เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
อยากให้โลกเป็นคนดี
ก่อนจังหัน
เราเห็นพี่น้องชาวพุทธเราเข้ามาในวัดในวาทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา เราพอใจมากเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี้คือหัวใจแห่งการดำเนินภพชาติของเรา เรามีศีลมีธรรม มีบุญมีกุศล ภพชาติของเรานี้ราบรื่น ๆ เรื่อยไป เกิดในภพหน้าชาติหน้ามีแต่ภพแต่ชาติที่ราบรื่นดีงามไปเรื่อย ๆ แต่คนที่ชอบทำตั้งแต่ความชั่วไม่สนใจในศีลในธรรมเลยนั้นมีตั้งแต่ขัดข้อง ๆ เกิดภพใดชาติใดขัดข้อง แม้มาเกิดเป็นมนุษย์เขาสะดวกตัวเองก็ขัดข้อง เพราะตัวสร้างตั้งแต่ความขัดข้องไว้กีดขวางทางเดินของตัวเอง ที่อยู่ก็ขัดข้อง ทุกสิ่งทุกอย่างขัดข้องหมดขึ้นชื่อว่าความชั่วเป็นอุปสรรคต่อเราโดยถ่ายเดียว
สำหรับความดีแล้วเป็นความราบรื่นดีงาม เบิกทางให้เราสะดวกสบายทั้งการไป ทั้งการอยู่ ทั้งการเสวย อายุก็ยืนนาน ให้จำคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ให้ดี นี่ละคือพุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก เราพูดตามความจริงถอดออกมาจากหัวใจ ตรวจดูหมดเลยไม่มีอันใดที่จะเลิศยิ่งกว่าศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายอุตส่าห์พยายามนะ อย่าถือเรื่องกิเลสมาเป็นความสะดวกสบาย เรื่องอรรถเรื่องธรรมเป็นเครื่องกีดขวางในการดำเนิน แล้วกิเลสนั่นละมันจะไปกีดขวางเวลาเราไปทำตามมันสะดวกสบาย นั้นละคือความกีดขวางของกิเลส มันกีดขวางแบบนั้นด้วยการหลอกลวงเราให้หลงตามไป
เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้เหมือนบอระเพ็ดนะ ขมแต่มันเป็นยา ครั้นต่อไปบอระเพ็ดเปลี่ยนรสเปลี่ยนชาติกลายเป็นรสชาติที่ติดอกติดใจ ใครก็ตามถ้าจิตได้สัมผัสเข้ากับธรรมแล้วจะรักใคร่ใกล้ชิดกับธรรมเรื่อยไป ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนไม่ค่อยสนใจเพราะเราไม่เคยสัมผัสรสของอรรถของธรรม พอสัมผัสเข้าไปแล้วท่านจึงบอกว่ารสแห่งธรรมชำนะซึ่งรสทั้งปวง นั่นฟังซิ เมื่อไม่ได้สัมผัสก็ประหนึ่งว่าเป็นข้าศึกต่อเรา ไม่อยากเกี่ยวข้องกับธรรม กิเลสเห็นว่าเป็นมิตรเป็นสหาย นั้นแลคือตัวมหาภัย เวลาจิตสัมผัสในอรรถในธรรมมากน้อยแล้วจิตจะดูดดื่มราบรื่นดีงาม ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ ไม่ได้ทำบุญให้ทานวันหนึ่ง ๆ อยู่ไม่ได้
ยิ่งการเจริญเมตตาภาวนาจิตได้สัมผัสสัมพันธ์เข้าไปเรื่อย ๆ แล้วความเพียรเด็ดเข้าไปๆ เด็ดเพื่อพ้นทุกข์ ๆ เราต้องฟังเสียงศาสดา ยากลำบากขนาดไหนถ้าศาสดาว่าถูกต้องดีงามแล้วเอาเลย กิเลสมันหลอกว่าอันนั้นดี อันนี้ดี นั่นให้ระวังให้ดี อันนี้จำให้ดีพี่น้องทั้งหลาย นี่หลวงตาจวนจะตายแล้วบอกตรง ๆ นะ หลวงตาเปิดอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ปฏิบัติมามากน้อย หายสงสัยในพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และธรรมอันเลิศเลอของพระพุทธเจ้ามาบรรจุอยู่ในใจนี้หมด กระเทือนถึงกันหมดเลย
ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหมคำพูดอย่างนี้ หรือหลวงตาบัวมาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ ปฏิบัติมาแทบล้มแทบตาย บางครั้งถึงขั้นจะสลบไสลก็มีเพราะแสวงหาความดี แล้วเมื่อสู้ไม่ถอย ๆ ความดีก็เด่นขึ้น ๆ จนกระทั่งได้เปิดขึ้นในหัวใจ ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังนี้ละ ท่านทั้งหลายยังให้กิเลสเข้ามาแอบกระซิบอยู่เหรอว่านี่ท่านพูดโอ้พูดอวด นี่คือตัวกิเลสตัวกระซิบท่านทั้งหลาย มันจะลากลงนรกนะ ธรรมพระพุทธเจ้าที่ประกาศอยู่เวลานี้ให้ฟังให้ดี ดึงขึ้นมันไม่ยอมฟังเสียง กิเลสจะดึงลงโดยถ่ายเดียว เราไม่ได้ห่วงใยชีวิตของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวของเราเราหมดความห่วงใยทั้งนั้น อยู่ไป ๆ นี้ก็เพื่อประโยชน์แก่โลก บำบัดบรรเทาร่างกายด้วยสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อโลกเท่านั้น เราไม่มีอะไรบำบัดเรา
จิตใจก็สมบูรณ์เต็มที่ถึงขั้นเลิศเลอแล้ว ร่างกายก็รู้มันแล้ว อ่านมันจบมาได้ ๕๐ กว่าปีนี้แล้ว หมดปัญหากับมัน เยียวยารักษาไว้เพียงได้ทำประโยชน์ให้โลกในวันหนึ่ง ๆ ไปเท่านั้น เราไม่ได้หวังอะไรกับโลก หวังประโยชน์แก่โลกเท่านั้น ธาตุขันธ์ของเราเราไม่มีอะไรกับมันแล้ว นี่ละฟังซิปฏิบัติธรรม เรียนธรรม เมื่อจบแล้วหายสงสัยหมด ศาสดาจบหายสงสัยสอนโลก สาวกทั้งหลายเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา นี่คือการปฏิบัติดีหายสงสัยๆ แต่เรื่องของกิเลสนี้ไม่มีคำว่าหายสงสัย มีแต่มัดเข้าไปๆ อันนั้นก็สงสัย อันนี้ก็อยากได้ มัดเข้าไปเรื่อย ๆ
นี่คือกิเลสจำให้ดี มันเป็นคู่เคียงกัน เป็นข้าศึกศัตรูกันมากับธรรมตลอดตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดจนกระทั่งบัดนี้ ยังจะมีอีกต่อไป ถ้าไม่เชื่อธรรมแล้วก็จะจมไปกับมันตลอดไป ถ้าเชื่อธรรมแล้วมีวันมีหวัง อะไรก็ตามถ้าเรามีความดีแล้วมีหวังทั้งนั้นแหละ ถ้าผู้ไม่มีความดีนี้ไม่มีหวัง หวังเท่าไรก็ไม่เกิดประโยชน์ตามความหวัง มันจะเกิดเรื่องตรงกันข้ามๆ นี่ได้อุตส่าห์พยายาม จวนตายเท่าไรยิ่งเร่งอรรถเร่งธรรม สอนโลกสอนทุกขั้นทุกภูมิของธรรมโดยไม่สงสัย ถอดออกไปจากหัวใจไปสอนเลย เราพูดให้เต็มอกของเราเพราะจวนจะตายแล้ว ตายแล้วใครจะแช่งก็ตามเถอะ ขอให้ท่านทั้งหลายได้เป็นคนดี
หลวงตาบัวถูกแช่งไม่เสียหาย ขอให้ท่านทั้งหลายเป็นคนดีก็แล้วกัน เราอยากให้โลกเป็นคนดี เรานี่จะถูกแช่งก็ตามเถอะ หลวงตาบัวชินแล้วกับเรื่องความสรรเสริญ ความนินทา ไม่มีสงสัยแล้ว หลวงตาบัวจึงไม่ได้ติดอยู่กับความสรรเสริญก็ไม่ติด ใครนินทากาเลอะไรก็ไม่ติด รู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบไปหมดแล้วในหัวใจ นี่ละการเรียนธรรม การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้ามาโกหกโลกเหรอให้ท่านทั้งหลายฟัง ให้มันเข้าถึงหัวใจเถอะน่ะ ธรรมเมื่อเข้าถึงหัวใจแล้วจะเริ่มกระเทือนไปถึงพระพุทธเจ้าและธรรมทั้งหลาย
พอเข้าถึงหัวใจเต็มที่แล้วหายสงสัยในพระพุทธเจ้า มรรค ผล นิพพาน ทุกอย่างหายสงสัย จ้าอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้วจะไปหาสงสัยที่ไหนอีก จำให้ดีนะ ตายแล้วจะไม่เกิดประโยชน์อะไร เวลานี้เป็นเวลาที่เราจะคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาความดีงามใส่ตัวของเรา ซึ่งเราเองเป็นผู้รับผิดชอบเรา เราอย่าหวังว่าอะไรจะมารับผิดชอบเรานะ ทุกคนตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบตัวเอง ไปดี ไปชั่ว ไปสุข ไปทุกข์ ตัวเองเป็นผู้จะรับผลทั้งนั้นแหละ จำให้ดี เอาละให้พร
หลังจังหัน
ไปไหนมาไหนนี่เราต้องปิดม่านรถนะ มันเหมือนผู้ต้องหาคนหนึ่ง เขายินดีเคารพนับถือแทนที่จะดีใจ กลับเป็นเหมือนผู้ต้องหาไป ต้องปิดไม่ให้ใครเห็นเลย ไปไหนไม่ให้เห็นนะ สั่งอยู่ภายในรถ มีอะไร ๆ สั่งอยู่ภายในรถ เห็นแต่พวกนั้นเขาวิ่งขวักไขว่ คำสั่งออกไปจากนี้ สั่งออกไป เขาวิ่งขวักไขว่ ในรถไม่เห็น ปิดอย่างสนิทไม่ให้เห็นเลย เห็นไม่ได้รุมเลย เลยกลายเป็นผู้ต้องหาด้วยความระเวียงระแวงอะไรไปอย่างงั้น แทนที่จะดีอกดีใจตามที่เขายินดี เขานับถือ กลับตรงกันข้าม
ออกมาจากกุฏิก็ออกมาไม่ได้กลางวัน มันเห็นไม่ได้นะรุมเลย ครั้นจำเป็นถึงค่อยด้อมออกมา ไม่ออกก็ไม่ได้ งานเหล่านี้อยู่กับเราอีกแหละ นั่นละต้องได้ออก ไปดูนั้นดูนี้ สั่งนั้นสั่งนี้ แม้เช่นนั้นยังผิดยังพลาดได้ว่ากันอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นศาสดาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์โลก เวลาตรัสรู้แล้วก็สั่งสอนสัตว์โลกทั้งสามโลก เรียกว่าไตรภพ สามโลก กามรูป รูปโลก อรูปโลก แม้เช่นนั้นพระองค์ยังรับสั่งออกมา คือพระท่านพูดถึงเรื่องที่สงัด มาเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลถึงเรื่องความสงัดที่ท่านไปพักอยู่ ว่าเป็นที่สะดวกสบายในอิริยาบถทั้งสี่ ยืนธรรมก็เกิด เดินธรรมก็เกิด นอนธรรมก็เกิด ว่างั้น คือไม่มีอะไรเข้ามายุ่ง ธรรมนี้ออกทำหน้าที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
พอพระท่านทูลอย่างนั้นแล้ว เออ ถูกต้องแล้ว แม้แต่เราเป็นศาสดาสอนโลก เวลาใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้คน ชั่วระยะถ่ายหนักหรือถ่ายเบาเท่านั้นเราก็สบาย นั่นฟังซิ คือนอกนั้นเป็นยังไง ยุ่ง เข้าใจไหม ท่านก็บอก ที่เธออยู่อย่างนั้นเหมาะสมแล้ว ท่านทรงส่งเสริม ผู้จะเห็นภัยต้องหาที่ส่งเสริม คือที่สงบสงัดกับการพิจารณาเพื่อเห็นภัยในกิเลสมันก็คล่องตัว เวลาสงัด ๆ มันก็ไม่ลืมนะเรา เราอยู่สงัดจริง ๆ แล้วบนหลังเขาด้วย สูง ๆ มองไปที่ไหนอากาศ โหย ปลอดโปร่ง ละเอียด อากาศบนหลังเขาโล่ง ๆ กับอากาศธรรมดาผิดกันมากนะ
อากาศบนหลังเขาที่โล่ง ๆ เพราะมันอยู่สูง มองไปที่ไหนมันโล่งไปหมด อากาศรู้สึกว่ายิ่งละเอียดเข้าไปอีก เวลานั่งอยู่เฉย ๆ นั่งเงียบ ๆ นี่หัวใจทำงานนะ มันทำงานตุบตับ ๆ ใครก็ได้ยินไม่ใช่เหรอหัวใจทำงาน นี่มันทำงานตุบตับ ๆ ได้ยินเสียงหมากหัวใจทำงาน เพราะสิ่งภายนอกสงัดหมด เราได้ฟังเสียง อ๋อ หมากหัวใจเขาทำงานอย่างนี้เอง ตุบตับ ๆ เป็นประจำ เวลาเราจะนั่งภาวนาทีแรกก็เหมือนกัน หัวใจทำงานตุบตับๆ ทีนี้พอเราเริ่มงานภาวนาเข้าเสียงตุบตับก็ค่อยจางไป ๆ จิตมันจ่อในอรรถในธรรมก็เลยหายเลย ดีไม่ดีหายหมดทั้งตัวก็มี นั่น คือความละเอียดของจิต
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาท่านก็ยัง ถ้าพูดภาษาของเราท่านยังรำคาญ ยุ่งตลอด ท่านอยู่ลำพังเพียงชั่วระยะเท่านั้นแหละ ถ่ายหนักถ่ายเบาเท่านั้นละ ท่านสบายท่านว่า แต่ก็เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าจำต้องทำหน้าที่ เพราะทำหน้าที่ ท่านแสดงไว้ในพุทธกิจงานของพระพุทธเจ้าที่ใครทำแทนไม่ได้ มีอยู่ ๕ ประการ ตอนบ่ายสี่โมงเย็น ตอนค่ำลงไปสอนประชาชน นับแต่พระราชามหากษัตริย์ลงมา จากนั้นพอมืด เริ่มมืดแล้วประทานพระโอวาทให้พระสงฆ์ นับแต่พระอริยบุคคลลงมาถึงกัลยาณปุถุชน พอเที่ยงคืนท่านจะว่าง ถ้าจะพูดอย่างตอนนี้แล้วเหมือนพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงพักผ่อนเลยแหละ
พอเที่ยงคืน ท่านกะเอาประมาณเที่ยงคืนก็โปรดเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ทุกชั้น รวมแล้วว่าโปรดพวกทวยเทพ นี่รวมหมดทั้งสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ตลอดพรหมโลกทุกชั้นรวมแล้วเรียกว่าโปรดทวยเทพ เทวบุตร เทวดา นี่ก็เป็นวาระหนึ่ง ทางนู้นถามปัญหาเทศนาว่าการเกี่ยวกับพวกเทพทั้งหลาย นี่งานประจำพระพุทธเจ้า พอปัจฉิมยามนี้ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ใครมีอุปนิสัยปัจจัยยังไงมากน้อยเพียงไร หรือจะถึงแก่ชีวิตอย่างรวดเร็ว พระองค์ก็ทรงเล็งญาณดู นั่นละที่ได้เห็นพระอังคุลิมาล อังคุลิมาลมีอุปนิสัยจะเป็นพระอรหันต์ แต่วันพรุ่งนี้จะฆ่าแม่ตัวเอง ซึ่งเหมือนกับว่าถอนรากต้นไม้ขึ้นทั้งรากแก้วรากฝอยหมดเลย อุปนิสัยปัจจัยที่จะเป็นพระอรหันต์ พอฆ่าแม่เท่านั้นขาดสะบั้นแล้วก็จมลงในนรกเลย
พอทรงเล็งญาณดู โอ๋ย ตายยังไงนี่ นี่ที่ว่าอย่างรีบด่วน วันพรุ่งนี้เช้าอังคุลิมาลเพราะฆ่าคนจะเอาเล็บมือหนึ่งพันเล็บ คือฆ่าได้คนหนึ่งเอาเล็บมาแขวนคอนี้ไว้หนึ่งเล็บ ฆ่าสองคนได้สองเล็บ สามคน จนกระทั่งถึงสิบ ถึงพันคน ได้พันเล็บ ท่านก็เจตนามุ่งอย่างนี้ ท่านไม่ได้คิดว่าเป็นบาปเป็นกรรม คิดตั้งแต่เรื่องจะเอาเล็บไป ได้เล็บมาครบพันแล้วก็จะไปเรียนวิชากับอาจารย์ ที่สั่งให้ไปฆ่าคนถึงพันคนแล้วกลับมาจะประสิทธิ์ประสาทวิชาที่เลิศเลอให้ เชื่ออันนั้นจึงไปฆ่าคน
แล้ววันพรุ่งนี้เช้าก็จะเป็นพันเล็บกับฆ่าแม่ตน นั่นละเอาเล็บมือจากนั้นมา โอ๋ตายนี่ แม่ก็จะตาย พระอังคุลิมาลก็จะทำอนันตริยกรรมอย่างหนัก ตัดอุปนิสัยของพระอรหันต์ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้วก็ลงนรก เป็นอนันตริยกรรม กรรมที่หนักมากแทนอรหันต์ จากนั้นก็เสด็จไปโปรดเลย นี่ละอย่างนั้นที่ว่าเล็งญาณดูสัตวโลก ผู้มีอุปนิสัยมีอยู่ทั่ว ๆ ไป แม้ไม่มีมากก็มี ปิดไม่อยู่ ถ้ารายใดที่มีความจำเป็นจะต้องรีบด่วนพระองค์ก็เสด็จรีบด่วน อย่างที่ว่าอังคุลิมาล จึงไปโปรดอังคุลิมาลได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว พอดีก็แม่เข้ามา นั่นเห็นไหมล่ะ ผ่านพ้นกันหวุดหวิดเลย เป็นพระอรหันต์เรียบร้อยแล้วแม่ก็มา ถ้าไม่อย่างงั้นแม่จะเป็นเล็บที่พัน
อังคุลิมาลอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ที่ได้บรรลุแล้วนั่นน่ะ ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า บรรลุอรหันต์แล้วนะก็จะขาดสะบั้นลงไปทันที อนันตริยกรรมกรรมที่หนักสุดยอดก็จะเข้ามาแทนที่ เพราะฆ่ามารดาแล้วก็ลงนรก นี่ที่ว่าท่านเล็งญาณ พอตอนเช้าก็เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ เขาได้เห็น ได้ยินได้ฟังพระองค์รับสั่งแม้ประโยคเดียวก็เป็นมหามงคล ๆ ตาก็เป็นมหามงคลในขณะนั้น ซาบซึ้งถึงจิตใจของแต่ละราย ๆ ที่ได้เห็นได้ยินอย่างมาก นี่เสด็จออกบิณฑบาตตอนเช้า งานของพระพุทธเจ้าเรียกว่าไม่มีเวลาว่างเลย ถ้าจะฟังตามนี้แล้วก็เรียกว่าพระองค์ ภาษาของเราเรียกว่าไม่ได้นอนเลย
ทีนี้ก็มีอันหนึ่งขึ้นรับ คนทั้งหลายเขาโจษจันกันว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงสีหไสยาสน์ ไม่ทรงนอน เขายกเอาพุทธกิจห้าประการเรียงลำดับกัน นี่ท่านนอนเวลาไหน เถียงกันแหละในวงชาวพุทธ ก็มีธรรมบทหนึ่งที่รับกันไว้ออกมาแทนกัน คือพระพุทธเจ้าทรงมียมกปาฏิหาริย์ เวลาพระองค์จะเสด็จ เช่นว่าประทับนอนภาษาเรา สีหไสยาสน์ นอน ก็ให้เดินจงกรมแทน หรือเทศนาว่าการนี้ก็ให้เทศนาว่าการรูปนี้พระองค์ไปแทน พระองค์ก็ทรงพักผ่อนได้ตามเวลาที่ต้องการ แน่ะ มันก็มารับกันตรงนี้
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงนอนได้เหมือนโลกทั่วๆ ไป เพราะท่านมีสิ่งที่ทำแทนท่าน เดินจงกรมแทนก็ได้ เทศนาสอนคนแทนก็ได้ อะไรก็ได้ พระองค์ทรงบรรทมได้ เป็นอย่างงั้น เรื่องพุทธกิจห้าถึงล้มไป เพราะมีประโยคยมกปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าออกรับแทน พระองค์ก็นอนได้ว่างั้นเลย ถ้าไม่มีแล้วเขาก็โจมตี พระพุทธเจ้าไม่ได้นอนตั้งแต่ตรัสรู้จนนิพพาน แต่เมื่อมีอันนี้แล้วก็นอนได้
นี่ท่านพูดชมเชยเรื่องความสงบสงัด ที่จะกำจัดกิเลสตัวลามกพะรุงพะรัง ชอบเพลิดชอบเพลิน ชอบดิ้นชอบดีดทั้งวันทั้งคืนให้มันสงบตัวลง เพื่อจิตใจจะได้เย็นสบาย ท่านจึงสอนพระให้อยู่ในป่าในเขา เป็นพื้นเพของพระในครั้งพุทธกาลมีมาก เป็นพื้นเพเลย จากนั้นก็จางมาๆ แต่วัดนั้นวัดบ้านก็มี วัดป่าก็มี อรัญญวาสี คามวาสี ผู้อยู่ในแดนบ้าน ใกล้บ้าน หรืออยู่ในกลางบ้านก็แล้วแต่เถอะคำว่าแดนบ้าน คามวาสี คืออยู่แดนบ้าน หรืออยู่ในกลางบ้านก็อาจเป็นได้ เพราะว่ากลางๆ อรัญญวาสีนี้อยู่ในป่า คำว่าในป่าท่านกำหนดเอา ๑ กิโล เขตความยาว ๑ กิโล ที่ตั้งวัดนี้ห่างจากหมู่บ้านไป ๑ กิโล ท่านเรียกว่าอรัญญวาสี คือวัดป่า ถ้าสั้นกว่านั้นเข้าไป ถึงไม่ติดบ้านก็ตาม สั้นกว่านั้นเข้าไปท่านให้นามว่า เป็นคามวาสี ไป พวกอรัญญวาสีต้องเป็นสถานที่ตั้งแต่กิโลหนึ่งไป ไกลกว่านั้นไป ถ้าขาดนั้นไปแล้วก็เป็นแดนบ้านไป ท่านพูดกลางๆ ไว้อย่างนั้น
เดี๋ยวนี้ชาวพุทธเรานี้แหละจะไม่มีใครกล่าวถึงเลย เรื่องมรรคเรื่องผล นิพพาน โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ซึ่งเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้า เวลานี้จะไม่มีใครพูดถึง พูดก็ไม่เชื่อกัน หัวเราะเยาะเย้ยกัน มันตลาดแห่งมูตรแห่งคูถขึ้นมาแทน ตลาดกิเลสคือความสกปรก ไม่มีอะไรเกินกิเลส มันขึ้นมาแทนความสะอาดสุดยอดของธรรม เพราะฉะนั้นการพูดถึงเรื่องมรรคเรื่องผลจึงไม่มีใครอยากฟังกัน ไม่เชื่อ เพราะเห็นกิเลสเป็นทองคำทั้งแท่ง กองมูตรกองคูถกองส้วมกองถานเป็นทองคำทั้งแท่งขึ้นมา เหยียบทองคำทั้งแท่งลงไปจมอยู่ใต้ดิน คือธรรมพระพุทธเจ้าลงไปจมอยู่ใต้ดิน กิเลสเหยียบขึ้นมา เพราะฉะนั้นโลกจึงมีตั้งแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนหากระแสของธรรมยิบแย็บออกมาไม่ได้นะ มีตั้งแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมือง และนิยมชมชอบกันทั่วโลก
เมื่อต่างคนต่างนิยมแล้ว ยกมูตรคูถขึ้นทูนหัวเจ้าของ เทินหัวเจ้าของแล้ว อะไรก็เข้ามาแตะไม่ได้ มองดูมีแต่มูตรแต่คูถเต็มตัวก็พอใจ นี่โลกเวลาหนาด้วยกิเลสมันพอใจในสิ่งที่สกปรก ทางเดินเพื่อความทุกข์ความทรมานไปเรื่อยๆ แต่ธรรมเดินเพื่อความสงบร่มเย็นอย่างนี้จะไม่มีนะ เวลานี้พูดถึงอรรถถึงธรรม มรรคผลนิพพาน เชื่อกันไหมล่ะ แม้แต่พระหัวโล้นๆ ไม่ว่าเขาว่าเรามันก็ไม่เชื่อ ถ้าสิ่งที่จะเป็นข้าศึกต่อศาสนาต่ออรรถต่อธรรมนั้นชอบกันทั้งฆราวาสทั้งพระ ชอบทำกันเหลือเกิน เพราะฉะนั้นศาสนาถ้าพูดตามสัดตามส่วนแล้วจึงเรียกว่าศาสนาเป็นผู้เดือดร้อน พวกนั้นเป็นผู้ทับถมโจมตี พวกกิเลสพวกส้วมพวกถานทับถมโจมตีศาสนา ศาสนาจึงเป็นผู้ได้รับความกระทบกระเทือนและเดือดร้อน ได้รับความตำหนิติฉินนินทาดูถูกเหยียดหยามตลอดไปจากกิเลสที่มีอยู่ในหัวใจสัตว์โลก ซึ่งไม่สนใจกับธรรม และเห็นธรรมเป็นข้าศึกแก่ตัวทั่วโลกดินแดน โจมตีธรรม
ดูหัวใจเรา ดูหัวใจคนอื่นจะมองโน้นมองนี้ ดูหัวใจเรามันมีแต่คิดเรื่องกิเลสทับถมธรรม ธรรมคิดแย็บๆ ไม่ได้ รำคาญไม่อยากคิด ถ้าคิดเรื่องกิเลสลากไปอย่างนั้น โอ๋ย เพลินไป นี่ละดูเอาหัวใจเรา เราพูดส่วนกว้างเข้ามาหาแต่ละคนๆ เพื่อจะได้คิดอ่านไตร่ตรองนำไปปฏิบัติ เพื่อจะได้กำจัดมันบ้าง ไม่งั้นจะจมไปทั้งเขาทั้งเรา จะไม่มีอะไรเป็นของดีติดเนื้อติดตัวไปเลยละ กิเลสจะเข้าไปตีเป็นแนวหน้าๆ ไม่รู้นะว่ากิเลสเข้าไปเป็นแนวหน้า ในวัดในวาในพระในเณร เฉพาะอย่างยิ่งเข้าในวงพระปฏิบัติ มันเข้าได้หมด
เรื่องกิเลสนี่แหลมคมมาก ออกหน้าออกตาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว คือวัตถุออกหน้า พอเริ่มจะไปพักที่ไหนเริ่มยุ่งขึ้นมาแล้ว สร้างนั้นสร้างนี้ สร้างจิตใจไม่สร้างไปสร้างข้างนอก ไม่สนใจกับใจกับธรรมในใจเลย สนใจแต่ภายนอกอันเป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องของความลืมเนื้อลืมตัว เป็นเรื่องความวุ่นวาย การสร้างนั้นสร้างนี้ไม่วุ่นวายได้ยังไง เพียงแต่เราไปพัก ทั้งๆ ที่เราก็ไปเดินจงกรมภาวนาในป่าก็ต้องมีที่พักตามสภาพ เช่น ทำแคร่ แน่ะ ทำกระต๊อบเล็กๆ พอได้อาศัย ถ้าทำยังไม่เสร็จก็ต้องเป็นกังวลอยู่กับการทำกระต๊อบใช่ไหมล่ะ นั่นละความกังวลคือกิเลส มันแบ่งอรรถแบ่งธรรมคือความสงบเงียบ สติปัญญาออกไปใช้ทางนู้นหมด ความเพียรก็เลยไม่มี จนกว่าว่ากระต๊อบเสร็จ ร้านเสร็จแล้ว เอาละที่นี่ได้เดิน นี่มันก็ยังไปแทรกเอาจนได้
ยิ่งนอกจากนี้ไปแล้ว เรียกว่ากิเลสนำหน้ากันทั้งนั้นแหละ เราเอาวงปฏิบัติที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การสร้างกระต๊อบพอให้ได้อยู่เท่านั้นยังต้องเป็นการกังวล เพราะจิตใจมุ่งต่อธรรม มันกังวลกับเรื่องอะไรก็รู้ เรื่องงานนี่รบกวน นั่น จึงรีบทำให้เสร็จจะได้ทำความเพียร นี่พอรู้ตัวอยู่บ้างอย่างนี้นะ ว่างานนี่รบกวน โอ๋ สร้างกระต๊อบเล็กๆ นี่ก็รบกวน ไอ้ผู้ที่ทำมากกว่านั้นมันไม่ได้สนใจกับว่ารบกวนไม่รบกวน ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ เป็นบ้าไปเลยนี่เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร เวลานี้ศาสนามีแต่อย่างนี้ออกมา ศาสนาแท้จะอยู่ด้วยความผาสุกเย็นใจเพื่อชำระกิเลสนี้มีน้อยมากทีเดียว ไปที่ไหนก็เป็นอย่างนั้น
พากันเข้าใจไหมล่ะที่พูดอย่างนี้ ว่าศาสนาแท้เป็นยังไง ศาสนาที่กิเลสเข้ามาปลอมแปลง เป็นเจ้าใหญ่นายโตบนศาสนาคืออะไร ดูเอาซิ หรูหราฟู่ฟ่าทุกอย่าง ข้างนอกตกแต่งให้สดสวยงดงาม หรูหราฟู่ฟ่า มิหนำซ้ำยังเอาลายครามลายแครมมาเกาะมาแขวนไว้ตามนี้ เป็นเครื่องประดับ ต้นไม้ประดับตกแต่งหน้ากุฏิให้สวยให้งาม ดูซิน่ะรู้เนื้อรู้ตัวไหมพวกหน้าด้านว่างั้นเลย อย่างนั้นถูก ถ้าให้ธรรมว่า พวกหน้าด้าน ท่านบวชมาหาลายคราม บวชมาหาต้นไม้ดอกไม้มาประดับกุฏิเหรอ ท่านหาธรรมมาประดับใจต่างหาก หาธรรมประดับใจหายังไง หาด้วยความเพียรซิ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม กำจัดสิ่งรกรุงรังภายนอกออกหมด ไม่ไปยุ่งกับภายนอก หมุนเข้ามาหาภายใน ชำระภายใน
จิตใจสว่างไสว อะไรจะรกรุงรังช่างหัวมันซี จะเป็นอะไรไป ขอให้ใจสว่างแล้วไม่สร้างทุกข์ขึ้นมา ถ้าใจมืดตื้อแล้ว สิ่งใดจะหรูหราขนาดไหนไม่มีความหมายนะ หัวใจโลกถ้าพูดตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนโลกแล้ว อยู่กับธรรม ถ้าธรรมมีในใจ จะเป็นชาวบ้านชาวเมืองก็รู้จักประมาณ ไม่ดีดดิ้นจนเป็นบ้าไปเลย ถ้ายิ่งเป็นพระด้วยแล้วก็ยิ่งรู้จักเข้มงวดกวดขันแก่ตัวเองมากขึ้นๆ นี่ละที่ว่าเรื่องกิเลสมันเข้าเหยียบย่ำทำลายธรรม เหยียบอย่างนี้เองดูเอา จากนั้นก็พูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพาน ไม่เชื่อ หัวเราะเยาะเย้ย ไปอย่างนั้นนะ แล้วก็เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็สอนเพื่อมรรคผลนิพพานแก่สัตว์โลก ถ้าว่าเราเป็นชาวพุทธ ไปดูถูก ไปหัวเราะเรื่องมรรคผลนิพพานอะไร ถ้าไม่ใช่หัวเราะพระพุทธเจ้า ยกตัว หยิ่ง เก่งกว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นก็ไม่มีอย่างอื่นที่จะพูด เข้าใจไหมล่ะ นี่ละมันเป็นอย่างนั้น
จึงว่า โธ้ หนักใจเหมือนกันนะ มองดูนี้เหมือนคนๆ หนึ่ง จะไปแบกภูเขาทั้งลูกใครจะแบกได้ คนๆ หนึ่งแล้วจะแบกสัตว์โลกที่มืดตื้อยิ่งกว่าภูเขาจะแบกไหวเหรอ จะไม่อ่อนใจได้ยังไง พระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังท้อพระทัย ก็เพราะแบกภูเขาทั้งลูกนั่นเอง มันหนามันแน่นมันมาก ภาระ ความหนาแน่น ความมืดตื้อของสัตว์โลกมันหนักมากเกินกว่าที่จะแบก ไม่หวาดไม่ไหว ถึงกับท้อพระทัย ทีนี้แบกกิเลสกับใจตัวเองอีก เอาอีก ย่นเข้ามาซิ กิเลสมันหนากว่าธรรม หนักกว่าธรรม แบกเท่าไรก็ล้มใส่หมอนตูมตามๆ คือแบกกิเลส สู้กิเลสไม่ได้ กิเลสจับคอยัดใส่หมอน หมอนแตกตุบตับๆ อยู่ทุกแห่งทุกหน หมอนแตก เสื่อขาด เห็นไหมกิเลสมันจับยัดลงนั้น นั่นน่ะสู้กิเลสไม่ได้ หนาไหมกิเลส เราอย่าว่ากิเลสภูเขาทั้งลูก ดูตัวเรานี่มันใหญ่กว่าภูเขาทั้งลูกเสียอีกกิเลสของเรา ให้ย่นเข้ามาซิ ให้แก้ตัวนี้
พอตัวนี้ว่างแล้วจะมีร้อยภูเขาก็ช่างหัวมันซี เราไม่ได้แบกมันเหมือนแบกกิเลสนี่นะ พอฟัดกิเลสให้ขาดสะบั้นจากใจแล้วโล่งไปหมด ไม่ได้แบกอะไร อยู่ไหนอยู่ได้สบาย ไม่ได้มีอะไรเป็นกังวล ซุกหัวนอนในร่มไม้ก็สบาย อยู่ที่ไหนสบาย ได้น้ำพริกมาจิ้มสักคำสองคำก็สบาย วันหนึ่งๆ ฉันพอยังชีวิต เพราะอันนี้เพียงเยียวยาชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่งๆ สิ่งที่เลิศเลออยู่ในหัวใจ อย่างพระท่านอดอาหาร ท้องแห้ง เพลียในธาตุในขันธ์ อดอาหารท้องแห้ง ดังที่เราเคยพูดให้ลูกศิษย์ฟัง อดอาหารไปบิณฑบาตไม่ถึงหมู่บ้านเขา ไปถึงกลางทางก้าวไม่ออก ทั้งๆ ที่กำหนดแล้วว่าพอจะถึงบ้านเขาวันพรุ่งนี้ เอ้า ไป มันยังไม่ถึง นี่เวลามันเพลีย ท้องแห้ง อ่อนแรง ขาก้าวไม่ออก นี่ทางธาตุขันธ์แห้งไปทุกอย่าง แต่ทางจิตใจชุ่มเย็นเต็มตื้นด้วยอรรถด้วยธรรม นั่นมันต่างกันนะ ท้องแห้งแต่จิตใจเต็มด้วยอรรถด้วยธรรม ท้องเต็มแต่ใจแห้งผากจากธรรม ใช้ไม่ได้ ยิ่งกว่าหมู เข้าใจไหม พากันจำเอานะ
เพราะฉะนั้นท่านถึงได้อดอาหาร ด้วยวิธีการของท่านที่เห็นว่าถูกต้องแบบไหน ทุกข์ก็ทนเอา เช่น อดนอนมีกำลังใจทางด้านภาวนาได้ผลได้ประโยชน์ ท่านก็มักจะอดนอนเรื่อยๆ นอนน้อยมาก ผู้ที่ได้ผลทางการอดนอน ผู้ได้ผลทางผ่อนอาหารหรืออดอาหารท่านมักจะอด เพราะได้ผล การภาวนาสะดวกๆ นี่ละท่านถึงยอมทุกข์ ใครจะไม่ทุกข์ ตื่นขึ้นมามันอยากแล้วนี่นะ พูดถึงเวล่ำเวลามันอยากตั้งแต่ตื่นนอน บังคับไม่ให้มันกิน จะเอาธรรม เอาธรรมให้มันกิน เพราะฉะนั้นท่านถึงฝืน ท่านที่อดอยู่นั้นไม่ใช่ท่านไม่เป็นทุกข์ ท่านเป็นทุกข์เหมือนกัน ใครจะอยากอด ความอดมันก็เป็นทุกข์ แต่เรื่องธรรมอยู่ฟากอดไปอีก นั่น ท่านก็ทนเอาๆ นี่ละที่พระส่วนมากท่านไม่ค่อยฉัน คือการอดอาหารภาวนาดี ไม่ใช่ว่าอดอาหารเพื่อตรัสรู้ธรรม อดอาหารเพื่อเป็นอุปกรณ์แก่การภาวนา แล้วตรัสรู้ธรรมขึ้นมาได้ นั่น ไม่ใช่อดอาหารหรือการอดนอนเป็นการตรัสรู้ธรรม อันนั้นเป็นอุปกรณ์คือความสะดวกในการดำเนินความพากเพียรต่างหาก ให้พากันจำเอาไว้นะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นละนะ
เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๒ กิโล ดอลลาร์ได้ ๑,๐๒๐ ดอลล์ ต่อไปนี้จะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |