อย่าหนีจากหลักธรรมวินัย
วันที่ 25 กรกฎาคม. 2545 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]

อย่าหนีจากหลักธรรมวินัย

มาคราวนี้ว่าจะได้จำพรรษาสะดวกสบายมันก็ไม่สบายนะ วันที่ ๓ ดูต้องได้กลับไปอีก ไปเทศน์ที่กรมประชาสัมพันธ์ ฟังว่าวงราชการหน่วยใหญ่ ๆ มารวมกันทั้งหมด หน่วยไหนต่อหน่วยไหนมารวมกันเป็นเจ้าภาพ มานิมนต์ ผมจึงได้รับ ไม่งั้นผมไม่รับ ผมเหนื่อยมาก เทศน์แต่ละครั้งละคราวเหน็ดเหนื่อยมากไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า การเทศน์นี้มีแต่มีเท่าที่จำเป็น จะให้มีเหมือนแต่ก่อนนั้นไม่ได้ เราก็บอกไว้ ก็อย่างนี้แล้วยิ่งหนาแน่นเข้ามาเรื่อย ๆ นะการเทศน์ ที่ไหน ๆ ก็มีแต่ใหญ่ ๆ เข้ามาละเดี๋ยวนี้ เราก็ยิ่งอ่อนลง เสียงมันเป็นอยู่ในจมูก เสียงแหบเครืออะไรไป พูดทีแรกไม่ได้ถ้อยได้ความ นานไปจนเสมหะค่อยจางไป ๆ เสียงค่อยชัดขึ้น ๆ เบื้องต้นลำบากอยู่นะ ต่อไปก็เทศน์ไม่ได้แหละ

ใครจะเตือนว่าไงก็เตือนกันไปซิ มันเป็นอะไร เสียสติสตังไปยังไง แนะกันยังไงพระเราดูแลไหม เตือนกัน ใครให้เตือนกันนะ เตือนให้รวมจิตเข้ามา ไม่ให้ส่งออกไปนอก นี่มันส่งออกนอกนะ ฟังเข้าใจทันที จิตมันออกข้างนอกไม่ได้เข้าใน สติสตังไม่มีก็เลยเพลินไปตามสัญญาอารมณ์ของตัวเองนั้นแหละ มันปรุงออกไป เพราะฉะนั้นให้เตือนกัน คำบริกรรมให้อยู่ภายใน ให้มีสติตั้งอยู่นี้อย่าให้ส่ง ห้ามไม่ให้ส่งเลย เพราะการส่งนี้ที่เป็นเหตุ มันส่งไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรตามสัญญาอารมณ์มันก็หลงไปตามนั้นก็เลยไป สติไม่อยู่กับตัวเลยไปกับนั้นไปเลย ให้ย้อนกลับมา

บอกให้อยู่ในคำบริกรรมคำไหนที่เคยอยู่ สอนอย่างนั้นนะ ให้ตั้งใจจริง ๆ ห้ามไม่ให้ส่งออกเลย แต่นี้ต่อไปบอกว่าห้ามขาด ไม่ให้ส่งออก ให้อยู่ภายใน สติอยู่กับตัวอยู่กับกายของตัวเอง อยู่กับคำบริกรรม แล้วสติจะค่อยรวมตัวเข้าแล้วจะค่อยรู้ตัว ๆ ถ้าไม่เตือนไม่ได้นะ ต้องเตือน เวลานี้จิตส่งออกมากทีเดียว นี่แหละที่เป็นถึงขนาดเสียสติ คือเพลินไปตามอารมณ์เจ้าของ รู้อะไรรู้ไปตามสัญญาอารมณ์ มันคาดไปหมายไปเห็นอะไรเพลินกับอันนั้นไปเรื่อย ๆ ทีนี้มันก็เลยไปเลื่อนลอยอย่างนั้น สติไม่มีมันก็เป็นบ้าไปแหละ มันเป็นอย่างนั้น

ให้รีบสอนเสียนะ สอนด้วยเอามาเตือนด้วย หรือเราเดินมาเองก็ได้มาเตือนเรื่อย ๆ สอนเรื่อย ๆ ผู้ที่อยู่ด้วยกันก็กำชับกำชาสอนกันเรื่อย ๆ ไปซิ อย่างท่านฑิตก็อยู่ด้วยกัน วิธีการที่สอนก็บอกแล้ว ห้ามไม่ให้ส่งออก อันนี้เป็นภัยมาก ที่เป็นอยู่เวลานี้ก็เพราะกระแสของจิตมันออกเป็นสัญญาอารมณ์ มันก็หลงไปตามสัญญาอารมณ์ไปเรื่อย เลยไปใหญ่ จิตไม่ย้อนเข้ามาสติก็เลยไม่มี เลื่อนลอยไปตามกันเลย ให้จิตย้อนเข้ามาให้อยู่ในวงกาย ให้อยู่กับคำบริกรรม ให้อยู่กับตัว ถ้าไม่ได้บริกรรมก็ให้สติอยู่กับตัว ให้บริกรรมแหละสำคัญ บอกว่าห้ามไม่ให้จิตส่ง มีสติตั้งอยู่นี้ พยายามตั้งเอาไว้ ไม่ให้ออกบอกงั้นเลย ห้ามเด็ดขาด

การออกถือว่าเป็นภัยเป็นอันตราย ให้อยู่ในนี้ไม่เป็น ครั้นต่อไปมันก็จะสั่งสมสติ สติคอยตั้งขึ้น ความรู้ก็จะเด่นขึ้นอยู่กับตัว แล้วก็อยู่ด้วยกันได้ ทีนี้ก็ไม่ออก จิตจะออกก็รู้ จะเข้าก็รู้ ถ้าสติอยู่กับตัวแล้ว แต่นี้สติไม่อยู่กับตัว มันเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมดแล้วทุกวันนี้

เทศน์ภาคปฏิบัติ สงัดเท่าไรยิ่งดี มีแต่ธรรมกับจิตออกพุ่ง ๆ ไม่มีอะไร นั่นแหละสะดวกมาก ถ้ามีอะไรมาปั๊บเข้ามานี้ ล้ม ๆ เพราะฉะนั้นไปเทศน์ที่ไหนจึงได้เตือนเรื่องเสียง ผมก็งดตั้งแต่อายุได้ ๘๐ มานะ การเทศน์สอนพระ สอนอะไร งดมาตั้งแต่นู้น ว่าจะงดไปเลยนะ แต่มันก็เกี่ยวกับทางชาติบ้านเมืองเข้ามานี้ มันก็เลยไปทางนู้นที่นี่ เลยไม่ได้หันมาทางพระ ว่ามันจะเบาลงไปมันก็เป็นอย่างนั้น เป็นไปตามบุญตามกรรมเองจะว่าไง ไม่ได้คิดได้คาดมันก็เป็นของมัน เราไม่มีอะไรกับโลก มันก็เลยได้เกี่ยวกับโลก เราจะมีอะไร

จิตของเราเราพูดจริงๆ เราไม่มีอะไรในโลก สามแดนโลกธาตุนี่ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านจิตเลย นี่หลักธรรมชาติของจิตแท้ มันว่างเสียหมดทั่วแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเข้ามาผ่านเลย อยู่คนเดียวนี้อยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนไม่ยุ่งกับอะไร นั่นเป็นความสะดวกสบาย วันหนึ่ง ๆ อยู่ไปกับธรรมชาตินี้เป็นพื้นฐานอยู่นั้นแล้วไม่มีอะไรกวน นี่แหละอำนาจของจิตที่ฝึกหัดได้แล้วเป็นอย่างนั้น มันตายตัวแล้วให้เป็นอื่นเป็นใดไปไม่ได้ เรียกว่าอฐานะแล้ว เป็นหลักธรรมชาติตายตัว จะให้เป็นอะไรอีกก็ไม่ได้ จะให้เจริญขึ้นหรือกำเริบเสิบสานอะไรก็ไม่มีทางแล้ว เรียกว่าตายตัว ผ่านแดนสมมุติไปแล้วไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น ความเปลี่ยนแปลงอยู่ในวงสมมุติทั้งหมด จิตถ้าได้ผ่านนี้ไปแล้วไม่มี เพราะฉะนั้น กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จึงไม่มี อันนี้อยู่ในวงสมมุติ

วันนี้ก็เป็นวันเข้าพรรษาของพระเณรทั้งหมด ขอบเขตของพรรษา ทีนี้กำหนดเขตนอกที่กำหนดเป็นวัดแล้วนั้นเป็นเขตได้นะ ไม่เอาแต่เพียงกำแพง เอาเขตนอกที่ซื้อใหม่เป็นเขตเรียบร้อยแล้วก็ทราบด้วยกันทุกคน คือเข้าพรรษานี้เลื่อนเขตจากกำแพงเดิมนี้ออกไปเขตนอก ให้พากันทราบทั่วหน้ากัน เพราะอันนี้เป็นเขตของวัดโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้นการตั้งเขตจำพรรษาจึงสมบูรณ์ไปด้วยกัน เวลาจำพรรษาเช่นนี้นั้นเป็นเวลาที่ไม่เคลื่อนไหวไปมายุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งใด เป็นเวลาที่เราจะประกอบความพากความเพียรเต็มกำลังความสามารถของเรา อย่าคิดส่ายคิดแส่ไปเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดถึงหมู่เพื่อนก็เหมือนกัน จะมีจำนวนมากน้อยอย่าไปคิดเกี่ยวกับเพื่อนกับฝูง มันจะสร้างสัญญาอารมณ์ขึ้นมา เมื่อสัมผัสสัมพันธ์กันแล้วเรื่องมันจะเกิดขึ้นภายในใจ

ให้เข้าใจว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดจากที่ไหน สำหรับผู้ภาวนาแล้วจะรู้ความกระเพื่อมของใจ ออกไปจากใจนี้ทั้งนั้น คิดดูคิดชั่วอะไร ยิ่งเกี่ยวกับเพื่อนฝูงที่มีจำนวนมากเพียงไรแล้ว นั้นแหละจิตจะกระเพื่อมออกไป องค์นั้นไม่ดี องค์นี้ดี องค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ นี่คือสัญญา สังขารของเรานั่นแหละ ตัวขันธ์นี้ที่มีสมุทัยคือกิเลสเป็นเจ้าอำนาจอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นคิดปรุงไปอะไรจึงเป็นกิเลสทั้งนั้น เพราะขันธ์ ๕ นี้เป็นเครื่องมือของกิเลส เรียกว่าสมุทัย จึงต้องให้ดูจิตเจ้าของด้วยดีตลอดเวลา อย่าไปเป็นสัญญาอารมณ์กับใคร

ใครจะดีจะชั่วผู้นี้เป็นผู้ปรุงออกไป จะดีชั่วอยู่กับผู้นี้เป็นอันดับแรก คนนั้นจะรู้ตัวก็ตามไม่รู้ตัวก็ตาม เราผู้คิดผู้ปรุงว่าคนนั้นดี คนนี้ไม่ดี นี่คือสังขารของเรา สัญญามันไปหมาย สังขารไปปรุงไปแต่ง ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แล้วในขณะเดียวกันก็ลืมว่าตัวเป็นอย่างไร ถึงต้องไปดีดไปดิ้นหาคิดเรื่องราวของคนอื่นคนใดยิ่งกว่าคิดถึงเรื่องของเจ้าของ ให้สมกับว่าเรามาประกอบความพากเพียร ดูความเคลื่อนไหวของใจ นี่แหละเรียกว่าการประกอบความเพียร

ใจเป็นผู้คิดผู้ปรุง ความคิดความปรุงนี้ออกจากขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้มีกิเลสอวิชชามันเป็นเจ้าอำนาจบงการออกมา เพราะฉะนั้น ขันธ์ใดแสดงออกมาจึงมักเป็นกิเลสด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพราะกิเลสเป็นผู้บังคับออกมา เว้นแต่จิตของพระอรหันต์ท่านเป็นขันธ์ล้วน ๆ จะทำให้เกิดกิเลสจากขันธ์ใดขันธ์หนึ่งไม่มีทาง คิดเรื่องใดคิดแล้วดับไป สัญญาจำได้แล้วดับไป ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์อะไรแล้วก็ผ่านไปดับไป เพราะไม่มีผู้เป็นเจ้าของยึดให้เป็นอุปาทานเกิดกิเลสเพิ่มเติมเข้ามาอีก เรื่องขันธ์จึงเป็นขันธ์ล้วน ๆ ขันธ์ของพระอรหันต์เรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ ไม่มีกิเลสเข้าเจือปนเลย ขันธ์ของปุถุชนนี้เป็นขันธ์ที่มีกิเลส เรียกว่าเป็นสมุทัยได้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเห็นทางตาก็เกิดกิเลส ได้ฟังทางหูเกิดกิเลส จมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์อะไรเกิดกิเลสขึ้นมาเรื่อย ๆ เรียกว่า ขันธ์นี้เป็นสมุทัย เพราะสมุทัยได้แก่กิเลสเป็นเจ้าอำนาจอยู่ในขันธ์ คอยบงการขันธ์นี้ให้คิดเรื่องนั้นปรุงเรื่องนี้โดยอัตโนมัติของมัน เราจะตั้งหน้าคิดไม่ตั้งหน้าคิดหลักธรรมชาติของกิเลสต้องเป็นกิเลสเสมอไป กระเพื่อมออกไปทางไหนเป็นกิเลสทั้งนั้น ๆ ให้พากันระมัดระวังอันนี้ให้ดี

ขอให้อยู่กันเป็นผาสุก ให้ต่างคนต่างดูใจตัวเอง อย่าไปดูผู้อื่นผู้ใดซึ่งเป็นเรื่องนอก แต่กลับมาเป็นภัยภายในใจของตัวเอง ถ้าเราดูใจของเราโดยเฉพาะ เขาไม่ดีเราไปปรุงว่าเขาไม่ดี นี่ให้ดูตัวนี้ อย่าไปปรุง เขาไม่ดีของเขาก็พออยู่แล้ว เรายังไปปรุงว่าเขาไม่ดีอีกเราก็เป็นคนไม่ดีอีกคนหนึ่ง ให้ย้อนกลับอย่างนี้ การชำระกิเลสต้องชำระที่ใจของเรา อย่าด่วนไปเห็นสิ่งใดว่าดีไม่ดีก่อนที่จิตใจที่ยังไม่ได้คิดตัวเองในเวลาที่ปรุงออกไป คือตัวนี้แลเป็นตัวภัยต่อเราเองเราก็ไม่รู้ ว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ไอ้ตัวที่คิดดื้อด้านออกไปปรุงไม่ดีนี้ไม่คิด อันนี้มันเสียได้นะ ให้ดูตัวเอง

คนไหน ๆ อย่าไปหาเพ่งโทษเพ่งกรณ์ใคร ๆ ทั้งนั้น ให้เพ่งกิเลสที่อยู่กับใจ ตัวโทษอยู่กับใจของเรา มันคิดเรื่องอะไรเป็นกิเลสขึ้นมา ในขณะที่จิตมีกิเลสอยู่แล้ว มันคอยแต่จะเป็นกิเลสออก เกี่ยวกับสิ่งภายนอก กับผู้ใดสัตว์ตัวใดก็ตาม มันจะเป็นกิเลสแฝงออกไปทันที ต้องมีสติบังคับบัญชาไว้โดยสม่ำเสมอ นี่เรียกว่าการประกอบความเพียร อย่าหนีจากหลักใจนะ ใจเป็นผู้คิดผู้ปรุง คอยดูคอยสอดส่องมองดูตลอดเวลา การประกอบความเพียรให้สังเกต การทำความเพียรของตนในอิริยาบถใดที่เป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงามกว่าอิริยาบถอื่น ให้จับอิริยาบถนั้นไว้

ทั้ง ๆ ที่เรามีสติตั้งอยู่ด้วยกันนั่นแหละ บางอิริยาบถดีกว่ากันก็มี อย่างที่เราทั้งหลายทำอยู่เวลานี้ การผ่อนอาหารเป็นยังไง อดอาหารเป็นยังไง ต้องถือความเพียรเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่ผ่อนเฉย ๆ อดเฉย ๆ การประกอบความเพียรไม่สนใจไม่ถูก เพราะการอดเหล่านี้เป็นอุปกรณ์แก่การประกอบความเพียรให้มีสติสตังดีปัญญาดี ส่วนมากผู้บำเพ็ญเพียรมักจะถูกทางอดอาหาร เพราะอาหารนี้เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลส มีราคะตัณหาเป็นสำคัญ อันนี้จะขึ้นก่อนเพื่อน พอร่างกายมีกำลังวังชาจากการขบการฉันมากเข้าเพียงไรแล้ว สิ่งเหล่านี้จะแสดงออกมา ออกมาก็ไปทับถมสติสตังนั้นแหละ ให้สติก็เผลอก็อะไรไป สติไม่ค่อยดี ควบคุมจิตใจไว้ไม่อยู่ แล้วก็ทำให้จิตใจฟุ้งซ่านรำคาญ ทำความเพียรไปแทนที่จะเกิดความสงบร่มเย็นก็ไม่สงบไปเสีย มันวุ่นวายไปตามกระแสของกิเลสที่ผลักดันออกไปจนได้นั้นแหละ

การอดอาหารการผ่อนอาหาร จึงสำคัญอยู่ที่ร่างกายที่มันมีกำลัง ส่วนมากผู้อดอาหารมักดีเสมอ เพราะเกี่ยวกับราคะตัณหาที่มาจากอาหารการกินการขบการฉัน นี่อันหนึ่ง ทีนี้เราเดินจงกรมมากเป็นยังไง แล้วนั่งมากเป็นยังไง ให้สังเกตตัวเอง แล้วนอน นอนมากไม่ดีอยู่แล้ว แต่ท่านตั้งไว้ว่าเป็นเนสัชชิ การอดนอน ผู้ที่ถูกจริตในการอดนอน อดไปเท่าไรก็ยิ่งแยบคาย สติสตังดีปัญญาดี จิตใจสงบดี นี่เรียกว่าธุดงค์ข้อนี้ถูกแล้วกับเรา ไม่ใช่แต่ว่าธุดงค์แล้วก็จะคว้ามาเลย ๆ ไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรอง ไม่ได้นะ

ธุดงค์ท่านวางไว้เป็นกลาง ๆ ใครถูกกับข้อใด ๆ ให้ยึด แม้ที่สุดอิริยาบถก็ยังต้องสังเกตตัวเอง อย่างนี้การทำความเพียรถึงจะก้าวหน้า ถ้าทำสักแต่ว่าทำไปวันหนึ่ง ๆ นี้ไม่ค่อยได้ผลนะ ต้องใช้ความสังเกตอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าความเพียร สำคัญที่ว่าสตินี้แหละ คือพื้นฐานแห่งความเพียรอยู่กับสติ ให้ท่านทั้งหลายจำไว้ไม่ว่าธรรมขั้นใด สติจะเป็นของจำเป็นทุกขั้นแห่งธรรมไป ขั้นที่เร่ ๆ ร่อน ๆ ก็ต้องเอาสติควบคุมอย่างหนัก ขั้นจิตมีความสงบ สติก็เป็นพื้นฐาน สงบมากเท่าไรสติเป็นพื้นฐาน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วิปัสสนา สติสตังนี้เป็นพื้นฐานไปตลอด ละไม่ได้นะสติ เป็นพื้นฐาน

ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง คือไม่ว่าอิริยาบถใด ฟังแต่ว่าทั้งปวง ครอบไว้หมดแล้ว ให้มีสติบังคับใจให้อยู่ เวลาจิตใจที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส มีตั้งแต่ความผาดโผนโจนทะยาน ดีดดิ้นออกไปทางกิเลสทั้งนั้น นี่ละเป็นความทุกข์สำหรับผู้ต่อสู้ต้านทานกับกิเลสประเภทนี้ ต้องได้รับความทุกข์ ทุกข์ก็ให้ทราบว่าสู้กับกิเลส อย่าไปถือว่าเราทุกข์เฉย ๆ เราสู้กับกิเลสเพื่อจะให้กิเลสระงับดับหรือจางลงไปนี้เป็นทุกข์ก็รู้กันแล้ว เหมือนนักมวยต่อกันนั่นเอง ต่อยกันเพื่อเอาชัยชนะ นี่เราก็เพื่อเอาชัยชนะกับกิเลสตัวมันผาดโผนโจนทะยาน

ต้องบังคับจิตนะ กิเลสจะฝืนจิตตลอดเวลา ยิ่งมีมากเท่าไรในใจของเรามันเห็นความเพียรเป็นข้าศึกศัตรู มันไม่ได้เห็นเป็นมิตรเป็นสหายเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย มันจะดีดจะดิ้นออกทางกิเลส ถ้าไปทางกิเลสโล่ง โล่งซีโล่งเพื่อจมลงในนรกทั้งเป็น มันก็โล่งโล่งแบบนั้น ตีบตันอั้นตู้สู้กับกิเลสนี้เป็นเรื่องของธรรม เอ้าตีบให้ตีบ ตันให้ตัน ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ ผู้ประกอบความเพียรต้องเอาให้หนักแน่น ไม่เช่นนั้นจะไปไม่รอดนะ

เวลานี้วงกรรมฐานรู้สึกว่าคับแคบเข้ามาทุกที ๆ ผมนี้อดวิตกวิจารณ์ไม่ได้ แล้วยิ่งเวลานี้กิเลสมันมาแบบลึกลับมาเรื่อย ๆ ท่านทั้งหลายเห็นไหม เรื่องหนังสือพิมพ์ก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องโลกเรื่องสงสารเรื่องกิเลสโดยประการทั้งปวง ใครก็ทราบแล้ว ผู้ปฏิบัติอรรถธรรมจริง ๆ แล้วจะไม่สนใจกับข่าวคราวของโลกเหล่านี้เลย เพราะเป็นข่าวของกิเลส ตั้งแต่ไม่มีหนังสือพิมพ์กิเลสมันก็ตีขึ้นมาภายในใจให้เป็นข่าวเป็นคราวขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ จนได้อยู่นั้นแหละ จากนั้นมาก็มีวิทยุ ก็เป็นข่าวคราวของโลกทั้งนั้นเหล่านี้ ที่กล่าวมานี้ ฟัง นี่ขึ้นมาสองกษัตริย์แล้วนะ

จากหนังสือพิมพ์แล้วก็มาวิทยุ ฟังข่าวนั้นข่าวนี้มีแต่เรื่องกิเลสตัณหา เข้ากับความเพียรของผู้ปฏิบัติธรรมเพื่ออรรถเพื่อธรรมไม่ได้เลย ทีนี้ก้าวเข้ามาก้าวที่สามก็ เทวทัต โทรทัศน์ วิดีโอนี้เป็นตัวสำคัญมากทีเดียว เป็นสื่อเป็นทางให้ดูดให้ดื่ม ตามกลิ่นอันนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะมันจะแจ้งมากขึ้น ส่งเสริมกิเลสได้ดีมากขึ้นเป็นลำดับลำดา นี่เป็นกษัตริย์องค์ที่สาม กษัตริย์วัฏจักร พอโทรทัศน์วิดีโอขึ้นแล้วมันก็ต้องมองหาตนหาตัว หาเนื้อหาหนัง หาตัวจริงของกิเลสละที่นี่ มันก็เสาะแสวงไปตามที่เทวทัตวิดีโอชี้ทางบอกแล้ว

