การเกิดการตายไม่มีใครรู้ยิ่งกว่านักภาวนา
วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

วันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [เช้า]

การเกิดการตายไม่มีใครรู้ยิ่งกว่านักภาวนา

 

          กมฺมํ สตฺเต วิภชติ  กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นต่าง ๆ กันนะ เป็นอะไรก็แล้วแต่ คือกรรมจำแนก กรรมดีกรรมชั่วสองอย่างนี่จำแนกให้เป็นไปได้ต่าง ๆ ในแง่หนักเบาก็เป็นไปตามนั้นอีกนะ คำว่าชั่ว ชั่วมาก ชั่วน้อย ดีมาก ดีน้อย แยกไปตามส่วน แล้วว่าไงเขาอยากไปเกิดเป็นอะไร (เมื่อกี้เล่าให้ฟังคร่าว ๆ แล้วเขาอยากฟังคำตอบที่แน่นอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ตอบเขาไปว่าเกิดจากกรรมที่เราทำปัจจุบันนี้ ทีนี้เขาไม่ทราบเรื่องความคิดสุดท้ายก่อนตาย เวลากรรมมีไม่มากพอ มีกรรมดีกรรมชั่วมีไม่แรงพอก็เกิดจากความคิดสุดท้ายก่อนจะตาย ว่าถ้าคิดถึงอะไรอยู่ก็จะไปจุติที่นั่น ไปเกิดที่นั่น ขึ้นอยู่กับกรรมนั้นจะให้ผลยังไง)

          อันนั้นมีส่วนเป็นได้อยู่ ปั๊บหนึ่งมันไปเกิดอย่างงั้นก่อนปั๊บเกิดได้ ถ้ากรรมข้างหลังไม่หนักมากนะมันไปได้ ถ้ากรรมส่วนใหญ่มีหนักมากอยากเป็นอะไรก็เป็นไปไม่ได้ ขึ้นแย็บหนึ่งที่พอเป็นไปได้ เป็นได้ มันไม่พอเป็นไปได้ก็เป็นไม่ได้เหมือนกัน มันแล้วแต่กรรมส่วนหนักอยู่ข้างหลังมันดัน เป็นอะไรตั้งแต่หลวงตานี้ อย่างที่จะไปเกิดในที่ศรีลังกาก็เห็นเป็นหลวงตาบัวอยู่นี่ แล้วจะเป็นอะไร ก็กรรมมันไม่อำนวย (ปัญหาอันที่สองนะคะ ถ้าสมมุติว่าเขาเป็นสัตว์แล้วมาเกิดเป็นคน แต่ความคิดมันมักยังเป็นสัตว์อยู่  อย่างงี้ทำให้ชาติต่อไปกลับไปสัตว์อีกไหม หรือว่าเกิดมาเป็นคน) อย่าไปหาชาติต่อไปทางนู้นทางนี้สร้างตัวปัจจุบันให้ดี เข้าใจไหม

          เหมือนเรามีเงิน มีเงินห้าสตางค์แต่เราอยากเป็นเศรษฐีก็เป็นไม่ได้ใช่ไหมละ ขอให้หาเงินให้มาก ๆ แล้วจะเป็นอะไรมันจะเป็นไปตามแก้วสารพัดนึก นี้คือบุญกุศล เรียกว่าแก้วสารพัดนึก เหมือนคนมีสมบัติมาก จะไปซื้ออะไร ๆ ได้ทั้งนั้นจากสมบัติมากนี่นะ คนมีบุญมากท่านก็บอกเป็นแก้วสารพัดนึก เหมือนกันกับคนมีเงินมากก็แก้วสารพัดนึกในโลกอันนี้ ธรรมเป็นแก้วสารพัดได้รอบตัวทั้งโลกนี้โลกหน้า เป็นในปัจจุบันและไปได้ในอนาคต เข้าใจหรือเปล่า ให้ทำบุญให้ดี ๆ จุดรวมอยู่ที่ใจ ไม่อยู่ที่ไหนนะ ความอยากนั้นอยากนี้มันอยากด้วยกันทุกคน แต่มันไม่ได้สมความมุ่งหมายตามความอยาก ถ้าว่ามันสมจริง ๆ มีส่วน จะให้สมจริง ๆ มันก็ไม่ได้ นี่มันก็ขึ้นอยู่กับกรรมอำนวยเหมือนกันใช่ไหมละ

          เวลาปฏิบัติจิตตภาวนามันเห็นชัดจริง ๆ นะ เวลามันเข้าถึงขั้นมันรู้ชัด เจ้าของยังไม่ตายมันรู้แล้วว่าจะไปที่ไหน ๆ รู้ นั่นขนาดนั้นนะ เพราะงั้นจึงว่าให้เล็งลงตรงจิตตภาวนา เร่งลงตรงนี้ มันจะรวมจุดพลังทั้งหลายอยู่นี้หมด ความรู้สิ่งต่าง ๆ ในภพชาติของตัวเองที่จะต่อจากนี้ไปเป็นอะไรมันก็รู้ ๆ ของมันไปเป็นลำดับลำดา พอสิ้นปุ๊บไม่มีอะไรเงื่อนต่อแล้วก็รู้ อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ใครไปบอกท่าน พระพุทธเจ้าก็ไม่มีใครบอก พระอรหันต์ก็ได้แต่รับแนะแนวทางจากพระพุทธเจ้า เวลามาทำแล้วเป็นการกระทำของตัวเอง ผลขึ้นในตัวเอง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอก บอกแต่เหตุที่การบำเพ็ญเท่านั้น เวลาเราบำเพ็ญลงไปแล้วผลเกิดขึ้นมาจากเรา ผลเกิดขึ้นมาจากเรานี้ทำให้รู้ขึ้นมาละทีนี่ นั่น

          เรื่องภาวนามันของเล่นเมื่อไร เวลานี้พี่น้องชาวไทยเราได้ตื่นตัวบ้างหรือเปล่าไม่ทราบ เราประกาศป้าง ๆ มาได้ ๕ ปีแล้ว หรือยังว่าเป็นของเล่นอยู่เหรอ เป็นของจริงตั้งแต่กิเลสที่มันไสลงนรกหลุมนั้นหลุมนี้ นั้นจำเป็นมากเหรอนั่น ที่จะให้ผ่านพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไปคือความดี คืออรรถคือธรรม ฟังให้มันชัดเจนซิ เพราะการสอนนี้สอนด้วยความจริงจัง สอนไม่ได้สอนแบบจืดแบบชืดนะ สอนโลกนะพูดจริง ๆ ไม่ว่าธรรมขั้นใด เราไม่ได้สอนโลกแบบจืด ๆ ชืด ๆ พูดไปลูบไปคลำไปนะ เพราะงั้น ผู้ฟังจึงไม่ควรฟังแบบเลื่อนลอย ๆ ฟังจดจ่อ ฟังจริง ๆ แล้วเอาไปประพฤติปฏิบัติจริง ๆ ผลจะเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้

          นี่เทศน์สอนโลกมานี่เท่าไร ตั้งแต่ออกเทศน์สอนโลกว่างั้นเถอะน่ะ คือแต่ก่อนเราไม่เคยสอนใครก็บอกแล้ว เรียนหนังสือก็ไม่เป็นครูสอนใคร ผู้ใหญ่ให้เป็นครูสอน เช่นสอนนักธรรม สอนบาลี ก็เห็นว่าสามารถจะสอนได้นั่นเอง ทั้งนักธรรม นักธรรมก็เอกแล้วแน่ะ สอนได้หมด ตรี โท เอก แน่ะ เปรียญก็สอนบาลีก็ได้แล้ว ขั้นเปรียญ แต่ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาดเลยเชียว นั่นขาดไม่เป็นครูสอนใคร เข้าป่าเป็นสอนตัวเอง สอนตัวเองก็เอาอย่างเข้มข้น มีรสมีชาติตลอดไปเลย ถึงขั้นจะเป็นจะตายรสชาติไม่เคยลดละในความพยายามต่อมรรค ผล นิพพาน ไม่มีจืดมีจาง จนกระทั่งกิเลสมันเตือนขึ้นมา มันกระตุก ก็เคยพูดให้ฟังแล้ว เอามาหลอกเหรอ

          เดินไป ๆ นี้ว่าจะถึงบ้านเขามันไม่ถึง มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อดอาหารไปหลาย ๆ คิดว่าวันพรุ่งนี้จะพอถึงบ้าน เอาไปสักวัน ไปมันไม่ถึงละซิ มันไปถึงแค่กลางทาง ไปไม่ได้ ต้องนั่งอยู่นั้น นั่งพักสักหน่อยเสียก่อนแล้วค่อยเดินต่อไปอีก พอนั่งอยู่นั้นจิตมันทำงานของมันตลอดนะ ร่างกายอ่อนเท่าไร ๆ จิตมันยิ่งแข็ง เพราะฉะนั้น ธาตุขันธ์กับจิตใจจึงทะเลาะกันอยู่เรื่อย ๆ ธาตุขันธ์มันจะตาย จิตใจก็มุ่งธรรม คือธาตุขันธ์อ่อนเท่าไรจิตยิ่งดีด ๆ  เดี๋ยวนี้ก็ทะเลาะกัน

          นั่งอยู่ “นี่เห็นไหม” ขึ้นเลยนะ ขึ้นในนี้นะ “ท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม” ขึ้นเลย นั่น มันกระตุกเราให้อ่อนเปียก นี่ละขึ้นเรียกว่ากิเลสเกิดนะไม่ใช่ธรรมเกิด กิเลสเกิดขึ้นมากระตุกเรา นี่เห็นไหมท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่น มันขึ้นมาปั๊บ พอทางนั้นขึ้น ทางนี้ขึ้นรับกันเลย ก็การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้าตายก็ได้ นั่นให้มันแก้กัน ปึ้งเลย นี่ธรรมเกิด อย่างนี้แล้วมันเป็นอยู่ภายใน ๆ

          อะไรจะพิสดารยิ่งกว่าใจก็บอกแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นวิสัยที่จะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ตั้งแต่เพียงพูดสอนโลกอยู่นี้คนก็จะหาว่าเราเป็นบ้ากันเยอะนะ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นบ้าจากธรรมเราสอนนี่แหละเข้าใจไหม เราไม่อยากให้คนเป็นบ้า ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จึงไม่ค่อยพูดออกมาในแง่ต่าง ๆ ที่ไม่ควรพูดไม่พูดเสีย เหมือนไม่รู้ไม่เห็น ที่พอเป็นวิสัยอยู่บ้างก็พูด การพูดก็ไม่ใช่จะพล่าม ๆ ออกมานะ สมควรที่จะพูดหนักเบาแค่ไหนพอจะเป็นประโยชน์แก่คนก็ออกตามนั้น ๆ เรื่องความเป็นอยู่ในจิตนี้พูดไม่ได้ ว่างั้นเถอะ ออกมาแค่นั้นและรับกันปึ๋งเลย นั่นเป็นอย่างงั้นนะ

          จึงอยากให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ภาวนาสมลูกชาวพุทธ ไม่ได้มากขอให้ได้มีการพักผ่อนหย่อนจิตในบางกาลที่มีความยุ่งเหยิงวุ่นวายด้วยอารมณ์ต่าง ๆ มาก แล้วพักจิตตภาวนาให้ระงับความคิดปรุงทั้งหลายซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสเอาไฟเผาเรา พอเอาน้ำดับไฟได้แก่ ภาวนาพุทโธ ๆ เข้าเป็นน้ำดับไฟ อารมณ์ทั้งหลายบังคับไม่ให้มันออก ให้เอาอารมณ์ของพุทโธ ๆ นี้แทนเข้า ๆ เพราะจิตทำหน้าที่อันเดียว ถ้าคิดทางไหนคิดทางนั้น พอคิดมาพุทโธนี้มันก็หยุดทางกิเลส คิดทางกิเลส คิดทางธรรมได้แก่พุทโธ เป็นต้น

          เราหยุดคิดทางด้านกิเลสเสียบังคับให้คิดกับพุทโธ ทีนี้พุทโธก็กลายเป็นน้ำดับไฟ ๆ ความคิดทั้งหลายสงบสบาย นั่น นี่เวลายุ่งเหยิงวุ่นวายมากมีการพักเครื่องได้ คนมีการภาวนามีพักเครื่องได้ ถ้าไม่มีการภาวนาไม่รู้จะพักยังไง พันไปเลย จนเป็นบ้าก็มีความคิดมากๆ นอนไม่หลับ จากไม่หลับแล้วเป็นบ้าไปก็มี นี่เพราะดับไม่ลง ไม่มีอะไรเป็นเครื่องดับ เพราะงั้นจึงต้องสอนภาวนา นี่คือเครื่องดับไฟกิเลส มันเผาหัวใจเรา ดับเครื่องของกิเลสมันหมุนตัวไปด้วยธรรม เรื่องจิตใจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงว่าศาสดาองค์เอกกระเทือนทั่วโลกธาตุ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

          ได้ทำเข้าแล้ว ถึงไม่เป็นความดีทั้งหลาย อานิสงส์อะไรนี้สู้ภาวนาไม่ได้นะ หมุนตัวเข้าไปสั่งสมความดีจากการภาวนา เยี่ยม ๆ กว่าอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วจากนั้นก็เจอ ละเห็นละเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอเห็นแล้วก็มันก็เพิ่มกำลังของการภาวนาขึ้น ความเชื่อก็หยั่งลง ๆ เพราะมันเห็นเรื่อย เชื่อเรื่อย  ทีนี้มันก็มีกำลังมาก ทีนี้การทำบุญให้ทานมากน้อยนี่มันเหมือนกับว่าบริษัทบริวารของจิตตภาวนา บุญอันส่วนใหญ่อยู่ตรงนั้น  เหมือนกับว่าบุญทั้งหลายนี้มาป้วนเปี้ยนรอบจิตตภาวนา คือทำนบใหญ่ที่จะรวมกุศลทั้งหลาย เหมือนน้ำไหลลงมารวมทำนบใหญ่

          บุญกุศลทั้งหลายที่สร้างมามากน้อยไม่ไปไหน ก็ป้วนเปี้ยน ๆ อยู่นั้นน่ะ พอภาวนาเริ่มขึ้น ๆ ทีนี้ก็เท่ากับเราสร้างสระใหญ่ละ น้ำก็ไหลลงนั้น ๆ ก็รวมขึ้นที่นั่นผึงเลย นั่นเป็นอย่างงั้นนะ การเกิดการตายไม่มีใครจะรู้ยิ่งกว่านักภาวนา นักภาวนาคือพิสูจน์จิตตัวนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวคือจิต พิสูจน์จิต อะไรพาให้ท่องเที่ยวก็คือกิเลส อะไรที่จะดับการท่องเที่ยวก็คือธรรม มันอยู่ในใจดวงเดียวกัน เข้าไปรบกันในนั้น ระงับดับกันในนั้น ๆ มันก็รู้ไปเรื่อย ๆ ละซิ อย่างอื่นจะไปหาระงับที่ไหนไม่มีทาง ระงับวัฏวนคือการท่องเที่ยวของจิตนี้ต้องระงับด้วยจิตตภาวนา

          บุญกุศลรวมตัวเข้ามา รวมตัวเข้ามาก็มาลงในจิตภาวนา เป็นพลังอันใหญ่หลวงแล้วก็พุ่งเลย นั่นเป็นอย่างงั้น สิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นจะเป็นขึ้นมาจากนิสัยวาสนาของตัวเองและการบำเพ็ญของตัวเองนั้นแหละ มันจะเป็นขึ้นมา ไม่มีใครบอกมันก็รู้มันก็เห็น เห็นเรื่อย รู้เรื่อยไปเรื่อย ๆ แล้วมันไม่ได้เหมือนอย่างอื่นนะตาใจเห็นนี่ มันมีความแปลกประหลาดอัศจรรย์ เพราะสิ่งที่ตาใจเห็นใจรู้นี้มันไม่ได้เหมือนตา หู จมูก ลิ้น กาย เรารู้สิ่งภายนอกนะ มันละเอียดสุขุมกว่านั้น แปลกประหลาดอัศจรรย์กว่านั้น ต่างกัน แล้วถามอะไรว่าไงอีกตะกี้นี้มีอะไร ถามอะไรอีกละ

          (เขามาจากออสเตรเรีย กำลังจะกลับไปอยู่บ้านที่ศรีลังกา แล้วเขาเขียนอีเมลไปถามที่บ้านตาด ได้ความว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มาที่นี่เขาก็เลยมากราบ)  แล้วที่สงสัย สงสัยตรงไหนบ้างละ ที่เราแก้นี้พอหายสงสัยบ้างไหมละ (ไม่สงสัยแล้วเจ้าค่ะ) มันก็เท่านั้นแล้ว นี่พูดจริง ๆ นะมันท้าทายอยู่ในหัวใจนี่ สามโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรหวั่นเลย อันนี้ใหญ่กว่าทุกอย่างครอบโลกธาตุ ขอให้ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันเถอะไม่บอกมันก็เป็นเอง มันครอบโลกธาตุ มันจะไปน้อยกว่าสิ่งใดในโลกไม่มี ใหญ่กว่ามดโดยหลักธรรมชาติ ไม่ใหญ่ด้วยความเสกสรรนะ ใหญ่โดยหลักธรรมชาติ บำรุงเข้าไป ๆ ความรู้ความเห็น ความเป็นของใจหนาแน่นขึ้น ๆ กระจ่างออก ๆ ฟาดเสียเต็มเหนี่ยวแล้วเต็มโลกธาตุเลย ครอบ นั่น แล้วจะไปหวั่นกับอะไรละ

          สิ่งที่โลกไม่เห็นในวิสัยของใจเรานี้ปิดไม่อยู่ เห็นจนได้ รู้จนได้ แน่ะมันเป็นอย่างงั้นนะ เพราะงั้นการแสดงทุกอย่าง ๆ เราพูดจริง ๆ เราไม่ได้สอนโลกด้วยความจืด ๆ ชืด ๆ ในใจนะ ไม่ว่าธรรมขั้นใดเราถอดออกมาจากหัวใจที่มีรสมีชาติตามขั้นภูมิของธรรมขั้นนั้น ๆ สอนไปตามนั้นเลย การพูดจึงไม่มีคำว่าจืดว่าชืด ผู้ฟังก็ไม่จืดถ้าลงผู้เทศน์ไม่จืด นอกจากมันดำเอาเสียเหลือประมาณมันก็จืดของมันนั่นแหละ มันหมดค่า หมดราคา อะไรมันจะมีราคาก็ไม่สนใจ นั่นก็เป็นแบบไอ ซี ยู เข้าใจหม

          ถ้ายังพอจะรับยารับหมออยู่บ้างแล้วยังไงก็ฟื้นคนไข้นะ ฟื้นได้ โรคคือกิเลสจะค่อยระงับฟื้นขึ้นด้วยธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกก็ดี  ท่านเทศน์สอนโลกท่านไม่ได้เทศน์ด้วยความจืดความชืด เพราะท่านเทศน์อย่างที่รู้ที่เห็น ประจักษ์กับใจ ๆ แล้วจะเอาความจืดชืดจากไหนมาพูด ถ้าไม่รู้ไม่เห็นก็ลูบไปคลำไป ว่าไป ๆ เอ้า ทำไมท่านถึงเทศน์อย่างงั้นละ ก็ตำราว่าอย่างนี้ แน่ะมันก็แก้ออกไปหาตำราซะ มันหาทางออกเสีย ถ้าเป็นภาคปฏิบัติไม่ได้เป็นอย่างงั้น ท่านทำไมท่านเทศน์อย่างงั้น เพราะเหตุไร เพราะเหตุนั้นปึ๋งออกเลย นั่น มันมีหลักมีเกณฑ์อยู่ในนั้นหมด แล้วจะไปอ้างตำรงตำราไม่มี

          ท่านผู้ปฏิบัติที่รู้ทางด้านจิตใจจริง ๆ ไม่อ้าง เพราะเหตุไร เพราะเหตุนั้นขึ้นรับกันทันทีเลย เพราะมันเต็มอยู่ในนี้หมดแล้ว การเทศน์แยกแยะออกไปทางนี้ ๆ เขาเห็นว่าบกพร่องอยู่ตรงไหน ๆ เขาก็ถามบกพร่องนั้น ตอบรับกันปึ๋งเลย นั่น การเทศน์จึงไม่มีการว่าจืดว่าชืด นี้เราตัวเท่าหนูก็ตาม เราเทศน์สอนโลกเราไม่เคยเทศน์แบบจืดแบบชืดนะ พูดอะไรลงไปไม่ได้จืดได้ชืด พูดด้วยความตั้งอกตั้งใจ ถอดออกจากความจริง ไปพูดจริง ๆ มันจึงไม่มีคำว่าจืดชืด จะฟังกี่ครั้งกี่หนมันก็เป็นรสเป็นชาติอยู่นั้นแหละ

          การเทศนาว่าการโลกนี้เราไม่เคยคิดเคยอ่านว่า เราได้เทศน์เป็นของเก่าหรือของใหม่อะไรไม่มี ขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ นั่นละเป็นปัจจุบัน ๆ เป็นสด ๆ ร้อน ๆ ตลอด ถึงจะเอาเทศน์เป็นของเก่าก็ตามก็เป็นสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนปากเหมือนท้องเรานี่ ที่รับอาหารมานี้ปากนี้มันปากเก่านะ ลิ้นเก่านะ เอาอาหารมามันเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ไม่เคยมี ปากเก่า ลิ้นเก่า ให้เอามามีเท่าไรฟาดหมด เข้าใจไหมละ มันไม่ได้จืด ถ้าธาตุขันธ์ยังดีแล้ว ถ้าธาตุขันธ์ไม่ดีมันจืดไปหมด นี้จิตใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างงั้น ไม่มีคำว่าจืดว่าชืดไม่ว่าธรรมะขั้นใด ๆ ยิ่งเป็นที่สูงเท่าไรยิ่งเข้มข้น เข้มข้นโดยลำดับ นั่นต่างกัน

          เวลาเทศน์เราจึงไม่เคย ไม่ปรากฏในจิตใจของเรา ว่าเราเทศน์สอนประชาชนใครก็ตามเราเทศน์ไปด้วยความจืด ๆ ชืด ๆ ว่าไป อย่างงั้น ๆ ลอย ๆ ไม่มี มีหลักมีเกณฑ์ไปพร้อม ๆ ๆ ๆ ตามธรรมทุกขั้น นั่น ยิ่งขั้นสูงเท่าไรยิ่งเข้มข้นเข้าไป พากันจำเอานะ ทางพุทธศาสนาเมืองไทยเราอ่อนมากก็คือจิตตภาวนา แทบจะไม่มีเหลือในพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่มีจิตตภาวนาเป็นรากฐาน แต่โลกทั้งหลายไม่มาสนใจกับรากแก้วของศาสนา มันก็เลื่อนลอย ๆ ครั้นนานเข้า ๆ ศาสนาก็เลยกลายเป็นพิธีไปอย่างงั้น เป็นเครื่องประดับร้านไปเลย ให้กิเลสเป็นเจ้าของร้าน แล้วเอาเครื่องพุทธศาสนาเหมือนกระถางดอกไม้ประดับร้านไปเลย กิเลสเป็นเจ้าของบ้าน มันเป็นอย่างงั้นนะเดี๋ยวนี้

          โอ้ย พูดแล้วทุเรศนะ ก็มันเห็นอยู่ มันรู้อยู่ จะว่าไง มันจืดมันจางเมื่อไร สิ่งทั้งหลายที่จะให้รู้ให้เห็นมันมีเต็มโลกธาตุ แล้วจิตเป็นนักรู้ด้วยแล้วมันจะจืดได้ยังไง มันก็รู้ของมันตลอด นอกจากพูดหรือไม่พูดเท่านั้น เพราะมันไมหนักหน่วงถ่วงจิตใจ เหมือนความรู้ทางโลก ความรู้ทางโลกมันผลัก มันดัน มันกด มันถ่วง ประเภทต่าง ๆ อยากพูด อยากคุย อยากอะไรทุกอย่างเป็นไปเลย แต่เรื่องธรรมไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น แต่เวลาเข้าจังหวะที่ควรจะออกรับกันแล้วผึงทันทีเลย ออกเลย ๆ เป็นเนื้อเป็นหนังสด ๆ ร้อน ๆ ไปเลยทีเดียว นั่น

          จนถึงขนาดได้พูดว่าการเทศนาว่าการก็เทศน์สอนพี่น้อง เฉพาะอย่างยิ่งชาวไทยเราก็ทั่วประเทศไทยมาได้ ๕ ปี จะ ๖ ปีนี้แล้ว นอกจากนั้นยังออกกระจายถึงเมืองนอกเมืองนา เราวิตกวิจารณ์ที่เราตายไปแล้วกลัวจะไม่มีใครเทศน์ ว่างั้นเลย จะว่าอวดหรือไม่อวดฟังซิน่ะ สังเกตมาก็ไม่เห็นใครเทศน์ ก็มามีหลวงตาบ้างองค์เดียวนี่เทศน์ เวลาหลวงตาบ้านี่ตายไปแล้ว หลวงตาที่เป็นคนดีที่จะมาเทศน์ไม่ทราบองค์ไหนจะดีมาเทศน์แข่งกับหลวงตาไปนี่มันไม่เห็นละซิ เพราะงั้นถึงได้เป็นห่วงเป็นใยบรรดาพี่น้องทั้งหลาย

          เราไม่ได้มีไอ้คำว่าโอ้ว่าอวด เม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่มี มันมีแต่ความเมตตาครอบ ๆ ๆ ๆ ไปหมด เกินกว่าที่จะมาคำนึงคำนวณถึงเรื่องว่าเขาจะตำหนิติฉินนินทา อันนั้นมีน้ำหนักมากกว่า จึงสอนไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนใครจะเชื่อและปฏิบัติตามได้มากน้อยเพียงไรก็เป็นตามกำลังวังชานิสัยวาสนาของผู้นั้นเท่านั้นเอง นี่จวนจะตายเท่าไร ตามธรรมดาโลกต้องเป็นห่วงเป็นใยในสังขารร่างกาย ความเป็นอยู่ของตัวเองนะ เป็นห่วงกลัวจะตายเป็นสำคัญ ยังไม่อยากตาย แก่ขนาดไหนยังไม่อยากตาย นี่เป็นนิสัยของสัตว์โลกเป็นอย่างงั้น แต่นี้มันไม่เป็น มันไม่มีเลยให้ว่าไง ในตัวเองไม่ปรากฏเลย ว่ากลัวตงกลัวตาย ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ภพใด ชาติใด

          แต่ก่อนมันก็มีเต็มหัวใจเช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ แต่เวลาปฏิบัติธรรมเบิกออกให้เห็นความจริงตามลำดับลำดา จนกระทั่งถึงเหตุปัจจัยทั้งหลายหมดโดยสิ้นเชิง  ผลก็ยุติเหลือแต่ความสมบูรณ์เต็มที่ในหัวใจเท่านั้นแล้วจะไปถามอะไร หายสงสัยหมด นั่น ไม่มีอะไรสงสัย การตายมันก็รู้แล้ว  เรียนจบหมดแล้ว อะไรตาย แน่ะ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ผสมกันเป็นส่วนผสมอยู่ในร่างกายของเรานี้ มันก็เป็นธาตุของมันล้วน ๆ มีแต่ใจเข้าไปครองเป็นเจ้าอำนาจ เป็นเจ้าของอยู่ในนั้นเท่านั้น ถ้าใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ใจก็เป็นห่วงใยในธาตุในขันธ์กลัวจะล้มจะตาย

          ส่วนธาตุขันธ์เองเขาไม่ได้มีอะไรกับใจนะ เขาเป็นธรรมชาติของเขาอยู่งั้น แต่ใจหากเป็นบ้าเอง วุ่นเอง ทีนี้พอใจเรียนจบสิ่งเหล่านี้แล้วใจถอนออกมาหมด สิ่งใดเป็นสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นนั้น สิ่งนี้เป็นนี้ เราเป็นเรา มันไม่มีการคละเคล้ากัน มันจะเป็นเท่าไรมันก็ไม่มีวิตกวิจารณ์ต่อกัน เพราะไม่มีส่วนได้เสียจากกัน มันหมดแล้วส่วนได้ส่วนเสียจากธาตุจากขันธ์ ปล่อยกันโดยสิ้นเชิงแล้ว เพียงรับผิดชอบกันทำ พูดง่าย ๆ ก็คือทำประโยชน์ให้โลก จะทำประโยชน์ให้ตัวเองจะทำอะไรอีก

          มันก็รู้แล้วว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กตํ กรณียํ กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจที่ควรทำก็คือละชั่วทำดี ละเต็มเหนี่ยว ทำดีเต็มเหนี่ยว ผ่านพ้นไปได้หมดแล้ว ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ กิจที่จะให้ทำยิ่งกว่านี้อีกไม่มี นั่นท่านแสดง มันก็ประจักษ์กับหัวใจแล้ว แล้วจะไปละกิเลสตัวไหนอีก ถ้าว่าละก็ดี แล้วจะไปห่วงอะไรอีกละ นี่ธรรมพระพุทธเจ้าหลอกโลกเหรอ มันเห็นประจักษ์อยู่กับผู้ปฏิบัติ ใครไม่ปฏิบัติก็มีแต่สงสัยสนเท่ห์ ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไขว่คว้าอยู่งั้น  ตายจนกระทั่งเขาจะเอาเข้าโลงแล้วก็ยังไม่อยากตาย นี่ละความหึง ความหวง ความห่วง ความใยนะเป็นอย่างงั้น

          ถ้าลงได้ปล่อยแล้วไปเมื่อไรก็ไปซิมีปัญหาอะไร ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็มีความมุ่งหมายทำประโยชน์ ทำเพื่อมันอะไร พาอยู่พากิน พาหลับพานอน พาขับพาถ่ายก็หนักพอแล้ว ตื่นขึ้นมานี้มีแต่เรื่องบำรุงบำเรอแบบหามธาตุขันธ์อยู่อย่างงี้ แล้วหวังเอาอะไรกับมัน ทั้ง ๆ ที่ยุ่งอยู่แต่ก็เอาประโยชน์อะไรกับมันก็ไม่ได้ นี่จึงว่า ภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา พาขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนัก แม้ปล่อยแล้วก็ยังเป็นภาระรับผิดชอบ ถ้ายิ่งไม่ปล่อยด้วยแล้วก็ยิ่งมีความยึดถือด้วย หนักทั้งความยึดถือด้วย เพิ่มเข้าไปอีก ปล่อยเสียแล้วความยึดถือไม่มี ก็เหลือแต่ธาตุแต่ขันธ์ทำประโยชน์ มันก็ไม่พ้นที่จะแบกจะหามกัน พาเดิน พาก้าวไปมาก็แบกหามกันไป พาอยู่ พากิน พาขับพาถ่าย พาหลับพานอน มีตั้งแต่ภาระเกี่ยวกับขันธ์ทั้งนั้น

          เมื่อสิ้นขันธ์ไปแล้วมีอะไรที่จะมาเกี่ยวกับนี้มันไม่มี ท่านก็รู้ไปหมดทั้งข้างหน้าข้างหลัง ปัจจุบัน คือข้างหลังปัจจุบันก็เห็นหมดแล้ว ข้างหน้าหมดปัญหา ปล่อยอย่างนี้แล้วหมด เวลายังอยู่นี้ก็หมดปัญหาแล้วภายในใจ แต่มันก็ยังมีอยู่กับร่างกายรับผิดชอบกันไป พอสิ้นสุดร่างกายสลายลงไปจากส่วนผสมแล้ว ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ใจก็ดีดผึงเลย สมมุตินี้สิ้นสุดโดยประการทั้งปวงในขณะที่ลมหายใจขาดลงไปเท่านั้น สมมุติของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ท่าน วาระสุดท้ายมาอยู่ที่ขันธ์

          สมมุติในบรรดากิเลสทั้งหลายที่พัวพันจิตใจ ท่านเอาขาดสะบั้นลงไปตั้งแต่ขณะที่ท่านตรัสรู้แล้ว แต่สมมุติที่ประจำอยู่ในขันธ์อันนี้ท่านยังไม่ตายก็ยังต้องมี สมมุติอันนี้มีและความรับผิดชอบตามสัญชาติญาณก็ยังมี เพราะงั้นสมมุติที่มีอยู่ในพระอรหันต์ก็คือขันธ์นี้เท่านั้น ถึงไม่ยึดไม่ถือมันก็เป็นสมมุติและรับผิดชอบกันอยู่ พอขันธ์นี้ขาดลงไป ลมหายใจขาดปั๊บเท่านั้น สมมุติโดยประการทั้งปวงมารวมอยู่ที่ขันธ์ ขันธ์ก็มารวมที่ลมหายใจ พอลมหายใจขาดปั๊บหมดโดยสิ้นเชิง จะไม่มีอะไรเหลือเลยในสามแดนโลกธาตุนี้ขึ้นชื่อว่าสมมุติ ไม่มีเลย เพราะขันธ์เป็นสมมุติที่รับผิดชอบกันอยู่ พอขันธ์มีลมหายใจเป็นสำคัญขาดลงปั๊บเท่านั้นหมด

          นั่นละท่านเรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพาน วาระสุดท้ายลมหายใจสิ้น อนุปาทิเสสนิพพาน เวลาลมหายใจมีอยู่ก็สอุปาทิเสสนิพพาน จิตนั้นหมดแล้วสมมุติโดยประการทั้งปวงไม่มี แต่ยังมีขันธ์ สอุปาทิเสสนิพพาน ไปสงสัยว่าจะไปเกิดที่ไหน ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าก็หลอกโลกละซิไม่จริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้หลอกพระองค์และหลอกโลกเมื่อไร และเราปฏิบัติตามธรรมเมื่อรู้มันก็รู้อย่างนั้น จะไปหลอกตนได้ยังไง มันจริงมันจังอย่างงั้น สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นจะปฏิเสธไม่ได้ มันก็ปรากฏเด่นขึ้นที่ใจ ๆ ที่เราไม่เคยรู้เคยเห็น ไม่เคยเป็นเลย เวลาเป็นขึ้นมาแล้วก็ยอมรับ ๆ หายสงสัย ที่จะคัดค้านว่านี้พึ่งเป็นขึ้นมายังไม่ลงใจไม่มี ผึงขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ยอมรับกันเดี๋ยวนั้น ๆ เลย

          นี่ก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้วไม่ใช่เหรอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สามพระองค์ติดแนบในหัวใจของชาวพุทธเรามาสักเท่าไร ๆ แต่วาระสุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวเลย นั่น ใครเคยรู้ ใครเคยเห็น ใครเคยเป็น เวลามันเป็นเข้าไปถามใคร มีแต่ยอมรับเท่านั้น นั่น เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง คือแต่ก่อนเป็นสาม ๆ มาตลอด แต่วาระสุดท้ายจะถึงขั้นรวมตัวเป็นความบริสุทธิ์หลุดพ้น หรือเป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วผึงเป็นอันเดียวกันเลย พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นธรรมธาตุอันเดียวกันเลย นั่น มันก็อย่างนั้น พึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นก็ไม่สงสัย ยอมรับทันที จะปฏิเสธว่านี่พึ่งเกิดไม่ยอมรับ ไม่ได้ เป็นความจริง นั่น

          เราจวนเท่าไรยิ่งสอน สอนหนัก พอให้ได้เป็นที่ระลึกทางด้านจิตตภาวนาอันเป็น ขอให้พากันระลึกบ้าง ถึงจิตจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรดังที่ท่านเทศน์ ท่านเป็นมาแล้วก็ตาม อานิสงส์แห่งการภาวนาของเรานี้มากยิ่งกว่าอานิสงส์อื่นใดนะ ครั้นต่อไปหนักเข้า ๆ มันจะเป็นขึ้น รู้ขึ้น ไม่เป็นอื่นรู้จนได้นั่นแหละ เวลารู้ปลุกใจละทีนี้ พอรู้ขึ้นมาค่อยปลุกใจเราให้ตื่นเนื้อตื่นตัวขึ้นเรื่อย เรื่องความพากความเพียร ความเชื่อความเลื่อมใสกลายเข้าไปเป็นอจลศรัทธา ไม่หวั่นไหวในบาปในบุญทั้งหลายและตลอดถึงมรรค ผล นิพพาน ไม่หวั่นไหว ถึงยังไม่รู้มันก็เห็นในขณะที่มันเห็น นั่นมันเป็นอย่างงงั้น

          เวลามีชีวิตอยู่นี้เร่ง ก็มีแต่เร่งอยากให้ได้หลักได้เกณฑ์ มันมีแต่ไขว่แต่คว้า มันไม่มีหลักมีเกณฑ์เลย ว่าอะไรที่เป็นที่ยึด ที่เกาะ ที่อาศัย มันมีแต่สิ่งที่จะพังหมด มันหาที่ตายใจไม่ได้ นอกจากธรรมภายในใจ นี่ลงตรงนี้นะ ความดีงามทั้งหลายที่เราสร้างมานี้เป็นที่ยึดที่เกาะ จากนั้นก็จิตตภาวนาเป็นหลักใหญ่ ปึ๊บเข้าตรงนั้นแล้วแน่เลย นี่ไม่ไขว่คว้าคนที่ได้มีการภาวนา ได้หลักได้เกณฑ์เป็นลำดับแล้วจะไม่ไขว่คว้า  

          อย่างที่ธรรมิกอุบาสกท่าน เคยมาเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเทวดาบนฟ้ามาทุกชั้นของสวรรค์หกชั้น มาเชิญท่านให้ไปสวรรค์ชั้นของตน ๆ รถทิพย์มาทุกชั้นของสวรรค์ทั้งหกชั้น ท่านภาวนา เป็นนักทำบุญให้ทานด้วย เป็นนักภาวนาด้วย เวลาจิตของท่านรวมเข้าไปมันออกรู้ซิ พระท่านก็สวดอยู่ ท่านสวดธรรมให้ท่านฟัง ทีนี้จิตท่านเข้าสู่ความสงบไม่ฟังธรรมซิ นู่นฟังเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มาสัมผัสสัมพันธ์กับใจของท่าน พวกเทวดาบนฟ้าเต็มอยู่บนท้องฟ้า นั่น องค์ใด ๆ เทวดาชั้นใดก็มาเชื้อเชิญท่าน ขอให้ไปขึ้นรถทิพย์ของตน ๆ ไปสวรรค์ชั้นของตนที่อยู่

          ทีนี้เวลาท่านรู้ มองไปนี้ กลัวว่าเรื่องเหล่านั้นมันจะมาทำลายการสวดธรรมะของพระ ท่านจึงบอกว่าให้รอไว้ก่อน คืออย่าเรียกร้อง อย่าเชื้อเชิญจนเกินไป ให้รอไว้ก่อน ถ้าพูดง่าย ๆ ก็ถึงเวลาเรามาเองแหละ ว่างั้น แต่ทางนี้พูดในตำราว่าให้รอไว้ก่อน ๆ  ทีนี้พระทางนี้ได้ยินเสียงอุบาสกพูดหลุดปากออกมา คือจิตมันพูดเป็นภาษาจิตกับเทวดา ที่ ทีนี้มันก็มีแย็บออกมา ภาษาของโลกเราเรียกว่าเผลอบ้าง อะไรบ้าง หลุดปากออกมาว่าให้รอก่อน ๆ มันเป็นภาษาปาก ภาษาคำพูดไปเสีย มันไม่เป็นภาษาใจ ภาษาปาก ภาษาคำพูดนี้จึงไปได้ยินถึงพระ อ้าว นี่ท่านห้ามไม่ให้สวดแล้ว ท่านก็เลยเลิกไป

          ทางนั้นติดต่อกับเทวดา พอจิตถอยตัวเข้ามา เข้ามาหาร่างแล้ว ถอยตัวเข้ามา พระหายหมด อ้าวนี่พระคุณเจ้าไปไหนกันหมดแล้ว ก็คุณพ่อห้ามไม่ให้ท่านสวด ให้รอก่อน ท่านก็กลับไปซิ คือว่าให้รอก่อนบอกเทวดาให้รอ ไม่ได้บอกให้พระ นี่พระก็เป็นพระตาบอดก็แบบพระหลวงตาบัวนี้แหละ หลวงตาบัวก็เผ่นเลย พอไปถึงพระพุทธเจ้าขนาบเลยพระพุทธเจ้า “อ้าวมากันยังไงไปสวดธรรมให้ธรรมิกอุบาสกฟังแล้วมาทำไม” “ก็ธรรมิกอุบาสกห้ามว่าให้รอก่อน ๆ ก็เลยมาเท่านั้นละ” “นี่อุบสกไม่ได้ห้ามเธอนะ ห้ามพวกเทพทั้งหลาย” นั่นพระพุทธเจ้าท่านหยั่งทราบหมดแล้ว

          ห้ามพวกเทพทั้งหลายที่อยู่บนท้องฟ้า สวรรค์ทุกชั้น รถทิพย์มาประจำ ๆ  ธรรมิกอุบาสกคนนี้เป็นผู้มีนิสัยบุญญาภิสมภารมาก สามารถที่จะไปสวรรค์ได้ทุกชั้น เพราะฉะนั้นรถทิพย์จึงมาจากสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ทุกชั้นมาเลย ท่านจะขึ้นชั้นไหนขึ้นได้เลย เพราะนิสัยวาสนาเต็มแล้วในสวรรค์หกชั้น ก็ไล่พระออกมา ทางนี้พอจิตถอยออกมาจากเทวดามารู้สึกตัวก็พอดีพระก็เลยหายไปหมด อ้าวพระไปไหนหมด อ้าวก็คุณพ่อห้ามไม่ให้ท่านสวดท่านก็กลับไปแล้ว โหย พ่อไม่ได้ห้ามนะ ห้ามพวกเทวดาทั้งหลาย ไปนิมนต์ท่านกลับมาอีก ว่านะ ทางลูกก็เลยไปนิมนต์ให้กลับมา ก็พอดีกับพระพุทธเจ้าไล่พระกลับมาก็ไปสวนทางพอดี มาด้วยกัน พอฟังอรรถฟังธรรมแล้วก็พุ่งทีเดียวไปเลย นั่นท่านสงสัยที่ไหน

          นี่ละจิตตภาวนา บุญกุศลทั้งหลายรวมเข้าจิตตภาวนาเป็นแก่นแล้วพุ่งเลย นี่ตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ คือเวลาจะตายนี้อุบาสกคนนั้นไม่ได้เสียอกเสียใจ วิตกวิจารณ์ในการตายนะ ยังเพลินในธรรมของตน พระท่านสวดให้ฟังก็เพลิน แล้วพวกเทพทั้งหลายก็มาอีก เลยต่างอันต่างเพลินไปด้วยกัน เลยลืมหลุดปากมาให้รอไว้ก่อน พระก็เป็นพระตาบอดเปิดเลย จำให้ดีนะเรื่องการภาวนา โอ้ย ทุกอย่างเรามาพูดให้บรรดาลูกศิษย์ฟังนี่นะเพื่อให้เป็นคติทั้งนั้น ๆ นะ อันไหนที่พอจะพูดได้เราก็พูด ๆ ให้เป็นคติ ไอ้เรื่องที่ว่าเราจะโอ้อวดอย่ามาพูดเลยนะ มันจะเป็นกรรมต่อตนเองนะ

          เรื่องที่ให้เคลื่อนจากความจริงนี้ไม่มีเราพูด เพราะพูดออกมาจากความเมตตาสงสารล้วน ๆ เราก็เคยพูดให้ฟัง พูดตรงไหน ที่เน้นหนักตรงไหนนั่นละจุดสำคัญ ๆ อยู่ตรงนั้น พูดมาตลอด ๆ ก็คิดดูซิที่ว่าไปป่วยอยู่ทางถ้ำผาดัก อำเภอทางศรีเชียงใหม่ อยู่ในตีนเขา คือออกมาจากภูเขามาแล้วก็มาป่วย เป็นโรคนี่ขัดหัวอก ฟังซิ พอบ่ายเท่านั้นละ คือตอนเช้าเขาไม่นิยมกันเป็นอย่างงั้นนะ ตอนเช้าเขาไม่เอาผีไปเผาในป่าช้าละ พอเที่ยงไปแล้วเริ่มบ่ายทีนี้ขนผี เอาผีเข้าไปฝังในป่าช้า นี้ละพอบ่ายเราก็ต้องได้ไปเผาศพกุสลาธมฺมา จนกระทั่งค่ำถึงได้กลับที่พัก แล้วติดกันไปเรื่อย ๆ  คนตายวันมากมี ๘ คน วันน้อย ๓ คน อยู่งั้นเป็นประจำ ๆ

          ถามว่าเป็นโรคอะไร เขาบอกว่าโรคขัดหัวอก ทีนี้เราก็ไปกุสลาอยู่นั้น  ไม่นานนะ มันเป็นยิบแย็บ ๆ ในนี้ เอ้า มันแปลก ๆ นี่น่า มันกุสลาอยู่ในป่าช้า มีลักษณะยิบแย็บ ๆ แล้วเหมือนกับเสี้ยนกับหนาม ทิ่มเข้ามาแปลก ๆ อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่นี้เหรอที่เป็นโรคที่เขาตายกัน สักเดี๋ยวไม่นานนะรวดเร็วมากนะ แล้วค่อยหนักขึ้น ๆ ก็เลยบอกกับประชาชนที่เขาเอาผีไปเผาศพในป่าช้า โรคชนิดที่เป็นอยู่นี้มาตายกันมาเผากัน เวลานี้อาตมาเป็นแล้วนะ ก็บอกตรง ๆ มันชัดแล้วทีนี้ ครู่เดียวนะไม่ได้นานนะ ยิบแย็บ ๆ อันนี้ทีแรกเหมือนเสี้ยนเหมือนหนาม ต่อมาก็เหมือนเข็มเหมือนอะไร เหมือนหนามแทงหนาเข้า เลยเป็นเหมือนหอกเหมือนหลาวหนักเข้า ๆ มันประสานอยู่นี่ หายใจแรงไม่ได้ ยิ่งจามนี้สลบไปเลยนะ

          พอรู้อย่างงั้นเราก็รีบบอกเขา พอบอกเขาเขาก็เห็นโทษแห่งการตายรวดเร็วของคนทั้งบ้าน ๆ อยู่แล้ว เขาจะไม่ยอมเชื่อเรายังไง โอ๋ย ถ้าอย่างงั้นให้ท่านไป อย่าให้ท่านอยู่เลย เราบอกแล้วว่าเป็นแบบเดียวกันนี้นะ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นนะ เราว่างั้น อาตมาลาไปแล้วนะ อย่ามากุสลต่อไปเดี๋ยวจะได้มากุสลทั้งอาตมาตายอีกนะ มากุสลาให้อีกไม่สิ้นสุดนะ พอว่าเขาก็ปล่อยเลย ปล่อยเราก็ไปเลย พอไปเขาก็หลั่งไหลกันไปทั้งบ้าน เริ่มมืดนะ เพราะเขาเป็นห่วงเรามาก เราบอกชัดเจนเป็นโรคแบบเดียวกันนี้ ไม่เป็นอย่างอื่นเลย เป็นอยู่ในป่าช้านี้เอง นั่นละเขาถึงได้ปล่อยทันที ให้ท่านไปไม่ได้ ๆ

          ทีนี้พอเริ่มมืดเขาก็หลั่งไหลกันไป ไปเราก็ไล่กลับเลย ไม่ให้อยู่เลยนะ ไล่กลับ หมดเลยทีเดียว คือเราจะฟิดจะฟัดตัวของเราเองนะ ไม่ใช่ว่าเราจะท้อถอยอ่อนแอนะ คือถ้าคนมายุ่มย่าม ๆ มันจะไม่ได้ขึ้นเวทีฟัดกันเต็มเหนี่ยว เขาไปชมมวยเขาอยู่รอบนอกมีแต่มวยต่อยกัน แต่นี้เวลาเขาไปเยี่ยมคนไข้มันจะไปยุ่งเรา มันไม่ได้เหมือนเขาไปดูมวยนะ มันต่อยกันไม่ถนัด ไล่เขา เราก็ฟัดกันเลย นี่ละตอนสำคัญที่เราให้ท่านทั้งหลายฟัง จิตเราก็ไม่เคยกลัวล้มกลัวตายเลยนะ ไม่เคยกลัว แต่เวลามันเป็นมาก ๆ  นี่หนักเข้า ๆ เอ๊ ทำไมนี่น่ะ จิตเรายังไม่พ้น ถึงจะละเอียดลออก็ยังไม่พ้น ถ้าตายแล้วมันจะต้องไปชั้นใดชั้นหนึ่ง ว่างั้นเถอะ ชั้นไหนก็พูดยากแต่เจ้าของรู้ชัดแล้ว

          นี่เรายังไม่อยากตาย ตายแล้วจะไปค้างที่นี่ ค้างที่นี่ ค้างวันสองวันเราไม่อยากค้าง ถ้าพ้นแล้วไปเมื่อไรได้เลยเราไม่เสียดาย แล้วเป็นกังวล นี่ละที่มันกังวลนะ ยังไม่อยากตาย คือจิตมันยังไม่พ้น ละเอียดขนาดไหนมันก็ยังอยู่ รู้อยู่ชัด ๆ นี่เห็นอย่างงั้นแล้ว ถ้าตายนี้มันก็ไปอยู่ชั้นนี้ ชั้นนั้น ๆ รู้ชัด ๆ อยู่งั้น ฟังซิท่านทั้งหลายฟัง นี่ละจิตมันประจักษ์ของมันอย่างนี้ ไปพักอยู่นี้ ๆ กี่วันกี่คืนก็ตามมันเสียเวลา ถ้าหลุดพ้นแล้วปึ๋งเดียวถึงนิพพานเลย เอ้า ไปเดียวนี้ก็ได้ไม่ว่า แต่เดี๋ยวนี้มันยังไม่ถึงนิพพาน จึงไม่อยากตาย

          ทีนี้ควายตายกับความไม่อยากตายมันก็ฟัดกันอยู่ สักเดี๋ยวธรรมก็ขึ้นละซิ นั่นเห็นไหมละ ธรรมก็ขึ้นภายในใจ “อ้าว ท่านจะมากังวลวุ่นวายอะไรกับเรื่องความเป็นความตาย สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่กับท่านแล้ว ท่านไปหวั่นไหวหาอะไร เรื่องความเป็นความตายก็คืออริยสัจ มันมีเต็มตัวของท่าน ท่านยังจะอยากตายไม่อยากตายฝืนอริยสัจไปไหนอีก แล้วเรื่องอย่างนี้ท่านก็เคยพิจารณามาแล้ว ขึ้นฟัดขึ้นเหวี่ยงกันมาพอแล้ว” นี่หมายถึงเวลาเรานั่งตลอดรุ่ง ซัดกันกับทุกขเวทนามามากแล้ว “ท่านทำไมจะมาไหวเรื่องการเป็นการตายอย่างงี้ ท่านเคยพิจารณามาแล้ว” พอว่างั้นจิตกลับปุ๊บ “อย่าไปกังวลกับเรื่องความเป็นความตายซึ่งมันอยู่กับท่านเอง พิจารณาให้รู้ชัดก็แล้วกัน”

          พอว่างั้นจิตก็ถอยปุ๊บออกมาก็ใส่เปรี้ยงเลย ที่ว่าอยากตายไม่อยากตายที่ทะเลาะกันอยู่นั้นหายหมดเลย มีแต่จะเอา ทีนี้พุ่งเลย ซัดเลย เห็นไหม นี่เวลามันยังไม่อยากตายมันก็ไม่อยากตายเหมือนกัน คือตายแล้วมันจะค้าง ถ้าตายเดี๋ยวนี้ค้างแน่ ๆ แล้วกี่วันก็ไม่อยากค้าง ถ้าถึงที่สุดแล้วคือถึงนิพพานบริสุทธิ์แล้วไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่นี้มันยังไม่ถึงจึงไม่อยากไป ไม่อยากไปก็คือว่ายังไม่อยากตาย นี่เรายกมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ละที่เวลามันมีอะไรอยู่มันก็ไม่อยากตาย เอ้าซิวาระสุดท้ายมันฟาดลงมาจนจะได้ลงในส้วมในถาน เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป มันไม่เห็นมาว่ารอก่อน ๆ ไม่มีอะไรเลย

          ถ่ายท้อง ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน อาเจียนนู่นน่ะฝาส้วมนะ อาเจียนทั้ง ๆ ที่คนหมดกำลังแล้ว เวลามันอาเจียนนี้เศษอาหารกับน้ำนี้พุ่งออกไปติดฝา มันรุนแรงมาก จิตของเราก็เรียกว่าม่อยเข้าไปนะ อ่อนเข้ามา ๆ มันจะไป มันสะทกสะท้านที่ไหนละ เวลามันไปมันหดเข้ามาหมดความรู้ทั้งหลาย ในร่างกายทุกขเวทนาที่แสนสาหัสเต็มอยู่ในร่างกาย แต่ว่าไม่ได้เขาถึงใจ เป็นหลักธรรมชาติของมันเองนะ มันเป็นหนักก็บอกว่าหนักอยู่ในร่างกาย ทีนี้มันหดเข้ามาหมดเลย ความรู้ทุกสัดทุกส่วนข้างบนลงมาตรงนี้ ข้างล่างขึ้นมาตรงนี้

          ความรู้อยู่กับประสาทส่วนต่าง ๆ ประสาทเหล่านี้มีความรู้แทรกอยู่นี้หมด พอความรู้นี้หดเข้ามาปึ๊บ เข้าพร้อมกัน ทางนี้เข้า ทางนี้เข้า ทางนู้นเข้ามาลงมานี้ ปึ๊บเข้ามาถึงนี้เลยมาจุดเดียว ทีนี้ทุกข์ทั้งหลายหายหมด เพราะประสาทไม่รับทราบแล้ว หมุนเข้ามาอยู่ในนี้หมดแล้ว ร่างกายของเราจึงเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนซุง ทุกข์แสนสาหัสนั้นดับโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ที่จะดีดเท่านั้นเอง เหอ นี่จะไปเชียวเหรอ มันถึงจุดแล้วเรียกว่า ๙๙ เปอร์เซ็นต์ พอเปอร์เซ็นต์ที่ร้อยก็พับนี้ออกเลย แต่นี้เหอ จะไปนี้เลย สติซึ่งเป็นสมมุติอันหนึ่งจ่อเข้าไปก็เลยไปหนุนจิตอันนั้น มันเลยไปฟื้นตัวกลับคืนมา ความรู้นี้ซ่านมาทางนี้ ลงทางนี้แล้วความทุกข์ก็ปรากฏขึ้นตามเดิม

          ไม่เห็นบอกว่าให้รอเสียก่อนนะ อย่าด่วนตายไม่เห็นมี เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอ้าไปก็ไปนั่นเห็นไหมละ มันรออะไร แต่มันไม่ไป คือสตินี่จับเข้าไป นี่พูดให้ฟังทั้งสองภาค ภาคที่ยังไม่อยากตายก็ได้พูดให้ฟัง ภาคที่ว่า เอ้า จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ เอาไปก็ไป เป็นยังไงแน่หรือไม่แน่ฟังซิ เวลามันแน่แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น

          (หลวงพ่อสังวาลย์มาครับ) เออมา โอ้ วันนี้พูดเอากันอย่างหนักเลย หลวงพ่อมา เอ้อ สวัสดี คนใจบุญมา หัวใจสบายดีตลอด ร่างกายสังขารมันเป็นสภาพตามของธาตุของขันธ์ กองบุญกระจายไปไหนไม่เป็นไรละกองบุญ ไม่เหมือนกองบาปถ้ากองบาปกระจายไปไหนเป็นไฟเผาโลก กองบุญกระจายไปไหนเป็นน้ำดับไฟเย็นไปหมด ฟัง ๆ หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก ขอน้อมถวายทองคำ และเงินแด่หลวงตา จำนวนทองคำน้ำหนัก ๒๐ บาท ๑ สลึง เงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เอ้า สาธุอนุโมทนา (ญาติโยมสาธุ) เออ พอใจ ๆ

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก