เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๓
ไม่มีกิเลสประเภทใดจะสุภาพอ่อนโยน
ปกติสุขภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่ค่อยสมบูรณ์พอที่จะวางใจได้ แต่ก็เพราะความเป็นห่วงในเรื่องพระที่มาศึกษาอบรมด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอยู่มาก เนื่องจากไกลครูไกลอาจารย์ผู้ให้การแนะนำสั่งสอนวิธีปฏิบัติ
จิตเวลาฝึกหัดภาวนาตามนิสัยทั่วๆ ไป ตามธรรมดาก็มีความฟุ้งซ่านวุ่นวายเหมือน ๆ กัน แต่พอฝึกหัดภาวนาระงับความวุ่นวายด้วยวิธีการภาวนา ใจก็จะสงบลงได้ สงบโดยไม่คิดยุ่งเหยิงวุ่นวายดังที่เคยเป็นมา ขณะที่จิตสงบจิตก็อยู่กับตัว ไม่ออกรู้ออกเห็น ไม่แสดงเป็นกิริยา เป็นรูปเป็นร่าง เป็นอาการนั้น เป็นภาพนี้ให้ปรากฏภายในใจ เช่นแสดงเป็นเรื่องตัวเองไปนอนตายให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา การตายนั้นก็มีอาการแปลก ๆ ต่าง ๆ ในเราคนเดียว ในคน ๆ เดียวนั้น บางทีก็ตายเหมือนตายจริง ๆ แสดงความพุพองน้ำเลือดน้ำหนองไหลเยิ้มออกมาทุกอวัยวะ แล้วแตกกระจัดกระจายให้เห็นต่อหน้าต่อตา และเปื่อยผุพังลงไป เปื่อยลงไป เน่าลงไป เหลือแต่โครงกระดูก จากนั้นโครงกระดูกที่ติดต่อกันด้วยเส้นด้วยเอ็นก็ผุเปื่อยไปด้วยกัน ลงไปกองให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา จนกระทั่งกลายลงไปเป็นธาตุเดิมคือดินเป็นต้น ให้เห็นได้อย่างชัดเจน
เช่น น้ำก็ค่อยซึมซาบลงไปใต้ดินบ้าง เห็นอย่างชัด ๆ ในขณะที่พิจารณาอยู่ เมื่อน้ำซึ่งเป็นสิ่งประสานอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว ร่างกายก็แห้งกรอบลงไป ๆ เส้นเอ็นที่เคยยึดเหนี่ยวร่างกายส่วนต่าง ๆ และกระดูกทุกชิ้นไว้ ก็ขาดกระจัดกระจายพังทลายลงไป มีแต่กองกระดูก ส่วนเนื้อส่วนหนังหายไปหมด คือค่อยหายไป ๆ ด้วยความเหี่ยวแห้ง และสลายตัวลงไปกลายเป็นดินให้เห็นอย่างชัดเจน กระดูกที่เป็นของแข็ง ละลายกลายลงไปช้ากว่าเพื่อนก็ปรากฏเด่น จากนั้นความแยบคายของจิตชนิดหนึ่ง นี่หมายถึงผู้ต้องการความจริงยิ่งกว่าต้องการความกลัว ก็จะได้เห็นความจริงอันนี้ที่สลายตัวลงไป แม้จะเป็นทีหลังหมู่เพื่อนก็ตาม ก็ลงไปเป็นดินให้เห็นอย่างชัดเจน
จิตเป็นผู้ดู เป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็น ย่อมได้ดู ได้รู้ ได้เห็นสภาพของตน ทั้ง ๆ ที่นั่งภาวนาอยู่นั้นแล ได้เห็นร่างอันหนึ่งซึ่งเป็นภาพแห่งธรรม แสดงข้อเปรียบเทียบให้สติปัญญาได้รู้ได้เห็น เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านั้นจนลงไปสู่สภาพเดิมเต็มที่ของมันแล้ว จิตก็ถอนจากความคิดความเห็นความดูสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่ภายใน นี้มีสองแขนง แขนงหนึ่งย้อนเข้ามาสู่ภายในนี้ เราได้ตายไปอย่างนั้นจริง ๆ หรือ หรือว่าภาพนั้นเป็นเครื่องแสดงเหตุแสดงผลพร่ำสอนเราให้รู้ว่า สภาพที่แท้จริงคือตัวของเรานี้ก็จะต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วย้อนกลับมาพิจารณาภายในร่างกายอันนี้อีกด้วย ความอยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจให้ถึงความจริงเช่นเดียวกับภาพภายนอกที่แสดงลงถึงความจริงเต็มส่วนแล้วนั้น สภาพนี้ก็เป็นอีกเช่นเดียวกัน ปรักหักพังลงไป เปื่อยลงไป ๆ อันนั้นขาดลงไปอันนี้ขาดลงไป ปรากฏชัดเจนในความรู้สึก จนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ เช่นเดียวกับภาพที่ปรากฏภายนอกนั้น เมื่อไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว มันไปอยู่ที่ไหนที่นี่ สิ่งเหล่านี้สูญไปไหน มันก็ลงไปเป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ เช่นเดียวกับภาพภายนอกที่ปรากฏนั้น จิตเป็นที่แน่ใจ
ในขณะที่พิจารณาร่างกายภายนอกที่แสดงตัวว่าเป็นคนตายแล้วไปปรากฏนั้น ก็ไม่รู้สึกร่างกายเรานี้เลย เมื่อย้อนเข้ามาพิจารณาร่างกายอันนี้ ก็ย้อนเข้ามาพิจารณาด้วยความเข้าใจ แน่ใจว่าไม่ใช่ภาพอันนี้ไปเป็นอย่างนั้น เป็นแต่เพียงภาพอันหนึ่งซึ่งแสดงข้อเปรียบเทียบให้ทราบชัดเจนเท่านั้น จิตจึงย้อนเข้ามาพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นไปอย่างเดียวกันอีก
พอเป็นไปครั้งที่สองนี้ เมื่อลงถึงพื้นฐานเดิมของธาตุขันธ์จริง ๆ แล้วก็หมด เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ปรากฏเด่น อันนี้ไม่ลงไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เป็นอากาศธาตุ เป็นอะไร เป็นแต่ความรู้ล้วน ๆ เป็นความรู้ที่อัศจรรย์ เป็นความรู้ที่เด่นชัดไม่เคยปรากฏ ได้ปรากฏขึ้นมาแล้วความรู้นี้ เพราะสิ่งเกี่ยวข้องพัวพันนั้นได้พิจารณาขาดวรรคขาดตอนลงไปแล้ว จนเหลือแต่ความรู้ ทีนี้ความรู้นี้ก็หมดกิริยาที่จะแสดงออก เหลือสักแต่ว่ารู้ และเป็นความอัศจรรย์แฝงอยู่กับความสักแต่ว่ารู้นั้น เพราะเป็นความละเอียดของความรู้แท้และไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าได้อยู่ที่สูงที่ต่ำ ทิศนั้นทิศนี้ไม่มี หากไม่ละความรู้ที่ปรากฏอยู่ นี่เป็นผลที่เกิดจากการพิจารณาทั้งสองภาพ อันเป็นภาพของตัวเองทั้งสองอย่าง นี่ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง พอพิจารณาภาพภายนอกที่แสดงเรื่องความล้มความตายให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะเป็นภาพของตนแท้ เมื่อพิจารณาสภาพนั้นหมดปัญหาลงไปแล้ว ใจก็หมดปัญหาไปตามภาพนั้น ร่างกายอันนี้เลยหมดความหมาย เพราะร่างกายนี้ได้ไปเป็นอย่างนั้นให้เห็นแล้ว โดยไม่ต้องย้อนมาพิจารณาอย่างนี้อีกก็มี นี่เป็นสองแขนง
จิตเราจะเป็นในแขนงใดก็ตาม ไม่เป็นความผิดในการพิจารณา ขอให้เป็นความถนัดใจของเรา แต่เรื่องความกลัวนั้นอย่าสร้างขึ้นมา มันเป็นเรื่องของกิเลสจะแทรกธรรม เป็นเรื่องของมารที่จะกีดขวางทางเดินของความจริง ซึ่งเรากำลังพิจารณาให้ถึงฐานแห่งความจริงอยู่ด้วยสติปัญญาของเรา เราอย่าสร้างความกลัวเป็นกลัวตาย กลัวเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา อันนั้นให้ทราบว่าเป็นความคิดปรุงของฝ่ายกิเลสที่จะทำการกีดขวางลวงใจเรา ให้เกิดความตกอกตกใจ เกิดความหวาดเสียว แล้วไม่อยากพิจารณาอาการเหล่านั้นอีกต่อไป อย่างหนึ่งเข้าใจว่าตนตายเสียจริง ๆ เหล่านี้เป็นความเข้าใจผิด
ให้แน่ใจว่าจิตนั้นไม่เคยตายแต่ไหนแต่ไรมา มีแต่ความเปลี่ยนแปลงไปตามอาการที่เกี่ยวข้องกับจิต เช่นร่างกายก็เป็นความเกี่ยวข้อง ขันธ์ทั้งห้านี้เป็นความเกี่ยวข้องกับจิตทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะต้องแปรไปตามสภาพแห่งความจริงของเขา เราผู้ต้องการความจริงจำต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้ทราบตามความจริงของเขา เพราะเราไม่มีการล้มการตาย การฉิบหาย การสูญสิ้นไปเป็นนั้นเป็นนี้เหมือนกับสิ่งเหล่านั้น
จิตเป็นตัวยืนโรง ให้ทำความมั่นใจอย่างนี้ ไม่ต้องตกใจ จะเป็นอะไรขึ้นมา ความรู้นี้จะสามารถรู้ตามไปหมด ไม่มีคำว่าล้มว่าตาย ไม่มีคำว่าฉิบหายไปตามอาการเหล่านั้น พอที่จะสร้างความตกอกตกใจ ความกลัวเป็นกลัวตายขึ้นมาอันเป็นอุปสรรคแก่ตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องความล่อลวงของกิเลสทั้งมวล ให้พึงทราบกลมายาของกิเลสแทรกธรรมแทรกได้อย่างนี้
ขณะที่จิตมีความสงบตัว ถ้าไม่แสดงอาการออกภายนอกเป็นภาพต่างๆ ก็ให้อยู่ด้วยความสงบ อยู่ด้วยการพิจารณา เช่นเรากำหนดอานาปานสติ ก็ให้รู้อยู่กับลมเท่านั้น ไม่ต้องไปปรุงไปแต่งให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ ให้รู้อยู่กับลม มีสติเป็นผู้ควบคุมงานอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ทำ นี่เป็นความถูกต้อง ผลจะปรากฏขึ้นมาอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของผลซึ่งสืบเนื่องไปจากเหตุเป็นเครื่องสนับสนุนตามนิสัยของผู้บำเพ็ญนั้น ๆ ซึ่งไม่เหมือนกันในอาการต่าง ๆ แต่จะเหมือนกันในเรื่องความสงบ นี่คือหลักของการภาวนา
ยิ่งพิจารณา ยิ่งภาวนาไปเท่าไร ยิ่งจะเห็นความละเอียด ความแปลกประหลาดในธรรมทั้งหลายด้วย ความละเอียดลออของเครื่องหลอกลวงคือกิเลสทั้งหลายด้วย ซึ่งเป็นข้าศึกต่อกันอยู่แล้ว และมาแสดงการกีดขวางต่ออรรถต่อธรรมต่อการพิจารณาในแง่ต่าง ๆ ทำให้ลุ่มหลงหรือเผลอตัวยอมเชื่อมันไปได้ และขาดผลขาดประโยชน์เป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นยังจะเป็นความเสียแก่เราอีก เพราะกลมายาของกิเลสแสดงออกมาซึ่งเราตามรู้ตามเห็นมันไม่ทัน
การปฏิบัติจิตตภาวนา ถ้าเป็นรายเช่นนี้ให้พึงทราบตามนิสัยของตน ถึงอาการใดจะแสดงออกให้เราเห็นก็ตาม ให้พึงทราบว่าเป็นอาการของธรรมที่แสดงออกเพื่อพร่ำสอนเรา ไม่ใช่แสดงออกเพื่อทำลายเรา สิ่งที่จะทำลายเรานั้นคือความคิดปรุงอันหนึ่งต่างหากที่จะแทรกขึ้นมา เช่น นี่เรานั่งภาวนาอยู่แท้ ๆ ทำไมจึงต้องตายอย่างนี้ คนเรากลัวตายอยู่แล้วตามเรื่องของกิเลสที่เคยเกลี้ยกล่อมให้เชื่อสนิทมานาน ทำไมจะไม่กลัวเมื่อความปรุงชนิดนั้นเกิดขึ้นมา นี่แหละคืออุบายของกิเลสแทรกธรรม จงทราบไว้ว่าเราไม่ตาย อะไรจะตาย อะไรจะฉิบหาย เราเป็นนักรู้ เวลานี้ก็ปฏิบัติเพื่อรู้เพื่อเห็นความเห็นจริงอยู่แล้ว ทำไมจะไปกลัวความตาย
ความตายเป็นเรื่องของธาตุของขันธ์ ไม่ใช่เรื่องของจิต อาการของกายที่แสดงอยู่นั้นจะเปื่อยพังทลายลงไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ จนกลายเป็นสุญญากาศว่างเปล่าไปหมด ก็ให้เห็นตามเรื่องของมันที่เป็นนั้น เพราะผู้เห็นผู้รู้คือใจ ไม่ใช่ผู้จะฉิบหายวายปวง ไม่ใช่ผู้จะสลายเปลี่ยนแปลงไปเหมือนอย่างสิ่งเหล่านั้น เป็นผู้ดู เป็นผู้รู้ผู้เห็น เพื่อความจริงเป็นหลักใจแก่ตนต่างหาก
ไม่ต้องไปหวั่นไหวโยกคลอน กลัวเป็นกลัวตายกับอาการต่าง ๆ ซึ่งเป็นอาการของธรรมแสดงออกมา ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแทรก มันก็กลายเป็นเรื่องหลอกลวง เป็นความคิดขึ้นมาแปลก ๆ ต่าง ๆ ให้กลัวให้ขยาดครั่นคร้าม ให้ขยะแขยง ไม่ใช่ขยะแขยงแบบนิพพิทาความเบื่อหน่ายดังพระพุทธเจ้าสอน ความเบื่อหน่ายอันนั้นไม่ได้เกิดความอิดหนาระอาใจ ไม่ได้เกิดความทับถม ไม่ได้เกิดความกดถ่วง ไม่ได้เกิดความทุกข์ความทรมานแก่ใจ นี่เรียกว่าความเบื่อหน่ายโดยธรรม ท่านเรียกว่าเบื่อหน่าย เป็นความละเอียดอ่อนมาก ถ้าเบื่อหน่ายแบบกิเลสแล้วเกิดความทุกข์ความร้อนขึ้นมา
ความรัก ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสก็เกิดความทุกข์ความร้อนขึ้นมา ความชัง ความเกลียด ความโกรธ เป็นเรื่องของกิเลส จึงสร้างทุกข์ให้สัตว์โลกทุกระยะทุก ๆอาการของกิเลส ที่แสดงขึ้นมาแปลกๆ ต่างๆ กัน ผลจะต้องได้รับเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเป็นความรักโดยธรรม เช่น รักความพากเพียร รักในการภาวนา รักในอรรถในธรรม ชอบในอรรถในธรรมอันเป็นผลที่ตนประพฤติปฏิบัติ มีความรักความสงวน มีความระมัดระวังไม่ให้สิ่งใดเข้าเกี่ยวข้อง ไม่ให้สิ่งใดเข้ามาทำลาย ความรักความสงวนเหล่านี้เป็นธรรม ไม่สร้างความทุกข์ให้แก่เรา ผิดกันอย่างนี้
คำว่ารักว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ มีได้ทั้งฝ่ายมรรคคือธรรม มีได้ทั้งฝ่ายกิเลส แต่ผลผิดกัน คือ อันหนึ่งสร้างความทุกข์ขึ้นมาให้เรา อันหนึ่งไม่ได้สร้างความทุกข์แต่สร้างความสงบสุขขึ้นมา และเห็นโทษแห่งความทุกข์ทั้งหลายเรื่อยๆ ไป จิตใจยิ่งเบาเพราะความเห็นโทษย่อมมีการปล่อยวาง คลายความยึดมั่นถือมั่นเข้ามาโดยลำดับ จิตใจย่อมมีความผ่องใสและมีความเบาบางภายใน การพิจารณาธรรมทั้งหลายเป็นอย่างที่กล่าวมานี้
อาการอะไรก็ตามแสดงออกมา ถ้าไม่ใช่สิ่งที่จะควรพิจารณาตาม เพื่อให้รู้ความสัตย์ความจริงทั้งหลาย แต่มาแสดงให้เราเห็น เราย้อนจิตเข้ามาสู่ภายในเสีย ภาพหรืออาการเหล่านั้นก็หายไป เพราะนั้นเป็นอาการออกไปจากจิต ไม่ใช่มาจากที่อื่นที่ใด แต่เป็นอาการของจิต เป็นเงาของจิตไปแสดงภาพให้เราเห็น เราต้องการจะพิจารณาแยกแยะเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นความแยบคายเพื่อรู้ความจริงของสิ่งนั้น และเกิดผลประโยชน์แก่เรา เราพิจารณาได้
ถ้าไม่ควรพิจารณา หากทราบเองภายในตัวเองกับภาพนั้น ๆ ที่มาปรากฏ เราก็ถอนจิตออกจากนั้นเข้ามาสู่ภายในคือความรู้ ให้รู้อยู่กับใจนี้เสีย อาการนั้นก็จะดับลงไปทันที ไม่ทำให้เราเสียหายได้ ถ้าเราไม่ลืมหลัก ไม่หลงหลักคือความรู้ เมื่ออาการของความรู้ออกแสดงก็ถอนอาการของความรู้เข้ามาสู่ตัวเอง คือความรู้โดยธรรมชาติได้แก่จิตนี้เสีย อาการทั้งหลายจะดับไปทันที ไม่ว่าอาการใดก็ตาม เมื่อย้อนจิตเข้ามาสู่ตัวเองแล้วต้องดับทั้งนั้นไม่ลุกลาม
แต่ในขั้นเริ่มแรก หากไม่จำเป็นเราอย่าคิดอย่าค้น อย่าเสาะอย่าแสวงให้ภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา ถ้าปรากฏขึ้นภายในตัวเราเองเป็นอย่างที่ว่านั้น นั่นเป็นความเหมาะสมยิ่งกว่าภาพภายนอกแสดงออก เป็นความถูกต้องทีเดียว ไม่ต้องน้อมเข้ามาสู่ตัวของเรา แต่นี่เป็นหลักนิสัย เวลาจะเป็นขึ้นมาเราไม่เคยคาดเคยคิดเอาไว้ หากเป็นขึ้นมาเอง และคติธรรมหรือธรรมที่ผุดขึ้น เราพูดในแง่แห่งธรรมที่ว่าเหมือนกับมีคนมาบอกอย่างนั้น ๆ นั่นก็คือธรรมท่านแสดงบอกเรานั่นแล บอกขึ้นภายในใจ เป็นขึ้นภายในใจแล้วดับไป เรายึดนั้นมาเป็นคติเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็มีแง่แห่งสังขารมารที่ปรุงหลอกได้เหมือนกัน เราต้องได้ใช้ปัญญาพิจารณาว่าควรเชื่อตามหรือไม่ควรเชื่อประการใด ถ้าสิ่งที่ผุดขึ้นมานั้นเป็นเครื่องหลอกลวงเรา เราก็ทราบว่าสังขารนี้เป็นสังขารมาร เป็นเครื่องหลอกลวง สติปัญญาเรารู้เท่าทันแล้วสิ่งนั้นก็ดับไป ไม่มาหลอกลวงเราได้อีก ถ้าเราหลงเพลินไปตามอาการนั้นก็จะแสดงขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็จะทำให้เราหลงไปเรื่อยไม่มีทางยุติและเสียไปด้วยสังขารมารนั้นจริง ๆ
เพราะฉะนั้น การที่ความรู้ต่าง ๆ ผุดขึ้นมานั้น จึงต้องได้พิจารณาเป็นสองแง่ แง่หนึ่งผุดขึ้นมาเป็นธรรม ยอมรับกัน แง่หนึ่งแสดงขึ้นมาเป็นความหลอกหลอนหลอกลวง แง่นั้นให้ใช้สติปัญญาตัดกันทันทีหรือทักกัน ค้านกันทันที อาการนั้นจะดับไปเพราะเรารู้หน้าตามันแล้ว มันไม่มาหลอกเราได้อีก นี่วิธีการพิจารณาเป็นอย่างนี้สำหรับในวงปฏิบัติ
มีจิตตภาวนาเท่านั้นที่จะทราบได้ในแง่ต่าง ๆ ของธรรมทั้งหลายที่กล่าวมานี้ ทั้งส่วนหยาบในขั้นเริ่มแรกดังที่กล่าวมานี้ด้วย ทั้งขั้นละเอียดยิ่งไปกว่านี้และขั้นละเอียดสุด จะไม่มีอันใดเป็นผู้รับรู้ เป็นผู้สามารถเหมือนจิตตภาวนา เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญจิตตภาวนาจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก เป็นฐานที่ตั้งแห่งงานที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะทำความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วไตรโลกธาตุทั้งภายนอกภายใน จะนอกเหนือไปจากจิตตภาวนานี้ไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสรู้ธรรม เป็นโลกวิทู รู้แจ้งเห็นจริงทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงก็เพราะจิตตภาวนา พระสาวกทั้งหลายที่ได้เป็นสรณะของพวกเรา ได้กล่าวอ้างเป็นสักขีพยาน หรือเป็นที่ยึดฝากเป็นฝากตายของเราตลอดมาว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านก็ปรากฏขึ้นมาจากจิตตภาวนา พระธรรมที่เราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาอยู่นี้ ก็ปรากฏเป็นผลขึ้นมาในวงปฏิบัติจิตตภาวนา จึงเป็นสรณะสามโดยอาการ คือ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ได้แก่ พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ธรรม ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ คือพระธรรมอันบริสุทธิ์ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้ทรงเห็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ได้แก่องค์สาวกซึ่งบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงภายในใจ เป็นอาการของธรรมแต่ละอย่าง ๆ แต่ละอาการ รวมลงแล้ว พุทธะก็ดี สังฆะก็ดี เข้าสู่จุดเดียวกัน คือเป็นธรรมทั้งดวง นี่เป็นขึ้นที่ใจ รู้ขึ้นที่ใจ ใจบริสุทธิ์เต็มที่ ใจก็เป็นคู่ควรแก่ธรรมอันประเสริฐเต็มดวงเต็มที่เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ใจจึงควรแก่การอบรมศึกษาหรือฝึกหัดดัดแปลง เพราะใจเป็นภาชนะที่เหมาะสมกับธรรมทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งด้วย ใจเป็นสิ่งที่จะสัมผัสสัมพันธ์กับธรรมทั้งหลาย ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด ทุกขั้นทุกภูมิของธรรมด้วย จึงควรได้รับการอบรมด้วยดีจนถึงขั้นดีเยี่ยมเป็นธรรมแท่งเดียว คือใจเอก ธรรมเอก ไม่มีอะไรเป็นคู่แข่ง
คำว่าใจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยทั้งของสัตว์และของบุคคลทั่วโลกธาตุ สัตว์ทุกตัวมีใจนี้เข้าครอง ใจที่จะเข้าครองความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เกิดในกำเนิดต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีเชื้อพาให้ไปเกิด ดังที่เคยกล่าวเสมอว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เชื้อนี้ฝังอยู่ภายในจิต จนไม่ทราบต้นหมายปลายทางว่า เคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาตั้งแต่เมื่อไร แต่จะนานหรือไม่นาน จำได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่การพยายามถอดถอน ระงับดับสิ่งเหล่านี้ลงไปได้ด้วยความเพียรของเรานั้นแลเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับความมืด จะเคยมืดมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่เคยทราบต้นสายปลายเหตุของความมืดนี้เลย ว่าเคยมืดมาตั้งแต่เมื่อไรอย่างนี้ก็ตาม แต่เมื่อตามไฟขึ้นหรือเปิดไฟขึ้นเท่านั้น ความมืดไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลา แต่ขึ้นอยู่กับความสว่างที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น ความมืดย่อมระงับดับไปในทันทีทันใด
นี่กิเลสตัณหาอวิชชา ซึ่งเป็นเจ้าครองหัวใจของสัตว์โลก วางพืชวางผลให้เกิดแก่เจ็บตายและพะรุงพะรังไปด้วยความทุกข์ความลำบากในภพน้อยภพใหญ่ เป็นมานานเท่าไรก็ตาม แต่เมื่อความพากเพียรซึ่งเหมือนกับเราตามไฟหรือเปิดไฟขึ้น ไฟก็มีแรงเทียนต่างกัน ถ้าน้อยแรงเทียนก็สว่างน้อย เห็นน้อย ความสงบก็น้อย ถ้าแรงเทียนมากขึ้นเพราะกำลังสติปัญญามีมาก พลังของใจก็มีมากขึ้น จิตใจก็ยิ่งแสดงความสว่างมากขึ้น กิเลสคือความมืดก็ค่อยหายค่อยจางลงไปเรื่อยๆ จนสติปัญญาเต็มภูมิแล้ว ก็สามารถทำลายความมืดภายในจิตใจได้รอบตัว กลายเป็นความบริสุทธิ์พุทโธขึ้นมาในขณะนั้น โดยไม่ต้องไปคิดถึงกาลถึงเวลาแห่งความมืดซึ่งเคยฝังอยู่ภายในจิตใจนั้นเลย ความมืดย่อมหายไปในขณะเดียวเท่านั้น
ใจจึงเป็นของสำคัญมาก ใจเป็นผู้ก่อภพก่อชาติ ใจเป็นโรงงานผลิตทุกข์ทั้งหลาย ผลิตเชื้อให้พาเกิดแก่เจ็บตาย ผลิตวิบากให้เป็นผลดีชั่วขึ้นมา ถ้าผู้โง่ก็จะผลิตแต่ความชั่ว คือทำแต่ชั่ว พูดแต่ชั่ว คิดแต่เรื่องชั่ว เป็นการสั่งสมทุกข์ขึ้นมาภายในตนไม่หยุดหย่อน สถานที่ใดจุดใดเป็นสถานที่หรือเป็นจุดที่สร้างเหตุดีชั่ว ผลคือความสุข ความทุกข์ จะต้องเกิดขึ้นในจุดนั้นโดยไม่คาดกาลคาดเวลา จำได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ จะเกิดที่นั่นและติดอยู่กับที่นั้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องให้สำรวมระวังใจผู้คอยก่อเหตุด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ
อย่างน้อยก็ให้สร้างคุณงามความดี เช่น การให้ทาน ท่านสอนไว้เป็นหลักธรรมสำคัญ การรักษาศีล การภาวนา ธรรมทั้งสามประเภทนี้เป็นเครื่องชำระล้างจิตใจเราให้ขาวสะอาดสว่างไสว และรวมเข้าไปสู่จิตตภาวนา ผลแห่งการให้ทานก็ดี ผลแห่งการรักษาศีลก็ดี จะรวมไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผลแห่งการภาวนา เพราะนั้นเป็นทำนบใหญ่ เป็นที่ไหลรวมแห่งน้ำหลายสาย รวมลงในทำนบใหญ่คือจิตตภาวนาทั้งหมด บรรดาบุญกุศลมากน้อยที่เคยสร้างมากี่กัปกี่กัลป์กี่ภพกี่ชาติ สร้างมากี่ครั้งกี่หนไม่สำคัญ ย่อมจะไหลรวมลงสู่จิตดวงนั้นทั้งสิ้น
จิตดวงนี้ไปถือกำเนิดเกิดในสถานที่ใด วิบากจึงต้องติดตามจิตดวงนี้ไปทุกกำเนิด โดยไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับการนับการอ่านว่าได้ทำมากทำน้อย นานหรือไม่นานเพียงไร ย่อมติดแนบไปกับจิต
ผู้พิสูจน์สิ่งเหล่านี้และพิสูจน์จิตจนเห็นได้อย่างชัดเจนและนำออกมาสั่งสอนโลก ก็คือศาสดาของชาวพุทธเราองค์เดียวเท่านั้น ในโลกทั้งสามนี้ไม่มีใครสามารถฉลาดรู้กลมายาของกิเลสเครื่องปกคลุมหุ้มห่อจิตใจ และกล่อมสัตว์โลกให้เพลินและจมอยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่มีใครรู้วิธีการต่าง ๆ เพื่อปลดเปลื้องตนออกจากมันได้ นอกจากพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น เมื่อทรงทราบทั้งเหตุทั้งผลโดยประจักษ์พระทัยแล้ว จึงได้นำวิธีการทั้งเหตุวิธีการชำระ ทั้งเหตุวิธีการบำเพ็ญมาสั่งสอนสัตว์โลก และผลเป็นที่พึงใจก็สอนเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เราเป็นชาวพุทธ เป็นพุทธบริษัทของท่านผู้รู้ ท่านผู้วิเศษ จึงควรเรียนหลักธรรมของท่านผู้รู้ท่านผู้วิเศษ ให้รู้เรื่องความจริงดังที่ท่านสอนไว้ เราจะรู้ช่องทาง จะไปด้วยความแคล้วคลาดปลอดภัยเป็นสุคโต แม้ภพชาติน้อยใหญ่ยังมีอยู่ เพราะเชื้อที่จะพาให้เกิดภพเกิดชาติยังมีอยู่ก็ตาม เรื่องวิบากแห่งความดียังจะตามสนับสนุนเราในภพนั้น ๆ จนถึงจุดหมายปลายทางโดยสมบูรณ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็หมดปัญหากันไป เพราะความเลิศความประเสริฐของจิตที่พอตัวแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดเข้ามาส่งเสริมอีก เนื่องจากจิตเป็นธรรมที่ภาคภูมิใจเต็มที่แล้ว
ท่านจึงกล่าวไว้ในธรรมว่า ปุญญปาปปหินบุคคล ท่านผู้มีบุญและบาปอันละเสียแล้ว ตราบใดที่ยังมีภพมีชาติ ตราบนั้นยังมีความจำเป็นต่อบุญกุศลเครื่องสนับสนุนให้เกิดความสุขความสบายในภพนั้นๆ อยู่ แต่เมื่อถึงที่แล้วความสุขเหล่านี้ไม่ได้เป็นความสุขที่อัศจรรย์เหมือนธรรมดวงเลิศภายในใจที่พอตัวแล้วนั้น ย่อมปล่อยวางกันไปเองโดยไม่มีอะไรมาบังคับ เช่นเดียวกับเราเดินทางมาวัดป่าบ้านตาด ก่อนที่จะถึงวัดป่าบ้านตาดเราต้องถือสายทางเป็นสำคัญ เมื่อเข้าถึงจุดนี้แล้ว ทางก็ไม่จำเป็นสำหรับเรา เพราะจุดที่ต้องการก็คือที่นี่ ไม่ใช่ทาง นั่นเป็นสายทางให้เราเดินเข้ามาสู่จุดนี้ เมื่อถึงจุดที่ต้องการแล้วทางจึงหมดปัญหาไปเอง
บุญกุศลเป็นธรรมเครื่องสนับสนุนให้ผู้ต้องการความสุขความเจริญ และความพ้นทุกข์ได้บำเพ็ญ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเกี่ยวเกาะตลอดไป เมื่อถึงจุดที่พอตัวแล้ว ย่อมปล่อยวางความสุขทั้งหลายอันเป็นส่วนสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านจึงให้ชื่อว่า ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละหมดเสียแล้ว ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสมมุติ จิตตวิสุทธินั้นเป็นวิมุตติ สุดวิสัยที่สมมุติจะเอื้อมเข้าถึงแล้ว จิตดวงนี้เป็นของอัศจรรย์ถึงขนาดนั้นแล จงอย่ามองข้ามจิตซึ่งเป็นรากฐานสำคัญอยู่ภายในร่างกายเราทุกคน จะล่มจมฉิบหายก็ดี จะเจริญรุ่งเรืองก็ดี ขึ้นอยู่กับจิตที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมและที่ได้ฝึกฝนอบรมเป็นสำคัญ
จงเรียนให้เห็นจิต ปฏิบัติให้เห็นจิต ให้เห็นสิ่งเกี่ยวข้องกับจิตว่ามีความเกี่ยวโยงกันอย่างไรบ้าง ให้เห็นสิ่งที่ปกคลุมหุ้มห่อจิตจนไม่ทราบว่าจิตเป็นอย่างไร มองเข้าไปมีแต่สิ่งหุ้มห่อปิดบังมืดตื้อไปหมดดวง ไม่ปรากฏว่าความจริงของจิตนั้นเป็นอย่างไรบ้างเลย สัตว์โลกจึงต้องหลงเพราะกิเลสและกลมายาของกิเลส ที่เคยครอบงำหัวใจมานานจนกลายเป็นตนเป็นตัว เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเราเป็นเขาไปเสียทั้งตัวทั้งใจ แยกกันไม่ออก เพราะไม่ทราบวิธีจะแยก จนกลายเป็นความไม่สนใจจะแยกไปเสียมากต่อมาก
จะทำอะไรก็มีแต่กิเลสเข้ากีดเข้าขวาง เพราะกิเลสกับเรามันเป็นอันเดียวกันแล้ว ภาวนาเล็กน้อยก็กลัวจะลำบากลำบน ความกลัวจะลำบากลำบน ความอิดหนาระอาใจก็เป็นเรื่องของกิเลสหลอกให้เป็นเสีย จะทำบุญให้ทานรักษาศีลก็กลัวจะล้มจะตายจะหมดจะสิ้นจะเปลืองไป ก็ให้กิเลสหลอกไว้เสีย เพราะความเห็นแก่ตัวไม่มีอะไรเกินกิเลสไปได้ซึ่งเต็มอยู่ภายในใจนี้ การเห็นแก่ตัวก็คือเห็นแก่กิเลสนั่นเอง แต่เราไม่ทราบว่ากิเลสเป็นอย่างนี้ พาคนให้เป็นอย่างนี้ จึงไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไร แล้วก็ปฏิบัติตามมันโดยไม่รู้สึกตัว เหมือนกิเลสจูงคนจูงสัตว์ตาบอดไปลงเหวลงบ่อน้ำร้อนนั่นแล ร่างกายทั้งร่าง จิตใจทั้งดวงก็กลายเป็นหุ่นของกิเลสไปเสียหมด หาความหมายภายในตัวไม่ได้เลย จะเอาอะไรมาต่อสู้กับมันได้ จำต้องยอมไปตาม ๆ กันทั่วโลกดินแดน
แต่เมื่อได้อาศัยการพินิจพิจารณาตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ ก็ค่อยทราบเรื่องดีชั่ว เรื่องกิเลสและธรรมไปได้โดยลำดับ ตั้งแต่ขั้นหยาบต้องต่อสู้กันไปเรื่อยๆ จนไม่มีกิเลสเป็นคู่แข่งจึงอยู่สบายหายทุกข์ได้ ให้พึงทราบว่ากิเลสทุกประเภทที่มีอยู่ภายในใจของสัตว์ของเรา ไม่มีกิเลสตัวใดจะสุภาพอ่อนโยนและคล้อยตามธรรม เห็นธรรมเป็นของเลิศของประเสริฐ เห็นธรรมเป็นของดีวิเศษพอที่จะชักชวนจิตใจเรา ฉุดลากจิตใจเราให้เข้าสู่ธรรม นอกจากกิเลสทุกประเภทไม่ว่าลูกเต้าหลานเหลนปู่ย่าตายายของกิเลส ต้องเป็นข้าศึกแก่ธรรมโดยถ่ายเดียว จึงต้องกีดต้องขวางธรรมอยู่เสมอมาและเสมอไป พวกเราชาวพุทธจึงไม่ควรนอนใจว่ากิเลสจะเปิดช่องเปิดทางให้บำเพ็ญความดีเหมือนเขาเปิดงานปีใหม่ อย่าพากันแห่ขบวนไปนอนคอยอยู่สนามหลวงให้ทรมานเปล่า จะไม่มีผลจากการอนุโลมผ่อนผันของกิเลสแต่อย่างใด ไม่เหมือนรัฐ
..ที่อ่อนปวกเปียกต่อพวกทำลายชาติให้เห็นอยู่อย่างตำตา และอิดหนาระอาใจเต็มประดาเรื่อยมาและอาจจะเรื่อยไป
ด้วยเหตุนี้กิเลสจึงต้องกีดขวางเรา เพราะเรากับกิเลสเคยเป็นอันเดียวกัน อะไรแสดงออกมาเราก็ถือว่าเป็นเรื่องของเราเสียหมด เลยไม่มีทางแก้หรือแยกแยะตัวเราออกจากกิเลสได้ว่าอะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นเรา นี่แหละความฉลาดแหลมคมของกิเลส ความซึมซาบของกิเลส ซึมซาบไปหมดทั่วอวัยวะตลอดจิตใจ ไม่มีที่ว่างที่จะไม่มีกิเลสแทรกอยู่ในที่นั้นเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นการแสดงออกในแง่ใด คิดปรุงในเรื่องใด จึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของกิเลสเสียทั้งมวล ส่วนเพื่อธรรมนั้นหาได้ยาก นอกจากจะเล็ดลอดออกมาด้วยความตะเกียกตะกายของผู้ใฝ่ใจใคร่ธรรมจริง ๆ ส่วนมากกิเลสเอาไปกินหมด กระทั่งขนก็ไม่เว้น ไม่มีเหลือไว้บ้างเลย คิด ๆ ไปก็น่าสลดสังเวชกับพวกเราที่กลายเป็นปูนาปลาทะเลให้กิเลสจับและร้อยเป็นพวง ๆ มาขายเกลื่อนตลาดไม่มีทางรู้ตัว นอกจากพากันร้องเพลงเพลินอยู่ในตลาดแบบขายโง่ให้กิเลสซ้ำเข้าไปอีกเท่านั้น
ก่อนที่เราจะได้รับโอวาทคำสั่งสอนหรือได้เกี่ยวข้องกับศาสนา จึงต้องเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เมื่อได้รับโอวาทคำสั่งสอน ได้ศึกษาข้ออรรถข้อธรรมบ้าง ก็มีข้อคิดข้อพินิจพิจารณา จนถึงด้านจิตตภาวนาแล้วก็ทราบกลอุบายความแทรกซึมของกิเลสประเภทต่าง ๆ ได้โดยลำดับ จนถึงขั้นกิเลสแย็บออกไปจากจิตใจ แสดงออกมาจากจิตใจเพียงกระเพื่อมเท่านั้นก็ทราบทันที เมื่อถึงขั้นควรทราบกันแล้วปิดไม่อยู่ รู้และปราบจนกิเลสก็บรรลัยเพราะความเพียร เนื่องจากสติปัญญาเป็นเครื่องมือที่ทันกิเลสและเหนือกิเลสอยู่ร่ำไป สุดท้ายกิเลสก็แตกกระจายหายไปหมดภายในใจ นั่นที่นี่ความสุภาพที่สุดไม่มีอะไรเกินจิตดวงที่กิเลสตัวแข็งกระด้างข้างชนฝา ตัวเป็นข้าศึกต่อธรรมได้ปราศจากไปแล้ว
นี่เราพูดเรื่องกิเลสทุกประเภทไม่มีความสุภาพอ่อนโยน มีแต่ความผาดโผนมีแต่ความรุนแรง มีแต่ตัวสร้างยาพิษเข้าฝังใจและเผาใจอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ยอมรับธรรมไม่เห็นด้วยธรรม เป็นข้าศึก เป็นสิ่งคัดค้าน เป็นสิ่งต้านทาน เป็นสิ่งต่อสู้กับธรรมอยู่เสมอมา ผู้ปฏิบัติธรรมจำต้องใช้เพลงรบด้วยความผาดโผนโจนทะยาน ใช้ความทรหดอดทน ใช้ความเหี้ยมดี ใช้ความโหดดี แก้ความโหดร้ายของกิเลสให้ทันตามเหตุการณ์ของการรบพุ่งชิงชัยกัน
ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องได้ใช้ความอุตส่าห์พยายาม ความอดความทนอย่างมาก ที่เรียกว่าฝึกทรมาน ก็เพราะการต่อสู้กับกิเลสประเภทดื้อต่อธรรม ประเภทเป็นข้าศึกต่อธรรม ประเภทต่อสู้ธรรมนั้นแล จนกิเลสเบาบางลงไป ความขี้เกียจขี้คร้าน ความอ่อนแอ ความเห็นแก่ตัวอันเป็นเรื่องของกิเลสก็ค่อยจางไป ๆ หายไป ๆ สุดท้ายความขี้เกียจก็ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นกลมายาของกิเลสหมดไปๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ทีนี้ความสุภาพอ่อนโยนแห่งจิตแห่งธรรมภายในจิตไม่ต้องถาม มีอยู่ในจิตโดยสมบูรณ์ คำว่า เมตตา-กรุณา สมบูรณ์อยู่ในจิตดวงเป็นคลังแห่งธรรมอย่างสมบูรณ์แล้วนั้น
ไม่มีจิตดวงใดที่จะสุภาพอ่อนโยนจนคาดไม่ถึง สุภาพอย่างไม่มีในโลกธาตุนี้ ว่าจิตใครจะสุภาพยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์แล้ว ในโลกธาตุนี้มีจิตประมาณเท่าไร ทั้งอยู่ในสัตว์ในบุคคลที่เกิดอยู่ทุกแห่งทุกหน ไม่ว่าในน้ำบนบก ใต้ดิน บนอากาศ ไม่มีจิตดวงใดบรรดาที่กิเลสครอบงำอยู่จะเป็นจิตที่สุภาพอ่อนโยนนิ่มนวล ยิ่งกว่าจิตที่ปราศจากกิเลสตัวแข็งกระด้างแล้วนั้น จิตที่บริสุทธิ์แล้วจึงเป็นจิตที่นิ่มนวลมากประมาณไม่ได้ ประมาณไม่ถูก ไม่มีอะไรเทียบ เพราะสิ่งที่จะนำมาเทียบเป็นเรื่องโลกสมมุติทั้งมวล จิตนั้นหมดแล้วบรรดาสิ่งเทียบเคียง อะไร ๆ เอื้อมไม่ถึง นั่นแหละคือความอ่อนโยนของจิตโดยธรรมชาติของตัวเอง ที่ไม่มีอะไรเข้าไปแทรกสิง ไม่มีอะไรเข้าไปย้อมเข้าไปก่อกวน ด้วยเหตุนี้จงทำความเข้าใจกับความไม่สุภาพของกิเลส ความผาดโผนของกิเลส การทรมานสัตว์โลกของกิเลส เทียบกับธรรมที่กล่าวมา จะมีมานะต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันจนถึงที่สุด
เมื่อกิเลสเป็นเช่นนี้ การประกอบความเพียรจะสุภาพได้อย่างไร เมื่อการประกอบความเพียรเพื่อต่อสู้กับกิเลสแต่กิเลสไม่มีประเภทสุภาพ เราจะสุภาพได้อย่างไร การทำแบบค่อยเป็นค่อยไปค่อยทำ ความอดทนก็ให้มีน้อย ๆ ความอุตส่าห์พยายามก็มีเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำสุภาพอ่อนโยนไปสบาย ๆ นี่มีแต่เพลงกล่อมของกิเลสทั้งมวล พากันทราบหรือยัง ถ้ายังไม่ทราบก็ควรทราบเสียแต่บัดนี้ อย่าทันให้กิเลสนำขึ้นเขียงสับยำจนแหลกจะสายเกินแก้นักปฏิบัติเรา
เพราะฉะนั้น วิธีการของครูของอาจารย์ที่ท่านแนะนำสั่งสอน เช่นสมัยปัจจุบันนี้ มีความแผดเผา มีความเผ็ดร้อน จนกระทั่งผู้ถือใจกับกิเลสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันฟังไม่ได้มีเยอะ ทำไมจึงฟังไม่ได้ ก็กิเลสมันไม่ยอมฟัง มันว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมเผ็ดร้อนมาก ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมดุด่าคน ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมกระทบกระเทือนคน มันหาได้กระซิบให้เราทราบสักนิดไม่ว่า ธรรมแผดเผา ธรรมเผ็ดร้อน ธรรมดุด่าเหล่านี้ล้วนเป็นอาวุธประเภทนิวเคลียร์ นิวตรอน หย่อนลงใส่หัวพวกเราที่กำลังเป็นเจ้านายของพวกท่านอยู่เรื่อยมาจนถึงเวลานี้ พวกเราจะพากันบรรลัยหมดเพราะธรรมาวุธ ประเภทเหล่านี้แน่นอน ถ้าไม่รีบเดินขบวนพาท่านทั้งหลายคัดค้านไว้ ความจริงเหล่านี้กิเลสไม่เคยกระซิบใครให้ทราบเลย กลัวจะเผ่นหนีจาก ไปสู่ธรรมเสียหมด
ความจริงก็คือธรรมกระเทือนหัวกิเลส คือกลอุบายวิธีการฆ่ากิเลส การทำลายกิเลสนั่นเอง ท่านฆ่าด้วยวิธีนี้ ท่านทำลายกิเลสด้วยวิธีนี้ ท่านรบกับกิเลสด้วยวิธีนี้ สู้กับกิเลสด้วยวิธีนี้ ท่านได้ชัยชนะกิเลสด้วยวิธีนี้ อาการที่แสดงออกทั้งมวลนี้เป็นกิริยาแห่งการต่อสู้ทั้งฝ่ายเหตุทั้งฝ่ายผล คือการต่อสู้กัน ตลอดความวิมุตติหลุดพ้น ท่านได้ด้วยวิธีการนี้ทั้งนั้น ท่านจึงได้นำอุบายเหล่านี้มาสอนพวกเราให้ดำเนินตาม แม้ไม่ได้เหมือนท่านทุกอย่าง ก็อยู่ในทำนองคลองธรรมที่ว่า เป็นศิษย์ที่มีครูสั่งสอนก็ยังดี ไม่เป็นบ๋อยที่หมอบราบให้กิเลสไปเสียหมด ธรรมและการบำเพ็ญยังพอฉุดไว้ได้บ้าง
การเทศน์ไม่เทศน์สอนคนจะเทศน์สอนใคร เพราะกิเลสอยู่กับคน กิเลสอยู่ที่หัวใจคน การปราบกิเลสจะปราบบนฟ้าอากาศ ไม่ให้ธรรมเข้าหูเข้าใจคนก็ไม่ได้ เพราะเทศน์ให้คนฟัง กิเลสอยู่ที่หัวใจคน จึงต้องเทศน์ฟาดฟันหั่นแหลกเข้าไปที่ตรงนั้น เป็นการช่วยปราบปรามกิเลสให้คน เพื่อผู้ฟังทั้งหลายได้เข้าใจวิธีการต่าง ๆ ทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว จิตใจก็ยิ่งมีความซาบซึ้งดูดดื่มในธรรมเข้าไปเป็นลำดับ ทั้งด้านความพากเพียร ทั้งด้านการได้ยินได้ฟัง มีความสงบร่มเย็นจิตใจในขณะที่ฟัง เพราะขนาดนั้นกิเลสหมอบ เนื่องจากถูกตปธรรม ความแผดเผาแห่งธรรมปราบลงไปที่จิตใจอันเป็นที่ ๆ กิเลสหลบซ่อนตัว จนกระทั่งกิเลสสิ้นซากไปจากใจ มีจำนวนมากมายไม่อาจประมาณได้
การฟังธรรม ถ้าแบกหามกิเลสมาฟังด้วย กิเลสก็จะพามากีดกันเราทำลายเรา โดยหาว่าอาจารย์องค์นี้เทศน์ดุเทศน์ด่าอย่าฟังดีกว่า และพาทำลายอาจารย์โดยหาว่าอาจารย์องค์นี้ดุ ไม่ดี ใครมาหาก็ดุ ๆ อย่ามาดีกว่า แต่มันไม่บอกไม่หลอกแทรกซ้อนธรรมเข้าไปว่า อยู่กับเราดีกว่าอยู่กับธรรม เราไม่ดุ แต่ตีเลย บีบเอาเลย จะทำอะไรก็ได้ ทำกับมนุษย์ง่ายจะตายไป มันไม่บอก แต่พึงทราบว่าเรื่องทั้งนี้มีแต่เรื่องทำลายเราและผลประโยชน์ของเรา เพราะความกระซิบกระซาบหลอกลวงของกิเลส ครูอาจารย์เมื่อท่านปฏิบัติดีอยู่ ท่านจะเสียหายอะไรกับการตำหนิติเตียนของกิเลสจากใจจากปากคน ท่านต้องเป็นท่านอยู่วันยังค่ำนั่นแล ผู้เสียหายก็คือผู้เป็นเครื่องมือของกิเลสนั่นแลจะเป็นใครที่ไหนกัน
ถ้าอยากรู้อยากเข้าใจอรรถธรรมจากพระท่านแสดงบอกสอนจริง ๆ ก็อย่าพากันหาบหามกิเลสมาวัดอย่างออกหน้าออกตานัก พระท่านดูไม่ได้ แม้กิเลสมีอยู่ภายในใจก็ให้พากันจับกิเลสของตัว ๆ แต่ละรายมัดไว้กับต้นเสาศาลาเสียก่อน เปิดโอกาสให้ธรรมท่านออกสนาม ขึ้นเวทีชี้แจงอรรถธรรมไปตามความสัตย์ความจริงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มอรรถเต็มธรรม จะสนุกฟังอย่างเพลินใจและดื่มด่ำในธรรมหาอะไรเทียบไม่ได้ เพราะไม่มีกิเลสออกมาเพ่นพ่านขวางอรรถขวางธรรม มีแต่ธรรมแสดงลวดลายเต็มฝีมือ จะสนุกตักตวงเอาเหตุเอาผลจากธรรม ไปปฏิบัติให้เกิดความสงบเย็นใจทั้งตนและครอบครัว ตลอดผู้เกี่ยวข้องไม่มีประมาณ สมชื่อว่ามาฟังธรรมบำเพ็ญบุญกุศลอย่างแท้จริง ไม่มาแบบกิเลสเป็นคนขับรถถือพวงมาลัยเหยียบเบรกห้ามล้อในสิ่งเป็นธรรม เหยียบคันเร่งในสิ่งไม่เป็นธรรม จะได้ความรู้ความฉลาดจากวัด จากครูอาจารย์ไปเป็นคติสอนใจวันละเล็กละน้อยไม่ขาดทุนสูญดอก ด้วยการถูกหลอกจากกิเลสโดยไม่รู้สึกดังที่เป็น ๆ กันอยู่เสมอมา
การสั่งสอน เมื่อมามัวเกรงใจคนก็เสียความสัตย์ความจริงของธรรม ไม่เคารพธรรม สารคุณอันแท้จริงก็ด้อยลงและนำออกแสดงไม่ถนัด นำออกแสดงไม่ได้ สุดท้ายก็จะมีแต่เรื่องของกิเลสขึ้นธรรมาสน์ประกาศตนคนประเภทเดียวกันฟังก็ชอบ แต่ปราชญ์ฟังแล้วสลดใจสังเวช จึงลำบากในการแสดงอยู่ไม่น้อย เท่าที่แสดงวันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะไม่มีธรรมประเภทกิเลสชี้หน้าด่าทอหรือไม่ แต่ก็จำเป็นจำใจต้องแสดง
จึงขอให้ทุกท่านได้นำไปพินิจพิจารณา แล้วปฏิบัติต่อสู้กันกับกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยฝังกับใจมานาน อย่าให้เป็นความเคยชิน เพราะความทุกข์เกิดขึ้นจากกิเลส ใครจะชินกับมันไม่ได้ เช่นเดียวกับไฟ จ่อเข้าไปตรงไหนก็ต้องร้อนทันที หาความชินไม่ได้ นี่เป็นหลักสำคัญที่เราจะฝังไว้ภายในใจให้เป็นคติแก่ตัวเองอยู่เสมอ
จึงขอยุติการแสดงธรรมเพียงเท่านี้
***************** |