เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ระงับฟืนไฟในหัวใจด้วยจิตตภาวนา
(โยมมาจากโคราช) หลวงตานี้อยู่โคราชมาตั้ง ๕ ปี วัดศาลาทอง หัวทะเล นั่นปีหนึ่ง วัดสุทธจินดา ๒ ปี ทางอำเภอท่าช้าง อำเภอจักราช พอดี ๕ ปี แต่เที่ยวนี้ไปหมดเลย เราอยู่นั้นตั้ง ๕ ปี เที่ยวแหลกหมดเลย แต่ก่อนอำเภอมีน้อย เดี๋ยวนี้เขาตั้งอำเภอใหม่ เลยไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ๆ ตอนเรียนหนังสือก็เรียน ออกปฏิบัติก็มาอยู่ เรียนหนังสือก็มาอยู่ที่นั่น แต่ก่อนดูเหมือนจะไปทุกอำเภอละมัง ทีนี้เวลาเขาตั้งอำเภอใหม่นี้เลยไม่ทราบว่าอำเภอไหนบ้างนะ แต่ก่อนอำเภอเก่าเราไปหมดทุกอำเภอ ๆ อย่างอำเภอพิมายนี้ก็ไป ไปหมดนั่นละ อำเภอจักราชนี่ตั้งทีหลัง ตั้งทีหลังหลายอำเภอ ที่มีดั้งเดิมก็อำเภอปักธงชัย สีคิ้ว สูงเนิน ปากช่อง มีมาดั้งเดิม ที่ตั้งใหม่จำไม่ได้นะ
พี่น้องทางโคราชเลี้ยงอยู่ ๕ ปี คนไม่ได้กินข้าว ๕ ปีตายเลยเข้าใจไหม ไม่มีเหลือจนกระทั่งกระดูก นี่ยังมาเห็นหลวงตาอยู่นี่ก็เพราะได้รับเลี้ยงมาจากโคราชตั้ง ๕ ปี จะเรียกว่าพระโคราชเราจะผิดไปไหน อยู่โคราชเวลาหยุดเรียนหนังสือก็เข้าป่า เข้าไปหลายแห่ง แต่ก่อนกลางดงไม่มีบ้านมีเรือนอะไรละ มีแต่พวกกองไผ่ เขาพริก เราไปเที่ยวทางนู้น ไม่มีบ้านมีเรือนแต่ก่อน มีเท่านั้นแหละ พอว่าง ๆ ก็ไปเที่ยวกรรมฐาน ชอบกรรมฐานอยู่นะ เรียนหนังสืออยู่กรรมฐานไม่เคยปล่อยวางนะ ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันพอว่างออกแล้ว พอว่างปิดโรงเรียนปั๊บนี่ออกเลยไปเที่ยวกรรมฐาน มีเวลาแล้วค่อยมาเป็นประจำ พอหยุดเรียนแล้วก็ออกเลยละ ออกเตลิดเปิดเปิงจนกระทั่งบัดนี้ เข้าป่าเข้าเขาไปเรื่อย ๆ
นี่จะพากันไปไหนบ้างล่ะ (ตั้งใจมาที่นี่) เออ ก็ดีละ บ้านเราเมืองไทยเราเป็นบ้านเมืองพุทธ ไปที่ไหนมีวัดมีวาอยู่ทั่วๆ ไป เราจะไปสงบอารมณ์ที่ไหนๆ ก็ได้ ท่านว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงคลมุตฺตมํ ท่านบอกว่าเป็นมงคลอันสูงสุด ได้เห็นสมณะ นี่เราก็ได้เห็นสมณะ เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ผู้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็เจริญหู เจริญตา เจริญใจ เวลาฟังอรรถฟังธรรมก็เจริญหู ตาได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างก็เจริญทางตาเข้าสู่ใจ ได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมก็เจริญเข้าไปสู่ใจ เพราะธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องระงับดับไฟความยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหลาย นอกจากนั้นไม่มีอะไรดับได้เลย
โลกจึงต้องมีธรรม ถ้าไม่มีธรรมโลกไม่มีความหมาย เป็นเหมือนกับสัตว์ โลกมนุษย์เราฉลาดกว่าสัตว์ทำลายเขาได้มาก ถ้ามีศีลธรรมไม่ทำลายกันได้ง่าย ๆ เช่น เราอยู่ด้วยกันมากๆ นี่ ต่างคนต่างมีศีลมีธรรม รู้กันหมด เป็นสภาพเหมือนกัน จิตใจเป็นอรรถเป็นธรรมเหมือนกัน ถ้าเป็นสัตว์มากๆ มาอยู่นี่ โอ๊ย เป็นสนามรบกันเลยเข้าใจไหม กัดกัน ถ้าเป็นหมาก็กัดกันแหลกเลย ดีไม่ดีศาลาหลังนี้เสากี่เสานี่หมากัดกัน โดนต้นเสาล้มระเนระนาดไปหมด หมามันไม่มีศาสนาเข้าใจไหม ทีนี้ถ้าคนไม่มีศาสนาก็เหมือนกัน เข้าชุมนุมชนมาก ๆ นั่นละชุมนุมที่เกิดเรื่องเกิดราว
ถ้าชุมนุมชนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวัดกับวามีมากน้อยเพียงไรสงบเย็น ถึงจะมีเสียงบ้างก็เสียงอยู่ในวงของเศรษฐีอรรถธรรม ไม่ได้นอกเหนือจากนั้นไป ธรรมคุ้มครอง เช่นเข้าไปในวัดในวามีการมีงานบุญกุศลธรรมดานี้ มีมากมีน้อยก็สงบร่มเย็นไป วัดจึงมีอยู่ทั่วไป ไปสร้างบ้านใหม่เมืองใหม่ที่ไหนต้องมีวัดมีวาเข้าไป วัดเครื่องหมายของธรรม เครื่องหมายของศาสนาเพื่อระงับดับทุกข์ทั้งหลาย เรียกว่าน้ำดับไฟ เย็นไป เข้าไปวัดไปวา ยิ่งไปหาสถานที่ที่ท่านบำเพ็ญอรรถบำเพ็ญธรรม ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติศีลธรรมจริง ๆ แล้วความเย็นต่างกันนะ
นี่เราพูดเป็นอรรถเป็นธรรมไม่เอียงหน้าเอียงหลัง พูดตามความจริง คือคำว่าพระก็ต่างกัน วัดก็ต่างกัน ต่างกันโดยลำดับ ตั้งแต่คนยังต่างกัน บ้านนี้บ้านนั้น เรือนนี้เรือนนั้นก็ยังต่างกัน ก็ต่างกันเป็นลำดับลำดา ทีนี้พระวัดก็ต่างกันเป็นลำดับลำดา ตลอดศีลธรรมภายในจิตใจก็ต่างกันเป็นลำดับลำดา อย่างไรก็ดีอยู่ การไปเห็นวัดเห็นวา เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ มองเห็นผ้าเหลืองเครื่องหมายของศาสดา ผ้าเหลือง มันก็เย็นตาเย็นใจบ้างแล้ว แม้พระจะไม่ปฏิบัติดีแต่ผ้าเหลืองก็ยังทำให้ชุ่มเย็น ให้ระงับดับใจได้ นี่มันต่างกันนะ
ยิ่งอย่างไปในสำนักท่านผู้สงบร่มเย็น มีธรรมภายในใจเต็มหัวใจด้วยแล้ว โห เย็นไปหมดเลยนะ เห็นไหมในตำรา พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์สาวกซึ่งล้วนตั้งแต่เป็นพระอรหันต์อยู่ด้วยกัน พระเจ้าแผ่นดินเสด็จมา เห็นไฟแว็บ ๆ เข้ามา ท่านรักษาความสงัดขนาดนั้น เราจะเห็นได้ชัดเจน พระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทกับพระสงฆ์อยู่ ทีนี้เห็นไฟแว็บ ๆ เอ๊ นี่ใครเข้ามาในวัดเวลาเช่นนี้ นั่นฟังซิ แสดงว่ากลางคืนจะไม่มีคนเข้าไปจุ้นจ้านสำนักพระพุทธเจ้า วันนี้มองเห็นไฟ พระเจ้าแผ่นดินนะนั่นเสด็จมา ท่านรักษาขนาดนั้น จนไม่ทราบว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านระมัดระวังรักษา เข้าสู่สำนักของศาสดาองค์เอกซึ่งเป็นที่ให้ความร่มเย็นแก่โลก
แล้วพระท่านก็ไปดู ท่านออกไปพับๆ เห็นทั้งบริษัทบริวารมีมาก เงียบหมดเลยนะ เห็นแต่ไฟแว็บ ๆ แต่ก่อนคงไม่มีไฟฟ้า ท่านไม่ได้บอกไฟฟ้า เห็นแต่ไฟแว็บ ๆ พอพระทราบแล้วก็มาทูลพระพุทธเจ้า แล้วพระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จเข้ามาอย่างเงียบ ๆ เวลาท่านเข้ามาฟังซิ นี่ที่เป็นหลักฐานพยานได้เป็นอย่างดีสำหรับธรรม ระงับดับทุกข์ของโลกนะ พอเสด็จเข้ามาถึงพระพุทธเจ้า มีพระประสงค์อะไรที่เสด็จเข้ามานี้ พระพุทธเจ้ารับสั่งกับพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าปเสนทิโกศล โอ๋ ทั้งวันทั้งคืนโลกนี้ไม่มีความร่มเย็น ถึงเขาจะเสกสรรปั้นยอเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ตาม กองทุกข์ทั้งหลายรวมอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน แทนที่ความสุขจะไปอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน ความทุกข์จะจืดจางว่างเปล่า แล้วกลับตรงกันข้าม ความทุกข์มารวมอยู่กับพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีเวล่ำเวลาที่จะปลดปล่อยอารมณ์หน้าที่การงานเกี่ยวกับไพร่ฟ้าประชาชนทั้งหลายได้บ้างเลย วันนี้จึงต้องหาโอกาส ถ้าจะไม่หาเลยก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาเฝ้าพระองค์โดยเฉพาะ นั่นฟังซิ
พระองค์ก็ประทานพระโอวาทให้ ความเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องรับภาระอันหนัก เพราะจิปาถะ ผู้ใหญ่ผู้น้อยมีแต่ตัวเรื่องตัวราวอยู่ภายในหัวใจ แสดงออกมาในแง่ต่างๆ ส่วนมากมักเป็นพิษเป็นภัยต่อกัน ผู้ใหญ่ต้องได้ระงับดับสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา และคอยสอดส่องดูแลความสงบร่มเย็นของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่จึงหาความสุขได้ยากยิ่งกว่าผู้น้อย ผู้น้อยเขาอยู่ในป่าในเขาตามบ้านตามเรือนในป่าในเขา เขาอยู่สบาย แต่ผู้ใหญ่ที่อยู่ในเมืองอย่างนี้ เป็นผู้ใหญ่ปกครองแผ่นดินแล้วอย่างนี้หาความสุขไม่ค่อยได้แหละ พระพุทธเจ้าว่า แต่ยังมีโอกาส ที่มาหาเรานี้ก็นับว่าเป็นการดี พระองค์ประทานพระโอวาท พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เสด็จกลับแบบเงียบๆ เลยนะ
ถ้าเป็นธรรมดาสุ้มเสียงกิริยานี้จะไม่ปรากฏเป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย เพราะเงียบไปหมด ยิ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้เห็นชัดเจนว่า พระองค์ทรงยิ้มแย้มแจ่มใส พอพระทัยที่ได้เข้ามาเฝ้าพระองค์เวลานี้ นั่นพระเจ้าแผ่นดิน วันนี้เป็นโอกาสที่ดี เป็นมงคลอันสูงสุดแล้ววันนี้และเวลานี้ด้วย นอกนั้นไม่มีเวลา เป็นประหนึ่งว่าไฟเผาหัวใจ ไม่มีเวล่ำเวลาจะพักผ่อนหย่อนตัวสบายบ้างเลย เข้ามาชั่วระยะนี้รู้สึกสงบเย็นหมด เรื่องราวทั้งหลายที่เคยปกครองให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวตลอดมา รู้สึกสงบระงับหมด เวลาพระองค์เสด็จมาเรื่องราวอะไรก็ไม่มี เงียบ สงบหมด ฟังเทศน์แล้วก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใสในพระทัย เสด็จกลับไป
ประการสำคัญก็คือว่า พระกลางค่ำกลางคืนไม่มีคนไปยุ่งเหยิงวุ่นวายกับท่าน เพราะฉะนั้นท่านเห็นไฟแว็บๆ เข้ามาท่านถึงกับรับสั่งกับพระสงฆ์ว่า นี่ไฟมายังไง ผิดเวล่ำเวลา นั่นฟังซิ ลองไปดูซิเป็นไฟยังไง พอไปแล้วก็กลับมาทูลพระพุทธเจ้าว่า พระเจ้าแผ่นดินกำลังเสด็จมา พระองค์ก็เปิดโอกาส แยกแยะพระออกไปให้พระเจ้าแผ่นดินเสด็จเข้ามา ท่านเหล่านั้นมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นประธาน ได้รับความผาสุกเย็นใจยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันหมด หลังจากเสด็จไปจากพระพุทธเจ้าแล้ว ยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน จึงเรียกว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การเห็นพระเจ้าพระสงฆ์นี้เป็นมงคลอันสูงสุด ยิ่งเห็นพระพุทธเจ้ากับพระสาวกทั้งหลายด้วยแล้ว ยิ่งเป็นมหามงคลเพิ่มเติมเข้าไปอีก
ด้วยเหตุนี้เราเป็นลูกชาวพุทธ อยู่ที่ไหนควรจะมีวัดวา มีศีลมีธรรม ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ภายในจิตใจ อย่าระลึกถึงตั้งแต่ฟืนแต่ไฟ ตัวดีดตัวดิ้นวุ่นวายส่ายแส่ ไม่มีใครพึ่งใครได้ ไปที่ไหนมีแต่ความวุ่นวายเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มผู้เต็มคน เต็มสังคมต่างๆ หาความสงบสุขไม่ได้เลย นี่เป็นเรื่องของกิเลสพาลากพาถูไป เป็นอย่างนั้น ถ้ามีธรรมแล้วไปไหนก็เย็นสบาย จิตใจสงบ เราเข้าไปในวัดในวาฟังอรรถฟังธรรมจากพระเจ้าพระสงฆ์แล้วก็เป็นที่ชื่นใจ นำไปก็ไปประพฤติปฏิบัติ
ถ้าไม่มีเวลาใดจะว่าง เวลาค่ำคืนก็ไหว้พระ ได้มากได้น้อยที่เราเรียนมา แล้วให้นั่งทำความสงบใจ ระลึกพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ ก็ได้ บทใดก็ตามให้อยู่ในใจของเรา มีสติ พักผ่อนอารมณ์ของใจ คือใจนี้ติดเครื่องตั้งแต่ตื่นนอน ไม่มีเวลาระงับดับเครื่องได้เลย ต้องเอาความนอนหลับระงับเรื่องความคิดปรุงของใจ ทีนี้เวลาเราเอาธรรมเข้าไประงับ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้นอนหลับ จิตเราก็เย็นสบายภายในจิตใจ ให้พากันไปภาวนาสงบจิตใจ จะเป็นมงคลแก่เรา ยิ้มแย้มแจ่มใส
อย่างพระท่านอยู่ในป่านี้ท่านทำความเพียรระงับดับความทุกข์ภายในจิตใจ ที่กิเลสก่อขึ้นมา เป็นน้ำดับไฟด้วยความพากเพียร ระงับจิตใจด้วยจิตตภาวนาท่านก็ผาสุกเย็นใจ จิตใจที่หมอบด้วยอำนาจของกิเลสบีบบังคับก็ค่อยสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา มองเห็นทิศเห็นแดน มองเห็นบุญเห็นบาป มองเห็นสูงเห็นต่ำ ควรกราบไหว้บูชา ควรเคารพนับถือก็เคารพ ควรเมตตาสงสาร เช่นเด็กเล็กเด็กน้อย ก็เมตตา ผู้ที่ควรเป็นเพื่อนกันก็เป็นเพื่อนสนิท พึ่งเป็นพึ่งตายซึ่งกันและกัน ด้วยความเป็นสหายในธรรมด้วยกัน ถ้าสูงกว่านั้นขึ้นไปก็เป็นที่กราบไหว้บูชา ทำความเคารพกราบไหว้บูชา นี่จิตใจมีธรรมย่อมมีสูงมีต่ำ รู้จักสูงจักต่ำ ไม่ได้เลอะๆ เทอะๆ ไปหมดนะ
เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันมีอรรถมีธรรมทุกคน เช่น เข้ามาในวัดนี้พระจะไม่เห็นท่านง่ายๆ แหละสำหรับวัดนี้นะ นั่นเขตแดน บริเวณนี้เป็นบริเวณของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลวงตา จากบริเวณนี้เข้าไปกว้างแคบขนาดไหน เป็นบริเวณของพระ ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย พระจำนวนตั้ง ๕๐ กว่าอยู่ในนี้ ท่านอยู่กระต๊อบของท่าน กระต๊อบเล็กๆ แอ้มด้วยผ้าจีวรขาด แต่ก่อนมุงหญ้า เวลาหน้าแล้วไฟไหม้ป่ามันลุกลามเข้ามาเผาวัด ไหม้กุฏิพระก็มี เลยต้องเปลี่ยนเครื่องมุงเสียใหม่ แต่ก่อนมุงด้วยหญ้า ต่อมานี้มุงด้วยสังกะสี มุงด้วยกระเบื้อง แต่ไม่ใช่สังกะสีและกระเบื้องดีๆ นะ ไปหาเก็บเศษเก็บเดนกระเบื้อง สังกะสีขาดๆ ไปมุงของท่าน พออยู่ได้
กลางคืนกลางวันท่านเดินจงกรม นั่งสมาธิ ชำระจิตใจ จิตใจนี้ความโลภเป็นกิเลสประเภทหนึ่ง เป็นไฟประเภทหนึ่ง มันดีดมันดิ้นมันเป็นไฟ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เหล่านี้เป็นฟืนเป็นไฟภายในหัวใจ ท่านระงับสิ่งเหล่านี้ด้วยจิตตภาวนาของท่าน เพราะฉะนั้นพระวัดนี้ถ้าไม่ใช่เวล่ำเวลา จะไม่ได้เห็นท่านนักละ เห็นก็องค์สององค์ นอกนั้นอยู่ในป่าหมด ท่านทำความพากเพียร เวลาพูดคุยธรรมะกันมีแต่ความเย็นภายในจิตใจ ความแปลกประหลาด ความอัศจรรย์ ออกมาจากจิตใจของท่านที่ได้ภาวนา มาสนทนาปราศรัยซึ่งกันและกัน เป็นมงคลด้วยอรรถด้วยธรรมทั้งนั้น
ท่านพบกับท่านก็เป็นอรรถเป็นธรรม เวลาประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับท่าน หากจะมีการคุยการอะไรกันบ้าง ก็มีแต่ธรรมล้วนๆ ผู้มาฟังก็ได้อรรถได้ธรรมไปเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง สำหรับพระวัดนี้มีพระมามาก หลายประเทศนะ ประเทศนอกมีเยอะ พวกฝรั่งมังค่า สำหรับประเทศไทยเรานี้มีทุกภาคอยู่ในนี้ทั้งนั้น โดยหลวงตาเป็นหัวหน้า เป็นหัวหน้าก็สะดวกสบายใจ เพราะลูกศิษย์ลูกหาตั้งหน้าตั้งตามาปฏิบัติธรรม จิตใจเป็นอรรถเป็นธรรมแล้ว จะมาจากชาติชั้นวรรณะ ประเทศเขตแดนใดก็ตาม เข้ามาแล้วมีธรรมวินัยเป็นเครื่องวัดเครื่องตวง เข้ากันได้เป็นแบบพิมพ์อันเดียวกันหมด เพราะฉะนั้นการทะเลาะเบาะแว้งกันจึงไม่เคยมีสำหรับวัดนี้ ตั้งแต่สร้างวัดมาจนกระทั่งป่านนี้ เชื่อหรือไม่เชื่อท่านทั้งหลาย ไม่เคยเห็นมีพระทะเลาะเบาะแว้งกันเลยจนกระทั่งป่านนี้ละ สร้างวัดมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ เดือนพฤศจิกา ตอนปลายเดือน ปลายเดือนพฤศจิกา ๙๘ ๙๙ จนกระทั่งป่านนี้
พระนี้มาจากแห่งหนตำบลใดไม่กำหนด ประเทศไหน ๆ แล้วจังหวัดใดภาคใดมาเต็มอยู่นี้ เป็นแบบพิมพ์อันเดียวกัน คือลูกศิษย์ตถาคต ต่างคนต่างเล็งหลักความถูกต้องแม่นยำคือธรรมวินัยเป็นเครื่องดำเนิน การแสดงออกต่อกันจะไม่นอกเหนือจากหลักธรรมหลักวินัยซึ่งเป็นความถูกต้องดีงาม สมัครสมานจิตใจให้มีกำลังต่อกันเลย มีแต่อย่างนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงไรจึงเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน หลวงตาเองก็สบายใจ ไม่ได้ชำระสะสางเกี่ยวกับเรื่องลูกวัดทะเลาะกัน ไอ้เราลูกวัดไม่ทะเลาะกัน เราจะไปหาทะเลาะลูกวัดก็ไม่ได้ เราก็ไม่ทะเลาะ แต่ส่วนมากหลวงตามักทะเลาะลูกวัดนะ ลูกวัดมันทำอะไรเซ่อๆ ซ่าๆ เข้าไปจี้เอาดุเอา เข้าใจไหม ส่วนมากมีแต่หลวงตาหัวหน้าวัดไปทะเลาะลูกวัด
ลูกวัดเห็นหลวงตานี้หมอบนะ ไล่ไม่หนี หากหมอบ เห็นแล้วกลัว แต่จะไล่หนีไปไหนไม่ยอมไป มันก็แปลกอยู่นะ นี่ละธรรมกับธรรมอยู่ด้วยกันเป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่ก็ดุด่าว่ากล่าวด้วยอรรถด้วยธรรมของผู้ใหญ่ ผู้น้อยเข้ามาศึกษาก็ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงดุด่าว่ากล่าวหนักเบามากน้อยเพียงไร ผิดตรงไหนบ้าง ยึดไปปฏิบัติๆ ผู้นั้นเอาภาชนะรับ ทางนี้ก็เทน้ำลงไปรับกันได้ ต่างองค์ต่างก็อยู่ด้วยความผาสุกเย็นใจ ถ้าพูดถึงเรื่องการทะเลาะกัน เราพูดตรงๆ บอกไม่เคยมีตลอด ว่างั้น เพราะต่างองค์ต่างมาด้วยอรรถด้วยธรรมทั้งนั้น เราก็เย็นใจ แนะนำสั่งสอนด้วยอรรถด้วยธรรม ควรดุๆ ควรดีๆ ไม่ควรดุ ไม่ผิดไม่ว่า ถ้าผิดมากผิดน้อยก็ว่า ตำหนิตรงที่ผิดให้ซ่อมแซม ถ้าผิดมากเอาลงมากๆ
แต่คำว่าผิดมากไม่ได้หมายถึงผิดจนข้ามเกินพระธรรมวินัยไปจนดูไม่ได้นะ คือมากน้อยเป็นลำดับ เช่น เม็ดทรายแล้วก็มาเม็ดหินเม็ดอะไร โตขึ้นๆ แต่ไม่ใช่ภูเขาทั้งลูกที่เรียกว่าใหญ่ เข้าใจไหม ถ้าเป็นภูเขาทั้งลูกนี้โลกแตก วัดนี้อยู่ไม่ได้ ถ้าพระได้ทะเลาะกันขนาดนั้นแล้ว ไม่เคยมี ทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เคยมี หัวหน้าวัดก็คอยดูลูกวัด ใครมียังไงๆ ก็สมชื่อสมนามว่าเป็นหัวหน้าได้ ต้องคอยสอดส่องดูแล เมื่อเห็นเรียบร้อยแล้วผู้ใหญ่ก็เย็นใจ ผู้น้อยก็สงบเย็นใจสบายใจ แล้วอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้ตลอด ต่างองค์ต่างสั่งสมความดีงามเข้าสู่ใจ ออกจากนี้แล้วก็ไปสู่ถิ่นฐานบ้านเรือนของตน ไปก็นำธรรมที่ได้จากครูอาจารย์นี่ไปแนะนำสั่งสอนกระจายออกไปๆ
วัดนี้เท่าที่เป็นมาโดยลำดับตั้งแต่สร้างวัด จึงไม่เป็นวัดที่จุ้นจ้าน ใครจะมามากมาน้อยให้อยู่ในเขตนี้ เขียนบอกไว้เลยห้ามไม่ให้เข้า นั้นเป็นเขตพระ นี้เป็นเขตประชาชน จากนี้ออกไปโน้น เป็นเขตตายตัวเลย ปฏิบัติกันมาอย่างนี้ พระต้องการความสงบก็อยู่ข้างใน มีกิจการงานอะไรก็ออกมาภายนอกช่วยกันตามเวล่ำเวลาที่จำเป็นเท่านั้น
ดีแล้ววันนี้ท่านทั้งหลายได้มาเยี่ยมวัดเยี่ยมวาเยี่ยมครูอาจารย์ ว่าเห็นหลวงตาบัวตั้งแต่ในโทรทัศน์ไม่เคยเห็นตัวจริง ทีนี้เวลามาเห็นตัวจริงกับโทรทัศน์แล้วต่างกันอย่างไรบ้าง เท่าที่ดูเวลานี้เป็นยังไง ต่างกันที่ตรงไหนบ้างล่ะ ตอบมาดูซิน่ะ ( ต่างกันที่ได้บารมีจากหลวงตา) เวลาเห็นโทรทัศน์กับมาเห็นที่นี่ได้บารมี เห็นโทรทัศน์ไม่ได้ (ได้ค่ะแต่นี่อยากชมหลวงตาค่ะ) ไม่ใช่กลัวหมัดสวนเหรอ เออ เห็นรูปเห็นร่างอย่างนั้นเป็นอย่างหนึ่ง เห็นตัวจริงก็เป็นอย่างหนึ่ง มันก็เป็นธรรมดาแหละ อย่างได้เห็นได้ยินกิริยาทางโทรทัศน์ ทางอินเตอร์เน็ต เป็นอย่างหนึ่ง มาเห็นตัวจริงอีกก็เป็นอย่างหนึ่ง มันต่างกัน
จะยกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้เห็นชัดเจน พี่น้องทางจังหวัดอยุธยามา รถใหญ่ตั้งสามสี่คันรถ พอรถจอดหน้าวัดแล้วก็หลั่งไหลเข้ามานี้เต็มศาลาเลย หลวงตามานั่งแล้วก็ถามหาเหตุผลกลไกอะไร ก็บอกว่าตั้งหน้าตั้งตามาเยี่ยมหลวงตาด้วยตัวเองให้เห็นชัดๆ คือเห็นแต่ในทีวีก็ไม่ค่อยถนัดชัดเจนนัก วันนี้จึงอยากมาดูตัวจริง เราก็ถาม เห็นในทีวีเห็นชัดเจนเหรอ เห็นชัด แล้วเห็นตัวจริงแล้วเห็นชัดเจนไหม เห็นชัดเจน แล้วทีนี้ดูทีวีกับดูตัวจริงนี้ต่างกันอย่างไรบ้าง โอ๋ ดูในทีวีรู้สึกดุเดือด เผ็ดร้อน ดูทีวีเป็นอย่างนั้น มาดูตัวจริงๆ เห็นเงียบๆ สงบ ทางนี้ก็ขยับ มันขบขันในใจ ลายมันยังไม่ได้ออก เล็บมันอยู่นี้เข้าใจไหม
จากนั้นมาแล้วก็พูดธรรมะไปละ พูดไปๆ เรื่อยๆ พอพูดจบลงทางนั้นถามปัญหาขึ้นมา ตอบปัญหาคนนั้น ตอบปัญหาคนนี้ พูดไปพูดมาต่างคนต่างอยากดู แล้วคุกเข่าขึ้นดู คนนั้นอยากดูก็ยืนขึ้นไปเรื่อย แล้วทำไมเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนเห็นมาเรียบๆ เหมือนอย่างหลวงตาอยู่ในทีวีเป็นดุเดือด หลวงตาอยู่ที่นี่เงียบๆ ทีนี้เราอยู่เงียบๆ ทางนี้ทำไมถึงต้องขึ้นอย่างนั้น โอ๊ย ดูแล้วมันก็ไม่ถนัด ทีนี้เป็นยังไงดูในทีวีนู้นแล้วกับมาดูตัวจริงเป็นยังไงล่ะ ทีแรกเขาบอกว่าดูทีวีดุเดือด มาดูที่นี่เงียบๆ สงบ ทีนี้เวลาทางนี้ขึ้น ออกลวดลายขึ้นเวทีแล้วมันก็ต้องต่อยใช่ไหมล่ะ แล้วทีนี้มาดูตัวจริงแล้วเป็นยังไง โอ๋ย ตัวจริงนี้ดุเดือดยิ่งกว่านั้นไปอีก ดุเดือดเท่าไรยิ่งคุกเข่าขึ้นดูๆ เลยต่างคนต่างยืนหมด นั่งลง โอ๊ย มันไม่อยากนั่ง ขบขันกัน หัวเราะกันลั่นๆ
ดูทีวีก็ว่าดุเดือด มาดูตัวจริงเรียบๆ ธรรมดา ทีนี้พอขึ้นเวทีเท่านั้น โอ๊ย ตัวจริงนี้ดุเดือดกว่า เลยไปใหญ่เลย นี่ยกตัวอย่างมาพูดให้ฟังเฉยๆ มันอาจต่างกันบ้างอย่างนั้นแหละ ทางทีวีกิริยาเป็นอย่างหนึ่ง ดูตัวจริงก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน นี้ก็ออกทั่วประเทศไทย ทีวีนี้ก็ออกมานานแล้ว โทรทัศน์ วิดีโอ ออกมาตั้งนานแล้ว ๕ ปีกว่าแล้วมั้ง เวลานี้ออกทางอินเตอร์เน็ตด้วยนะ ออกทั่วโลกเลย เวลาเราพูดอยู่นี้เขาฟังเขาดูอยู่นะเวลานี้ ออกทั่วโลกทางอินเตอร์เน็ต เราพูดอย่างนี้กิริยาอย่างนี้ เขาดูอยู่ทางโน้น มีสหรัฐ เป็นต้น มีหลายประเทศเขาฟังเช่นเดียวกับเรานี่ ได้ฟังพร้อมๆ กัน ได้เห็นพร้อมกัน เวลานี้กำลังกระจายออกมากธรรมะหลวงตา แสดงทางอินเตอร์เน็ต ประเทศไหนต่อประเทศไหน แล้วถามปัญหามาเรื่อย เราก็ตอบ ตอบนี้ก็ออกรับกันๆ เรื่อยๆ ไปอย่างนี้
พอเข้าอกเข้าใจแล้วนะวันนี้ พูดเพียงเท่านี้ละ ต่อไปนี้จะให้ศีลให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |