ให้เชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าเชื่อเรา
วันที่ 14 กันยายน 2546 เวลา 8:30 น. ความยาว 47.06 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

ให้เชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าเชื่อเรา

 

         ที่หน้าวัดหาแต่เอาสิ่งโลกๆ ไปปลูก ทั้งจะปลูกต้นไม้เป็นป่าเป็นที่รก ผาสุกร่มเย็นในการบำเพ็ญธรรมต่างหากนะหน้าวัด เห็นเอาต้นกล้วยต้นอะไรเป็นเรื่องของโลก ๆ ไปยุ่งไปหมด เดี๋ยวจะเป็นตลาดขึ้นมาในหน้าวัด ในกลางวัด ต้องการให้เป็นป่านะนั่น สงบร่มเย็น พระอยู่ที่นี่ออกไปอยู่ที่นั่นได้สะดวกสบาย แล้วปลูกผลหมากรากไม้ขึ้นมามันก็เป็นที่ชุมนุมของความวุ่นวาย แล้วกลายเป็นโลกไปหมด ไม่มีธรรมในวัดเลยใช้ไม่ได้นะ นี่คอยเตือนเสมอ ทางด้านนี้ปลูกมากแล้วก็เป็นอันว่าปลูกไป ปล่อยไป ที่ไหนที่ยังไม่ได้ปลูกอย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาเพิ่มเติมเข้าอีกนะทางด้านนี้ ต้นไม้ก็ให้เป็นต้นไม้ที่ชุ่มเย็น เป็นที่บำเพ็ญของพระสะดวกสบาย ที่ไหนมันสูงมากเท่าไรเขาก็ไถลงไปเพื่อให้เรียบราบ ให้พระอยู่ที่ไหนก็ได้

         เช่นอย่างพวกไม้อะไรที่เขาชำเอาไว้ดูเป็นไม้ที่ร่มเย็นดีนะ ที่เขาชำไว้นี้ เขาปลูกไว้ต้นเล็ก ๆ น่ะ (ต้นกฤษณาครับ) เออ ดูเหมือนต้นชุ่มเย็นดีนะ อย่างไม้ตะเคียน ไม้กฤษณาอะไรชุ่มเย็นดี อย่างนั้นสะดวกสบาย คิดดูซิพระพุทธเจ้ารับสั่งเวลาพระออกไปเที่ยวธุดงคกรรมฐาน ท่านรับสั่งว่า ที่ชุมนุมชนคนผ่านไปมาเราไม่ให้ไปอยู่ ที่ขึ้นลงของท่าน้ำไม่ให้ไปอยู่ แม้ที่สุดต้นไม้ใหญ่ที่มีดอกผลหนาแน่นนกกาไปกิน ก่อความวุ่นวาย อย่างนั้นก็ไม่ให้อยู่ หรือวัดใดที่มีการก่อสร้าง จะสร้างอะไรก็ไม่ทราบแหละ คำว่าก่อสร้างมันต้องวุ่นวาย ไม่มากก็วุ่นวาย ที่เช่นนั้นก็ไม่ให้ไปอยู่ นั่น

         นี่หลักคำสอน ให้ไปหาอยู่ในที่วิเวกสงัด เหมาะสมกับการบำเพ็ญสมณธรรม ไม่มีอะไรมารบกวน ธรรมจะได้เจริญงอกงามจากความเพียรที่สืบเนื่องกันไป ความเพียรก็หมายเอาสติ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมคือความพยายามสืบต่อเนื่องกันในทางความพากเพียรด้วยสติ ให้ไปหาอยู่ในที่เช่นนั้น ที่ท่านสอนนี่สอนเพื่อให้เพาะอรรถเพาะธรรมขึ้นในใจ แล้วก็เป็นการเพาะความสงบร่มเย็นขึ้นภายในใจในเวลาเดียวกัน ขัดกันกับทางโลก ท่านสอนไว้ละเอียดลออมากนะ แต่เวลามาปฏิบัติเวลานี้มันกลายเป็นลูกศิษย์ตถาคตหูหนวกตาบอดไปหมด ทั้งฆราวาสและพระเณรเรา ไม่ได้ตำหนิใคร ตำหนิทั่วหน้ากันหมด บรรดาที่เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแล้วไม่ได้ไปตามร่องรอยที่ทรงสั่งสอนนั้นเลย แล้วจะเอาความดิบความดีมาจากไหน

         คำสอนทั้งหมดเป็นเครื่องกำจัดภัย หรือกั้นภัยไม่ให้เข้ามา กำจัดภัยออกไป ที่มีอยู่แล้วกำจัดออกไป หลักธรรมหลักวินัยคือรั้วกั้น พระวินัยเป็นรั้วกั้นไว้สองฟากทางอย่าข้ามออกไป ถ้าข้ามออกไปคือข้ามพระวินัยก็จะไปโดนเอาขวากเอาหนาม เอาหลุมเอาบ่อ ฟืนไฟ ข้ามพระวินัยออกไปคือข้ามไปก็ไปโดน พระวินัยห้ามไว้เพื่อความปลอดภัย ธรรมให้ก้าวเดินตามสายทาง พระวินัยเป็นรั้วกั้นไว้สองฟากทางไม่ให้ปลีกแวะไปในส่วนใด พระวินัยคือเครื่องกำจัดโทษทั้งหลาย พระธรรมเป็นเครื่องบำรุงเพื่อให้จิตใจมีความสงบร่มเย็น เพราะปราศจากสิ่งที่เป็นภัยที่ข้ามเกินพระวินัย ท่านจึงไม่ให้ข้าม ให้เดินตามนี้

         นี่ละเดินตามธรรมตรงแน่วต่อมรรค ผล นิพพาน ท่านก็สอนย้ำลงไปให้แน่นหนามั่นคงเป็นที่ตายใจว่า “พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย แทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว” คือตถาคตอยู่กับธรรมกับวินัย ถ้าดำเนินตามนี้แล้วก็เท่ากับดำเนินตามตถาคต ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดถึงมรรค ผล นิพพานได้ไม่สงสัย ถ้าปลีกแวะจากนี้เมื่อไรก็ข้ามหัวพระพุทธเจ้าไป ก็ลงเหวลงบ่อ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ละเอียดลออมากทีเดียว ถ้าหากปฏิบัติตามเฉพาะพระเรา ปฏิบัติตามนั้นจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลตลอดมาและจะตลอดไป เพราะศาสดาชี้ทางพาดำเนินไปเพื่อถึงความพ้นทุกข์ โดยหลักธรรมหลักวินัยถ่ายเดียวเท่านั้น

         อย่าเอาเวล่ำเวลา สถานที่ใดๆ เข้ามาเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินให้ถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัยนี้จะราบรื่นตลอดไป ท่านไม่ได้เอาอะไรมาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นเครื่องปลอดภัยและเครื่องดำเนิน ธรรมเป็นเครื่องดำเนิน พระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทางไม่ให้ข้าม มากน้อยก็ตามเป็นพิษเป็นภัยทั้งนั้น คิดดูแต่เสี้ยนหนามปักเราเจ็บไหมล่ะ ยิ่งเป็นหอกแหลมหลาวทิ่มเข้าไปตายเลย นั่นมันเป็นขั้น ๆ ไปอย่างงั้น โทษเล็กโทษน้อยผสมกันก็เป็นโทษใหญ่ขึ้นมา ล้วนแต่เป็นอุปสรรค พวกเสี้ยนพวกหนามเป็นอุปสรรคต่อร่างกายของเราทุกชิ้นทุกอันฉันใด เรื่องโทษภัยที่ข้ามเกินพระวินัยของพระพุทธเจ้าก็เป็นเสี้ยนเป็นหนาม เป็นบาปเป็นกรรม เป็นอาบัติโทษปักเสียบเราตลอดเวลา แล้วจะก้าวเดินไปเพื่อมรรค ผล นิพพานได้ยังไง ไปไม่ได้

ใครข้ามเกินหลักธรรมหลักวินัยไม่มีทาง ถ้าข้ามหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วไม่มีทางจะไปมรรค ผล นิพพาน ถ้าตามเสด็จพระพุทธเจ้าโดยหลักธรรมหลักวินัยแล้วก้าวเดินไป อกาลิโก ขอให้ก้าวเดินตามนี้เถิด มรรค ผล นิพพาน มีอยู่ตลอดเวลา รอรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่เสมอ ท่านไม่เอาอะไรมาเป็นอุปสรรค กาลสถานที่เวล่ำเวลาจะมาตัดมรรค ผล ที่ตนบำเพ็ญตามหลักธรรมหลักวินัยนี้ไม่มี มีแต่ตัวเองเป็นผู้ข้ามเกินหลักธรรมหลักวินัย แล้วก็ทำลายมรรค ผล นิพพานของตัวเองเท่านั้น ถ้าตนเบิกทางให้ถูกต้องตามหลักธรรมวินัยแล้วก็โล่งไปเลย นี่ละให้เป็นที่ตายใจ ธรรมและวินัย ศาสนาที่สอนไว้ไม่ได้สอนให้เป็นอื่นเลยเพื่อความสุขความเจริญแก่บรรดาสัตว์ทั้งนั้นแหละ แต่ศาสดาคือกิเลสมันเต็มหัวใจมันลากมันเข็นออกนอกลู่นอกทาง ตกเหวตกบ่อไปตลอดเวลา มีแต่กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง ก็เพราะไม่มีธรรมในใจ ไม่มีข้อบังคับตัวเองเพื่อความดีงามบ้างนั้นแหละ มันจึงเจอตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน ถ้ามีกฎมีเกณฑ์เป็นเครื่องบังคับตนแล้ว ความทุกข์เดือดร้อนทั้งหลายก็จะเบาลงๆ

         เราอย่าไปมองที่ไหนนอกจากหลักธรรมหลักวินัยของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเครื่องรับรองเพื่อความดีงามทั้งหลาย และเพื่อความปลอดภัยไปโดยลำดับ ไม่มีอื่นใดที่จะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าหลักธรรมหลักวินัยของพระพุทธเจ้า ที่สอนสัตว์โลกให้แคล้วคลาดปลอดภัย มีนี้เท่านั้นแหละ อย่างอื่นไม่มี มีแต่ขวากแต่หนามสองฟากทาง ที่นอกจากหลักธรรมหลักวินัยที่ถูกต้องนี้ไปแล้ว มีแต่ขวากแต่หนามทั้งนั้นแหละ ไม่มีความดีที่จะได้สมหวัง ผิดหวังไปเรื่อย ๆ ถ้าปฏิบัติตนให้เป็นไปตามนั้น เฉพาะอย่างยิ่งพระแล้วชุ่มเย็นมากทีเดียว อยู่ไหนชุ่มเย็นหมด ทางความเป็นอยู่ปูวายปัจจัยสี่ไม่เป็นอุปสรรค คอยจ้องอยู่ตั้งแต่หลักธรรมหลักวินัยก้าวเดิน อดยอมอด อิ่มยอมอิ่ม เพราะเราทำงาน หรือรบข้าศึกกับกิเลสตัณหาซึ่งเป็นตัวภัย ก้าวเดินเรื่อยไป

         ผู้ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรมท่านจึงไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับปัจจัยภายนอก มีแต่ความจำเป็นปัจจัยที่อาศัยชั่วเวลาเล็กน้อย ๆ เท่านั้น ที่อยู่อยู่ที่ไหนท่านอยู่ได้ รุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขาเป็นที่สะดวกสำหรับผู้บำเพ็ญธรรม อาหารก็ได้มาวันหนึ่ง ๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น ไม่นอกเหนือเหลือเฟือไปจากนั้น ที่อยู่ก็ร่มไม้ในป่าในเขา ถ้าว่าโรคแต่ก่อนท่านจะว่าคนไม่มีโรคมากก็แล้วแต่จะว่าไป ท่านให้ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าที่ดอง ฉันยาดอง ไม่ได้มีหมอมีโรงพยาบาลเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้ แต่ป่าช้าก็เกลื่อนไปหมดไม่เห็นลดลงเลย ทั้ง ๆ ที่โรงพยาบาลมีมาก ป่าช้าก็มีทัดเทียมกันไป ไม่ปรากฏว่าลดหย่อนลงเลย มีแต่ผ่อนสั้นผ่อนยาว ตายเร็วตายช้านิดหน่อยเท่านั้นแหละ

         พิจารณาเอาซิ คิลานเภสัช ยาแก้โรคแก้ภัย ไม่ได้มีอะไรมากนะ อย่างหลวงปู่มั่นก็ไม่เห็นท่านมียาติดตัวท่านไปเลย ไม่มี ไม่เห็นยาเม็ดไหนติดตัวท่านไปในย่ามท่าน ย่ามก็เป็นย่ามเปล่า ๆ ใส่กล่องเข็มกล่องอะไรเล็ก ๆ น้อย กล่องเข็มด้ายไว้เย็บ เพราะแต่ก่อนไม่มีจักร เอาด้ายมาเย็บ กล่องเข็มติดย่ามไป อะไรขาดก็เย็บก็ปะก็ชุนกันไป นี่ปัจจัยเครื่องอาศัย ท่านอาศัยอย่างนี้ ท่านผู้ที่จะทรงความสุขความเจริญที่แน่นหนามั่นคงภายในใจท่านปัดสิ่งภายนอก ที่เป็นเรื่องประเดี๋ยวประด๋าวหาความแน่นอนไม่ได้ออกไปเรื่อย ๆ เอาแต่ความแน่นอนที่จะให้ความอบอุ่นแก่จิตใจเข้ามาสู่ใจ ๆ อยู่ที่ไหนท่านสบาย ๆ

         บิณฑบาตได้มาวันหนึ่งเท่านั้นพอแล้ว ไม่เอาอะไรมากเลยนะพอยังชีวิต ความมุ่งอันใหญ่หลวงของท่านอยู่ที่ธรรม จิตมุ่งธรรมจ่ออยู่ตลอดเวลา สิ่งนั้นเพียงพออาศัยๆ เพื่อบรรเทา มีชีวิตจิตใจให้ได้บำเพ็ญธรรมไปเท่านั้น นั่นเป็นความสุขเพื่ออรรถเพื่อธรรมโดยแท้ ถึงทุกข์ก็ทุกข์เพื่อธรรม ไม่ได้ทุกข์เพื่อกิเลส สุขเพื่อกิเลสนะ มันต่างกัน ในครั้งพุทธกาลท่านแสดงไว้แหม เราอดสลดสังเวชไม่ได้นะ กับการปฏิบัติของคนหูหนวกตาบอดของเราทุกวันนี้ ไม่มองดูเลย เฉพาะอย่างยิ่งคือพระเณรเราที่ท่านสอนไว้เท่าไรมันไม่ยอมมอง

         สิ่งใดจะส่งเสริมให้ศาสนาเจริญ เป็นความสงบร่มเย็นแก่ตนและส่วนรวมไม่สนใจ แต่สิ่งใดที่จะก่อเหตุก่อลาง ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายต่อสังคมนี้ชอบคิด ชอบอ่าน ชอบปรุงชอบแต่ง ชอบบัญญัติบัญญังขึ้นมา ตั้งกฎนั้นตั้งกฎนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เจ้าของไม่สนใจปฏิบัติตาม ตั้งขึ้นมาโก้ ๆ อย่างงั้นละ อย่างทุกวันนี้เห็นชัด ๆ เดี๋ยวตั้งเรื่องนั้นขึ้นมา ตั้งอันนี้ขึ้นมา ผู้ท่านปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยซึ่งแสดงไว้แล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ท่านก็ได้รับความกระทบกระเทือนเพราะสิ่งเหล่านี้ ตั้งมาแล้วก็เพื่อจะมาบังคับนั่นซิ เพราะท่านปฏิบัติดีอยู่แล้ว ก็ให้ได้รับความกระทบกระเทือนไปตามนั้น ให้อยู่ในกฎนั้นกฎนี้ ตั้งเจ้าคณะนั้นขึ้นมา เจ้าคณะนี้ขึ้นมา ตั้งเจ้าคณะใหญ่ก็ไม่เห็นส่งเสริมให้มีความสงบร่มเย็นในทางธรรมทางวินัย มีแต่ตั้งขึ้นมาเพื่อความยุ่งเหยิงวุ่นวาย มันตั้งเป็นแบบโลกๆ ไปหมดเวลานี้

หากว่าตั้งไว้เพื่อเป็นหัวหน้าๆ คอยปรึกษาปรารภ ให้มีผู้ใหญ่ผู้น้อยเท่านั้นพอแล้ว ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเป็นอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ดังที่ตั้งขึ้นมาอยู่เวลานี้ พูดชัดๆ อย่างนี้ เรียนธรรมเรียนวินัยมาด้วยกัน เราไม่สะทกสะท้านกับใครที่จะมาต่อว่าต่อขานเรา เพราะหลักธรรมวินัยคือองค์ศาสดาเครื่องยืนยันมีอยู่แล้ว ใครก็เห็นด้วยกันรู้ด้วยกันทุกคน ผิดก็รู้ ถูกก็รู้ เพราะได้เรียนเหมือนกัน

ตามหลักธรรมหลักวินัยจริงๆ แล้วไม่จำเป็นจะต้องไปหาตั้งอะไรขึ้นมา นี่เราพูดชัดๆ หลักธรรมหลักวินัยสมบูรณ์แบบแล้ว เอา ดำเนินตามนั้นแล้วจะหาเรื่องราวไม่ได้เลย เพราะต่างคนต่างมุ่งอรรถมุ่งธรรม ผิดถูกดีชั่วยอมรับกันทันทีๆ โลกก็สงบร่มเย็น อันนี้มันไม่มีอย่างนั้นซิ มีแต่เรื่องของกิเลสจะเข้าทำลายธรรม ตั้งขึ้นไปก็ไปกระทบกระเทือนธรรมวินัย และทำธรรมวินัยให้เสียไปเพราะการตั้งแบบนั้นฉบับนี้ กฎนั้นกฎนี้ขึ้นมา ซึ่งมีขึ้นมาทีหลัง มาตั้งทีหลัง มันก็กลายเป็นกาฝากไป ทำลายศาสนาซึ่งเป็นตัวดั้งเดิม ที่เป็นธรรมดั้งเดิมให้เสียไป

ถ้าต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความดีงามตามธรรมตามวินัยแล้ว จำเป็นอะไรจะต้องมาตั้งสิ่งนั้น บัญญัติข้อนี้ให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เวลานี้ยุ่งมากนะกฎกติกาต่างๆ ที่เป็นกาฝากคอยทำลายศาสนามีมากขึ้นทุกวันๆ สิ่งที่จะส่งเสริมพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองด้วยภาคปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีไม่ค่อยมีและไม่มี มันเป็นอย่างนั้น มันถึงเดือดร้อน สุดท้ายผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่ออรรถเพื่อธรรม ก็เลยกลายเป็นความกระทบกระเทือนบอบช้ำไปตามๆ กับความเหลวแหลกแหวกแนวซึ่งตั้งท่านั้น ตั้งเรื่องนี้ขึ้นมา อยู่เสมอมาอย่างนี้

ไม่ได้อยู่เฉยๆ นะ อยากมีชื่อมีเสียง อยากให้เขานับถือลือหน้า ตั้งนั้นตั้งนี้เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดา ดำเนินตามนั้นซิมันก็เลิศเลอไปเอง ใครจะมายกยอไม่ยกยอไม่สำคัญ สำคัญที่ให้ถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัย ตัวเองเป็นผู้ยกตัวเองตลอด ไม่มีใครจะไปสวรรค์นิพพานได้เพราะความยกยอปอปั้นของคนอื่น แต่ไปได้เพราะการยกยอตัวเองด้วยข้อวัตรปฏิบัติให้ถูกต้องดีงาม และเสียหายไปได้เพราะการข้ามเกินหลักธรรมหลักวินัย ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้เลย เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องตั้งข้อนั้น บัญญัติข้อนี้ขึ้นมา อย่างกำลังเห็นชุลมุนอยู่เวลานี้ มันเบื่อจะตายแล้วนะ

เดี๋ยวตั้งข้อนั้นขึ้นมา ตั้งข้อนี้ขึ้นมา ตั้งข้อไหนดูแล้วมันดูไม่ได้ ก็ไปกัดตับกัดปอดศาสนาทั้งนั้น ที่จะไปส่งเสริมศาสนาให้มีความแน่นหนามั่นคง เราอยากจะพูดว่าอย่าหวัง ว่างั้นเลย ถ้าตั้งแบบกิเลสนำหน้าอย่างนี้ ตั้งแบบธรรมนำหน้า ก็พระพุทธเจ้านำหน้าไว้แล้ว ปฏิบัติตามซิจะผิดพลาดไปไหน ไม่เคยมีอะไรบกพร่องจากศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วนี้เลย ที่ผู้ปฏิบัติบกพร่องเพราะศาสนธรรมเครื่องปฏิบัติไม่พอ การแนะนำสั่งสอนไว้ไม่เพียงพอไม่มี สมบูรณ์แบบทุกอย่าง แต่ผู้ปฏิบัติบกพร่องตลอดเวลา ขัดกันที่ตรงนี้เอง

หากว่าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไม่มีปัญหาอะไรนะ เรื่องบาปบุญขึ้นอยู่กับเจ้าของทุกคน เพราะทั้งสองนี้มีอยู่แล้วในโลกสมมุติอันนี้ หาบาปได้บาป หาบุญได้บุญ ใครจะปฏิเสธว่าไม่มีเท่าไรก็ไม่มีความหมาย เพราะหลักนี้เป็นหลักธรรมชาติ เป็นหลักพื้นฐานของโลกสมมุติเรา มีอยู่ดั้งเดิม อันนี้ก็มีมาดั้งเดิม เราจะลบล้างไปไหน ทำบาปไม่ให้เป็นบาป ทำบุญไม่ให้เป็นบุญ เป็นไปไม่ได้เลย ทำดีต้องดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่แจ้งที่ลับไม่สำคัญ สำคัญอยู่กับผู้ทำ ใครทำดีที่ไหนไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ เป็นคนดีอยู่ในที่แจ้งที่ลับนั้น ทำชั่วก็เหมือนกันเป็นคนชั่วอยู่ในที่แจ้งที่ลับที่ตนทำขึ้นนั้นแหละ ไม่มีอะไรปิดบัง นตฺถิ โลเก รโห นาม ที่ลับย่อมไม่มีในโลก ท่านสอนไว้ว่าที่ลับไม่มีในโลก แจ้งขาวอยู่กับผู้ทำเอง เป็นผู้เปิดเหตุดีชั่วขึ้นมา ผลจะปรากฏขึ้นในที่นั่น ไม่ขึ้นอยู่กับคำว่าที่ลับที่แจ้ง ขึ้นอยู่กับตัวเอง

เอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติซิ จะได้เห็นประจักษ์ภายในใจนี้ก่อนอื่น ใจได้รับการอบรมให้มีความสงบร่มเย็นบ้างเป็นบางกาลบางเวลา ไม่ปล่อยปละละเลยจนขนาดที่ว่า เปิดเครื่องแล้วปิดไม่ลง หรือไม่สนใจปิดอย่างนี้ เตลิดเปิดเปิง เรียกว่าคนไม่มีขื่อมีแป เปิดแล้วเราจะทำอะไรก็ให้มีการระมัดระวังไปเรื่อย เปิดเพื่อทำงานการอะไรบ้าง กิริยาความเคลื่อนไหวของเจ้าของเพื่องานต่างๆ มีสติปัญญาคอยแนบอยู่เสมอความผิดพลาดมีน้อย กิริยาภายนอกเป็นอย่างนี้ ออกจากกิริยาภายใน คือทำใจให้สงบเย็น เมื่อใจสงบเย็นแล้ว เราจะเห็นทั้งกิเลสที่แสดงเป็นพิษภัยขึ้นมาภายในใจของเรา เห็นทั้งธรรมเครื่องปราบกิเลสให้เป็นความสงบสุขขึ้นมาภายในใจของเราเช่นเดียวกัน เมื่อภายในนี้ได้รับการอบรม แสดงไปทางนอก ใจเป็นผู้รับผิดชอบ คอยสอดส่องดูแลเสมอ ความผิดพลาดมีน้อยมาก

แต่สำหรับพระเรานั้น ทางด้านพระวินัยนี้ไม่มี ว่างั้นเลย ถ้าลงได้ตั้งใจปฏิบัติตามนั้นแล้วไม่มี แต่ส่วนธรรมที่สุดวิสัยยังมี แต่ตั้งใจบำเพ็ญ ตั้งใจแก้ไขตลอด มันก็มีๆ ละเอียดเข้าไปๆ เพราะกิเลสมีความผิดย่อมมี การระมัดระวังต้องติดแนบกันไป จนกระทั่งกิเลสสิ้นไปจากใจเมื่อไรแล้วไม่มี เรื่องบาปเรื่องบุญไม่มีในใจของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้า มีแต่กิริยาที่แสดงออกตามโลกสมมุติ ทำประโยชน์ให้แก่โลกสมมุติ เจ้าของไม่สนใจ เพราะพอทุกอย่างแล้วคือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน ท่านเหล่านี้ไม่มีบุญมีบาป ปุญญปาปปหินบุคคล เป็นผู้มีบุญและบาปอันละเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว คือพระอรหันต์ คือพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านี้หมด ชื่อว่าสมมุติในโลกนี้เข้าไม่ถึง จะฟ้องร้องท่านว่าเป็น สังฆาฯ ปาราชิก ปรับอาบัตินั้นนี้ไม่มีความหมายเลย คือจิตนี้พ้นไปหมดแล้ว อันนี้เป็นกิริยาของสมมุติ การฟ้องร้องต่างๆ เป็นกิริยาของสมมุติ

อย่างพระทัพพมัลลบุตรที่ถูกเขาฟ้องร้อง ว่าพระทัพพมัลลบุตรเป็นอาบัติปาราชิก มาฟ้องร้องท่าน ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนะ พระพุทธเจ้ามารับสั่งทีเดียวเลย จะไปฟ้องร้องเธอทำไม พวกเธอมีแต่นักโทษเต็มบ้านเต็มเมือง เธอเป็นผู้บริสุทธิ์เพียงองค์เดียวเท่านี้ จะไม่ให้มีเหลือค้างโลกอยู่เหรอคนดีน่ะ นี่คือคนบริสุทธิ์ พระทัพพมัลลบุตรเป็นพระอรหันต์แล้วมาฟ้องร้องเธอหาอะไร นั่นฟังซิน่ะ ไอ้พวกนักโทษนักกรรมเต็มบ้านเต็มเมือง ทั้งเขาทั้งเรามีเต็มบ้านเต็มเมืองทำไมจึงไม่ฟ้องร้อง จึงไม่กระตุกเตือนแก้ไขตนเองบ้าง ไปฟ้องท่านหาอะไร ฟังซิน่ะ เป็นยังไงมีที่แย้งได้ไหมล่ะ จะไม่ให้มีคนดีเหลืออยู่ในโลกบ้างเหรอ จะให้มีแต่นักโทษอย่างเดียวกันหรือ นักโทษยกพวกไปฟ้องคนดีมันฟังได้ไหม

         อย่างพระพุทธเจ้าท่านรับสั่งมาอย่างงั้น เรื่องจึงสงบพรึบลงเลย ไม่มีใครจะคัดค้านต้านทานแม้ปากเดียวไม่มี พอพระองค์มารับสั่ง ทุกวันนี้พระพุทธเจ้าไม่มี เป็นพระรูปพระโฉมอย่างนี้ไม่มี มีแต่หลักธรรมหลักวินัย ใครข้ามก็ข้ามไป ใครเหยียบก็เหยียบไป ใครส่งเสริมก็ส่งเสริมไป ผลดีผลชั่วติดกับตัวตลอดเวลา ไม่มีใครมาค้านก็ตาม เจ้าของหากค้านตัวเอง เจ้าของหากยอมรับตัวเอง ดีไปเอง อยู่กับตัวเอง นี่ละเรื่องของศาสนาเป็นของละเอียดมากสุดยอดเลย เราก็ไม่เคยคิดเคยอ่านตั้งแต่อยู่กับโลกกับสงสารเขาเป็นยังไงก็เป็น เขาเป็นขโมยเราก็เป็น ก็ไปขโมยอ้อยป้าฝ้ายว่าไงเมื่อเป็นเด็ก นั่นเห็นไหมล่ะ

         เขาเป็นอะไรเราก็เป็นกับเขา ไปขโมยอ้อย เพราะเดินผ่านไปมา อ้อยอยู่มุมรั้ว สวนเขานั่น มองดู โอ๋ย มันสวยงามเหลือเกิน หิวโหยอยากกินอ้อย อยู่มุมรั้วนี่ ผ่านไปผ่านมาเห็น วันนั้นทนไม่ไหวเลยชวนพี่ชายเข้าไปขโมยอ้อย พี่ขโมยอ้อยป้าฝ้ายกินเถอะ ก็รู้อยู่ คือป้าฝ้ายก็เป็นญาติกัน ศักดิ์เป็นลุงเป็นป้า ทางนั้นก็ไม่ฝืนอะไร ส่วนมากพี่ชายจะเดินตามน้องชายที่เป็นบ้าไม่เลิกนี่แหละ แล้วก็ไปตัดอ้อยออกมา ประตูเขาก็ปิดไว้เรียบร้อยแต่มันลอดได้ซิเด็ก ลอดประตูเข้าไป

         ไปทีแรกก็ว่าจะไปขโมย พอไปเห็นอ้อยลำใหญ่แล้วลำนี้ก็ดี ลำนั้นก็ดี เสียงลั่นไปเลย ตัดอ้อยได้คนละลำ ดึงอ้อยออกมา ลอดประตูนั้นแหละออกมา พอโผล่มานี้ ป้าฝ้ายมาแล้ว เด็กเหล่านี้สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ กิริยาท่าทางก็เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก ไม่มีลักษณะว่าเราผิดแล้วจะโกรธจะอะไรเราไม่มีนะ พูดยิ้ม ๆ เด็กเหล่านี้สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ อู๋ย มันแก้เก่งนะเราไม่ลืมนะ เอ๊ ทำไมมันเป็นอย่างนี้นะ  ผมไม่ได้ขโมยนะป้า ว่างี้นะ มันขโมยแท้ ๆ นี่นะ มันแก้เอาสด ๆ ร้อน ๆ เราก็ไม่ลืมนะ ผมไม่ได้ขโมยอ้อยป้านะ ผมหิวมากผมจะเข้าไปตัดอ้อยแล้วจะแบกอ้อยไปบ้านป้าถึงจะกลับไปบ้าน ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย โอ๊ย กูไม่เอาแหละ สูตัดแล้วสูก็เอาไปเสีย ป้าก็เลยออกไปทางนู้น

เราได้อ้อยก็ยิ้มแต้มไปหาพ่อตา บอกว่าขโมยอ้อยป้าฝ้าย ไปโกหกป้าฝ้ายอย่างนั้นอย่างนี้ ตาไม่ถอยซิวันหลังแอบไปบ้านเขา เด็กสองตัวนั้น ไอ้บัวกับไอ้คำนั่นน่ะมันไปขโมยอ้อยสูรู้ไหม โอ๋ย เขาไม่ได้ขโมยนะน้า เขาบอกว่าเขาหิวอ้อยมาก เขาตัดอ้อยแล้วเขาจะมาบอกฉันแล้วถึงจะกลับบ้าน  ก็ตัวขโมยละมันมาบอกกูแล้ว มันมาบอกกูแล้วว่ามันขโมยมา เวลามาเจอสูเข้ามันแก้ตัว ว่างั้นนะ ยังไงก็ช่างหัวเขาเถอะ ประสาเด็กว่างั้นนะ ทีนี้ก็แล้วไปละ พอกลับมาก็เอาแล้วที่นี่ บอกจัดการหาข้าวหาของอะไรให้จะเอาให้เด็กนี้ไป แล้วเจ้าหน้าที่เขาจะมาจับมันไปเข้าคุกเข้าตะราง เราก็โดดขึ้นบนบ้านเข้าในห้อง นั้นแหละยิ่งเขาปิดประตูแล้วเขาจับเลย วิ่งลงจากห้อง เลยไม่ลืมนะ นี่ตั้งแต่ยังเล็กยังน้อยเป็นธรรมดามันก็เป็นอย่างนี้เหมือนทั่ว ๆ ไป ว่างั้นนะ

         เวลาเข้ามาปฏิบัติค่อยเปลี่ยนแล้ว สำหรับเพศของพระหลักพระวินัยนี้ร้อยทั้งร้อยเลย เรียกว่าปฏิบัติตรงแน่ว ดัดสันดานนิสัยเข้าสู่หลักธรรมหลักวินัย ไม่ให้เคลื่อนคลาดเลยตลอดมา บำเพ็ญไป ทางพระวินัยก็เป็นรั้วกั้นอบอุ่นไม่ฝ่าฝืนล่วงเกิน ทางธรรมก็บำเพ็ญไป ทีนี้เวลาบำเพ็ญ เฉพาะอย่างยิ่งเข้าสู่จิตตภาวนา เวลาเข้าสู่ภาวนานี้มันรวมความรู้ทั้งหลายเข้าสู่จุดนั้น เช่นสติก็เป็นความรู้ที่เสริมจิตที่เป็นนักรู้อยู่แล้วเข้าไปอีก แล้วปัญญาก็เป็นเครื่องเสริมจิตที่เป็นนักรู้อยู่แล้วให้มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบในการรักษาตัวทั้งสติทั้งปัญญา แล้วบำเพ็ญเข้าไปเรื่อย ๆ

         จิตเมื่อได้มีอารักขาคือสติปัญญาเป็นผู้อารักขาแล้ว ย่อมปลอดภัยต่อความผิดพลาดทั้งหลาย มันก็ค่อยดีขึ้น ๆ สุดท้ายจิตที่ว้าวุ่นขุ่นมัวมาก ๆ นั้นก็สงบลงด้วยจิตตภาวนา ๆ เรื่อยไป ๆ ทีนี้พอจิตสงบกิเลสก็ไม่เข้ามาปิดมาบังได้อย่างอิสระเหมือนแต่ก่อน เพราะถูกสติปัญญาลัดต้อนอยู่ตลอดเวลาแล้วจิตใจก็มีความเจริญขึ้นเรื่อย ๆ พอเจริญขึ้นแสงสว่างของความเจริญของจิต ความสงบของจิตค่อยแสดงออกไป นี่เราก็ไม่คิดมันหากเป็นขึ้นมาในนั้นเอง หากรู้อยู่ในนั้นๆ จิตสงบมากเท่าไรความเย็นก็ยิ่งเย็น ความสุขก็ยิ่งมีมาก ความสว่างไสวกระจายออก ๆ ๆ เป็นจิตมีภูมิเป็นที่อบอุ่นในตัวเอง ประหนึ่งว่ารักษาตัวได้ เป็นตัวของตัวในขั้นนี้ แล้วจิตก็ยิ่งชุ่มเย็น ๆ

         จากนั้นก้าวออกทางด้านปัญญา อันนี้พิสดารมาก เราไม่เคยคิดเคยเห็น ทางสมาธินี้ก็พิสดารตามสมาธิ แต่ถึงขั้นปัญญาสมาธิไม่ได้พิสดาร ปัญญาต่างหากพิสดารมาก กว้างขวาง ที่ไหน ๆ ทะลุไปหมดเลยถึงขั้นปัญญา นี่ละที่ได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังโดยไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะรู้จะเห็น พอเปิดจิตซึ่งเป็นนักรู้นี้ออกจากความมัวหมองมืดตื้อคือกิเลสนั้นออกไปโดยลำดับ สิ่งมัวหมองมืดตื้อคือกิเลสจางไป ๆ อันนี้ก็ยิ่งส่งแสงสว่างออกๆ แสดงความมีค่ามีราคาขึ้นมาๆ ก็เห็นโทษของกิเลสที่ไร้ค่าซึ่งมีแต่โทษโดยลำดับลำดา แล้วเปิดออก ๆ นี่ที่มันอัศจรรย์นะ

         พูดก็พูดไม่ถูก พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่ทราบว่าจะพูดอะไร ทั้ง ๆ ที่รู้เต็มหัวใจ พูดออกมาไม่เกิดประโยชน์จะพูดหาอะไร ก็เหมือนไม่มีไปเสียๆ ความรู้มันรอบตัว ๆ ซ่านออกไปรู้สิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมันเป็นขึ้นมาๆ เรื่องกิเลสกับจิตก็พันกัน ฆ่ากันสังหารกัน อันนี้กระแสของจิตที่สว่างจ้ามันก็อดไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ดั้งเดิม เป็นแต่เพียงว่าจิตมืดบอดยังไม่เห็น เมื่อค่อยเปิดออกมันก็เห็นละซิที่นี่ เห็นมากเข้า ๆ กระจ่างเข้าไป แจ้งเข้าไปๆ ทะลุไปเลยที่นี่

         มีมาตั้งแต่เมื่อไรเราไม่เคยเห็น พึ่งลืมตาขึ้นมาแล้วมาเห็นนี้ ประหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้พึ่งมีมา มันมีมาแต่ก่อนแล้ว พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นอันนี้ อันนี้พอตาสว่างออกมาก็เห็นสิ่งที่มีอยู่ดั้งเดิมแล้วโดยลำดับลำดา ภายในจิตกิเลสตัวไหนที่เป็นเสนียดจัญไรแต่ก่อนไม่รู้ มันก็ค่อยรู้ค่อยแก้กันไป ขาดกันไปๆ กิเลสขาดไปเท่าไรความสว่างยิ่งเปิดออกๆ เพราะกิเลสเป็นตัวมืดดำ เป็นตัวปิด แล้วมันก็บางไป ๆ กิริยาของสติปัญญาก็ยิ่งแสดงตัวออกไปเรื่อย ๆ แสดงความมีคุณค่าขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็ทนไม่ได้ ทั้งเห็นกิเลสภายในใจเจ้าของ หยาบละเอียดก็รู้ ทั้งเห็นสิ่งภายนอก มันรอบด้านในหัวใจของเรา

         ทีนี้มันก็ไม่สงสัย กิเลสก็ตัวจิตรู้ สิ่งภายนอกก็ตัวจิตเป็นผู้รู้ เช่นอย่างตาเป็นผู้รู้ มองไปนี้ก็ตาเป็นผู้รู้ จะไปสงสัยอะไร เห็นใกล้เห็นไกลก็คือตาเป็นผู้เห็น เป็นความจริงด้วยกัน กระจายออกไปถึงพวกเปรตพวกผี พวกนรกอเวจีอะไร ปิดได้ยังไง พูดให้มันชัด ๆ ยังจะมาหูหนวกตาบอดลบล้างสิ่งเหล่านี้อยู่เหรอ ศาสดาองค์เอกตรัสไว้ทุกองค์ เพราะรู้แล้วทุกองค์ รู้แบบเดียวกันนี้ แล้วมาสอนโลกเพื่อปัดออกไม่ให้ไปตกนรกหมกไหม้ที่ทรงมีความเมตตาต่อสัตว์โลกมากปิดไว้ แล้วบอกว่านรกแต่ละหลุม ๆ มีโทษหนักต่างกันอย่างนั้นๆ เพื่อสัตว์ทั้งหลายจะได้เห็นโทษ จะได้หลบหลีกปลีกตัว ปัดออกๆ มันยังบืนเข้าไปๆ เห็นขนาดนั้น สุดท้ายก็ที่มันมืดมันหนามันก็หลับตาชนเอาเลย ๆ

โลกจึงเป็นโลกที่มืดบอด ไม่มีอะไรสว่างไสวแหละ ถ้าลงกิเลสได้ปิดบังหัวใจไว้แล้วใครก็ใครเถอะว่างั้นเลย พูดยันเลย ไม่มีความสว่างกระจ่างแจ้งที่จะเอาตัวรอดไปได้เลย ถ้าลงกิเลสได้ปิด ถ้าธรรมมีขึ้นมามากน้อยจะเป็นความสว่างเบิกตัวออกไปเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัยเรื่อยไปๆ ธรรมมีมากเท่าไรยิ่งเปิดความชั่วออก สุดท้ายธรรมเต็มหัวใจแล้วความชั่วหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่มีความชั่วติดแม้เม็ดหินเม็ดทราย ปัดออกหมดเลย

นั่นละเอาธรรมที่กระจ่างแจ้งมาสอนโลก ทีนี้โลกก็เป็นโลกตาบอดมันไม่ยอมฟังเสียงละซิ แล้วพวกเราเป็นโลกตาบอด หรือโลกหูหนวกหรือโลกชนิดไหน ให้ฟังเอาไปพิจารณาบ้างนะ ให้ฝืนตนนะ ไม่ฝืนเรานั่นแหละจะเป็นผู้ตกนรกหมกไหม้ รับเคราะห์รับกรรมแห่งความประมาทของเรา ให้ระวังให้ดี ให้เชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าเชื่อเรา เชื่อเรานี่คือเชื่อตามกิเลสตัวมืดบอด เชื่อพระพุทธเจ้าเชื่อความสว่างกระจ่างแจ้งตามความเป็นจริงแล้วก็ปลอดภัย ๆ ให้พากันจำ

เรานี้สลดสังเวชนะ นี่ก็พูดมาตั้งแต่ต้น เราไม่เคยคิดเคยฝันว่ามันจะรู้มันจะเห็น เวลามันเปิดออกไปแล้วมันก็อย่างนี้แหละ อะไรมันก็มีอยู่นี่ พอตาเราลืมปุ๊บขึ้นมานี่ ปิดได้ยังไงมันเห็นอยู่นี่ ทีนี้พอกิเลสตัวปิดบังคือมืดบอดนั้นมันค่อยกระจายออก ๆ มันก็ค่อยเริ่มเห็นๆ กระจายออกมากเท่าไรมันเห็นไปหมด สิ่งเหล่านั้นมีมาดั้งเดิม ๆ ใครปฏิเสธได้ยังไง นั่นแหละ จึงว่าโธ้ อัศจรรย์พระพุทธเจ้า ไม่มีใครบอกพระองค์เลย ทรงดำเนินไปรู้พระองค์เดียว พวกเราทั้งหลายเรียกว่า สาวโก ๆ คือผู้ได้ยินได้ฟังได้รับการอบรมจากพระพุทธเจ้าก่อน แล้วมาปฏิบัติถึงได้รู้ได้เห็น เพราะมีผู้แนะ พระพุทธเจ้าไม่มีใครแนะเลย ตรัสรู้เองโดยชอบ นั่นฟังซิ แล้วก็ตรัสรู้เองด้วยโดยชอบด้วย

พวกเรานี้ตรัสรู้มันมีแต่ทางผิด มันตรัสรู้เอง พระพุทธเจ้าว่าบาปมี ตรัสรู้ว่าไม่มี บาปไม่มีๆ มันตรัสรู้ไปอย่างนั้นนะ บุญมี บาปมี มันบอกบุญไม่มี บาปไม่มี มันตรัสรู้เอาเอง ท่านบอกว่านรกมี สวรรค์มี พรหมโลกนิพพานมี มันก็ตรัสรู้ของมันเองว่า นรกไม่มี สวรรค์ นิพพานไม่มี อะไรที่มี ก็มีแต่ไฟกำลังจี้หัวใจอยู่นั้น เข้าใจไหม พากันจำเอานะ เราก็ไม่เคยคิด นี่จวนตายเท่าไรก็ยิ่งเป็นห่วงเป็นใย แทนที่จะมาห่วงเรา เราพูดจริง ๆ บอกว่าเราไม่มีเลย อยู่กันไปอย่างนี้ละ ธาตุขันธ์ใช้กันไป พอถึงกาลเวลาไม่ใครจะห้ามมันได้ละ นี้ก็อยู่อาศัยลมหายใจ ความรู้เกาะลมหายใจอยู่ พอลมหายใจหมดเท่านั้นความรู้ก็ออกแล้ว ทางนี้ก็ลงไปตามธาตุเดิมของเขา

เขาไม่ได้ไปตกนรกขึ้นสวรรค์อะไรนะ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตัวที่จะไปตกนรก ขึ้นสวรรค์ นิพพานคือตัวหัวใจ ตัวคึกตัวคะนอง ตัวที่มีแต่ภัยมาสั่งสอนเสี้ยมสอนตลอดเวลาได้แก่กิเลสนี้นะ ธรรมเข้าไปสอนชั่วระยะกาลเท่านั้น เช่น อย่างเวลานี้ก็สอนอย่างนี้ พอออกจากนี้ไปบ้าน ไปไม่ทันถึงไหนกิเลสมันรุมแล้ว ศาสดาเต็มตัว ศาสดากิเลสเต็มตัว ศาสดาองค์เอกไม่ค่อยมีเข้าใจไหม นี่ละมันเสียเปรียบให้กิเลสอย่างนี้เอง

เพราะฉะนั้นจึงให้อบรม เชื่อครูบาอาจารย์ นำธรรมมาสอนให้ถูกต้องแล้วเราก็ให้ปฏิบัติตาม ครั้นต่อไป ๆ ความรู้แจ้งมันค่อยขึ้น ๆ ค่อยเชื่อตัวเองได้นะ อะไรเห็นเป็นภัยมันรู้ ๆ มันหลบมันหลีก ค่อยแก้ตัวเองไปเอง เวลามันเห็นแล้วมันแก้ได้นะ อะไรที่เป็นภัยเพราะสาเหตุอะไรมันก็รู้ ๆ อะไรดี ดีเพราะอะไรมันก็รู้ตามสาเหตุ แล้วก็ค่อยบึกบึนไปเอง เอานะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้

เมื่อวานนี้ไปเทศน์ เราก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน คนมากจริง ๆ เต็มหมดเลย เราจึงได้ยกฐานะของอำเภอวังสามหมอขึ้นเป็นมณฑลเลย เพราะมันมากต่อมาก ถ้าจะตั้งเป็นจังหวัดก็ยังไม่พอ ฟาดขึ้นให้เป็นมณฑลเลยเทียว เพราะคนแน่นหมด แล้วเราก็ตั้งใจจะสงเคราะห์ เพราะเป็นกาลเวลา นาน ๆ จะมีทีหนึ่ง แถวนั้นยังไม่เคยไปเทศน์เลย ทั้งๆ ที่เราเทศน์ทั่วประเทศไทย แต่จุดนั้นยังไม่ไป คราวนี้จึงเป็นโอกาสอันดีจะตั้งใจสงเคราะห์พี่น้องทั้งหลายให้พอเหมาะพอดีกับกาลเวล่ำเวลา เพราะคนมากจริง ๆ พอเริ่มเทศน์ไปนี้ ๑๔-๑๕ นาที ยังไม่ได้เข้าคลังหลวงหรือคลังธรรม ยังเดินเลาะเลียบอยู่ตามประตูคลัง พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้กำลังจะหมุนเข้า ฝนจ้ามาหมดท่าเลย วิ่งเตลิดไม่เข้าคอกเลย เมื่อวานนี้ธรรมเผ่นเลย

เราเสียใจนะ โอ้ น่าสงสาร นี่ละเรารู้สึกเสียใจนะ ตั้งใจจะสงเคราะห์พี่น้องชาววังสามหมอ พร้อมทั้งประชาชนเรียกว่าเกือบทั่วประเทศไทย ไม่มากก็น้อยมาจากที่ต่าง ๆ เต็มหมดจริง ๆ นะ แล้วไม่สมใจเลย เรียกว่าไม่ได้เทศน์ก็ถูกเพราะเพิ่งเริ่มเท่านั้น พอเริ่ม ๆ ๆ เอ้า ยังไม่ได้เข้าคอกเลย คอกคือธรรมกำลังจะเข้านั้นแล้วก็เรื่อยเลย ยังไม่ได้เข้า ฝนซัดมานั้นเปียกหมดคนมาก ๆ แล้วจะทำยังไง ตากฝนมอมแมมด้วยกัน เราผู้เทศน์ไม่ตากฝนก็จริง แต่เสียงเทศน์เราก็จะไม่ได้ยินเพราะเสียงฝนมันทับเอาหมด ทีนี้คนก็จะไปอยู่ไหนทั้งเปียกปอนไปหมด สุดท้ายก็เลยหยุดเทศน์เอาเฉย ๆ เมื่อวานนี้ไม่ได้เทศน์ละ เพียงเริ่มเท่านั้น เรียกว่าไม่ได้เทศน์ ก็เลยหยุด โอ้ เสียใจอยู่เมื่อวานนี้ พระก็มากเมื่อวาน ตั้งใจจะสงเคราะห์ทั้งพระทั้งประชาชน เลยไม่ได้เรื่องทั้งหมด

สรุปทองคำ และดอลลาร์เมื่อวันที่ ๑๓ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑ กิโล ๓๐ บาท ๔๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒,๙๗๖ ดอลล์ ทองคำที่ได้แล้วทั้งหมดคือทั้งที่มอบแล้วและยังไม่เข้ามอบได้ ๗,๗๗๕ กิโล หรือ ๗ ตันกับ ๗๗๕ กิโล ยังขาดอยู่อีก ๒,๒๒๕ กิโล จะครบจำนวน ๑๐ ตัน

ส่วนดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๓๔๕,๕๐๔ ดอลล์ ยังขาดอยู่ ๑,๖๕๔,๔๙๖ ดอลล์จะครบจำนวน ๑๐ ล้าน เราพยายามทุกคน ๆ เอาให้ได้คราวนี้ ทองคำที่ได้เมื่อวานทั้งไปทางวังสามหมอก็เรียกว่า รวมอยู่ด้วยกันหมดแล้ว เวลานี้ทองคำที่วังสามหมอก็ได้ ๑ กิโลกับ ๒๙ บาท แต่เราได้ตอนเช้านี้ได้เพียง ๑ บาท จึงไปบวกกันเป็น ๓๐ บาท เอาเท่านั้นละนะ ต่อไปนี้จะให้พร

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน  ได้ที่

www luangta.com หรือ www.luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก