เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ฝังใจไม่ลืม
วันนี้พอฉันเสร็จนี้แล้วก็จะได้ลงกรุงเทพ ต้องสัตตาหะไป ๗ วัน ไปวันนี้ ดูว่ากลับวันที่ ๓ ครบ ๗ วัน ไปรวบรวมทองนี่ละเข้างานกฐิน งานกฐินนี้จะเป็นงานรวบรวมทอง ก็ได้กำหนดแล้วว่า เรากำลังไม่ไหวแล้ว สิ้นปีนี้เราก็หยุดแหละ ช่วยมาตั้งหลายปี เมืองไทยเราจะได้มากน้อยเพียงไร ก็เป็นกรรมดีกรรมชั่วของเราเอง ได้มากเป็นกรรมดี ได้น้อยเรียกว่าเป็นกรรมชั่ว มันขี้เกียจทำมันกรรมชั่วพวกนี้ เข้าใจไหม ก็ตั้งใจว่าจะให้ได้ทองน้ำหนัก ๑๐ ตัน เวลานี้ร่วม ๘ ตันแล้ว เราคาดไว้ว่าอาจได้อย่างนั้นเลย ๑๐ ตัน เวลานี้ยังเหลืออยู่ ๒ ตันกว่าเล็กน้อย ได้มาแล้ว ๗,๗๗๗ กิโลครึ่ง ที่ยังไม่ได้หลอมก็มี ไปคราวนี้จะได้รวบรวมทองคำหลอม หลอมได้ยังไม่พอก็เก็บไว้ก่อนๆ พอมอบเมื่อไรก็มอบ คือส่วนมากทองคำมักจะมอบต้อง สี่ห้าร้อยกิโลขึ้นไป เราถึงจะมอบทีหนึ่งๆ อย่างคราวที่แล้วตันกว่า คราวนี้ก็จะเอาตอนกฐินทีเดียวเลย ได้มากน้อยยังไม่มอบเวลาใดเลยแหละ จะไปมอบเวลาผ่านกฐินไปเรียบร้อยแล้วทีเดียวเลย
ดอลลาร์ก็เหมือนกัน จะมอบในระยะเดียวกัน คือดอลลาร์กับทองคำไปตามกัน พอมอบทองคำแล้วดอลลาร์ก็เคียงข้างกันไปๆ เราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว คิดดูพี่น้องทางภาคใต้กำหนดเรียบร้อยแล้วนะ เราว่าจะไปให้ทั่วถึงหมด แต่หมายเอาที่ว่าภาคใต้เป็นภาคใหญ่ เราต้องเอาวาระสุดท้าย พอถึงวาระสุดท้ายกำลังหมด โอ๋ย ตาย เลยหมดหวัง ได้ประกาศให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน เฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้ของเรา ซึ่งเรากำหนดไว้เต็มที่แล้วนะ ทีนี้กำลังมันไม่อำนวยซิ อ่อนลงๆ แม้แต่แถวๆ นี้ก็ไปไม่ได้ ต้องขอผ่านๆ เราจะรับให้เฉพาะที่จำเป็นๆ เท่านั้น จึงเสียใจคราวนี้ เลยไม่ได้ทั่วถึง มาทำงานบั้นแก่อย่างว่านั่นแหละ ทำงานบั้นแก่มันเลยไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร กำลังไม่มี มีแต่คอยจะหมดๆ อยู่อย่างนั้น
ได้บอกแล้วว่า สิ้นเดือนธันวาแล้วเราก็หยุด การที่จะไปรบกวนพี่น้องทั้งหลายดังที่เคยเป็นมาแล้ว ก็เรียกว่าไม่ไปแล้ว ส่วนการบริจาคท่านผู้มีศรัทธานั้น จะบริจาคมาทางใดก็ได้ บัญชีเราไม่ปิด เราปฏิบัติตามเดิม คือบัญชีไม่ว่าทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เราเปิดไว้ตามเดิม เป็นแต่เพียงว่าเราไม่ได้ออกไปเที่ยวรบกวนพี่น้องทั้งหลายเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น ส่วนการทำงานนั้นเราก็จะรับบริจาคไว้ตามเดิม ได้มากน้อยเพียงไรเมื่อสมควรควรยุติแล้ว เราก็จะประกาศเอง บอกว่ายุติ ให้เป็นปรกติ ไม่หารบกวนต่อไปอีก เป็นปรกติก็คือว่า หยุดแล้วการหาสมบัติเงินทองเข้าสู่หัวใจแห่งชาติไทยเรา หยุดแล้ว บอกปรกติก็ปรกติไปเลย เวลานี้ยังไม่ปรกติ หยุดส่วนใหญ่ ส่วนย่อยก็ให้มันไหลซึมเข้ามาเสียก่อน จนกระทั่งมันเต็มที่เต็มบึงแล้วก็เอาละ หยุด ก็ว่างั้น
วันนี้ก็มากคน วันเสาร์ แน่นไปหมด คนมาก นี่จะไม่อยู่นานแหละ เพราะวันนี้ก็ยังมีงานขวางหน้าอยู่ที่กรุงเทพ พอไปถึงที่พักแล้วเอาของลงเล็กน้อย พักชั่วขณะไม่ได้นานนะ ก็จะออกไปงานศพเขาอีก โน่นวัดมกุฏฯ เขารออยู่โน้น ออกจากสวนแสงธรรมเราก็ไปโน้นเลย ถ้าจะเลยไปโน้นมันพะรุงพะรังมาก เลยต้องไปสวนแสงธรรมเสียก่อน เสร็จแล้วค่อยออกไป เรียกว่าวันนี้ไม่ว่างทั้งวัน พอไปถึงก็เป็นระยะๆ รออยู่ พอตอนค่ำก็มีอีก มาถวายทองคำ มาถวายอะไร ก็กำหนดไว้เรียบร้อย ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เราไปงานศพที่วัดมกุฏฯ ประมาณสัก ๕ โมงหรือ ๔ โมงกว่า จากนั้นก็กลับมา ตอนค่ำก็พอดี เขาก็เข้าถวายทองอะไรต่ออะไรที่สวนแสงธรรม
นี่ก็ไปวันที่ ๒๗ พอวันที่ ๓ ก็กลับ คือตามหลักพระวินัย อนุญาตให้ไปในพรรษาได้ ๗ วัน แล้วกลับมาค้างวัด หากว่างานการยังไม่เสร็จ จำเป็น เช่น ซ่อมแซมที่พักศาลาอะไรท่านบอกตามหลักพระวินัย ให้ไปได้อีก แต่อย่างน้อยให้ค้างคืนเสียคืนหนึ่งก่อนแล้วค่อยไป ได้ ๗ วันแล้วกลับมา ปีนี้รู้สึกว่าได้สัตตาหะบ่อยนะ เราก็เห็น เหตุการณ์มันก็เป็นไปตามนั้นจะว่าไง จะตำหนิก็ตำหนิไม่ได้เพราะมันจำเป็น ก็อย่างนี้แหละ ไปเกี่ยวกับเรื่องชาติบ้านเมืองของเรานั้นแหละไม่ใช่อะไร เราก็จำเป็นต้องสัตตาหะไป นี่ก็ออกทางวิทยุ ออกทางอินเตอร์เน็ตทั่วโลก พูดเวลานี้ก็กำลังออก เขาก็ฟังเหมือนกันกับเราเวลานี้นะ เพราะฉะนั้นจึงได้พูดทุกวันตอนเช้าๆ ทุกเช้าๆ ถ้าเราอยู่ที่นี่ ไม่มากแหละประมาณ ๒๐ นาทีหรือ ๒๕ นาทีพอดีกับเช้าหนึ่งๆ อย่างนั้น
เราอยากให้พี่น้อง เฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชาวไทยเรา ได้เข้าใจเรื่องพุทธศาสนาพอให้หยั่งลึกลงถึงใจบ้าง จึงสอนทางด้านจิตตภาวนาเสมอ นี้คือรากแก้วของพุทธศาสนาเราอยู่ที่ใจ อยู่ที่จิตตภาวนา เหตุการณ์ทั้งหลายอยู่ในใจทั้งหมด โลกธาตุนี้รวมเข้ามาอยู่ในใจแห่งเดียว มันคิดไปไหนยึดไหนถือไหนอะไรเรื่องอะไรยุ่งเหยิงวุ่นวาย ลากจากนอกเข้ามาอยู่นี่ มาทำงานเอาไฟเผาหัวอกเจ้าของ ถ้าไม่มีธรรมเป็นน้ำดับไฟมันก็เผาเรื่อย เผาทุกประเภทอยู่ในหัวอกนี่นะ เราอย่าเข้าใจว่ากองทุกข์ทั้งหลายจะอยู่ดินฟ้าอากาศทั่วแดนจักรวาล จะไม่มีทุกข์ที่ไหนอยู่เลย อยู่ที่หัวใจของสัตว์โลก เพราะหัวใจนี้เป็นใจที่คึกที่คะนองด้วยอำนาจของกิเลส มันพาคึกพาคะนอง ให้คิดให้ดีดให้ดิ้นยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลา เอาเรื่องนั้นมาเรื่องนี้มาเข้ามาเผาเจ้าของอยู่ภายในหัวอก เมื่อไม่มีน้ำดับแล้วก็แหลกเป็นเถ้าเป็นถ่านไปเลย มีน้ำดับไฟไฟก็สงบลงไป ความคิดมากๆ นั้นเราเอาธรรมเข้ามาระงับ ระงับด้วยการภาวนา ระงับอารมณ์ เรียกว่าน้ำดับไฟด้วยการภาวนา
การภาวนาแล้วแต่จริตนิสัยของเราชอบ เราจะเอาพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรืออารมณ์ใดก็ตามที่เราชอบ เช่น มรณัสสติ หรืออานาปานสติ อย่างนี้นะ เราก็มาบริกรรม ให้สติจับอยู่กับตรงนั้น แล้วจิตใจที่มันคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายนั้น ธรรมะนี้จะตีเข้ามาๆ มันจะสงบเข้ามาๆ นี่น้ำดับไฟค่อยสงบ พอจิตสงบด้วยบทภาวนา ถ้ามันคิดมากให้บังคับให้มากทีเดียว บทภาวนากับสติให้จ่อกันเลย นั่นเรียกว่ารบข้าศึกนะ ทีนี้ทางนี้รุนแรง ทางนั้นก็ค่อยอ่อนลงๆ แล้วเข้าสู่ความสงบ นั่น เรียกว่าน้ำดับไฟ เข้าสู่ความสงบ พอสงบแล้วที่นี่นะ จิตนี้จะแสดงฤทธิ์ขึ้นมา ที่แสดงไม่ได้ก็เพราะอำนาจแห่งกิเลสความสกปรกโสมมมันปิดเอาไว้ๆ ธรรมะจะเลิศเลอขนาดไหนก็อยู่ทางใต้ของกิเลส กิเลสเหนือครอบไว้ ทีนี้เวลาเราเอาน้ำดับไฟ คือธรรมระงับกิเลส กิเลสความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายนั้นจะสงบตัวเข้า
บทธรรมที่เรานำมาบริกรรมนี้เรียกว่า เป็นน้ำดับไฟ เราก็พยายามภาวนา เวลามันอยากคิดมากๆ เราก็บังคับอันนี้ให้มากเข้า ครั้นต่อไปมันจะสงบลงๆ พอจิตสงบลงแล้ว อันนี้จริตนิสัยของเราไม่เหมือนกันนะ พอจิตสงบลงไปแล้วนั้น มันจะมีแปลกๆ ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่มักจะสงบลงไปแล้วเย็นอยู่กับที่ อย่างหนึ่งพอสงบลงไปแล้วมันจะออกรู้ออกเห็นสิ่งต่างๆ ทีแรกมีผิดมีพลาด เพราะยังไม่เคยรู้เคยเห็น มันจะรู้สิ่งต่างๆ ผิดบ้างถูกบ้างเป็นธรรมดา ทีนี้เวลาความผิดหรือความถูกเป็นครูของเราทั้งนั้นแหละ อันไหนผิดเมื่อมีครูอาจารย์คอยแนะ เล่าให้ท่านฟังท่านแนะ แล้วท่านค่อยปัดออกสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ดีท่านส่งเสริม แล้วก็เริ่มสิ่งนั้นเข้าไป
พอจิตสงบมันจะรู้ออกไปเรื่อยๆ กว้างขวางออกไปเรื่อยๆ นะ นี้เป็นตามจริตนิสัยไม่ได้เป็นทุกคน แต่เรื่องความสงบด้วยการภาวนานั้น นั่นเป็นความต้องการอย่างยิ่งของธรรม อันนั้นเป็นสิ่งปลีกย่อยต่างหาก มันจะรู้ยังไงขึ้นมาตามแต่จริตนิสัย อันนั้นไม่ได้เป็นของจำเป็นอะไรมากนัก แต่ที่จำเป็นขอให้จิตสงบให้ดูก็แล้วกัน เวลามันสงบจริงๆ แล้ว โถ มันอัศจรรย์นะจิตนี้ พอกิเลสสงบลงปึ๊บเท่านั้น จิตนี้จ้าขึ้นมา อัศจรรย์หมด ในใจของเราก็พึ่งเริ่มรู้เห็นในวันนั้น ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็น พอเราภาวนาถูกจังหวะที่พอดิบพอดีแล้ว จิตสงบลงไปแล้วไม่สงบเฉยๆ สงบแล้วสว่างจ้าของมันขึ้นมา เป็นความแปลกประหลาด ความอัศจรรย์ ความตื่นเต้น ทั้งวันแหละวันนั้น ถ้าเราได้เป็นในวันนี้หรือคืนนี้ วันนั้นจะไปทำงานอะไรก็ตาม จิตของเราจะประหวัดอยู่กับความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของจิตที่รู้และผ่านไปแล้วนั้นทั้งวันเลย นี่เป็นเครื่องปลูกจิตให้มีศรัทธาไม่หวั่นไหว
ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นภายในใจมันก็แน่ชัด เทียบกันแล้วเหมือนกับว่า น้ำนี่เต็มบึงเต็มบ่อ แต่ถูกจอกแหนมันปกคลุมเอาไว้ ทีนี้พอเราเปิดจอกเปิดแหนออกไปเห็นน้ำ ตักมาอาบดื่มใช้สอยเป็นยังไง รู้รสของน้ำอย่างชัดเจนแล้ว แม้จอกแหนจะปกคลุมไว้ตามเดิมก็ตาม ความเชื่อของเราว่าน้ำมีอยู่ใต้จอกแหนนี้นั้นเชื่อมั่น นี่ท่านเรียกว่า อจลศรัทธา ไม่หวั่น ถึงจะไม่มองเห็นน้ำก็ตาม ก็ทราบว่าจอกแหนปกคลุมน้ำอยู่ อันนี้จะไม่มองเห็นธรรมความแปลกประหลาดดังที่เราเคยเห็นก็ตาม มันก็คือกิเลสปกคลุม กิเลสเป็นเหมือนจอกแหนปกคลุม เราก็เชื่อมั่นในน้ำอยู่ใต้นั้น เราก็พยายามเปิดจอกเปิดแหนออก เปิดจอกแหนก็ค่อยกว้างออกๆ บางไปๆ น้ำก็ค่อยปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งจอกแหนบางไป ที่นี่มองไปที่ไหนเห็นตั้งแต่น้ำ มองไปที่ไหนเห็นแต่ความรู้ความแปลกประหลาดที่นี่ ออกจากใจดวงนี้ละ แล้วสง่างามนะ ไม่มีอะไรจะสง่างามและอัศจรรย์ยิ่งกว่าใจ และไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายยิ่งกว่าใจ เลวร้ายนี่ไปจากอำนาจของกิเลส มันเกิดอยู่ที่หัวใจนั่นแหละกิเลส เช่นอารมณ์มันคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลานี้ เป็นอารมณ์ของกิเลสที่อยู่ในใจของเราทั้งนั้นแหละ เพราะไม่มีสิ่งมาระงับดับมัน ประหนึ่งว่าใจของเรามีแต่ความรุ่มร้อนทั้งวันทั้งคืน ประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเป็นของแปลกประหลาดยิ่งกว่านี้ไปเลย
ทีนี้พอเรามาภาวนา จิตของเราสงบแล้ว สิ่งเหล่านี้จะสงบลงๆ เพราะอำนาจแห่งการภาวนาระงับดับมันลงไป จิตใจจะค่อยส่องแสงสว่างขึ้นมาๆ จากนั้นเป็นความอัศจรรย์ในตัวเอง นั้นละมันฝังลึกแล้วนะ ความอุตส่าห์พยายามในการประกอบความพากเพียรด้วยจิตตภาวนา จะหนาแน่นขึ้นโดยลำดับลำดา เพราะเห็นความแปลกประหลาดในใจแล้ว ทีนี้ความทุกข์ทั้งหมดก็มารวมอยู่ที่ใจ พอระงับด้วยจิตตภาวนาด้วยธรรมแล้ว ความสุขความสงบเย็นใจ อัศจรรย์ ก็อยู่ที่ใจ ความสุขทั้งหมดจะรวมเข้ามาหาใจที่นี่นะ ระงับทุกข์ลงไป ดับทุกข์ลงไป ความสุขทางใจก็จะเกิดขึ้นๆ แทนกัน ต่อไปความทุกข์ทางใจที่กิเลสเบาบางไปแล้ว มันเบาลงมากเท่าไร ความสุขทางใจของเราที่เกิดขึ้นจากการภาวนาของเราจะหนาแน่นขึ้นๆ ทีนี้ก็เบิกทางกว้างออกๆ ไม่ได้ภาวนาอยู่ไม่ได้นะต่อไป
ในโลกนี้มองไปไหน เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีเหมือนกัน ออกไปทางไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาเจ้าของ เพราะการเห็นการได้ยินทั้งนั้น ทีนี้พอจิตเรามีความสงบแล้ว เห็นอะไรมันก็เป็นธรรมไปละที่นี่ เป็นน้ำดับไฟๆ อยากให้ท่านทั้งหลายได้อบรมภาวนาบ้างนะ รากแก้วของพุทธศาสนาจริงๆ อยู่ที่จิตตภาวนา การให้ทาน การรักษาศีล เป็นกิ่งก้านของรากแก้วคือจิตตภาวนา ถ้าได้ฝังรากฐานลงไปนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะแน่นหนามั่นคงขึ้นมา จิตใจก็ไม่วอกแวกคลอนแคลน มีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ ที่จะคัดเลือกสิ่งดีชั่วทั้งหลายด้วยสติปัญญาของตัวเองที่มีธรรมอยู่ในใจแล้วตลอดไป นี่อันหนึ่ง
จากนั้นพอจิตสงบเข้ามาก็เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของตัวเอง ในโลกนี้เราจะได้เห็นชัดเจนว่า หลักใหญ่แห่งความสุข ที่พึ่งอันพึงหวังอะไรอยู่ที่นี่ๆ ที่ไหนก็ไม่มี มาอยู่ที่นี่ๆ เวลาเราระงับได้แล้ว รวมแล้วเลยความสุขทั้งหมดมาอยู่นี้หมดเลย โลกธาตุนี่ไม่มีสถานที่อยู่ของความสุข มีใจแห่งเดียว แล้วสถานที่อยู่แห่งความทุกข์ก็มีใจแห่งเดียวซึ่งเกิดจากกิเลส ทีนี้สถานที่เกิดแห่งความสุขก็มีใจดวงเดียว เกิดที่ใจดวงเดียว เพราะอำนาจแห่งธรรมจิตตภาวนาเป็นน้ำดับไฟ ใจจะสว่างไสว อันนี้เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้วเพื่อเป็นคติ เพราะมันฝังใจไม่ลืมนะ
บวชทีแรกก็อยากภาวนา ครั้นภาวนาไป ภาวนาทีแรกก็สะเปะสะปะ พุทโธนั่นแหละ เราชอบพุทโธ ภาวนาไปๆ บทเวลามันจะเป็น มันเหมือนเราตากแหไว้ เวลาภาวนาเข้าไปๆ สติจ่อตลอด พุทโธๆ เหมือนดึงจอมแหเข้ามา ตีนแหก็หดเข้ามาๆ มันก็เกิดความสนใจในกิริยาของจิตที่มันหดเข้ามา เพราะพุทโธๆ ดึงเข้าๆ พอหดเข้ามาๆ มาถึงจุดกลาง เหมือนกับเราดึงจอมแหเข้ามา มาถึงจุดกลางแล้วก็เป็นกองแหขึ้นมา อันนี้เมื่อถึงจุดกลางแล้วก็เป็นกองแห่งความรู้ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาที่ใจของเรา เมื่อกระแสของจิตมันตะล่อมเข้ามาๆ ทำให้เกิดความสนใจด้วยนะ ทางนี้ก็พุทโธถี่ยิบๆ เข้าไป เข้ามาจุดกลางนี้ก็กึ๊กเลยทันที
โอ้โห แปลกประหลาดอัศจรรย์ ไม่เคยรู้เคยเห็น ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมี พึ่งเจอกันในวันนี้เหรอ ทีนี้จิตมันตื่นเต้นละซี มันไม่เคยเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ จิตตื่นเต้นก็เลยไปกระทบกระเทือน ไปรบกวนความสงบ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ให้จางออกไปๆ เลยถอนออกมา พอถอนออกมาแล้วเสียดายที่นี่ วันหลังเอาใหญ่ที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้เอาใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่พุทโธซิ มันไปอยู่ที่ผลของงานที่เราทำได้แล้วผ่านมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องอดีตไม่ใช่ปัจจุบันที่จะให้เกิดผลดีขึ้นมาเหมือนอย่างคราวที่แล้ว มันก็ไม่เกิด นี่ละครั้งแรกที่เราบวชในศาสนา ในพรรษาแรกเสียด้วย
ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้เรายังไม่ลืมนะจิตที่เป็นให้เห็น เพราะเราไม่เคยเห็นไม่เคยพบ พึ่งมาพบในวันนั้นวันเดียว วันนั้นทั้งวันเรียนหนังสืออะไรก็ตามจิตจะไม่ออกไปไหน มันจะอยู่ที่เคยได้เคยรู้เมื่อคืนนี้ละ ว่างั้นเถอะน่ะ อยู่นั้นทั้งวัน วันนี้จะเอาใหญ่ พอเอาใหญ่ มันก็เทียบกับว่า วันนี้เราไปรับจ้างรายวันกับเขา ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่าเขาจะให้รางวัลวันนั้นเท่าไร ค่าแรงงาน เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เขา เขาเห็นว่าเราทำงานดีเขาก็เอารางวัลให้ สมมุติว่าให้วันนี้หนึ่งร้อยบาท เราไม่เคยได้เงินหนึ่งร้อยบาท ทำงานทั้งวันอย่างมากก็ ๑๔-๑๕ สตางค์หรือ ๓๐ สตางค์ วันนี้ฟาดเสียร้อยบาทดีใจใหญ่ วันหลังไปก็ไปทวงเอาเงินร้อยบาทกับเขาโดยไม่ต้องทำงาน ไปเขาก็ว่า อ้าว มาอะไร ก็มาเอารางวัล รางวัลอะไร ก็เมื่อวานนี้นายให้ผมร้อยบาท วันนี้ผมก็มาทวงเอารางวัล ก็เมื่อวานนี้แกทำงานทั้งวันเลยให้ร้อยบาท วันนี้ยังไม่ได้ทำงานจะมาทวงเอาเงินร้อยบาทยังไง ไม่ได้ เขาก็ไม่ให้รางวัล
นี่ละที่เราได้วันนี้ ได้เพราะเราตั้งหน้าตั้งตาทำพุทโธๆ จนปรากฏเป็นความอัศจรรย์ขึ้นมา พอวันหลังไม่ได้สนใจกับพุทโธ สนใจแต่ความอัศจรรย์ของจิตที่ผ่านมาแล้วเมื่อวานนี้ จากการทำงานทั้งวันแทบเป็นแทบตาย เข้าใจไหม มันก็เลยไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องก็ทำไปๆ ทีนี้จิตมันก็จืดจางไปนะ วันไหนจะเอามันก็ไม่ได้ มันไปมุ่งอยู่ข้างนอกมันไม่อยู่พุทโธ พอจิตจางไปมันก็หายห่วง โอ๊ย ทำยังไงก็ไม่ได้ช่างหัวมันเถอะ นึกพุทโธๆ ทีนี้มันก็ปล่อยอารมณ์สัญญาอดีตเข้ามาอยู่ปัจจุบัน มันขึ้นอีก แปลกประหลาดขึ้นอีก โอ้โห ขึ้นอีก วันหลังเป็นบ้าอีก ตะครุบเงาอีกเหมือนเก่า มันก็ไม่ได้เรื่อง นี่พูดย่นย่อให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
เราเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี จิตนี้เป็นให้ ๓ หน เป็นแบบอัศจรรย์นี่ เป็นแบบเดียวกันนี่ละ พอเป็นแล้วมันก็เป็นบ้า มันตะครุบเงา ไปทวงเอาเงินร้อยบาทๆ ไม่ทำงาน ทีนี้พอนายเขาไม่ให้ก็หันหน้ามาทำงาน พอหันหน้ามาทำงานก็ได้อีก นี่ ๓ หน นี่ที่อัศจรรย์ แล้วจนกระทั่งทุกวันนี้ไม่ลืมนะที่เป็นขึ้นทีแรก จิตจะผ่านสูงไปขนาดไหนก็ตามไม่ได้ลืมต้นทุน
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พิจารณานะ จิตเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์มาก เป็นแต่เพียงว่าสิ่งไม่มีค่ามีราคาปกคลุมหุ้มห่อจิตใจ ให้ดีดให้ดิ้นให้คึกให้คะนองทุกแบบทุกฉบับ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล แล้วก็สร้างความทุกข์ให้เรา ทีนี้เวลาเอาธรรมเข้าไประงับ ๆ เช่น พุทโธ หรือคำใดก็ตาม ให้มีสติจดจ่ออยู่ตรงนั้น แล้วจิตนี้เมื่อเวลาได้ธรรมเป็นโอชารสหล่อเลี้ยงแล้ว มันจะปล่อยอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นกิเลสซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟนั้นเข้ามา ๆ เป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมา นี่เราก็ได้เรียนให้พี่น้องทราบ ในการบวชของเรานี้เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี ภาวนาเป็นได้ ๓ หน เราก็พอใจ เพราะมันฝังลึกมากนะ มีแต่ขยับเท่านั้นละ หยุดจากเรียนนี้เราจะเอาจิตดวงนี้ให้ได้ว่างั้น ยังไงจะเอาให้ได้จิตดวงนี้
พอหยุดจากการเรียนก็ฟัดใหญ่เลยจริง ๆ ที่นี่ได้ ได้เรื่อย ๆ ๆ จนกระทั่งมาปัจจุบันนี้ก็ไม่ลืมจิตที่มันแปลกประหลาด นี่ละตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเห็นจิตแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ให้เห็นอย่างคืนวันนั้นนะ จากนั้นมาก็เอาอีก ๆ มันก็ไม่ได้ ได้ ๓ หนพอใจ เราพอใจ แล้วประมวลกำลังนั้นเข้ามาว่า เราหยุดจากเรียนนี้เราจะเอาจิตดวงนี้ให้ได้เป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะเราจะออกให้ได้จิตดวงนี้เพื่อให้เป็นพระอรหันต์ถึงพระนิพพาน มันก็ขยับใหญ่เลย ขยับมันก็ได้จริง ๆ ละซิ เพราะออกมาแล้วไม่ได้ทำงานอะไร ทั้งวันเอาทั้งวัน ทั้งคืนเอาทั้งคืน สุดท้ายมันก็สืบต่อกันเรื่อย ๆ แปลกประหลาดอัศจรรย์นี้ได้ละที่นี่ ได้แล้วขยับขึ้นสูงกว่านี้ก็ตามมันไม่ลืมนะ ลืมต้นทุนเริ่มแรกของเรา ไม่ลืม ถึงอัศจรรย์ขนาดไหนมันก็ไม่ลืม จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ลืม ให้จำเอาไว้นะ นี่ละต้นทุนหรือเหตุการณ์อันสำคัญที่แปลกประหลาดได้วางรากฐานเบื้องต้นแล้วจะไม่ลืมนะ
คำว่าจิตนี้คือนักรู้ อยู่ในใจของทุกคน สัตว์ก็มี แต่สัตว์เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าอรรถว่าธรรมเป็นยังไง เขาไม่รู้จักวิธีระงับดับมันได้ แต่มนุษย์เราเป็นชาวพุทธด้วย แล้วรู้จักวิธีด้วย เพราะมีครูมีอาจารย์สอน ควรจะนำไปปฏิบัติบ้างนะ ถ้าลงจิตได้มีความสว่างไสวแล้ว เราจะเห็นว่าโลกนี้จะกว้างขวางมากทีเดียว เพราะจิตพาให้กว้าง ทีนี้เวลาทุกข์บีบบังคับเข้ามามาก ๆ โลกนี้แคบที่สุดอยู่ที่หัวใจ บีบลงที่หัวใจ มันเห็นทั้ง ๒ อย่างนะ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เวลามันแสดงฤทธิ์ขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นนะ สิ่งที่จะควรรู้ควรเห็นจากการภาวนาไม่มีใครบอก เพราะทางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า สวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบแล้ว นั้นเป็นทางที่ถูกต้องตรงแน่วต่อจุดที่หมายแล้ว ให้เราทำตามท่านแล้วจะก้าวเดินไปตาม มันจะรู้จะเห็นไปตามที่ท่านสอนแล้วนั้นเรื่อย ๆ ไปละ
แปลกประหลาดอัศจรรย์จะเกิดขึ้นตามนิสัยของแต่ละคน ๆ ไม่ได้เหมือนกันนะ แม้ที่สุดตอนสุดท้ายที่ว่าเป็นความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันหมด นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย เป็นความบริสุทธิ์อย่างเดียวกัน แต่นิสัยวาสนาลึกตื้นหยาบละเอียดกว้างขวางนี้ต่างกันนะ อย่างวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงรู้รอบไปหมดเลย ทั้ง ๆ ที่ความบริสุทธิ์ก็เสมอกัน แตกกิ่งก้านสาขาดอกใบนี้เป็นพุ่มสวยงามชุ่มเย็นไปหมดต้นไม้ต้นนั้น เป็นชื่อต้นไม้ต้นเดียวกันก็ตามแต่กิ่งก้านจะไม่เหมือนกัน อันนี้ก็เป็นชื่อของความบริสุทธิ์เหมือนกันก็ตาม แต่กิ่งก้านแห่งนิสัยวาสนาของผู้ทรงความบริสุทธิ์นั้นไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่รู้ธรรมทั้งหลายแล้ว จึงมีความกว้างขวางลึกซึ้งต่างกัน การแนะนำสั่งสอนการเทศนาว่าการอย่างนี้ไม่เหมือนกัน แต่ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน กิ่งก้านสาขานี้ไม่ได้เหมือน แตกกระจัดกระจายออกไป ท่านจึงยกไว้ใน ๔ ประเภท พระอรหันต์ ๔ ประเภท
สุกฺขวิปสฺสโก นี่พระอรหันต์ประเภทที่ ๑ เป็นผู้รู้อย่าง ค่อยละเอียดลออ ๆ แล้วกิเลสสิ้นไปอย่างสงบเงียบไปเลยนี่ประเภท ๑
ประเภท ๒ เตวิชฺโช เป็นผู้ได้วิชชา ๓ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ นี่เป็นประเภทที่ ๒
ประเภทที่ ๓ เรียกว่า ฉฬภิญฺโญ ผู้ได้อภิญญา ๖ เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบนได้ คน ๆ เดียวเนรมิตให้เป็นพัน ๆ คนก็ได้ ไม่ให้มีคนเหลืออยู่เลยก็ได้ นี่ตามกิริยาของจิตที่ออกจากความบริสุทธิ์ไม่เหมือนกัน
ทีนี้ประเภทที่ ๔ จตุปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต เป็นผู้มีความแตกฉานเต็มเหนี่ยวเลย พระอรหันต์ อรรถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ สิ่งที่รวมอยู่แตกกระจายออกไปให้เข้าใจทั่วถึงหมด ธรรมปฏิสัมภิทา ขึ้นไปอีกกว้างขวางไป นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในการพูดการเทศนาว่าการ การโต้ตอบทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายนอกภายใน กว้างขวางลึกซึ้งทุกอย่าง นี่เรียกว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา การพูดการจาเทศนาว่าการ และความรู้ความเห็นที่ประกอบกับสิ่งที่นำมาพูดนี้รอบตัว ๆ คว้าที่ไหนได้ทันท่วงที ๆ นี้เรียกว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทานี้ครอบหมดเลย กว้างรอบไปหมด นี่พระอรหันต์มี ๔ ประเภท ไม่ใช่ประเภทเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นอาการนะ ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันก็จริง แต่อาการนี้จะไม่เหมือนกัน
สุกฺขวิปสฺสโก เตวิชฺโช ฉฬภิญฺโญ จตุปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต นี้เป็นอาการของความบริสุทธิ์ตามวาสนาของผู้ปรารถนามา คือ ผู้ที่ปรารถนาอะไรก็ตามนะ เช่น อย่างเรามีพื้นที่อยู่นี่ พื้นที่นี้เราจะปลูกอะไรบ้าง เราปลูกอะไรมันก็เป็นผลอันนั้นขึ้นมา ๆ ถ้าปลูกอย่างเดียว มันก็มีแต่อย่างเดียวขึ้นมา ปลูกหลายชนิดก็มีหลายชนิดขึ้นมา จากพื้นแผ่นดินเป็นสวนเป็นไร่เป็นนาของเรานะ มันก็ออกหลายสิ่งหลายอย่างเป็นผลประโยชน์ขึ้นมา จากพื้นที่อันเดียวกันนั่นแหละ อันนี้ผู้ต้องการเป็นพระอรหันต์ล้วน ๆ แล้วไม่ต้องการอะไรแล้ว ก็มีแต่พื้นที่ของท่านละ จะปลูกอะไรก็ปลูกอย่างเดียวไปเลย ผู้ต้องการหลายชนิดก็ปลูกหลายชนิด มันก็ออกหลายชนิดเข้าใจหรือ นี่อรหันต์ก็คือพื้นที่เสมอกันเหมือนกัน แต่เวลานิสัยวาสนาออกจากความปรารถนาของตัวเองแล้วสำเร็จเป็นอรหันต์ขึ้นมา นิสัยวาสนานี้จะตามไปเลย ๆ พากันเข้าใจนะ
ให้พากันปฏิบัติ พุทธศาสนานี้เลิศเลอสุดยอดแล้วไม่มีอะไรสงสัยแหละ เราได้เกิดมาพบพุทธศาสนาอย่างนี้เรียกว่า เลิศเลอ ให้พากันสนใจ การให้ทานเราไม่มีที่ต้องติ ชาวพุทธเราทุกภาคเหมือนกันหมด ไปที่ไหนไม่เคยอดอยากขาดแคลนด้วยน้ำใจของผู้เสียสละ ของผู้มีความเมตตาเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ถึงกันได้หมด ไปที่ไหนไม่ว่าใกล้ว่าไกลถึงกันหมด เพราะอำนาจแห่งทาน มาจากความเห็นอกเห็นใจมาจากความเมตตาสงสาร
มัจฉริยะ เห็นแก่ตัว เห็นแก่กินแก่กลืนแก่รีดแก่ไถ นี่ไปไหนเป็นข้าศึกอันนี้นะ นี่ละอำนาจแห่งทานพวกชาวพุทธเรามีทุกภาคเสมอกันหมด ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน ศีลนั้นมีน้อยมาก แต่ภาวนารู้สึกว่าจะไม่ค่อยมีกันนะ ที่เป็นรากแก้วอันสำคัญไม่ค่อยมี เราจึงรื้อฟื้นขึ้นมา การจิตตภาวนาเป็นสิ่งสำคัญ การรื้อฟื้นขึ้นมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราก็ไม่ได้รื้อฟื้นขึ้นมาจากการด้นเดาเกาหมัด เราปฏิบัติของเรา ได้รู้เห็นเต็มกำลังความสามารถของเราทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราจึงนำออกมาสอนได้ทุกแง่ทุกมุม เอ้า ใครจะถามอะไรถามมา มันมีอยู่แล้วเต็มหัวใจพูดตรง ๆ อย่างนี้นะ ถามออกมาปั๊บนี้มันจะออกรับกัน ๆ ๆ
เหมือนอย่างน้ำเต็มถังนั้น เอ้า เปิดช่องไหนเปิดออกมา น้ำจะไหลออกมา ๆ เปิดแคบออกน้อย เปิดกว้างออกกว้าง เปิดให้หมดทั้งถังนี้ก็ออกได้ นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจแล้วไม่มีคำว่าอัดว่าอั้น นี่ละเรียกว่าธรรม ใจแต่ก่อนใจมีทั้งกิเลสมีทั้งธรรม มันเลยกลายเป็นถังมูตรถังคูถไปเสียใจดวงนั้นนะ เพราะกิเลสเป็นใหญ่เป็นโต เลยมีแต่ใจสกปรก สร้างแต่ความทุกข์ให้สัตว์โลกเดือดร้อนวุ่นวาย ทีนี้พอเอาน้ำดับไฟ ๆ ด้วยจิตตภาวนาด้วยธรรม ด้วยศีลด้วยทานด้วยภาวนา เข้าไปชะล้างๆ อันนี้จะแสดงขึ้นมา จิตใจจะสว่างไสวขึ้นมาเรื่อย ๆ ต่อจากนั้นก็จ้าเลย ๆ
นี่ละที่อยากให้พี่น้องทั้งหลายได้สนใจในด้านภาวนา เราพูดจริง ๆ เราเอาตัวของเรายันเลย เราไม่สะทกสะท้านว่าใครจะมาว่าเราโอ้เราอวด โกหกมดเท็จ เราไม่เคยสนใจเพราะอำนาจแห่งความเมตตา กับธรรมที่บริสุทธิ์เต็มหัวใจนี้มันเหนือสิ่งเหล่านั้นแล้ว เกินกว่าที่เราจะเอามาเป็นอารมณ์ให้เป็นข้าศึกแก่การทำประโยชน์ สอนโลกด้วยอรรถด้วยธรรมที่ได้มาเต็มหัวใจแล้ว สอนออกไปอย่างเต็มอรรถเต็มธรรม อันนี้มีน้ำหนักมากกว่าที่จะไปคิดถึงเรื่องว่า คนนั้นเห่าว้อ ๆ อย่างนั้น ไอ้นี้โม้อย่างนั้นไอ้นี้คุยอย่างนี้ ไอ้นี้โอ้อวดอย่างนี้ อุ๊ย ตีปากเอานะ มาพูดใกล้ ๆ ตีปากเลย กูสอนโลกเพื่อขนขึ้นจากนรก ปากมึงดีนักเหรอ จะใส่ปั๊วะเลย มึงมีแต่แว้ ๆ เข้าใจไหมล่ะ นี่ละสอนโลกเราสอนขนาดนั้นนะ พิจารณาซิ
เราไม่มีอะไร ที่ใครจะมาตำหนิติชมอะไร เราไม่เคยสนใจยิ่งกว่าธรรมที่จะนำมาสอนโลกให้เป็นประโยชน์แก่โลกทั่วถึงกันเท่านั้น อันนี้มีน้ำหนักมาก เกินกว่าที่จะไปคิดกับขี้หมูขี้หมาอย่างนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอา การสอนนี้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อยากให้มีผู้ปฏิบัติธรรมเป็นขั้นเป็นตอนมาพูดให้ฟัง มันจะออกทันที ๆ เลย เปิดทางไหนน่ะ เอ้า ว่าซิ ถังน้ำนี่จะเปิดทางไหน เปิดทางไหนออกทางนั้น ๆ น้ำอรรถน้ำธรรมเต็มหัวใจก็แบบเดียวกันกับน้ำเต็มถังนั่นเอง ทีนี้เวลากิเลสเต็มถังมันก็แบบเดียวกัน ถ้าออกทางนี้ขี้ป้าด ออกทางนั้นตดปู้ดมีแต่ของเหม็น ๆ ออกจากถัง ถังเหม็น ถังมูตรถังคูถเข้าใจไหม ถังอรรถถังธรรมนี้จ้าเลย พากันเข้าใจแล้วนะ เอาละพอ มีธุระจะไปข้างหน้า ก็มีแต่สอนลูกศิษย์ก็ตีลูกศิษย์ก่อน จะไปตีคนอื่นเขาได้หรือ เขาจะเอาไม้ไล่ตี เอาเอาละที่นี่ให้พร
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www luangta.com หรือ www.luangta.or.th |