เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
ศาสนาเรียวแหลมจริงหรือ
ปี ๒๕๓๕ เป็นต้นมาไม่เคยได้ประชุมเทศน์อบรมพระในวัดนี้เลย แม้ที่อื่นๆ ที่เขานิมนต์ให้ไปเทศน์ในงานนั้นๆ ซึ่งเคยรับบ้างเท่าที่เห็นสมควรก็เลิกไปตามๆ กันหมด มีเฉพาะๆ ที่จังหวัดมหาสารคามวันที่ ๙ เดือนนี้นี้เท่านั้น ที่เทศน์ในงานศพท่านอาจารย์มหาบุญมี เนื่องจากเขาเอาชื่อของเราลงในใบโฆษณา ถ้าไม่เทศน์ก็จะทำให้เสียไปมาก จึงต้องจำใจเทศน์ทั้งหลงทั้งลืมตกหายไปเรื่อย นี่ก็ได้ประกาศให้ทราบทั่วกันก่อนแสดงธรรม เวลาแสดงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
การเทศน์วันนี้ก็ต้องเป็นดังที่คิดไว้แล้ว เพราะมันเป็นอยู่กับตัว รู้สึกอยู่กับตัว ความจำคือสัญญาหลงลืมไปจนแทบจะไม่มีเหลือแล้วเวลานี้ จึงไม่อยากยุ่งเหยิงวุ่นวายเกี่ยวข้องกับอะไร ในบรรดาภาระภายนอกเช่น พระเณรที่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือแม้อยู่ในวัดนี้แล้วก็ตาม ตลอดประชาชนทั่วๆ ไป ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่อยากจะรับสนทนาอะไรด้วยเลย เพราะธาตุขันธ์รู้สึกว่าขัดข้องเป็นลำดับลำดา ไม่ได้เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา นี่ก็เห็นว่าไม่ได้ประชุมนาน ก็ได้พยายามถูไถลงมาด้วยการฝืนธาตุขันธ์ความเป็นอยู่ของตน
จึงขอให้ทุกๆ ท่านได้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติตน ให้สมกับพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา เป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลโดยสมบูรณ์และสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับคำว่ามัชฌิมาปฏิปทานั้นแล คือเหมาะสมที่จะแสดงผลให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตลอดเวลา ตามขั้นภูมิของตนที่ปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไร ไม่ได้มีคำว่าเรียวว่าแหลมตามเรื่องของกิเลสเสกสรรปั้นยอหลอกลวงสัตว์โลกขึ้นมา ซึ่งทำให้สัตว์โลกยิ่งมืดหนาตาทึบ แต่หูแจ้งตาสว่างไปทางของกิเลสตัณหาเพื่อความมืดบอดเป็นลำดับลำดาไปเท่านั้น นี่เป็นกลมายาของกิเลสที่มีอยู่ภายในใจด้วย กระดิกออกมาจากใจก็หลอกลวงสัตว์โลกนั้นแล ไม่ได้หลอกลวงที่ไหน หลอกลวงดวงใจดวงที่มันบีบบังคับหรือแทรกสิงอยู่ตลอดเวลานั้นแล ให้ลุ่มหลงไปตามมัน พร้อมกับความสงสัยสนเท่ห์ในความจริงคือธรรมทั้งหลายไปในระยะเดียวกัน
เพราะฉะนั้น ศาสนาเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาของเรา จึงเคยได้ยินเสมอว่าศาสนาเรียวแหลมไปเป็นขั้นเป็นตอน นี่ได้ยินอย่างหนาหูมานานแล้ว ความเป็นทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะเรื่องของกิเลสเสกสรรปั้นยอขึ้นมาหลอกลวงสัตว์โลกนั่นแล และก็ให้สนใจประพฤติปฏิบัติตนตามความหลอกลวงของมันด้วยความเต็มใจ โดยไม่รู้สึกตนว่าสิ่งที่ดำเนินไปนี้ ได้ถูกความเสี้ยมสอนจากกิเลสมาโดยลำดับแล้วอย่างนี้ไม่มี เป็นความเชื่อเป็นความสนิทใจที่จะอยากคิดอยากพูดอยากทำ อยากประพฤติตัวไปตามความเป็นภายในใจที่มันผลักดันออกมาทุกเวล่ำเวลานั่นแล
เพราะฉะนั้นการที่กล่าวถึงเรื่องธรรมความจริง มีมรรคมีผลเป็นต้น จึงขัดข้องต่อกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกของธรรมอยู่เสมอมาและจะเสมอไป ยิ่งนับวันจะแน่นหนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เอาจนกระทั่งถึงสัตว์โลกมืดบอด เรียกว่ามืดมิดปิดทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่อยากสนใจและไม่สนใจในอรรถในธรรมทั้งหลายเป็นลำดับ จนถึงกับเป็นความมืดบอดไม่สนใจในธรรมทั้งหลายเลย เพราะอำนาจฝ่ายต่ำนี้สูงขึ้นโดยลำดับ มีแต่คำว่าฝ่ายต่ำกันเฉย ๆ แต่มันสูงขึ้นด้วยความจอมปลอมของมัน ให้สัตว์โลกทั้งหลายได้ลุ่มหลงเป็นลำดับลำดา
นี่เราทั้งหลายได้มาบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นที่ตายใจได้แล้ว เป็นที่ฝากเป็นฝากตายได้แล้ว ในบรรดาศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่ประทานไว้แล้วนี้ ไม่มีคำว่าผิดว่าพลาดอันเป็นเรื่องหลอกลวงเหมือนกิเลสทั้งหลายที่เคยทำคนให้เสียมามากต่อมากแล้ว มีแต่ความจริงเต็มสัดเต็มส่วน ดังที่เคยแสดงเสมอว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว หรือตรัสไว้ชอบแล้ว นั้นคือชอบเสมอต้นเสมอปลายตลอดไป ที่เรียกว่ามัชฌิมา มีความเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ที่จะทรงมรรคทรงผลต่อผู้ประพฤติปฏิบัติได้มากน้อย
นี่เราทั้งหลายได้มาบวชด้วย ได้มาประพฤติปฏิบัติตนด้วย ก็ยิ่งเป็นบุญลาภของเราที่จะได้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตน ไม่ถูกหลอกลวงจากกิเลสอยู่เรื่อยไป ดังโลกทั้งหลายที่เขาไม่สนใจในอรรถในธรรม นี่เราเป็นผู้ปฏิบัติ มาบวชเราก็ตั้งใจบวช บวชแล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติรักษาศีลรักษาธรรม บำเพ็ญตนให้เป็นไปเพื่อความสงบร่มเย็นภายในจิตใจของตน นี่เรียกว่าเรามีวาสนามากเต็มหัวใจของเราแล้ว อย่าได้ประมาทนอนใจ เห็นสิ่งใดว่าเลิศเลอยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรมที่ประทานไว้แล้วนี้ ไม่มีแล้วในโลกทั้งสามนี้ที่จะให้เสมอธรรมของพระพุทธเจ้า
การกล่าวทั้งนี้ ต้องหมายถึงความสัมผัสสัมพันธ์ธรรมด้วยภาคปฏิบัติของเราด้วย ถ้าเพียงแต่ได้ยินได้ฟังเฉย ๆ ว่าธรรมเลิศธรรมประเสริฐ เพียงเท่านั้นก็เป็นความผิวเผิน อาจเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ เพราะคำว่าเลิศๆ นี้มีอยู่ทั่วไปแล้ว จึงไม่ทำเราให้สะดุดใจถ้าไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมทั้งหลายด้วยการปฏิบัติของเรา เริ่มตั้งแต่ความสงบเย็นใจขึ้นมา ที่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ นี่เริ่มสัมผัสสัมพันธ์รสแห่งธรรมแล้ว และจะรู้สึกมีความตื่นเต้นภายในจิตใจในครั้งแรกที่ปรากฏขึ้นกับมโนทวารของตนด้วยการปฏิบัติด้วยดี
เมื่อได้รับการอบรม การประพฤติปฏิบัติ การรักษาเข้มงวดกวดขันอยู่โดยสม่ำเสมอในอิริยาบถต่างๆ ถือเป็นเนื้อเป็นหนังในการที่จะบำรุงรักษาจิตใจของตน ให้เป็นไปเพื่อความสงบร่มเย็นอยู่แล้ว ผลคือความสงบเย็นใจนั้นจะก้าวเข้าสู่ความละเอียดเข้าไปโดยลำดับลำดา ผลอันนี้แลที่จะปรากฏขึ้นภายในใจ ถึงกับพูดออกมาได้เต็มปากเพราะรู้อย่างเต็มใจว่าธรรมะนั้นเลิศ เพียงขั้นนี้ก็เลิศแล้ว
เพราะโลกไม่มี โลกไม่เห็น โลกไม่รู้ โลกไม่ได้เป็น เพราะโลกไม่ได้ปฏิบัติ โลกทั่ว ๆ ไปไม่ได้ปฏิบัติกัน จึงไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมเหล่านี้ แม้จะพูดว่าศาสนาวิเศษวิโสหรือเลิศเลอขนาดใดก็ตาม ก็สักแต่ว่าคำพูด สักแต่ว่าการได้ยินได้ฟังเพียงเท่านั้น ไม่สะดุดเข้าถึงใจเลย แต่ผู้ปฏิบัติทั้งได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นมาจากการบำเพ็ญของตนอยู่แล้ว ย่อมมีความดูดดื่มในคำว่าเลิศว่าเลอ เพราะความเลิศความเลอตามขั้นภูมิแห่งธรรมซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของตนนั้น ปรากฏประจักษ์อยู่แล้วภายในตน
เมื่อเราบำเพ็ญให้หนักมากเข้าเพียงไร ความสงบของจิตนี้จะเปลี่ยนตัวให้ละเอียดลงไปโดยลำดับลำดา ความสงบมีมากเท่าไร ความเด่นความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ของจิตในขั้นนี้ ๆ ในวงแห่งสมาธิยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้นมา นี่ก็ออกมาจากศาสนา และเป็นความเลิศอันหนึ่ง เป็นธรรมเลิศประเภทหนึ่งที่ผู้นั้นได้สัมผัสสัมพันธ์เอง และเชื่อว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ทรงความสงบแก่ใจของผู้ปฏิบัติ ศาสนาเป็นธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสมาธิคือความแน่นหนามั่นคงของใจ ไม่วอกแวกคลอนแคลนไปตามสิ่งยั่วยวนทั้งหลาย เชื่ออย่างถึงใจตามขั้นแห่งธรรมของตน
จากนั้นท่านว่าปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเรารักษาอยู่แล้วตั้งแต่วันอุปสมบทมา สมาธิเราก็เร่งบำเพ็ญโดยลำดับ จนปรากฏเป็นผลขึ้นมากับใจของเราประจักษ์แล้ว ปัญญาตามที่ท่านแนะ เมื่อจิตมีความสงบเย็นใจในขั้นใดภูมิใดที่ควรแก่การพิจารณาทางด้านปัญญาได้แล้ว ให้พึงเริ่มคลี่คลายขยายความรู้สึกของตนออกในแง่ต่าง ๆ เป็นความคิดความอ่านไตร่ตรอง โดยถือธาตุขันธ์นี้เป็นชัยสมรภูมิ หรือเป็นสถานที่ทำงานพินิจพิจารณาตามสกลกาย
ดังที่ท่านมอบงานให้ในเบื้องต้นที่บวชใหม่ ๆ ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น คลี่คลายดูสภาพเหล่านี้โดยลำดับลำดา ย้อนหน้าย้อนหลัง ถือเป็นงานประจำจิตของตนไม่ปล่อยวางด้วยการพินิจพิจารณา เว้นเสียแต่เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทางกระแสจิตที่คิดในทางด้านปัญญา แล้วก็เข้าสู่สมาธิพักสงบอารมณ์ของใจ เรียกว่างานของใจทางด้านปัญญาพักสงบด้วยสมาธิ พอได้กำลังแล้วถอยออกมาก็พินิจพิจารณาทางด้านปัญญา โดยถือสิ่งเหล่านั้นแล งานอันนี้แลยังไม่สำเร็จ จะทำงานนี้ให้สำเร็จ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เรียนยากปฏิบัติยากสำเร็จได้ยาก เอ้า เราประพฤติปฏิบัติจะให้รู้
เกสารู้ทุกคน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง รู้ทุกคน แต่รู้แบบโลกแบบสงสาร รู้แบบกิเลส รู้แบบยึดแบบถือ แบบอุปาทาน แต่ความรู้อันนี้การเรียนอันนี้ เรียนเพื่อคลี่คลายขยายออก เพื่อถอดถอนอุปาทานจากความรู้แจ้งเห็นจริงไปโดยลำดับของงานเราที่ทำไม่หยุดไม่หย่อน จนปรากฏเป็นความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาว่าผมเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เกิดทั้งที่อยู่ของมันเป็นอย่างนี้ ขนเป็นอย่างนี้ด้วยปัญญา
เมื่อเวลาชัดเข้าไปแล้วจะเป็นธรรมที่ถึงใจ ๆ ผมก็ถึงใจ ขนถึงใจ เล็บถึงใจ ฟันถึงใจ หนังหุ้มห่อรอบสกลกายของเรานี้ถึงใจ เมื่อถึงใจแล้วก็เรียกว่าถึงธรรม เมื่อถึงธรรมแล้วย่อมคลี่คลายตัวออกมาได้และปล่อยวางไปโดยลำดับลำดา พิจารณาอย่างไม่หยุดไม่ถอยจนกระทั่งโลกธาตุที่เต็มอยู่ภายในกายของเรานี้ โลกธาตุคืออะไร ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่สมมุติกันว่าโลก ให้แตกกระจัดกระจายออกด้วยปัญญาของเราไม่มีทางสงสัยแล้ว นี้เรียกว่าเรียนจบงานในขั้นนี้ ในขั้นงาน ๕ ประการ กระจายเข้าไปสู่ภายในซึ่งเป็นวัตถุเช่นเดียวกัน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เรื่อยเข้าไปจนกระทั่งหมดทุกส่วนแห่งอวัยวะ ซึมซาบด้วยอำนาจของปัญญาตลอดทั่วถึง เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งภายนอกของเขาทั้งภายในของเรา ประจักษ์โดยความเป็นอันเดียวกัน
ถ้าพูดถึงเรื่องความอสุภะอสุภัง กองอันนี้ก็เป็นกองอสุภะอสุภังแล้วตั้งแต่วันเกิดมา เอาย่อ ๆ เพียงว่าวันเกิดมา อยู่ในท้องเราไม่ได้พูด แต่วันเกิดมานี้คือกองแห่งความกังวลแล้ว อสุภะอสุภังเต็มเนื้อเต็มตัว เพราะอวัยวะของแม่เป็นอย่างไร ก็เป็นของปฏิกูล ตัวของเราเองที่อยู่ข้างในก็เป็นของปฏิกูล ท่านเรียกว่าอสุภะ เวลาตกคลอดออกมาก็เป็นธรรมชาติอันนี้ ต้องบำรุงบำเรอด้วยอาหารการบริโภคประเภทต่าง ๆ มีนมเนยเป็นต้น จนเจริญขึ้นมาเป็นผู้เป็นคน ก็ทรงกองอสุภะอสุภังนี้ไว้ด้วยอำนาจแห่งความสืบต่อของชีวิตที่ได้มาจากอาหารการบริโภคต่าง ๆ นี่เป็นผลของวัฏจักรที่พาให้เกิดมาเป็นรูปเป็นกายเป็นหญิงเป็นชาย
พินิจพิจารณาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแยกออกให้เห็นประจักษ์ เมื่อประจักษ์แล้วจิตจะถอนตัวออกมาจากสิ่งเหล่านี้ เพราะคำว่าอุปาทานนี้ยึดหมดในบรรดาสกลกายเนื้อหนังมังสังอะไร เหมือนกับเม็ดหินเม็ดทรายแทรกอยู่ภายในร่างกาย ล้วนแล้วแต่ตัวอุปาทาน เพราะยึดทั้งหมดในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเราเป็นของเราเสียทั้งนั้น เมื่อพิจารณาออกตามความเป็นจริงด้วยปัญญาแล้ว จิตย่อมถอนตัวออกมาๆ นี่เรียกว่าทำงานด้วยปัญญาให้เห็นชัดเจนอย่างนี้
ทำไม่หยุดจนกระทั่งงานนี้สำเร็จ ไม่สำเร็จแล้วเป็นไม่หยุด เพียงหยุดพักชั่วขณะก็เข้าสู่ความสงบได้แก่สมาธิ นี่เรียกว่าพักงาน คือการทำงานด้วยทางปัญญา พอได้กำลังแล้วถอยออกไปก็ทำงานอย่างนี้ จนกระทั่งงานนี้สำเร็จ มีสำเร็จได้ในอาการที่กล่าวมาเหล่านี้ ในสกลกายของเรานี้ ถือเอารูปกายนี้เป็นสำคัญเป็นงานในเบื้องต้น พินิจพิจารณาตั้งแต่ภายนอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เข้าไปจนกระทั่งตลอดทั่วถึง ไม่มีอันใดที่จะสงสัยอีกแล้วเพราะรู้แจ้งด้วยปัญญานี่ถอนตัวออกมา
ทีนี้พวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นขันธ์ประเภทหนึ่ง ๆ อันเป็นนามธรรม ซึ่งเป็นความละเอียดกว่ากัน ก็จะพิจารณาได้อย่างชัดเจนเหมือนกับเราพิจารณาทางร่างกาย และรวดเร็วกว่านี้อีก เพราะงานนั้นเป็นงานละเอียด ก็พิจารณาไปในทาง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ส่วนร่างกายนี้พิจารณาทางอสุภะอสุภังแล้วเกี่ยวโยงไปถึง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เหมือนกัน จนกระทั่งรู้รอบขอบชิดแล้วจิตก็ถอยตัวออกมา แล้วพิจารณาในเรื่องขันธ์ทั้งสี่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในร่างกายนี่แล
ส่วนร่างกายที่เราเคยพิจารณาจนเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นกิจเป็นการทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนอยู่แล้ว ย่อมปล่อยวางกันไป งานนี้ปล่อยเพราะจิตรู้แล้ว จิตเข้าใจแล้ว จิตปล่อยแล้วงานนี้ จะเรียกว่างานนี้สำเร็จก็ไม่ผิด หากรู้ประจักษ์หัวใจของผู้ปฏิบัตินั้นแล ผู้ไม่ปฏิบัติไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ แต่ผู้ปฏิบัติด้วยรู้ด้วยเห็นด้วยแล้วเข้าใจ ทั้งความดูดดื่มแห่งการพิจารณาสิ่งเหล่านี้โดยทางอสุภะ ทั้งความดูดดื่มที่จะให้รู้แจ้งเห็นจริงสิ่งเหล่านี้ชัดเจนเข้าไป ก้าวเข้าสู่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เช่นเดียวกัน
เมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นที่ยอมรับแล้วภายในจิตใจของเราหาที่สงสัยไม่ได้แล้ว จิตย่อมถอน แม้จะบังคับให้พิจารณาอีกก็ไม่ยอมพิจารณา นี้เรียกว่าอิ่มแล้ว ทางภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ อิ่มภายในตัว พอภายในจิตนั้นเอง แล้วทีนี้ดูดดื่มเรื่องอะไร เวทนาก็เกิดขึ้นจากกายด้วย เกิดขึ้นจากใจด้วย สัญญา สังขาร วิญญาณก็เกิดขึ้นจากใจ ย่อมเป็นสิ่งที่จะแปรสภาพ เป็นสิ่งที่ปลุกประสาท คือหัวใจเราผู้ตั้งสติสตังอยู่ด้วยดีนั่นแล ให้ทราบให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พินิจพิจารณาถึงเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สิ่งเหล่านี้ออกมาจากใจ ๆ วิ่งทวนกระแสกัน วิ่งย้อนหน้าย้อนหลัง ทั้งอาการเหล่านี้ทั้งเข้าไปสู่จิตใจ จนกระทั่งรู้ชัดอีกเช่นเดียวกัน เมื่อรู้ชัดสิ่งเหล่านี้แล้วก็ย่อมจะไหลเข้าสู่จิตดวงเดียวเท่านั้น
เพราะอาการเหล่านี้มาจากใจ ตีตะล่อมเข้าไปไม่ไปไหนต้องเข้าสู่ใจ เพราะออกจากใจไม่ออกจากที่อื่น จนกระทั่งพิจารณาเห็นแจ้งชัดเจนแล้วก็ปล่อยเช่นเดียวกัน ไม่ได้ผิดกันเลยกับส่วนร่างกาย นี่ทางภาคปฏิบัติเป็นความจริงอย่างนี้ สำหรับผู้ปฏิบัติสำหรับผู้รู้จะต้องรู้อย่างนี้ไม่รู้อย่างอื่น เมื่อรวมตัวเข้าไป ๆ ก็เหมือนเราตีตะล่อมบริษัทบริวารของอวิชชาคือ กษัตริย์วัฏจิตวัฏจักรซึ่งอยู่ในหัวใจนั้น เข้าไปหากษัตริย์อันใหญ่คือ จิตอวิชชา
สิ่งเหล่านี้เมื่อรู้แล้วย่อมปล่อยวาง ๆ เราไม่ต้องพูดถึงรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส จิตเมื่อปล่อยสิ่งเหล่านี้ย่อมปล่อยสิ่งเหล่านั้นด้วยกัน ไม่มีปัญหาอะไร จิตก็ซึมซาบเข้าไป ๆ ด้วยความรู้จักในตนเองนั้นแล ไม่มีใครบังคับได้ การพิจารณาในธรรมขั้นเหล่านี้ต้องเป็นความดูดดื่ม เป็นความพออกพอใจ การซึมซาบของสติปัญญา หากเป็นไปเอง ๆ ตลอดเข้าถึงดวงใจ นี่การพิจารณาตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ปฏิบัติเป็นอย่างนี้
เมื่อสิ่งเหล่านี้ก็สักแต่ว่าเกิดว่าดับ เกิดดับๆ อยู่เพียงเท่านั้น จะถือเอาอะไรก็ถือไม่ได้ทำไมจะไม่เข้าใจ เมื่อถือเอาไม่ได้แล้วจะถือทำไม เมื่อเข้าใจแล้วก็จะไปติดอะไร สิ่งที่ดูดดื่มคืออะไร มันก็ดูดไปเอง เชื้อไฟ เรียกว่าเชื้อไฟมีอยู่ตรงไหน ไฟคือตปธรรมได้แก่สติปัญญาจะซึมซาบตามเชื้อเข้าไปๆ เข้าสู่ใจ นั่นแหละเชื้อไฟเข้าสู่ใจ คืออะไร
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั้นละเชื้อไฟที่ละเอียดสุด จอมกษัตริย์วัฏจิตวัฏจักรที่แสดงออกมาเป็นบริษัทบริวารกว้างขวางไม่มีประมาณ ตลอดถึงครอบโลกดินแดน ก็ออกมาจากธรรมชาติอันเดียวนั้น พอตีตะล่อมเข้าไปๆ เข้าไปถึงจุดนั้น เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว พิจารณาทางด้านปัญญา อันนี้เป็นความละเอียดอ่อนมากสำหรับผู้ปฏิบัติจะพึงเข้าใจเองในตน ดังที่ว่าซึมซาบนั่นแล นั่นละสติปัญญาซึมซาบเข้าไปๆ พอได้ที่แล้วก็ทำลายกัน เมื่อทำลายกันแล้ว อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เป็นต้น ก็ดับพร้อมกันไปเลยไม่มีสิ่งใดเหลือ
นี้คืองานของเราสำเร็จแล้ว สำเร็จอย่างนี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เรียกว่ารูป จากนั้นก็ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเกี่ยวโยงกันอยู่ มันหากประสานกันมาตั้งแต่การพิจารณาร่างกายโน้นแล เราอย่าเข้าใจว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ไม่ได้ถูกการพิจารณาเลย พิจารณาด้วยกันกับส่วนร่างกายนี่แล แต่ถือเอาร่างกายนี้หนักเป็นฐานสำคัญของการพิจารณามากกว่าอาการเหล่านั้น จนกว่าว่าธรรมชาติอันนี้ได้พอตัวแล้ว ทีนี้จึงทุ่มสติปัญญาลงไปสู่นามธรรมซึ่งเป็นส่วนละเอียด
ไล่ตะล่อมเข้าไปจนกระทั่งถึงจิต การไล่ตะล่อมเข้าไปก็ด้วยอำนาจแห่งปัญญาที่พอเหมาะพอดีกันนั่นแล ท่านจึงเรียกว่ามัชฌิมา ๆ พอเหมาะพอดีกับการปราบปรามกิเลส ส่วนหยาบคือร่างกายของเรานี้ สติปัญญาก็หยาบผาดโผนโจนทะยานมาก พอเข้าไปถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หากเป็นไปเองในผู้ปฏิบัติ ผู้ไม่ปฏิบัติไม่รู้ ผู้ขึ้นเวทีนั้นแลจะเป็นผู้จัดเจนในเรื่องการตบการต่อย
นี่ก็เหมือนกัน ขึ้นเวทีต่อกรกับกิเลสแล้วก็รู้เรื่องเอง ควรจะเป็นสติปัญญาขั้นใดภูมิใด หากพอเหมาะพอสมกัน จะทำรุนแรงไม่ได้ หากเป็นเครื่องบังคับอยู่ในตัวนั่นแลให้พอเหมาะพอดี จนกระทั่งถึงทะลุไปหมด นี่เรียกว่างานสำเร็จแล้ว งานที่พระพุทธเจ้าประทานให้นั้นได้สำเร็จแล้ว งานสำเร็จแล้วเป็นอย่างไรที่นี่
จิตของเราเมื่อได้ชำระสะสางหรือได้สังหารสิ่งที่เป็นข้าศึก ตั้งแต่ส่วนหยาบเข้าไปจนกระทั่งถึงส่วนละเอียดสุด ได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ได้ล้มระนาวไปหมดแล้ว เป็นยังไงจิตดวงนี้ทายได้ไหม ใครจะทายได้ไหม ทายได้พูดได้ไม่สงสัยแต่ผู้ที่เป็นเท่านั้น ผู้ไม่เป็นทั่วแดนโลกธาตุมาด้นมาเดาก็เกาหมัดไปอย่างนั้น เพราะกิเลสพาคาดพาเดาเกาหมัด ผู้ที่เป็นเสียเองอย่างพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ท่าน ท่านสงสัยอะไร
เพราะฉะนั้นคำที่ว่าวิมุตติหรือหลุดพ้นในหัวใจของเราดวงเดียวเท่านั้น กระเทือนไปหมดบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตลอดพระอรหันต์ทุกๆ องค์ไม่มีอะไรสงสัย กระเทือนครอบไปหมดเลย เพราะธรรมชาตินี้เป็นสักขีพยานได้ ถ้าว่าหมื่นเปอร์เซ็นต์ก็หมื่นเปอร์เซ็นต์ ไม่สงสัยในตัวเองแล้วจะสงสัยพระพุทธเจ้าหาอะไร สงสัยพระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายได้อย่างไร
ใครเป็นคนสอนไว้ธรรมเหล่านี้ เราก็ดำเนินตามหลักแห่งสวากขาตธรรมมาเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งเปิดโลกธาตุออกภายในจิตใจของเราแล้ว เปิดเพราะเหตุผลกลไกอะไร เปิดเพราะธรรมของพระพุทธเจ้า เปิดเพราะสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วๆ สอนไว้แล้ว เพราะทรงรู้แล้วเห็นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เราทั้งหลายได้ก้าวไปตามนั้น สัมผัสสัมพันธ์ธรรมประเภทต่างๆ ไปโดยลำดับ ทั้งฝ่ายกิเลสทั้งฝ่ายธรรม สัมผัสสัมพันธ์ ตีต้อนกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น
หมดข้าศึกทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือแล้วภายในใจดวงนั้น เป็นอย่างไร จะถามหาใคร จะถามกับใคร นั่นท่านเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ธรรมอันเอกได้ปรากฏขึ้นแล้วภายในใจ ไม่ต้องไปถามใครทั้งนั้น พูดก็สาธุว่างั้นเลย พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้าเรานี่ก็ตาม จะทูลถามพระองค์หาอะไร ธรรมชาติอันเดียวกันประจักษ์อยู่ในนี้แล้ว ยอมรับเต็มที่แล้วในธรรมชาติอันนี้ ทำไมจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายเล่า เพราะท่านเป็นสรณะของเรามาตั้งแต่เราก้าวเข้ามาบวช มาประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งบัดนี้ ท่านเป็นมาก่อนหรือหลังล่ะ ฟังว่าเป็นสรณะของพวกเรามาแล้ว นี่การปฏิบัติ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะเหมือนตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน สดๆ ร้อนๆ อยู่ตลอดเวลา อกาลิโก ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่าหลงกลมายาของกิเลสซึ่งเวลานี้กำลังมากมายก่ายกอง มีแต่การสั่งสมธรรมชาตินี้ทั้งนั้น ไม่ว่าท่านว่าเราไม่ตำหนิใคร พูดตามความจริงเป็นอย่างนั้น สิ่งใดที่ผลิตขึ้นมา ๆ เป็นเครื่องเสริมให้กิเลสมีกำลังมากขึ้นๆ ทั้งนั้น เพราะไม่มีเวลาที่จะทราบจะเห็นแง่งอนของมันเลย มีแต่ผลิตขึ้นมาจากมันทั้งนั้น ผลิตขึ้นมาแล้วก็หลงไปเรื่อย ๆ เลยมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้
ในโลกนี้ถ้าพูดถึงเรื่องวัตถุเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอยู่เครื่องกินทั้งหลายของโลกนี้ ไม่อดไม่อยากไม่อัดไม่อั้น แต่ทำไมโลกจึงไม่มีความอิ่มพอ หิวโหยดิ้นรนกระวนกระวายกันทั่วโลกดินแดน เป็นเพราะอะไร ก็เป็นเพราะตัณหาตัวนี้เอง ไม่ใช่เป็นเพราะทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีในโลก มีอยู่โดยสมบูรณ์ แต่ตัวนี้มันไม่ยอมรับคำว่ามี มันยอมรับแต่ความอยากความหิวโหยความทะเยอทะยาน จะเอาให้ล้นโลกๆ จึงตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีรายใดที่จะสมหวังเพราะอำนาจแห่งกิเลสพาฉุดพาลากไปนี้เลย ขอให้ทุกๆ องค์พากันตั้งอกตั้งใจพินิจพิจารณาธรรมข้อนี้ให้มาก
กิเลสไม่เคยทำใครให้ได้มีความสมหวัง มีแต่พาให้ดิ้นให้ดีด จนกระทั่งไม่รู้จักเป็นจักตายกันละ ไม่รู้จักคำว่าศีลว่าธรรมเป็นยังไง พูดถึงเรื่องศีลเรื่องธรรมนี่หัวเราะเยาะเย้ยกัน เพราะกิเลสมีอำนาจมากมีกำลังมากเป็นเสียงเดียวกัน หัวใจใดก็มีอย่างเดียวกัน กิริยาใดที่แสดงออกมาก็เข้ากันได้ๆ ขึ้นชื่อว่าเรื่องของกิเลสแล้วเข้ากันได้ๆ แต่กับอรรถกับธรรมนี้ปัดปุ๊บๆ เห็นว่าเป็นข้าศึก ประหนึ่งว่าข้าวนอกนาปลานอกสุ่มไปเสียแล้ว เรื่องอรรถเรื่องธรรมซึ่งเป็นธรรมอันเลิศเลอของจอมปราชญ์ทั้งหลาย เพราะกิเลสมันพอกพูนหัวใจ มีมากเท่าไรยิ่งทำให้ลุ่มให้หลง ให้มืดมิดปิดตาทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดขึ้นชื่อว่าจิตที่กิเลสได้ครอบครองแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เรานี้รู้จักเดียงสาภาวะมาก ว่าตนฉลาดมาก ไม่ได้พูดถึงว่ากิเลสหลอกให้โง่มาก ไม่ได้คิดตอนนี้ซิ ถ้าได้คิดตอนนี้บ้างแล้วเราก็พอจะมีทางฟัดเหวี่ยงกันบ้าง มีการเหยียบเบรกห้ามล้อยับยั้งตนเองได้
อย่างเวลานี้โลกเป็นยังไง เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเรานี้ เย็นหรือร้อนเวลานี้เป็นยังไง มีแต่คนโง่เมื่อไร มีแต่คนฉลาดๆ ทั้งนั้น แล้วคนฉลาดมากัดกันหาอะไร มาทะเลาะเบาะแว้งกันทำไม เมื่อต่างคนต่างฉลาดมีเหตุมีผลเป็นเครื่องรับรองแล้ว ยอมรับกันทางเหตุทางผลซึ่งเรียกว่าอรรถธรรมแล้ว จะมีเรื่องมีราวอะไร ไม่ว่าเขาว่าเรา ไม่ว่าครอบครัวเหย้าเรือน ไม่ว่าส่วนใหญ่ส่วนย่อย ตลอดถึงวงราชการงานของแผ่นดิน จะมีเรื่องมีราวกันอะไร ถ้าเอาอรรถเอาธรรมเข้าไปพิจารณาแยกแยะ ยอมรับกันตามความจริงนั้นแล้ว จะมีเรื่องมีราวอะไร
เมื่อยอมรับตามกิเลส ผู้นี้ก็จะเอาอย่างนี้ ผู้นั้นก็จะเอาอย่างนั้น ผิดถูกไม่คำนึง ขอให้ได้อย่างใจเราๆ เราเท่ากับใช้อำนาจครอบโลก ไม่มีใครมีอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารมากยิ่งกว่าเราคนเดียว นี้แลทำโลกให้พินาศฉิบหาย เพราะอำนาจของกิเลส เพราะอำนาจของกิเลสมันเป็นไฟละซี ไม่ได้เหมือนอำนาจของธรรม อำนาจของธรรมเกิดขึ้นมากเท่าไร ต้องทำโลกให้มีความร่มเย็นเป็นสุขสงบทั่วหน้ากัน
ถ้าลงอำนาจของกิเลสขึ้นช่องไหนตัวใดรายใดของบุคคลใดก็ตาม หน้าที่การงานใดก็ตาม วงราชการใดก็ตาม ต้องแหลกเป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กัน สุดท้ายก็เป็นฟืนเป็นไฟได้ เผาไหม้กันได้หมด ไม่ว่าเขาว่าเราเป็นไฟได้ทั้งนั้น กิเลสเป็นอย่างนั้น มันไม่ไว้หน้าใครเลยนะ นี่เราเห็นโทษไหม
ที่พูดเวลานี้เอาความหลอกลวงมาพูด หรือเอาความจริงมาพูด พิจารณาวาดภาพไปตามคำพูดนี้ลองดูซิ มันผิดหรือถูก นี้ละธรรมของพระพุทธเจ้าเอากางออกไปซี มันต้องเห็นความปลอมเห็นความจริง เห็นเปลือกเห็นกระพี้เห็นแก่นเห็นรากแก้วเห็นรากฝอย เห็นกิ่งก้านสาขาไปทุกแง่ทุกมุมถ้าดู นอกจากไม่ดูเท่านั้น เอาหัวชนเข้าๆ หัวแตกก็แตกไปเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยเท่านั้นเอง มันถึงจะไม่ได้เรื่องได้ราว
นี่เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติเอาให้จริงให้จังนะ ผมสงสารหมู่เพื่อน ที่ได้มาแนะนำสั่งสอนนี้ก็ฝืนมาอย่างนั้นแหละ ให้ตั้งใจปฏิบัติ เราอย่าหลงโลกหลงสงสาร เวลานี้ศาสนา เอ้า ดูเอา จะมีแต่เรื่องศาสนาพิธีนะเต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้วเวลานี้ มันมีหรือมีแล้วก็ไม่รู้แหละเอาไปพิจารณาเอง ความจริงของศาสนาแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงพาดำเนินและพาทรงมาแล้วคืออะไร เป็นยังไงทุกวันนี้กับแก่นของศาสนา หลักของศาสนาที่แท้จริงคืออะไร พระพุทธเจ้าพิจารณาและพาดำเนินมาอย่างไรพิจารณาซิ
หลักใหญ่ก็คือพัฒนาจิตใจเป็นของสำคัญ ทรงเจริญธรรมทั้งหลายเข้าสู่พระทัยของพระพุทธเจ้าจนได้ตรัสรู้ขึ้นมา นั้นละรากเหง้าของศาสนา รู้ก็รู้ที่ตรงรากเหง้านั่นละไม่รู้ที่ไหน พิจารณาธรรมทั้งหลายชัดเจนขึ้นในที่นั่น ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งพัฒนาจิต แล้วก็พูดกันถึงเรื่องภาวนา อบรม ภาวนาแปลว่าการอบรมจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นด้วยอรรถด้วยธรรม ท่านสอนไว้อย่างนี้ และประทานพระโอวาทแก่พระสาวก ก็เอาแบบฉบับเดียวกันนี้แลประทานพระโอวาทแก่พระสาวกทั้งหลาย
ท่านสอนด้วยการอบรม ตั้งอริยสัจกึ๊กลงไปทันทีเลย ไม่ได้ไปไหน อริยสัจเห็นไหมในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่เป็นปฐมโอวาทของพระพุทธเจ้า ทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นี้เป็นปฐมโอวาทแหละ ท่านแสดงว่ายังไงพิจารณาซิ ท่านบอกไหมว่าให้หายุ่งเหยิงวุ่นวายกับด้านวัตถุ โดยไม่ต้องสนใจกับอรรถกับธรรมกับการอบรมจิตใจนี้เลยแหละ มีไหม ไม่มี ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เกิดที่ตรงไหน มีอะไรเป็นสาเหตุ ก็คือสมุทัยได้แก่กิเลส กิเลสคืออะไร ส่วนใหญ่ท่านก็แสดงไว้ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี่คือต้นเหตุ
ที่ว่าต้นเหตุมันอยู่ที่ไหนเวลานี้ ตัวต้นเหตุที่ว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี้อยู่ตรงไหนและจะพ้นจากใจไปได้ยังไง ก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ให้พึงกำหนดรู้ คำว่าพึงกำหนดรู้ ให้รู้สึกตัวว่าเวลานี้ทุกข์เกิดขึ้นแล้ว นั่นความหมายว่าอย่างนั้น กระตุกตัวเองให้พึงรู้ แล้วเกิดขึ้นจากเรื่องอะไร นี่ก็ย้อนไปหา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา หรือว่า นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี ด้วยอำนาจแห่งความเพลิดเพลินรื่นเริงคืออะไร ด้วยอำนาจ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา แล้วอยู่ที่ไหนอันนี้ ก็อยู่ที่ใจ ท่านว่าสมุทัยพึงละ ละด้วยอะไรสมุทัย ถ้าไม่ละด้วยมรรคจะเอาอะไรมาละ นั่นเห็นไหมอริยสัจ ๔ ทำงานเกี่ยวโยงกันในขณะเดียวกัน กระเทือนไปหมดเลย
ส่วนที่ท่านจดจารึกเอาไว้ ทุกข์พึงกำหนดรู้ สมุทัยพึงละ นิโรธพึงทำให้แจ้ง มรรคพึงเจริญให้มาก นั้นท่านเรียงลำดับเพื่อให้อ่านไปเฉยๆ ตามหลักความจริงในหลักธรรมชาติของการปฏิบัติแล้ว กระเทือนกันในเวลานั้นพร้อมกันไปหมดเลย การละสมุทัยไม่ละด้วยมรรคจะละด้วยอะไร มรรคคืออะไร สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เป็นต้น เอาสติปัญญาจับเข้าไปซิ มันเกิดขึ้นจากเหตุผลกลไกอะไรเรื่องสมุทัย ก็พยายามแก้ไขดัดแปลงหรือว่าจะสังหารมันด้วยวิธีใด นั่นท่านสอนอย่างนั้น
นี่คือการอบรมจิตใจ นี้คือหลักศาสนา นี้คือแก่นของศาสนาแท้ ลงในอริยสัจ สติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ นี้ไม่เป็นที่อื่น นี้ละองค์ศาสดาตรัสรู้ธรรม ก็คือตรัสรู้อริยสัจ ๔ นี้เอง สติปัฏฐาน ๔ นี้เอง ไม่ได้ตรัสรู้ที่ไหน เลิศขึ้นมาจากอริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ นี้แล นี่รากแก้วของศาสนาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่กับอิฐปูนหินทราย หรือความยุ่งเหยิงวุ่นวายกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ การบ้านการเมือง มีแต่สิ่งเหล่านี้มาพอกพูนไปหมด เวลานี้ศาสนาไม่ปรากฏ แทบจะไม่ปรากฏหรือไม่ปรากฏก็ไม่เห็นผิดนี่ เพราะมันมากต่อมากแล้ว สิ่งที่ดีก็เลยไม่ปรากฏ มีแต่สิ่งอย่างว่านี่ทับถมและทำลายไปเสียหมด
ศาสนาเลยมีแต่พิธีนะเวลานี้ ถ้าได้ปลูกกุฏิ ศาลาโรงธรรม ก่อสร้างวุ่นวายกับญาติกับโยมเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วเป็นศาสนา วัดวาอาวาสสวยงามนั้นคือศาสนาเจริญ ๆ ๆ เจริญด้วยอิฐด้วยปูนด้วยหินด้วยทรายไปอย่างนั้น ที่ไหนก็เจริญ ไปดูซิบ้านเมืองไหนมีกี่ชั้น บ้านเขาเมืองเขาสำเร็จมาจากอะไร ก็สำเร็จมาจากอันนี้ทั้งนั้น ถ้าเป็นศาสนาก็เป็นมาพอแล้ว เป็นมาก่อนเรานี่ด้วยซ้ำไป อันนั้นไม่เรียกว่าศาสนา ศาสนะคือคำสั่งสอน สอนลงที่ไหน ก็สอนลงที่จุดนี้ ศาสนาจะเลิศขึ้นมาให้ปรากฏเด่นในโลกก็คือ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ขึ้นนี้เลย อริยสัจ ๔ นี่ท่านสอนลงที่นี้ ให้พากันพินิจพิจารณาให้ดีนะ
ผมพูดนี้ผมพูดตามหลักความจริง ไม่ได้หาแปลกปลอมมาจากที่ไหน หลักความจริงเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาอย่างนี้และสั่งสอนสาวก ปฐมสาวกคือใคร ก็เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เป็นปฐมสาวก ปฐมเทศนาคืออะไร ก็ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ไม่แสดงอริยสัจ ๔ จะแสดงอะไรพิจารณาซิ นี่ละรากฐานของศาสนาแท้ขึ้นที่ตรงนี้ แล้วนำอันนี้เข้ามา เข้ามาดูตัวของเรานี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีไหมในตัวของเราเวลานี้ ทุกฺขํ มีหรือไม่มี ทั้งทางกายและทางจิตใจ สมุทัยก็ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มีหรือไม่มีอยู่ในหัวใจนี้ สติปัญญาผลิตขึ้นมา พินิจพิจารณาขึ้นมา ค้นขึ้นมาให้มีซี ธรรมเหล่านี้มีอยู่ที่ใจด้วยกัน
พินิจพิจารณาสาเหตุมันคืออะไร กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นั่นละเรื่องพิจารณาดังที่อธิบายแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น นี่วิธีการพิจารณา นี่วิธีการดับตัณหา ดับราคะตัณหาดับตรงนี้พิจารณาอย่างนี้ นี่เรียกว่ามรรค สติปัญญาพินิจพิจารณาสิ่งเหล่านี้ นั่นละเรียกว่าพิจารณามรรค แล้วทีนี้ความสงบของใจ สงบไปมากน้อยนิโรธก็แสดงตัวขึ้นมาเรื่อย ดับทุกข์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมรรคทั้ง ๔ นี้สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้วประจักษ์ใจ สมุทัยถอนแล้วด้วยสติปัญญาเต็มภูมิ นิโรธดับทุกข์ทั้งหลายแล้วเพราะอำนาจแห่งมรรคมีกำลังเต็มที่ นั่นสมบูรณ์เต็มที่แล้ว นี่อริยสัจ แล้วจิตที่บริสุทธิ์-บริสุทธิ์จากอะไร ถ้าไม่ใช่ธรรมทั้งสี่นี้เป็นหินลับให้คมกล้าแล้วจะผ่านพ้นไปไม่ได้ นั่นลงที่ตรงนี้ นี่ละศาสนาลงที่ตรงนี้
พระเราอย่ายุ่งกับสิ่งใด ๆ ถ้าอยากทรงมรรคทรงผล สมกับที่พระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทไว้ด้วยความเมตตา งานก็เป็นงานสำคัญ งานนี้ไม่ผิดพลาด งานชิ้นเอก ทำเสร็จแล้วเอกงานที่ว่านี้ สถานที่บำเพ็ญก็ทรงแสดงไว้แล้ว รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ นั่นฟังซิ รุกขมูลก็ร่มไม้นั่นเอง โคนต้นไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง ไปที่ไหนที่สะดวกสบายในการทำงานอันนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความมีเกียรติอย่างยิ่งโดยหลักธรรมชาติ ไม่ใช่เกียรติด้วยความเสกสรรปั้นยอ มีเกียรติอยู่ในตัวของเรา พอในตัวของเราเอง ไม่ต้องไปหาอะไรมาเพิ่มมาเติมให้มากยิ่งกว่านี้ไปอีกแล้ว นี่เรียกว่าเมืองพอ ถ้าลงอริยสัจ ๔ เต็มตัวเต็มหัวใจแล้วพอ รู้อริยสัจ ๔ เต็มหัวใจ ความบริสุทธิ์เต็มที่ก็ผึงขึ้นมาเลย สนฺทิฏฺฐิโก ธรรมอันเอกขึ้นอยู่ที่ใจนี้ไม่เป็นที่อื่นที่ใดแหละ
ผมเป็นห่วงจริงๆ กับหมู่เพื่อน ทำงานไม่ได้เท่าไรยิ่งเป็นห่วงมากเข้าโดยลำดับลำดา แล้วดูพระดูเณรของเราในวัดของเรานี้แหละ มันก็เก้งๆ ก้างๆ ที่สำคัญให้หนักใจทุกวันนี้ เราอยากจะพูดเต็มหัวใจ ไม่ได้หาเรื่องอุตริปลอมแปลงอะไรมาพูดกับหมู่กับเพื่อน เพราะเรารับหมู่เพื่อนและสอนหมู่เพื่อนด้วยเจตนาแห่งความเมตตาล้วนๆ นั้นน่ะ แล้วหนักใจที่ตรงไหนเวลานี้ ไอ้ความเซ่อ ๆ ซ่า ๆ นี่พิลึกมากนะ เพราะอำนาจของกิเลสนั่นแหละทำให้ลืมตัว ๆ คนเราถึงเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ถ้ามีสติสตังอยู่แล้วไม่ค่อยเซ่อ ๆ ซ่า ๆ อะไรนะ ตั้งท่าต่อสู้ เป็นนักต่อสู้อยู่ตลอดอิริยาบถแล้ว เอ้า สิ่งเหล่านี้จะมาเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ได้อะไรนักหนา ต้องมีวันกระจัดกระจายออกไป ๆ ความแพรวพราวแห่งความเฉลียวฉลาดจะมีขึ้นมาภายในจิตใจ แต่นี้มันไม่ปรากฏและไม่ปรากฏล่ะซี ถึงได้เป็นความหนักใจเอามาก
