เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
เวลาภาวนาให้อยู่ในปัจจุบันธรรม
ทองคำเราเวลานี้ได้ ๗ ตัน ๗๒๕ กิโล นี่หมายถึงที่เข้าแล้ว ที่ยังไม่ได้เข้ารวมกันเป็น ๗,๗๗๑ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ที่มอบแล้ว ๘ ล้าน ๓ แสน รวมทั้งหมดทั้งที่ยังไม่ได้เข้าเป็น ๘,๓๔๗,๔๕๐ ดอลล์ ขยับขึ้นเรื่อยๆ ละ หนุนเข้าเรื่อยๆ วันละเล็กละน้อย เหมือนฝนตกบนฟ้า ตกทีละหยดละหยาด ตกไปตกมามันท่วมของมันเอง มันตกไม่หยุดนี่ อันนี้ก็เหมือนกัน ทองคำสมบัติของเราที่เข้าคลังหลวงตกมาเรื่อย เข้าเรื่อยๆ แต่ก่อนเคยมีเมื่อไร แม้แต่กิโลเดียวยังไม่เคยมี พอเราพร้อมกันปุ๊บปั๊บเท่านั้น เวลานี้ก็ได้ตั้ง ๗ พันกว่ากิโลแล้วจะว่าไง แต่ก่อนไม่มีอะไร อยู่อย่างนั้น ดีไม่ดีมีแต่คอยจะจม พอฟื้นขึ้นมาๆ มันก็ถึง ๗ พัน ๗ ร้อยกว่าแล้ว ที่เรามุ่งมั่นหนักแน่นก็คือว่า อันนี้เป็นหัวใจของชาติเรา เราจึงได้หมุนลงจุดนี้ให้มาก เมื่ออันนี้เป็นหลักแล้วการซื้อขายการอะไรๆ นี้ อันนี้เป็นตัวประกันไว้มันก็สะดวกทุกอย่างๆ
สำหรับหลวงตาไม่มีอะไรแหละ ใครจะโจมตีแบบไหน จะยกยอแบบไหนก็เท่าเดิม แต่ลูกศิษย์เรานั่นซีมันคอยแต่จะเป็นบ้า พอเขาจามฟิกเท่านี้ หาๆ ขึ้นเลย มันเหมือนบ้าลูกศิษย์เรา เรานี้พูดจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นจะว่าไง ในแดนสมมุติสามโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรจะเข้าเอื้อมถึง เป็นหลักธรรมชาติ มันไม่มีอะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านว่า สุญฺญโต โลกํ มันว่างไปหมดขึ้นชื่อว่าสมมุติ สูญไปหมด ท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ คือสูญหมดเลยไม่มีอะไรเหลือขึ้นชื่อว่าสมมุติ จากนั้นก็ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ที่ไม่สูญนั้นคือความสุขอย่างเลิศเลอ นอกสมมุติไป ถ้าอยู่ในสมมุตินี้สูญจากธรรมชาตินั้นทั้งหมด แต่ก่อนมันพัวพันกันอยู่ พันไปหมด จึงหาราคาไม่ได้..ใจ พอปัดอันนี้ออกหมดแล้ว อันนี้สูญไปหมด อันนั้นก็เด่น ปรมํ สุขํ ละที่นี่
เวลานี้ก็รู้สึกว่ามีคนสนใจทางด้านจิตตภาวนามากขึ้น เรียกว่ากว้างขวางออกไปจนถึงเมืองนอกเมืองนา บรรดาชาวพุทธเราที่อยู่เมืองนอก ได้ยินได้ฟังอรรถธรรมจากจิตตภาวนาที่เราแสดงไปนี้ ก็รู้สึกว่ามีความสนใจ เราจะเห็นได้ชัดที่เขาถามปัญหามา ถามปัญหามานี้เป็นขึ้นจากผู้ทำ ผู้ไม่ทำถามไม่ได้ ไม่รู้ แต่ผู้ทำเป็นยังไงก็ถามมาจากสิ่งที่ปรากฏในเวลาภาวนา ก็รู้ ผู้ตอบรู้ทันทีๆ มีหลักมีเกณฑ์หรือไม่มีหลักมีเกณฑ์ในเวลาถามปัญหามาจากภาวนา จะรู้ทันที
เรื่องการภาวนาเป็นจุดใหญ่ของโลก จิตใจของเรานี้เป็นเรื่องใหญ่โตมากในโลก สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ใหญ่อะไร ขึ้นอยู่กับใจดวงเดียวนี้ไปเกี่ยวข้อง สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง ความสุขก็ได้มาจากสิ่งเหล่านั้นประเดี๋ยวประด๋าวหายไป ส่วนมากจะมีแต่ความทุกข์มากๆ คือจิตนี้มันไปหมายอันนั้นหมายอันนี้ ได้อันนั้นได้อันนี้ก็ดีใจ เสียอันนั้นเสียอันนี้ก็เสียใจ มันผสมกันอยู่อย่างนี้ตลอด จิตนี้เป็นผู้ไปหมายนะ อะไรเขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้น แต่นี้ไปหมายว่าอันนั้นเป็นนั้นๆ อันนี้ว่าได้ อันนี้ว่าเสีย อันนี้ว่าดี อันนี้ว่าชั่ว ตัวนี้ไปหมายๆ เขาไม่มีอะไรแหละอันนั้น ทีนี้พอตัวนี้รู้ตัว ความหมายของตัวเองที่เป็นเงาไปหลอกตัวเองมันก็รู้ มันก็ถอยเข้ามาๆ ความทุกข์ก็ค่อยถอยเข้ามาตามๆ กัน จนกระทั่งเข้ามาถึงตัวใหญ่ของมัน ตัวจอมหลอกลวง อวิชฺชาปจฺจยา มาถึงนี้กึ๊ก อันนี้ขาดสะบั้นไป ความหลอกลวงไม่มี หมด ในจิตใจไม่มีอะไรหลอกลวง มีแต่ความจริงล้วนๆ เลย ทีนี้ความสุขก็เต็มเลย เด่นครอบโลกธาตุ
แต่ก่อนกิเลสครอบโลกธาตุ คือครอบหัวใจสัตว์โลก เป็นทุกข์ทั่วดินแดน พอชำระอันนี้เข้าไปๆ โดยถูกทาง เช่น จิตตภาวนา ก็สะอาดเข้าไปๆ พออันนี้จ้าขึ้นมาเท่านั้นทุกข์ดับหมดเลย เพราะทุกข์นั้นมาจากกิเลสตัวสร้างทุกข์ พอกิเลสดับทุกข์ก็ดับหมด เหลือแต่หลักธรรมชาติล้วนๆ ทีนี้ความสุขก็เรียกว่าครอบโลกธาตุ ออกจากใจดวงเดียว ไม่ได้ออกจากสิ่งนั้นสิ่งนี้นะ กว้างขนาดไหนโลกธาตุนี้ไม่มีความหมาย ใจต่างหากเป็นผู้ให้ความหมาย มีความหมายอยู่ในตัวเองทั้งความสุขความทุกข์ที่ไปกว้านในทางผิดและทางถูก ถ้าหาทางผิดมาก็เป็นไฟเผาตัวเอง ถ้าหาทางถูกมาก็เป็นเครื่องแก้ตัวเอง เบาขึ้นๆ เป็นความสุขขึ้นมา
เวลาจิตได้รู้ตัว เงาของตัวเองที่มันวาดรอบตัว จนกระทั่งถึงแดนโลกธาตุ มันรู้ตามๆ เห็นตาม มันถอยเข้ามาๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะให้หลงแล้ว หมด ทีนี้ความสุขนั้นเต็มหัวใจละที่นี่ แทนกับความทุกข์ จึงว่ามีอยู่ที่ใจเท่านั้น ถ้าได้อบรมจิตใจเราจะรู้ความหมายของเรา ถ้าไม่อบรมจิตใจ ความหมายของตัวเองไม่รู้ เหมือนกับสัตว์ที่ตกน้ำในมหาสมุทรป๋อมแป๋มๆ หาฝั่งหาแดนไม่ได้ เกิดมานี้เต็มโลกเต็มสงสาร เหมือนกับมาลอยอยู่ในมหาสมมุติมหานิยม ซึ่งเทียบกับมหาสมุทรทะเล ป๋อมแป๋มๆ หาที่เกาะที่ยึดไม่ได้เลย ไม่มีฝั่งมีฝา ดิ้นอยู่นั้น ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็จะเป็นไปอย่างนี้ เกิดตายแบบไหนก็ป๋อมแป๋มๆ เกิดอยู่ในที่จะพาให้จมนั่นแหละ ตายอยู่ในที่พาจม ในมหาสมมุติมหานิยม ป๋อมแป๋มๆ อยู่นั้น จิตไม่มีที่ยึดที่เกาะเป็นอย่างนี้
ถ้าจิตมีที่ยึดที่เกาะคว้าได้ ๆ ดังที่เคยอธิบายให้ฟัง และฝั่งก็ใกล้เข้ามาๆ เพราะความดีมากเข้าๆ เหมือนกับเราแหวกว่ายจวนถึงฝั่งเข้าโดยลำดับ พอถึงฝั่งเต็มที่แล้วไปเลย ผู้ที่ยังไม่ถึงฝั่งก็ใกล้เข้าไป แล้วผู้ที่ยังอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ก็ยังมีเรือเล็กเรือน้อยผ่านมารับ บรรเทาทุกข์ไปโดยลำดับ นี้คือบุญกุศลของเราที่ก้าวเดินในวงวัฏฏะ มีความสุข มีที่ยึดที่เกาะตามกันไปๆ ไม่มีแต่ทุกข์ล้วนๆ อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรเขาจมป๋อมแป๋มๆ เราอยู่บนเรือไม่จม ท่ามกลางมหาสมุทรเหมือนกันก็ตามแต่เราไม่จม เพราะเราอยู่บนเรือ ปลอดภัยอยู่ในเรือ สัตว์เหล่านั้นไม่มีทางปลอดภัย นี่คนมีบุญมีกุศล เท่ากับคนมีเรือรองรับอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เขาจมเราไม่จม ทีนี้ก็เพิ่มเข้าๆ เรือลำใหญ่เข้าเรื่อย พาไปเรื่อยแล้วก็ขึ้นถึงฝั่งไปเลย
ไม่มีใครที่จะแนะนำสั่งสอนได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ คือแต่ละพระองค์นี้เดินทางสายเดียวกันไม่มีปลีกมีแวะ ไปสายเดียวกัน รู้เห็นอย่างเดียวกัน สอนก็สอนแบบเดียวกัน ท่านสอนว่าอย่างนั้น พูดว่าอย่างนั้น กิเลสมันก็ไปแบบเดียวกันเหมือนกันอีกแหละ ไม่ผิดกัน ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วคือตัวหลอกลวง ตัวเป็นภัยต่ออรรถต่อธรรมต่อสัตว์โลก มันก็เป็นของมันไปเรื่อยๆ ทางนี้ตัวชำระสะสาง ชำระเรื่อย ผลก็เกิดขึ้นมาเป็นความสุขความเจริญ จนกระทั่งรอดพ้นไปได้เลย ก็เป็นฝ่ายธรรม แล้วลงจุดกลางก็คือจิตตภาวนา
เพราะฉะนั้นเราจึงสอนเสมอ เรื่องจิตตภาวนานี่ชาวพุทธเรารู้สึกว่าห่างเหินมาก ทั้งๆ ที่เป็นจุดสำคัญจะเห็นประจักษ์ใจของเราจากจิตตภาวนา อันนี้เด่นมากทีเดียว เวลาได้เด่นขึ้นที่ใจแล้วมันรู้ชัดๆ เด่นขึ้นๆ ภายในจิตใจ เหมือนว่าฝั่งแห่งนิพพานนี้ใกล้เข้ามาๆ แล้วก็คว้าผิดคว้าถูก หวุดหวิดๆ เดี๋ยวเกาะติดปั๊บไปเลย นั่น อย่างนั้นละเมื่อความดีมีมากๆ จิตนี้เวลาได้เลิศก็เหมือนกับเวลามันเลวนั่นแหละ มันเลวหาคุณค่าไม่ได้เพราะกิเลสตัวเลว ครอบจิตดวงใดจะให้มีคุณค่าไม่ได้ เลวไปตามๆ กันหมด เลวกับกองทุกข์นี้ขยี้ขยำกันไปตลอด เวลาอันนี้เบาลงไปๆ ความเลวก็จะลดลง ความดีก็จะปรากฏขึ้นที่ใจๆ ความสุขก็ค่อยปรากฏขึ้นไปเรื่อยๆ ความทุกข์ค่อยจางลงๆ จนกระทั่งกิเลสตัวสร้างทุกข์หมดโดยสิ้นเชิง ความทุกข์ก็หมดโดยสิ้นเชิง บรมสุขขึ้นทันที หลุดพ้นไปได้เลย นี่ออกจากจิตตภาวนาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนด้วยจิตตภาวนา
ในตำราท่านบอกไว้ว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นี้ตรัสรู้เองโดยชอบ คือไม่ต้องไปฝึกฝนอบรมกับใครเลยทุกๆ พระองค์ เป็นหลักธรรมชาติ ทรงบำเพ็ญมาโดยลำดับ เวลาจะตรัสรู้ก็เหมือนกัน ทรงบำเพ็ญโดยลำพังพระองค์เอง ขวนขวายด้วยพระองค์เอง ผลที่ได้รับจากการขวนขวาย ก็เป็นผลของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ไม่ไปถามใครเลย หลังจากนั้นมาก็มีละที่นี่ พวกที่เข้าไปอาศัยไปยึดไปเกาะ อย่างที่ท่านว่าสัตว์ทั้งหลาย เข้าไปยึดแหละ เรียกว่า สาวโก หรือว่า สาวกๆ แปลว่า ผู้ได้ยินได้ฟังจากคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วมาแก้ไขดัดแปลงตัวเองแล้วพ้นไปได้ ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ต้องรับฟังคำสั่งสอนจากใคร สมฺมาสมฺพุทฺโธ คำเดียวเท่านั้นพอ คือตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่ต้องถามใครเลย ตรัสรู้เองโดยชอบเหมือนกันหมดทุกพระองค์ นี่ก็เป็นแบบของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรัสรู้เองโดยชอบด้วยกันทั้งนั้น
ทีนี้บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็เป็นสาวก ผู้ได้ยินได้ฟังการอบรมแล้วก็ผ่านไปๆ เป็นธรรมตายตัว ถ้าพูดถึงเรื่องการตายตัว กิเลสมันก็ตายตัวด้วยความสั่งสมทุกข์ให้สัตว์ ธรรมก็เป็นความตายตัวที่สั่งสมสุขให้บรรดาสัตว์โลกได้รับความสุขความเจริญ เพราะเหตุที่สร้างความดี เราอยู่ไม่แน่ใจมันมีความสุขเมื่อไร ตั้งแต่ธรรมดาไม่ไปตกนรกอเวจีอะไรก็ตาม วันนี้มีงานมากมีเรื่องยุ่ง ทางนั้นจะมาเกี่ยวข้อง ทางนี้จะมาเกี่ยวข้อง วันนั้นจิตจะสร้างความกังวลทั้งวัน วันนี้จะมีเรื่องอันนั้น จะมีเรื่องอันนี้เข้ามา ทั้งๆ ที่ยังไม่มีมา แต่นี้สร้างเรื่องไว้แล้ว ให้ยุ่งไว้แล้ว พอมีมาก็เป็นไฟเผากันไปเลยๆ นั่นมีแต่เรื่อง โลกหาความแน่นอนไม่ได้ อยู่คอยแต่จะตก เป็นอย่างนั้น
ท่านจึงให้สร้างความดีเพื่อเป็นที่ยึดที่เกาะเอาไว้ ถ้าไม่มีความดีแล้วตายเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรแหละ พากันให้รู้เนื้อรู้ตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ ธรรมเป็นธรรมฉุดลากสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์มานานแสนนาน ให้ยึดไว้ ให้เกาะให้ดี กิเลสตัณหาทั้งหลายเป็นสิ่งที่หลอกลวงต้มตุ๋น ลากดึงสัตว์โลกให้ลงในทางต่ำเพื่อกองทุกข์ความทรมานทั้งหลายตลอดมา ให้พากันระมัดระวัง
การปฏิบัติตัวให้มีขอบเขต อย่าทำตามความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น อันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาหลอกลวงโดยถ่ายเดียว จะจมไปกับมันทั้งนั้นๆ ต้องมีการฝืนกัน มันจะเอาเราลงให้จม เราก็บืนตามอรรถตามธรรม ดีดดิ้นขึ้นมา หลุดพ้นได้มากน้อย เอา ดิ้นไปเรื่อย หลุดพ้นไปเรื่อยๆ ความทุกข์ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนไหนที่เราแบ่งได้มาจากความดีของเรา อันนั้นก็ผ่านไปพ้นไป อันไหนที่ยังไม่ได้ก็ยอมรับทุกข์ไปก่อน
เทศน์นี่ก็ออกทางอินเตอร์เน็ต ออกไปทั่วโลก เทศน์ที่เราเทศน์สอนภาวนานี้ ก็คือให้ชาวพุทธเราทั้งหลายได้เข้าใจเรื่องรากแก้วของศาสนา รากแก้วแห่งความสุขและความทุกข์อย่างแท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ รากแก้วของทุกข์ทั้งหลายก็คือ อวิชฺชาปจฺจยา รากแก้วของความทุกข์อยู่ที่ความหลง รากแก้วแห่งความสุขก็อยู่ที่ความรู้ อยู่ที่ใจดวงเดียว พอรากแก้วแห่งความทุกข์คืออวิชชาขาดไป รากแก้วแห่งความสุขก็เกิดขึ้นแทนที่ มีอยู่นั้นแล้ว เท่านั้นเอง ให้พากันอบรมภาวนา
การภาวนานี้มันเป็นต่างๆ กันนะ เป็นตามจริตนิสัยของแต่ละคนๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้คาดเวลาภาวนา ให้อยู่ในปัจจุบันธรรม เช่น เราบริกรรมคำไหน ให้อยู่นั้นละ ให้รู้อยู่กับคำบริกรรม คำบริกรรมที่เรากำหนดรู้อยู่โดยเฉพาะนั่นเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันนั้นแหละจะแสดงเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมาภายในจิตใจเพราะทำถูกต้อง ถ้าเราไปคาดโน้นหมายนี้ ไม่ได้เรื่อง ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้อยู่ปัจจุบัน แล้วเคยเป็นยังไงก็จะเป็นๆ แล้วจะมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นเรื่อยจากหลักปัจจุบัน
ในขณะที่เราทำเช่นวันนี้ เราได้รู้ได้เห็นจิตใจของเรามีความแปลกประหลาดอัศจรรย์อะไร เวลาเราทำในวันต่อไปหรือวาระต่อไป เราอย่านำสิ่งที่เรารู้เราเห็นแล้วมาเป็นอารมณ์ ให้ปล่อยทิ้งไปเลย เหมือนว่าหาใหม่ ว่างั้นเถอะ รู้เห็นอะไรปล่อยเลย นั่นเป็นสัญญาอดีต ถ้าไปหมายปั๊บมันไม่อยู่ปัจจุบันมันไม่รู้ พอปล่อยนั้นหมดแล้วเข้าปัจจุบัน เราเคยทำงานยังไงปักลงในจุดปัจจุบัน เช่น พุทโธ ๆ ก็อยู่นี้ แล้วจะสร้างฐานดีขึ้นๆ เรื่อยๆ แล้วจะแตกแขนงความสว่างไสว ความแปลกประหลาดจะกว้างขวางไปเรื่อยๆ จากปัจจุบัน อย่าไปคาดไปคิดนะ เช่นวันนี้เรารู้เราเห็นอย่างนั้น วันหน้าจะให้รู้อย่างนี้ไม่ได้ ผิดทั้งนั้น ให้ปล่อยเลย ให้อยู่ในวงปัจจุบัน วงปัจจุบันนั้นแลจะสร้างผลขึ้นมา เพราะเหตุคืออยู่ในปัจจุบัน จะสร้างผลขึ้นมาเป็นที่พอใจโดยลำดับลำดา ให้จำจุดนี้ไว้นะ
เรื่องความรู้ความเห็นของใจนี้เรียกว่าพิสดารมากเทียว ตั้งแต่ความรู้ความเห็นของเรามันคิดครอบโลกธาตุ มันก็ยังพิสดารของมัน เอาจนเจ้าของให้ล่มจมไปด้วยได้ ทั้งๆ ที่ไม่เห็นก็ไปวาดภาพหลอกตัวเอง เอาให้เสียผู้เสียคนไปด้วยเพราะการวาดภาพหลอกตัวเองนั้นแหละ ทีนี้ธรรมะนี้ก็ค่อยเป็นขึ้นไป เวลารู้ก็รู้อย่างนั้น ค่อยกว้างออกๆ กว้างออกเรื่อยๆ แต่ความรู้ของธรรมกว้างออกเท่าไรยิ่งปล่อยยิ่งวางความทุกข์ไปเรื่อย ต่างกันอย่างนี้ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้แหละ ให้พี่น้องทั้งหลายพอเข้าใจ ให้ไปอบรมจิตตภาวนา ให้ฝึกฝนอบรมตนเอง อย่าปล่อยเลยตามเลย ให้มีหลักมีเกณฑ์บังคับตนเอง มันอยากทำอะไรที่ไม่ดีให้บังคับ ถ้าเราไม่บังคับก็เท่ากับเราปล่อยตัวลงให้ไฟเผาเรานั่นแหละ สำคัญตรงนี้ ต่อไปนี้ให้พร
(ผู้แทนสถาบันเกอร์เธ่ ประเทศเยอรมัน ประจำประเทศไทย มากราบนมัสการหลวงตา) ถือพุทธศาสนาเหรอ (พึ่งเริ่ม ขอถ่ายภาพ) ถ่ายภาพแล้วมันจะเป็นอะไร (เขาจะเอาไปเผยแพร่เมืองนอกครับ) เอาเหตุเอาผลนี่ละจะเผยแพร่ได้มากกว่ายิ่งกว่าภาพ เอาเหตุเอาผลที่สนทนากันนี่จะเป็นสาระมากยิ่งกว่าภาพ มีอะไรพูดกันมาก่อน เรื่องภาพเรื่องแภพไม่เห็นสำคัญอะไรเวลานี้ การจะสนทนากันเพื่อเอาเหตุเอาผลที่จะเป็นประโยชน์นี้สำคัญมากกว่าถ่ายภาพ อันดับนี้ขึ้นนี้ก่อน (ฝรั่งเขาอยากจะขอถ่ายรูปหลวงตาไปลงในหนังสือเผยแพร่ไปทั่วโลก ในฐานะที่เป็นผู้นำศาสนาพุทธของประเทศไทย) ไอ้รูปนี้มันก็มีอยู่เต็มแผ่นดิน คนก็ร้อนอยู่ทั่วโลก ก็เลยไม่ทราบว่าอะไรดีอะไรไม่ดีนะ ถ้าที่ไหนไม่มีรูปมีภาพที่นั้นร้อน ที่ไหนมีรูปมีภาพที่นั้นเย็น ก็พอจะให้ถ่ายภาพได้ อ้าว ที่นั้นเย็น ถามเรื่องอะไรมีไหม
สถาบันเกอร์เธ่ : หลวงตาคะ จริงๆ แล้วหนูอยากจะได้คำสอนของหลวงตา เทศน์หลวงตา ที่ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนในชาติและทั่วโลก
หลวงตา : หนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษก็มีไม่ใช่เหรอ หนังสือเป็นภาษาอังกฤษที่พิมพ์แล้วอยู่ที่โกดัง เอาอันนั้นไป เอาหนังสือนั่นละไปจะดีนะ หนังสือมีเล่มใดบ้างถามพระท่านนะ
โยม : สองเล่มครับ มีประวัติหลวงปู่มั่น กับปฏิปทาฯครับ
หลวงตา : สองเล่มนี่สำคัญมาก แล้วไม่ค่อยจะคลาดเคลื่อนอะไรนัก เพราะเป็นหนังสือท่านปัญญาซึ่งเคยทางด้านปฏิบัติมาแล้ว แปลภาษาไทยออกเป็นภาษาอังกฤษพิมพ์ ถ้าเป็นคนอื่นแปลไปพิมพ์นี้แม้จะเก่งภาษาขนาดไหนก็ตาม แต่ไม่เก่งด้านธรรมปฏิบัติจะเข้ากันได้ไม่สนิทนะ แต่ท่านปัญญาท่านภาคปฏิบัติท่านเข้าใจ ๆ ภาษาอังกฤษท่านก็เข้าใจเข้ากันได้สนิท เราจะเห็นได้ชัดเวลาท่านมาถามเรา คือท่านแปลภาคภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ที่ขัดข้องหรือยังไงท่านมาถามจุดไหนนี้ จุดนั้นสำคัญมากนะ ก็แสดงให้เห็นว่า อ๋อ นี่ท่านรู้ภาษาไทยได้ดี รู้จักเคล็ดลับ รู้จักมีอะไร ๆ ของภาษาไทยได้ดี มาถามจุดนั้นแหละ ถ้าเป็นทั่ว ๆ ไปเก่งภาษาไหนก็เถอะ ถ้าไม่เก่งทางด้านธรรมะ เฉพาะอย่างยิ่งคือภาคปฏิบัติ แล้วจะนำภาคปฏิบัติไปพูดไม่ค่อยถูกต้องนะ เอ้ามีอะไร
พระ : ประวัติหลวงปู่มั่นกับปฏิปทาครับ
หลวงตา : เออดีสองเล่มนี้ท่านปัญญาเป็นผู้แปล
โยม : อันนี้เป็นภาษาเยอรมันเลยครับ มีธรรมะของหลวงตาอยู่ในนี้ ท่านมาร์ตินเป็นผู้จัดทำขึ้นมา ให้เขาไปเลยครับ
หลวงตา : ภาษานี่มันเอาประมาณไม่ได้ แต่จิตมีภาษาเดียว รู้ปั๊บเข้าไปเข้าใจทันที ๆ กระจายออกหมด จึงเรียกว่าจิตมีภาษาเดียว
สถาบันเกอร์เธ่ : ขอคำสอนสั้น ๆ เป็นหัวใจธรรมะค่ะ
หลวงตา : เขาจะรู้วิธีภาวนาไหม เช่นกำหนดอานาปานสติเป็นต้น ให้กำหนดจิตตภาวนา แปลว่าอบรมจิตให้รู้ตัว ด้วยความมีสติอยู่กับลมหายใจ กำหนดลมเข้าลมออกให้รู้อยู่กับลมนี้ นี่ละเรียกว่าปัญหาที่ให้วันนี้นะ นี่ละหัวใจพุทธศาสนาอยู่ที่จุดนี้ เข้าใจเหรอ ให้ไปอบรมภาวนา ใครจะได้คำใดก็ตามก็ให้มีสติกำกับอยู่กับคำนั้น แล้วอยู่ภายในความรู้คือใจ ให้มีสติตั้งอยู่นั้นแล้วจะเกิดความสงบเย็นใจขึ้นมา หากว่ามีข้อข้องใจอะไรค่อยถามมาอีก ทางนี้จะอธิบายต่อไป คือผลจะเกิด พอเริ่มทำขึ้นไปผลจะแสดงขึ้นมา แต่ไม่เข้าใจเพราะยังไม่เคยทราบว่าผลนี้จะเป็นยังไง ๆ ต่อไป แล้วถามมาทางนี้ก็ตอบไป
ผลทีแรกเป็นความสงบ เข้าใจเหรอ พอเรากำหนดภาวนาอานาปานสติ เช่น กำหนดเข้ากำหนดออก รู้ลม ลมนี่คือลมเข้าลมออก จะกำหนดที่ไหนก็ได้ลม แล้วแต่ถนัด เอาตรงนี้ก็ได้ เอาตรงไหนก็ได้ ที่ปรากฏว่าลมสัมผัสมากกว่ากัน ให้เอาสติจ่อที่ตรงนั้น ให้อยู่นั้น ไม่ต้องหมายเอาผลอะไร ๆ ทั้งนั้น ให้รู้อยู่จำเพาะกับลมที่หายใจเข้าหายใจออก ทีนี้อารมณ์ของจิตที่มันส่ายแส่นี้มันจะรวมตัวเข้ามาสู่จุดที่ลมสัมผัสนี้ เป็นความรู้อันเดียว เมื่อความรู้อันเดียวได้ตั้งตัวอยู่นานเข้าๆ แล้วจะสั่งสมความรู้นี้เด่นขึ้นๆ เสริมความรู้ให้เด่นขึ้น ๆ จนกระทั่งถึงว่าลมนี้มันจะละเอียดไปนะ ละเอียดก็ให้รู้ตามที่มันละเอียด เข้าใจเหรอ เอาแค่นี้ก่อน ขนาดว่าลมดับไปความรู้ไม่ดับ ให้อยู่กับความรู้ เป็นหลักหนึ่ง ก็มีเท่านั้นเอาแค่นี้ก่อน เอ้าจะถ่ายก็ถ่ายเสีย ถ่ายภาพ
สถาบันเกอร์เธ่ : ขออนุญาตไปเอากล้อง
หลวงตา : กล้องอยู่ไหน
สถาบันเกอร์เธ่ : อยู่ในรถค่ะ
หลวงตา : ไม่ให้ถ้าอย่างงั้น นึกว่าพร้อมแล้ว มาเก้ ๆ กัง ๆ เราพร้อม ให้เมื่อไรก็ให้ปึ๋งเลย ท่านปัญญาท่านพูดน่าฟังเราไม่ลืม ท่านปัญญาพูดเองว่า ถ้าพูดถึงเรื่องความฉลาดทางโลกแล้วยกให้ว่าฝรั่งฉลาด ฉลาดกว่าทั้งหลายพูดง่าย ๆ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องศาสนาแล้วคนไทยฉลาด ฝรั่งโง่ ก็ท่านปัญญาท่านพูดไม่เอียงใช่ไหมล่ะ ท่านก็สรุปลงว่าอันนี้มันก็เป็นกรรมของสัตว์ เอ๊ย น่าฟังนะ อันนี้มันก็เป็นกรรมของสัตว์ ใครอยู่ที่ไหนก็อยู่ด้วยกรรมของตัวเองใช่ไหมล่ะ อันนี้ก็ถูกต้องเราเลยไม่ลืมนะ ท่านปัญญาเองพูด
พูดถึงเรื่องฉลาดคือคนไทยเราฉลาด ยึดศาสนาที่ถูกต้องแม่นยำ ความหมายว่างั้น เพราะท่านปัญญาเป็นนักภาวนา เรื่องศาสนาใด ๆ ท่านจะมาเทียบหมด มันก็อยู่ในพุทธศาสนา อย่างที่เราเคยพูด เมื่อวานนี้ก็ยังพูดกับผู้กำกับ เราพูดจริง ๆ นะ เราพูดอย่างไม่สะทกสะท้านด้วยความจริง เราไม่ว่าคนไหนสูงคนไหนต่ำที่ไหน เอาความถูกต้องมาพูดกันเลยว่า ในโลกนี้ศาสนามีพุทธศาสนาเท่านั้นว่างั้นเลย อันเดียว นอกนั้นเป็นโครงการของกิเลส ผู้ที่เป็นเจ้าของศาสนาก็เป็นคลังกิเลสบงการออกไป ที่เป็นหัวหน้าเขา ที่เป็นศาสดาของเขาในศาสนานั้น ๆ ก็เอาความเป็นศาสดาของตนที่เต็มไปด้วยกิเลสนี้สอนโลก ให้เขาเชื่อถือตามโครงการของตัวเอง ไปก็ไปทำตามโครงการของกิเลสเรื่อยไป ไม่มีโครงการของธรรม
ส่วนพระพุทธเจ้าชี้ตรงไหนปั๊บถูกต้องๆ ๆ โครงการของธรรมเพื่อความหลุดพ้น ๆ โดยลำดับ อันนั้นเพื่อความวกวนจมลง ขึ้นไม่มี มีแต่เพื่อความวกวนและจม หมายเอาพระเจ้านั้นพระเจ้านี้ลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีตนมีตัว พระพุทธเจ้านี้มีตนมีตัว พระพุทธก็มีตัว พระธรรมมีตัว พระสงฆ์มีตัว มีตนมีตัว จึงแม่นยำมาโดยลำดับ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่อยากพูด เราไม่พูดนะเรื่องเหล่านี้ รู้อยู่ตลอดหากไม่พูด ก็พึ่งมาแย็บนี้จะออกแล้วนะนี่ คือมันโครงการของกิเลสทั้งหมดทั่วโลก กี่หมื่นกี่แสนศาสนาก็ตามเป็นโครงการของกิเลสออกจากศาสดาที่เป็นคลังกิเลสอันใหญ่หลวงนี้แล แสดงออกไปให้พวกนั้นที่เคารพนับถือแล้วไปปฏิบัติตาม ก็เป็นโครงการยั้วเยี้ยทั่วโลก เพราะฉะนั้นจึงหาความสงบสุขไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ศาสนามีเต็มโลกเข้าใจไหม
อย่างพุทธศาสนาแล้วให้ปฏิบัติตามดูซิน่ะ สงบเลยทันที พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก แล้วก็สาวกอันดับสอง ต่อมาก็เรื่อย สัตว์โลกทั่ว ๆ ไปได้รับความสงบเย็นใจทั่วถึงกัน นั่น เราก็พูดเอาอย่างกว้างๆ นี้ สิ่งทั้งหลายนี้มันเกิดความรบราฆ่าฟันหั่นแหลกกันทั่วโลกดินแดน แต่ยังเดชะนะ เมืองไทยเราเท่ากำปั้นยังพออยู่ได้ เล็ดลอดตีนเหยี่ยวตีนอะไรใช่ไหมล่ะ ผ่านมาเรื่อยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เพราะเมืองไทยไม่เย่อหยิ่งจองหอง ความเย่อหยิ่งจองหองนี้มันสมัครตัวเป็นแชมเปี้ยนหาต่อย ครั้นต่อยนั้นต่อยนี้เขาก็ต่อยปากเอา แล้วก็เกิดเรื่องกันขึ้น ถ้าลงเป็นแชมเปี้ยนต้องเป็นนักต่อยละ นักต่อยต้องเป็นนักเจ็บเข้าใจไหม
อันนี้เราไม่เป็นแชมเปี้ยนทางโลก เป็นแชมเปี้ยนให้ฉลาดทางธรรม ฉลาดเท่าไรยิ่งสงบเย็น เมืองไทยเราจึงไม่ใช่เป็นเมืองเย่อหยิ่งจองหอง ไม่พองตัว สมัครตัวเป็นแชม เปี้ยนหาต่อยนู้นนี้ให้เขาตีปากเอา เมืองไทยจึงปากสบาย เพียงเท่านี้เราก็จับได้แล้วว่าเมืองไทยเราเป็นเมืองที่สงบร่มเย็นมาโดยตลอด ก็เพราะอำนาจแห่งศีลแห่งธรรม ไม่ผยองพองตน คือมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัย สงบงบเงียบ เรื่องราวมันก็สงบไป ถ้าพูดก็ไม่พูดแบบเย่อหยิ่งจองหองที่จะต่อยจะตีกัน พูดด้วยเหตุด้วยผล พูดอ่อนน้อมถ่อมตน ใครก็ไม่เกิดทิฐิมานะ เกิดฟืนไฟมาเผาได้ใช่ไหมล่ะ นั่นก็เป็นอย่างงั้นละ มันต่างกันนะ
ถ้าเอาโลกมาใช้ในวงศาสนา ในวงพระวงเณรแล้วมันก็เกิดเรื่องได้ เช่นอย่างในเมืองไทยเรานี้มันก็เกิดได้ไม่ใช่เหรอ นั่น ถ้าเอาเรื่องของกิเลสเข้ามาแทรกจะเกิดได้ ถ้าเรื่องของธรรมล้วนๆ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่าไรยิ่งสงบยิ่งเย็น ยิ่งทำโลกให้เย็น จากตัวเย็นแล้วทำโลกให้เย็น ตัวร้อนแล้วทำคนอื่นให้ร้อน แต่อาศัยศาสนาเป็นโล่บังหน้ามีถมไป เพียงเท่านี้ไปแปลเอาเข้าใจไหม มันเป็นอย่างงั้น (หลวงตาครับขออนุญาตถ่ายรูปครับ) มาขออนุญาตอะไร ก็อนุญาตแล้วมันเซ่อซ่าอยู่เฉย ๆ เอ้าถ่าย
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |