เอาธรรมปราบเสียบ้าง
วันที่ 29 สิงหาคม 2546 เวลา 8:20 น. ความยาว 42.42 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

เอาธรรมปราบเสียบ้าง

 

         วัดภูวัว มีพระทั้งหมด ๓๙ องค์ พระ ๓๗ เณร ๒ เป็น ๓๙ องค์ นับว่ามีพระมากมาตลอดตั้งแต่เราส่งเสริมบำรุง ส่งเสริมก็คือทางด้านธรรมะ เรื่องก็คือสถานที่บำเพ็ญเหมาะสมมาก เราไปดูหมดแล้ว พอลงรถปั๊บนี่เข้าเลย แต่ก่อนไปสะดวก ไปเที่ยวดูหมด ไปที่ไหนรู้สึกว่ามันตื่นเต้นภายในใจเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไปที่นั่นก็สะดวกที่นี่ก็สบาย เป็นดงล้วนๆ ก็มี เป็นหินดานกลางแจ้งก็มี เวลาจะเดินจงกรมกลางคืน หรือนั่งภาวนากลางคืนนี่ท่านเรียกว่าอัพโภกาส ได้สะดวกสบาย คือเดินจงกรมก็ได้ นั่งภาวนาก็ได้ในเวลากลางคืน ทีนี้กลางวันในดงก็มี ชุ่มเย็นตลอด กว้างขวาง เราไปเห็นมาแล้ว แต่ก่อนอยู่ได้เพียงสององค์หรือสามองค์เป็นอย่างมาก สองสามองค์ก็ทั้งอดๆ อยากๆ พอทนได้ เพราะท่านมุ่งต่อธรรม เนื่องจากหมู่บ้านแถวนั้นมีสองสามหลังคาเรือน เขาก็อดอยากขาดแคลน พระท่านก็ต้องอดไปตาม แต่สถานที่บำเพ็ญสมบูรณ์

ได้ยินข่าวมานาน ท่านอุทัยท่านอุตส่าห์พยายามตลอดมา ที่เช่นนั้นท่านก็อยู่มาตลอด ทีนี้พอได้โอกาสเราถึงได้ไปดู ไปดูแล้วถึงใจเลยเชียว ประกาศในบัดนั้นเลย เอาละตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านอุทัยจะรับพระเท่าไรก็รับได้เลย พระที่ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาเพื่อชำระความชั่วช้าลามกออกจากจิตใจ ให้มาได้เลย เอ้ามาเท่าไรมา อย่างนั้นนะ บอกว่า เอ้ามาเท่าไรมา ผมจะรับเลี้ยง หากว่ารับเลี้ยงไม่ไหวผมจะบอก ว่างั้นเลย พระที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ ให้มาเลย ผมจะรับเลี้ยงตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเลย หากว่าไม่ไหวแล้วผมจะบอก ตั้งแต่นั้นมาพระก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่สะดวกมาก ท่านเพิ่มขึ้นก็เพราะสถานที่เหมาะสม

เราก็รับเลี้ยงมา ทีแรกเราบอกว่าสิบกว่าปี แต่เวลาเขารู้เขาจำวันที่ พ.ศ.ได้เขามาบอกเรา มันตั้ง ๒๑-๒๒ ปีแล้วมัง ตั้งแต่รับเลี้ยงมา ส่งอาหารเดือนละครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๕ ถึงสิ้นเดือน ในช่วงนี้จะไปวันไหนก็ไปได้ เมื่อว่างวันไหนไปได้เลย ตั้งแต่บัดนั้นมา เดือนละหนๆ นี้เป็นพื้นเลย ส่วนที่เราว่างเมื่อไรเราก็ไปตามที่เคยเป็นมา ถ้าเราว่างเมื่อไรเราก็ไป ถ้าเราไปแล้วก็เอาอาหารเสริมไป เต็มรถเราเลยแหละ รถตู้สองคัน ไปทุกครั้งๆ สองคันเต็มเอี๊ยดๆ เลย นี้เป็นอาหารเสริม ส่วนอาหารเป็นพื้นเราจัดไว้เผื่อเรียบร้อยหมดแล้วไม่ให้บกพร่อง ไม่ว่าข้าวว่าอะไร นี่เรียกว่าอาหารพื้น พวกข้าว น้ำตาล น้ำปลา น้ำมันพืช แล้วอาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป นี่เราจัดให้พอ เผื่อไว้ ๆ ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นที่ว่าเหล่านี้จึงไม่นำไป เราจะนำไปพวกอาหารสด อาหารยาว เช่นอย่างกุนเชียงก็ยาวใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้นนะ เราจะนำอาหารสด แล้วผลหมากรากไม้สดไป แล้วแต่เราว่าง อันนี้เอาแน่ไม่ได้ เพราะอาหารที่เราจัดไปนั้นเพียงพอแล้ว

เรื่องกรรมฐานนั้นเรียกว่าเหลือเฟือ แต่นี้ท่านอยู่หมู่มากเราจึงเผื่อๆ  มันก็อดสงสารไม่ได้นะ เพราะอดอยากภาวนาดี มันก็คิดเป็นห่วงธาตุขันธ์ความเป็นอยู่ของท่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องไม่ให้บกพร่องเลย แล้วแต่ท่านพิจารณาเองในการปฏิบัติต่อตัวเอง ส่วนอาหารการขบฉันเราให้สมบูรณ์ตลอดไปเลย อย่างนี้ตลอดมา เราส่งเสริมพระดี ไม่ว่าที่ไหนเราเข้าถึงหมด เฉพาะอย่างยิ่งวงสายหลวงปู่มั่นนี้เราเข้าหมด ซอกแซกซิกแซ็กไปทุกแห่ง ควรแนะนำตักเตือนอะไรก็เตือน ควรดุก็ดุไปเรื่อยๆ แต่ท่านเหล่านี้ถือเป็นมงคลอย่างมาก เราเข้าไปตรงไหนเสียงร่ำลือไปถึงพวกเดียวกันๆ วันนั้นท่านมาที่นั่นมาที่นี่ เพราะไปก็ไปแนะนำสั่งสอนอรรถธรรมล้วนๆ  ไปวัดนั้นบ้างวัดนี้บ้างเวลาว่างนะ

เราคิดเห็นหัวใจเรา ไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้แหม อบอุ่นเหลือเกินนะ เหมือนว่ากิเลสนี้เที่ยวหมอบอยู่ตามพุ่มไม้ พุ่มไม้พุ่มนั้นพุ่มนี้กิเลสเที่ยวหมอบ เพราะเราเข้ามาหาท่านกิเลสเข้ามารุมเราไม่ได้ มันเที่ยวหมอบ ทีนี้พอเราก้าวออกจากวัดมันก็รุมเรา เป็นอย่างนั้นนะ คือจิตใจอยู่กับท่านอบอุ่นมากทีเดียว เอาพูดเปิดอกเลย เวลาอยู่กับท่านการภาวนา ไม่ว่าหลับว่าตื่นเราภาวนานี้ไม่ปรากฏองค์ของท่าน มีแต่ความอบอุ่น พอก้าวออกจากท่านไปนี้ โอ๋ย เกือบจะนับได้เลยว่า วันนี้วันนั้นไม่ปรากฏองค์ท่าน นอกนั้นทุกคืนไปเลย นี่ทำไมเป็นอย่างนั้น พอนั่งปั๊บนี้มาแล้วๆ เตือนข้อนั้นเตือนข้อนี้ นี่เรียกภาคธรรมภายในใจ ความเมตตาธรรมท่านครอบไป ทางนั้นรับประสานกันเลย ถ้ามีเครื่องรับนะ คืนไหนก็คืนนั้นเลยๆ จนกระทั่งได้มากราบเรียนท่าน ตั้งแต่ออกจากท่านไปนั้นกลับมานี้ กลางคืนไม่ปรากฏท่าน เพียงเท่านั้นคืนเท่านี้คืน นอกนั้นปรากฏทั้งนั้น ท่านก็ตอบเล็กๆ น้อยๆ ไปอย่างนั้น เพราะท่านรู้หมดแล้วเรื่องเหล่านี้

พอจากท่านไป ภาพธรรมนิมิตจะมาแสดงอยู่ตลอด ประสานกันตลอด นี่ละธรรมละเอียดอย่างนั้น ไม่มีใกล้มีไกล อย่างที่ท่านว่าพวกเทวดาประเทศเยอรมันมาฟังเทศน์ท่าน เขาออกดูเหมือนจะเป็นหนังสือคึกฤทธิ์ละมั้ง ออกตอนเราเขียนประวัติหลวงปู่มั่นใหม่ๆ ทีแรกก็ลักษณะชมเชยๆ ครั้นชมเชยแล้วยกขึ้นเดี๋ยวก็ทุ่มลง เราก็ตอบไปตามนั้นเลย มาว่าอะไรเยอรมัน สามโลกธาตุมีใกล้มีไกลที่ไหน ไม่มีกิโล ไม่มีระยะทาง จิตนี้ปั๊บเดียวถึงกันแล้ว ขณะคิดปั๊บนี่ถึงหมด ขอบเขตจักรวาลจิตนี่คิดอะไรถึงหมด การถึงกันก็แบบเดียวกัน นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า เราอย่าเอามาคลุกเคล้ากับมูตรกับคูถคือกิเลสตัณหาอยู่ตลอดเวลา ธรรมหาเวลางอกเงยไม่ได้ เสียคนไปโดยลำดับนะ

กิเลสพาคนให้เสีย ธรรมพาคนให้ดี พระพุทธเจ้าเลิศเพราะธรรม พระสาวกทั้งหลายที่เราได้กราบไหว้บูชามาตลอดทุกวันนี้เลิศด้วยธรรมทั้งนั้น ไม่ได้เลิศด้วยกิเลส เพราะฉะนั้นจึงอย่าพากันสั่งสมกิเลสซึ่งเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถไว้บนหัวใจ มันจะทำความเสื่อมความเสีย ความหมดราค่ำราคาในตัวของเรา ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ชั้นใดภูมิใดไม่สำคัญ กิเลสขึ้นเหยียบหัวได้หมด เหยียบหัวใจละซิ กิเลสไม่เคยกลัวใคร กลัวแต่ธรรมอย่างเดียว ถ้าธรรมเข้าตรงไหนกิเลสจะเบิกออกๆ  อย่างที่พูดตะกี้นี้ เวลาเข้ามาหาท่านกิเลสเที่ยวหมอบอยู่ตามนู้น เราเข้ามาหาท่านมันเข้ามายุ่งเราไม่ได้ พอเราออกไปมันก็รุมเราเลยหลงทิศหลงทาง ต้องได้เหมือนหนึ่งว่าได้อาราธนานิมนต์ท่านมาคุ้มครอง เวลากลางค่ำกลางคืนปรากฏๆ เป็นลักษณะอย่างนั้นนะ เพราะกิเลสมันรุมเอา

กิเลสไม่ได้กลัวใครทั้งนั้น กลัวธรรมอย่างเดียว ถ้าธรรมแทรกตรงไหนกิเลสจะเบิกออกๆ ธรรมมากเข้าไปเท่าไรกิเลสเบิกออกๆ จนกระทั่งออกไปเสียหมดโดยสิ้นเชิง โล่ง สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรมาปรากฏภายในจิตใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วเลย เพราะสามแดนโลกธาตุเป็นสมมุติทั้งมวล จิตที่พ้นจากสมมุติแล้ว พ้นหมดในสิ่งเหล่านี้ จึงไม่มีอะไรมากวนใจท่าน ความสุขท่านว่าบรมสุข นี่ที่ท่านตั้งชื่อว่าบรมสุข คือสุขอย่างยอดเยี่ยมนี้ยังหยาบไปนะ แต่สมมุติมีอย่างนี้ก็ตั้งอันนี้มารับกัน แต่หลักธรรมชาติที่ท่านทรงไว้เลยนี้อีก พูดอะไรไม่ได้เลย แต่เจ้าของไม่สงสัย นั่นแหละคือธรรมชาตินอกสมมุติแท้ รู้กันได้แต่จิตที่นอกสมมุติ รู้ตัวเองนอกสมมุติโดยลำดับ นอกจากนั้นไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย

นี่คุณค่าแห่งการปฏิบัติธรรม ปัจจุบันอยู่ตลอดเวลาธรรมของพระพุทธเจ้า อย่าไปเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วเท่านั้นปีเท่านี้เดือน มรรคผลนิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นี้คือกิเลสกล่อมหัวใจคนเพื่อจมนรก ลงนรกไม่มีวันฟื้นขึ้นมาเลย ให้พากันเข้าใจนะลูกหลานทั้งหลาย นี่คือคำกล่อมของกิเลส ธรรมพระพุทธเจ้า อกาลิโก ประกาศขึ้นคำเดียว คือไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลส ตลอดไป ใครทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดี ตลอดเหมือนกันหมด ไม่ได้มีว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วหรือยังไม่นิพพาน ถ้าว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว กิเลสนั้นมันอยู่ในหัวใจมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มันนานเท่าไรแล้ว แล้วมันนิพพานไปไหน มีแต่เหยียบหัวใจสัตว์โลก ถ้ายิ่งธรรมะห่างเท่าไรแล้ว หัวใจนั้นจะมีแต่ฟืนแต่ไฟ ไม่ได้มีอรรถมีธรรมแล้วเป็นไฟทั้งนั้น ไม่มีน้ำดับไฟ เมื่อมีธรรมแล้วก็เย็นๆ พากันจำเอาไว้

คุณค่าแห่งการปฏิบัติธรรม อกาลิโก ทุกอาการของการกระทำ กระทำดีเป็นดี กระทำชั่วเป็นชั่ว ตลอดเสมอกันหมด ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันคำว่ากิเลสกับธรรม ใครทำชั่วชั่วตลอด เจ้าของจะปฏิเสธขนาดไหน มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำปฏิเสธ ถ้าหากขึ้นกับคำปฏิเสธโลกนี้จะไม่มีทุกข์ ปฏิเสธหมดไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความจริงล้วนๆ ที่โลกต้องการ แต่นี้เป็นยังไงไปที่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน เป็นยังไงมันไปตามกาลตามสถานที่เวล่ำเวลาไหม มันอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกไม่ได้ไปไหน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรม ที่เกิดในหัวใจก็ตาม ให้บำรุงธรรมขึ้นให้มากๆ เพื่อเป็นน้ำดับไฟ ชะล้างความเดือดร้อนทั้งหลายภายในใจให้สงบลง

อย่าพากันตื่นจนเกินไปนะ ความตื่นจนเกินไปมีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น ความรู้เนื้อรู้ตัวนี่เป็นเรื่องของธรรม ไม่ตื่นจนเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างให้มีความพอดีเข้าไปเป็นมิตรเป็นสหาย ถ้ามีแต่กิเลสแล้วลากเตลิดเปิดเปิง มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน ถ้ามีธรรมแล้วมีความอบอุ่นอยู่เย็นเป็นสุข นี่ละการปฏิบัติธรรม นี่ก็ได้นำมาพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง ยิ่งจวนจะตายเท่าไรธรรมะยิ่งเร่ง เพราะความเมตตายิ่งหนักขึ้นๆ นะ เราไม่ได้ห่วงตัวเองเราพูดจริงๆ เราไม่มีเลย ธาตุขันธ์นี้จะไปเมื่อไรก็ไป บำรุงรักษาไว้ก็เพื่อประโยชน์กับโลกเท่านั้น ที่จะเพื่อประโยชน์กับเรานี้เราไม่เห็นมี นี่ก็แบกหามกันไป พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่าย มีแต่ภาระที่ให้จิตได้รับผิดชอบทั้งนั้น นี่มันเป็นความสุขแล้วเหรอ พิจารณาดู สลัดปั๊วะออกไปแล้วหมด สมมุติโดยประการทั้งปวงไม่มีเหลือเลย ศัพท์ครั้งพุทธกาลท่านว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีสมมุติเข้าไปเจือปนแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย เรียกว่าเป็นธรรมล้วนๆ เลย นี่การปฏิบัติ

จิตใจเป็นสิ่งที่ฝึกได้ ถ้าฝึกไม่ได้พระพุทธเจ้าไม่พาฝึก พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ พระสงฆ์สาวกไม่ได้เป็นผู้เลิศผู้เลอ นี่เพราะการฝึกได้ กิเลสมันรุมมันล้อมเอาฟืนเอาไฟเผา ชำระด้วยการสร้างคุณงามความดี ซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำดับไฟ ชำระไปทุกวัน ดัดแปลงเข้าไปทุกวัน ต่อไปก็ค่อยเคยชินกับการชำระสะสาง การระมัดระวังตัว เช่นเดียวกับทางความชั่ว ถ้าปล่อยให้มันเป็นไปตามความชั่วนี้เตลิดเปิดเปิง ไม่ได้มีครูมีอาจารย์ ไม่มีสูงมีต่ำ ไม่ได้มีความเคารพนับถือ เคารพตั้งแต่เรื่องของกิเลสที่จะพาลงนรกอเวจีทั้งเป็นทั้งตายเท่านั้นเอง ถ้ามีอรรถมีธรรมแล้วมีความเคารพ เคารพตัวเองแล้วก็เคารพผู้อื่นได้

เคารพตัวเองคือระวังรักษาตัวเอง ตัวของเรานี้มีคุณค่ามากขนาดไหน สิ่งที่จะมาเป็นภัยต่อตัวของเรานั้นเรารีบปัดออกๆ นี่ความรักสงวนตัวด้วยการรักษาความดีเอาไว้ ความชั่วให้พยายามปัดออกๆ นี่เรียกว่าคนเห็นคุณค่าของตัวเอง ถ้าไม่เห็นคุณค่าแล้วก็มีแต่เตลิดเปิดเปิง ดิ้นรนกระวนกระวาย อยากดีอยากเด่น เอาอะไรมาดีมาเด่น ทำตั้งแต่ความชั่วเพื่อความดีเด่นมีเหรอ อยากดีเด่นก็ทำความดีเข้าซิ ทำความดีแล้วความดีนั้นเป็นความเด่นในตัวเอง ใครไม่รู้เจ้าของก็เด่นในเจ้าของ แล้วก็ปิดไม่อยู่ นตฺถิ โลเก รโห นาม ที่ลับไม่มีในโลก มันแจ้งอยู่ภายในจิตใจของผู้ทำ ถ้าเป็นธรรมสว่างจ้าอยู่นั้น ถ้าเป็นกิเลสก็เผาให้ได้รับความทุกข์

ใครไปอยู่ที่ปิดที่บังไม่มีผู้ใดเห็น มันก็เป็นทุกข์ เหมือนกับเอาไฟไปจี้เรา ไปอยู่ในห้องปิดประตูล็อกกุญแจให้ดี คนอื่นเห็นแล้วมันจะร้อน...ไฟ เราปิดประตูดีๆ ล็อกกุญแจดีๆ แล้วเอาไฟเผาเหล็กนะ อย่าเอาไฟเผาไหม้ธรรมดา เอาไฟเผาเหล็กมันถึงกล้าแข็งร้อนดี แล้วก็ไปจี้ ฟังเสียงมันร้องโก้กๆ จะออกไปไหนก็ออกไม่ได้เพราะล็อกกุญแจไว้แล้ว ทางนี้ก็ปิดกุญแจดันเอาไว้ ทางนั้นก็ตายเลย เข้าใจไหม นี่ละความร้อน อยู่ในห้องมันก็ร้อน เผาเจ้าของจนตายก็ตายได้ในที่ลับๆ มันขึ้นอยู่กับที่ลับที่แจ้งที่ไหน ทีนี้เมื่อเวลาเราทำความดี ทำอยู่ดีๆ เงียบๆ ดีอยู่ตลอดเวลา ทำที่แจ้งก็ดี ทำอยู่ที่มืดก็ดีถ้าเป็นการทำดี ทำชั่วก็แบบเดียวกัน ทำอยู่ที่ไหนก็ชั่ว อยู่ที่ไหนก็ร้อน

เราอย่าเอากิเลสมาหลอกนะ กิเลสมันชอบหาที่ลับ ธรรมนี้เปิดเผยตลอดเวลา ไม่เหมือนกิเลสนะ กิเลสชอบหาที่ลับ ที่ไหนเป็นที่ลับกิเลสทำความชั่วได้ ทำความชั่วได้อย่างถึงใจ ที่ไหนลับๆ เช่นอย่างเขาหาฉกหาลักหาขโมยกัน นั่นเรียกว่าหาที่ลับ เอา ที่เวลามันหน้าด้านพอแล้ว ก็ไปปล้นไปจี้เขาเข้าไป ที่เปิดเผยก็เอา กิเลสมันเอาได้ทุกแบบทุกฉบับ ถ้าธรรมไม่มีแล้วฉิบหายได้คนเรา จึงให้พากันรักษาปฏิบัติตัว

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นน้ำล้นฝั่งตลอดเวลา ไม่เคยบกบางไปที่ไหน เป็นน้ำล้นฝั่งอยู่อย่างนั้น เป็นแต่เพียงว่าจอกแหนคือกิเลส น้ำล้นฝั่งก็ตาม แต่จอกแหนมันยังเหนือน้ำอีก มันก็ปกคลุมหุ้มห่อน้ำไว้ ล้นฝั่งก็มองหาน้ำไม่เห็น เห็นแต่จอกแต่แหนซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วพาให้สัตว์โลกสร้างแต่ความชั่วช้าลามก ธรรมภายในใจความดีภายในใจอยู่กับตัวเองมองไม่เห็น ระลึกไม่ได้ จึงทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามกไปตามกิเลสที่มันอยู่ข้างบนนั้น ให้พากันเปิดจอกเปิดแหน คือกิเลสความชั่วช้าลามกออกโดยลำดับ อย่างน้อยก็พอมองเห็นน้ำ ตักอาบดื่มใช้สอยได้ ถึงจะเปิดไม่หมดบึงหมดบ่อก็ตาม เราเอาออกได้แค่ไหนเราก็ใช้ได้แค่นั้น ถ้าปิดไว้เสียก็เหมือนน้ำไม่มี ร้องโก้กเก้ก ๆ ทั้งที่ความสุขมีอยู่ในโลก แต่มันดิ้นหาตั้งแต่ความทุกข์ มันก็เผาตลอดเวลาซิ

อันนี้น้ำในสระเต็ม แต่มันไม่ไปมองดูน้ำในสระ มันมองดูตั้งแต่พวกจอกพวกแหนที่ปกคลุม แล้วก็วิ่งตามจอกตามแหน เป็นไฟไปตามๆ กันหมด โลกนี้ที่ไหนมันเย็น เอาธรรมจับซิ อย่าเอากิเลสแบบตาบอดหูหนวกด้วยกันจับกัน มีแต่จะยอกันเป็นบ้าไปเท่านั้น ถ้าธรรมจับเข้าไปที่ไหน ควรยอๆ ควรตำหนิๆ เพราะธรรมเห็นทุกอย่าง กิเลสมันไม่เห็น ความดีไม่เห็น เห็นตั้งแต่ความชั่ว แต่มันถือว่าเป็นความดีความพอใจแล้วมันจึงดิ้นกันไปตามความพอใจของตน ไปทำที่แจ้งไม่ได้ เอ้าไปทำที่ลับ นั่นเห็นไหมมันพอใจทำ ทำได้ทั้งนั้นแหละ แล้วเผาได้หมดทั้งที่แจ้งที่ลับ เพราะฉะนั้นการสร้างความดีจึงสร้างได้หมดด้วยกัน

พากันตื่นเนื้อตื่นตัวบ้างนะ อย่าพากันเพลิดเพลินกับกิเลสตัณหา มันเป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ บาปบุญนรกสวรรค์ ไม่เคยเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่านะ มีอยู่ตลอดเวลา สร้างเมื่อไรเผาเมื่อนั้น ทางดีก็เหมือนกัน สวรรค์นิพพานก็ไม่เคยเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่านะ ไม่มี ที่เผาศพสวรรค์ชั้นนั้นๆ ไม่มี ตลอดพรหมโลกไม่มีที่เผาศพ นิพพานไม่มีที่เผาศพของสัตว์ ว่าเกิดแก่เจ็บตายแล้วเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย แล้วก็พากันมาเผาศพ มาก็แห่กันมา ยิ่งวัดใหญ่ๆ ด้วยแล้วเผาศพๆ หนึ่งตามแต่มีเพื่อนฝูงมากน้อยมาหากัน เก้าอี้ไหนหาที่นั่งก็ไม่มี ครั้นมาหากันแล้วแทนที่จะเป็นอรรถเป็นธรรม พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม สมมาวัดมาวามาปลงธรรมสังเวชกับผู้ล้มผู้ตาย เรายังมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นอย่างนี้ในวันหนึ่งแน่นอน มันไม่คิดนะ มันไม่พูด ระบายตั้งแต่ความทุกข์ใส่กัน

ใครมานั่งอยู่ที่ไหน โอ๋ย ระบายความทุกข์ต่อกัน แสดงว่าโลกอันนี้มีกว้างกว่านี้ยังจะมาแสดงความทุกข์ พระเทศน์ไม่สนใจนะ มันไม่สนใจ มันฟังแต่ความทุกข์ที่เอามาระบาย คนนี้ก็เต็มหัวอก คนนั้นก็เต็มหัวอก แล้วไม่ทราบว่าใครจะมารับถ่ายจากกันได้ เพราะมันเต็มด้วยกันทุกคน มันก็ไม่เห็นโทษนะ นี่ละเข้าไปในวัดในวา เราเคยไปนี่ในกรุงเทพ ทีนี้มันไม่เหมือนใครนี่หลวงตาองค์นี้น่ะ ไปเทศน์วัดใหญ่ๆ ก็งานศพผู้ใหญ่ๆ นั่นแหละ เขานิมนต์ไปเทศน์ โอ๊ย อย่าให้ไปเทศน์เถอะเทศน์ในที่เช่นนั้น อย่างไรก็ขอให้ไป ขอจนได้ เราก็เลยไป

ครั้นไปแล้ว มานี้มืดทีปมา (คนมากมาย) ก็อย่างว่านั่น เทศน์มันไม่ฟังเสียง ต่างคนต่างเทศน์เลยไม่มีใครฟังเสียงใคร ลั่นโลก นี่คือความทุกข์ที่โลกประมวลมาหากัน ชุมนุมกันแล้วออกมาจ่ายกัน ไม่มีใครซื้อกัน ไม่มีใครรับไว้ เพราะใครก็เต็มหัวอกของตัว มันก็ยังไม่เห็นโทษเข้าใจไหม เข้ามาในวัดมันยังเป็นบ้าอยู่ในวัดให้พระปลงธรรมสังเวช วันนั้นเราก็ใส่เสียเปรี้ยงเลยละ เงียบไปนะ เพราะฟังมันทนไม่ได้นะ ใส่เสียเปรี้ยงๆ ธรรมะก็ออก พุ่งเลยเทียว คนแน่นอยู่นั้นเงียบเหมือนไม่มีคนเลยนะ นั่นเห็นไหมเอาธรรมปราบเสียบ้าง

นี่เรายกมาเพียงเอกเทศนะ ที่ไปเจออย่างนั้นเจอไม่น้อยนะ เรายกมาเพียงเอกเทศ ที่โลกมีแต่ความทุกข์ร้อนมาชุมนุมกัน มากกว่านี้ยังจะเป็นอย่างนี้อีกตลอดไป ทั่วโลกดินแดนจะเป็นแบบเดียวกัน นักธรรมะท่านไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้มาระบายทุกข์แบบฟืนแบบไฟเผา มาหากันนี้ เป็นยังไงภาวนา นั่นเห็นไหมล่ะ ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเทศน์ พระมีจำนวนเท่าไรเหมือนไม่มีพระ เหมือนไม่มีคน เสียงธรรมะท่านออก โอ๋ย หลั่งไหลเป็นน้ำเป็นท่าออกมา ผู้ฟังนี้เงียบหมด ต่างคนต่างดูใจตัวเอง ๆ ธรรมะท่านจะไหลเข้ามา เหมือนกับเราเอาโอ่งรองน้ำที่เหมาะสมจากรางน้ำ ที่ไหลลงมาจะถูกนี้ก็เอาโอ่งน้ำไปรอง นี่ตั้งสติไว้กับจิตซึ่งเป็นโอ่งน้ำอันใหญ่หลวง แล้วทีนี้ไม่ต้องไปสนใจ ฝนตกมาจากที่ไหนๆ ไม่สนใจ ขอให้ตั้งโอ่งไว้ให้แม่นยำกับน้ำที่มันจะลงมาใส่โอ่งน้ำก็พอ มันจะเต็มไปหมด

อันนี้จิตใจตั้งจิตปุ๊บ สติจับอยู่กับจิต ธรรมะท่านเป็นเหมือนห่าฝนไหลลงมาๆ เทศน์เข้านี้หมดเลยเห็นไหม เพราะสติเป็นสำคัญ ไม่จำเป็นจะต้องไปดูปากผู้เทศน์นะ ให้ดูใจเจ้าของมันจะเคลื่อนไหวยังไง สติจับไว้ตรงนี้ พอธรรมะเริ่ม ทีนี้เข้านี้หมดเลยไม่รั่วไหลไปไหน นี่เวลาฟังแล้ว โหย มันเต็มตื้นนะฟังแล้ว ท่านเทศน์จบลงแล้วยังเพลินอยู่ นี้เป็นในหัวใจเจ้าของ มันเคยเป็นมาแล้ว นี่ละอำนาจของธรรมกล่อมใจนี้เงียบหมด บางครั้ง โหย เหมือนว่าโลกนี้ดับไปถึงสามวัน เราจนเกิดความอัศจรรย์ ทำไมเป็นอย่างนี้ฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์ เพราะท่านเทศน์เต็มเหนี่ยวๆ ไหลเลย ทีนี้เราก็ฟังอย่างเต็มเหนี่ยวรับกัน

ปรากฏว่าเหมือนโลกนี้ดับหมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็มีอยู่ตามเดิมนะ แต่มันดับที่หัวใจ กิเลสไม่กวนใจ กิเลสถูกตีลงๆ วันนั้นมีแต่ความสงบเย็นไปถึงสามวัน เราเป็นถนัดชัดเจน แล้วถามหมู่เพื่อน เป็นยังไงฟังเทศน์ อู๋ย เป็นเหมือนกัน นั่นเห็นไหมอำนาจของธรรม เหมือนน้ำดับไฟ โลกมีอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง เสียงนั้นเสียงนี้ก็มี แต่กิเลสมันไม่คึกไม่คะนองไม่ออกไปรับกัน ก็เหมือนโลกนี้ดับหมด ที่โลกไม่ดับก็เพราะกิเลสพาให้กำเริบ ให้ดีดให้ดิ้นอยู่ตลอดเวลา ใครอยู่ที่ไหนหาความสงบไม่ได้คือโลกของกิเลส

ใครจะว่าใครเฉลียวฉลาด ใครจะว่าใครอำนาจวาสนากว้างขวางนะ มันก่อฟืนก่อไฟด้วยกัน เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งวางอำนาจใหญ่โต บีบบี้สีไฟผู้น้อยหมดไปเลย กิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมนี้ใหญ่เท่าไรยิ่งมีความเมตตาเย็นฉ่ำไปหมด ใครเห็นแล้วเคารพนับถือกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ เย็นไปเป็นเวลานานๆ เพราะครูบาอาจารย์ผู้มีศีลมีธรรมเต็มหัวใจแล้ว ไปที่ไหนกระจายไปหมด เย็นไปตลอดนะ ต่างกันนะ นี่ละอำนาจของธรรม ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะ ให้พากันไปประพฤติปฏิบัติลูกหลาน อย่าพากันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นบ้ากับกิเลสนักนะ

เราก็เต็มหัวอก เขาก็เต็มหัวอก มากระจายกันมีแต่ไฟเผากัน ไม่มีน้ำดับไฟบ้างเลยใช้ไม่ได้นะ ขอให้มีอรรถธรรม หลักวิชา เอ้าเรียนไป เรียนอะไรเพื่อหน้าที่การงานและเพื่อธาตุเพื่อขันธ์เพื่อความเป็นอยู่ปูวาย เรียนทุกคน เรียนแล้วก็ให้ปฏิบัติตามธรรม ตัวเองก็ให้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี อย่ามีตั้งแต่ความจดความจำเรียนมาจากกี่หีบกี่ตู้กี่คัมภีร์ แต่ใจเจ้าของเป็นไฟคึกคะนอง ด้วยอำนาจแห่งความสำคัญว่าตนเรียนมากเรียนสูง สูงอะไรมันต่ำยิ่งกว่าส้วมกว่าถาน เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นธรรมแล้วไม่ต่ำ เอาไปไว้ที่ไหนก็สูงอยู่ตลอดเวลาธรรม

เหมือนเอาทองคำไปยัดไว้ใต้ดิน ก็เป็นทองคำอยู่ใต้ดิน เอาขึ้นบนเมฆก็เป็นทองคำอยู่บนเมฆ ตรงกันข้าม เอาส้วมเอาถานมาไว้ที่ไหนมันก็เป็นส้วมเป็นถาน ฟาดขึ้นฟากจรวดดาวเทียม มันก็เป็นส้วมเป็นถานเหม็นคลุ้งไปหมดนั่นแหละ ส้วมถานมันสูงที่ไหน ฟังแต่ว่าส้วมเป็นไร เอาไปไว้ที่ไหนมันก็เหม็นไปหมดคลุ้งไปหมดเลย เอาไปไว้สูงๆ ยิ่งรูปหลวงตาบัวมันเก่งนัก มูตรคูถเอาไปไว้สูงๆ เวลามันกำลังเดินจงกรมหรือภาวนาง่วงๆ ให้ขี้ราดลงมาให้มันหลงทิศไป กำแพงแตกไปนั่น มันเก่งนักพวกนี้การนอน เอามูตรเอาคูถไว้สูงๆ นั่นแหละ เป็นยังไงเวลามันฟาดใส่หัวเรา หัวเราสูงหรือต่ำ พิจารณาซิ มันเป็นอย่างนั้นนะ

พากันจำเอานะข้อเปรียบเทียบทุกอย่าง เรามีให้หมด พากันรู้เนื้อรู้ตัว ศาสนาจะหมดไปๆ มันมีแต่คัมภีร์ใบลาน มีแต่ความจดความจำ หน้าที่การงานที่จะปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีจากตำรับตำราที่เรียนมาแล้วแทบจะไม่มีนะเวลานี้ เราอยากพูดว่าแทบจะไม่มี เพราะมันยังมีอยู่บ้างเล็กน้อย จึงว่าแทบจะไม่มี ต่อไปก็จะหมด แล้วก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กัน ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระ ไม่ว่าวัดว่าบ้าน แบกกิเลสตัณหาอันเป็นฟืนไฟอยู่ด้วยกันแล้ว มันร้อนไปเหมือนกันหมด มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงผ้าเหลืองหัวโล้นนะ ขึ้นอยู่กับธรรมต่างหาก ถ้ามีธรรมแล้วเย็น ไม่ได้บวชก็เย็น บวชก็เย็น ถ้าไม่มีธรรมแล้ว บวชฟาดมาสักร้อยอุปัชฌาย์ พระอันดับเอามาทั่วประเทศไทย แล้วยังยกโคตรยกแซ่พ่อแม่ของพระผู้มาบวชมาอีก กิเลสไม่ได้กลัว มันขี้รดหัวได้หมดเข้าใจเหรอ มันไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไร

นี่ละเรื่องกิเลสมันกลัวใครเสียเมื่อไร อุปัชฌาย์มากี่องค์ก็มา ข้านี่ ใครบวชข้าไม่ได้ ข้ากลัวแต่ธรรมอย่างเดียว ถ้าเป็นธรรมข้ากลัวเข้าใจไหม ถ้าเป็นกิเลสแล้วข้าไม่กลัว เอ้า บวชมา อุปัชฌาย์เธอจะเอามากี่องค์ ข้าคนเดียวพอแล้วฟาดนี้หงายไปเลยเข้าใจไหม นี่ละกิเลสไม่ได้กลัวใครนะ ขอให้พากันพินิจพิจารณา กลัวแต่ธรรมอย่างเดียว ถ้าธรรมเข้าตรงไหนกลัวทั้งนั้น ๆ เอาจนราบ ราบเพราะธรรมไม่ใช่ราบเพราะกิเลสพากันสังหารธรรม ถ้ากิเลสพาสังหารธรรมคนแหลกหมด ถ้าธรรมสังหารกิเลสแล้วกิเลสแหลกหมด ผาสุกร่มเย็นบรมสุขอยู่ที่ตรงนี้ ให้พากันจดจำให้ดีนะ

นี่เราก็จะได้ไปร้อยเอ็ดแล้ววันนี้ ไปเทศนาว่าการ เวลานี้เทศน์ไม่เป็นหน้าเป็นหลังแล้วละ ความจดความจำคอยตัด ๆ เทศน์ไป ๆ หลงลืมไป ๆ เดี๋ยวนี้ยิ่งถี่ยิบเข้าไปแล้วนะ ได้ระมัดระวัง เทศน์เลยไม่ได้น้ำได้เนื้อ เพราะมันตัด พูดเรียงไปโดยลำดับกับอรรถธรรมทั้งหลายเป็นแถวเป็นแนว มันตัดปุ๊บขาดแล้วระลึกไม่ได้ เอ้นี่ เทศน์อะไรมาตั้งใหม่เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ หลงหน้าหลงหลังไปแล้วละ นี่ก็ยังถูกเทศน์อยู่ตลอด เราก็ได้พูดออกมาแล้วว่า ต่อไปนี้จะพักโดยลำดับลำดาการเทศนาว่าการไม่เอาอีกแล้ว หลังจากช่วยชาติบ้านเมืองผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่กำลังช่วยอยู่นี้เราก็ยังได้กำหนดผ่อนลงว่าการเทศนาว่าการ มันก็ไม่ผ่อนอย่างนี้แหละจะว่ายังไง

แล้วเวลาเราหยุดอันนี้แล้วเราจะหยุดการเทศนาว่าการมันยิ่งจะมากขึ้นนะ เวลานี้การนิมนต์ไปเทศน์ในที่ต่าง ๆ นับวันยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกวัน ๆ ไม่ใช่เล็กน้อยนะ เอ๊ ยังไงกันนี่นะ เราคิดไว้อย่างนั้นคาดไว้อย่างนี้ แต่เหตุการณ์มันมาแบบนี้มันเข้ากันไม่ได้ นี่ก็จะไปแล้วนี่ ไป บุรีรัมย์  บุรีรัมย์กับ ๓ จังหวัดจองไว้เรียบร้อยแล้วนี่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ยังแตกแขนงออกไปตามจังหวัดต่าง ๆ จนกระทั่งได้ตัดออก ๆ ที่ไม่จำเป็นตัดออก ไปให้เฉพาะที่จำเป็น ภายใน ๗ วัน นี่เป็นอย่างนั้นละ มันยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกวันเรายิ่งอ่อนลง ๆ

เอาละ ให้พากันจดจำเอานะลูกหลาน ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่าเอาความเพลิดความเพลินมาเป็นจิตเป็นใจ ภาวนาอยู่กับความโลภ ราคะ ตัณหาจมได้ตลอดนะ ถ้าภาวนาอยู่กับความรู้จักประมาณ ความไม่ดีดไม่ดิ้น ความมีสติ ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญตัวเอง อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำแล้ว นั่นเรียกว่า ภาวนาเพื่อความสงบ ถ้าภาวนาไปกับกิเลสมันจะเพลิดเพลินเป็นบ้าไปเลย นี่ละภาวนาของกิเลสก็มีภาวนาของธรรมก็มี เข้าใจไหมล่ะ พวกเรามีแต่ภาวนาของกิเลสแหละ ลากไปถลอกปอกเปิกไปหมดนั่นแหละ ภาวนาของธรรมไม่ค่อยมี เอาละเท่านี้ แล้วมีอะไรอีก เทศน์วันนี้ก็ดูว่านานพอสมควร จำเอานะลูกหลานทุกคน นี่เทศน์อย่างนี้เขาออกทางอินเตอร์เน็ตนะ ออกทั่วโลกนะเทศน์อยู่เดี๋ยวนี้ออกทั่วโลกออกทางอินเตอร์เน็ต กำลังพูดอยู่นี้ออกตลอด ไปเทศน์ที่ไหนเขาก็นำไปออกตลอดนะเวลานี้ทั่วโลก ๆ มีปัญหาไหมวันนี้

โยม ไม่มีครับผม

หลวงตา ก็ทุกวันมันมีปัญหามาถามอยู่เรื่อย เราก็ตอบออกทางอินเตอร์เหมือนกัน คือเขาถามปัญหาเข้ามานี้ ทางอินเตอร์เน็ต ตอบก็ตอบทางอินเตอร์เน็ตทั่วไปหมด

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน  ได้ที่

www luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก