|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ไม่ว่าธรรมขั้นใดสตินี้พรากไม่ได้ |
|
วันที่ 28 กรกฎาคม. 2545 ความยาว 32.56 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | |
ค้นหา :
ไม่ว่าธรรมขั้นใดสตินี้พรากไม่ได้
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒๗ กรกฎา ทองคำได้ ๖ กิโล ๔๖ บาท ๗๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๔,๖๑๖ ดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากวันที่ ๑๑ เมษา ผ่านมานี้ ได้ทองคำเพิ่มเข้าไปอีก ๑๔๗ กิโล ๖๐ บาท ๒๖ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดได้ ๕,๒๐๗ กิโล หลวงตาตายจะมาเป็นเปรตเป็นผีเฝ้าเมืองไทยอยู่นี้แหละ ถ้าไม่ได้ทอง ๑๐ ตันแล้ว หลวงตาตายเป็นเปรตจะไม่เหมือนเปรตตัวใดนะ เปรตตัวนี้จะอาละวาดสุดยอดเลยเทียว เวลานี้ก็อาละวาดกระเป๋าทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เวลายังมีชีวิตอยู่อาละวาดตามนี้เสียก่อน พอตายแล้วฟาดหมดเลยเมืองไทย ให้เสียงร้องแก้กก้าก ๆ เป็นไรวะ
ใครจะไปก็ไปนะที่ว่าภูร้อยก้อน อย่ามายุ่งกับเรานะ เราอยากไปเมื่อไรก็ไป พวกนี้ยุ่ง จะไปไหนแอบ ๆ เราไม่ได้เอาก้อนดินอะไร ๆ ติดรถไป ปาข้างหลัง ถูกหน้าใครก็ตามว่างั้นเถอะ คือเราปาแบบไม่มองคน ปาไปอย่างนี้ถูกหน้าใครก็ตาม เพราะมันคอยแอบ ๆ จากนี้ไปก็ไม่ไกล อย่างมากคิดว่าไม่เลย ๔๐ นาทีแหละ เราไปหนหนึ่งแล้วปีกลาย เราพึ่งไปเห็นนั้นเป็นครั้งแรก เขาไปปลูกอะไรขึ้นพอเป็นศาลาได้พัก เขาก็เขียนจดหมายมาหาเราเหมือนกันที่สร้างศาลาหลังนั้น เราไปเราไปดู ก็ไม่หรูหราอะไรมากนัก กรรมฐานหรูหราในการก่อสร้างนี้ขัดกันมากนะ คือขัดกับจิตตภาวนา การภาวนานี้จะไม่ให้อะไรยุ่งเลย จะมีแต่งานของจิตตภาวนาล้วน ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจับปุ๊บไปเลย สติต้องเป็นที่หนึ่ง สติมาที่หนึ่ง ๆ ไม่ว่าจะธรรมขั้นใดสตินี้พรากไม่ได้นะ สติเป็นพื้นฐานจำเป็นมากทีเดียว แล้วก็เข้ากับพระบาลีที่ว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีเว้นนะ ทั้งปวงเลย
ทีนี้เวลาเราประกอบความเพียรมันก็มาลงจุดนี้ เผลอสติเมื่อไรนั่นละความเพียรขาดในตอนนั้น เผลอแย็บขาดแย็บ จึงได้รู้ โอ้โห สตินี่สำคัญมากนะ คือสติตั้งจ่อลงไปนี้มันจะเป็นความรู้รอบของจิต คือสติครอบจิต จิตจะรู้ เมื่อมีสติแล้วจะทราบเรื่องราวรอบตัว ๆ ถ้าไม่มีสตินี้ซ่านไปทั่วโลกก็ไม่รู้นะ พอมีสติจ่อปั๊บ เฉพาะอย่างยิ่งมันก็รู้อยู่ในตัวเอง สมมุติว่าเราตั้งบทคำบริกรรม สติก็จับอยู่อย่างนั้นเลย จับอยู่ในคำบริกรรมไม่ให้เผลอเลย ถ้าใครทำได้อย่างนี้แล้วชี้นิ้วเลย ไปได้ไม่สงสัย เพราะได้เคยทำมาแล้ว ที่มาชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบนี้เราทำมาแล้วนะ ตอนที่จิตเจริญแล้วเสื่อม ๆ หาทางออกทางเข้าทางไหนไม่ได้ แต่ในหัวอกนี้แหม เหมือนไฟไหม้กองแกลบนะ เผาอยู่นี่ โห จิตเสื่อมนี่ทุกข์มากจริง ๆ นะ ไม่ลืมเลยนะเราจิตเสื่อม อยู่ที่ไหน ๆ หาความสบายไม่ได้เลย ไม่ได้ยินดีกับอะไรเลยนะจิตเสื่อมนี่ มีแต่ความทุกข์ ไม่ได้สนใจกับอะไรว่าจะดีในโลก เมื่อจิตไม่ดีเสียอย่างเดียวเลยอะไรล้มเหลวไปหมดนะ
จึงได้พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลัง นี่ละตอนจะเอากันนะ ตอนจะได้หลักได้เกณฑ์ เอ๊ ที่มันเจริญแล้วเสื่อม ๆ เจริญขึ้น ๑๔-๑๕ วัน ทำความพากเพียรแทบเป็นแทบตาย ขึ้น ๑๔-๑๕ วันก็ไปถึงความสงบแน่ว ทีนี้บังคับไว้ มันจะเสื่อมไม่ให้เสื่อม บางคืนไม่นอนเลยนะกลัวมันจะเสื่อม มันก็เสื่อมไปต่อหน้าต่อตา เสื่อมไปอย่างนั้น ขึ้นไปถึงนั้นแล้วเสื่อม ๆ นี่ทำให้คิด เอ๊ เป็นเพราะอะไรนา ขึ้นไปแล้วอยู่ได้เพียงสองสามคืน จากนั้นก็ไหลลงเรื่อย ๆ ไม่ฟังเสียงเรารั้ง ดึงไว้เท่าไรรั้งไว้เท่าไรไม่อยู่ ผึงลงหมด ยังเหลือแต่อีตาบัว คือหมดค่าหมดราคา ยังเหลือแต่อีตาบัวเท่านั้น เอาอีกตั้งอีก เหมือนกลิ้งครกขึ้นจอมปลวกไสขึ้นไป ๆ พอไปถึงนั้นอยู่ได้ ๓ วันลง
เมื่อหาทางออกไม่ได้แล้วก็คิดย้อนหน้าย้อนหลัง เอ๊ มันอาจจะเป็นเพราะเรากำหนดเฉพาะผู้รู้เท่านั้น สติอาจเผลอไปก็ได้ มันถึงเสื่อมได้ เอ้า คราวนี้เราจะเอาคำบริกรรม ให้ติดอยู่กับคำบริกรรมมันจะมีจุดที่ตั้ง ว่างั้นนะ ให้อยู่กับคำบริกรรม เพียงกำหนดจิตด้วยสติเฉย ๆ ไม่พอ คิดว่าอย่างนั้นนะ เอ้า คราวนี้จะให้อยู่กับคำบริกรรม เรื่องเสื่อมก็ดีเรื่องเจริญก็ดี เป็นฟืนเป็นไฟเผาเราทั้งสองอย่างนี้มาตลอด คราวนี้จะไม่สนใจ เอ้า เสื่อม ๆ ไป เจริญ ๆ ไป คราวนี้เรื่องพุทโธกับเรา นิสัยเราชอบพุทโธ คำบริกรรมคือพุทโธกับสติติดกันอยู่กับจิตเลย อะไรจะเสื่อมจะเจริญก็ตาม อันนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ จะไม่ให้เผลอคราวนี้ ไม่ให้เผลอจริง ๆ
คือเราไม่ได้เหมือนใครนะ อันนี้รู้สึกว่าเหมือนใครได้ยากเหมือนกัน มันจริงจังมากนะเรา พอลงใจแล้วทดสอบทุกสิ่งทุกอย่าง เอ้าลงจุดนี้ลงกับบริกรรมเท่านั้น เอาละที่นี่ตัดสินลงแล้ว พอตัดสินปึ๊บพุทโธติดแนบเลย เผลอไม่ได้ว่างั้นนะ ก็เป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ท่านก็สั่งเสียว่า "ท่านมหาอยู่นี่นะ ไปเผาศพกลับมาแล้วจะมาหา ท่านมหาอยู่นี่นะ อยู่คนเดียว" ก็อาจจะเป็นโอกาสอันเหมาะกันก็ได้ อยู่คนเดียวก็คนเดียวจริง ๆ เลย
ตั้งแต่นั้นแล้วคำบริกรรมพุทโธกับสตินี้จะไม่ให้เผลอ จับติดเลยไม่ยอมให้เผลอ มันจะเคลื่อนจะไหวไปไหนไม่ให้เผลอเลย นี่แหละกองทุกข์อันหนึ่ง กองทุกข์บังคับจิตด้วยสติไม่ยอมให้มันเผลอไปไหนเลย ทุกข์มากเหมือนกัน แต่ความมุ่งมั่นที่จะเอาให้ได้เหตุได้ผลกันมันมุ่งมั่นมาก มันจึงไม่ลำบาก มุ่งใส่สติ ๆ จับติดตลอดเลยตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่ยอมให้เผลอจริง ๆ ทำงานปัดกวาดนี้จ่ออยู่ตลอด ปัดกวาดลานวัดจ่อตลอดไม่ยอมให้เผลอ เหมาะกับอยู่คนเดียว นี่ละเราตั้งรากฐานทีแรกที่เจริญแล้วไม่เสื่อมได้หลักจากอันนี้ สติสำคัญมากทีเดียวขึ้นเด่น สติจับไว้ตลอดคำบริกรรมไม่ให้เผลอจากกัน เอ้า เจริญ ๆ ไป เสื่อม ๆ ไป ไม่เอาไม่สนใจ แต่เรื่องคำบริกรรมกับสตินี้จะเสื่อมไปไหนไม่ได้ ซัดกันเลย
ก็ไม่นานนัก นี่แหละเอาจริงเอาจังไม่นานนะ บีบมันเข้า ๆ อยู่อย่างนั้น นี่อันหนึ่งแสนทุกข์นะ บังคับสติกับจิตให้อยู่ด้วยกัน ไม่ให้ยอมหนีไปไหนเลย เป็นภาระที่หนักมากทีเดียวอยู่ภายในใจ เอากันอยู่นั้นตลอดเลยเหมือนกับนักโทษมหันตโทษนั่นแหละซัดกัน ไม่นาน ทีนี้จิตก็ค่อยสงบ ๆ แน่ว เพราะมันอยากออกเท่าไรมันออกไม่ได้ อยากคิดไปอะไรคิดไม่ได้เลย นั่นแหละที่ว่าทุกข์ตรงนี้ สติบังคับไม่ให้ออกเลย เอ้า ทุกข์เป็นตายก็ให้อยู่กับที่นี่ จะไม่เอาอะไรทั้งนั้น ตลอดความเสื่อมความเจริญของจิตที่เคยเป็นมาไม่สนใจ จะเอาจุดนี้จุดเดียว
เสื่อมเจริญเป็นยังไงให้รู้กันตรงนี้คราวนี้ เพราะมันทุกข์แสนทุกข์มาแล้ว แต่เรากำหนดวันไม่ได้ แต่ว่าไม่นานนะ ที่บีบกันอยู่ตลอดเวลานี่ไม่นาน ทีนี้จิตก็ค่อยรู้สึกตัวละเอียดเข้าไปๆ พุทโธติดตลอด สติติดตลอดไม่ให้เผลอ จนกระทั่งพอมันเข้าไปละเอียดจริง ๆ แล้วพุทโธหายเลย นี่มันเห็นอยู่ในนั้น ที่บริกรรมพุทโธ ๆ หายไปหมด กำหนดก็ไม่ได้นะ ไม่มี ตั้งใจจะกำหนดให้เป็นพุทโธไม่มีเลย มีแต่ความละเอียดของจิตแน่ว เกิดงงนะ อ้าว ทำยังไงที่นี่ ก็เราบริกรรมพุทโธมาตลอด ทีนี้พุทโธไม่มี กำหนดยังไงก็กำหนดไม่ออก ไม่มีเลยทำยังไง ทีนี้มันก็มีอันหนึ่ง เอ้า ถ้าพุทโธหายไปความรู้ไม่หาย ให้สติจับอยู่กับความรู้ที่ละเอียด ให้อยู่กับตรงนั้น มันรู้สึกตัวอยู่ในนั้น แล้วจับกับความละเอียดของจิตที่มันบริกรรมพุทโธไม่ได้ มันละเอียดขนาดนั้นนะ
พอบริกรรมพุทโธไม่ได้ก็ให้อยู่กับความรู้อันนั้น จ่ออยู่นั้นเลย ทีนี้พอมันได้จังหวะมันก็คลี่คลายออกมา เรียกว่าจิตสงบนั่นแหละ พอมันคลี่คลายออกมา พอพุทโธบริกรรมได้ปั๊บจับติดปุ๊บอีกเลย ติดอย่างนี้ ทีนี้ได้ความเป็นบทเรียนอันหนึ่งแล้ว เวลาจิตละเอียดจริง ๆ นี้ไม่มีคำบริกรรม หมด กำหนดยังไงก็ไม่มี ไม่มีเลย ทีนี้พอมันคลี่คลายออกมากำหนดได้ปั๊บจับติดปุ๊บ มันก็ลงอย่างนั้นอีก คือสงบเข้าไปอย่างนั้นอีก มันก็มีวิธีรักษาได้ล่ะซิที่นี่ พอมันละเอียดเข้าไปอยู่ที่ความละเอียด หลายครั้งหลายหนก็สร้างฐานขึ้นมาเป็นความสงบเป็นความเย็น ความรู้นี้เด่นขึ้นๆ จำให้ดีนะผู้ปฏิบัติ
สตินี้เป็นไม่ถอยนะ ถอยไม่ได้สติ ต้องติดแนบตลอดเลย ทีนี้มันก็ค่อยสร้างฐานขึ้นมาแน่นหนามั่นคงขึ้นมา ๆ จนกระทั่งถึงที่มันขึ้นไปเจริญอยู่สองคืนสามคืนนั่นละ ไปอยู่ที่นั่น ขึ้นถึงนี้แล้วมันเคยเสื่อม เอ้า เสื่อมไปไม่สนใจกับมัน แต่พุทโธจะไม่ปล่อย ไปถึงนั้นก็อยู่กับพุทโธอีก ไม่สนใจกับความเสื่อมความเจริญ ทีนี้ไม่เสื่อมนะ เอาอยู่นี้ เสื่อมไม่เสื่อมเราไม่สนใจ แล้วก็ยิ่งละเอียดเข้าๆ นี่เรียกว่าตั้งรากฐานในเบื้องต้น จากนั้นจิตก็แน่นหนามั่นคงเข้าเรื่อย ๆ
พอท่าน (หลวงปู่มั่น) ไปเผาศพหลวงปู่เสาร์มาเราก็ไปรับท่านที่พระธาตุพนม พอมากับท่านมาถึงนี่แล้วทีนี้ก็ฟัดใหญ่เลย ทีนี้หมดภาระแล้วจะเอากันให้ถึงเหตุถึงผล จิตได้หลักแล้วคราวนี้ จะเอาให้หนักยิ่งกว่านี้อีกมันก็ซัดกัน นั่นละตอนนั้น หลังจากไปพระธาตุพนมมาถึงดูเหมือนจะเดือนพฤษภาฯ หรือจะเข้ามิถุนาฯ ละมั้งเราก็ลืม ๆ เสีย แต่มันจวนจะเขาจะลงทำไร่ทำนาแล้ว พอมาถึงทีนี้หมดภาระละ เอาละที่นี่ฟัดกันเลย นี่ละตอนนั่งตลอดรุ่งนะ พอมันได้ที่ก็ก้าวเข้าสู่นั่งตลอดรุ่ง ซัดกันใหญ่เลย ที่ว่าให้ฟัง ที่ว่าก้นแตก ระยะนี้ละเอากันอย่างหนัก เพราะเคียดแค้นสุดกำลังทีเดียว ถึงขนาดที่ว่าถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้แล้วเราต้องตาย จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเรายังไม่ตายจิตเราจะเสื่อมไปไม่ได้ ฟัดกันอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่เสื่อม นี่หมายถึงว่ามันเข็ดหลาบ
โถ จิตเสื่อมนี่ทุกข์มากจริง ๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดา เราจึงได้ยกข้อเปรียบเทียบมาให้เพื่อนฝูงฟัง เหมือนอย่างคนที่มีเงินมีทองเป็นล้าน ๆ แต่ไปล่มจมด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเสีย แล้วยังเหลือเงินอยู่ในบ้านในเรือนประมาณเป็นหมื่นเป็นแสนไม่ได้สนใจนะ นู่นน่ะมันไปเสียใจอยู่ที่เงินจำนวนมากที่มันล่มจมไปนู่นนะ มันไปอยู่นู่นนะ เงินมีอยู่ในกระเป๋ามันก็ไม่สนใจ มันไปเสียใจอยู่กับเงินที่ล่มจมไปนั้น นี่ละที่จิตเกิดความเสียใจ เพราะจิตเรานี้มันภาคภูมิตัวเองเหมือนกับว่ามีเงินล้าน ทีนี้มันไปจมเอาเสียไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วจะไปสานหวดขายเอาเงินล้านมีอย่างเหรอ เกลี้ยงเลย แต่มันไม่ท้อใจเท่านั้นเอง ทุกข์มากนะ ทุกข์แสนสาหัส เราเห็นประจักษ์ตัวของเราเอง อยู่ที่ไหนหาความสบายไม่ได้เลย เหมือนไฟไหม้กองแกลบเผาอยู่ในนี้ มันอะไรพูดไม่ถูก ถ้าเป็นไฟก็ไม่แสดงเปลวแต่เป็นถ่านไฟแดงโร่ มันเผาหัวอก
นี่ละการตั้งจิตต้องได้ใช้การพินิจพิจารณาอย่างมาก ถ้าเราไม่พิจารณานี้เราก็ตั้งตัวไม่ได้ จะฟัดจะเหวี่ยงกันไปก็ไม่ได้เรื่องได้ราว จึงได้มาจับอันนี้ติด ๆ แล้วก็เอากันได้เลยจึงได้มาสอนหมู่เพื่อน เพราะสอนอะไรเราทำมาแล้ว เป็นอาจารย์ชั้นเอก ๆ มาแล้ว สอนจึงไม่ผิด วิธีการที่เป็นยังไง เรื่องสติมาเห็นคุณค่าตอนนี้ ที่ว่าสติสำคัญมากๆ สำคัญที่เรามาทำตัวของเราให้เห็นเด่นชัด จากนั้นพอมันก้าวขึ้นถึงขั้นนั่งตลอดรุ่ง จิตมันผึงลงไปแล้วทีนี้รู้ขึ้นมาเลย ทีนี้ไม่เสื่อม ถึงไม่เสื่อมก็ตามความเข็ดหลาบยังมีน้ำหนักมากอยู่ ถึงไม่เสื่อมก็ไม่เชื่อ จะให้ถอยกันถอยไม่ได้มันจะหลอกเราอีก มันก็ซัดกันใหญ่
มัน ๙ คืน ๑๐ คืนที่นั่งตลอดรุ่งๆ เป็นแต่เพียงว่าไม่ติดกัน เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง นั่งเรื่อย ๆ คิดดูจนก้นแตก ทีแรกมันก็ไม่แตก คืนแรกๆ มันออกร้อนธรรมดาเหมือนไฟเผา ครั้นต่อไปออกร้อนมันก็พองเพราะนั่งไม่ถอย จากพองมันก็แตก จากแตกมันก็เลอะ มันไม่ถอยไม่ได้สนใจนะกับก้นแตก สนใจกับกิเลสเท่านี้มันหนักอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอารมณ์ในร่างกาย มันจะเป็นจะตายเป็นไม่ถอยนี่อันหนึ่ง ความมุ่งมั่นนี้แรงมาก ความมุ่งมันจะเป็นพระอรหันต์นั่นเองไม่ใช่อะไร จะให้เป็นพระอรหันต์เท่านั้นในชาตินี้ เพราะได้เชื่อธรรมะพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแล้ว
ท่านบอกว่า กิเลสก็ดีธรรมก็ดี อยู่ในท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหนไม่มี มีอยู่ที่ใจ ท่านไปหาอะไรหาอรรถหาธรรม ไม่ลืมนะ อันนั้นๆ ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ท่านว่า ธรรมแท้กิเลสแท้อยู่ที่ใจ ให้ท่านเอาลงที่ใจ จิตตภาวนาเอาให้หนักนะ ท่านว่า ท่านจะได้เห็นทั้งกิเลสทั้งธรรมอยู่ที่ใจนั้นแหละ ว่าอย่างนี้เราไม่ลืมนะ กิเลสก็ดีธรรมก็ดีจะเห็นจะเจอกันที่ใจ ที่อื่นไม่มี เอาลงตรงนี้นะ ท่านว่า มันก็ซัดลงตรงนั้น เพราะเราเป็นเถรตรง ถ้าเชื่อตรงไหนมันเอาจริงเอาจัง มันก็ได้นั่นแหละ มาได้นั่งตลอดรุ่งทุกคืนไม่มีพลาดนะ จิตลงแดนอัศจรรย์ได้ทุกคืน เวลามันลงนี้ โถ อัศจรรย์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจอยู่นะ แต่มันก็อัศจรรย์ตามขั้นของมัน เพราะเราไม่เคยรู้เคยเห็นก็อัศจรรย์เต็มหัวใจนั้นแหละ
แต่ละครั้งๆ นี่มันอัศจรรย์ตัวเองเต็มหัวใจ ได้สักขีพยานแล้วเพิ่มกำลังวังชาทุกอย่างขึ้น ต่อจากนั้นก็ยิ่งก้าวเข้าไป ทีนี้จิตเป็นภูเขาแน่นปึ๋งเลยเทียว แน่นก็ไม่ได้ถอยไม่ได้เชื่อมัน มันเข็ดตั้งแต่นั้นแล้ว จะเป็นจะตายตั้งปีหนึ่งกับห้าเดือน เดือนพฤศจิกาฯปีนี้จิตเสื่อม ปีหน้าเดือนพฤศจิกาฯผ่านมา ผ่านไปจนกระทั่งถึงเดือนเมษาฯ เป็นกี่เดือน พฤศจิกาฯเดือนนี้แล้วพฤศจิกาฯเดือนหน้าเป็นหนึ่งปี แล้วธันวาฯ มกราฯ กุมภาฯ มีนาฯ เมษาฯ ๑ ปีกับ ๕เดือน นี่ละที่ไฟเผาหัวอก ไม่ลืมนะ แหมมันทุกข์จริง ๆ
จากนั้นแล้วมันก็ไม่เสื่อม ตั้งหลักได้ด้วยพุทโธ พอมันไม่เสื่อมก็เอากันใหญ่จนถึงขั้นจิตนี้เป็นภูเขาเป็นหินทั้งแท่งเลย ไม่เสื่อมก็ไม่ยอมเชื่อมัน มีแต่ขยำเข้าเรื่อยจะเพิ่มเข้าไปอีก มันก็ลงถึงขั้นเต็มที่ ๆ สมาธิเต็มภูมิ จิตเท่ากับภูเขาแน่นปึ๋งเลยเทียว อยู่ที่ไหน ๆ ไม่มีหวั่นมีไหว อยู่ในหัวอกแน่นปึ๋ง มีแต่ความอัศจรรย์อยู่ในจิต ในขั้นสมาธิก็อัศจรรย์นะ เพราะเราไม่เคยมีเงินมากเท่านี้ สมมุติว่าเกิดมาเราไม่เคยมีเงินหนึ่งพันบาท เราได้หนึ่งพันบาทแล้วภูมิใจ เขาได้เป็นล้าน ๆ เขาไม่เห็นภูมิใจ เราได้พันบาทนี้ภูมิใจ มันภูมิใจกับภูมิธรรมของตัวเอง
จากนั้นแล้วก็ถูกพ่อแม่ครูอาจารย์ขนาบ เรื่องพ่อแม่ครูจารย์ขนาบนี้เป็นระยะ ๆ ขนาบไล่ออกทางวิปัสสนาทางปัญญานี้ก็ออก ออกจากนั้นก็ผาง นี่ละขั้นปัญญาที่เวลามันออกแล้วใครคาดคิดไม่ได้นะเรื่องปัญญา สมาธิเต็มภูมิเหมือนน้ำเต็มแก้ว สมาธิเมื่อเต็มภูมิแล้วพอเหมือนกัน เหมือนน้ำเต็มแก้วจะทำให้เลยนั้นไม่เลย เป็นหินอยู่อย่างนั้น ให้เลยจากนั้นไปไม่มี นี่เรียกว่าสมาธิเต็มภูมิเหมือนน้ำเต็มแก้ว ทีนี้พอเปิดทางวิปัสสนาไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ มันเป็นท้องฟ้ามหาสมุทรไปแล้ว พอเปิดออกพิจารณาทางด้านปัญญามันเบิกกว้างออก ๆ
สมาธิเพียงเท่านี้แต่ก่อนก็อัศจรรย์ตัวเอง พอก้าวออกสู่สมาธิเท่านั้น มันเลยมาเห็นโทษของสมาธิ มันนอนตายเฉย ๆ มันไม่ได้แก้กิเลส ปัญญาต่างหากแก้กิเลส แล้วปัญญาต่างหากที่จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ในสมาธิไม่เห็น ก็ไม่เห็นจริง ๆ นะ มีเท่าไรก็ไม่เคยเห็นวี่ ๆ แวว ๆ อะไรนอกไปจากสมาธิ พอก้าวออกทางด้านปัญญาเหมือนเราออกจากห้อง มองดูที่ไหนมันเวิ้งว้างๆ ไปเรื่อยด้วยปัญญานะ ทีนี้กิเลสมันก็เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาเกี่ยวโยงกันมันก็เห็นไปล่ะซิ ท่านบอกบาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพาน ปิดได้ยังไง ว่าอย่างนี้เลยเอาสด ๆ ร้อน ๆ นะ
พอตัวนี้จ้าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่แล้วนี่นะ มันหลับตาเฉย ๆ มันไม่เห็น พอลืมตาขึ้นมากน้อยมันก็เห็นล่ะซิที่นี่ แล้วจะค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ก็ท่านสอนไว้หมดแล้วเป็นแต่เพียงว่าเราตาบอดมันไม่เห็นเท่านั้น พอกระจ่างไปนี้สติปัญญานี้เพลิน การฆ่ากิเลสก็เพลิน อีกอย่างหนึ่งถ้าหากว่าความมุ่งมั่นในแดนพ้นทุกข์ไม่มีกำลังมาก ดีไม่ดีมันอาจจะเพลินกับสิ่งเหล่านั้นเป็นการกดถ่วงเวลาให้ล่าช้าไปก็ได้นะ ความรู้ความเห็นในสิ่งต่าง ๆ บาปบุญนรกสวรรค์เปรตผีประเภทต่าง ๆ มันรอบกันอยู่ในหัวใจ แต่นี้ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส นั่นมันแก้กัน เข้าใจไหม อันนี้ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส
เรื่องแก้กิเลสคือความเพียรสติปัญญาหยั่งลงหากิเลสต่างหาก แก้กิเลสได้ตรงนี้ เลิศอยู่ตรงนี้ อันนั้นไม่ได้เลิศ มันก็พลิกกลับมามันไม่ค่อยสนใจ ถึงยังไงมันก็ไม่พ้นที่มันจะรู้เพราะมันเกี่ยวโยงกันอยู่ความรู้นี้ ท้องฟ้ามหาสมุทรยังแคบ อันนี้ยังกว้างกว่านั้นอีกเวลามันออกของมัน ท่านทั้งหลายฟังซิ การพูดอย่างนี้ใครมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เราเกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่เรา โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่เคยพูดให้เราฟัง พูดธรรมะประเภทนี้ แต่มันก็มาเป็นขึ้นอย่างใจนี้ปิดได้ยังไง ทีนี้เวลามันเบิกกว้างออกมานี้กิเลสตัวไหน มันก็หยั่งตั้งแต่กิเลสก่อน
ท่านบอกกิเลสอยู่ในหัวใจ ผิดไหมพระพุทธเจ้าบอก ท่านบอกว่ามันอยู่ท้องฟ้าที่ไหน บอกอยู่หัวใจ ธรรมก็อยู่ที่หัวใจ ทีนี้เวลาพิจารณาเข้าไปแล้วกิเลสมีมากน้อยมันก็เห็นที่หัวใจๆ แล้วธรรมมีมากน้อยมันก็แก้กันที่หัวใจรู้กันที่หัวใจ นี่ทั้งธรรมทั้งกิเลสมันรู้มันแก้กันอยู่ภายใน ๆ ออกเรื่อย ๆ กิเลสประเภทหยาบกลางละเอียด มันเป็นลำดับลำดา ประเภทหยาบนี้ต้องฟัดต้องเหวี่ยง สุดฟัดสุดเหวี่ยงประเภทแรก หนักมากที่สุด ร่างกายก็หนัก ทางด้านจิตใจฝึกทรมานก็หนัก จากนั้นก็ก้าวออกทางกิเลสส่วนกลางส่วนละเอียด ทางปัญญานี้หนักเข้าโดยลำดับ กิเลสอ่อนลง ๆ มันก็รู้เห็นอยู่อย่างนั้น
กิเลสแต่ก่อนมันแข็งขนาดไหน ปัญญานี้ล้มทั้งหงาย ๆ ก็รู้ พอฟิตไปหลายครั้งหลายหนไม่หยุดไม่ถอยทางนี้ก็มีกำลังขึ้นก็ซัดกัน ทั้งเขาทั้งเราทั้งกิเลสทั้งธรรมล้มหงาย ๆ ละที่นี่ มันเอากันนะ สุดท้ายก็มีแต่กิเลสล้มหงาย ธรรมะไม่ล้ม ไม่ล้มซัดกันเรื่อยเลย นี่ละที่ว่าแดนอัศจรรย์ไม่มีอะไรเกินจิต ขอให้เปิดจิตออกเถอะ สิ่งที่มันเหลือเชื่ออย่างพวกเราทั้งหลายทุกวันนี้เรียกว่าเหลือเชื่อ คือดังที่ว่านี่แหละ กิเลสนี้หนึ่ง ใครแก้ได้ถ้าไม่เหลือเชื่อเอาซิน่ะ มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เท่านั้นแก้กิเลสในหัวใจได้ นอกนั้นเหลือเชื่อทั้งหมดในบรรดาสัตว์โลก มันจึงตาบอดตลอดไป เข้าใจไหมล่ะ เอาตรงนี้เสียก่อนนะ มันเหลือเชื่อว่ากิเลสมีหรือไม่มี มันดิ้นอยู่กับกิเลสทุกวัน มันไม่ได้เชื่อว่าเป็นกิเลส มันเชื่อว่ากิเลสนั้นคือเรา พอว่าเป็นเราเสียอย่างเดียวแล้วมันก็ไม่แตะกันละซิ นี่ละเราก็ไม่เห็น
เอาตรงนี้เสียก่อนนะเบื้องต้น กิเลสอยู่ในใจของเรา เรายังไม่รู้ว่าเรามีกิเลส เราเป็นกิเลส อะไรๆ มาก็ว่าเป็นเรา ๆ กิเลสมาเป็นเราเสียอย่างเดียว แล้วมันก็ปิดคำว่ากิเลสไปหมดเสีย ทีนี้เราก็ลืมตัวละซิ นี่ละกิเลสเบื้องต้นเอาตรงนี้ พอเปิดจากสมาธิขึ้นไปเป็นปัญญาแล้วมันจะเริ่มเห็นกิเลส พอเริ่มเห็นกิเลสแล้วก้าวออกเรื่อย กิเลสก็เห็น ธรรมก็เห็นไปด้วยกัน ทีนี้สิ่งเกี่ยวโยงกันกับใจดวงนี้ซึ่งเป็นนักรู้มันก็เกี่ยวโยงกันไป บาปบุญ นรกสวรรค์ ปิดได้ยังไง ก็มันเกี่ยวโยงกันอยู่ตลอดเวลา เป็นแต่เพียงตาบอดมันไม่เห็นเท่านั้นเอง พอเปิดตาออกเท่าไรมันก็เห็นชัดๆ เข้าไป แล้วจะไปค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ตาแบบเดียวกัน ความรู้ของใจอันเดียวกัน รู้เห็นสิ่งไหนมีแต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นแล้วสอนไว้แล้ว ๆ เราจะค้านท่านได้ยังไง ๆ อ๋อ ๆ มีแต่ อ๋อ ๆ เท่านั้นแหละ มันก็ไปใหญ่ละซิ
ทางภายนอกมันก็รู้เห็น แต่มันก็หักจิตนะ คือทางภายนอกนั้นเหมือนเราไปเห็นต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ผ่านไปธรรมดา แต่เห็นกิเลสนี้เห็นด้วยฆ่าด้วย เพราะฉะนั้น จึงไม่สนใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องภายนอก ไม่ใช่กิเลส แน่ะ มันเป็นอยู่นะ กิเลสแท้เป็นข้าศึกของเรา สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นข้าศึกถ้าเราไม่เป็นข้าศึกในตัวเองเสีย ไปทำความชั่วแล้วไปตกนรกหมกไหม้กับสิ่งที่เราเห็นคือนรก อันนั้นไม่เป็นภัยไม่เป็นคุณ มันเป็นภัยเป็นคุณอยู่กับเรา อะไรมาเป็นภัยเป็นคุณก็คือกิเลสพาเป็น มันก็มาแก้กิเลส หมุนเข้ามาหากิเลส ไม่สนใจกับสิ่งภายนอก ทั้งรู้ทั้งเห็นอยู่ก็ไม่สนใจยิ่งกว่าการแก้กิเลส มันก็หมุนเข้ามาภายใน ๆ
หมุนเข้าไปเท่าไรมันก็ยิ่งเห็นกระจ่างแจ้งออกไปโดยลำดับลำดา ทางกิเลสก็เห็นชัดเจน ๆ เอ้า สุดท้าย เอาแบบสุดท้ายเลย เราไม่ต้องพูดไปให้ยืดยาว พออันนี้ละเอียดเข้าไป กิเลสละเอียด ธรรมะละเอียด สติปัญญาละเอียดๆ เข้าไป ๆ มันตามกันทันไปหมด ทีนี้เวลามันหมดอันนี้จ้าแล้ว ถามหาอะไรข้างนอก ทีนี้กิเลสมีหรือไม่มันก็รู้ พวกเราไม่ได้เชื่อว่ากิเลสมีในใจนะ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เท่านั้นท่านฆ่ามันด้วย ท่านเชื่อนี้อันดับแรกที่ท่านเชื่อ จากนั้นสิ่งที่เป็นบริษัทบริวารเหมือนต้นไม้เป็นต้นแล้ว กิ่งก้านสาขาดอกใบมันก็ติดอยู่กับต้นมันทำไมจะไม่เห็น มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ทีนี้บาปบุญนรกสวรรค์มันก็เกี่ยวเนื่องกับหัวใจที่จะรู้สิ่งต่าง ๆ มันจะปิดกันได้ยังไง นั่นฟังซิน่ะ มันจ้าอยู่อย่างนั้น
นี่ละท่านเอามาสอน ท่านสอนด้วยความตาดีจริง ๆ รู้เห็นจริง ๆ มาสอนพวกเรา พวกเราฟังด้วยความตาบอดหูหนวก ไม่สนใจ มันก็จมอีก ๆ อยู่นี่ เป็นยังไงพากันเชื่อหรือยัง แล้วยังจะมีอีกตลอดนะ เพราะอันนี้มีมาดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ใช่มีเพียงเท่านี้แล้วจะดับไปสองสามวันข้างหน้านะ มีอยู่อย่างนี้ตลอดไป เป็นแต่เราไม่เห็นเท่านั้น พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็เห็นสิ่งที่มีอยู่เหล่านี้ พวกเปรตพวกผี สัตว์นรกเหล่านี้ มีอยู่ตลอด เป็นแต่เพียงว่า ดังที่เราเคยพูดแล้วเหมือนนักโทษ นักโทษในเรือนจำ มองไปทีไรก็เต็มเรือนจำเหมือนมีแต่นักโทษคนเก่า ความจริงคนใหม่ก็มีคนเก่าก็มี
คือคนเก่ามันติดคุกติดตะรางมันพ้นโทษมันออกไป คนใหม่ไหลเข้าไปใช่ไหมล่ะ ทีนี้มองไปมันก็เต็มอยู่แต่นักโทษ ประหนึ่งว่านักโทษคนเก่า มันไม่ใช่คนเก่า คนใหม่ก็มีคนเก่าก็มี อันนี้สัตว์นรกพวกเก่าก็มี พวกใหม่พวกไหนที่มีกรรมหนักยังไม่ได้ออก มันก็อยู่ในนั้น เอ้า ทำชั่วไปลงไปอีก ขึ้นลง ๆ อยู่อย่างนี้ เหมือนว่านรกนี้มีแต่สัตว์ตัวเก่า ตัวใหม่ก็มี ไอ้ตัวใหม่ก็ตัวเรานี้แหละ ลูกศิษย์หลวงตาบัวมันกำลังเขียนใบสมัครกันเวลานี้ เข้าใจไหม มันบอกว่านรกไม่มี อะไรไม่มีๆ ที่มันมี โอ๊ย.วันนี้เหนื่อย อันนี้มี ระวังให้ดีนะ
อยากให้รู้ให้เห็นนะ พระพุทธเจ้าสอนโลกด้วยพระเมตตาล้วน ๆ บอกแล้ว ท่านไม่ถือสีถือสากับสัตว์โลกนะ สัตว์โลกจะว่าอะไรจะโจมตีอะไร ๆ ท่านไม่เคยสนใจ อันนี้เหนือกว่าคือความเมตตาสงสารที่ทรงรู้เห็นทั้งโทษทั้งคุณเต็มพระทัย แล้วเอามาสอนโลก โลกมันไม่เห็นมันก็เห่าว้อ ๆ ๆ บาปไม่มีบุญไม่มี ท่านก็เฉย ท่านไม่สนใจ มันทั้งเห่าทั้งกัดพระพุทธเจ้าแหละ ไม่ใช่เฉพาะทุกวันนี้นะ มันเห่ามันกัดพระพุทธเจ้ามาทุก ๆ พระองค์นั่นแหละ ไอ้พวกถังขยะนี่ มันอยู่ในถังขยะมันขึ้นมาเห่าว่อ ๆ เห่าปิดป้อง มันไม่ยอมให้ธรรมเข้าสู่หัวใจมัน มันปิดป้องธรรมไว้ในถังขยะ มันไม่ให้ธรรมเข้ามาเฉียดถังขยะได้แหละ คือถังขยะเป็นหอปราสาทของเขา เข้าใจไหม เป็นอย่างนั้นนะ
พระพุทธเจ้าสอนโลกจึงไม่มีถือสีถือสาอะไรกับโลก หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว โลกจะว่าอะไรไม่สนใจ มีแต่ความเมตตาสงสาร ใครพอฉุดได้ เอ้า ฉุดออก ๆ ผู้ไม่ได้มันจมก็สุดวิสัยเท่านั้นเอง ที่จะให้ท่านไปถือสีถือสากับสัตว์โลกท่านไม่มี พระพุทธเจ้าก็ไม่มี พระอรหันต์ก็ไม่มี มีแต่ความเมตตาสงสารเท่านั้นเอง พากันพิจารณานะ
นี่เราพูดถึงเรื่องการตั้งจิต เราจะไม่ได้อย่างนั้น เราอยู่ครอบครัวเหย้าเรือนนี้ ขอให้มีสติเถอะน่ะ คนเราจะรู้สึกตัว การทำบาปจะไม่มากนะคนมีสติ คนเชื่อธรรมทำบาปไม่มากนะ แล้วทำบุญหนักเข้าไปเป็นพื้นเป็นฐานเรื่อย ๆ ไป นี่คนมีสติ ถ้าไม่มีสติแล้วโกโรโกโสตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ โกโรโกโสตลอด ชาตินี้ทั้งชาติจนกระทั่งวันตายตลอด โกโรโกโส ตายไปก็แบบนั้นเลย เอาปัจจุบันนี้วัดอนาคตของตัวของเรา ถ้ามันยังโกโรโกโสอยู่นี้มันจะเป็นอย่างนี้ เพราะต่อไปก็คือใจดวงนี้ตัวโกโรโกโสนี้จะไปโกโรโกโสข้างหน้า ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาไม่ไปนรก เขาไม่ขึ้นสวรรค์ เขาไม่เป็นบาปเป็นบุญธาตุขันธ์นี้ เป็นที่หัวใจนะ เป็นบาปเป็นบุญ โกโรโกโสอยู่ที่หัวใจ มั่นคงอยู่ที่หัวใจ เอาตรงนี้ให้ดี พากันจำให้ดี เอาละพอ
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.Luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|