วิตกถึงเรื่องศาสนาเดี๋ยวนี้ หลักศาสนาที่แท้จริงที่ทรงมรรคทรงผลเป็นต้นเป็นลำจริง ๆ ถ้าจะพูดแบบโลกก็ที่จะเอามาอวดโลก ว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะโลกเขามีคำว่าอวด เอาธรรมอวดโลกจะผิดไปที่ตรงไหน ที่นี่เอาอวดโลกบ้าง นี่ธรรมของจริง เอหิปสฺสิโก ย้อนจิตเข้ามาพิจารณาซิธรรมของจริงอยู่ตรงนี้ ให้ประกาศกังวานขึ้นที่หัวใจนี่ พระพุทธเจ้าจะว่าอวดโลกก็ผิดไปที่ไหน พระองค์ไม่มีเจตนา ประกาศกังวานอยู่ในโลกหรือท้าทายโลกก็ไม่ผิด ตั้งแต่วันตรัสรู้แล้วแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร เรื่อยๆ มีแต่ธรรมอันเอก ๆ ทั้งนั้น ออกมาจากไหน ก็ออกมาจากองค์ศาสดาที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้ว ประหนึ่งว่าประกาศท้าทายความจริงให้โลกทั้งหลายได้เห็น เห็นหรือยังเวลานี้ หรือตาบอดหูหนวกไม่มีวันอิ่มพอเหรอ อยากจะพูดอย่างนั้นนะ
โลกมันไม่อิ่มพอจริง ๆ เพราะอำนาจของกิเลสตัณหามันปิดหูปิดตาจะมีความอิ่มพอที่ไหน นอกจากจะมืดตื้อไปโดยลำดับลำดาเท่านั้น ถ้ายิ่งว่านรกไม่มีสวรรค์ไม่มีด้วยแล้วยิ่งหนักเข้าไป ศาสดาองค์เอกแท้ๆ เป็นผู้รู้ผู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนำมาสอนโลก เพื่อให้โลกได้รู้เหตุรู้ผลรู้ชั่วรู้ดี แล้วพยายามสั่งสมอบรมตนในทางที่ดี และปลีกแวะหรือหลีกเว้นในสิ่งที่ชั่ว มันก็ยังไปลบหมดว่าไม่มี ๆ มีแต่เรื่องขาดทุน ๆ สูญดอก จมไปเลย ๆ ทั้งเป็นอย่างนี้ทำยังไง
เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเรานี้ด้วยนะ ชาวพุทธจะเป็นใครถ้าไม่ใช่พวกเราทั้งหลาย พากันลืมเนื้อลืมตัวไปแล้วเวลานี้ แล้วอะไรจะไม่มีเหลือภายในใจ อรรถธรรมทั้งหลายก็ดี ศาสนาที่แท้จริงก็ดีเลยจะไม่มี มีก็มีแต่สิ่งที่ว่านี่แหละ ที่ไม่เป็นเนื้อเป็นหนังก็เอามาเป็นเนื้อเป็นหนัง อันจอมปลอมเอามาเป็นของจริงนี่ซิ อันของจริงขับออกไปให้เป็นของปลอมของไม่เป็นท่า ของไม่น่าปรารถนาไปเสียแล้วนี่ แล้วจะเอาของจริงมาจากไหน เอาของดิบของดีมาจากไหน เมื่อไม่ได้เดินตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วด้วยสวากขาตธรรม ในวงกรรมฐานเรานี้แหละสำคัญ
ผมก็พยายามแนะนำสั่งสอน เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการก่อการสร้าง นำมาจากคัมภีร์จริง ๆ นี่มาสอนหมู่เพื่อนหาเรื่องอุตริมาจากไหน เอาคัมภีร์มาสอน คัมภีร์คือองค์ศาสดา องค์แทนศาสดานั่นเองมาสอนผิดไปตรงไหน เพราะฉะนั้นจึงสอนด้วยความอาจหาญละซี ถ้าค้าน เอ้า ค้านพระพุทธเจ้าซิ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ในคัมภีร์นั้นองค์แทนศาสดา ถ้าไม่ยอมฟังเสียงกันแล้วก็หมดเท่านั้นเอง หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มายุ่งเจ้าของตลอดเวลา เกานั้นเกานี้เกาที่ไม่คัน มันยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนเสียอีก
หมาขี้เรื้อนเขาเกาในจุดที่คัน เกาถูกที่คัน ไอ้เราหาเกาในจุดที่ไม่คัน ยิ่งร้ายกว่าหมาขี้เรื้อนไปอีก เป็นยังไงเวลานี้ หาเรื่องนั้นมายุ่ง หาเรื่องนี้มายุ่ง ดูหัวใจตัวมันยุ่งซิ ถ้าจะเอาตามหลักศาสดาจริง ๆ ที่คำสอน ท่านสอนจริงๆ แล้ว มันยุ่งอยู่ตรงไหน สมุทัยอยู่ตรงไหนเวลานี้ นั่นละตัวยุ่งอยู่ตรงนั้น ฟาดลงไปตรงนั้นซิ มันจะไม่ได้กินก็ไม่กิน จะไม่ได้นอนก็ไม่นอน เอาฟาดกันลงจนกระทั่งถึงตัวยุ่งนี่สงบลงไป ให้เห็นประจักษ์ต่อหน้าต่อตา จะเป็นยังไงผู้ปฏิบัติ
ผู้ปฏิบัติไม่เห็นใครจะเห็น ผู้ปฏิบัติไม่รู้ใครจะรู้ ผู้ปฏิบัติทรงไม่ได้ใครจะทรง ในแดนพุทธศาสนานี้ก็มีนักบวชผู้ปฏิบัติเรานี้เท่านั้นเป็นเบอร์หนึ่ง บอกได้ไม่ผิด ขอให้ปฏิบัติเถอะ ผู้นี้เองเป็นผู้ที่จะทรงมรรคทรงผลทรงธรรมเหล่านี้ไว้ได้ เพราะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้อย่างแท้จริง
ทั้งงานที่ประทานให้แล้วดังที่กล่าวมาตะกี้นี้ ทั้งสถานที่ที่ทำงาน ทุกวันนี้ก็ยังพอเหมาะสมพอเป็นไปได้อยู่ สถานที่บำเพ็ญก็พอเหมาะพอดี คือในป่าในเขาซึ่งเป็นคู่เคียงของศาสนามาดั้งเดิม ยังมีอยู่พอบำเพ็ญอยู่ ถ้าพวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นนักปฏิบัติไม่สามารถที่จะทรงมรรคทรงผลตามที่ประทานไว้แล้วนี้ จะให้ใครเป็นคนทรง พิจารณาซิ ทิ้งไปให้ใคร ของดิบของดีละทิ้งให้คนอื่น ถ้าของชั่วแล้วกวาดต้อนเข้ามา ๆ อย่างนั้นหรือ นั่นมันโง่แสนสาหัส โง่อย่างชะมัดไม่น่าจะให้อภัยเลย ถ้าผู้มีความคิดเช่นนั้น
เอาละเทศน์เพียงเท่านี้ รู้สึกเหนื่อย
|