู้จักต้นจักปลาย รู้จักผิดจักถูก พยายามแก้ไขดัดแปลงตนเองไปคนละแง่ละมุมก็ดีขึ้นไปโดยลำดับ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องดัดแปลงแล้ว เดินนั้นเดินได้เท้านี่ มันเดินลงเหวก็ได้ แน่ะ มันก็มีเท้ามันเดินได้แต่เดินลงเหว ถ้าทางเดินไม่มีที่นัดแนะบอกไว้อันนั้นผิดอย่าไป นี่เหมือนว่ารั้วกั้น เราก็ไม่ไปก็ไม่ตกเหว เอ้าไปทางนี้ไปถูกทางนี้เรียกว่าทางธรรม ท่านสอนไว้หมด

         อย่างวินัยของพระ วินัยของฆราวาส วินัยของฆราวาสก็คือศีล ศีลอยู่ในฐานะใดที่ควรจะรับศีลได้ เช่นศีลห้า ศีลแปด แน่ะ ก็ควรให้มีข้อบังคับตนเองเพื่อความดีงาม เป็นมงคลแก่ตนนั้นแหละ ท่านสอนไว้ท่านไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนจากเรานะ ท่านสอนเราผู้ที่กำลังก้าวเดินอยู่นี้ มันผิดมันพลาดได้ ถูกได้ถ้าไปทางถูก ถ้าไปทางผิดก็ลงเหวลงบ่อได้เช่นเดียวกัน จึงควรจะมีศีลเป็นเครื่องบังคับตนบ้าง ศีลท่านไม่ได้สอนไว้ให้ต้นไม้ ภูเขา หมู หมา เป็ด ไก่อะไรนี่ ท่านสอนไว้เพื่อคน ทำไมคนแท้ ๆ ที่สมควรที่พระพุทธเจ้าจะสอนจะมอบสมบัติอันล้นค่าให้จึงรับไม่ได้ มันเป็นเพราะอะไร ถ้าไม่เลวกว่าหมู หมา เป็ด ไก่ นั่นมันจะลงจุดนั้นนะ

         หมู หมา เป็ด ไก่ เขาเป็นสัตว์ต่ำช้าเลวทราม เขาไม่รู้จักศีลจักธรรม เขาไม่รักศีลรักธรรมก็ถูกต้องแล้วไม่มีใครถือสาเขา แต่พวกเรานี่รู้ศีลรู้ธรรม รู้ดี รู้ชั่ว ทำไมไม่สนใจปฏิบัติรักษากันบ้าง มันก็เลวกว่าหมู หมา เป็ด ไก่ละซี มันก็ลงจุดนั้น ถ้าเราไม่อยากเลวก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้ดี ความเป็นสิริมงคลก็มีแก่พวกเราทั้งหลาย ศาสนาใดที่จะเสมอเหมือนศาสนาพระพุทธเจ้า ได้พูดแล้วนะเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้พิจารณานี้เต็มสัดเต็มส่วนแล้ว หาทางต้องติไม่ได้เลย ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ว่าธรรมขั้นใด ๆ ก็มันเดินตามรอยกันไป

         รอยศาสดารอยใหญ่ รอยหนูมันรอยเล็กก็ตามแต่มันเดินไปตามทางสายเดียวกัน ใช่ไหมล่ะเข้าใจไหม มันก็เห็นด้วยกันละซิ ไม่เห็นมาก ตาหนูตาเล็ก ตาช้างตาใหญ่ มันก็เห็นเต็มกำลังของหนู แล้วสุดท้ายก็มารวมเป็นพยานกันได้เข้าใจไหมล่ะ นี่ละสำคัญอยู่ตรงนี้ เราก็พยายามเดินตามพระพุทธเจ้าซิ เราเป็นหนูก็เดินตามกำลังของหนูซิ มันก็ได้ตามภูมิของหนู ถ้าไม่เดินเลยนี้ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ ให้พากันปฏิบัติรักษาตน ไม่มีธรรมที่ไหนในโลกนี้เราชี้นิ้วเลย ถ้าพูดถึงเรื่องศาสนาเต็มโลกธาตุ ทั่วโลก โลกมนุษย์เรานี้ศาสนามีอยู่ทุกแห่งทุกหน เหมือนตาสับปะรดเรื่องศาสนา แต่ว่าศาสนาไหนจริงแค่ไหนไม่จริงแค่ไหน ยกรวมเข้ามาแล้วลงจุดเดียวคือพุทธศาสนา บอกได้เลยว่าเท่านั้น

         ไม่มีข้อปลีกย่อยว่าศาสนาใดจะมาแข่ง ไม่มี เป็นศาสนาที่ถูกต้องแม่นยำ นำบุคคลให้พ้นจากทุกข์ตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งถึงนิพพานได้โดยถ่ายเดียว นอกนั้นเป็นยังไง ก็ไม่ได้สอนเพื่อมรรค ผล นิพพาน สอนไปตามอำนาจของกิเลส เพราะผู้สอนศาสนาก็เป็นคลังกิเลส แล้วจะเอาความดิบความดี ความเด่น มาสอนแข่งพระพุทธเจ้า แข่งศาสนธรรมพระพุทธเจ้าได้ยังไง สอนไปไหนมันก็เป็นวิสัยของกิเลส ไปขนาดไหนก็เป็นวิสัยของกิเลสพาไป ก็ลากสัตว์โลกไปตาม คือโลกที่เขานับถือศาสนาใด เขาก็ต้องปฏิบัติตามศาสนานั้น ศาสนานั้นสอนผิดถูกประการใดเขาก็ต้องทำตามนั้น แล้วก็รับบาปหาบกรรมไปตามนั้นเพราะมันไม่ถูก นั่น ส่วนพุทธศาสนานี้ตรงแน่วเลย ไม่มีคำว่าผิด

         การพูดทั้งนี้เราไม่ได้ประมาทศาสนาใด เอาความผิดถูกมาเทียบกันปั๊บ นี่จะว่าดูถูกอะไรไม่ดูถูกอะไร อันนี้ธนบัตรปลอมมีเกลื่อนอยู่นี้ อันนี้ธนบัตรจริงเพียงใบเดียว เราจะว่าดูถูกอันนั้นปลอมอันนี้ปลอม ดูถูกแล้วปรับโทษปรับกรรมมันก็ไม่ได้ อันนั้นมันปลอมอันนี้มันจริงก็เอาที่มันจริงซีใช่ไหม โดยไม่ไปยุ่งกับอันนั้น ไม่ไปปรับโทษปรับกรรมกัน เพราะฉะนั้นการพูดทั้งนี้จึงเป็นเหมือนกับว่า เราไม่ชอบอันนั้น เราเอาอันนี้ เท่านั้นก็พอแล้ว ปฏิบัติตนไปอย่างนั้น นี่พูดถึงเรื่องจริงหรือปลอมมันก็เป็นอย่างนี้ มันปลอมตั้งแต่เรายังไม่ว่า ผลิตขึ้นมาปั๊บก็ปลอมแล้ว ตำหนิไม่ตำหนิมันก็ปลอมของมันแล้ว พูดตามคำสัตย์คำจริงมันจะผิดไปไหน

เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้เลิศเลอสุดยอดแล้วนะ นี่เราพิจารณาเต็มกำลัง ตั้งแต่ออกปฏิบัติมา ทีแรกก็ไม่ค่อยเท่าไร ก็มีแต่เดินตามพิจารณาตามพระพุทธเจ้า เพื่อละเพื่อถอนกิเลสมากน้อยภายในใจ ตั้งแต่มันมืดตื้อนู่น มืดตื้อที่ว่ามืดตื้อขั้นผู้ปฏิบัติ ขึ้นไปร้องไห้อยู่บนภูเขา ฟังซิ สู้กิเลสไม่ได้ น้ำตาร่วงๆ เราไม่ลืมนะ

อะไรก็ตาม ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ถ้าลงถึงใจ เราไม่ค่อยจะเหมือนใครง่ายๆ ในโลกปัจจุบันนี้ว่างั้น อย่างนั้นก็ไม่ผิด คือจิตนี้มันจริงจังทุกอย่าง ว่าอะไรแล้วขาดสะบั้นไปเลยๆ แล้วพิจารณาทุกอย่างลงแล้วขาดไปเลย ไม่ได้พล่ามพลิ่มๆ แบบเอาตามใจชอบ เราชอบใจยังไงเราก็จะเอาอย่างนั้น ไม่ได้ นี่ไม่เอา ต้องเอาความถูกต้องเป็นเกณฑ์ ถ้าความถูกต้องลงจุดไหนปึ๋งเลยๆ นี่เป็นอย่างนี้ คำสอนพระพุทธเจ้านี่เราปฏิบัติมาตั้งแต่เริ่มแรกมา ค่อยคลี่คลายออก ค่อยชะค่อยล้างออก สิ่งจอมปลอมทั้งหลายซึ่งเป็นของจริงในความรู้สึกของเราที่หลงมัน มันก็ค่อยจางไปๆ  ความจริงแท้คือธรรมขึ้นที่ใจ พอขึ้นที่ใจนิดหนึ่งมันก็รู้แล้วๆ อ๋อ อันนี้จริงอันนั้นปลอม นั่น

มันเหมือนกับธนบัตรเกลื่อนเป็นธนบัตรปลอม ธนบัตรจริงขึ้นมาอันเดียวเท่านั้นชนะได้หมดเลย นี่ธรรมก็เหมือนกัน พอขึ้นปั๊บมันก็เข้าใจ เห็นโทษสิ่งเหล่านั้นตามขั้นของธรรม ธรรมขั้นนี้เห็นโทษกิเลสขั้นนี้ เหนือกิเลสขั้นนี้ไปโดยลำดับๆ ยิ่งละเอียดเท่าไรยิ่งเหยียบกิเลส ชำระล้างกิเลสเข้าไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งไม่มีกิเลสเหลือเลย ว่าง โล่งไปหมด ทีนี้จิตดวงนี้ไม่เคยมีอะไรเข้ามาเป็นเรื่องเป็นราว มันก็จับได้ซิว่า ความเป็นเรื่องเป็นราวมากน้อยนี้ เป็นจากกิเลสทั้งนั้น เมื่อกิเลสสิ้นซากไปแล้วเอาอะไรมาเป็นเรื่องในจิตไม่มีเลย พระอรหันต์จึงไม่มีเรื่อง ไม่มีสมมุติ เรื่องก็คือสมมุตินั่นเองจะเป็นอะไร ท่านหมดโดยสิ้นเชิง

เมื่อถึงขีดของมันแล้ว ออกมาใคร่ครวญพินิจพิจารณา มันหากเป็นของมันเอง ซึมซาบไปตามธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นของมันเองเหมือนกระดาษซึม ความรู้อันนี้มันจะเหมือนกระดาษซึม ซึมไปหมด ซึมไปๆ หาที่ค้านไม่ได้เลย ซึมไปตรงไหนมีแต่แม่นยำๆ  มันหมอบเลย ขั้นนี้แล้ว ฆ่ากิเลสให้สิ้นซากไปจากในใจนี้ก็หมอบพอแล้ว พิจารณาไปตามกิ่งก้านแขนงมันก็หมอบอีกๆ จึงเรียกว่าเกิดมาชาตินี้พวกเรามีวาสนานะ ถ้าไม่มีวาสนาอย่างไรก็ไม่เจอ ว่างั้นเลย เอานี่กางออกเลยนะ มาสอนท่านทั้งหลายมาโกหกหรือ

เราจวนจะตายเท่าไรยิ่งหนักเข้าๆ ก็เพราะความเมตตาสงสารห่วงใย ฉุดลาก ยังจะมัวคิดอยู่หรือว่าเราดุเราด่า เราอวดเราโอ้ ไม่มีในหัวใจเรา มีแต่ความเมตตาล้วนๆ สอนโลก ว่างั้นเลย ตีหมาเราก็ตีมันดื้อ แต่ไม่ได้ตีให้มันเสีย ตีให้มันดีต่างหาก แล้วทำไมคนจะไม่ดุด่ากันได้เล่า ยิ่งต้องการความดียิ่งกว่าหมาใช่ไหม ทำไมจะสอนกันหนักอย่างนั้นไม่ได้ หนักกว่าไอ้ปุ๊กกี้ไม่ได้ หรือเราอยากเป็นไอ้ปุ๊กกี้หรือ ถ้าสอนหนักมันจะเลยขั้นไอ้ปุ๊กกี้ไป ให้สอนเอาขั้นปุ๊กกี้นี้เหรอ อย่างนั้นเหรอ ก็เราไม่ใช่ปุ๊กกี้ อาจารย์ก็ไม่ใช่อาจารย์ปุ๊กกี้จะไปสอนแบบปุ๊กกี้ได้ยังไง ไอ้ปุ๊กกี้ปฏิบัติตัวแบบปุ๊กกี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ให้มันเป็นปุ๊กกี้ของมันนั่นแหละ เราก็เป็นเราของเรา สัตว์ก็เป็นสัตว์ เราเป็นมนุษย์ก็ให้ปฏิบัติตนตามหลักตามขั้นของมนุษย์นี้ เราจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ นะ

การฝากเป็นฝากตาย ไม่มีที่ไหนเป็นที่เกาะที่ยึด ท่านทั้งหลายให้เข้าใจเอาไว้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกลื่อนในโลกนี้ เป็นที่อาศัยในร่างกายของเราที่มีชีวิตอยู่ เราอาศัยเขา เขาอาศัยเราไม่มีแหละ มีแต่เราอาศัยเขา สิ่งนั้นมี สิ่งนี้มี ได้มาเสียไป วุ่นวายกันอยู่อย่างนี้ตลอด นี้เป็นโลกทั่วไป แต่เมื่อไม่มีหลักใจ ไม่มีสมบัติของใจ แล้วมันก็อยู่กันชั่วคราวชั่วเกาะกันเท่านั้น เดี๋ยวหลุดมือไป ถ้ามีธรรมภายในใจเรียกว่ามีที่พึ่งทางใจ อันนี้จะหนาแน่นมากทีเดียว อะไรจะขาดตกบกพร่องหรือจะมั่งมีศรีสุขมากน้อยเพียงไร อันนี้จะอบอุ่นตลอดเวลา เวลาร่างกายกับใจพรากจากกันปั๊บ ธรรมชาตินั้นเป็นตัวของตัวไปเรื่อยเลย สิ่งเหล่านี้ทิ้งเลย ทิ้งร่างกายฉันใด ทิ้งสิ่งเหล่านั้นฉันนั้น โดยหลักธรรมชาติเหมือนกัน

ที่ไม่ทิ้งคืออะไร บาปกับบุญ ทิ้งไม่ได้ ติดแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ละบาป อย่าเอาเข้ามามันจะติดตามไปเป็นภัยต่อเรา ให้สร้างตั้งแต่ความดีงาม อันนี้เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตายต่อเราได้ เราจวนจะตายเท่าไรยิ่งเน้นหนักๆ ลงไป ด้วยความเป็นห่วงบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ตั้งแต่ชาติไทยจะจมก็ยังร้องโก้ก นี้คนจะจมลงในนรกอีก จมลงในชาติไทยแล้วยังจะไปจมนรกอีกมีอย่างเหรอ นั่นซี จึงต้องดึงทั้งด้านวัตถุ ดึงทั้งด้านนามธรรมคือจิตใจ ธรรมะเข้าสู่ใจ ให้ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง จึงได้ดิ้นได้ดีดอยู่ทุกวันนี้นะ

เราจะเอาอะไร ที่ดิ้นที่ดีดมาเป็นเวลาเท่าไร ที่แสดงตัวอย่างเปิดเผย ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ นี่ร่วม ๖ ปีแล้วนะ แล้วเราจะเอาอะไร ในเจตนาของเราแม้เม็ดหินเม็ดทราย เราไม่เคยมีกับสิ่งเหล่านี้ มันอิ่มตัวเสียพอแล้วตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไป เพราะกิเลสคือตัวหิวโหย พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปอะไรจะมาหิวโหย ธรรมะมีแต่ความพอ เมืองพอคือนิพพาน หวังเอาอะไร ทำไมถึงดีดถึงดิ้นเอานักหนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ดีไม่ดีคนทั้งหลายจะว่าเรากวนบ้านกวนเมือง ผู้มันคิดสั้นๆ ตื้นๆ มันหาว่ากวนบ้านกวนเมือง มันจะจม ลากมันขึ้นมายังว่ากวนบ้านกวนเมืองอยู่หรือ พิจารณาซิ

ธรรมพระพุทธเจ้านี่เลิศสุดยอดแล้วนะ เอาหัวใจเข้าเป็นพยานกัน ไม่ต้องไปเห็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นธรรมเท่านั้นกระจายถึงพระพุทธเจ้าหมด ฟังซิ ก็เหมือนอย่างที่เราเคยพูด น้ำตกลงมาจากบนฟ้าปั๊บลงมาในท้องมหาสมุทรเท่านั้น เป็นน้ำมหาสมุทรไปหมด แม่น้ำคลองไหนก็ตามไหลเข้ามา พอถึงมหาสมุทรเป็นแม่น้ำมหาสมุทรหมด ไปด้วยกันเลย นี้ธรรมพอจ้าเข้าถึงใจ เท่ากับแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ผู้ใดบรรลุธรรมปึ๋งเข้าไปก็เป็นอันเดียวกันหมดๆ แล้วถามกันหาอะไร นั่นละที่ว่าท่านไม่ถามพระพุทธเจ้า หรือผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เมื่อเห็นตัวเองๆ บริสุทธิ์ฉันใด เข้าไปธรรมบริสุทธิ์คือธรรมธาตุก็เหมือนกันฉันนั้นกับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงไม่จำเป็นจะต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าเลย

ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเรากระวนกระวายอยากเห็นอยากพบพระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไร ส่วนมากก็คาดหมายด้นเดาเกาหมัดไปอย่างนั้น ยังไม่จริง แล้วก็คาดไป เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ตามรอยไป พอไปถึงตัวจริงแล้วถามหารอยหาอะไร พระพุทธเจ้าคือองค์เช่นไร เราก็จับอยู่นี้แล้วพระพุทธเจ้า ควายตัวนี้เราจับมันอยู่แล้ว แต่ก่อนเราตามรอยมันมา พอไปถึงตัวจับตัวมันได้ ไปยุ่งหารอยมันอะไร ก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าถึงตัวจริงแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ตถาคตก็คือธรรมนั่นเอง พูดให้สุดยอดคือธรรมธาตุ คือมหาวิมุตติ มหานิพพาน คือธรรมธาตุ เข้าถึงนั้นแล้วไม่ต้องถามกัน นี่ละของจริงเป็นอย่างนั้น

ที่มีแฝงกันอยู่ก็คือเรื่องศาสนาเซน เราพิจารณาแล้วเราไม่สงสัย ศาสนาเซนก็เรียกว่าศาสนาพุทธ เราอ่านหมดแล้วเรื่องศาสนาเซน อ่านเต็มกำลังเลย ศาสนานี้ท่านแสดงถึงธรรมฝ่ายสูง ธรรมขั้นสูง ศาสนาเซนให้ใช้ปัญญาๆ ผู้ที่เป็นเซน ผู้ที่บรรลุธรรมผ่านเข้าไปจนถึงกับได้ตั้งศาสนาเซนขึ้นมา นั่นผ่านไปแล้ว ก็คือจากพุทธศาสนานั่นเอง พวกนี้ก็มาตั้งอันหนึ่งขึ้นมาเป็นเนื้อหนังของตัวเอง ว่าเป็นศาสนาเซน

ความจริงศาสนาเซน คือภาคปฏิบัติ เอาอย่างนี้เลยให้มันเห็นชัดๆ เทียบกันได้ทันที ภาคปฏิบัติขั้นปัญญา ก้าวเข้าถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติ อะไรๆ จะเป็นปัญญาทั้งหมด มองเห็นอะไร ได้ยินอะไรก็ตาม ไม่เห็นก็ตาม สติปัญญานี้จะก้าวเดินไปตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติ จากนั้นก็บรรลุธรรม พอบรรลุธรรมแล้วเขาเลยเอาสติปัญญาขั้นนี้เป็นศาสนาของเขาไปเสีย เขาหาได้รู้ไม่ว่า ศาสนธรรมขั้นละเอียดนี้มาจากพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าแสดงศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม  ขึ้นศีล สมาธิ ออกจากสมาธิก็ปัญญา ปัญญานี้ปัญญาขั้นละเอียดเข้าถึงที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ แล้วบรรลุธรรมไปเลย

เขาเลยเอาจุดนี้มาเป็นศาสนาของเขา เป็นศาสนาเซน ความจริงเป็นกิ่งก้านของพุทธศาสนาตอนปลาย ตอนยอดที่จะถึงที่สุด เข้าใจไหม นี่เราพิจารณาแล้ว อ๋อ เขาเอาอันนี้เองไปเป็นศาสนาเซน ก็มันยันกันอยู่นี้ในหัวใจนี่เราจะสงสัยไปไหน เราผ่านมาหมดแล้ว อันนั้นผ่านไปก่อนก็ตาม เราผ่านทีหลังมันก็เหมือนกันแล้ว แล้วไปเถียงกันทะเลาะกันหาอะไร เข้าใจไหมล่ะ อ๋อ อันนี้เองที่ว่าเป็นศาสนาเซน คือธรรมะส่วนละเอียดของพระพุทธเจ้าที่จวนจะบรรลุธรรม จนกระทั่งถึงขั้นบรรลุธรรม คือจุดนี้ แล้วเขาเอาจุดนี้เป็นจุดสุดยอดของเขาไปเลย เขาไม่สนใจ เขาไม่ทราบว่าจุดนี้มาจากอะไร มาจากปัญญา มาจากสมาธิ มาจากศีล เข้าไปเรื่อยๆ เข้าใจเหรอล่ะ

นี่เราพิจารณาหายสงสัย อ๋อ ศาสนาเซนไปตรงนี้เอง ก็มีสองเท่านั้นที่เชื่อได้อยู่เวลานี้ ตายใจได้เลย แต่ศาสนาเซนใช้ปัญญา ทีนี้ผู้ถือศาสนาเซน ตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา ไปก็ได้ โดดใส่ดอกเตอร์ ดอกเตอร์คือขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ท่านไปถึงขั้นดอกเตอร์แล้วบรรลุธรรม ทีนี้พวกนั้นมาไม่ต้องเรียน ก.ไก่ ก.กา ละ ฟาดใส่ดอกเตอร์เลย มันก็เลยเป็นด็อกหมาไปละซี ผู้นั้นท่านเดินตามนั้น ไอ้เราไม่รู้เรื่องจะเอาอันนั้นไปปฏิบัติ ทีนี้ใครมาถือศาสนานี้ต้องใช้ปัญญาทั้งนั้นๆ ใช้ถึงวันตายมันก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ขั้นของปัญญาขั้นนั้น ก.ไก่ ก.กา ยังไม่ได้ ไปฟาดเอาดอกเตอร์ ใครเชื่อถือได้ยังไง

แต่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อถือก็ตาม หลวงตาบัวก็เป็นดอกเตอร์นะ หลวงตาบัวไม่ได้เรียนอะไรเลย เขายกหลวงตาบัวเป็นดอกเตอร์ แต่หลวงตาบัวไม่ได้เป็นบ้ากับดอกเตอร์นี่นะ เฉย แต่เวลาจะอวดอวดเร็วนะปุ๊บปั๊บ นี่ใครอยากจะดูหลวงตาบัวเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณอยู่บนนั้นนะ ดอกเตอร์ก็อยู่บนนั้นนะ เราก็พูดได้สบาย แต่เราไม่มีอะไรกับสิ่งนั้น แต่นั้นถือจริงๆ ว่าศาสนานี้ใช้ปัญญา ใครมาเอะอะก็จะให้ใช้ปัญญา เด็กอมมือจะใช้ปัญญายังไง ธรรมะขั้นนั้นสมควรแก่ธรรมภูมินั้นๆ  ก.ไก่ ก.กา ยังไม่มีจะไปเอาดอกเตอร์ได้ยังไง พากันเข้าใจไหมล่ะ เอาละ พูดไปพูดมาก็เหนื่อยแล้ว

โยม ปัญหาครับ กราบเท้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง กระผมขอความเมตตาปัญหาที่เกิดในการปฏิบัติดังนี้ เมื่อปฏิบัติลงไปจิตรวมลงแล้ว ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จิตก็ถอนออก ก็ได้กำหนดลงไปใหม่ ย้อนหน้าย้อนหลัง ย้อนเข้าย้อนออก จิตพุ่งไปจนกายแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา จึงย้อนเข้ามาพิจารณา ทุกข์ดับ จิตวางและกำหนดรู้ในเวทนา ต่อมาก็ถอนทุกข์ออกจากใจ ย้อนมาดูจิตรวมลึกลงไป ในที่สุดทุกขเวทนาเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาก แล้วก็ย้อนมาดูจิตอีก ย้อนดูทุกขเวทนา ปรากฏว่าเป็นเหมือนใช้มือจับก้อนทุกขเวทนา แล้วค่อยๆ ดึงออกจากกาย แล้วทุกข์ก็ดับ แต่ก็ยังเห็นเวทนาอยู่ ในที่สุดทุกขเวทนาเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาก จิตก็ถอนออกมาแล้วแพ้อย่างราบคาบ จึงขออุบายจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ขอคำแนะนำว่า อยากจะให้มันสิ้นสุดลงไปเสียที เพราะพิจารณาแต่ละครั้งชุลมุนวุ่นวาย ทั้งทุกข์ ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย พิจารณายังไงก็แก้ไม่ตก มันเหนื่อยมาก ต่างกับการทำงานอย่างอื่น

หลวงตา เมื่อพิจารณาถึงขั้นหมอบราบกับเวทนามันก็เป็นได้ แต่ถ้าพิจารณาแยกแยะออกไปไม่หยุด คือแยกแยะเรื่องทุกข์เรื่องกายดังเขาพิจารณา ถ้าเขาพิจารณาไม่หยุด ทุกข์มากเท่าไรยิ่งพิจารณา แยกแยะธาตุขันธ์ พวกเส้นเอ็น กระดูก ตับไตไส้พุง กับทุกข์ กับใจ แยกกันอย่างที่พิจารณานั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้จะพ้นไปไม่ได้ที่จะไม่ดับ ดับพรึบหมดเลย ทีนี้จิตก็แน่วเลยที่นี่ นี่ละที่ว่าเลิศอันหนึ่ง เลิศในขั้นนี้ทั้งๆ ที่มีกิเลสอยู่ ลงสักแต่ว่าปรากฏ ปรากฏก็เหมือนกันในจิต อันนี้เขาพิจารณายังไม่ถึงยังไม่รอบ เขายอมตายเสียก่อน เขาก็เลยยังไม่ตาย เป็นนักแพ้อยู่นั่นแหละ ไม่ชนะ แพ้เวทนา พิจารณานั้นถูกต้องแล้ว ถ้าแยกส่วนของเวทนาออกอยู่ไม่หยุดไม่ถอยแล้วจะผ่านได้ ให้ถือความมั่นใจอย่างนี้นะ ผ่านได้ เรื่องเหล่านี้จะเห็นสภาพของมัน ว่าออกไปจากอาการของจิตผู้ไปหมายอย่างเดียวเท่านั้น

คนตายแล้วไม่มีทุกข์ เผาไฟไม่มีอะไร ออกจากอาการของจิตไปลุ่มหลงกับสิ่งนั้น จึงถอยเข้ามาบีบบังคับตัวเองถึงล้มราบคาบไปเลยไม่เป็นท่า ถ้าอันนี้หมุนติ้ว ให้พิจารณาตามความสัตย์ความจริงของทุกขเวทนา ของกาย ของจิตแล้ว จะรู้ตามความเป็นจริง พอพูดอย่างนี้เราเข้าใจทันทีเพราะเราเคยผ่านมาหมดแล้ว เอ้าว่าไป

โยม ก็เหมือนอย่างที่หลวงตากล่าวแล้วครับ เขาบอกเขาสู้กับมันจนเหนื่อย เขาว่ามันหนักกว่าการทำงานทั่วไป จนบางครั้งท้อ อยากจะทำแต่ความสงบอย่างเดียว

หลวงตา อยากสงบก็ไม่สงบถ้าอยากแบบนี้ ถ้าพิจารณาตามเหตุการณ์ของมัน มันทุกข์เท่าไร เอ้า ดูตัวทุกข์ เอาจิตนี้ดูตัวทุกข์ แล้วแยกมาดูจิต จิตดูทุกข์ ดูกาย อะไรมันเป็นทุกข์ เวลาแยกไปแยกมานี้เป็นปัญญา แล้วมันจะแยกส่วนต่าง ๆ ของมัน กายก็เป็นกายเป็นความจริงอันหนึ่ง ทุกข์เป็นทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง จิตก็เป็นความจริงอันหนึ่ง แยกกันแล้วต่างอันต่างจริงนี่เข้าใจเหรอ นี่ผ่านได้ แล้วคำว่าผ่านได้ คือว่าจิตลงสงบได้เลย ถ้าอยากให้สงบเฉย ๆ ไม่สงบ ถ้าพิจารณาโดยเหตุโดยผลนี้ อยากไม่อยากก็เป็นธรรมแล้วสงบได้ นั่น เข้าใจเหรอ ความอยากเป็นกิเลส อยากไม่ทำงาน อยากได้เงินหมื่นเงินแสนแล้วไม่ทำงาน ก็ตัวมันจนตัวนั้นเข้าใจไหม จนที่สุดคือคนขี้เกียจขี้คร้านแต่อยากเป็นเศรษฐี คือคนจนคนนี้แหละ เอ้า ว่าไป

(โยมชาวอินโดนีเซีย กราบเรียนถามปัญหาภาวนา)

ผู้กำกับ เขาภาวนาแล้วปรากฏว่าเป็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ บินมาหาที่กุฏิเขา หลังจากนั้นก็พิจารณาตัวเล็กลงไปอีก ๆ เล็กนิดเดียวเลย เขาก็จุดไฟเผา เผาก็ไม่ตาย เอาไปใส่ครกตำอีกก็ไม่ตาย

หลวงตา เอ้า ว่าไป อุบายวิธีพิจารณาภาวนาเป็นอย่างนั้นละฟังเอา

โยม พอไม่ตายก็มีจดหมายมา เขาอ่านจดหมายครับ พออ่านจดหมายแล้วมีเสียงจากข้างบน

ผู้กำกับ เขาบอกว่า เสียงจากข้างบนบอกว่า เห็นไหมรู้ไหม

หลวงตา พออ่านจดหมายแล้วอย่างนั้นเหรอ

ผู้กำกับ ครับ ๆ อ่านจดหมายแล้วเสียงจากข้างบนลงมาว่า บอกว่า เข้าใจไหม

หลวงตา เข้าใจไหม เอ้า ว่าไป

ผู้กำกับ เห็นไหม เข้าใจไหม รู้ไหม เดี๋ยวต่อไปทำอะไรได้ พูดอย่างนี้

หลวงตา เอ้า ว่าไป ต่อไปทำอะไรได้มันก็มีแง่อยู่ ถ้าทำอะไรก็ได้อย่างนั้นก็แน่นอนไปเลย ถ้าอะไรได้นี้มันทำไม่ได้ก็มีใช่ไหมล่ะ เอ้า ว่าไป ไงเงื่อนไป ทำอะไรได้

ผู้กำกับ พอภาวนานี้เหมือนไฟฟ้าเข้ามาในร่างกาย มาที่ท้องก่อนแล้วที่หน้าอกแล้วก็ไปบนศีรษะทุกส่วนนั้นเต็มหมด เหมือนไฟฟ้าเข้าไปในตัวนี้เต็มหมด

หลวงตา ไฟฟ้า

ผู้กำกับ เหมือนไฟฟ้าครับ แรงไฟฟ้านะครับ เข้าที่ท้องเต็ม หน้าอกก็เต็ม ศีรษะก็เต็ม

หลวงตา เต็มด้วยไฟฟ้า แล้วไฟฟ้ามันแสดงอะไรบ้าง มันแสดงแสงสว่างหรือความร้อนอะไรบ้าง

ผู้กำกับ ร่างกายเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตครับ เลยกราบเรียนถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เป็นแบบเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตนั่นละครับ

หลวงตา มาตั้งแต่นู้นนะ ตั้งแต่เด็กเหาะเข้ามา เด็กตัวขนาดเล็ก ๆ ๆ

ผู้กำกับ เล็กลงไปอีก เขาก็เอาไฟเผา ไฟเผาก็ไม่ตาย

หลวงตา คือว่าคำว่าเด็กว่าเล็ก ได้แก่กำเนิดของจิตวิญาณไปถือเอาตรงนั้นตรงนี้ เล็กก็มีใหญ่ก็มี เช่น เป็นช้างก็มี ราชสีห์ก็มีเข้าใจไหม เป็นหนูก็มี เป็นมดเป็นแมงก็มีล้วนแล้วแต่ออกจากจิตดวงนี้ ทีนี้เอามาฆ่ามันก็ไม่ตาย มาโขกมาทุบอย่างนี้มันก็ไม่ตายเพราะจิตนี้ตายไม่เป็น ส่วนอันนั้นมันจะพังไปก็พังไป จิตนี้ไม่ตายเข้าใจไหม ที่มาโขกมาสับเข้าใจไหม จิตนี้ตายไม่เป็นจะเป็นร่างไหนก็ตาม มาในร่างไหนจิตก็เป็นเจ้าของมาในร่างนั้น ในร่างอันนั้นนะ ถ้าทุบลงไปนี้สมมุติว่าตายอย่างนี้ก็มีแต่ร่างมันตาย แต่จิตมันก็ออก ร่างไหน ๆ จิตไม่ตายทั้งนั้นความหมายว่าอย่างนั้น มันมีทุกแบบในร่างของจิตที่เข้าไปอาศัยเข้าใจเหรอ มีทั้งมดทั้งแมงเหล่านี้ จิตอยู่ในนั้นทั้งนั้น เอ้า แล้วมีอะไรอีก ที่มันไม่ตายให้เข้าใจเอาไว้ว่า จิตอยู่ในนั้นมันไม่ตาย ให้ถือเอาอันนั้น

ผู้กำกับ ทีนี้เรื่องไฟฟ้าล่ะครับ ไฟฟ้าที่เข้าร่างกาย แน่นที่ท้องแน่นที่หน้าอก แน่นที่ศีรษะ แล้วก็มีอาการเหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อต มือสั่น

หลวงตา นี่ละกองทัพใหญ่ของกิเลส เป็นไฟฟ้าเข้ามา ช็อตเราดีไม่ดีหงายหมาไป เข้าใจไหม

โยมอินโดนีเซีย เป็นอย่างนี้ตลอดเลย

หลวงตา เป็นยังไงก็ให้มันเป็นซิ มันจะเป็นของมัน ยังไงจิตนี้ไม่ตายก็บอกแล้วตะกี้นี้ จิตนี้จะเป็นตัวรู้ตัวเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาแสดงในตัวเอง จิตนี้ไม่ตายเรายันอันนี้เอาไว้ ให้พิจารณาสิ่งเหล่านั้นที่มันมาเปลี่ยนแปลง มาแบบนั้นแบบนี้ ตัวนี้จะรู้หมดทุกแบบเลย เข้าใจไหม นี่ละโลกทั้งหลายเป็นอย่างนี้ ไม่แน่ไม่นอนเป็นอย่างนี้ ให้ลงในกฎ อนิจฺจํ สิ่งที่มันแน่คือ ความรู้ ให้รู้ให้เห็นให้หมดสิ่งเหล่านี้เกิดดับ ๆ ลงไปเข้าใจเหรอ เอาแค่นี้เสียก่อน ไม่ให้มากกว่านี้ พอเข้าใจเหรอ

โยมอินโดนีเซีย เข้าใจ เดี๋ยวเอาเทปไปฟังอีกทีหนึ่ง

ผู้กำกับ เวลาเขานั่งฟังหลวงตาเทศน์อยู่นี้ครับ ไม่มีอย่างอื่นมีแต่เสียงหลวงตาเข้าไประหว่างกลางอกอย่างเดียว

โยม เหมือนกับน้ำใส่ขวด

ผู้กำกับ เสียงมาอยู่ที่กลางอก เหมือนเอาน้ำนี่กรอกลงไปในขวดเสียงอย่างอื่นไม่มี

หลวงตา นั่นละ การฟังเทศน์จึงได้บอกเสมอว่า เทศน์ทางภาคปฏิบัตินี่เป็นหลักใหญ่นะ พอท่านเริ่มเทศน์นี้ จิตเราจะไม่ต้องส่งไปหาผู้เทศน์ ส่งไปหาอะไรก็ตามให้เอาสติจ่อเข้ามาหาจิตนี่ รออยู่นี้เปิดแล้ว พอเทศน์ปั๊บจะเข้านี้เลยไหลเข้านี้ทั้งหมดเหมือนอย่างตะกี้นี้ คือเข้ามาอยู่ในนี้หมด เทศน์จะเข้านี้ ๆ แล้วกล่อมจิตให้สงบ ๆ เรื่อยด้วยการเทศน์ เพราะฉะนั้นการฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติจึงสามารถทำให้รับมรรคผลนิพพานได้ ท่านแสดงไว้ในธรรมก็มี ๕ ข้อ ท่านแสดงไว้กลาง ๆ อันนี้จะเข้าภาคปฏิบัติเพื่อไปแจงตัวเองได้เข้าใจไหม คือ

๑.ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง

๒.สิ่งที่เคยฟังแล้วแต่ยังไม่เข้าใจชัดย่อมเข้าใจชัด

๓.จะบรรเทาความสงสัยเสียได้

๔.จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้

๕ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส นี่จุดสุดท้าย

นี่จากการฟังนี่ท่านว่าไปกลาง ๆ ผู้ฟังจากภาคปฏิบัติจะเข้าใจเองแจงของตัวเองได้เป็นลำดับทุกขั้นเลยละ เพราะคำว่าเข้าใจ เข้าใจยังไงมันซึ้งไปโดยลำดับภายในใจ ท่านว่าเป็นกลาง ๆ ว่าเข้าใจ เข้าใจอะไรบ้างมันแตกแขนงออกไป เข้าใจเหรอ ที่ว่าจิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส สงบมีหลายขั้นเข้าไปเรื่อย ๆ ผ่องใสก็เหมือนกัน ความสงบมากเท่าไร ความผ่องใสความสว่างกระจ่างแจ้งมันจะออกของมัน แต่พูดเพียงสงบผ่องใสเท่านั้นเข้าใจไหมล่ะ ผู้ปฏิบัติมันจะเป็นเอง นี่การฟังเทศน์อย่างนี้ดี ถึงจะเทศน์ทางปริยัติก็ตามเราไม่ไปสนใจนู้น เราเอาเสียงนั้นมากล่อม เสียงนั้นเป็นเสียงธรรมกล่อมใจ ใจก็สงบได้ตามขั้น ถ้าเป็นภาคปฏิบัติสงบได้จริง ๆ เข้าใจเหรอ เอ้า มีเท่านั้นละ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ก่อนนะ วันนี้ก็เป็นกัณฑ์ใหญ่เหมือนกันเทศน์นะ มีอะไรอีกล่ะ ยุ่งอยู่ตลอดเวลา

โยม(กราบเรียนเรื่องภาวนา) โยมปฏิบัติมาพรุ่งนี้ได้ ๑๐ วันแล้ว ปฏิบัติคืนที่ ๓ กายพังตลอดเลยหลวงตา กายมันพังออกแล้วทีนี้ก็ไฟมันลุกที่กระดูก มันถูกต้องไหมเจ้าคะ

หลวงตา ถูก อย่างนั้นถูก จิตได้ดูเรื่องไฟเผาตัวเองนั่นละเป็นธรรมแท้ละ เข้าใจเหรอ เอ้า พิจารณา มันจะเผาขนาดไหนให้มันเป็นเถ้าเป็นถ่าน จิตจะเป็นเถ้าเป็นถ่านไปด้วยไหม จิตไม่มีคำว่าเถ้าว่าถ่าน ยิ่งจะสว่างกระจ่างแจ้งจากสิ่งเหล่านี้เป็นหินลับปัญญา เข้าใจไหม คนตาย คนแก่ คนชรามาอย่างนี้เป็นหินลับปัญญา ๆ ให้คมกล้าเข้าไปโดยลำดับคล่องตัวไปโดยลำดับ เข้าใจหรือเปล่า ท่านจึงให้อาศัยพิจารณาเหล่านี้ซึ่งเป็นหินลับปัญญา ลับความรู้ความเห็นของเราให้สว่างกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับจากการพิจารณาเหล่านี้ เตือนเราเรื่อย ความเป็น ความตายมาเตือนให้เรารู้ตัว หดเข้ามา มันตายอย่างนั้นมันชำรุดอย่างนี้ รู้เข้ามา ๆ ต่อไปก็ชำนาญเข้า ๆ กลายเป็นหินลับปัญญาไปหมดเข้าใจ เอาละ เอาแค่นั้นมีอะไรอีกล่ะ

โยม คืออยากจะถามหลวงตาสักหน่อยว่า ถ้าต่อไปมันเห็นอยู่อย่างนั้นแล้วก็เราจะเปลี่ยน

หลวงตา ต่อไปมันเป็นยังไงให้พิจารณาในปัจจุบัน มันจะต่อไปไม่ต่อไป เรื่องมันเป็นมายังไงจิตนี้เป็นปัจจุบันตลอด มันจะรู้ของมันอยู่ตลอด

โยม อย่างภาวนาแล้วต่อมันจะลุกอยู่อย่างนั้นเรื่อย

หลวงตา ลุกไม่ลุกก็ช่าง ให้พิจารณาปัจจุบัน มันลุกหรือไม่ลุกจะรู้เองจากผู้ปฏิบัติเข้าใจเหรอ เราปฏิบัติเราเห็นอย่างนี้ เราพิจารณาดู มันเป็นยังไงให้มันรู้ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู อาการใดแสดงขึ้นมาให้รู้ ๆ ถอยเข้ามารู้ตัวเองตัวนี้ไม่ตาย ดูตัวนี้ตัวมันเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นหินลับปัญญาให้เราฉลาด สิ่งที่มัวหมองภายในใจมันจะค่อยกระจ่างแจ้งออก เปิดออก ๆ ให้รู้เข้าไปโดยลำดับนะ เข้าใจละเอาละเท่านั้น อย่าไปคิดคาด อดีต อนาคตเป็นยังไงขึ้นมาให้พิจารณาตามปัจจุบัน เอาละพักเสียก่อนวันนี้เหนื่อยแล้ว

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน  ได้ที่

www luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก