เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ผู้ตักตวงมรรคผลนิพพาน
ก่อนจังหัน
พระเราตั้งหน้าปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในพรรษาเช่นนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหน เป็นโอกาสอันดีงามทั้งวันทั้งคืนที่จะประกอบความพากเพียร เพื่อหาความดีใส่หัวใจเรา ใส่ตัวของเรา ความดีนี้แหละที่จะให้เป็นความร่มเย็นแก่เราทั้งปัจจุบันและอนาคต ความชั่วมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ อยู่ที่ไหนเดือดร้อนกันหมด ความชั่วนั้นเป็นเรื่องของกิเลสที่เกิดขึ้นอยู่ภายในใจของเราเช่นเดียวกัน แล้วแสดงฤทธิ์ออกมาให้ดีดให้ดิ้น หาตั้งแต่ความผิดความพลาด ฉลาดก็ไปทางฟืนทางไฟไปเสีย แล้วขนฟืนไฟมาเผาเรา นี่คือความชั่วเกิดจากกิเลสผลิตขึ้นมาจากหัวใจของแต่ละคน ๆ
ความดีก็คือความมีสติ มีปัญญา ระมัดระวังตัว อันใดไม่ดีให้รีบปัดออก ๆ อย่าทำ อย่าพอใจทำ ให้ปัดออกทันที นี่เรียกว่าความดี ท่านให้ชื่อว่าธรรม เกิดอยู่ที่ใจ แสดงความดีออกมาที่ใจ ความสงบร่มเย็นก็ย้อนเข้าไปสู่ที่ใจ นี่คือการฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนดี ต้องมีขื่อมีแป มีความระมัดระวัง ปล่อยเลยตามเลยนั้นเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ มีแต่ความทุกข์ความร้อนบีบบี้สีไฟตลอดเวลา ไม่ใช่ของดี นี่ใครก็มาอบรม ๆ ให้อบรมตามที่สั่งสอนนี้แล้วจะไม่ผิดพลาดนะ เฉพาะอย่างยิ่งพระเรา ความพากเพียรอย่าไปถือเวล่ำเวลาเป็นของสำคัญยิ่งกว่าถือสติติดแนบกับใจ ระมัดระวัง และใช้ปัญญาพินิจพิจารณาแก้ไขดัดแปลงในสิ่งไม่ดี เอาออก สิ่งดีขนเข้ามา กว้านเข้ามา
การประกอบความเพียรถือเอาสติเป็นสำคัญมาก ปัญญามาเป็นระยะ ๆ คิดเป็นระยะ ๆ เมื่อยังไม่ถึงขั้นจำเป็นซึ่งสติกับปัญญาจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน นั่นเป็นธรรมขั้นหนึ่งต่างหากจากหัวใจเราเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับการอบรมแล้วจะเป็นเช่นนั้น ในเวลายังกำลังล้มลุกคลุกคลานฝึกหัดนี้สติต้องเป็นพื้นฐาน ระมัดระวังจิต เพราะจิตนี้เป็นตัวคึกตัวคะนอง ดีดดิ้นไปตรงไหนมีแต่หาฟืนหาไฟ ไม่ใช่หาอรรถหาธรรมพอจะเป็นความร่มเย็นมาสู่ตัวเรานะ ให้พากันระวัง พระเรานั้นละสำคัญมาก อย่ายุ่งกับสิ่งใดทั้งนั้นนอกจากธรรมที่เราตั้งหน้าตั้งตามาปฏิบัติ
เช่นอย่างอยู่ในวัดนี้มาทั่วโลกนะนี่ ประเทศไหนต่อประเทศไหนก็มา เพื่อหาความถูกต้องดีงาม ทั่วโลกนี้มาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าชาติ ชั้น วรรณะใด ที่ให้ชื่อให้นามตามสมมุติ แต่ความจริงแล้วสมมุติรวมแล้วก็คือว่าคน ต่างคนต่างเสาะแสวงหาความดีงามใส่ตน ให้ตั้งหน้าตั้งตาพยายามมีสติสตังระมัดระวังตนเสมอ เดินจงกรมเหนื่อย เอ้า มานั่ง มีสติติดแนบตลอด นี่เรียกว่าความเพียร นอนก็จนกระทั่งหลับสติติดแนบ ๆ นี่ผู้จะชำระความชั่วออกจากตัวต้องไม่นอนใจ และทำหน้าที่การงานอะไรสติต้องติดแนบตลอด การปัดกวาดเช็ดถูวัดวาอาวาสทั้งหลายอย่าให้เผลอสติ สติให้ติดแนบกับการงานที่ตนทำ การงานก็เป็นผลเป็นประโยชน์เท่าที่ควร หรือเต็มเม็ดเต็มหน่วยถ้าสติได้ติดแนบ ทางใจก็ห่างไกลจากข้าศึกคือกิเลส มันไม่ดีดขึ้นมาได้เพราะสติมี ให้พากันระวัง
สติเป็นสำคัญมากทีเดียวนะ ท่านจึงแสดงไว้เป็นกลาง ๆ ครอบไปหมดในวงธรรมของพระพุทธเจ้า ว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง คือไม่มีการยกเว้น ให้พากันอุตส่าห์พยายาม ผมสงสารพระที่มาจากที่ต่าง ๆ อุตส่าห์พยายามมาสถานที่นี่และเพื่อการอบรมธรรม อย่างอื่นใคร ๆ ก็ไม่อดอยากมีเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ธรรมคือความดีงามจะเข้าสู่หัวใจนี้มีน้อยมาก ความขาดเขินในโลกนี้คือธรรม ขาดเขินในหัวใจ ขาดเขินในกิริยาการเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีแต่ความเดือดร้อน ทุกอย่างไม่มีบกพร่อง ถ้าว่าเป็นสมบัติหรือเป็นวัตถุของกิเลสแล้วเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าให้เป็นสมบัติก็ให้มีธรรมเข้าแทรกจากวัตถุนั้นแหละ
แต่ธรรมที่มีในใจเรานี้มีน้อยมากนะ สิ่งที่ขาดเขินหรือบกพร่องมากและมากที่สุดก็คือธรรมในใจของสัตว์โลก ไม่มีใครรู้ว่าธรรมเป็นยังไง ๆ เรียนมาจากชั้นไหน ๆ ก็มีแต่เรียนเรื่องของกิเลส ไม่ได้เรียนเรื่องของธรรมและปฏิบัติตามธรรม จึงหาความสงบร่มเย็นได้ยากและหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ นี่ท่านทั้งหลายเข้ามาสู่แดนพุทธศาสนาซึ่งเป็นแดนแห่งความสุขความสมหวัง ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนเองให้ดี เฉพาะนักบวชอย่าให้บกพร่องในหน้าที่การงาน การบำเพ็ญความดีใส่ตนเอง อันนี้สำคัญ ให้สมกับเจตนาที่มาจากที่ต่าง ๆ เพื่อหาความสุขจากอรรถจากธรรม
การแสวงหาความสุขจากอรรถจากธรรมก็ต้องได้คัดได้เลือก หาผู้ชี้แนะ ท่านทั้งหลายมาวัดป่าบ้านตาดก็เพื่อหลวงตาเป็นผู้ชี้แนะ จึงต้องชี้แนะตามเจตนาของผู้มาและผู้รับไป จงนำไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเฉพาะอย่างยิ่งความระแคะระคายสำหรับพระเรา หรือมีการทะเลาะเบาะแว้งนี้อย่าให้มีเป็นอันขาด ฟังแต่ว่าเป็นอันขาดนะ เลวที่สุด ลงพระมีทะเลาะเบาะแว้งก็เรียกว่าเลวที่สุด ไม่มีสาระเลย อย่าให้เกิดขึ้น ดูให้ดี ความคิดที่ไม่ดีกับบุคคลผู้ใดก็เกิดขึ้นจากเรา ให้ถือว่าเราเป็นคนไม่ดี ความคิดไม่ดีเป็นอันดับหนึ่งแล้วกำลังจะลุกลามออกไปเผาคนอื่น
(เสียงหมาเห่าขึ้น) มันหมาตัวไหน เวลาเทศน์มันมา ๆ น่ะ มันเป็นยังไงว่ะ หมาก็ยุ่งคนก็ยุ่งกับธรรมนะ ธรรมออกมาไม่ได้หมาก็โจมตี คนก็โจมตี มันเป็นยังไงไอ้หยอง เวลานี้พระกำลังจะฉันจังหัน กำลังหิวข้าว เอาไอ้หยองไปต้มยำมาเลี้ยงพระสักหน่อยน่ะ มันเป็นยังไงมันมากวนเทศน์เราด้วยเราก็โมโห เอาละเทศน์เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้จะให้พร ไอ้หยองมึงอย่ากวนกูนะ กูกำลังหิวข้าวมึงรู้ไหม กินได้กระทั่งหมามันหิวมาก ๆ นะ
หลังจังหัน
(ลูกศิษย์ : วันนี้นักเรียนอุดรพิทย์มา ผู้ชาย ๒๖ คน ผู้หญิง ๑๕ คน รวมแล้ว ๔๑ คน ครู ๑ คนครับ) เออ (ลูกศิษย์คนหนึ่งที่เคยอยู่ข้างในที่ชื่อสุรัตน์ ที่ป่วยเป็นมะเร็ง ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดร ตายแล้วครับเมื่อวานนี้ครับ) เขาอยู่ไหน อยู่ในนี้ (เคยอยู่ข้างในนี้ครับ) เคยอยู่ในวัดนี้แล้วออกไป (ไม่สบายออกไปรักษาตัว เขาก็เกี่ยวกับเรื่องเรือบุญนี่ครับ) เออ ๆ ทำบุญอุทิศให้เสียนะ เมื่อวานนี้ก็เทศน์ถึงเรื่องการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พวกเปรต เราก็ไม่ค่อยได้แสดงนะเรื่องนี้ เมื่อวานเห็นคนมามากมาบำเพ็ญกองการกุศล ทำให้ระลึกถึงผู้ล้มหายตายจากที่มาคอยรับกองการกุศลกับพวกญาติโยมนี้ เราระลึกได้นี้จึงได้นำมาแสดง
ผู้ที่มาไปด้วยความสมหวังก็มีมาก พวกเปรตทั้งหลายต่างคนต่างมาหาญาติของตน ๆ เป็นเองนะ ญาติอยู่ที่ไหนรู้เองๆ ไปหาญาติ ๆ เวลาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้นี้ พวกเปรตทั้งหลายได้รับส่วนบุญกุศลมากน้อย ตามกำลังศรัทธาผู้มาทำบุญอุทิศให้มากน้อย ส่วนกุศลนั้นได้แล้วก็ไปสวรรค์เลยก็มี สวรรค์ชั้นต่าง ๆ ตามอำนาจแห่งบุญกรรมของตนที่ได้รับจากการอุทิศของญาติทั้งหลายเป็นลำดับลำดา เรียกว่าปลดเปลื้องทุกข์ออกเป็นลำดับลำดา ผู้ที่มาด้วยความผิดหวังทั้งเสียอกเสียใจไปก็แยะ ในหนังสือนั้นแม้แต่เปรตยังเคียดแค้นให้ญาติมิตรได้นะ ในหนังสือบอก รู้สึกเคียดแค้นให้พวกญาติพวกมิตร
โลกของเขามีญาติมีมิตร มีใจบุญใจกุศล แต่ญาติมิตรของเรามีแต่ใจดำน้ำขุ่น กลับไปด้วยเสียอกเสียใจ ด้วยความผิดหวังแล้วบ่นว่าให้ญาติตัวเอง มีในคัมภีร์ เราได้จนกระทั่งสูตรนี้ แต่ก่อนสวดได้เลยนะ สวดสูตรนี้ได้ นี้มันนานมาแล้ว ได้ขาดวรรคขาดตอนสวดไม่ได้ ได้เล็ก ๆ น้อย ๆ นี่พูดถึงเรื่องการทำบุญกุศลไม่ใช่เพียงได้แต่เราเท่านั้น (หลวงตาเจ้าคะบางทีเราตั้งใจทำบุญอุทิศ แต่ลืมอธิษฐานเขาจะได้รับไหมคะ) ได้รับ ในหนังสือ ติโรกุฑฑกัณฑสูตร คือชื่อสูตรนี้บอกเรื่องของพวกเปรตพวกอะไรที่มาแอบอยู่ตามข้างฝา ตามหน้าบ้าน ข้างเรือน ในสูตรนี้บอก อาหารการกินนี้เต็มสำรับอยู่ก็ตามไม่ใช่วิสัยของเปรตจะมากินได้ พวกญาติวงศ์อะไรกินกันอิ่มหมีพีหมา เปรตผู้เป็นญาติมานี้ไม่ใช่วิสัยกินไม่ได้ บอกไว้ในนั้นเสร็จ (หลวงตาเจ้าคะ อย่างเราแผ่กุศลไม่ใช่ญาติ แล้วเราจะแผ่ให้เขายังไงคะ) ก็แผ่ส่วนกลาง เมตตาสัตว์ทั่วโลก สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย เรียกว่าทั่วโลก
วันนี้คนก็มามาก ฟังนะเวลาพูดใครอย่าพูดสวนอะไรขึ้นมา จะเสียจังหวะของธรรมที่กำลังก้าวเดินออก บรรดาพระสาวก คำว่าได้เห็นเปรตเห็นผีไม่ใช่จะเห็นด้วยกันเท่ากันหมดนะ มีผู้เชี่ยวชาญเฉลียวฉลาด แม้แต่เรียนวิชามาในแขนงเดียวกัน ความรู้ของนักศึกษานั้นย่อมแตกกระจัดกระจายขยายออกไปมากน้อยต่างกัน ไม่ได้เหมือนกันหมดตามในหลักวิชานะ มันแตกแขนงออกไป
ในบรรดาสาวกที่ท่านแสดง มีความเชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้ก็มีมาก ที่ออกมาแสดงนะ ที่ไม่แสดงก็เยอะ ท่านก็รู้เห็นของท่านอยู่ ท่านไม่แสดง เพราะมันไม่ใช่วิสัยท่านก็ไม่แสดง ถ้ามันเป็นวิสัยแล้วท่านก็แสดงออกมา อย่างหลวงปู่มั่นดูว่าเราได้เขียนไว้ในประวัติของท่านกระมัง ที่ท่านเห็นเหตุเห็นการณ์อะไร มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ทราบเรื่องราวชัดเจนแล้วหาอุบายพูดให้เขาได้ทำบุญอุทิศถึงญาติของเขา ดูเหมือนมีอยู่ในประวัติของท่าน เราลืมเสีย อย่างงั้นแหละ จิตดวงนี้ไม่เคยตายทุกดวงเลย ไม่มีดวงไหนที่จะตายหรือฉิบหายหรือสูญไปแม้ดวงเดียว บรรดาจิตของสัตว์โลกมีสักกี่ดวง ก็มีอย่างนั้นแหละ อันที่บริสุทธิ์แล้วกลายไปเป็นธรรมธาตุ เวลาจมลงในนรกก็ไปได้ ตัวนี้เป็นแกนอยู่ในนั้น ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ ได้รับความทรมานมากน้อยยอมรับ แต่ที่จะให้จิตนี้ตายฉิบหายหรือสูญหาย สูญไปเลย ไม่มี
เพราะฉะนั้นจึงมีทางที่จะฟื้นขึ้นมาได้ ฟื้นขึ้นมาแล้วก็บำเพ็ญความดีขึ้นไป ฟื้นขึ้นมา ภพชาติก็ดีขึ้นมาๆ ความสุขความสงบเย็นใจก็เพิ่มขึ้นมาจากความดีของตัวเอง เวลาสูงขึ้นๆ พุ่งถึงนิพพานก็คืออันนี้เอง ที่เรียกว่าธรรมธาตุนั่นละ ท่านบอกว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานเป็นสุขอย่างเลิศเลอหรือยอดเยี่ยม ก็คือจิตดวงนี้ ท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานนี้เป็นเครื่องดับสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่มีเหลือเลย จึงว่าสูญ คือบรรดาสมมุติที่เคยเกี่ยวข้องกับจิตนั้น เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิงโดยหลักธรรมชาติ ถ้าเป็นน้ำก็เป็นคนละฝั่ง โลกสมมุติกับวิมุตติต่างกันอย่างนั้น นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ คำว่าสูญ คือสมมุติทั้งปวงสูญจากพระนิพพาน ไม่ใช่พระนิพพานนี้สูญไปนะ คือสมมุติทั้งปวงสูญโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ จากนั้นก็ขึ้น นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม ถ้านิพพานสูญแล้วอะไรจะมาเสวยสุข ผู้เสวยสุขอันเลิศเลอก็ยังมี ผู้ที่ก่อกวนความสุขก็คือสมมุติ สูญสิ้นไปโดยสิ้นเชิงไม่มีวันฟื้น
บรรดาสมมุติทั้งปวงที่เคยเกี่ยวพันกับจิตมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พาเกิดพาตาย สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ล้วนแล้วแต่ท่านให้ชื่อว่าสมมุติ ดีชั่วเป็นสมมุติด้วยกัน ทีนี้เวลาสิ้นอย่างนี้ลงไปแล้ว เรียกว่าสูญโดยประการทั้งปวงไม่มีวันฟื้นตลอดไปเลย ท่านจึงเรียกนิพพานเที่ยง จากนั้นก็ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ คือสุขของพระนิพพาน สุขนอกโลกนอกสมมุติ ไม่เหมือนสมมุติ เรียกว่าอยู่ในพระนิพพาน
เวลานี้กล่าวถึงมรรคถึงผล รู้สึกแสลงแทงหูแทงใจของชาวพุทธเรามากขึ้นทุกวันๆ ถ้าพูดถึงเรื่องกิเลสตัณหาที่มันจะพาพัวพันให้เกิดความทุกข์ทรมาน จนกระทั่งจมลงในนรกนั้น ต่างคนต่างตื่นเต้นขวนขวายดีดดิ้นหามันตลอด ไม่มีใครที่จะไปติเตียนมันเลย เพราะกิเลสไม่ยอมให้ติเตียนตนเอง นอกจากให้ยกยอตัวเอง
กิเลสก็อยู่ในใจเรา มันก็บังคับให้เราพอใจอยู่นั้น ให้ทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ พอใจทำนะ ไม่ใช่ฝืนกิเลสทำความชั่วนะ ไม่ได้ฝืน ไหลลงเลย ถ้าทำความดีต้องฝืน น้ำไหลลงทางต่ำเสมอ ถ้าต้องการให้ขึ้นที่สูงก็ต้องทดน้ำขึ้นไว้ หรือสูบขึ้น ปล่อยแล้วมันก็ไปของมัน นี่เป็นอย่างงั้น จิตใจจึงต้องมีครูสอน คือสอนทางด้านจิตใจ สอนตั้งแต่หยาบสุดของความชั่วทั้งหลาย ถึงดีสุดของความดี ต้องมีผู้สอนในเรื่องจิตให้รู้จักทางเดิน ไม่งั้นมันจะเป็นเหมือนน้ำไหลลงทางต่ำเสมอ ไม่มีใครสอนมันก็ไหลของมันไปเหมือนธรรมชาติของมันไปอย่างนี้
กิเลสนี้ไม่ต้องมีใครมาสอน ต่างคนต่างมีกิเลสและเป็นครูในตัวนั้นแหละสอนจิตใจเอง ให้ดูดดื่มไปในทางความชั่ว เพราะฉะนั้นโลกจึงไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัยต่อความทุกข์ความทรมานที่กิเลสสร้างขึ้นมา กิเลสพาให้สร้างขึ้นมาเผาตัวเอง ไม่มีใครครึใครล้าสมัยว่ากิเลสนี้เป็นตัวภัย สร้างแต่ทุกข์ให้สัตว์โลก หลอกลวงแต่สัตว์โลก หาความจริงที่จะมาให้เป็นที่ตายใจของโลกนี้ไม่มี กิเลสนับแต่ปู่ ย่า ตา ยาย มาตั้งแต่กัปไหนกาลใดเป็นสกุลของตัวต้มตุ๋นทั้งนั้น หลอกลวงสัตว์โลกไม่มีอะไรเกินกิเลส อันนี้ก็ร้อยทั้งร้อยทางด้านธรรมะไม่มีอะไรจริงยิ่งกว่าธรรม ธรรมไม่มีคำว่าปลอมเลย หลอกลวงไม่มี ธรรมไม่มีหลอกลวง แต่กิเลสไม่มีจริง หลอกลวงตลอดมา
เพราะฉะนั้นธรรมกับกิเลสจึงเป็นคู่เคียงกันมา ต่อต้านกันมาเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีธรรมก็จมไปเลย ถ้ามีธรรมก็เหมือนกับเราเป็นโรคมีหมอมียารักษา มีทางฟื้นขึ้นมาได้ นอกจากโรคปทปรมะ โรคไอ ซี ยู โรคไอ ซี ยู จะไม่ฟังเสียงใคร เขาเจ็บไข้ได้ป่วยหลั่งไหลเข้าไปโรงพยาบาล หายแล้วหลั่งไหลออกมาจากโรงพยาบาลมากต่อมาก ไอ ซี ยู มันไม่มองใคร มันมีแต่จะไปท่าเดียว ไม่มองหยูกมองยา มองหมอมองอะไร นี่ไม่มองคำว่าครูว่าอาจารย์ ว่าศาสนา ว่าธรรม ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มันไม่มอง มันมองตั้งแต่ทางที่จะให้จม นี่คือคนที่หนามาก เป็นคนประเภทไอ ซี ยู ยังขาดแต่ลมหายใจฝอดๆ เท่านั้น พอขาดลงไปแล้วก็ตูมเลยลงเลย ลมหายใจรั้งเอาไว้ในเวลามีชีวิต จิตใจก็อยู่กับลมเสียก่อน พอลมหายใจขาดแล้วจิตใจไม่มีที่ยึดที่เกาะในร่างอันนี้แล้วก็ตูมเลย ไปเลย
พูดถึงเรื่องกิเลสนี้ไม่มีใครจะเห็นว่ามันครึมันล้าสมัย ควรจะปลดจะเปลื้องออกไป ตั้งแต่ข้าราชการงานเมืองเขาก็ยังมีปลดเกษียณ แต่กิเลสไม่มีใครจะปลดเกษียณมัน มีแต่สมัครรักใคร่กับมันกี่กัปกี่กัลป์ตายกองกันอยู่นี้ ก็มีแต่เรื่องกิเลสพาให้ตายกองกัน แต่ไม่มีใครเห็นโทษของมันพอจะฟ้องร้องหรือเดินขบวนกันบ้าง ว่ากิเลสนี้ทำความทุกข์ให้สัตว์โลกมากมาย เดินขบวนกัน ขอร้องให้พากันตำหนิกิเลส กิเลสนี้สร้างความทุกข์ให้แก่สัตว์ แล้วพากันเดินขบวนร้องทุกข์ต่ออรรถต่อธรรม ให้ช่วยปลดเปลื้องกิเลสเพราะกิเลสนี้เป็นตัวภัย
คำว่าให้ช่วยปลดเปลื้องกิเลสก็คือเข้าหาครูหาอาจารย์ ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมจากพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก พระสงฆ์สาวก นี่เรียกว่าคลังแห่งธรรมหลวง ธรรมหลวงอยู่ในคลังหลวงของผู้บริสุทธิ์ ใจที่บริสุทธิ์ เดินขบวนไปหาท่านบ้างซิน่ะ เดินขบวนว่ามีความทุกข์มากมายจะให้ปฏิบัติยังไง ท่านจะสอนหรือไม่สอนจะทราบทันที ท่านจะสอนเพราะท่านมีเมตตาอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าเมตตานี้หย่อนลงไม่ได้ กิเลสเผาทันทีๆ คำว่ากิเลสเผาคืออะไร คือสัตว์โลกไม่ยอมรับ รับแต่เรื่องของกิเลส ความโลภถึงไหนถึงกัน ไม่มีใครว่าอิ่มพอกับความโลภ ได้เท่าไรยิ่งอยากได้ ความโกรธเคียดแค้นขนาดไหนตาดำตาแดง จนเจ้าของจะสลบไสลเพราะความเคียดแค้นของกิเลส ก็ไม่เห็นโทษของมัน ยังไปเห็นโทษของคนอื่น เคียดแค้นให้เขาเพิ่มเติมเข้าไปอีกจนไม่มียุติ ราคะตัณหาก็คือกิเลส ไม่มีคำว่าพอ กิเลสราคะตัณหา
นี่ล้วนแล้วตั้งแต่สกุลใหญ่ๆ ของกิเลสที่ควรจะได้ตำหนิติเตียนมันบ้าง ไม่มีใครนะจะตำหนิติเตียนกิเลส เฉพาะอย่างยิ่ง ๓ กองใหญ่นี้ มีใครบ้างที่ติเตียนมันแล้วยกขบวนไปหาธรรมของพระพุทธเจ้า ให้มาชำระล้างหรือตัดสินกันลงไปเป็นวรรคเป็นตอนอย่างนี้ไม่มี ไม่มีคำว่าศาลต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกานะ กิเลสไม่มีศาล เหยียบแหลกไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ
ถ้าหากว่าเราพอระลึกตัวได้บ้างนี้ เสาะแสวงหาความดีงามหาอรรถหาธรรม หาครูหาอาจารย์ที่เราเคารพเลื่อมใส และเป็นที่แน่ใจว่าเป็นผู้จะแนะนำสั่งสอนให้ถูกช่องถูกทางไปได้ ก็เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ตามเวล่ำเวลาหรือโอกาสอำนวยได้ทุกคน โอกาสมีอยู่กับทุกคน เวล่ำเวลามีอยู่กับทุกคน เพราะความตายมีอยู่กับทุกคน เวลาตายใครจะยุ่งยากขนาดไหน ความตายเป็นใหญ่โตหมด มันเอาให้ตายได้ทั้งนั้น ทีนี้เวลายังไม่ตายเราก็เป็นใหญ่ในตัวของเรา เสาะแสวงหาความดีงามไว้สำหรับตนเป็นลำดับลำดาได้ด้วยกัน ถ้าไม่ให้กิเลสหลอกไปเสียว่าไม่มีเวล่ำเวลา ไม่มีกำลังวังชา ไม่มีทรัพย์สมบัติ ทุกอย่างกิเลสจะอ้างไปหมด สิ่งใดที่จะปิดตันเราให้หาทางออกไม่ได้เพื่อไปสร้างความดี ไปไม่ได้นี้ กิเลสจะปิดตันๆ ตลอด เหล่านี้ไม่เคยครึเคยล้าสมัย สัตว์โลกไม่เคยเห็นโทษของมัน
แต่กล่าวถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ ใครปฏิบัติอรรถธรรมนี้ถูกหัวเราะเยาะเย้ยกันแล้วนะ เวลานี้เป็นแล้ว กิเลสมันหนาแน่น กิเลสนั่นแหละมันหัวเราะเยาะเย้ยอรรถธรรม หัวเราะเยาะเย้ยผู้สร้างความดี ทั้งๆ ที่มันจะจม ผู้สร้างความดีจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์หรือนิพพาน มันก็ยังหัวเราะได้ มันเหมือนหมาตัวหนึ่ง หมามันไม่ได้กัดมันเห่าก็เอา เห็นไหมล่ะเมื่อเช้านี้ไอ้หยอง เรากำลังพูดธรรมะไอ้หยองมาเห่าว้อ ๆ จนเราก็จะทนไม่ได้ กูกำลังหิวข้าวนะไอ้หยองนะ กูจะเอามึงมาต้มยำกินนะวันนี้ นั่นเป็นอย่างงั้น มันไม่ได้กัด มันเห่าก็เอา นี่กิเลสมันไม่ได้กัด มันเห่าก็เอา เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติอรรถธรรม เวลานี้ยังเปิดเผยได้นะ ไปวัดไปวา ไปสร้างคุณงามความดี ยังเปิดเผยได้ มีสำหรับผู้ที่หัวเราะเยาะเย้ยอยู่ภายใน แต่ยังไม่กล้าออกแสดงตัวอย่างเปิดเผย มันมีอยู่แล้วเวลานี้
เมื่อได้จังหวะที่มันจะเก็บไว้ในคลังแห่งความรุ่มร้อนของกิเลสนั้นน่ะ มันจะแสดงออกมา เห็นคนไปสร้างคุณงามความดี ไปวัดไปวา ไปให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา มันจะหัวเราะเยาะเย้ย กิเลสเป็นอย่างงั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครจะพูดถึงเรื่องคุณงามความดี มรรค ผล นิพพาน เช่น ศาสนาพุทธเป็นตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน เต็มเปี่ยมโดยสมบูรณ์ไม่มีบกพร่องเลย โลกก็ไม่ถามถึงกัน แม่น้ำมีหลายประเภท เช่นมหาสมุทรบกบางที่ไหนเรื่องน้ำ มรรค ผล นิพพาน ก็เช่นเดียวกันไม่มีคำว่าบกบางตามขั้นตามภูมิลงมาโดยลำดับลำดาสำหรับความดี ที่เราจะได้รับพอไปเกิดในสถานที่เหมาะสมกับกรรมดีของตัวนั้นมีมาก แต่สัตว์โลกไม่สนใจที่จะสร้างจะทำกัน
ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งค่ำ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ขวนขวายไปตามกิเลสเสียทั้งมวลแล้วก็บ่นหาตั้งแต่ความสุข ความสุขที่ไหนก็ทำตั้งแต่ความชั่วเป็นฟืนเป็นไฟ มันก็มีแต่ความทุกข์ละซิ ความสุขก็ไม่มี บ่นหาเท่าไรก็บ่นเท่านั้นแหละ พอหมดจากบ่นแล้วก็จมลงไป ๆ เวลานี้หนาแน่นขึ้นแล้วนะ เรื่องศาสนา เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องมรรค ผล นิพพาน ไม่มีใครพูดถึงแล้ว พูดดีไม่ดีอายกัน ไม่อายอย่างเรานี้ก็ตาม เราพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำที่ได้รู้ ได้เห็น ได้เป็น จากการบำเพ็ญของตนมา มันก็ไม่พ้นที่โลกนี้จะหัวเราะเยาะเย้ย แต่เราก็ไม่เคยสนใจ เอาตัวของเรายันเลย
เพราะเรามีทุกอย่างแล้วเวลานี้ เต็มสมบูรณ์ทุกอย่าง กิเลสตัวไหนจะมาเห่ามา จะมากัดก็มา ว่างั้นเลย เราไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัวกับมัน เหนือมันเสียทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่ากิเลสประเภทใดในสามแดนโลกธาตุเหยียบหัวมันไปหมดแล้ว พูดได้อย่างจัง ๆ อย่างนี้แหละ ทีนี้ผู้ที่จะปฏิบัติความดี จิตใจมีความสงบร่มเย็น มีสมาธิ มีปัญญา นี้พูดไม่ได้นะ มันเห่าวอกแวก ๆ นี่ถ้าขึ้นชื่อว่าความดีกิเลสเห่าเลย ความชั่วไม่เห่า เอากันวันยังค่ำ ต่างคนต่างบึกต่างบึน ถลอกปอกเปิก ยังเหลือแต่กระดูกก็บืนกันไป ทั้งที่มีแต่กระดูกนั่นแหละ เพราะความพอใจในการบึกบึนกับกิเลส เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่อยากบึกบึนกัน มันจึงลำบาก
ถ้าพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องบุญเรื่องกุศล กิเลสปิดเลย ๆ ไม่ให้เชื่อบาป ไม่ให้เชื่อบุญ ไม่ให้เชื่อนรก สวรรค์ นิพพาน ทั้ง ๆ ที่ศาสดาองค์เอกทุกพระองค์สอนสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น เพราะมีอยู่กับโลกมานมนาน และให้ความทุกข์ความทรมานแก่สัตว์โลกมาประจำทางฝ่ายชั่ว ให้ความดีแก่สัตว์โลกมาเป็นประจำ ทางฝ่ายอรรถฝ่ายธรรม ฝ่ายความดีมาเหมือนกันก็ตาม แต่สำหรับกิเลสมันจะไม่ให้กล่าวถึงเลย จะให้กล่าวถึงตั้งแต่ความชั่วช้าลามก เพราะฉะนั้นผู้ไปบำเพ็ญธรรมจึงได้เก็บเนื้อเก็บตัวนะ พูดอะไรต้องได้ระมัดระวัง ไม่งั้นกิเลสมันเห่าฟ่อ ๆ เลย พูดอย่างกิเลสพูดนี่ไม่ได้
กิเลสมันพูดได้ทำได้อย่างออกหน้าออกตา เพราะใครก็เป็นคลังกิเลสเหมือนกัน ต่างคนต่างหน้าด้านเหมือนกัน ไม่กลัวบาปมันก็ทำบาปแบบไม่กลัว พูดเรื่องบาปเรื่องกรรมแบบไม่กลัวเหมือนกัน เพราะมันหน้าด้าน ใจด้านไปหมดแล้ว ส่วนธรรมมีบางอยู่บ้างมันก็ได้เก็บเนื้อเก็บตัวระมัดระวัง นอกจากเหตุการณ์ที่จำเป็นที่จะควรพูดเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกมากน้อยเพียงไรก็ออกตามเรื่องตามราว แต่มีมารยาทอยู่นั้นแหละ แต่กิเลสมันไม่มีมารยาท มันเห่าว้อ ๆ เลยกิเลส เพราะถือว่ามันหมด ถ้าพูดภาษาของธรรมแล้ว มันหมดราคาแล้วทำยังไงก็ได้ ว่างั้นเถอะน่ะ กิเลสมันหมดราคา ธรรมมีราคาอยู่ต้องมีการสงวนตัว เป็นอย่างงั้น
ทีนี้เวลาเปิดออกมานี่ธรรมเป็นธรรมล้วน ๆ ออกมา มีคุณค่ามหาศาล ๆ ไม่มีบกพร่องตรงไหนพอที่จะมาตำหนิติเตียนธรรมนั้นได้ ถึงอย่างนั้นผู้ปฏิบัติธรรมก็ไม่พ้นที่จะถูกตำหนิติเตียน จะไปวัดไปวา แน่ะเขาจะไปวัดนะ ดีแล้วที่เขาไปวัดไปวา แล้วจะไม่มีใครแย่งปูแย่งปลา เราสนุกหาปูหาปลาได้ตามห้วย หนอง คลอง บึง พวกนี้เขาไปวัดไปวาแล้วเขาจะไปสวรรค์ นิพพาน กันหมดไม่มีใครมาแย่งปลา เวลามันตายแล้วมันไปละ มันไปตกเบ็ดตกบ่ออยู่ที่ไหนไม่เห็นเลย มีแต่จมไป ๆ ครั้นเวลามันยังมีชีวิตอยู่กลัวเขาจะมาแย่งปลามันในบึงในหนอง เวลามันตายแล้วมันไปไหนก็ไม่รู้ มันก็ไม่คิด นี่ละเรื่องอำนาจของความต่ำเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นการพูดถึงเรื่องความดีงามทั้งหลายนี้จึงถูกกิเลสติฉินนินทา หัวเราะเยาะเย้ย ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้รับผิดชอบตัวเอง ใครจะว่าอะไรก็ตามความรับผิดชอบตัวเองอยู่กับเรา ให้เราปฏิบัติตัวของเรา อย่างไรจะดีให้ทำส่วนที่ดี ใครจะว่าอะไรเป็นเรื่องของเขา ปากเขา ใจเขา อย่ามาสนใจ ใจของเราตัวของเรา เรารับผิดชอบเรา อะไรจะดีงามให้ทำลงไป ๆ
อย่างเราเห็นอยู่นี่ไม่มีใครพูดนะอย่างนี้ก็ดี หลวงตาบัวนี้แหละพูด พูดได้อย่างจังๆ เพราะเราเป็นวงปฏิบัติด้วยกัน เฉพาะอย่างยิ่งพระกรรมฐานเป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมทรงมรรคทรงผลมากกว่าคณะใด ๆ ว่าอย่างนี้เลย เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้มุ่งหน้ามุ่งตาปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ เรียกว่า วงหลวงปู่มั่นลงมา หลวงปู่มั่นก็เป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย หลวงปู่เสาร์ ชื่อเสียงท่านโด่งดังมาตั้งแต่เราเป็นเด็กหัวเท่ากำปั้น ได้ยินชื่อเสียงมาแล้ว แล้วดังมาเป็นลำดับลำดาจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่ท่านเสาะแสวงหาคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดีไม่มีท่านจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลได้อย่างไร พิจารณาซิ ก็ของมีอยู่ เราตักน้ำในบึงในบ่อที่ไหนตามกำลังของเราว่าน้ำนั้นไม่มี น้ำบึงนั้นไม่มีอย่างนี้ ที่ไหนมันก็เต็มไปด้วยน้ำตักได้ทำได้
สมบัติทุกอย่างทั้งดีทั้งชั่วมีอยู่เต็มโลกเต็มสงสาร ใครหาดีได้ดี ใครหาชั่วได้ชั่ว บกพร่องเมื่อไร อันนี้ท่านอุตส่าห์พยายามปฏิบัติ อย่างหลวงปู่มั่นมาประสิทธิ์ประสาทอรรถธรรมให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ทั้งๆ อยู่ในป่า เช่น ในเชียงใหม่เป็นต้นนะ ท่านอยู่ในป่าในเขากับพวกขมุ มูเซอ ท่านเล่าให้ฟัง โอ๊ย.น่าสลดสังเวชน้ำตาร่วงละเรา ท่านไปอยู่ในป่าในเขา บางทีเดินอยู่กลางวันกวางมันวิ่งผ่านมาหน้า แน่ะ เห็นไหมกลางวันมันก็ยังมากวาง มันวิ่งผ่านหน้ามา หมูวิ่งผ่านหน้า ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็คืออยู่ในป่าเขานั่นแหละ ท่านสมบุกสมบัน
ทีนี้บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่มีเจตนาหวังอรรถหวังธรรมอย่างยิ่ง ได้ยินชื่อเสียงท่านอยู่แล้วว่าเป็นพระประเภทใด ก็ซอกซอนเข้าไปหาท่าน นั่นละท่านที่จะได้แนะนำสั่งสอนก็เพราะพระไปเอง ท่านไม่ได้หาพระนี่นะ พระไปหาท่านท่านก็แนะนำสั่งสอน ๆ มาเรื่อยจนกระทั่งท่านนิพพานไป ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็มีจำนวนมาก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนี่มีตั้งแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นๆ ที่ล่วงลับไปมากต่อมาก แล้วยังมีอยู่ก็มี ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผู้ทรงมรรคทรงผล ทรงอรรถทรงธรรม มรรคผลนิพพานเต็มหัวใจ ๆ ก็เพราะท่านเป็นผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรม
ธรรมมีอยู่ต้องได้ธรรมมาครองหัวใจ ผู้เสาะแสวงหาบาปหากรรม บาปกรรมมีอยู่ก็ได้มาบีบบี้สีไฟเหมือนนักโทษในเรือนจำนั่นแหละ เต็มอยู่นั่น เราไม่ได้ติดคุกติดตะราง มันติดตะรางของกิเลสเต็มเนื้อเต็มตัวมันก็ไม่รู้ นั่นเป็นยังไง เวลานี้เราก็ได้เห็นอย่างชัดเจนก็คือพระที่ทรงมรรคทรงผลอย่างประจักษ์หาที่ค้านไม่ได้ คือ อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ๆ นี้มีเยอะนะ อย่างเงียบๆ ทุกวันนี้ก็มีเยอะ คำว่า อัฐิเป็นพระธาตุนี้ตีตราแล้วว่าเป็น พระอรหันต์ จิตใจที่บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วก็ซักฟอกธาตุขันธ์โดยหลักธรรมชาติของตัวเอง ธาตุขันธ์แม้จะเป็นของหยาบก็กลายเป็นของละเอียดไปตามส่วนของธาตุ จึงกลายเป็นพระธาตุได้ มีอยู่เยอะนะ ไม่ใช่น้อย ๆ
เวลาสรุปลงแล้ว ถามมีตั้งแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ๆ ที่ดำเนินตามทางของท่าน ที่ดำเนินมาแล้วผ่านไปเรียบร้อยแล้วและถูกต้องตาม สวากขาตธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วย ผู้ปฏิบัติตามก็ตักตวงเอา มรรคผล นิพพาน มีอยู่ตลอด แต่เงียบๆ เฉย ๆ เหมือนไม่มี ส่วนมากมีแต่พระที่อยู่ในป่าในเขา เข้าไปหาซิถามกันละซิ ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งกว่าพระกรรมฐาน รู้ภูมิอรรถภูมิธรรมของกันและกัน พอไปถึงปั๊บเท่านี้คุยกันแล้วเรื่องอรรถเรื่องธรรม ใครรู้ใครเห็นยังไงก็แสดงออกมาตามความรู้ความเห็นของตน ก็เปิดเผยให้ชัดเจนอย่างนั้น แล้วต่างองค์ต่างก็ทราบเรื่องราวของกันและกันอย่างเงียบ ๆ อยู่ในวงกรรมฐาน
ออกมานอก ๆ ท่านไม่ค่อยพูดละ กลัวมันเห่าละซิ เห่าว้อ ๆ แว้ ๆ หามรรคหาผลอะไรไม่มี ได้แต่ลมปากก็เห่า เห่าแล้วก็ลงไปหามูตรหาคูถของเก่านั้นแหละ ออกจากมูตรจากคูถมาก็มาเห่า ลงไปก็ไปกินมูตรกินคูถของเก่ามันวิเศษวิโสอะไร ธรรมท่านไม่ได้เป็นมูตรเป็นคูถ ท่านอยู่ด้วยอรรถด้วยธรรม ด้วยทองคำทั้งแท่ง ตายก็ตายด้วยทองคำทั้งแท่งท่านเลิศเลอตลอดเวลา ท่านเป็นมูตรเป็นคูถที่ไหน ไอ้พวกมูตรพวกคูถกินมูตรกินคูถมันก็เห่าอยู่อย่างนั้นจนได้ ไม่ยอมเชื่อ ๆ ท่านก็ไม่สนใจว่าใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ท่านเป็นผู้รับรองตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง ท่านก็ปฏิบัติตัวเองเพื่อความดีงาม จึงตักตวงเอามรรคผลนิพพานมากมาย โห เวลานี้มีไม่น้อยนะ
นี่ละเป็นยังไงมรรคผลมีไหม ท่านผู้ปฏิบัติท่านปฏิบัติอยู่ท่านครองอยู่ มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีก็ดูเอาซิ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาโมฆะนี่นะ ธรรมก็ไม่ใช่ธรรมโมฆะ เป็นธรรมชาติล้วน ๆ เลิศเลอทั้งนั้น แล้วมาสอนโลก โลกตั้งใจปฏิบัติตามนั้น ๆ ก็ได้รู้ได้เห็นตามที่ท่านสอนไว้เพราะเป็น สวากขาตธรรม ไม่บกบาง ไม่มีคำว่าบกบางธรรม เป็น อกาลิโก พร้อมที่จะให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติตลอดเวลา เราตั้งใจปฏิบัติ เราก็เห็นตามนั้น ๆ เราเปิดออกมาอันนี้ก็ไม่มีใครเปิด เพราะอย่างหนึ่งไม่ใช่กาลสถานที่เวล่ำเวลาที่ท่านควรจะเปิดท่านก็ไม่เปิด ท่านก็อยู่ตามนิสัยบำเพ็ญตนอยู่ในป่าในเขาเงียบๆ ไป หากว่าถึงกาลเวลาที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อย คนเราเมื่อไปหากันด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วก็ต้องได้รู้เรื่อง ได้รับผลประโยชน์จากกันเป็นอย่างดีทีเดียวไม่สงสัย เมื่อไม่ถึงกาลเช่นนั้นท่านก็เหมือนไม่รู้ไม่เห็นไม่มี
แม้แต่หลวงตาบัวเองแต่ก่อนก็เคยเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังแล้ว ไปอยู่ในป่าในเขาคิดเมื่อไรว่าจะได้มาสั่งสอนโลกขนาดที่เป็นอยู่เวลานี้น่ะ อยู่แต่ในป่าในเขา ได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่นแล้วก็ฟัดกันเลยกับกิเลส อยู่ในป่าในเขา ไปองค์เดียว ๆ ผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถก็เรานี่แหละ ไปอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งออกมาแล้วเพื่อนฝูงก็รุมเข้ามา ๆ จากนั้นก็เลยกระจายออกไปกระทั่งทั่วโลกดินแดนดังที่ท่านทั้งหลายเห็นแล้วนี่แหละ เป็นยังไง เราก็ไม่เคยคิดว่าจะได้พูดได้แสดงอรรถแสดงธรรมอย่างนี้ ถึงความรู้จะเต็มหัวใจก็ตาม แต่มันไม่ได้หิวได้โหยในความรู้ของตัวเอง ตามแต่กาลเวลาอันเหมาะสมที่จะออก
นี้เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ออกทั่วโลกมาแล้วได้ ๕-๖ ปี นี้แล้ว ทั่วประเทศไทย นอกจากนั้นยังทั่วโลกอีกโดยทางอินเตอร์เน็ต ไม่เคยคิดเคยอ่านอะไรเลยว่าจะเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นให้เห็นแล้วอย่างนี้ นี่ถึงกาลเวลาที่จะพูด เอ้า ใครอยากปากแตกให้มา ตีปากมันเลยใครมาพูดให้เรา เราพูดโดยอรรถโดยธรรมของเราเอง เราหามาเองเรารู้เองของเรา เราพูดเองของเรา เราไม่ได้ไปหาหยิบยืมใครมาให้เกิดความกระทบกระเทือนหรือรบกวนเขานี่ เราพูดด้วยปากของเรา ธรรมของเรา ใจของเรา ใครอยากฟังก็ฟัง ใครไม่อยากฟังก็แล้วแต่ใครเท่านั้นเอง เราไม่ได้ไปทำความกระทบกระเทือนหรือเสียหายให้ผู้ใด เราพูดได้เต็มอกเต็มใจเพราะธรรมมีอยู่ ศาสดามีอยู่ ศาสนามีอยู่ด้วย
เราพูดตามผลของศาสนา ที่ประกาศยืนยันความแน่นอนตายใจให้โลกมาแล้วเป็นเวลานานเท่าไร นี่เราก็ปฏิบัติตามนั้น รู้ตามนั้นเห็นตามนั้นพูดตามนั้นผิดไปที่ไหน นี่ละที่พูดถึงเรื่องว่าพระกรรมฐานผู้ทรงมรรคทรงผลมีไม่น้อยนะ ท่านปฏิบัติจริง ๆ ท่านตักตวงอยู่ในป่าในเขา ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้เสาะแสวงหาคุณงามความดี อยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผาท่านก็บอกไว้แล้ว ท่านก็ไปอยู่ตามนั้นปฏิบัติตามนั้น ท่านก็รู้ตามนั้นเห็นตามนั้นนั่นเอง เป็นแต่เพียงว่าไม่ถึงกาลเวลาท่านก็ไม่พูด เหมือนไม่รู้ไม่เห็น เราจะถึงกาลไม่กาลพี่น้องทั้งหลายก็ทราบเอง ดังที่มาพูดเวลานี้น่ะ หรือเอาธรรมทั้งหลายมาโกหกเหรอ พิจารณาให้ดีซิ
เรื่องธรรมเป็นของหาได้ง่าย ๆ เมื่อไร ไอ้เรื่องกิเลสมันเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มเขาเต็มเราไม่มีใครบกบาง ไม่ต้องหามันก็เป็นอยู่ในใจแล้ว ท่วมท้นอยู่ในหัวใจตลอดเวลาแล้ว ธรรมมันไม่ค่อยมี โลกอันนี้ที่มันว่างมันเปล่าเสียจริง ๆ นั้นก็คือธรรมในใจของสัตว์โลกไม่มี มีแต่กิเลสเต็มหัวใจของสัตว์ จึงกว้านเอาแต่ความทุกข์ ความทรมานมาเผากัน ผู้ใหญ่เผาสมใหญ่ผู้น้อยเผาสมน้อย จนกระทั่งสัตว์ทั้งหลายก็มีกิเลสเหมือนกัน เบียดเบียนทำลายกันดะไปหมดไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ เรื่องของกิเลสแล้วเป็นอย่างนี้
ถ้าเรื่องของธรรมมีให้อภัย เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เห็นไหมไก่ คนจัดอาหารอยู่นี้ไก่มันจะขึ้นบนหัวคน ขันอยู่บนหัวคนก็มี ใต้ถุนศาลาเห็นไหมมันขันอึกทึก นี่ก็เพราะธรรมนั่นเอง ธรรมไม่ถือสีถือสาไม่สนใจ ให้อภัยเมตตาสัตว์โลกตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสัตว์มันถึงได้ทะลึ่ง ๆ เต็มอยู่นี้ แม้แต่ไอ้หยองเรากำลังเทศน์มันยังมาเห่าว้อ ๆ จนจะได้เอามันมาต้มยำ นี่ก็เพราะมันตายใจใช่ไหมล่ะ ไม่มีใครว่าจะฆ่ามัน มันก็ไม่กลัวละซี นั่นละธรรมไปที่ไหนให้อภัยกันทั่วไปหมด เย็นไปหมดเลยธรรม ถ้ากิเลสแล้วร้อนไปหมด ให้พากันไปตั้งใจประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งไม่ดีทั้งหลาย
บรรดาลูกหลานที่ศึกษาเล่าเรียน อย่าสักแต่ว่าศึกษาเล่าเรียนให้เอาหลักวิชานั้นไปปฏิบัติตามหลักวิชาให้เกิดประโยชน์แก่ตน และศีลธรรมคือความดีงาม รู้จักบุญจักบาปรู้จักสูงจักต่ำนี้คือธรรม รู้จักสูงจักต่ำคือผู้ใดที่ควรเคารพบูชา ผู้สูงคือผู้เช่นไร พ่อแม่สูงสุด ให้ตั้งใจพากันเคารพยำเกรงพ่อแม่ ให้นับถือบุญคุณของท่าน เรามาแต่ละคน ๆ นี้พ่อแม่รับประกันแล้วทั้งนั้นนะ ไปเรียนหนังสือก็รับประกัน ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ก็รับประกัน ตกคลอดออกมาทั้งพ่อทั้งแม่ก็รับประกันมาตลอด จนกระทั่งส่งเข้าโรงร่ำโรงเรียนก็รับประกัน อะไรขาดตกบกพร่องกระเทือนถึงพ่อถึงแม่ นี่รับประกันลูกตลอด
จะไปเรียนชั้นไหน ๆ พ่อแม่ต้องตามรับประกันตลอดไปเลย บรรดาลูกมันจะมีสติปัญญามาจากไหน ก็ต้องอาศัยพ่อแม่ กินตับกินปอดพ่อแม่ ถ้าเป็นลูกเลวด้วยแล้วยิ่งเลวร้ายไปอีก ถ้าเป็นลูกดีพ่อแม่ยังพอได้ชื่นอกชื่นใจนะ เพราะฉะนั้นจงปฏิบัติตนให้พ่อแม่ชื่นอกชื่นใจ ท่านไม่ได้หวังเอาอะไร ๆ จากเราละพ่อแม่ของเราทุกคน อยากให้ลูกมั่งมีศรีสุข พ่อแม่จะเบียดเบียนลูกอิจฉาพยาบาทลูกไม่มี มีแต่ความเมตตาล้วน ๆ อยากให้ลูกดีด้วยกันนั่นละ
เพราะฉะนั้น เราจงให้เห็นคุณของพ่อของแม่ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่การงาน เช่น การศึกษาเล่าเรียน เวลานี้เป็นโครงการแห่งการศึกษาเล่าเรียน อย่าเตร็ดเตร่เร่ร่อนหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ต้องมีหลักมีเกณฑ์ปฏิบัติตัวเอง นี่เรียกว่าคนมีขอบเขต คนมีความรับผิดชอบตัวเองย่อมมีขื่อมีแปบังคับตนเอง นั่นละถูกต้องดีงาม ให้พากันจำเอาทุกคน เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละพอ
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www luangta.com หรือ www.luangta.or.th |