อันดับที่สี่นี้คือโทรศัพท์มือถือ อันนี้คอขาดได้เลยพระเรา สี่กษัตริย์มารวมอยู่กษัตริย์ที่สี่ที่เป็นโทษหนักมากทีเดียว เริ่มปั๊บเข้ามาในวัดก็เป็นเรื่องที่ว่าหาเรื่องหาราวสร้างเรื่องสร้างราวสร้างโรงงานโรงการยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีแต่เรื่องกิเลสล้วน ๆ เข้ามาสู่หัวใจตลอด หาความสงบไม่ได้ถ้าลงได้มีโทรศัพท์ โทรศัพท์กับหูจะจ้อกันอยู่เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ดูไม่ได้นะพระเรา ถ้าลงมีโทรศัพท์มือถือแล้วเขียนใบตายให้เลย ไม่ต้องเขียนอย่างอื่นแหละ

โทรศัพท์มือถือท่านทั้งหลายเข้าใจไหม บทเด็ดขาดมันเป็นยังไง จับโทรศัพท์เข้ามาใส่หูเท่านั้นนัดกันไปที่ไหนก็ได้นี่นะ เรื่องหญิงเรื่องชายเรื่องกามกิเลสอยู่ในบทนี้ เป็นบทที่ตัดคอพระเราขาดสะบั้นไปเลย ไม่มีหิริโอตตัปปะ อย่าเอามาถาม อย่าเอามาพูดกันเลย ตัวนี้เป็นตัวสังหารขาดเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก้าวเข้ามาสู่มือของเรา ตัวนี้ร้ายแรงมาก วัดนี้จะมีไม่ได้นะให้จำทุกคน ใครดื้อด้านเอาเข้ามาให้หนีจากวัดทันที จะเข้ามาวัดนี้ไม่ได้ เรื่องราวจะมีอะไรก็พูดติดต่อกับประชาชนญาติโยม เราอย่าถือเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นเจ้าของ เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่จะสังหารศาสนาของเราและตัวของเราอย่างมากสุดยอดเลย

โทรศัพท์จับปั๊บนัดไปที่ไหนก็ได้ เข้าห้องเข้าหับเข้าที่ลับที่แจ้งอะไรไม่สำคัญ นัดกันได้พูดกันได้สบายระหว่างหญิงกับชาย ระหว่างผู้หญิงกับพระ อันนี้ร้ายแรงมากที่สุด นี่เรียกว่าโทษประหารชีวิตอยู่ในกษัตริย์จุดสุดท้าย เพราะฉะนั้นในวัดนี้จึงมีไม่ได้เด็ดขาด ฟังแต่ว่าเด็ดขาด ใครดื้อด้านหามาแล้วขับไล่หนีจากวัดเลยนะ นี่ไม่ใช่ธรรมดา ถ้ามีความจำเป็นให้ติดต่อกับเขาก็ได้ จำเป็นมันก็มีกิเลสแทรกอยู่นั้นแหละ แต่มันก็จำเป็นที่จะได้พูดอยู่ ข่าวคราวเรื่องราวอะไรต่ออะไร อย่างนี้ยังพูดได้ แต่จะเอาเหล่านี้มาเป็นเจ้าตัวการตัวงานเป็นโรงงานภายในวัดนี้ เรียกว่าเอาเพชฌฆาตมาสังหารพระทั้งวัดเลย จะไม่มีอะไรเหลือเลย ถ้าลงได้จับโทรศัพท์ขึ้นมาเป็นเจ้าของแล้วเท่านั้น หมดพระไม่มีเหลือเลย ในวัดป่าบ้านตาดนี้ก็ร้างหมดทั้งวัดเลย เพราะฉะนั้นจึงว่ามีไม่ได้นะ ให้ทุกท่านจำไว้ให้ดี

ผมได้เห็นในผู้ใดแล้วผมจะขับไล่ออกจากวัดทันที พูดคำนี้ไม่มีสองนะ เพราะอันนี้เด็ดขาดมากทีเดียว ธรรมะไม่เด็ดขาดไม่ได้ ต้องเอาอย่างเด็ดขาด ใครจะมีมาไม่ได้ วัดนี้เป็นวัดที่สร้างมาเพื่ออรรถเพื่อธรรมตั้งแต่เริ่มแรกมาจนกระทั่งป่านนี้ ได้พยายามกับหมู่กับเพื่อน การประพฤติปฏิบัติของหมู่เพื่อน ผมรักผมสงวนอรรถธรรมความพากเพียรของหมู่เพื่อนมากที่สุด เพราะฉะนั้นงานการอะไรถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ผมจึงไม่รบกวนดังที่ท่านทั้งหลายเห็นแล้ว บริเวณของพระไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย เพื่อจะให้พระประกอบความพากเพียรด้วยความสะดวกสบาย ไม่ต้องยุ่งเหยิงกับอะไรทั้งนั้นแหละ ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติต่อหัวใจของตนเอง ซึ่งมีทั้งกิเลสและธรรมอยู่ภายในนั้น ชำระซักฟอกออกตลอดเวลา

อย่านำสิ่งเหล่านี้เข้ามาเป็นเครื่องสังหาร เพราะสิ่งเหล่านี้หยาบโลนมากที่สุด ในสี่ประเภทนี้เข้ากับพระผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลไม่ได้เลย เริ่มมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วิทยุ เทวทัต วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ ขึ้นมาถึงสี่กษัตริย์ กษัตริย์ที่สี่นี้เป็นกษัตริย์ที่สังหาร เรียกว่าไม่มีเหลือเลย ถ้าใครยังกล้าหาญชาญชัยนำเหล่านี้เข้ามาอยู่ ไม่ควรจะมาอยู่ในวัดกรรมฐานให้หนักวัดหนักวา ให้รีบหนีออกไป เฉพาะวัดนี้ให้ออกทันทีเลย เราจะไม่มีคำว่าอนุโลมไม่อนุโลม เพราะได้พิจารณาเต็มสัดเต็มส่วนแล้วว่านี่คือมหาภัยต่อพระผู้ปฏิบัติร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เป็นอย่างอื่น ใครจะนำเหล่านี้มาเป็นข่าวเป็นคราวเพื่อหาเรื่องแก้ตัวอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องก็มีแต่เรื่องกิเลส มันแทรกเข้ามาทุกด้านทุกทาง ยิ่งมาติดต่อมันด้วยโทรศัพท์นี้เข้าถึงขั้นสังหารตัวเองเลย ให้พากันระมัดระวัง มีไม่ได้นะวัดนี้ให้จำไว้

นี้เด็ดขาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่หนังสือพิมพ์เหล่านี้มาโดยลำดับ ทีนี้มันก็คืบคลานเข้ามานี้โทรศัพท์มือถือ ใครเคยคิดเมื่อไร แต่ก่อนไม่เคยคิดว่ามันจะมี แล้วมันก็มีขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่ดูโลกเขามีแล้วก็ดูไม่ได้แล้วนะ มองไปที่ไหนเห็นแต่โทรศัพท์มือถือจ่อกับหูอยู่ตลอดๆ โอ๊ นี่เป็นบ้าอย่างลึกซึ้งแล้วนะ เป็นความเพลิดเพลินของกิเลส มันนัวเนียกันไปหมดแล้วก็ไม่ทราบจะตำหนิติโทษกันยังไง ก็เขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็ไม่ถือสา แต่เมื่อมันอุจาดเกินมันก็อดสลดสังเวชไม่ได้เหมือนกัน ทีนี้เป็นบ้าลึกซึ้งเข้าไปอีก

นี่ละกิเลสค่อยคืบคลานเข้ามาอย่างนี้ เราให้รู้เนื้อรู้ตัวนะ ใครอย่ามากล้าหาญชาญชัยเอากิเลสเข้ามาเผาวัดเผาวานะ ผมก็มีชีวิตอยู่เวลานี้สอนหมู่สอนเพื่อน สอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไม่ได้ตรัสรู้เพราะสิ่งเหล่านี้ ปัดสิ่งเหล่านี้ออกหมด เสด็จเข้าอยู่ในป่าในเขาลำเนาไพรเพื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เข้าไปยุ่งกวนนั่นเอง จะได้ประกอบความพากเพียรด้วยความสะดวกสบาย ผลก็ปรากฏสำเร็จมาตั้งแต่พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ขึ้นมาเป็นลำดับลำดา ศาสดาองค์เอกก็ขึ้นจากในป่าในเขา พระสาวกทั้งหลายอยากจะพูดว่า ล้วนแล้วตั้งแต่ออกมาจากในป่าในเขา ปราศจากสิ่งมหาภัยทั้งหลายเหล่านี้โดยประการทั้งปวง นับตั้งแต่ รุกฺขมูลเสนาสนํ ขึ้นมา ที่ท่านสอนในเบื้องต้น ขึ้นอันนี้ก่อนแล้ว ท่านปฏิบัติมาอย่างนั้น ท่านสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ธรรมเลิศเลอมาครองโลก ท่านได้มาด้วยวิธีการอย่างนี้ แล้วนำมาสอนพวกเรา ก็ต้องดำเนินตามวิธีการนี้ ถ้าต้องการมรรคผลนิพพานเป็นสมบัติของตน

ถ้าจะให้เป็นไปตามกิเลสอย่ามาอยู่ที่นี่ให้หนักวัดนะ ในวัดนี้ ผมนี้หย่อนยานที่สุดแล้วกับเพื่อนฝูงเวลานี้นะ เรียกว่าหย่อนยานที่สุดทีเดียว ผมทนเอา มันก็เกี่ยวกับชาติบ้านเมืองเข้ามา นี่แหละเหตุที่ได้ลดหย่อนผ่อนผันบ้าง แต่ถึงยังไงมันก็ขวางอยู่ในใจตลอด ให้ธรรมชินกับกิเลสนี้ไม่มีชิน ออกมาแย็บตรงไหนรู้ทันที ๆ ทีเดียวไม่มีคำว่าชินกัน จะเป็นมิตรเป็นสหายกันนี้ไม่ได้ระหว่างกิเลสกับธรรม เพราะเป็นข้าศึกกัน

ที่นี่เราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เอาให้จริงให้จังความพากเพียร ตัดอันนี้ออกให้หมด อย่ายุ่ง ยุ่งไม่ได้เด็ดขาด ถ้ายุ่งอันนี้ก็เท่ากับเอาไฟเข้าไปเผาหัวอกเราผู้ประกอบความเพียร ให้กลายเป็นกองเพลิงไปตาม ๆ กันหมดนั่นแหละ ไม่มีสิ่งใดดีเลย เหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้นเป็นไฟทั้งนั้น ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ ถึงโทรศัพท์มือถือเป็นลำดับลำดา สี่กษัตริย์วัฏจักรที่จะสังหารหัวใจของพระกรรมฐานเราให้แหลกไปอย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย นี่ละเรียกว่าไม่มีปัญหา ขาดสะบั้นไปเลย ถ้าใครไปยินดีกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ต้องยินดีกับอรรถกับธรรม ปัดอันนี้ออกให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถตลอดไปในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาชินกับใจได้นะ ต้องเอาให้หนักแน่น

การประกอบความพากเพียร ขอให้ใจนี้มีความสมัครรักใคร่ในอรรถในธรรม ความพากความเพียร เอ้า หนุนกันไป จะทุกข์ขนาดไหนเอาทุกข์เถอะ ทุกข์เพื่อสุขไม่เป็นไร ให้เน้นหนักลงอย่างนั้น เราอย่าแบ่งสู้แบ่งรับ ทำอันนั้นลำบากทำอันนี้ลำบน คำว่าลำบากตรงไหน กิเลสห้ามธรรมไม่ให้ประกอบความพากเพียร ห้ามแง่หนักไม่ให้หนัก มันให้เบาแล้วมันก็หนักมือขึ้นมาคือกิเลสทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกินกิเลสเรื่องแทรกซึมนี้เก่งมากที่สุด เวลาจิตใจได้เหนือแล้วมันเห็นหมดจะว่าไง

ผมไม่ได้คุยนะ ผมปฏิบัติมาตลอดเวลาจนกระทั่งการเทศนาว่าการ พูดจริง ๆ ผมไม่เคยมีอะไรหวั่นไหวสะทกสะท้านกับสามแดนโลกธาตุนี้เลย ตั้งแต่จิตได้ผ่านขึ้นมาแล้ว เห็นแดนโลกธาตุนี้เป็นถังขยะไปเสียหมด มันเป็นของมันเองจะให้ว่าไง เราไม่ได้ตำหนินะ ธรรมชาตินั้นเหนือขนาดไหน จึงมากล้าพูดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นถังขยะ สมมุติทั้งหมดเป็นถังขยะ ทำสัตว์โลกให้จมอยู่ในถังขยะ เกิดแก่เจ็บตายไม่อยู่ในพวกนี้จะอยู่ที่ไหน ในไตรโลกธาตุนี้ ออกจากนี้ไปแล้วไม่มี เพราะฉะนั้นจึงว่าถังขยะ มันคลุกเคล้าไปด้วยความสุขความทุกข์ความเพลิดความเพลินความเศร้าโศกวุ่นวาย ขึ้นสวรรค์ลงนรกอยู่ในหัวใจคนนั้น ป่วนปั่นวุ่นวายอยู่ทั้งวันทั้งคืน จะไม่เรียกว่าถังขยะอะไร มันหาที่ตายใจได้ที่ไหน เวลานี้ยิ้มแย้มสักขณะเดียวเท่านั้นเอง แย็บเข้ามาเป็นฟืนเป็นไฟเผาเข้ามาแล้ว หน้าเศร้าเหมือนหน้าผี มันออกจากหัวใจนะกิเลส โลกธาตุเป็นอย่างนี้

เราได้ปฏิบัติมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยดังได้เคยเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง การประกอบความเพียรเรื่องของผมเองนั้น พูดให้ใครฟังไม่อยากมีใครเชื่อก็พูดแล้ว เขาไม่เชื่อก็ตาม เราได้ทำอย่างนั้น เราก็พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยของเราที่ทำมา บางครั้งถึงจะเป็นจะตายจริง ๆ เอ้า เป็นก็เป็น มันถึงขั้นจะตาย แต่เราไม่เคยสลบนะ การประกอบความพากเพียรนี้ไม่เคยสลบ ผมก็บอกผมไม่เคยสลบ แต่มันเฉียด ๆ ไป ถึงแม้ไม่สลบก็ตาม ถึงขั้นตายตายได้เลย ข้ามความสลบไปถึงขั้นตายได้อย่างอาจหาญชาญชัยในเวลาประกอบความพากเพียร เอาหนักเอาจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา ตั้งแต่ที่ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมาอย่างถึงใจแล้วเท่านั้น มันถึงจริง ๆ นะ นิสัยเรานี้เป็นนิสัยพูดยาก ๆ อยู่นะ มันเด็ดจริง ๆ ถ้าว่าอะไรถ้าได้ลง ลงสุดยอดเลย ถ้าไม่ลงไม่ลง ยังไงก็ไม่ลง ถ้าได้ลงแล้วลงสุดขีด

ฟังธรรมพ่อแม่ครูจารย์มั่นถึงเรื่องมรรคผลนิพพานนี้ ลงสุดขีดเลยทีเดียว ตั้งแต่ท่านประกาศป้างขึ้นมา ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานหรือ จากนั้นท่านก็ไล่ไปเลย ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพานไม่ใช่กิเลส ฟาดถึงแดนโลกธาตุทั้งหมดในแดนโลกธาตุนี้ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจของเรา ให้ท่านเน้นหนักลงตรงนี้ จิตตภาวนาเอาให้เน้นหนักตรงนี้ ท่านจะเห็นทั้งกิเลสและเห็นทั้งธรรมนั่นแหละ เพราะอยู่ในใจดวงเดียวกัน

ท่านจะไปหาดูนู้นดูนี้ว่าจะมีกิเลสมีมรรคผลนิพพาน คว้าน้ำเหลวทั้งนั้น เอ้า คว้าลงไปที่ใจ นั่นฟังซิ กิเลสอยู่ที่ใจ ธรรมะก็อยู่ที่ใจ คว้าลงไปนี้จะเจอทั้งสองนั่นแหละ ให้เอาลงตรงนี้ จิตตภาวนาให้เน้นหนัก ท่านอย่าไปถามหามรรคผลนิพพาน ท่านจะเปิดเผยขึ้นในตัวของท่านจากความเพียรที่หัวใจนั้นแหละ กิเลสก็จะได้เห็น มันมีอยู่ที่ใจของเราก็จะได้เห็น ธรรมะก็จะได้เห็น เพราะจิตเป็นนักรู้ สติปัญญามีมันจะกระจ่างแจ้งไปหมด ท่านฟาดลงอย่างถึงใจ แหม ตัวสั่นไปเลยนะ เวลาฟังท่านเทศน์รู้สึกว่าตัวมันลักษณะมันไม่สั่นจริง ๆ มันเป็นอยู่ภายในจิต กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างถึงใจ ๆ ประหนึ่งว่าตัวสั่นไปนะ พอฟังมาแล้วนี่ถึงใจ เอาละที่นี่พอใจ

พอใจแล้วก็ย้อนมาถามตัวเอง ทีนี้ไปฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นมาอย่างถึงพริกถึงขิงถึงใจทุกสิ่งทุกอย่าง หาสงสัยไม่ได้แล้ว ทีนี้เราเป็นยังไงเราจะจริงไหม ถามตัวเอง ทางนี้ก็ขึ้นทันทีเลยต้องจริง ไม่จริงให้ตายเท่านั้น เพราะได้ถึงเหตุถึงผลแล้วกับธรรมที่ท่านสอน ทางนี้ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น ตั้งแต่บัดนั้นมาเรื่องความเพียรนี้เอาจริงเอาจังมากนะผม เพราะฉะนั้น การพูดเรื่องความพากเพียรพูดให้ใครฟังจึงไม่อยากพูด เพราะเขาไม่ได้ทำเหมือนเรา เราทำจริง ๆ

ก็คิดดูตั้งแต่ท้องของผมนี่ อดข้าวมาตั้งแต่พรรษา ๗ ตั้งแต่ออกปฏิบัติเบื้องต้น ภาวนาไปมันรู้สึกมันดีทางผ่อนอาหารอดอาหาร นี่ละเริ่มต้นตั้งแต่พรรษา ๗ เริ่มแล้วนะ ทำแบบไหน ๆ ก็ไม่ดี เพราะตอนนั้นกำลังธาตุขันธ์หนุ่มน้อยอยู่เสียด้วยนะ ขึงขังตึงตัง กิเลสคอยจะดีดขึ้นอย่างง่ายดายๆ การฝึกทรมานกันจึงเป็นความลำบากมากอยู่ ทำวิธีไหน ๆ จิตใจมันก็ไม่พ้นที่มันจะดีดดิ้นข้ามหัวเราไป ๆ ตามกิเลสจนได้นั้นแหละ ทีนี้พอฝึกแบบนั้นแล้วฝึกแบบนี้ ก็มาถูกเรื่องประกอบความเพียรโดยทางอดอาหาร พออดอาหารสติสตังค่อยดีขึ้น ๆ อ้าว ชอบกล ๆ สุดท้ายจิตก็แน่นปึ๋ง ๆ เข้าไปเลย ด้วยการอดอาหาร

ทีนี้มันก็จับตรงนั้น ทุกข์ทำไมใครจะไม่ทุกข์ใครก็รู้เหมือนกันการอด เคยกินไม่ได้กินมันก็ต้องหิว หิวก็ต้องเป็นทุกข์ล่ะซิ แต่ความสุขความเลิศเลออยู่ฟากความหิวนี้มีน้ำหนักขนาดไหน มันก็ต้องทน ทีนี้ก็ทนไป ๆ อดอาหารไปเรื่อยๆ ยังไม่เท่าไรนักตอนนั้น อดไปเรื่อย ขยับเข้าไปเรื่อย ๆ ต่อไปเห็นว่าถูกต้องแล้ววิธีนี้ ไม่ว่าหนักว่าเบาก็ต้องเป็นวิธีนี้ เป็นวิธีที่เราจะได้มรรคได้ผล ทีนี้มันก็ทุ่มลงไปล่ะซิ เพราะฉะนั้นท้องผมจึงได้เสีย ปรากฏมันเสียพรรษา ๑๐ พอฉันลงไปนี้ท้องอืดหมดเลย มาเคาะท้องเสียงดังปึ้ง ๆ ผายลมก็ไม่ผาย ถ่ายก็ไม่ถ่าย หากเป็นอยู่อย่างนั้น ก็รู้ว่าเราอดอาหารมันก็รู้ แต่มันไม่ได้สนใจ อดกี่วันก็ตาม ทำความเพียรยิ่งดี ๆ อดไปหลายวันเท่าไรร่างกายนี้บอบช้ำมากอ่อนเพลียมาก แต่จิตใจสงบเย็นไปโดยลำดับลำดา

คุณค่าของใจที่เรามุ่งหวังอย่างแรงกล้านั้นมันปรากฏเด่นชัด แต่เรื่องคุณค่าของอาหารนี้เรากินมาตั้งแต่วันเกิดก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร แน่ะมันเอามาเทียบกัน เอ้าอด นี่ละเรื่องราวมัน ตั้งแต่นั้นมายิ่งหนักเข้า ๆ เพราะฉะนั้นท้องถึงเสีย เวลาไม่ฉันกี่วันก็ตาม ๖ วัน ๗ วันไม่ฉัน ท้องมันก็ไม่ถ่ายมันอยู่อย่างนั้น เฉยไม่มีอะไร พอฉันลงไปแล้ว วันนี้ฉันจังหันพอตอนบ่ายนี้เสียงท้องร้องโก้กเก้ก พอค่ำลงไปทีนี้ถ่ายออกหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ กลางคืนเป็นวันถ่ายท้องเลยไม่ได้หลับได้นอน หลังจากนั้นมาวันหลังหยุดไปเลย ฉันวันหนึ่งหรือถ้ามันเพียบมากจริง ๆ ก็ซ้ำสักสองวัน จากนั้นก็หยุดตลอดๆ ความเพียรก็ยิ่งเด่นๆ

นี่ละที่ท้องได้เสียเพราะเหตุนี้ เราไม่สนใจกับท้องยิ่งกว่าอรรถธรรมที่เราต้องการ มันมุ่งต่ออรรถต่อธรรม เรื่องท้องจะเป็นยังไงไม่สนใจจริง ๆ มันมุ่งตั้งแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมไปเรื่อย ๆ ท้องก็เสียไปเรื่อย จนกระทั่งพรรษา ๑๖ นี้เป็นเวลา ๙ ปีที่อดกันเรื่อยไปตลอด ก็ไม่นานนะเพียง ๙ ปี อดอาหาร ท้องเสียไปเรื่อย ๆ หากไม่คำนึงกับมันเรื่องท้อง นอกจากผลที่ได้จากการอดอาหาร จนกระทั่งถึงพรรษา ๑๖ ดังที่ได้เรียนให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง นั้นแหละตัดสินกันลงได้ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นลงไปจากใจ จิตสว่างจ้าขึ้นมาจนกระทั่งกายไหวไปหมดเลย มันเป็นเองนะ เรื่องกิเลสขาดสะบั้นจากใจ ใจสว่างจ้าขึ้นมาอย่างเราไม่เคยคาดเคยฝัน เกิดมาแต่พ่อแต่แม่เราก็ไม่เคยเห็นเพราะพ่อแม่เราก็ไม่เคยปฏิบัติ มาปฏิบัติแต่เราคนเดียว เวลามันเจอมันก็เจอขึ้นอย่างจัง ๆ ไม่คาดไม่คิด จิตใจนี้สว่างจ้าขึ้นมา ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม มันรุนแรงมากนะ

จิตเวลามันขาดกันจากกิเลสแล้วสว่างจ้าขึ้นมา จนน้ำตาร่วงเลยทันทีในขณะนั้น ขึ้นทันทีเลยอย่างอุทานไม่สะทกสะท้านกับใคร อยู่คนเดียวนะ ขึ้น เหอ ๆ ขึ้นเลยนะ ภายในใจนะไม่ได้ออกทางคำพูด เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ มันย้ำแล้วย้ำเล่าให้ถึงใจกับธรรมชาติอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยรู้แต่มาจ้าขึ้นเวลานั้น อัศจรรย์ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นเลย เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่มันเป็นแล้วนะ เป็นหลักธรรมชาติที่เราไม่เคยคาดเคยคิด

การปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงวันนั้นขณะนั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะแยกตลอด ๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พอธรรมชาตินี้แสดงขึ้นเต็มเหนี่ยวในวันนั้นแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ไม่มีใครมาบอกก็หายสงสัยทันที หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นแล้วนะนั่น จ้านี้ไม่ถาม พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ตรัสรู้มาเท่าไรมันจ้า เหมือนกับเราเอามือจ่อลงน้ำมหาสมุทรนี่ละ น้ำมหาสมุทรกว้างขนาดไหนเพียงมือจ่อนี้มันก็ทั่วมหาสมุทรนั้นหมดแล้ว ทีนี้พอจิตนี้ผางขึ้นมาก็เท่ากับมือจ่อลงไปนั่นเอง ผางขึ้นมานี้ทีนี้พระพุทธเจ้าเป็นอันเดียวกันกับธรรมชาตินี้ ธรรมแท้ก็คืออันนี้ พระสงฆ์แท้คืออันนี้ เป็นอันเดียวกันหมด กิริยานั้นเลยดับไปเลย ขึ้นประจักษ์ใจ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง

นั่นแหละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้มีสองมีสามนะ อันนี้ใครคาดไม่ได้ เป็นขึ้นแล้วจะรู้เองด้วยกันทุกคน เราที่มาเป็นนี้เราได้ถามใคร เราไม่เคยคิดนะว่าจะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ พุทโธ ธัมโม สังโฆเป็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกระลึกรู้มา พุทโธ ธัมโม สังโฆเรื่อยมา จนกระทั่งปฏิบัติถึงขณะนั้นยังพุทโธ ธัมโม สังโฆติดหัวใจนิสัยสันดานตลอดมา ไม่เคยคิดว่าจะมีการแยกการแยะหรือรวมกันยังไงบ้าง แต่เวลามาเป็นขึ้นเต็มเหนี่ยวในขณะจิตนั้นแล้วฟ้าดินถล่มปรากฏว่า แต่ฟ้าดินเขาไม่เป็นไรแหละ มันเป็นอยู่ที่กายกับใจนี้ จนกระทั่งกายนี้ไหวผึงเลยทันที อันนั้นมันจ้าขึ้นมาเลย

นี่ละองค์ศาสดาครอบโลกธาตุ เป็นอย่างเดียวกันหมด เห็นไหมล่ะ ธรรมแท้เป็นอย่างเดียวกันหมด สังโฆแท้เป็นอย่างเดียวกันนี้ เป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน กว้างแคบขนาดไหนก็เป็นมหาสมุทรทั้งนั้น เอามือจ่อลงไปปั๊บก็ถูกทั้งมหาสมุทรหมดนั้นเลย พอผางขึ้นไปนี้มันก็เป็นอันเดียวกันอย่างนั้น นั่นแหละตั้งแต่อดอาหารมาจนกระทั่งถึงวันนั้น จากนั้นมาแล้วผมก็ไม่อดนะ แต่เรื่องท้องนี่ถ่ายไปเรื่อย ๆ เพราะมันเคยเป็นมาแล้วจนเรื้อรัง แต่เราไม่สนใจกับมันเท่านั้นเอง

คราวนี้จึงมาสนใจที่จะปฏิบัติรักษามัน ท้องนะ คืออาหารก็ไม่งดเหมือนแต่ก่อน ไม่อด ฉันธรรมดา ๆ ตั้งแต่วันนั้นมาว่างั้นเถอะน่า ผมไม่เคยอดอาหารเพื่อความเพียรอะไรอีกเลย เพียรอะไรก็รู้กันแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ไม่ต้องถามใครมันก็รู้ขึ้นมา องค์ไหนเป็นขึ้นมามันก็รู้แบบเดียวกันหมดจะให้ว่าไง นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง จะไปถามใคร พระพุทธเจ้าประกาศไว้กังวานมานานสักเท่าไรแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ไม่อดอาหารอีก แต่มันก็ถ่ายไปเรื่อย ๆ ๖ วัน ๗ วัน ถ่ายเสียทีหนึ่ง ๆ เรื่อยมาอย่างนี้ มันไม่หาย จนกระทั่งมันจะตายจริง ๆ ที่ถูกยาหมอเติ้ง นี่ละมันนานขนาดไหน ถึงวาระมันจะไปจริง ๆ มันจะไม่อยู่ก็เห็นชัด ก็ท้องอันนี้เอง มันจะตาย

เดี๋ยวนี้หายขาดเลย ท้องอย่างชนิดนั้นไม่มีเลย เหมือนกับปลิดทิ้งเลยเทียวนะ ไม่มีเหลือจนกระทั่งบัดนี้ ท้องจึงดี ฉันอาหารได้ธรรมดา ๆ สภาพของคนแก่เป็นขนาดไหนได้ กำลังวังชาก็มีตามสภาพของมัน ไม่มีอะไรขัดข้องเลย นี่ละฉันได้มาธรรมดา โรคอันนั้นก็หายหมด ถ่ายท้องอาจมแข็งธรรมดา เป็นปกติเรียบร้อยแล้วมาได้สองปีเต็ม ๆ หรือจะเข้าสามปีก็ไม่ทราบ แต่ถ้าให้เต็มยศจริง ๆ ก็คือว่าสองปีเต็ม ๆ ไม่มีอะไรเลยจนกระทั่งบัดนี้ นี่โรคท้องก็เพราะเรื่องอดอาหาร ไม่ใช่เพราะอะไร ทราบหากไม่สนใจกับมันจนกว่าผ่านไปเต็มที่แล้วจึงได้ย้อนกลับมาบำรุงรักษากัน มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

นี่ล่ะการปฏิบัติธรรม ธรรมพระพุทธเจ้าเป็น อกาลิโก ขอให้ทุก ๆ ท่านทราบเอาไว้ อกาลิโกคือไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาตัดทอนได้เลย เสมอต้นเสมอปลายตลอดมา กับกิเลสก็แบบเดียวกัน กิเลสก็เป็นอกาลิโก เสมอต้นเสมอปลายเรื่อยมาในหัวใจของสัตว์ของเรานี้แหละ เราแย็บไปทางกิเลสก็เป็นกิเลสขึ้นมา เพราะมันอยู่ที่ใจของเรา แย็บไปมากไปน้อยมันก็สร้างผลขึ้นมาให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก สร้างเหตุขึ้นมาให้เพลิดให้เพลินตามมันไปเรื่อย ๆ นี้คือกิเลส มันเกิดขึ้นจากหัวใจเรา

ทีนี้เราแย็บเข้ามาทางธรรม ธรรมก็เกิด สติธรรมก็เกิด ปัญญาธรรมก็เกิด ความพากเพียรทุกด้านทุกทางเป็นอรรถเป็นธรรมเกิดขึ้นที่ใจ ผลิตขึ้นเรื่อย ๆ ผลทางธรรมก็เกิดขึ้นเรื่อย ๆ เกิดขึ้นจากหัวใจดวงเดียวกันนี้แหละ เวลาธรรมได้เกิดขึ้นมาก ๆ แล้วก็มามองเห็นตัวกิเลสซึ่งเกิดอยู่ในหัวใจเรา แต่ก่อนไม่เห็น มันเกิดขึ้นอะไรก็ว่าเราว่าเราไปหมด ความโลภก็เรา ความโกรธก็เรา ความหลงราคะตัณหาว่าเราไปทั้งนั้น เวลาธรรมมีกำลังมากแล้วมันก็แยกของมันได้โดยอัตโนมัติ มันก็ทราบ อะไรเกิดขึ้นมา นี่ภัยเกิดขึ้นแล้ว นี่กิเลสเกิดขึ้นแล้วรู้ทันทีๆ ธรรมเกิดขึ้นแล้วส่องเห็นกิเลส แล้วฆ่ากิเลสได้ด้วยเป็นลำดับลำดาเรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้น

ความเพียรสำคัญมาก จึงต้องได้พินิจพิจารณาถึงวิธีการประกอบความพากเพียร อย่าสักแต่ว่าทำนะ ถ้าทำสักแต่ว่าทำเฉย ๆ จะไม่ค่อยได้ผล ต้องทำด้วยสังเกตด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างสังเกตด้วยดี เรื่องธรรมพระพุทธเจ้าผมนี้กราบพระพุทธเจ้าเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วตั้งแต่วันนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ พูดแล้วสาธุไม่ต้องเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายที่รู้ที่เห็นขึ้นประจักษ์ใจนี้ พระพุทธเจ้าเป็นยังไงไม่ทูลถาม องค์ศาสดาแท้คืออะไร เรื่องพระรูปพระโฉมของท่าน พระสรีระของท่านนั้น มีแปลกต่างกันเป็นธรรมดา มีเกิดมีแก่มีชราคร่ำคร่ามีตายเหมือนกัน อันนี้เป็นเรือนร่างของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแท้

พระพุทธเจ้าแท้คืออันนั้นแล คืออันผางขึ้นมา หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้เหรอ นี้แลคือองค์ศาสดาแท้ คือองค์นี้แล ธรรมแท้ก็คืออันนี้แล เมื่อได้เข้าถึงใจแล้วธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วนี้แล พระสงฆ์แท้ก็คือนี้แล เป็นอันเดียวกันหมดแล้ว แล้วประมวลเข้ามาอีก หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น เราเคยคิดที่ไหนเมื่อไร พอมันจ้าขึ้นมามันหายสงสัยทุกอย่าง เป็นอันเดียวกันล้วน ๆ มันก็รู้ เป็นพื้นเดียวกันหมด พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นพื้นเดียวกับน้ำมหาสมุทร อันเดียวกันหมดเลย เราเป็นก็แบบนั้นแล้วจะไปถามพระพุทธเจ้าหาอะไร มันประจักษ์ในนี้

นี่ละผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต เริ่มเห็นมาตั้งแต่การประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาไปเรื่อย ๆ ถึงวิมุตติหลุดพ้น นี่เห็นศาสดาเต็มองค์ พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ธรรมนี้หมดทางสงสัย ผมพูดจริง ๆ โอ้โห ไอ้กิเลสมันปิดบังธรรมเอาไว้นี้ ก็ไม่ผิดอะไรกับน้ำในบึงในบ่อใหญ่ ๆ น้ำนั้นเต็มสระเต็มบึง แต่จอกแหนมันปกคลุมหุ้มห่อน้ำไว้หมด ไม่มองเห็นน้ำเลย โลกมองไปก็เห็นตั้งแต่จอกแต่แหนก็ว่าน้ำนี้ไม่มีในบึง เพราะจอกแหนมันปกคลุมไว้หมด น้ำมองไม่เห็น เวลาแหวกลงไปไปเปิดดูน้ำดูซิ เอ้า ตักมาอาบดื่มดูเป็นยังไง รสชาติมันเป็นยังไง มันก็รู้ชัดเจน

ผู้ที่ไปเปิดเห็นนั้นแลเป็นผู้ที่จะฝังลึกในธรรมทั้งหลายว่ามีอยู่ มีอยู่ใต้กิเลส เหมือนน้ำมีอยู่ใต้จอกใต้แหนนั่นแล เปิดออกๆ เวลานี้ความกังวลวุ่นวายทุกกระเบียดมันปกคลุมจิตใจปกคลุมธรรมไว้ไม่ให้มองเห็นเลย เอะอะก็อันนี้ออกแล้ว จอกแหนออกแล้ว เห็นรูปฟังเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสออกแล้ว สังขารหรือสัญญาออกแล้วๆ ปิดบังธรรมไว้ตลอดเวลาไม่ให้มองเห็นธรรม มีแต่กิเลสมาปิดบังด้วยสัญญาอารมณ์ของตัวเอง ปิดตัวเอง เวลาเบิกออกด้วยความพากเพียรแล้วจะค่อยแจ้งขึ้นมา ขาวขึ้นมาๆ เหมือนที่เขาไปเปิดน้ำจอกแหนจากบึงนั่นละ เปิดออกแล้วถึงจอกแหนมันจะหุบเข้ามาปิดไว้ตามเดิมก็ตาม แต่ความเชื่อว่าน้ำในบึงนี้มี เขาเชื่อฝังลึกไม่มีถอน นี่ละผู้เชื่อธรรมที่เรียกว่ากระแส ๆ ผู้เชื่ออรรถเชื่อธรรมเชื่ออย่างนี้ แล้วก็มีแต่เบิกออกไปๆ

ถึงมันมาปิดไว้มองไม่เห็นน้ำก็ตาม ความเชื่อว่าน้ำมีอยู่ในสระนี้มันก็เชื่อฝังลึก ธรรมมีอยู่ มรรคผลนิพพานมีอยู่ มันก็ฝังลึกอยู่อย่างนี้ กิเลสปิดบังเอาไว้มรรคผลนิพพานไม่ให้เห็น เพราะฉะนั้นจึงเปิดออกๆ ด้วยความพากเพียรของเรา เอาให้หนักให้หน่วง ให้ได้ทรงมรรคทรงผล พระพุทธเจ้าทรงเลิศไหม เป็นยังไงบ้าง พระสงฆ์สาวกกี่พระองค์ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ทรงธรรมอันเลิศเลอ พระสงฆ์สาวกกี่พระองค์ในบรรดาที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นมหาสมุทรๆ อันเดียวกันหมดแล้ว เลิศเลอสุดยอด ๆ เหมือนกันไปหมดแล้ว

เราตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกับแม่น้ำที่ไหลมาจากสายต่าง ๆ เข้ามาสู่มหาสมุทร การปฏิบัติธรรมของตนได้ละเอียดเข้าไป ๆ เรียกว่าใกล้มหาสมุทรคือวิมุตติพระนิพพานเข้าไปทุกที ๆ ความเพียรก้าวเข้า ๆ ต่อไปก็ถึงมหาสมุทร ไม่ต้องถาม ถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร จ้านี้ไม่มีใครถามกันแหละ เป็นแบบเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก เท่านั้นประกาศป้างขึ้นมา ประจักษ์ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ขึ้นพร้อมกันเลย นี่ละการปฏิบัติธรรม เรื่องมรรคผลนิพพานคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดไป ไม่มีคำว่าบกบาง นอกจากไม่มีใครสนใจ ไปเทิดทูนตั้งแต่กิเลส เอากิเลสซึ่งเป็นส้วมเป็นถานมาพอกหัวใจพอกศีรษะของเราจนไม่มองเห็นตัวคน มีแต่กิเลสเท่านั้นเอง มันถึงจะไม่เห็นอรรถเห็นธรรม

ถ้าผู้ที่มีความตั้งใจประพฤติปฏิบัติอรรถธรรมอยู่ตลอดเวลานี้ ยังไงต้องเป็นผู้จะทรงมรรคทรงผล สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีแง่มีงอนอันใดเลย ขอให้ดำเนินตามอรรถตามธรรมอย่าฝ่าอย่าฝืน ไม่ว่าฝ่ายพระวินัย ไม่ว่าฝ่ายธรรม เป็นความถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น ถ้าฝ่าฝืนส่วนใดไม่ได้นะ ฝ่าฝืนพระวินัยก็ออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว ข้ามหัวพระพุทธเจ้าไปแล้ว อย่าหวังความดี ถ้าลงได้ข้ามหัวพระพุทธเจ้าด้วยการข้ามธรรมข้ามวินัย ฝ่าฝืนธรรมวินัยแล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปต่อหน้า อย่าหวังคนนั้นจะได้เห็นมรรคผลนิพพาน

ถ้ามีความเคารพในธรรมในวินัยแล้ว นั้นแลคือเคารพองค์ศาสดา แล้วเดินตามร่องรอยที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว และก้าวไปตามนั้น ยังไงก็ต้องเป็นต้องรู้ไม่เป็นอื่น ธรรมะนี้ไม่เป็นอื่น ขอให้ก้าวไปตามธรรม ธรรมต้องเป็นธรรมล้วน ๆ ก้าวไปทางกิเลสก็เป็นกิเลสล้วน ๆ ตลอดไปดังที่เคยเห็นมาแล้วนี้แล ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ เวลาที่เรามาอยู่ร่วมกันอยู่นี้ก็ไม่มีงานมีการอะไร วัดนี้ผมไม่ให้มี เป็นมาตั้งแต่ต้น เพราะงานเหล่านั้นเป็นงานสร้างความกังวลวุ่นวาย สั่งสมกิเลสขึ้นภายในตัว แม้แต่สร้างกระต๊อบหลังนี้เสร็จ วันนี้ยังไม่เสร็จยังต้องเป็นอารมณ์ วันหลังต้องสร้างต่อไปอีก นี้เป็นอารมณ์แล้วใช่ไหมล่ะ

เพียงเราสร้างกระต๊อบหลังหนึ่งพอได้อยู่อาศัยภาวนาเท่านั้น มันยังเป็นอารมณ์ เมื่อกระต๊อบยังไม่แล้วเป็นอารมณ์เท่ากระต๊อบนั้นแหละ จนกระทั่งกระต๊อบเสร็จเรียบร้อยก็หายกังวล ไม่สร้างใหม่อีกต่อไป อารมณ์ก็ไม่มี อันนี้ถ้าไปสร้างนั้นสร้างนี้แล้วยุ่งเหยิงวุ่นวายนะ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ระมัดระวัง สอนหมู่สอนเพื่อนเรื่องการก่อการสร้างนี่เป็นการสั่งสมกิเลสเป็นลำดับลำดา การปฏิบัติธรรมนี้จะจางไปๆ อารมณ์ของใจนี้จะไปอยู่กับการงานทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสความวุ่นวาย หาอรรถหาธรรมไม่มี มาเข้าจิตหาความสงบหาไม่ได้ พอจะมาเข้าสู่ความสงบจิตเป็นอารมณ์กับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วยุ่งไปหมดเลย นี่ไม่ใช่ทางของศาสดา ให้พากันปฏิบัติ

เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี้เป็นงานของพระแท้ ไม่มีงานอื่นใดเข้ามาเจือปน เรียกว่างานของพระ งานเพื่อชำระกิเลส งานเพื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง ผู้นั้นแลเป็นผู้จะทรงมรรคผลนิพพานได้โดยไม่ต้องสงสัย พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วกี่วันกี่คืน ไม่สำคัญ สำคัญที่สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เพื่อมรรคผลนิพพานสมบูรณ์แบบแล้ว เอาให้ดีตรงนี้ ถ้าลงปฏิบัตินี้ไม่ปล่อยวางจากหลักธรรมหลักวินัยแล้ว สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วจะผึงเลย ต้องถึง ไม่ไปไหน และไม่เป็นอื่น ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ อย่าอ่อนแอท้อแท้เหลวไหล

อย่าเห็นโลกเป็นของสำคัญ มันเป็นอย่างนั้นมาดั้งเดิมโลก ตื่นหาอะไร ถังขยะ เกิดแก่เจ็บตายกองอยู่ในโลกถังขยะนี้ทั้งนั้น ความทุกข์ความลำบากลำบนอะไร ในนิพพานไม่มี อันนี้เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ ท่านจึงว่าถังขยะ ผสมผเสเต็มอยู่ในนั้นหมด ความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความดีดความดิ้นเต็มอยู่ในอันเดียวกัน แล้วสร้างตั้งแต่กองทุกข์มาให้ตลอดเวลา จะไม่เรียกถังขยะจะเรียกว่าอะไร เรื่องพระนิพพานไม่มี จิตตั้งแต่หลุดพ้นออกไปผึงเท่านั้นเองไม่มี เรื่องความทุกข์ที่จะมีในใจของพระอรหันต์แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีเลย ตั้งแต่ขณะกิเลสซึ่งเป็นตัวสาเหตุให้สร้างทุกข์ขึ้นมาขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว ทุกข์ไม่มีในใจพระอรหันต์ ไม่มีเลย จนกระทั่งนิพพาน เรียกว่าอนันตกาล พอ นิพพานเที่ยง ทุกข์ก็ไม่มี กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มี นี่เรียกว่านิพพานเที่ยง นอกนั้นเป็นถังขยะไปหมดนั้นแหละจะเป็นอะไรไป ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

เรื่องธาตุขันธ์ของพระอรหันต์นั้น ธาตุขันธ์ก็เป็นสมมุติธรรมดาเหมือนกับโลกทั่ว ๆ ไป เขาเจ็บไข้ได้ป่วยท่านก็เป็นได้เหมือนกัน เจ็บทองปวดศีรษะเป็นไปได้ด้วยกัน เพราะอันนี้เป็นสมมุติเสมอกัน ความเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วแต่ใครจะเป็นแบบไหน ๆ ในธาตุขันธ์ของพระเจ้าพระสงฆ์ ของประชาชน หรือแม้ที่สุดของพระอรหันต์ เป็นได้ด้วยกัน เป็นแต่เพียงว่าพระอรหันต์ท่านไม่ซึมซาบ สิ่งเหล่านี้เจ็บปวดตรงไหนก็รู้ว่าเจ็บปวด แต่ไม่สามารถซึมซาบจิตใจของท่านให้หวั่นไหว หรือเป็นทุกข์ขึ้นมาภายในใจได้เลยเท่านั้นเอง ต่างกันตรงนี้

เจ็บตรงไหนมากขนาดไหนก็รู้อยู่ในจุดของมันที่เจ็บ ไม่เข้ามาแทรกถึงจิต บังคับให้แทรกก็ไม่แทรก จึงเรียกวาสมมุติกับวิมุตติ สมมุติก็คือขันธ์ ทุกข์ก็เกิดในขันธ์ วิมุตติก็คือจิตที่บริสุทธิ์แล้ว จะเข้ากันได้ยังไง มันต่างกันที่ตรงนี้ เรื่องทุกข์ทุกข์เหมือนกัน แก่เหมือนกันตายเหมือนกัน แต่ไม่มีทุกข์เข้าเคลือบแฝงและซึมซาบไปถึงจิตใจท่านได้เลย นี่เรียกว่าจิตของพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น

เวลานี้เราตั้งหน้าตั้งตามาประพฤติปฏิบัติศีลธรรม เอาให้จริงให้จัง ธรรมะนี้สด ๆ ร้อน ๆ มรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ชั่วเอื้อมเรา เอื้อมการปฏิบัติของเรานั้นแหละ เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่าไรอยู่ชั่วเอื้อมๆ เอาจนได้นั่นแหละ ก้าวไม่ถอยๆ การเกิดการตายนี้มันเกิดตายนี้ตลอดไปตั้งกัปตั้งกัลป์ เรามาเกิดนี้ก็มาพักในภพนี้ชาตินี้ ต่อไปจะไปเกิดอีกตายอีกนะ ถ้าเราสร้างความดีไม่พอเราก็ต้องไปเกิดไปตายอีก หากความดีของเรามีก็ยังพอได้พักผ่อนหย่อนตัวบ้างนะ ไม่เหมือนกับคนที่สร้างแต่บาปแต่กรรมหาบแต่กองทุกข์ เผาทั้งแดนมนุษย์แล้วไปเผาแดนนรกอเวจีอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ หมุนไปเวียนมาอยู่นี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นได้เลย คือคนสร้างแต่บาปแต่กรรม พวกนี้ได้รับความทุกข์ไม่มีวันจืดจาง เผาอยู่ตลอดเวลาในถังขยะใหญ่นี้แหละ จะไปไหน

พอพ้นจากนี้แล้วไม่มี เรื่องทุกข์ทั้งหลายไม่มีในใจของพระอรหันต์ นั่นละท่านว่าหมดกังวล พระอรหันต์ไม่มีกังวล ธรรมชาตินั้นสว่างจ้าอยู่ครอบโลกธาตุ เอาอะไรมาผ่าน นี่ละเรื่องวิมุตติล้วน ๆ ธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่มีสมมุติใดเข้าไปผ่านได้เลย เรื่องตาหูจมูกลิ้นกายนี้เป็นสมมุติ ก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับรูปเสียงกลิ่นรส สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่เพียงอันนี้เอง มันไม่สามารถเข้าไปสู่จิตใจท่านได้นะ จิตใจนั้นเป็นวิมุตติหลุดพ้นไปจากแดนถังขยะนี้แล้ว จะเอาอะไรมาเป็นความทุกข์ไม่มี

ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ทุกข์ก็ทุกข์เถอะน่ะ ทุกข์เพื่อความสุข สุขจนกระทั่งเป็นบรมสุข เราทุกข์ประกอบความเพียรนี้กี่ปี มันทุกข์ขนาดไหน กำหนดปีเดือนได้อยู่นี่นะ แต่ความทุกข์ที่ไม่มีความพากความเพียรความทุกข์ไม่เอาไหน ๆ นี้ทุกข์ตลอดไป ไม่มีคำว่าต้นว่าปลาย มันจะจมอยู่กับกองทุกข์นี้ตลอดไปเลย แต่ความทุกข์ด้วยความพากความเพียรเพื่อยกตนให้พ้นจากทุกข์นี้ มันจะทุกข์กี่ปีกี่เดือน เอ้า ทุกข์ไป เวลาเราได้ผลจากการประกอบความเพียรของเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ถึงนิพพานเที่ยง ความสุขบรมสุขนี้เที่ยงตลอดเลย แล้วเอามาวัดกันกับความทุกข์ที่เราประกอบความเพียร ประมาณกี่ปี

ความเพียรประมาณกี่ปี เป็นความทุกข์ประมาณสักกี่ปี ผลได้จากความเพียรนี้ไปเป็นความสุขเป็นบรมสุขถึงนิพพานเที่ยง อันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน เอามาเทียบกัน เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันคนเรานะ ตายไม่กี่ภพกี่ชาติแหละผู้มีความเพียร มีวันจะถอนตัวออกได้นะ แต่ผู้ตายด้วยความจมกับบาปกับกรรมกับกิเลสตัณหานี้ไม่มีวันมีคืน จมอยู่อย่างนั้น ต้นไม่มีปลายไม่มี ตายมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ความทุกข์ตั้งกัปตั้งกัลป์ สับสนปนเปกันมาอย่างนี้ ให้เอาไปพิจารณาในตัวเองทุกคน ๆ นะ

ผมสงสารหมู่เพื่อน ยิ่งจวนจะตายเท่าไรนี้ยิ่งสงสารมาก ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้นะ มันหากเป็นเองในใจ ประชาชนญาติโยมเรานี้สงสารมากทีเดียว แต่ก่อนก็ไม่เป็น พอแก่มาเท่าไร ๆ แล้วก็มาคิดถึงเรื่องใครจะแนะนำสั่งสอนพวกนี้ล่ะ นี่อันหนึ่งนะ เมื่อเป็นอย่างนั้นธรรมะที่เราเทศน์สอนโลกจึงมีเน้นหนักๆ ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เห็นเหตุเห็นผลเห็นความสัตย์ความจริง พอได้สารประโยชน์บ้างในการฟังเทศน์ฟังธรรมจากครูจากอาจารย์ แล้วเทศน์อย่างที่ผมเทศน์นี้ก็รู้สึกจะไม่ค่อยมีใครเทศน์ด้วยนะ เราพูดจริง ๆ ไม่โอ้ไม่อวด พูดตามหลักความจริง เทศน์ตามหลักความจริงเป็นอย่างนั้น

เวลาเทศน์สอนโลกก็เทศน์แบ่งรับแบ่งสู้แกงหม้อใหญ่ แต่ยังไงก็ไม่ทิ้งลวดลายที่จะเด็ดเผ็ดร้อนบ้างเป็นบางระยะบางกาลบางคราว มีบ้าง หากไม่ให้หมด แบ่งรับแบ่งสู้กับกิเลสตามภาษีภาษาของเขาที่จะรับผลประโยชน์มากน้อยเพียงไร ก็สอนลงตามภูมิๆ ถ้าผู้ที่มีความหนักแน่นขึ้นไปกว่านั้น ธรรมะก็หนักออกมาเองไม่ยาก ถ้ายิ่งเป็นแกงหม้อเล็กด้วยแล้วจะพุ่ง ๆ ยิ่งแกงหม้อจิ๋วนี้พุ่งเลย เพราะมันรับกันได้ดี ผางรับกันทันทีๆ แกงหม้อจิ๋วกับธรรมที่จะสงเคราะห์โลกมีสมบูรณ์อยู่แล้วภายในใจนี้ ออกทันทีเลย ถ้าไปที่ไหนมองดูก็เห็นแต่ซากมนุษย์เห็นแต่เศษมนุษย์เต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนเห็นแต่กิเลสห้อมล้อมจนมองหาตัวไม่เห็น ธรรมะก็อ่อนใจเหมือนกันนะ

เวลานี้เป็นอย่างนั้นนะ โลกชาวพุทธเรานี้ เมืองไทยของเรานี้ มองไปที่ไหนไม่มองเห็นคน มองเห็นตั้งแต่กิเลส ความดีดความดิ้นความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม กิริยาท่าทางการอยู่การกินการใช้การสอย การนุ่งห่มแต่งเนื้อแต่งตัว อะไร ๆ นี้หรูหราฟู่ฟ่าเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียทั้งหมด มองหาตัวไม่เห็นเวลานี้ นาน ๆ ถึงจะแย็บทีหนึ่งเราก็ดี คือมันดูไม่ได้ถ้าพูดแบบโลก แต่ธรรมไม่มีอะไรนะ มันเหมือนว่าคันฟันบ้าง ก็เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตานี้ทำไมจะไม่เตือนกันบ้างดุกันบ้าง ผู้พอที่จะได้สติสตังมีอยู่ ก็ต้องแย็บออกบ้าง การอยู่การกินการใช้การสอยนี้เทศน์อยู่เรื่อย ๆ แต่การแต่งเนื้อแต่งตัว การฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัวนี้นาน ๆ จะแย็บออกทีหนึ่ง

เพราะเวลานี้ดูแล้วพิลึกกึกกือเหลือเกิน เช่น เมืองไทยเรานี้ก็เป็นเมืองพุทธมาแล้ว ปู่ย่าตายายพาดำเนินมาด้วยความราบรื่นดีงามสงบงามตาทุกอย่าง การแต่งเนื้อแต่งตัวก็สวยงามดูแล้วก็ชุ่มตาชุ่มใจ เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสและเป็นที่น่าเมตตาสงสาร แต่เวลามันเปลี่ยนแปลงมาจากโลกภายนอกล่ะซี โลกเขาไม่มีศาสนา เขาแต่งตัวอะไร ๆ เขาทำอะไรมา เราก็คว้ามับๆ เพราะเราไม่มีหลักอยู่แล้ว พอคว้ามับเข้ามาหาเราก็เป็นลิงทั้งตัวๆ ไม่มีคนติดอยู่เลย ดูแล้วมันก็ดูไม่ได้ บางทีก็แย็บออกบ้างให้รู้เนื้อรู้ตัว ถ้าไม่รู้ก็จำเป็นกรรมของสัตว์ ก็เราเทศน์เราไม่ได้เทศน์เพื่อจะเอาผลประโยชน์จากผู้ใดนี่นะ เทศน์ด้วยความเมตตาสงสาร จะมาว่าเราผิดได้ยังไง ก็สอนให้ถูกจะผิดไปได้ยังไง ตัวที่ไม่ยอมรับนั่นแหละตัวมันผิด มันผิดอยู่ตรงนั้นแล้วกองทุกข์ก็อยู่กับผู้ที่ไม่ยอมรับนั้นแหละจะไปที่ไหน

นี่ละเรื่องสอนโลกมันลำบาก นี้จวนจะตายเท่าไรยิ่งสงสารมากนะ เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐานเรานี้น่ะมันจะค่อยกุดค่อยด้วนเข้ามา แล้วเกาะเดียวเท่านี้นะเวลานี้ พูดให้เต็มปากนี้เลย เกาะที่เป็นที่ซุกหัวนอนได้ของประชาชนญาติโยมทั้งหลาย เป็นที่ตายใจอบอุ่น เขาเคารพนับถือมีเกาะมีดอน ไม่งั้นจมเป็นทะเลหลวงไปหมดเลย แล้วศาสนาก็หมดไปพร้อมกัน เรื่องปริยัติเรียนมากี่คัมภีร์ก็เรียนเถอะ ก็เป็นตัวหนังสือเป็นกระดาษจะว่าไง ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติตาม เรียนมาแล้วไม่ปฏิบัติ มันก็เป็นหนอนแทะกระดาษเกิดประโยชน์อะไร นี่ละมันจะกลายเป็นหนอนแทะกระดาษ

อยู่ตามบ้านตามเรือนมีคัมภีร์ ไม่อดไม่อยากนะ อย่าว่าแต่ในวัดในวา ในบ้านคนก็มี แต่มันไม่สนใจปฏิบัติ มันก็ทิ้งไว้อย่างนั้นเหมือนกระดาษเศษ เพราะเจ้าของมันหมดราค่ำราคาแล้วที่จะเอาธรรมะมาปฏิบัติเพื่อเป็นสาระแก่ตนมันไม่มี มันก็เลยกลายเป็นเรื่องสัตว์ไปหมดทั้งโลก ทั้ง ๆ ที่มีศาสนามันก็มีแต่คัมภีร์ใบลานในหัวใจและความประพฤติของคนไม่มี มันก็เลยเลวไปๆ นี่ศาสนาพุทธมันจะสิ้นจะสุดลงแล้วเหรอ บางทีอดวิตกไม่ได้นะ มันจึงได้เพลิดได้เพลินเกินเนื้อเกินตัวเหลือเกินที่วิ่งไปตามกิเลสไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยนี่นะ มันอดไม่ได้

นี่ละจวนตายเท่าไรยิ่งมีความเมตตาสงสารมาก บางทีธรรมะก็ออกเด็ด ๆ เผ็ด ๆ ร้อน ๆ บ้างเหมือนกัน เพราะมันคันฟัน ก็เห็นอยู่ตลอดเวลา ปิดได้หรือปิดธรรม กิเลสมันจะออกแบบไหนรู้หมดเรื่องธรรม ไม่มีคำว่าชินกับกิเลส มันจะออกแบบไหน ๆ เป็นแบบที่เคยฟาดหัวเรามาจนจมกับมันมากต่อมากแล้ว คราวนี้ได้เห็นกันแล้ว มันขาดสะบั้นจากใจเรา มันไปอยู่ในหัวใจใด กิริยาใดมันก็รู้หมดล่ะซิ มันจะปิดได้เหรอ ธรรมดูกิเลสดูได้ง่ายนิดเดียว ขอให้ธรรมมีในใจเถอะ ดูได้ง่ายมากนะ

ถ้าธรรมไม่มีในใจเขากับเราเป็นอันเดียวกัน ดำปี๋เหมือนหมีทั้งตัว หมีดำ มันไม่มีใครขาว ไม่มีใครสว่างจะมองเห็นดีชั่วได้ยังไง เขากับเราก็เหมือนกัน ก็เลยงมเงาเกาหมัดไปตาม ๆ กันเลย ทีนี้สาระแก่นสารไม่มี สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวๆ เกิดมานี้ก็ไม่ทราบเกิดมาจากอะไรก็ไม่รู้ กรรมอะไร กรรมดีกรรมชั่วก็ไม่เคยสนใจกับกรรม ก็ดิ้นกันอยู่อย่างนี้ พอลมหายใจขาด ขาดไปแล้วตายไปที่ไหนก็ไม่รู้อีก เพราะมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ภายในจิตใจ มาเกิดก็ไม่มีหลักมาในความรู้สึกของตัวเอง แต่หลักคือกรรมพาให้เกิดนั้นแน่นอนพาให้เกิด ครั้นเกิดมาแล้วก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ เขาเหมือนเราเราเหมือนเขา คว้าน้ำเหลวๆ อันนั้นก็จะเอาอันนี้ก็จะเอา อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี มีแต่ของดีตามกิเลสทั้งนั้น ของดีตามอรรถตามธรรมนี้ไม่มี ทีนี้ก็คว้าน้ำเหลว

พอลมหายใจขาดเท่านั้น อะไรล่ะเป็นสาระของเรา กระดูกของเรานี้ก็ไม่เห็นได้เรื่องอะไร ใจนั้นมีอะไรบ้างล่ะ มันก็มีแต่เรื่องกิเลสตัณหา เรื่องบาปเรื่องกรรมเต็มหัวใจพาจมลงในนรกอีก นี่ละคนไม่มีหลักก็มีแต่เรื่องไฟนรกเผาทั้งเป็นทั้งตายไปนี้ คนมีหลักนี้ไม่เป็นไร ขอให้ทำหลักใจให้ดี ศีลธรรมอย่าปล่อยอย่าวาง เป็นฆราวาสญาติโยมก็ตาม ขอให้ระลึกถึงศีลถึงธรรม อันนี้คือสาระอันสำคัญพึ่งเป็นพึ่งตายกับหัวใจได้ อย่าปล่อยอย่าวาง สมบัติเงินทองข้าวของอะไรจะมีมากขนาดไหน นั้นเป็นสิ่งภายนอกพึ่งไม่ได้ พึ่งได้ตั้งแต่เวลามีชีวิตอยู่นี้เท่านั้น พอชีวิตหาไม่แล้วไม่มีอะไรเป็นความหมายอันดีงามเลยพอที่จะตายใจได้ นอกจากบุญหรือบาปนี้ติดแนบกับหัวใจ

รีบสร้างบุญก็สร้างเสียในบัดนี้ ตายอันนั้นทิ้งปั๊วะลงไปแล้ว เรื่องบุญกับใจนี้ติดกันไปเลย ๆ นี่คือสาระของใจ แต่มันไม่ค่อยสนใจจะสร้างคนเรา สร้างตั้งแต่บาปแต่กรรม บาปกรรมมันก็มาพันหัวใจลงนรกอีก ๆ นี่ละเป็นที่น่าทุเรศ อู๊ย ทุเรศจริง ๆ มองดูกิริยาท่าทาง ทั้ง ๆ ที่เมืองไทยเราเป็นชาวพุทธ กิริยาแห่งการแสดงออกของพุทธไม่ค่อยมีและไม่มี มันมืดขนาดนั้นจะให้ว่ายังไง ถ้าพูดอย่างนี้กิเลสมันก็พองตัวขึ้นมาอีก โต้ตอบต้านทานเข้าอีกนะ มันไม่ใช่ของดีนะ มันจะเพิ่มกิเลสเข้าไปอีก เมื่อได้ฟังธรรมแทนที่จะไปชำระตัวเองมันไม่ยอมชำระนะ เอาไปพอกหัวตัวเองเข้าอีกเป็นฟืนเป็นไฟเข้าไปอีก

แล้วท่านผู้เทศน์ไม่ใช่คนโง่ จอมปราชญ์ทั้งหลายท่านเทศน์ พระพุทธเจ้า พระสาวกท่าน สมควรเทศน์ขนาดไหนท่านก็เทศน์ ไม่สมควรท่านก็ปล่อยทิ้งเสีย จะให้ทำยังไงมันกรรมของสัตว์ เมื่อสอนไม่เอาแล้วก็ปล่อยทิ้งเป็นกรรมของสัตว์ไป ถ้าพอสอนได้ท่านก็สอนเอาๆ นี่ละเรื่องโลกเวลานี้รู้สึกว่าหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้โลกชาวพุทธเรา เป็นเรื่องกิเลสไปเสียทั้งหมดเป็นทะเลแห่งกิเลสทั่วเมืองไทยเรานะเวลานี้ เป็นทะเลของกิเลสไปทั้งนั้นไม่ใช่ทะเลของธรรมนะ

เพราะฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติ เปลี่ยนทะเลของกิเลสในหัวใจเราให้เป็นทะเลของธรรมขึ้นมันก็ได้คนเรา เปลี่ยนให้เป็นธรรมขึ้นมา พลิกตัวเสาะแสวงหาคุณงามความดี รักษาศีล รักษาธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ให้ทาน ทำบุญ นี่คือสาระของใจที่พึ่งของใจอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตึกรามบ้านช่องถนนหนทาง สมบัติเงินทองมีเป็นล้าน ๆ อะไรเลย อันนั้นมีเพียงไว้กิเลสมันหลอกตาเอามาประดับหน้าร้านให้ภูมิใจ ดีไม่ดีพวกภูมิใจนี้ก็กลายเป็นคนเย่อหยิ่งจองหองพองตัวเข้าไป ว่าตัวมั่งตัวมี นั้นเอากิเลสมาประดับร้านไม่ใช่ธรรมประดับร้านนี่นะ กิเลสมันมาหลอกตื่นไป

ผู้ที่มีธรรมประดับร้าน จะทุกข์จะจนก็ตามคนนั้นมีหลักเกณฑ์ เป็นเศรษฐีก็มีหลักเกณฑ์ถ้ามีธรรมในใจ ถ้าไม่มีธรรมในใจยังไงก็ตายทิ้งเปล่า ๆ จะเอาสาระไม่ได้เลยจากสิ่งเหล่านั้น ตายกองกันอยู่นี้มีอะไร ใครเอาสมบัติเงินทองเหล่านี้ไปเผากัน ไม่เคยเห็นมีนะ ตายแล้วก็มีแต่โลงผีเท่านั้น ไปก็เอาไฟเผาเข้าไป ถ่านเผาเข้าไปเท่านั้น แล้วผู้ที่เกิดมาสุดท้ายภายหลังเป็นลูกเป็นหลาน เอ้า รับมรดกกันไป สืบทอดกันไป หวงกันไป แล้วเป็นบ้ากันไปกับสิ่งเหล่านั้นไม่มีสิ้นสุดอีก ตายไปก็แบบเดียวกันอีก หาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมภายในใจแล้วหาที่ยุติไม่ได้นะ

ให้พากันตั้งอกตั้งใจ สำหรับพระปฏิบัติเราไม่หวังเอาอะไรนะ บิณฑบาตก็เต็มบาตร ๆ มาอย่างที่เห็นนี้แล้ว จะกินให้ตายก็ตาย แต่อรรถธรรมของเราเป็นยังไงบ้าง กินมากกินน้อยเป็นยังไง ให้ดูการกินของเจ้าของนี้ด้วยนะ ไม่ใช่ว่ากินเฉย ๆ มีอาหารหวานคาวมาก ๆ เป็นบ้ากับอาหาร นี้ก็เป็นบ้าอีกชนิดหนึ่ง ธรรมเลยแห้งผากๆ อะไรเป็นเรื่องของเขา การทำบุญให้ทานเขาหามาทานเป็นบุญของเขา เราฉันด้วยความรู้จักประมาณเป็นธรรมของเรา เป็นเรื่องของเรา เป็นความฉลาดแหลมคมของเรา ถ้าเราเผลอไปเป็นบ้ากับสิ่งเหล่านั้นเราก็จมไปอีก ต้องคิดอ่านไตร่ตรองให้ดีทุกคน ๆ

การปฏิบัติธรรมต้องจริงต้องจัง อย่าเหลาะ ๆ แหละ ๆ นะ พระเณรวัดนี้ไม่ได้นะมาเหลาะ ๆ แหละ ๆ เช่นอย่างผมไม่อยู่แล้วแหวกแนวไปที่นั่นแหวกแนวไปที่นี่ มาผมไม่ได้ถามนะ พอมองเห็นแล้วไล่หนีทันทีๆ เลย ใครจะแหวกแนวไปไหนไป เพราะผมไม่มีเวลาที่จะสอดส่องมองดูพระเณร มาจุ้น ๆ จ้าน ๆ ไม่ได้นะ ยิ่งหนาแน่นเข้ามาทุกวัน ๆ มามากเท่าไรยิ่งทำเลอะ ๆ เทอะๆ อกผมจะแตกแล้วนะที่ปกครองหมู่เพื่อน ให้พากันจำทุกคน ธรรมที่สอนวันนี้สอนเพื่อหัวใจของผู้มาปฏิบัติ ให้ตั้งใจไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวของเราเอง นี่แหละเป็นความดีความชอบธรรม

วันนี้การเทศนาว่าการก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญฯ

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ทางอินเตอร์เน็ต www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก