วันอายุวัฒนมงคล ครบ 90 ปี (สรรเสริญคุณหลวงตา-แสแดงธรรม) 12ส.ค.2546 (บ่าย)
วันที่ 12 สิงหาคม 2546 เวลา 12:30 น.
สถานที่ : ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด

เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของหลวงตา

เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [บ่าย]

หาธรรมย่อมเจอธรรม

 

            บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมหามงคลฤกษ์แล้ว ขออนุญาตกราบเรียนเชิญพณฯ ท่าน พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมช.กระทรวงสาธารณสุข กล่าวนมัสการคาถา ๙๐ ปี พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ขออนุญาตกราบเรียนเชิญครับผม

         พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก กล่าวนมัสการคาถา  ขอนอบน้อมคารวะองค์หลวงตามหาบัว ด้วยเศียรเกล้า นับว่าเป็นบุญเหลือล้นของคนไทยทั้งชาติ ที่ได้บุคคลผู้เปี่ยมด้วยบุญญาบารมีมาเกิดเมื่อ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๕๖ อันเป็นผลแห่งกรรมเสกสรรบันดาลมา ได้ส่อแววให้เห็นตั้งแต่เยาว์วัย ความสำเร็จของชีวิตมิได้เกิดจากสมบัติภายนอก หากแต่เกิดจากสมบัติภายในใจที่องค์หลวงตามหาบัวได้สะสมบำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติตลอดจนชาตินี้ หากท่านผู้ใดได้ศึกษาชีวประวัติอย่างพินิจพิจารณาแล้วก็จะพบว่า องค์หลวงตาเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งของชาติไทยและโลกในปัจจุบัน ความเป็นสามัญชนคนธรรมดาๆ มีบุคลิกพิเศษ จิตใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ทำให้กลายเป็นบุคคลที่มีคุณค่ายิ่ง เป็นผู้มีพระคุณต่อชาติ ต่อพระศาสนา ต่อปวงชนชาวไทยทั้งชาติทั้งแผ่นดินเป็นเอนกอนันต์

         มหกรรมทดแทนพระคุณเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่องค์หลวงตาอนุญาตให้ เพราะเห็นแก่ชาติเป็นใหญ่ จึงเป็นความปีติอันล้นพ้นที่ปวงศิษยานุศิษย์จะได้โอกาสสำคัญ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๖ ครบ ๙๐ ปีชนมายุบริบูรณ์พอดี แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อองค์หลวงตาและต่อชาติไทย ที่สามารถกล่าวได้อย่างสมภาคภูมิว่า องค์หลวงตาเกิดมาเพื่อกู้ชาติ ค้ำจุนเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของคนไทย ทั้งนี้คงเป็นเพราะกรรมดีของชาวไทย มีพระพุทธศาสนาเป็นหลักชัยให้ประพฤติปฏิบัติประกอบคุณงามความดี จึงมีคนดีเมธีศรีสยามเกิดมา นำธรรมะค้ำชูชาติไทยให้มีความมั่นคงปลอดภัย สงบสุขร่มเย็น

วันนี้ ๑๒ สิงหาคม จึงเป็นวันประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกหน้าหนึ่ง ที่ปวงชนชาวไทยได้แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที เสียสละเพื่อชาติไทย จึงเป็นวันแห่งความภักดีต่อแผ่นดินมาตุภูมิ เมื่อได้หวนรำลึกถึงความตั้งใจมุ่งมั่นอาจหาญที่องค์หลวงตาได้ประกาศช่วยชาติด้วยทองคำ ๑๐ ตัน เงิน ๑๐ ล้านดอลลาร์ เมื่อ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นปฐมฤกษ์แห่งวงล้อธรรมจักรช่วยชาติได้เริ่มเคลื่อนขยับ ทั้งๆ ที่ร่างกายธาตุขันธ์ทรุดโทรมถึงขั้นสร้างเมรุเตรียมไว้แล้ว หากแต่ด้วยพลังอำนาจแห่งความภักดีต่อชาติไทยแผ่นดินมาตุภูมิ ความห่วงใยพี่น้องชาวไทยจะล่มจมทนทุกข์ทรมานอีกนาน องค์หลวงตาต่อสู้อดทนแบกภาระหนักมาก เพื่อชาติเพื่อคนไทยจนย่างเข้าปีที่ ๖ สู้ทนฝืนไม่ได้อีกแล้วต่อไป

แม้ว่าจิตใจจะแข็งแกร่งสักปานใด แต่สังขารร่างกายใกล้จะแตกสลาย จึงต้องประกาศหยุดออกไปเทศนาหาทรัพย์สินเข้าคลังหลวงในสิ้นปี ๒๕๔๖ นี้ ณ บัดนี้เองปวงศิษยานุศิษย์ทั่วทุกจตุรทิศ พร้อมกันหลั่งน้ำใจเสียสละทรัพย์เพื่อชาติให้ประจักษ์ จึงประกาศเป็นสัจจวาจาพร้อมกันว่า จักสามัคคีรวมใจเป็นหนึ่ง ระดมสะสมทองคำ ดอลลาร์ ถวายองค์หลวงตาให้ครบจำนวนภายในปี ๒๕๔๖ นี้ให้จงได้ เพื่อทดแทนพระคุณองค์หลวงตาและแผ่นดินชาติไทย สมเจตนาที่องค์หลวงตาได้มุ่งมั่น จึงได้รวบรวมให้ได้ครบ เพื่อปรบมือเป็นชัยชนะ ด้วยสัจจะวาจานี้ขออัญเชิญเทพยดาทุกชั้นฟ้าทุกแดนในจักรวาล ได้เป็นประจักษ์พยาน โปรดอภิบาลรอบปริมณฑล เป็นกำแพงกั้นภยันตรายให้แก่ปวงชนชาวไทยทุกผู้ทุกนาม ทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศและต่างประเทศ

อนึ่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ไว้เป็นแนวทางปฏิบัติโดยสรุปว่า ผู้หนึ่งผู้ใดเจริญอิทธิบาท ๔ ให้มาก ทำให้เป็นประหนึ่งยาน ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งไว้เนืองๆ อบรมไว้ปรารภด้วยดีโดยชอบ ผู้นั้นเมื่อปรารถนาก็พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป ด้วยเหตุอันสมควรนี้ปวงศิษยานุศิษย์ จึงขอกราบเรียนอาราธนาองค์หลวงตาว่า เมืองไทยแดนพระพุทธศาสนานี้เป็นที่รื่นรมย์ องค์หลวงตาเป็นธรรมเจดีย์เป็นที่รื่นรมย์ บัดนี้ให้ทุกท่านเปล่งวาจาพร้อมกัน ๓ ครั้งดังนี้

ขอหลวงตาพระมหาบัวจงดำรงอยู่ตลอดกัปเถิด ๆ ๆ เพื่อเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมวลมนุษยชาติ

พระประดุจแผ่นดินทุกถิ่นที่            พระเมธีศรีสยามงามไสว

พระประสานงามแผ่นดินกว่าสิ้นใจ    พระทรงธรรมนำทางให้

                                           ถวายใจบูชา

                                              คณะศิษยานุศิษย์

         วันนี้เป็นวันมหามงคลของพี่น้องชาวไทยเรา ซึ่งรวมความรักชาติ ความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงกัน มาปรากฏอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดเป็นจำนวนมากมาย เลยความคาดความคิดไปว่าคนจะมีจำนวนมากถึงขนาดนี้ นี้เต็มไปหมดเลย นี่คือน้ำใจของพี่น้องทั้งหลายที่รักชาติ และประกอบด้วยความสามัคคี เชื่อถืออรรถถือธรรมสมเราเป็นลูกชาวพุทธ ได้มาแสดงตัวเต็มกำลังความสามารถของตน จะได้มากได้น้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่น้ำใจที่แสดงออก นี่เป็นสำคัญมาก น้ำใจแสดงออกได้มากน้อยเพียงไร นั้นละเป็นมงคลแก่พี่น้องทั้งหลาย

         วันนี้ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งบัดนี้ ก็ได้รับการบริจาคจากน้ำใจของพี่น้องทั้งหลาย เรื่อยมา ทองคำเราก็ได้จำนวนมากพอสมควรสำหรับวันนี้ จากนี้แล้วก็จะได้ฟังอรรถฟังธรรมจากครูอาจารย์ที่จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ แล้วเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นจนปรากฏอยู่เวลานี้นั้นมาจากเบื้องต้นก็คือ เรื่องชาติไทยของเรามีความหวั่นไหวโยกคลอนที่จะเป็นความล่มจมให้เห็นต่อหน้าต่อตาของคนไทยทั้งชาติ ซึ่งแต่ก่อนบรรพบุรุษพาดำเนินมา ยังไม่เคยปรากฏว่ามีความเอนเอียงถึงขั้นจะล่มจะจมดังคราวนี้ ก็ได้มาเห็นกันทั่วหน้าประเทศไทยของเรา

         เมื่อเป็นเช่นนั้นในเมืองไทยเรานี้เป็นเมืองพุทธ เมืองพุทธคือเมืองธรรม ต้องได้มีความเมตตาประจำโลกประจำสงสารตลอดมาอยู่แล้ว และมาเห็นความกระทบกระเทือนจิตใจของชาวไทยทั้งชาติ ในความรู้สึกของหลวงตาบัวที่อุตส่าห์ปฏิบัติมาเป็นเวลานาน ก็ได้สะเทือนขึ้นที่จิตใจ ในเบื้องต้นจึงขอเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ประวัติเรื่องราวเพียงย่อ ๆ เราออกมาปฏิบัติตั้งแต่ตอนต้นนั้น เราก็มีความมุ่งหมายต่ออรรถต่อธรรมโดยลำดับลำดา จิตใจ กาย วาจา หน้าที่การงานอะไรทุ่มไปทางด้านอรรถด้านธรรมล้วน ๆ

         จนกระทั่งถึงได้ออกประพฤติปฏิบัติอรรถธรรม เพื่อมรรคเพื่อผลที่องค์ศาสดาสอนไว้แล้วด้วยความถูกต้องแม่นยำ ประสิทธิ์ประสาทมหามงคลให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย มีบรรดาสาวกเป็นสำคัญ จนกลายมาเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา นี้คือธรรมอันเลิศเลอที่ท่านประกาศสอนมาตลอด เราก็มีความรู้สึกในอรรถในธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นประจำอยู่ในหัวใจ แม้ไม่มากก็ตาม มีความรู้สึกติดจิตติดใจอยู่ตลอด ถึงเวลาเรียนหนังแส่หนังสือก็ไม่เคยปล่อยวางเรื่องจิตตภาวนา เป็นแต่เพียงไม่แสดงออกให้ใครทราบเท่านั้น หากเป็นอยู่อย่างลึกลับ เรียนไปภาวนาไปอยู่อย่างนี้ตลอด จนกระทั่งถึงวาระที่เราตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ว่า เมื่อเรียนสำเร็จตามความมุ่งหมายที่ตั้งไว้แล้วเราจะออกปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพานโดยถ่ายเดียว

         จึงได้ออกปฏิบัติตามความรู้สึกที่คิดไว้แล้ว อย่างฝังแน่นภายในใจ แล้วก็เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ผู้ที่ชี้แนะแนวทาง ก็ได้มาพบมาเห็นหลวงปู่มั่นที่แสดงธรรมด้วยความกระจ่างแจ้งภายในจิตใจของท่าน จึงมีความเน้นหนักตั้งแต่บัดนั้น เรียกว่าไม่มีการอ่อนข้อย่อหย่อนแต่อย่างใดเลย การปฏิบัติในชีวิตของหลวงตานี้ ขอประกาศขึ้นมาด้วยความไม่สะทกสะท้าน คือประกาศขึ้นจากหลักความจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเกินความคาดความหมายของจิตใจแต่ละคนที่จะคิดไปได้ทุกแง่ทุกมุม

         สำหรับเราผู้ปฏิบัติแล้ว เรามุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว คือขอให้ได้เป็นพระอรหันต์เท่านั้นในชาตินี้ เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าที่แสดงมาทุกบททุกบาท ประกาศกังวานออกมาเพื่อมรรคเพื่อผลทั้งนั้น ไม่ใช่ประกาศมาเพื่อความเป็นโมฆะ โดยที่ว่าธรรมมี สักแต่ว่ามีชื่อมีนาม ส่วนมรรค ผล อันเป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ ของศาสนาแห่งพระพุทธเจ้านั้นไม่มี อย่างนี้ไม่ปรากฏในธรรมของพระพุทธเจ้า มีแต่เป็นไปทั้งชื่อทั้งนาม ทั้งมรรคทั้งผล จนกระทั่งถึงมรรค ผล นิพพาน นั่นคือแก่นแห่งศาสนา พระองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้แล้ว

         เราก็ได้ปฏิบัติตามอรรถธรรมที่ท่านทรงสั่งสอนนั้นด้วยความพออกพอใจ เต็มอกเต็มใจ หลังจากได้ยินได้ฟังธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่นแล้ว เอาให้เต็มเม็ดหน่วย สละชีวิตจิตใจทุกแง่ทุกมุม ในชีวิตของเราที่ครองฆราวาสมาเป็นเวลา ๒๐ ปี กับ  ๙ เดือน นี่เป็นเพศเป็นฆราวาส ๙ เดือน จากนั้นมาก็เป็นชีวิตจิตใจของพระ รักษาศีลรักษาธรรมตั้งแต่ขณะที่บวช ทรงศีลมา ๒๒๗ ตั้งแต่ขณะอุปัชฌาย์บวชให้เรียบร้อยแล้วก็ทรงศีล จากนั้นแล้วก็ทรงธรรมคือการภาวนามาเรื่อย จะเอาให้ถึงความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวด้วยความเด็ดขาด ในชาตินี้จะไม่ให้กิเลสเหลือหลอสืบต่อแขนงแห่งความทุกข์ ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความทรมานในภพชาติต่าง ๆ จนกระทั่งถึงลงนรกได้ ซึ่งเคยตกมาแล้วกี่ครั้งกี่หน เราจะไม่ให้เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป

         เราจะทำตัวของเราให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง เรื่องความพากความเพียรจึงหนักแน่นตลอดมา เรียกว่าสละชีวิตไปตลอด จนกระทั่งไปอยู่ในบางที่บางแห่งนั้นน่ะ เจ้าของทรมานเจ้าของเพื่ออรรถเพื่อธรรม และเจ้าของเองไม่รู้ตัวเองจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ทราบ จนถึงชาวบ้านเขาตีเกราะประชุม ตีเกราะประชุมลูกบ้าน เวลาประชุมกันแล้วก็บอกว่าให้ไปดูพระองค์นี้ ซึ่งมาอยู่กับเรานี้เป็นเวลาตั้งหลาย ๆ เดือนแล้ว กี่วันกี่คืนถึงมาบิณฑบาตหนหนึ่ง แล้วหายเงียบไป หายเงียบไป เราก็ไม่เคยเห็นตั้งแต่ตั้งบ้านตั้งเรือนมา เราพึ่งมาเห็นพระองค์นี้เท่านั้น

         เป็นยังไงท่านก็มีปากมีท้องเหมือนกันกับพวกเรา ทำไมท่านถึงทนอดทนหิว กี่วันก็ตามแล้วโผล่มาบิณฑบาตสักวันหนึ่ง หายเงียบไป ๆ ท่านไม่ตายแล้วเหรอ ผู้ใหญ่บ้านประชุมกับลูกบ้าน ก็บอกให้ชาวบ้านออกมาดูเรา เขาก็หลั่งไหลออกมาดู เราอยู่ในป่า มาแล้วก็มาถามเหตุถามผล ก็บอกว่าผู้ใหญ่บ้านตีเกราะประชุมกันให้มาดูท่าน ผู้ใหญ่บ้านสงสัยว่าท่านไม่ตายแล้วหรือ เพราะท่านทรมานตนเอาอย่างหนัก เวลาพูดเหตุผลกลไกให้ทราบแล้วก็ไล่ให้เขากลับไป  นี่พูดถึงเรื่องความทุกข์ความทรมาน ตนเองไม่รู้จักตาย แต่ชาวบ้านเขารู้จักว่าเราจะตาย ถึงเป็นความห่วงใยเอาอย่างมากขนาดได้ตีเกราะประชุมกัน

         นี่เป็นเรื่องของชาวบ้านที่ดูความทุกข์ความทรมานของเรา แม้ไปที่อื่น ๆ ก็เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าเขาไม่ประกาศ เขาไม่ตีเกราะประชุมก็เหมือนว่าเรื่องไม่มี ทั้ง ๆ ที่เราปฏิบัติดำเนินอยู่อย่างนี้ตลอดมา เพราะจะฆ่ากิเลสให้ขาดสะบั้นลงภายในจิตใจ ครองพระอรหันต์เต็มหัวใจเท่านั้น จึงไม่มีคำว่าย่อหย่อนอ่อนข้อ แม้ปัจจุบันทุกวันนี้พิจารณาย้อนหลังถึงความเพียรตัวเอง ก็ทำให้เกิดความขยะ ๆ เพราะกลัว แต่ก่อนมันทำได้จริง ๆ เอาได้จริง ๆ ทุกอย่าง เนื่องจากกำลังวังชาก็มีเต็มที่เต็มฐาน จิตใจก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเพื่อมรรค ผล นิพพาน เพราะฉะนั้นความพากเพียรจึงเสียสละได้ทุกแง่ทุกมุม เวลาพิจารณาไปย้อนหลังน่ากลัวมากทีเดียว

         นี่คือเรื่องความเพียรที่เราอุตส่าห์พยายามปฏิบัติมา เอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไปที่ไหนไม่มีความสะดวกสบายเลย ถ้าว่าติดคุกติดตะราง พวกนักโทษเขาติดคุกติดตะรางกี่ปีกี่เดือน เขากินข้าววันหนึ่งสองมื้อสามมื้อ ไอ้เราไม่ทราบว่ากี่วันถึงจะได้ฉันหนหนึ่ง ๆ เราก็ทนเอา เพราะทนด้วยความพออกพอใจ ถ้าพูดถึงเรื่องความทุกข์ หากว่าจะเอาเป็นความสมัครใจแล้ว ว่าไปติดคุกติดตะราง ถึงจะเป็นนักโทษขาดความเคารพนับถือ หรือขาดความเลื่อมใสยินดีต่อกันก็ตาม ถ้ากิเลสขาดสะบั้นไป เช่นเดียวกับเราบำเพ็ญอยู่เวลานี้เราจะสมัครตัวไปเป็นนักโทษ ใครไม่เคารพนับถือ ธรรมนับถือเรา ธรรมเมตตาเรา เราพอแล้ว

         แต่นี้คนติดคุกติดตะรางเขาไม่ได้ทุกข์ยากลำบากอะไรนะ ติดคุกกี่วัน กี่ปี กี่เดือน จักตอกเหลาตอกพอฆ่าเวล่ำเวลาให้หมดไป ๆ วันหนึ่ง เพื่อจะพ้นโทษออกจากเรือนจำเท่านั้น เขาจึงไม่เป็นทุกข์ เป็นแต่เพียงว่าขาดความเคารพนับถือ โลกไม่ยอมรับเท่านั้นเอง ถ้าเราไปติดคุกติดตะรางกิเลสขาดสะบั้นไปเช่นเดียวกับเราประกอบความเพียรนี้แล้ว เราจะสมัครไปเป็นนักโทษเลย แต่นี้มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงทุกข์ขนาดไหนเราก็ทนของเรา ทนของเรา

         การบำเพ็ญมีความหนักแน่นทางความพากความเพียรเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการสนับสนุนอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงให้เราอย่างถึงใจ ๆ หนักมากขึ้นทุกวันๆ จิตใจที่เป็นจิตใจธรรมดา ตั้งแต่วันเริ่มบวชก็เป็นจิตใจเหมือนสามัญเรา ๆ ท่าน ๆ นี้แล ความโลภก็มี ความโกรธก็มี ความหลงก็มี ความรัก ความชังก็มี มีอยู่อย่างนี้ประจำจิตใจเวลาเรายังไม่ได้อบรม ทีนี้เวลาอบรมสิ่งเหล่านี้คือความเป็นภัย ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ราคะตัณหา ความดีดความดิ้น ความรัก ความชัง เหล่านี้ก็ดี ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นกิเลส ซึ่งเกิดขึ้นภายในจิตใจของสัตว์ของเรานี้แล เต็มอยู่ในหัวใจ มันก็มีอยู่ธรรมดา

แต่อาศัยการฝึกฝนทรมานซักฟอกไปโดยลำดับลำดา จิตใจที่ดีดที่ดิ้นด้วยฟืนด้วยไฟของกิเลส ให้หาความสงบร่มเย็นไม่ได้นี้ค่อยสงบตัวลง ๆ ด้วยอำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เรานำมาประกอบความพากเพียรเพื่อสังหารกิเลส หรือระงับกิเลสเหล่านี้ลงไปได้โดยลำดับ จิตใจเริ่มมีความสงบเย็นใจขึ้นมา สงบเย็นใจแล้วก็รวมลงมา รวมลงมาหาความสุข สุขในโลกนี้ไม่มีอยู่ในสถานที่ใด เมื่อประมวลลงมาด้วยจิตตภาวนาตามทางของศาสดาแล้ว ความสงบร่มเย็นมารวมอยู่ที่ใจเป็นลำดับลำดา ความดีดดิ้น ความวุ่นวายตามอำนาจของกิเลส  ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ภายในใจนี้ มันก็มีอยู่ภายในใจของเรา แต่ค่อยสงบลง ๆ เพราะธรรมเป็นน้ำดับไฟ ระงับจิตลงไป

         จิตใจก็ไม่ค่อยดีดค่อยดิ้น ต่อไปไม่ดีดไม่ดิ้น มีแต่มุ่งหน้ามุ่งตาต่ออรรถต่อธรรมด้วยความพากเพียร จิตใจมีความสงบร่มเย็น ๆ เป็นลำดับลำดาไป อยู่ในป่าในเขา ส่วนมากจะอยู่แต่ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ที่ไหนก็ตามขอให้ได้สะดวกในการประกอบความพากเพียร เรื่องอาหารปัจจัย ที่อยู่ที่อาศัยนี้ไม่กังวล บิณฑบาตได้มาเท่าไรฉันพอยังชีวิตให้เป็นไปเพื่ออรรถเพื่อธรรมอันมีคุณค่ามหาศาลนี้เท่านั้น ก็ทำลงไป จิตใจก็เริ่มปรากฏสงบเย็นเข้าไป สงบเย็นเข้าไป จนกลายเป็นจิตที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมา

         ความสุขทั้งหลายที่เราไม่เคยพบเคยเห็นตั้งแต่วันเกิดมา ก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นที่จิตของนักจิตตภาวนาคือเราเอง ปรากฏขึ้นแล้ว ถึงได้มีความสะดุดใจขึ้นมาเป็นลำดับว่า อ๋อ ความสุขนี้โลกทั้งหลายหากันนักหนา ยุ่งกันนักหนา หาตั้งแต่ความสุข แต่ไปที่ใดไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลทั่วโลกดินแดน เจอตั้งแต่ความทุกข์ ความลำบากลำบน ความทรมานหนักเบามากน้อยมีอยู่ทั่วไป ความทุกข์ทั้งหลายนี้มันมีอยู่ที่ใจของสัตว์โลก ต้นไม้ ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ ท้องฟ้า มหาสมุทร เขาไม่ได้มีความสุข ความทุกข์ แต่มันมีอยู่ที่หัวใจของเราผู้มีกิเลสตัวดีดตัวดิ้น ผลักดันออกไปให้เสาะนั้นแสวงหานี้ แล้วก่อฟืนก่อไฟมาเผาตนก็เผาที่หัวใจนั้นแล

         วันหนึ่ง ๆ นอนไม่หลับก็มี บางคนเป็นบ้าไปก็มี เพราะกิเลสมันฉุดมันลากให้เถลไถล ให้ดีดให้ดิ้นจนกระทั่งเป็นความทุกข์  ครั้นรวมแล้วความทุกข์ก็มาอยู่ที่หัวใจ กิเลสหามาเอง เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ ขวนขวายหามาได้ก็มาเผาที่ใจของเรา นี่เรียกว่าทุกข์ทั้งมวลในโลกธาตุนี้มารวมอยู่ที่ใจ ประกอบกันกับความสุขที่เกิดจากการบำเพ็ญของเรา ว่าความสุขที่เราไขว่คว้ามาตั้งแต่ก่อนนานสักเท่าไร แล้วเวลาปรากฏ ๆ หาความสุขจากสิ่งใด สถานที่ใด บุคคลใด วัตถุใด ก็ไม่เคยปรากฏ ครั้นได้มาแล้วเสียไป ดีใจแล้วก็ทำให้เสียใจ รักแล้วทำให้ชัง เกลียด โกรธไปเรื่อย ๆ มีแต่เรื่องกิเลสปลิ้นปล้อนหลอกลวงในหัวใจ จึงกวนใจของเราให้ได้รับความทุกข์ความลำบากตลอดมา

         ทีนี้เมื่อใจสงบแล้วด้วยน้ำดับไฟ คือจิตตภาวนา ใจสงบลงไปก็เป็นเครื่องวัดเครื่องตวงได้อย่างชัดเจนว่า อ๋อ ความสุขนี้แต่ก่อนเราก็เคยมีปรากฏประจำใจ ตั้งแต่ความทุกข์ความลำบากลำบน แล้วนึกว่ามีกว้างขวาง มันอยู่ที่ใจ ทีนี้จิตใจของเราเมื่อเป็นความสงบแล้วประมวลความสุขเข้ามาสู่ความสงบ อยู่ที่ไหนเย็นสบาย ๆ จากความสงบเย็นใจแล้วยังเป็นความสว่างไสว ซึ่งเกิดมาเราก็ไม่เคยเห็น ก็มาปรากฏในเวลาภาวนานั้นแหละ ความสว่างไสวขึ้นที่จิตใจโดยลำดับลำดา อยู่ที่ไหนสบายหมด ที่นี่เริ่มแล้วนะนั่นน่ะ

         ผู้เสาะแสวงหาธรรมย่อมเจอธรรม สมกับนามธรรมว่า อกาลิโก ธรรมไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา ธรรมเมื่อเราบำเพ็ญ คือความดีไม่มีสถานที่ กาลเวลามากีดมาขวางทำลายได้ คนทำดีอยู่ที่ไหนไม่ว่าที่แจ้งที่ลับเป็นความดีทั้งนั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องจดต้องจำ มีทะเบียนบัญชีจดกันไว้ ใจเป็นหลักธรรมชาติที่แน่นอน ที่มั่นคง คือใจไม่เคยตาย จดจารึกไว้ที่ใจโดยหลักธรรมชาติของตนหมด จะเกิดมากี่ภพกี่ชาติ สร้างความดีมาเท่าไรใจจะจดจารึกไว้โดยหลักธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นสำหรับผู้สร้างความดีจะต้องจดจำ ผู้สร้างความชั่วก็เหมือนกันไม่จำเป็นจะต้องจดจำ หลักธรรมชาติคือหัวใจเป็นผู้ทำเอง แล้วก็เป็นผู้จดจำได้เอง

         ทีนี้เมื่อประมวลเข้ามาสู่ใจที่ได้รับผล ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยคาดเคยคิดเอาไว้ว่า ใจจะมีความสุขแปลกประหลาดอย่างไรบ้าง ในบุคคลคนเดียวคือเรา ซึ่งแบกหามแต่กองทุกข์ ไขว่คว้าหาความสุขฟากฟ้าแดนดินที่ไหนก็ไม่เจอ แล้วก็มาเริ่มเจอจากการจิตตภาวนา พอจิตใจสงบ ก็คือกิเลสสงบมันก็ไม่กวน ธรรมก็คือน้ำดับไฟ ระงับเข้าไปด้วยบทธรรมต่าง ๆ ตามแต่จริตนิสัยของเราที่ชอบอย่างไร เช่น ผู้นั่งภาวนาพุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี หรืออานาปานสติ หรือจะเป็นคำบริกรรมบทใดก็ตามนำมากล่อมใจของเราด้วยคำบริกรรมนั้น

         คำบริกรรมนี้แลเป็นบทธรรม บทธรรมนี้แลคือน้ำดับไฟ โดยมีสติกำกับรักษาจิตของเราไว้ มันอยากดีดอยากดิ้นไปขนาดไหน เพราะนิสัยของกิเลสมันเป็นผู้เชี่ยวชาญกล้าหาญชาญชัย และเป็นผู้มีอำนาจมากเหนือหัวใจและเหนือธรรมอยู่ภายในใจเราอยู่แล้ว เพราะแต่ก่อนใจเรายังไม่มีธรรม สู้กิเลสไม่ได้ กิเลสฟัดนี้ตกห้าทวีป ๆ ว่าจะไปสร้างคุณงามความดีกิเลสตีทีเดียวลงเหวลงบ่อ ไปหาโรงสุรายาเมา หาระบำรำโป๊ มีแต่ความคึกความคะนองอันเป็นทางของกิเลสไสไปเสียทั้งนั้น ครั้นเวลาได้มาก็มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย นี่เป็นอย่างนั้น

         ทีนี้เวลาจิตของเรามีความสงบด้วยอรรถด้วยธรรม ตามทางของศาสดาที่สอนไว้เรียบร้อยแล้วนี้ด้วยจิตตภาวนา จิตใจของเราย่อมมีความสงบเย็นเข้าไป เย็นเข้าไป คำว่าความสงบเย็นนี้เป็นไปได้หลายนิสัย นิสัยคนเราไม่เหมือนกัน เวลามันเป็นขึ้นมาบางรายเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ มองทะลุไปเห็นพวกเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม พวกเปรต พวกผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่เต็มอยู่ในโลกธาตุนี้ จิตสามารถมองทะลุไปได้เห็นหมด อันนั้นเป็นผลพลอยได้จากความสงบของใจ ซึ่งเป็นผลอันแท้จริง บางรายก็สงบไปเรียบ ๆ บางรายผาดโผนโจนทะยานไปเที่ยวเห็นหมดภายในจิต แต่ก่อนเราไม่เคยภาวนาก็ไม่เคยเห็น แต่เวลาเห็นขึ้นมานี้แล้วมันไม่ได้เหมือนตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ที่เราเห็นอยู่ทั่วโลก

         จิตนี้มีอายตนะเป็นของตัวเองทะลุไปหมด ควรที่เห็นเห็นด้วยตาของใจ ควรที่จะได้ยินได้ฟังได้ยินจากตาของใจ เรียกว่าหูทิพย์ ตาทิพย์ไปเรื่อย ๆ สง่างามขึ้นภายในใจ นี่เป็นความสงบใจ นี่ละการอบรมใจ ความสุขมารวมอยู่ที่ใจ ๆ โลกธาตุกว้างขนาดไหนไม่สนใจ มืดแจ้งไม่สนใจ ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากใจ ระงับกันด้วยจิตตภาวนา ด้วยสติปัญญาของเราอยู่เสมอ จิตใจเมื่อได้รับการบำรุงรักษาแล้วย่อมสง่างามขึ้นมา จิตใจของใครก็ตามเถอะ ขอให้เปิดสิ่งที่สกปรกรกรุงรัง คือกิเลสทั้งหลายออกจากใจมากน้อย จะเป็นความสง่างามขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพราะจิตดวงนี้เป็นความรู้เสมอกันหมด เวลาถึงขั้นบริสุทธิ์ก็เหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สาวกทั้งหลายทุกพระองค์ เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งหมดเลย นี่จิตก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

         จิตจะรู้ได้เห็นได้ตามหลักธรรมชาติของตนที่มีธรรมเป็นเครื่องส่องทาง จิตก็ค่อยสง่างาม อ้าว เรื่องราวทั้งหลายจิตก็เห็นภายนอก เรื่องราวภายในคือกิเลส ได้แก่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา มันมีมากน้อยอยู่ภายในจิตใจ จิตก็รู้ได้เห็นได้เข้ามาโดยลำดับ เพราะภาวนาเพื่อจะเห็นสิ่งที่เป็นภัยเหล่านี้ แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ค่อยกระจายออกไป สติปัญญาฟาดฟันหั่นแหลกลงไป จิตสว่างจ้าขึ้นมา จ้าขึ้นมาภายในใจดวงนี้แหละ จากนั้นแล้วกิเลสก็ค่อยละเอียดลงไป ละเอียดลงไป สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ยิ่งมีความแก่กล้าสามารถไปโดยลำดับ ๆ ประหนึ่งว่าเป็นคนใหม่ขึ้นมาในคนคนเดียวกัน  ในใจดวงเดียวกันนี้แล จากความเพียรที่เราบำเพ็ญตามทางของศาสดา

         จากนั้นมาก็ทะลุไปเรื่อย อะไร ๆ มองทะลุไปหมด มองทะลุไปหมด กิเลสมีอยู่ภายในจิตใจมากน้อยนี้ขาดสะบั้นลงไป ขาดสะบั้นลงไป เพราะอำนาจแห่งสติปัญญา มีกำลังกล้าสามารถเป็นความเพียรอัตโนมัติ ถึงขั้นที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ด้วยจิตใจตัวเองที่ประจักษ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน มีแต่ความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ตลอดเวลา ท่านจึงเรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาเพื่อคืบคลานออกเพื่อความพ้นทุกข์เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน นี่ละธรรมเมื่อมีกำลังแก่กล้าแล้ว ไม่ได้เป็นเหมือนแต่ก่อนที่เรากำลังอุตส่าห์ตะเกียกตะกาย

         การทำบุญให้ทานจะให้ทานบาทหนึ่ง โอ๊ย แย่งกันกับความตระหนี่ถี่เหนียว ดีไม่ดีบาทหนึ่งความตระหนี่เอาไปกินเงียบ เราเลยไม่ได้อะไร นี่คือตัวตระหนี่ นั่นละกิเลส มันอยู่ในใจของเรา อันหนึ่งคิดอยากไปทำบุญให้ทานเพื่อผลประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม จิตใจคือความคับแคบตีบตันของกิเลส มันก็ลากก็เข็นกลับคืนมา ยึดเป็นกรรมสิทธิ์ทั้งหมด เงินบาทหนึ่งแย่งกันเสียจนอย่างทุกวันนี้เงินมันเป็นเงินกระดาษ อยู่ในมือของเราเลยกลายเป็นกระดาษเปียกแฉะไปหมด เปื่อยใช้ไม่ได้เลย เพราะความตระหนี่กับความเสียสละมันแย่งชิงกัน แล้วสุดท้ายที่รับเคราะห์กรรมก็อยู่ในเงื้อมมือของเรา คือกระดาษเปียกหมดใช้ไม่ได้ กิเลสก็ไม่ได้สะแตก ธรรมะก็ไม่ได้บำเพ็ญ เห็นไหม นี่ละเรื่องกิเลสมันฟัดมันเหวี่ยงกัน

         นี่กิเลสอยู่ในใจของเรา เป็นข้าศึกต่อใจของเรา ธรรมก็มีอยู่ในใจของเรา เป็นข้าศึกต่อกิเลส และเป็นคุณต่อเรา เมื่อฟันกันหลายครั้งหลายหนธรรมมีกำลังมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น การสร้างประโยชน์จากสมบัติของตนที่ได้มากน้อยจะเริ่มสร้างขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอัตสมบัติคือเป็นความดีประจำใจ ๆ สิ่งภายนอกที่กิเลสหึงหวงนั้นมันเป็นสมบัติภายนอก มันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรแหละ แต่มันหลอกว่าเป็นสาระสำคัญทั้งนั้น ๆ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกถึงได้หลงไปตามมัน ส่วนที่เป็นอัตสมบัติจริง ๆ คือบุญคือกุศล คุณงามความดี สัตว์ทั้งหลายไม่ค่อยได้สนใจ เพราะกิเลสไม่ให้สนใจ มันปิดหูปิดตาไว้หมด

         ทีนี้เมื่อสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราในทางอรรถทางธรรมได้แก่กล้าสามารถขึ้นมาเป็นลำดับ ชำระไปสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา อ้าว วันหนึ่งไม่ได้ทำบุญให้ทานอยู่ไม่ได้ มีแต่การบำเพ็ญศีลธรรมประจำใจของตน เป็นคู่เคียงกับหน้าที่การงานทั้งหลายที่บำเพ็ญมาเพื่อธาตุขันธ์ชีวิตจิตใจ ความเป็นอยู่ของเรา เอ้า ทางนั้นเราก็ขวนขวาย ทางสมบัติภายในคือบุญคือกุศล เพื่อจะนำตนให้หลุดพ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์เราก็อุตส่าห์ขวนขวายไม่หยุดไม่ถอย แล้วสุดท้ายทางนี้ก็สว่างจ้าขึ้นไป สว่างจ้าขึ้นไป

         ความอยากหลุดพ้นจากทุกข์นี้เป็นธรรมจักรหมุนภายในตัว เรียกว่าความเพียรกล้า มีแต่ให้หลุดพ้นจากทุกข์ เพราะทุกข์นี้เคยติดเคยพันกันมาแล้ว ได้รับความทุกข์ความทรมานกับความทุกข์ตั้งแต่มนุษย์ลงไปถึงสัตว์ จนกระทั่งถึงตกนรกหมกไหม้ มีตั้งแต่กองทุกข์ทั้งนั้น ๆ ใครจะไม่เข็ดหลาบอิ่มพอกับมัน เมื่อมีธรรมเข้าเป็นเครื่องเทียบเคียงแล้วต้องยอมรับกันว่า ธรรมนี้เลิศเลอเป็นเครื่องฉุดออก ๆ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมมีความแก่กล้าสามารถในธรรมทั้งหลายแล้ว จึงบึกจึงบึนในเรื่องอรรถเรื่องธรรมตลอดไป สุดท้ายกิเลสก็ม้วนเสื่อ

         เมื่อกิเลสม้วนเสื่อแล้วความตระหนี่ถี่เหนียวก็ไม่มี มีตั้งแต่ความดิบความดี มีตั้งแต่ความเมตตาสงสารโลก มีมากมีน้อยแบ่งเขาแบ่งเรา ไปที่ไหนเฉลี่ยเผื่อแผ่ไปได้หมดด้วยอำนาจแห่งจิตใจของผู้มีธรรม สัตว์โลกไม่รังเกียจ นอกจากนั้นยังมีเมตตาประจำพื้นฐานของจิตใจด้วย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนไว้ว่า ผู้ใดมีเมตตาธรรมผู้นั้นย่อมมีความเสียสละ ผู้มีความเสียสละมากน้อยนั้นแลเป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่บูชาของผู้ดีทั้งหลาย ของโลกทั่ว ๆ ไป ส่วนคนตระหนี่ถี่เหนียวมีเท่าไรรังเกียจกันทั้งนั้น เขาไม่พอใจ นี้คือธรรมของพระพุทธเจ้า

         สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่กับใจของเราทุกคน ให้นำมาวินิจฉัยใคร่ครวญ เราอย่าเห็นแต่ว่าสิ่งใดที่เราชอบใจแล้วว่าดีทั้งนั้น ๆ มันเป็นภัยแทบทั้งนั้น ๆ หรือว่าเป็นภัยทั้งนั้นก็ได้ เมื่อไม่มีธรรมเป็นเครื่องทดสอบกัน เมื่อมีธรรมแล้วจะรู้ทันที คัดเลือก ๆ แม้แต่อาหารอยู่ในสำรับของเรา ในถ้วยในจาน อะไรเป็นอาหารที่สำเร็จรูปไม่มีภัยแล้วก็รู้ อะไรเป็นกระดูกเป็นก้างในอาหารถ้วยเดียวกันมันก็รู้ อันนี้กิเลสมันอยู่ในใจซึ่งเป็นเหมือนกับภาชนะ มันก็รู้อะไรเป็นภัย อะไรเป็นคุณ อยู่ในใจดวงเดียวกันมันก็รู้ คัดออกเลือกออก จากนั้นจิตมีความสว่างกระจ่างแจ้ง

         ใครอยากจะมาตกอยู่ในกองทุกข์อีก ที่ตกอยู่นี้ก็เพราะมันไม่รู้ เพราะกิเลสมันหลอกมันลวง ถ้ากิเลสว่าดีก็ดีไปตามกิเลสเสียทั้ง ๆ ที่มันชั่ว ผิดเท่าไรก็ตาม ถ้ากิเลสว่าถูกแล้วถูกทั้งนั้น ๆ นี่สัตว์โลกที่หลง หลงไปตามความหลอกลวงของกิเลส ท่านจึงแยกไว้สองภาค คือกิเลสเป็นฝ่ายหลอกลวง เกิดอยู่ในใจดวงเดียวกันนี้แล กิเลสจะหาความจริงออกมาพาสัตว์โลกให้ดำเนินเพื่อเป็นผลดี มีความสุขความเจริญจนถึงสวรรค์นิพพานนี้ไม่มีเลย มีแต่เรื่องหลอกลวงสัตว์โลก ต้มตุ๋นสัตว์โลกให้ล่มให้จม เมื่อเป็นเช่นนั้นสัตว์โลกจะไม่เข็ดหลาบอิ่มพอได้ยังไง เมื่อมีธรรมเข้ามาเทียบเคียงซึ่งเป็นความสุข บรมสุขขึ้นไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงความสุขที่หลุดพ้นแล้ว หรือผู้ที่กำลังจะหลุดพ้นยิ่งดีดยิ่งดิ้นเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย ที่เข็ดหลาบอิ่มพอเต็มประดานี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น

         นี่ละการฝึกหัดจิตใจ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พากันพินิจพิจารณา ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดโลกสุดสงสาร หลวงตาบัวใครจะเอาคอไปตัดก็ตาม เราพิจารณาตามธรรม ปฏิบัติตามธรรม ซึ่งเป็นสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า ได้เทียบเคียงหมดแล้วเรื่องศาสนาในสามแดนโลกธาตุนี้ เทียบศาสนาเป็นยังไง ๆ ศาสนาแปลว่าคำสอน ศาสนธรรมคำสอนสอนโลก คำว่าศาสนา ๆ ศาสนามีอยู่สองประเภท ประเภทหนึ่ง แต่เป็นประเภทที่ใหญ่หลวงมากก็คือศาสนาของคนมีกิเลส ศาสนาของคนมีกิเลส ตัวผู้เป็นเจ้าของ เป็นอาจารย์ของศาสนานั้นคือคลังกิเลส

         เมื่อเป็นคลังกิเลสเสี้ยมสอนลงไปอะไร ๆ พวกลูกศิษย์ลูกหา บริษัทบริวารย่อมเชื่อถือแล้วทำตามไป ๆ โครงการของกิเลสที่ออกจากใจของผู้เป็นคลังแห่งกิเลสนั้น ก็ยิ่งเป็นความผิดเรื่อย ๆ ไป ใครทำเท่าไรก็ผิดไป ๆ หาความสุขความเจริญที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ไม่มีจากศาสนาที่กิเลสครองใจ ผิดกันมาก มันเป็นโครงการของศาสนาไป ไม่ใช่ธรรม โครงการของศาสนา อุบายวิธีการของศาสนาที่ผู้นำแต่ละคน ๆ นำออกไปสั่งสอน แล้วบรรดาบริษัทบริวารก็ก้าวเดินตามนั้น ก็เป็นบาปเป็นกรรมไปตามนั้นเรื่อย ๆ ไป จึงไม่ปรากฏว่าผู้ถือศาสนาที่เป็นคลังของกิเลสนี้ได้หลุดพ้นจากทุกข์ แต่พุทธศาสนานี้ชี้นิ้วเลย หลุดพ้นเป็นลำดับลำดา ไม่หลุดพ้นก็มีแต่ทางหลุดพ้นๆ จากการบำเพ็ญของตน

คือศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส ไม่ได้เป็นคลังกิเลสเหมือนศาสนาทั่ว ๆ ไป ศาสนาของพระพุทธเจ้านี้ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด เป็นแบบเป็นฉบับตายตัวอย่างเดียวกันหมด เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสรู้จริงเห็นจริง ท่านจึงเรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า หนึ่ง และพระญาณหยั่งทราบตามเหตุการณ์ต่าง ๆ หนึ่ง ไม่มีผิด ๆ การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกก็ไม่มีผิด มีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้องจากธรรมที่ทรงไว้แล้วด้วยความบริสุทธิ์นี้แลนำมาสั่งสอนสัตว์ จึงกลายเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ สัตว์ทั้งหลายดำเนินตามนี้ก็หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับๆ รื้อกันขึ้นๆ ทำบุญให้ทานก็เป็นบุญเป็นกุศล ทำคุณความดีงามทั้งหลายต่อเพื่อนทั้งหลายตลอดถึงสัตว์เดรัจฉาน เช่น การสงเคราะห์สงหา เป็นบุญเป็นกุศล จนกระทั่งถึงจิตตภาวนา บุญกุศลอันเลิศเลอมารวมอยู่ที่นี่ ทาน ศีล ความดีทั้งหลายมารวมอยู่ที่จิตตภาวนา อันเป็นทำนบใหญ่ของความดีทั้งหลาย

         เมื่อความดีทั้งหลายมารวมอยู่ที่ทำนบใหญ่ คือจิตตภาวนาแล้วก็พุ่งเลย ถึงความพ้นทุกข์ไปได้เลย นี่คือศาสนาธรรมของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ทุกๆ พระองค์ไม่แปลกต่างกันเลย นี่คือแนวทาง นี่คือศาสนาเพื่อรื้อขนสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเหมือนกันหมด แต่นอกจากนั้นก็ให้พิจารณาเอง ศาสนาของผู้เป็นคลังกิเลสก็เหมือนกับเรา ๆ ท่าน ๆ มืด ๆ มัว ๆ ลูบดำกำขาวไป ผิดบ้างถูกบ้างอะไรบ้างเป็นธรรมดา ที่จะให้ถูกอย่างแม่นยำเหมือนคนตาดีไม่ถูก คนตาดีไปไหนเดินไปไม่ค่อยโดนขวากโดนหนาม แต่คนตาฝ้าตาฟางคนตาบอดไปไหนนี้ชนนั้นโดนนี้ ตกเหวตกบ่อตลอดเวลา นี่ใจบอดเป็นอย่างงั้นนะ

         คนใจบอด คนใจฝ้าฟางวิ่งตามกิเลส ถ้ากิเลสว่าดีแล้วพระพุทธเจ้าสิบองค์ก็สู้ไม่ได้ วิ่งตามกิเลสอันเดียวนั้นไปได้เลย ลงนรกก็ไม่ว่า แต่เวลาไปถึงมันสายเสียแล้วๆ พอพ้นจากนรกมาแล้วกิเลสปิดบังว่าไม่เคยตกนรก มิหนำซ้ำยังว่าตายแล้วสูญๆ คนเกิดมาในโลก สัตว์เกิดมาในโลก อะไรจะมากยิ่งกว่าสัตว์และบุคคลที่ตายเกลื่อนเกิดเกลื่อนอยู่ในสามโลกธาตุนี้ แล้วทำไมจึงไปกล้าหาญชาญชัยให้กิเลสหลอกได้ว่าตายแล้วสูญ ฟังซิ อย่างเรานั่งฟังเทศน์อยู่ที่ศาลาเวลานี้มากขนาดไหน ถ้าว่าตายแล้วสูญมันเอาอะไรมาเกิด ให้ได้นั่งเต็มศาลาอยู่นี้

         ความยืนยันก็คือเกิดนั้นเองมันจึงปรากฏเป็นรูปเป็นนาม เป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นบุคคลขึ้นมา เพราะใจดวงนี้ไม่เคยสูญ ไปที่ไหนก็ไม่เคยสูญ จนกระทั่งถึงนิพพานก็เป็นธรรมธาตุ เลิศเลออยู่กับธรรมธาตุ ท่านสูญไปที่ไหนนิพพาน ตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์มากขนาดไหนยอมรับ แต่เรื่องใจนั้นไม่มีทางฉิบหาย ใจดวงนี้ละที่ไม่ฉิบหายนี้แล ค่อยฟื้นฟูตนเองขึ้นไปให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นธรรมธาตุได้ กิเลสมันหลอกนะว่าตายแล้วสูญๆ พวกสัตว์โลกทั้งหลายถ้ายอมรับกิเลสว่าตายแล้วสูญ พวกนี้จะกล้าหาญชาญชัยต่อการสร้างบาปสร้างกรรม หลับหูหลับตาทำทั้งนั้น ไม่มีความพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญาบ้างเลย ว่าผิด ถูก ชั่ว ดี บาปบุญประการใดไม่คิด พวกนี้มีแต่กิเลสลากไปถูไปจมไปเรื่อย ๆ นี่ให้พากันพิจารณา

         นี่ละการปฏิบัติเราก็ได้ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย กิเลสนี้มีความละเอียดลออเป็นลำดับ ธรรมสว่างจ้าขึ้นภายในใจจากการบำรุงรักษาโดยจิตตภาวนาไม่หยุดไม่ถอย จิตใจจึงได้รับผลขึ้นมาจากความเด็ดเดี่ยวอาจหาญชาญชัย สละเป็นสละตายด้วยความเพียรของตนเอง ผลได้ปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับลำดา เพราะเป็นความเพียรที่ถูกต้อง ถ้าเป็นความเพียรในทางที่ผิดอาจหาญชาญชัยเท่าไรก็ยิ่งผิดไปมากเท่านั้น แต่นี่ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนโลกให้อาจหาญชาญชัยกระด้างกระเดื่องต่อบาปต่อกรรมนะ สอนให้เชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อบุญทั้งหลาย

         เชื่ออย่างนี้แล้วปฏิบัติตามนั้น แล้วชำระใจของตัวเองซึ่งเป็นที่นอนจมอยู่ของกิเลสมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พอเวลาธรรมะพระพุทธเจ้าสว่างจ้าเข้าไปภายในใจ แผดเผาแหลกหมดเลย กิเลสม้วนเสื่อออกจากใจ ความมืดบอดที่เคยมาดั้งเดิมอยู่เป็นประจำใจนี้จ้าขึ้นมา หมดความมืดบอด ตาภายในจ้าขึ้นมาแล้ว อะไรมันก็เห็นจะว่าไง ใครจะปฏิเสธเท่าไร ใครเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม ใจดวงเดียวนี้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก รู้ประจักษ์ใจของเราองค์เดียวนี้พอ ๆ ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเพียงพระองค์เดียว ไม่ต้องมีใครมาเป็นสักขีพยานแนะนำพระองค์เลย สอนโลกได้สามแดนโลกธาตุ

         นี่ก็เหมือนกัน จิตใจนี้ก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เพราะจิตเป็นนักรู้ เมื่อธรรมเป็นเครื่องส่งเสริม และซักฟอกสิ่งมืดดำคือกิเลสทั้งหลายออกจากใจแล้ว ย่อมสว่างจ้าขึ้นมาด้วยกัน จิตใจของเราที่ได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นตะเกียกตะกายดังที่กล่าวมานี้ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย เพราะทำไม่หยุดไม่ถอย จนกระทั่งถึงขั้นหมุนตัวเป็นเกลียว ที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดา ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน ไม่มีคำว่าที่จะปล่อยงาน คือความพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา เพื่อฆ่ากิเลสซึ่งเป็นมหาภัยของใจ มีอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งฟาดกันแหลกแตกกระจายไปหมด ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาหมุนใจให้ดีดให้ดิ้นอีกแล้ว สว่างจ้าขึ้นมา

         เป็นยังไงนิพพานมีไหม พระพุทธเจ้ามีไหม ดูหัวใจของเราที่สิ้นจากกิเลสนี้ กับหัวใจพระพุทธเจ้าซึ่งสิ้นจากกิเลสมาก่อนแล้วมาสอนเรา มันก็เป็นหัวใจอันเดียวกัน เราจะถามพระพุทธเจ้าหาอะไร มรรค ผล นิพพาน ใครจะเป็นผู้รู้ ไม่ใช่ใจเป็นผู้รู้ พระพุทธเจ้ารู้มาแล้วมาสอนโลก ศาสดาของเราทั้งหลายไม่ได้โกหกโลก ไม่เหมือนกิเลสซึ่งเป็นตัวจอมโกหกโลก นี่แหละเมื่อเราปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้วก็เรียกว่าเปิดโล่งออกหมดขึ้นภายในจิตใจเลย ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ นี้เป็นพระโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ซึ่งเป็นการท้าทายก็ได้ หรือให้เป็นสักขีพยานอย่างมั่นใจก็ได้ ว่าญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต

         อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา คือชาติสุดท้ายเป็นชาตินี้ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว นี่เทศน์สอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พระองค์จะว่าท้าทายก็ไม่ผิด จะว่าทรงแสดงตามหลักความจริงนี้ก็ไม่ผิด อัญญาโกณฑัญญะได้รู้เห็นธรรมประเภทนั้นมาเป็นแง่แห่งธรรม สักขีพยานภายในจิตใจ อายสฺมโต โกณฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุÿ อุทปาทิ  ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ญาณความรู้ปราศจากมลทิน มีความผ่องใส

         วิรชํ วีตมลํ ได้เกิดขึ้นแล้ว ว่าแน่ในใจของท่าน ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตใจของเรานี้เที่ยวไขว่เที่ยวคว้า กว้างแคบไม่มีประมาณ สามแดนโลกธาตุเที่ยวยึดที่เกาะไปหมด แต่ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่แน่ใจ ได้มาเสียใจ ได้มาเสียไป พังกันทั้งนั้น เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายด้วยกันทั้งนั้น แต่จิตดวงนี้กับธรรมที่เราได้รู้ได้เห็นจากบรมศาสดาเวลานี้ไม่พัง ท่านว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น สิ่งที่ไม่ดับก็คือกระแสของธรรม ได้แก่กระแสพระนิพพานถึงใจ เรียกว่าหลักความจริงที่ได้รู้ได้เห็นนี้ไม่พัง ยืนยันกันตรงนี้ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้แล้ว

         จิตของเราเมื่อเวลาได้กระจ่างขึ้นมาแล้ว พูดแล้วสาธุ ไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ประกาศไว้แล้วทุกรูปทุกนาม ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง จำเป็นจะต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องถามใคร ให้ปฏิบัติตนเอง ให้รู้เห็นเองอย่างนี้ นี่ละธรรมเวลาได้กระจ่างขึ้นมาแล้วนี้มันเปิดไปหมดโลกธาตุนี้ เป็นยังไงมรรค ผล นิพพาน มีหรือไม่มี ศาสนา บาป บุญ มีหรือไม่มี พวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธให้กิเลสมันปิดหูปิดตา เหยียบย่ำทำลายศาสนา ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี ตายแล้วสูญ อยู่อย่างงี้ตลอดไปเหรอ หรือจะพิจารณายังไง

         ศาสดาองค์เอกเลิศเลอขนาดไหนไม่มีความหมายอะไรบ้างเหรอ มีความหมายตั้งแต่กิเลสตัวเป็นส้วมเป็นถานนั่นหรือปกคลุมหุ้มห่อจิตใจ จิตใจเป็นส้วมเป็นถานนั่นหรือว่าเป็นของเลิศของเลอ ให้เอาไปพิจารณาบ้างบรรดาพี่น้องทั้งหลายนะ นี่ได้เอามาเป็นสักขีพยาน เทศน์สอนนี้เราไม่เคยหวั่นไหว ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมาเราสอนได้ทั้งนั้น จะว่าไง เราไม่พูดถึงเรื่องท้าวมหาพรหม เทวบุตรเทวดา เพราะอันนั้นเป็นสิ่งภายนอก ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ก็ไม่มาพูด อันใดที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์มาสอนดังที่สอนอยู่เวลานี้แหละ

         เรื่องเทวดาสอนเป็นเทวดาไป อินทร์ พรหม รายใด ๆ ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงสอน ท่านก็ไม่ทรงเกี่ยวข้องกับมนุษย์มนา สอนพวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ล้วน ๆ ๆ ๆ ดังที่แสดงไว้แล้วในพุทธกิจห้าว่า อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตอนหกทุ่มแก้ปัญหา และแสดงธรรมแก่เทวดาทั้งหลาย นี่เป็นอย่างงั้น ท่านสอนเทพท่านสอนอย่างงั้น สอนมนุษย์เราก็ สายเณฺห ธมฺมเทสนํ ตอนบ่ายสามโมงสี่โมงสอนพวกประชาชนพลเมืองนับแต่มหากษัตริย์ลงมา นี่เป็นขั้นเป็นตอน อันนี้ก็เหมือนกัน มาเกี่ยวอะไรยุ่งอะไรกับเรื่องเทวบุตรเทวดา เป็นเรื่องเทวบุตรเทวดากับเราโดยเฉพาะเท่านั้น ที่จะแก้จะไขถอดถอนซึ่งกันและกัน

         เวลาสอนมนุษย์เอาเทวดามายุ่งทำไม นี้พูดจริง ๆ เราอาจหาญขนาดนั้นธรรมนี้ เรารู้เพียงคนเดียว เห็นเพียงคนเดียว เราไม่เคยสะทกสะท้านหวั่นไหวกับสามแดนโลกธาตุนี้เลย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของมืดมัว เป็นของไม่แน่นอน ธรรมชาตินี้แน่นอนตลอด รู้เพียงคนเดียวไม่ต้องถามใคร นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าจ้าอยู่ตลอดเวลา อกาลิโก ธรรมของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา ที่อะไรจะมากีดมาขวางทำลายได้เลย ขอให้สร้างลงไป ความดีสร้างในที่มืดที่แจ้งที่ไหนได้หมด สร้างความชั่วก็แบบเดียวกัน เราทำความชั่วทำที่ไหนเป็นชั่ว ๆ ตลอดไป จึงเรียกว่าเป็นอกาลิโกเสมอกันหมด คือความชั่วเป็นชั่วตลอดไป ถ้าทำลงไปเป็นบาปเป็นกรรมตลอดไป ความดีทำดีลงไปเป็นบุญเป็นกุศลตลอดไป จึงขอให้ท่านทั้งหลายยึดอันนี้เป็นหลัก

         นี่ละเหตุผลกลไกที่เราได้อุตส่าห์ตะเกียกตะกายมาช่วยพี่น้องทั้งหลาย มาพิจารณางานการของเรานี้หมด ไม่มีอะไรเหลือแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ เพราะอะไร กิจที่หนักแน่นที่สุดที่ได้รับความทุกข์ความทรมานที่สุด ก็คือการฆ่ากิเลส  การชำระกิเลส เวลานี้กิเลสได้สิ้นซากลงไปแล้ว หมดงานที่จะทำแล้ว จิตได้ถึงความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเรียกว่าหมดงาน นี่งานของธรรมมีเวลาสิ้นสุดลงได้ เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วสิ้นสุดได้เลย แต่งานของกิเลสไม่มีคำว่าสิ้นสุด หมุนติ้วไปอย่างงั้น เรียกว่าวัฏวน วนไปวนมาเพื่อความทุกข์ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตลอดมา นี่คืองานของกิเลสไม่มีวันที่จะสิ้นสุดยุติลงได้ แต่งานของธรรมนี้เมื่อสร้างความดีเข้าไป หนุนขึ้นไป ๆ เมื่อพอดีแล้วก็สิ้นสุดยุติลงได้

         สิ้นสุดอันนี้แล้วจึงได้บำเพ็ญตัวเองอยู่ด้วยความผาสุกเย็นใจ สบายไปเรื่อย ๆ แล้วต่อมาก็มีชาติบ้านเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังที่พี่น้องทั้งหลายเห็นอยู่นี้แล วันนี้เป็นยังไงประชาชนที่เข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองของเรา ด้วยความรักชาติของตน หลวงตาจึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่รักชาติเป็นอย่างมาก ที่ได้มาแสดงตัวด้วยความรักชาติให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งในวันนี้ ทองคำก็ได้จำนวนมาก ดอลลาร์ เงินสด ได้จำนวนมาก มาจากไหน ถ้าไม่ใช่ได้มาจากน้ำใจของพี่น้องชาวไทยที่รักชาติด้วยกัน หลวงตาจึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมาก

         วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นจะแสดงได้เพียงขนาดนี้ จะกว้างขวางไปยิ่งกว่านี้ เวล่ำเวลาที่มีกำหนดกฎเกณฑ์ก็เป็นอันว่าจะยุติลง จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดไปประพฤติปฏิบัติช่วยตัวเอง ให้มีความประหยัดมัธยัสถ์ อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เวลาทำบุญให้ทานก็ขอให้มี อย่ามีตั้งแต่การสร้างบาปสร้างกรรม หาบแต่ความทุกข์ความทรมานเผาตัวเองไปทั้งภพนี้ภพหน้า ไม่สมควรแก่มนุษย์เราที่มีพุทธศาสนาประจำตัวเลย ควรจะมีศาสนาเป็นวรรคเป็นตอน เอ้า วันนี้วุ่นก็ให้วุ่นไป ระยะนั้นไม่วุ่นเราจะสร้างความสุขความเจริญด้วยการสร้างคุณงามความดีใส่ตัวของเรา จิตก็มีงานทำ จิตก็มีสิ่งเสวย กายก็มีงานทำ กายก็มีสิ่งเสวยอาศัย เช่น ตึกรามบ้านช่อง อาหารการบริโภค เป็นที่อาศัยของกาย

         ส่วนคุณงามความดีคือการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาเป็นงานของใจ และเป็นอาหารที่เลิศเลอของใจ ขอให้สร้างไว้ในตัวของเราเอง อย่าให้มีแต่สมบัติของร่างกาย ตายแล้วทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้มีสมบัติของใจ ตายแล้วไปด้วยกันเลยๆ ให้พากันจำเอาไว้ วันนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรกว้างขวางมากมายนักแหละ ให้สมกับเวล่ำเวลาที่พอมี แต่ร่างกาย ธาตุขันธ์นี้มันก็อ่อนเพลีย แล้วเวลาที่จำกัดอยู่นี้ก็มี จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลาย

วันนี้งานของเรารู้สึกว่าเป็นงานที่มีเกียรติอันสูงส่งมากทีเดียว ท่านรัฐมนตรีก็มา ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนี้เป็นพื้นเพสำหรับวัดนี้ การสร้างคุณงามความดี การรับใช้ประชาชนนี้เรายกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดผู้นี้เป็นสำคัญมากตลอดมา แต่ก่อนก็เคยเป็นลูกศิษย์อยู่แล้วตั้งแต่สมัยอยู่อุดร แล้วกลับมายิ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดสนิทสนม ชี้เป็นชี้ตายได้ตลอดเวลาเลย นี่ก็นับว่าเป็นเกียรติ แล้ววงราชการ ทางฝ่ายตำรวจ หรือทางทหาร หรือทางประชาชนพลเมือง ราชการหลายหน่วยงานก็ได้อุตส่าห์พยายามมาบำเพ็ญกองการกุศล ด้วยความรักชาติ ด้วยความสามัคคีของตนทั่วหน้ากัน จึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับท่านทั้งหลายด้วยในเวลานี้

         การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ จึงขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

ชมการถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com  หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก