สติขาด กิเลสแทรก
วันที่ 15 กันยายน 2546 เวลา 8:30 น. ความยาว 35.57 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

สติขาด กิเลสแทรก

 

         อะไรทางนู้นที่เขาว่าจะส่งหรือโอนอะไรมา ทางเมืองนอกนะ เขาขออนุญาตจากเรา (.เขาทำเป็นมูลนิธิของหลวงตา เวลาทอดผ้าป่าได้เขาส่งมาทีเดียวเลย โดนหักน้อยจตุปัจจัยไทยทานนี่นะฮะ ถ้าต่างคนต่างส่งมานี่โดนหักมาก เขาเลยขออนุญาตหลวงตาว่าตั้งเป็นมูลนิธิทางด้านเมืองนอกนู่น ส่วนใหญ่ก็ฟังจากหลวงตาเทศน์ทางอินเตอร์เน็ตเขาได้ประโยชน์ เขาก็ส่งเงินเป็นดอลลาร์มาทำบุญ ตอนนี้เขาขออนุญาตหลวงตาไว้ว่าจะจัดทอดผ้าป่าอีกแต่ยังไม่กำหนดวันเวลาที่แน่นอน ส่วนพระแล้วแต่หลวงตาพิจารณาจะส่งองค์ไหนไปครับ ทำแบบคราวที่แล้วครับ เวลาตอนเช้าทอดผ้าป่าให้หลวงตาเทศน์ออกทางอินเตอร์เน็ตสด ๆ ไปด้วยครับ) เวลาเขาทอดผ้าป่าให้เราเทศน์ทางอินเตอร์เน็ตด้วย

         เราสงสารจริง ๆ นะจิตใจที่จะหาที่ยึดที่เกาะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ อยากจะพูดว่าทั่วโลกเลย ดิ้นดีดเหมือนกับสัตว์หรือคนตกน้ำในมหาสมุทร น้ำมหาสมุทรกว้างขนาดไหน สัตว์ที่ตกเกลื่อน ไม่มีใครพึ่งใครได้ จะเกาะฝั่งเกาะฝาที่ไหนก็ไม่มี ดิ้นดีดกันอยู่อย่างงั้น ไม่ดิ้นก็จะตาย ประหนึ่งว่าบรรเทาเล็กน้อย พอถึงขณะลมหายใจขาดตายไป นี่ละจิตไม่มีที่ยึดที่เกาะเป็นอย่างนั้นนะจิตดวงนี้แหละ ถึงได้สอนพี่น้องทั้งหลายให้หาที่ยึดที่เกาะ คนที่ตกน้ำ คิดดูซิซากผีนี่เคยกลัวมาแต่ไหนแต่ไร เวลาจำเป็นจริง ๆ ซากผีผ่านมามันก็เกาะพอได้ประทังชีวิต แม้จะกลัวมันก็เกาะ เพราะกลัวตายนั้นมากกว่ากลัวผี เลยต้องอาศัยซากผีเกาะพอประทัง

         มันเป็นจริง ๆ นะจิต คือมันไขว่มันคว้าหาที่ยึดที่เกาะ แต่ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ส่วนมากมีแต่ฟืนแต่ไฟ เกาะตรงไหนก็เป็นฟืนเป็นไฟ อันนี้ไฟประเภทหนึ่ง อันนั้นไฟประเภทหนึ่ง รวมแล้วเป็นกองทุกข์อันเดียวกัน มันเกาะขนาดนั้นนะ ขอให้จับ ขอให้ลองทำดู ให้จิตเกาะธรรมนี่ปั๊บติดมับเลยเพราะไขว่คว้ามานานแล้ว เกาะติดปั๊บเลย พยุงกันไปเรื่อย ธรรมพยุง นอกนั้นดึงลงเพื่อจมลงไปเท่านั้น นี่เราสลดสังเวชนะ มันอดไม่ได้บอกแล้ว ไม่ให้รู้มันก็รู้จะว่าไง หรือจะเอาไม้ไล่ตีเอาอย่างงั้นเหรอ สอนแต่ปากมันก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราว ทั้งๆ ที่จะจมอยู่ด้วยกันถ้าไม่มีที่ยึด เพราะฉะนั้นจึงว่าให้สร้างเสียนะ

         เวลาจะเป็นจะตายจริง ๆ จิตจะไขว่คว้าหาที่เกาะที่ยึด ความดีจะเข้าทันที เกาะปั๊บติดเลย ไปเลย ความชั่วมันรุมอยู่แล้วลงเลย ๆ ไอ้เรื่องปฏิเสธความจริงทั้งหลายนี้ มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้นนะปฏิเสธ หลอกลวงโลก ธรรมท่านไม่ได้หลอกลวง ขอให้พากันจำคำนี้ให้ดี กิเลสปลอมทั้งนั้น หลอกทั้งนั้น ธรรมจริงทั้งนั้นร้อยทั้งร้อย ทางนั้นก็ปลอมร้อยทั้งร้อย ทางนี้ก็จริงร้อยทั้งร้อย ฟัดเหวี่ยงกันอยู่ แต่ส่วนมากกิเลสเป็นฝ่ายชนะ เล็ดลอดออกไปเล็กน้อย ๆ ก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้เล็ดลอดไปเลย

         โถ เวลาจนตรอกไม่มีใครจนตรอกยิ่งกว่าเรานะ ทุกคนต่างจนตรอกด้วยกันทุกคน ๆ ไม่มีใครช่วยใครได้ มีชีวิตอยู่นี้ยังพอช่วยกันได้นะ พอพยุง คนนั้นมีหนึ่ง คนนี้มีสอง แล้วพอบืนกันไปได้ ถึงเมืองผีแล้วไม่ได้เป็นเมืองคนนะ แม้แต่เมืองคนที่ใจดำน้ำขุ่นใครพึ่งมันไม่ได้ นอกจากมันจะไปหากัดตับกัดปอดเขาด้วยวิธีการต่าง ๆ มันก็เป็นผีในร่างมนุษย์ ว่างั้นเถอะ หากัดตับกัดปอดเขาด้วยเล่ห์กลทุกอย่าง มันก็มีอยู่อย่างงั้น คนดีที่จะให้จิตใจมีความเมตตากว้างขวางมีน้อยนะ

         คิดดูซิว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิ จิตแน่นปึ๋งก็เคยพูดให้ฟัง พูดเพื่ออะไร เราไม่ได้พูดเพื่ออวดนี่นะเราพูดเพื่อเป็นคติ ทีนี้เราไม่รู้จักวิธีรักษาละซี เพราะไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยเป็น แล้วก็ไม่รู้จักวิธีรักษา มันก็เสื่อมลง เสื่อมลงนิดหน่อยเท่านั้นละ โถ ไม่ได้ ปุ๊บปั๊บเลยเตรียมท่าไป เสื่อมตลอดหมดตัวเลย ไม่มีเหลือ เหลือแต่ร่างกระดูกกับไฟเผาหัวอก นี่เราลืมเมื่อไรเราไม่ลืม เผาตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีนี้ถึงเมษา นานเท่าไร นั่นละตกนรกทั้งเป็นในหัวอก ไปอยู่ที่ไหนหาความเจริญไม่ได้เลย ร้อนเอาจริงๆ นะร้อนในหัวอก เป็นฟืนเป็นไฟเผาสุมอยู่อย่างงั้น แหม ทำไมถึงทุกข์ขนาดนี้เรา

         ตั้งแต่ก่อนเราไม่มี สมาธินี้เราก็อยู่เหมือนโลกทั่ว ๆ ไปอยู่กัน พอได้ที่เกาะเป็นที่ตายใจ อบอุ่นสบายนี้แล้วเรารู้สึกสบาย ทีนี้ลืมตัวไม่รู้จักวิธีรักษา สมบัติก้อนนี้ก็ขาดสะบั้นลงไป คว้าที่ไหนก็ไม่ได้เรื่องๆ ฟาดเสียตั้งปีกับสี่เดือนพิจารณาซิ พฤศจิกาถึงเมษาปีหน้า ดูเหมือนปีกับห้าเดือนละมั้ง นู่นน่ะฟังซิ พอพฤศจิกา ธันวา มกรา กุมภา มีนา เมษา มันฟื้นขึ้นมาได้ นั่นละตกนรกทั้งเป็น เลยไม่ลืม จิตเป็นขนาดนี้แล้วแหละแต่ไม่เคยลืมกองทุกข์ที่มันเผาในเวลาเราประมาท เพียงปีกับห้าเดือนนี่เผา

         ทีนี้พอฟื้นขึ้นมาได้เอาความตายประจำกันเลย มัดกันเลย ถ้าจิตดวงนี้เสื่อมเราต้องตายเป็นอื่นไปไม่ได้ เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่จิตนี้จะเสื่อมอีกไม่ได้เลย ฟัดกันอย่างเต็มเหนี่ยวๆ เอาถึงขนาดนั่งหามรุ่งหามค่ำ ไม่รู้จักผ่อนคลายบ้างเลย พอได้ที่แล้วมันก็เอาใหญ่ นี่ละที่พูดนี้พูดเพราะความเข็ดหลาบที่จิตเสื่อมไป ตกนรกทั้งเป็น เป็นเวลาปีกับห้าเดือน โอ๋ย ทุกจริง ๆ นะ จิตเราไม่เคยเป็นสมาธิ ไม่เคยมีอะไรนี้ก็เหมือนเขาเป็นคนทุกข์คนจนหาเช้ากินเย็น เขาก็พออยู่ พอเป็น พอไป ไม่ได้เหมือนคนที่มีเงินเป็นล้าน ๆ ๆ  แต่มาล่มจมด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่งเสีย

         แม้เงินจะติดเนื้อติดตัวอยู่เป็นแสนๆ ก็ตาม จิตจะไม่อยู่ในเงินจำนวนแสน ๆ จะอยู่ในจำนวนที่ล่มจมไปจำนวนมากนั้น นั่นร้อนอยู่ตรงนั้น แล้วจะหายังไงอีกมันถึงจะได้อย่างนี้อีก มันก็ประมวลเป็นเรื่องอารมณ์ สั่งสมความทุกข์ขึ้นมาให้มากมูน ทุกข์มากที่สุดคือคนที่ถูกล่มจมไปจากสมบัติที่มีมาก ๆ ชาวไร่ชาวนาเขาไม่ได้ทุกข์เหมือนคนนี้นะ คนที่เขาไม่ได้จิตเป็นสมาธิเขาก็ไม่ได้ทุกข์เหมือนเรา เราที่จิตเป็นสมาธิอบอุ่นเสียจนรื่นเริงในตัวเอง แล้วขาดสะบั้นไปเลยนี้ แหม ทุกข์มากจริง ๆ หาวิธีแก้ไขดัดแปลงวิธีไหนก็ไม่ได้ ๆ จึงได้เอาพุทโธมัดเข้าเลย นั่นละไม่ลืมนะ

         คำว่ามัดมัดจริง ๆ มันเด็ดจริง ๆ ว่าอะไรเป็นอย่างงั้นนะ ลงใจแล้วละที่นี่ จิตใจเราเสื่อมนี่เพราะไม่มีคำบริกรรม มีสติกำกับ มันถึงได้เสื่อมไปอย่างงั้น ทีนี้เราจะให้มีสติกำกับกับคำบริกรรมไม่ปล่อยกันเลย ยังไงก็เอาละที่นี่ลงใจกันเรียบร้อยแล้ว ก็เหมือนกับนักมวยขึ้นต่อกร รอจ้อกันละที่นี่นะ พอตัดสิน ระฆังดังเป๋งก็ฟัดกันเลย ทีนี้พอลงใจแล้ว เอาละ ทางนั้นก็เหมือนระฆังดังเป๋งก็ฟัดกันเลย ไม่ให้เผลอได้เลยจริง ๆ นี่นะ ตั้งแต่ขณะนั้นเลยไม่ยอมให้เผลอ นี่ละทุกข์มากที่สุดตรงนี้อีกเหมือนกันนะ บีบบังคับ จิตมันดีดมันดิ้น มันจะคิดจะปรุงไปตามทางของกิเลสที่จะเอาไฟมาเผาเรา มันมีกำลังมาก

         ทีนี้เราก็ระฆังดังเป๋งแล้วแพ้กับชนะต้องซัดกันเต็มเหนี่ยวใช่ไหมล่ะ เราไม่ลืมนะ นี่มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จึงได้ฟัดกัน เอาตั้งแต่ขณะนั้นเลย ทีนี้จะให้เผลอขณะไหนไม่ได้เลย นี่ที่มันทุกข์มากอีกเหมือนกันนะ ตั้งแต่ระฆังดังเป๋ง ว่าเอาละ พุทโธ ๆ กับสติติดแนบเผลอไปไหนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะปัดกวาด เช็ดถู อะไร ๆ แต่ก็เหมาะมันอยู่คนเดียว ไม่มีใครมายุ่งเลย อยู่คนเดียว พุทโธกับสติจึงติดแนบกันตลอด ตั้งแต่ระฆังดังเป๋งแล้วก็ฟาดเสียจนกระทั่งหลับ พอตื่นนอนก็พุทโธปั๊บเข้าเลย ทีนี้เผลอไม่ได้อีกเหมือนกันกับวันที่แล้ว สด ๆ ร้อน ๆ เอากันอีก ไม่ยอมให้เผลอ ไม่ให้มีอะไรในโลกอันนี้ ให้มีแต่พุทโธกับสติเป็นคำบริกรรมติดแนบรักษาใจ

         ใจนี้ถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายเพราะปราศจากสิ่งรักษา เมื่อมีสติรักษาแล้วก็ปลอดภัย ๆ ความคิดที่มันผลักดันออกไป มันจะไปคิดเอาฟืนเอาไฟมาเผา ห้ามไม่ให้คิด เอาความคิดพุทโธนี้แทนเลย ตีกันไว้ ๆ ก็ไม่ได้หลายวันนะที่เอาแบบระฆังดังเป๋ง ไม่มีเผลอเลย ไม่มีกรรมการแยกเลย ฟัดกันเลย ทีนี้เวลามันเอาจริงเอาจังจริง ๆ แล้ว คือทางนี้ไม่ได้อ่อนข้อเลย ทางกิเลสก็ค่อยอ่อนลง ความคิดปรุงที่มันผลักมันดันมันจะคิดไปตามทางของกิเลสเอาไฟมาเผาเรา บีบบังคับไม่ให้มีช่องออกเลย ไม่ให้ออก ให้มีแต่พุทโธออกอย่างเดียว ๆ ให้พุทโธคือธรรมทำงานแทน พุทโธก็เป็นสังขารคือความคิด แต่ความคิดนี้คิดเป็นธรรมเป็นน้ำดับไฟ ความคิดที่เป็นกิเลสมันเป็นไฟเผาไหม้เรา

         จึงได้เอามาเป็นคติเครื่องสอนบรรดาผู้มาศึกษาอบรมทั้งหลาย ไม่ได้แบบนั้นก็ตาม แต่อย่าลืมว่าสติเป็นเครื่องรักษาให้มีความแคล้วคลาดปลอดภัยได้ไม่สงสัย สติดีเท่าไรยิ่งดี ทีนี้พอนั้นมันค่อยอ่อนลง ๆ แต่สติไม่อ่อน ทางนี้ไม่ยอมอ่อนเลย ฟังแต่ว่าระฆังดังเป๋งไม่มีถอยตลอด ทางนั้นก็อ่อนลงเห็นชัด ๆ เลย ที่มันผลักมันดันมันจะคิดจะปรุงนี้มันค่อยอ่อนลงๆ ต่อไปทางนี้ก็เด่นขึ้น ๆ ความผลักความดันการต่อสู้ของกิเลสก็เบาลง ๆ ทางนี้ก็สร้างฐานขึ้นมาได้เป็นความสงบ จนกระทั่งพุทโธกับความรู้เป็นอันเดียวกันเลย นั่นจับไม่ถอย ไม่มีการปล่อยวาง สติรักษาตลอดเลย คำบริกรรมกับพุทโธเลยกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน แล้วจิตละเอียดแน่ว ตอนนั้นนะ จนกระทั่งที่ว่าเราบริกรรมไม่ได้ คิดไม่ได้เลยไม่มี คิดให้มีก็ไม่มีความคิดนะ หมด หมดโดยสิ้นเชิง คิดพุทโธไม่มี จึงมีความรู้สึกอันหนึ่งขึ้นมา เราคิดพุทโธไม่ได้แล้ว แต่ก่อนเราบริกรรมอยู่นี้ ทีนี้คิดพุทโธไม่ได้แล้วจะทำไง

         คำว่าพุทโธหายไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่สติไม่เผลอนี่มันหายไปไหน ก็มีอันหนึ่งทราบขึ้นมา เอ้าถ้าหากว่าคำบริกรรมหายไป ความรู้ที่เด่นอยู่นั้นไม่หาย เอาสติจับตรงนั้น สติจับตรงความรู้อีก ความรู้มันจะเคลื่อนไหวไปไหนให้รู้ เพราะเราไม่เคยเป็น จับไว้กับความรู้ ทีนี้พอนานพอสมควรแล้วความรู้มันก็คลี่คลายออกมา เหมือนกับคนตื่นนอน พอคลี่คลายออกมานึกพุทโธ พอนึกพุทโธได้พุทโธติดเข้าอีกเลย ทีนี้ก็ติดเรื่อยไปเลย มันออกทำงานแล้วที่นี่ จิตมันออกจากความสงบ พุทโธติดเข้าอีก พอถึงเวลามันละเอียดมันก็เป็นอย่างนั้นอีก

         ทีนี้เรารู้จักวิธีปฏิบัติ มันเป็นอย่างงั้นเราก็เอาสติจับกับความรู้นั้นไว้ บริกรรมไม่ได้ก็ไม่ต้องบริกรรม จับติดไว้นั้น ทีนี้พอคลี่คลายออกมาก็เอาพุทโธเข้าอีก นั่น ต่อไปก็แน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ค่อยสงบเย็นเข้า ๆ จนกระทั่งมันเจริญขึ้นไปถึงฐานของมันที่เคยเจริญขึ้นไปสองคืนหรือสามคืน เราพยายามผลักดัน แต่ก่อนไม่มีคำบริกรรม มีแต่สติตั้งเอาไว้เฉยๆ กับความรู้ มันเผลอได้ ทีนี้พอเอาคำบริกรรมติดเข้าไปอีกด้วย มัดเข้าอีกนี้มันไม่เผลอ มันก็ค่อยเจริญขึ้นๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่มันเคยเสื่อม พอไปถึงนั้นอยู่สองคืน สบายอยู่ได้เพียงสองคืน ทีนี้ลดฮวบลงแล้วกลิ้งเลย เหมือนครกกลิ้งลงจากจอมปลวกทับคนไปเลย สติปัญญาเราไม่มีสู้มันไม่ได้ เอ้า จับไสขึ้นมาอีก ๑๔-๑๕ วันกว่าจะได้แทบเป็นแทบตาย คราวนี้พอถึงจุดที่มันจะลง เอ้า ลงก็ลง เราเคยเสียอกเสียใจไม่อยากให้มันลง มันก็ลงต่อหน้า เสื่อมต่อหน้าต่อตา เอ้า เสื่อมก็เสื่อม เจริญก็เจริญ จะไม่เอาไหน แต่พุทโธคำบริกรรมนี้จะไม่ปล่อย ไม่ปล่อยตลอด มันขึ้นแล้วก็ไม่ลง สังเกตดู เอ้า ลงก็ลงปล่อยเลยไม่สนใจ ทีนี้มันก็เลยไม่เสื่อม เลยไม่ลง แล้วก็ค่อยแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ หนุนเข้าตลอด พุทโธไม่มีปล่อยแหละ

จนกระทั่งถึงจังหวะที่จะปล่อยพุทโธมันหากมี มีแต่ความรู้ที่เด่น อยู่ยังไงก็เด่น สติอยู่กับนั้นตลอด ที่นี่พุทโธก็หายไป หายไปโดยหลักธรรมชาติ เราต้องไม่มีโปรแกรมทำให้พุทโธหายให้พุทโธมีแหละ มันหากเป็นของมันเอง พอถึงขั้นนั้นแล้วไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็ยิ่งแน่นหนาขึ้นไป มันเคยถึงที่สองคืนหรือสามคืนเสื่อม ทีนี้ไม่เสื่อม เราปล่อยแล้วเรื่องจะเสื่อมให้เสื่อมไป แต่คำว่าพุทโธกับสติไม่ปล่อย นี่แหละอันนี้แหละหนุน เลยขึ้นได้ พอรู้แน่ชัดแล้วว่าไม่เสื่อม มีแต่ขึ้นเรื่อย ละเอียดเรื่อยๆ  จึงได้มารู้เรื่องรู้ราวของตัวเองว่า อ๋อ ที่จิตเราเสื่อม เสื่อมเพราะขาดคำบริกรรมพุทโธ สติขาดในระยะใดระยะหนึ่ง แล้วกิเลสแทรกเข้าได้ ทีนี้เวลาคำบริกรรมติดแนบกับใจแล้ว กิเลสแทรกไม่ได้ ดันออกก็ออกไม่ได้ บังคับ มันก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ

ทีนี้เวลามันได้ฐานแล้ว มันเหมือนกับขีดเส้นตายให้ตัวเองเลย เราแน่ใจนะ เพราะจิตใจเรามันไม่เหมือนใคร ว่าอะไรเป็นอันนั้นจริงๆ นี่พอมันขึ้นอย่างนี้แล้ว จนกระทั่งถึงขีดเส้นตายให้กันเลย เอา คราวนี้จิตจะเสื่อมไปไม่ได้ ถ้าเสื่อมเราต้องตาย จะตายด้วยวิธีใดเราไม่ทราบนะมันหากจะเป็นได้ ยกตัวอย่างเช่น พระโคธิกะ ท่านฆ่าตัวเองตาย อันนั้นบอกว่าจิตเสื่อมจากฌานจากสมาธิ ๖ หน ท่านฆ่าตัวตายเพราะทนอยู่ไม่ได้ อย่างที่เราทนอยู่นี้ แบบเดียวกัน มันถึงกันเลย ทีนี้เมื่อเวลามันเป็นอย่างนี้แล้ว เจริญขึ้นมาแล้วนี้มันจะเสื่อมไปอย่างนั้นอีกไม่ได้ ถ้าเสื่อมแล้วเราต้องตาย มันอาจตายแบบนั้นแหละนะ แบบใดแบบหนึ่งนั่นแหละ

ทีนี้มันก็เลยไม่เสื่อม ขยับใหญ่เลย เพราะเข็ดหลาบมากที่สุด ก้าวขึ้นสู่การนั่งหามรุ่งหามค่ำ จากนั้นก็เอาแล้วนะที่นี่ นั่งหามรุ่งหามค่ำ นั่งตลอดรุ่งๆ เลยเทียว เพราะมันเข็ดมันหลาบแสนสาหัส จนพ่อแม่ครูจารย์มากระตุกเอา คือมันเลยเถิด อย่างนั้นแหละเรา นิสัยเรามันผาดโผน เวลานั่งสมาธิได้หลักได้เกณฑ์มากราบเรียนท่าน ทีแรกท่านก็ยอ เอา ได้หลักแล้วทีนี้เอามันเลย อัตภาพเดียวมันไม่ได้ตายถึง ๕ หนแหละน่ะ ทีนี้ได้หลักแล้วเอาเลยนะ โอ๊ย นี่ก็เหมือนหมา ทั้งจะเห่าจะกัด ไปก็ฟาดอีกๆ ท่านก็ชมเชยไปเรื่อย พอหนักเข้าๆ ความชมเชยไม่ค่อยจะมี นั่งนิ่งๆ ฟัง นี่เราผาดโผน มันจะเลยเถิด ท่านดูเราอยู่นี่ แต่เราไม่รู้เรื่องท่าน บทเวลาท่านจะเอา เห็นว่าสมควรแล้วที่นี่ จะดัดแปลงเสียใหม่ ความหมายว่างั้น

ความคิดความหวังนี้ หวังเท่าไรมันก็หวังด้วยกันแหละคน แต่มันไม่สมหวัง เพราะเราไม่สร้างสิ่งที่ถูกต้องดีงามพอจะให้เกิดความสมหวังขึ้นมา มันก็ไม่สมหวังตลอดไปนั้นแหละ เพราะฉะนั้นจึงให้สร้างเสียเวลานี้ ทุกข์ยากลำบาก เอา ทุกข์ไปเถิด ทุกข์เพื่อความสุขไม่เป็นไร แต่ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์อย่าพากันหาญนะ ทุกข์ด้วยอำนาจแห่งการทำความชั่วช้าด้วยความนอนใจ ทุกข์เท่าไรไม่คำนึงคำนวณถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์ของตน ด้วยวิธีการปลดเปลื้องแบบใดบ้างนั้น ทุกข์อันนี้ไม่มีหยุดนะ ทุกข์อะไรต้องให้คิดทบทวน เอา ทุกข์ทางกิเลสก็ทุกข์แล้ว ทีนี้จะทุกข์เพราะการสร้างความดี ทุกข์บ้างก็เอา นั่นละที่นี่มีทางแก้

เพราะกิเลสนี้มีธรรมเท่านั้น นอกนั้นไม่มี ธรรมละแก้ได้ นอกนั้นไม่มีแก้ได้เลย เราพยายามอย่างนี้แล้วเป็นไปได้ๆ เหมือนสัตว์ตกน้ำในมหาสมุทร สัตว์โลกที่จม มหาสมุทรก็คือวัฏวน วัฏจักร กว้างแสนกว้างมองหาฝั่งไม่เห็น เหมือนกับเรามองหาเงื่อนต้นเงื่อนปลายแห่งความเกิดตายของตัวเองไม่เห็นไม่เจอ ทั้งๆ ที่เกิดตายมาตลอดก็มองไม่เห็น ทีนี้เวลาสร้างความดีเข้าก็เท่ากับจะมองเห็นฝั่ง จะเริ่มมองเห็นฝั่งเข้าไป

มันก็แย็บขึ้นมา เหอ นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ แต่มันยัง

ไม่ได้สำคัญว่าตัวสิ้น คือค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ ๆ กิเลสมันหมอบเพราะอำนาจของธรรมตีมัน ทางนี้ก็ขึ้น หือ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ แล้วเหรอ หากเป็นแต่เพียงว่ามันยังไม่สำคัญว่าเป็นอรหันต์นะ คือหากิเลสไม่เจอเลย จากนั้นก็มีอีกแย็บอีก ซัดอีกๆ ซัดเสียจนกระทั่งโลกธาตุถล่มไปทีเดียว หายสงสัย อรหันต์น้อยหรืออรหันต์ใหญ่หายสงสัย อรหันต์น้อยก็หายสงสัย อรหันต์ใหญ่ก็หายสงสัย นั่น สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดประกาศป้างเท่านั้น ทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร

นี่ละการฝึกจิต เรารับผิดชอบเรา ไม่งั้นจะตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ถ้าปล่อยให้กิเลสลากถูไปอย่างนี้จะไม่มีต้นมีปลาย ต้นมันอยู่ที่ไหน ปลายอยู่ที่ไหนไม่มี เงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่มีถ้ากิเลสลาก พอธรรมเข้าแทรกปั๊บนี้ เงื่อนต้นไม่มี เงื่อนปลายจะมี คือเราไม่ทราบว่าเราเกิดมาแต่เมื่อไร เงื่อนปลายจะทราบ คือมันจะหดย่นเข้ามา ต่อไปก็ทราบเงื่อนปลายแน่เข้าๆ นี่ละถ้าธรรมได้แทรก คุณงามความดีนั้นแหละค่อยตัดค่อยทอนภพชาติที่มันยืดยาวให้หดย่นเข้ามาๆ ด้วยอำนาจแห่งธรรม แห่งความดีงาม อย่างอื่นเราอย่าไปหวัง

ความคิดความหวังนี้ หวังเท่าไรมันก็หวังด้วยกันแหละคน แต่มันไม่สมหวัง เพราะเราไม่สร้างสิ่งที่ถูกต้องดีงามพอจะให้เกิดความสมหวังขึ้นมา มันก็ไม่สมหวังตลอดไปนั้นแหละ เพราะฉะนั้นจึงให้สร้างเสียเวลานี้ ทุกข์ยากลำบาก เอา ทุกข์ไปเถิด ทุกข์เพื่อความสุขไม่เป็นไร แต่ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์อย่าพากันหาญนะ ทุกข์ด้วยอำนาจแห่งการทำความชั่วช้าด้วยความนอนใจ ทุกข์เท่าไรไม่คำนึงคำนวณถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์ของตน ด้วยวิธีการปลดเปลื้องแบบใดบ้างนั้น ทุกข์อันนี้ไม่มีหยุดนะ ทุกข์อะไรต้องให้คิดทบทวน เอา ทุกข์ทางกิเลสก็ทุกข์แล้ว ทีนี้จะทุกข์เพราะการสร้างความดี ทุกข์บ้างก็เอา นั่นละที่นี่มีทางแก้

เพราะกิเลสนี้มีธรรมเท่านั้น นอกนั้นไม่มี ธรรมละแก้ได้ นอกนั้นไม่มีแก้ได้เลย เราพยายามอย่างนี้แล้วเป็นไปได้ๆ เหมือนสัตว์ตกน้ำในมหาสมุทร สัตว์โลกที่จม มหาสมุทรก็คือวัฏวน วัฏจักร กว้างแสนกว้างมองหาฝั่งไม่เห็น เหมือนกับเรามองหาเงื่อนต้นเงื่อนปลายแห่งความเกิดตายของตัวเองไม่เห็นไม่เจอ ทั้งๆ ที่เกิดตายมาตลอดก็มองไม่เห็น ทีนี้เวลาสร้างความดีเข้าก็เท่ากับจะมองเห็นฝั่ง จะเริ่มมองเห็นฝั่งเข้าไปๆ ฝั่งใกล้เข้ามาๆ ขึ้นฝั่งได้เลย ความดีเรามีมากเท่าไร ฝั่งใกล้เข้ามาๆ แล้วขึ้นฝั่งไปได้เลย ดังท่านผู้มีความดีงามทั้งหลาย ถึงขั้นสุดยอดขึ้นฝั่งไปเลย ผู้ยังไม่สุดยอดก็มีเรือเล็กเรือน้อยมารอมารับอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรนั้นแหละ หากมีเรือมารอมารับไปจนได้ ทั้งๆ ที่เขาจมเรายังได้ขึ้นเรือผ่านไป บรรเทาทุกข์ระยะหนึ่งก็ยังดีๆ ต่างกันอย่างนี้นะ

ถ้าจะปล่อยไปเลยจมจริงๆ เราอย่าไปเชื่อกิเลสนะ เวลานี้กิเลสมันเต็มโลกเต็มสงสารเต็มหัวใจสัตว์โลก ไม่มีกิเลสตัวใดจะเชื่อธรรม เพราะฉะนั้นมันต้องฝืนธรรมตลอดเวลา ทีนี้เราต้องการความพ้นทุกข์ อะไรเป็นที่จะให้เราเกาะยึดติดเพื่อความพ้นทุกข์ได้ คือธรรม เราก็เอา ความดีประเภทใดเราทำได้ประเภทใด เอ้า ทำลงไปอันนี้ไม่ไปไหน ความคิดที่ว่าความดี การให้ทาน เอ้า ให้ทานมากี่กัปกี่กัลป์ไม่สูญหายไปไหน ขึ้นชื่อว่าความดีมากน้อยจะไม่สูญหาย ติดแนบ ๆ สั่งสมตัวอยู่ในถ้าภาษาโลกเขาเรียกว่า ฟักตัวอยู่ภายในตัวของเรา มากขึ้น ๆ ก็เด่นขึ้น ๆ แล้วพ้นไปได้นะ ถ้าจะปล่อยเลยตามเลยนี้จะจมตลอดไป ไม่มีใครเลิศเลอละ มีแต่ลมปากด้วยความรำพันของกิเลสทั้งนั้นละ อวดดิบอวดดีทั้ง ๆ ที่ไม่มีความดี กิเลสมันชอบอวด แต่ท่านผู้ดียึดติดกับหัวใจแล้วท่านไม่อวด อวดไปหาอะไร วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นมันก็พอเป็นคติได้แล้วนะ คนก็ไม่มากวันนี้พอดี ไม่ค่อยมากนะวันนี้ มีมากมีน้อยบ้าง ต่อไปนี้จะให้พร

โยม พระหลวงตาเจ้าคะ ผ้าป่าหน้าศาลา ๒,๐๐๘ บาท แล้วก็ ๑๗ ดอลลาร์เจ้าค่ะ

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน  ได้ที่

www luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก