เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
วันที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]
ความแน่นอนอยู่กับอริยธรรม
วันนี้ได้ ๑๐ กิโลแล้วนะ เฉพาะที่ไปสามแห่งก็ตั้ง ๑๐ กิโลกว่าแล้ว ผ้าป่าทองคำสามแห่งก็ได้ทองคำ ๑๐ กิโล กับ ๓ บาท ๘๒ สตางค์ ยอดรวมทองคำ ๑๐ กิโล กับ ๕๖ บาท ๑๐ สตางค์ ดอลลาร์ที่ได้ทั้งวันเป็น ๘,๘๕๘ ดอลล์ สรุปดอลลาร์ได้ทั้งหมด ๒๖๘,๙๐๘ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๓๑,๐๙๒ ดอลล์จะครบจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ เราบอกไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เล่นนะดอลลาร์ ๓๐,๐๐๐
เหน็ดเหนื่อยไม่เทศน์อะไรแหละ เหนื่อยวันหนึ่ง ๆ เหนื่อยมากนะ เพราะมีแต่เทศน์ ๆ ไปที่ไหนไม่เทศน์ได้ยังไงก็ไปหาคน ตั้งแต่ไปหาไอ้ตูบก็ยังได้พูดกับมัน ไปหาคนมันไม่เทศน์ได้ยังไง นั่น ไอ้ตูบสองตูบตัวเล็ก ๆ พระก็เอาไปเทศน์อยู่ทางด้านนู้นยังไม่กลับไปนู่นนะ เมื่อเช้านี้เราก็ถามหามันไปไหนไอ้ตูบสองตัวเล็ก ๆ พระเอาไปนู้นว่างั้น นี่แสดงว่าเอาไปเพื่อจะสนิทสนมกันละกับสองตัว ไปเป็นเสี่ยวกัน รู้จักไหม มันน่ารักเสียด้วยนะสองตัว ไอ้เรานี้ดุฟ่อ ๆ แต่จิตมันรัก แน่ะมันเป็นอย่างงั้นนะ ดุฟ่อ ๆ เลย สองตัว แล้วคนก็มาในนี้เยอะแล้วนะเดี๋ยวนี้นะ
ไอ้ตัวใหญ่มันมีกี่ตัว ตัวหนึ่งขาเขยก ๆ มันไปกัดกับตัวไหนมันถึงได้เขยก ๆ (ตัวดำเล็ก ๆ ครับ) ตัวเล็ก ๆ เตี้ย ๆ ตัวนั้นมันแผลงฤทธิ์มันนั่นแหละ (กัดขาเก่ง) เออ มันว่ามันเป็นเจ้าถิ่นเลยกัดตัวนั้นน่ะ คงเป็นตัวนั้นละ หวงอำนาจเพราะว่าได้มาอยู่ก่อนเขา แผลงฤทธิ์ไปกัดขา ไอ้ตัวเล็กไอ้ตัวดำ ๆ นั่นน่ะ แล้วมันมีกี่ตัวแล้วหมา แต่ก่อนดูเหมือนมีอยู่สามไม่ใช่เหรอ (ขาว ๓ ดำ ๑ แล้วมาอีก ๒) มาอีก ๒ เป็น ๖ นี่มันเข้าสังฆกรรมได้แล้วนะ ต่อไปนี้จะได้ยกฐานะขึ้นว่าวัดนี้คือวัดหมาเข้าใจไหม มันไม่ใช่วัดพระ ถึง ๖ องค์แล้วว่ะ โห เป็นสังฆกรรม ขึ้นสังฆกรรมได้แล้ว นวลน่ะเอามาสองตัวเล็ก ๆ เพราะลูกแม่เดียวกันด้วย ตัวหนึ่งสีขาว ตัวหนึ่งสีดำและตัวเท่ากัน ตูบแบบเดียวกัน ดูอะไรไม่ผิดกัน ผิดตั้งแต่สีเท่านั้นละ เวลาถามทำไมมันจึงเหมือนกันนักละ มันผิดแต่สีตัวหนึ่งขาว ตัวหนึ่งดำเท่านั้น มันลูกแม่เดียวกัน เป็นลูกแม่เดียวกัน
วันพรุ่งนี้มีโครงการอะไรอีก (แล้วแต่หลวงตาจะไป ว่างครับ) วันพรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนนะ ยังมีว่างอยู่หรือมาใน ๕ วัน (เว้นไว้ให้หลวงตาวันหนึ่ง) ไปก็มีตั้งแต่เรื่องไอ้นั้นนะเรา ส่วนมากแถว ๆ นี้ไปก็กราบครูบาอาจารย์ จากนั้นก็ขึ้นเขา เที่ยวป่าเที่ยวเขา แล้วก็เอาของไปให้พวกด่านทหาร พวกรักษาด่าน นอกนั้นก็ไม่ค่อยไปไหนละ มีว่างวันหนึ่งนะ (ครับ) เราสงสาร ด่านทางนู้นก็ช่วยเป็นประจำ ด่านทางเพชรบูรณ์มีสองด่าน ด่านหนึ่งได้ทำอะไรให้เรียบร้อยแล้วนะ พวกไฟฟ้าแรงสูงก็เอามาเข้าตรงนั้น แล้วบ้านพักตำรวจหลังหนึ่งใหญ่พอสมควรก็ให้แล้ว แล้วโรงรถอีก แล้วก็ห้องน้ำห้องส้วม ให้ ๖ ห้องด้วยกัน แล้วอะไรเจาะน้ำบาดาล
ทีนี้ด่านนู้นเห็นด่านนี้ได้ก็อยากได้ มาออดขออยู่เรื่อย เราก็บอกเรายังให้ไม่ได้ เพราะเราหนักมาก เราบอกงั้น ทางนู้นอยากได้ว่า อดน้ำ น้ำอดมากทีเดียวถ้าหน้าแล้งหมด ก็ได้อาศัยน้ำสระว่างั้นนะ เราก็ยังไม่ได้ตกลงให้ เพราะเราหนักอยู่ตลอดไม่ได้เบาบางนะ ความหนักของเราหนักตลอด เงินได้มาเท่าไรนี้ไหลออก โอ้โห ซ่านทั่วไปหมด ไม่ทราบจะออกทางไหน ๆ บ้าง มองไม่ทันนะการจ่ายเงินของเรา พอว่าให้มันจะลุกลามไปหมด สมมุติว่าเราให้น้ำบาดาลมันจะลุกลามไปอย่างอื่นเป็นแบบเดียวกันเลย นี่มันเป็นอย่างงั้นนะ พอมีช่องว่างละ ได้โอกาสเอาเลย นั่นเป็นอย่างงั้นนะ เราจึงยังไม่ให้ ระยะนี้โนนสะอาดก็กำลังสร้างตึกโรงพยาบาลหลังหนึ่ง สองชั้น เขากำลังสร้างกำแพงสามด้าน ด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และตะวันตก ส่วนด้านถนนเขามีแล้วเขาไม่ขอ เราก็ให้กำแพงสามด้าน
วันนี้คนก็มากเต็มไปหมดทั้ง ๆ ที่ฝนตก อยู่ถนนนั้นไม่ได้นะ ฝนตกมันเปียกหมดใช่ไหม เราอยากให้ชาวพุทธเรามองดูจิตใจตัวเองบ้างนะ แหม จิตใจนี่ร้อนมาก โลกนี่ร้อนมากอยู่ที่จิตใจ กิเลสเผาขึ้นมาแต่ไม่รู้จักวิธีดับ และไม่รู้ว่ากิเลสเป็นตัวเหตุ เป็นฟืนเป็นไฟเกิดขึ้นที่หัวใจ เผาหัวใจเจ้าของ มีแต่ดีดแต่ดิ้นมันหลอก วาดภาพทางนู้นวาดภาพทางนี้ไปจากหัวใจ เราก็หลงดิ้นไปตาม ทีนี้ก็กอบโกยเอาความทุกข์เข้ามาเผาใจ แล้วไม่รู้ว่าสาเหตุมันเป็นมายังไง ไม่รู้เลย เป็นอย่างนี้มาตลอดนะ ถ้ามีการภาวนาตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นธรรมแก้กิเลสโดยตรงแล้ว เหล่านี้คือกิเลสทั้งนั้นแก้ได้เป็นลำดับ ไม่มากก็รู้จักเวลาพักผ่อนหย่อนอารมณ์ของตัวเองบ้าง ไม่ปล่อยให้มันลุกจนกระทั่งหมดกำลังแล้วไฟก็ดับเอง เมื่อมันแสดงขึ้นมาก็ดับกันด้วยธรรม ธรรมเป็นน้ำดับไฟ
วันนี้ก็มีพูดบ้างเล็กน้อยตอนไปนู้น ถึงเรื่องความทุกข์ความเดือดร้อนของโลก ไม่มีใครดูเพราะไม่มีใครรู้ใครเห็น มันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟทั่วโลกดินแดน นี่ละอำนาจของกิเลสเผาโลกเผาหัวใจของโลก ภายในก็เผาอยู่ ภายนอกก็วาดภาพออกไปหลอกอันนู้น หลอกอันนี้ อันนั้นดี อันนี้ดี มีแต่เรื่องกิเลสวาดภาพหลอกให้ดิ้นให้ดีดตลอดเวลา แล้วก็ความสมหวังจะมีเพียงเล็กน้อย ส่วนมากมีแต่ผิดหวัง ๆ เผาทั้งนั้น ความสมหวังก็เพื่อจะผิดหวังนั่นแหละเรื่องกิเลส ไม่ใช่สมหวังให้เป็นสุขอย่างเดียวไปเหมือนธรรม ถ้าธรรมแล้วสมหวังแล้วก็จะเพิ่มเข้าอีกให้สมหวังขึ้นไปเรื่อย ๆ ผิดกันนะ มองไปที่ไหนมันจึงมองไม่ได้ ไฟเผาโลกก็คือไฟของกิเลสเผาหัวใจสัตว์ มันเผาจริงๆ โลกทั้งโลกไม่มีใครรู้เลย
พุทธศาสนาซึ่งเป็นน้ำดับไฟไม่มีใครสนใจทั่วโลก แม้แต่ชาวพุทธเราก็ยังไม่รู้จักวิธีที่จะนำน้ำมาดับไฟ คือทำความสงบแก่จิตใจตามทางศาสดา อย่างนี้มันก็ไม่มี มันก็ร้อนไปตาม ๆ กัน สุดท้ายย่นเข้ามาหาพระอีก พระก็ยิ่งแล้วยิ่งกว่าประชาชนเข้าอีก มีเยอะนะที่เลวร้ายกว่าประชาชน นอกจากไม่สนใจหาน้ำมาดับไฟยังเสริมไฟขึ้นเผาตัวเอง เผาศาสนา เผาจนกระทั่งกระเทือนไปทั่วโลกดินแดน นี่เป็นอย่างนี้นะ ถ้าลงระงับไม่มีอะไรที่จะเกินธรรมของพระพุทธเจ้า ระงับดับได้ไม่มากก็พอซุกหัวนอนได้คนเรา เหมือนยากับโรค โรคที่ว่ามันไม่หายก็พอบรรเทากันไปเป็นระยะ ๆ กับหยูกกับยานะ นี่มันไม่สนใจกับยาเลยด้วย กับหมอมันก็ไม่สนใจ ยาก็ไม่สนใจ แต่กับโรคของกิเลสที่จะเผาหัวใจนั้นมันสนใจด้วยกันหมด นี่ละที่มันมาแพ้กันแพ้ที่ตรงนี้ หาความสงบสุขไม่มีเลย
โห เวลาจิตมันสงบอะไรจะเหมือนจิต โลกธาตุนี้ดับหมดเลย ก็คือจิตเป็นตัวฤทธิ์เดชจากกิเลสที่พาให้แสดงฤทธิ์เผาตัวเอง มีแต่เผาทั้งนั้นทั้งวันทั้งคืน คำว่ากิเลส ๆ มันก็ไม่รู้คืออะไร ตัวกิเลสจริง ๆ มันก็ฝังอยู่ที่ใจ พลังของมันแสดงออกมาให้อยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของใจนั่นแหละ นี่มันเป็นเรื่องของกิเลสออกแสวงหารายได้ของมัน แต่ผลก็คือเรารับเคราะห์กรรมจากกิเลสที่แสวงหารายได้ มันก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไป นี่คือกิเลสเผาหัวใจโลกนะ มันอ่อนใจเหมือนกันนะ มองไปที่ไหนมันก็เป็นอย่างเดียวกันหมด มันเป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ใช่เป็นมาวันนี้วานนี้ เมื่อไร มันเป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็ได้เป็นจุดเป็นหย่อม เป็นนั้นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกนั้นกิเลสเอาไปกลืนตลอด กลืนไม่ให้ตายด้วยนะ เอาไปถลุงให้รับความทุกข์ความทรมาน เพราะจิตตายไม่เป็น ถลุงอยู่งั้นให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน เวลามันร้อนมาก ๆ นี่แหม มันเคยเป็นด้วยกันนะคนเรานะ คนมีกิเลส เวลามันรุนแรงก็รุนแรงตามสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คืออารมณ์ที่จะปลุกกิเลสอันนี้ให้มันรุนแรง อารมณ์ก็คือเชื้อเพลิง ไฟก็คือกิเลส อารมณ์ที่เข้ามาต่าง ๆ ก็เข้ามาหากิเลส ปลุกกิเลสขึ้นมามันก็แดงโล่ขึ้นภายในใจเผาไปเรื่อย
พระพุทธศาสนานี้เรียกว่ายอดของศาสนา ดับได้ไม่สงสัยเลย พุทธศาสนานี่เป็นยอดทีเดียว นำมาดับ มีแต่ฟังเฉย ๆ ไม่ทำมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ฟังด้วยเอามาทำด้วย ทดสอบกันไป พิสูจน์กันไปเรื่อย ๆ มันก็มีช่องมีทางที่จะสงบเย็นได้จิตใจเรา เวลามันสงบจริง ๆ มันของเล่นเมื่อไร เป็นของอัศจรรย์เอามาก ก็คือกิเลสสงบเวลานั้น กิเลสไม่ได้ดับเพียงมันสงบตัวลงไปเท่านั้น ใจก็สบาย อัศจรรย์ นั่น ธรรมระงับกิเลสได้ชั่วระยะเท่านั้นก็แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมา เย็นไปหมดเลย อย่างไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นนี่เราไม่ลืมนะ ฟังเทศน์ท่านเทศน์ถึงพริกถึงขิงเพราะเทศน์สอนพระล้วน ๆ ไม่มีประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงมีแต่ธรรมะล้วน ๆ ทางด้านจิตตภาวนา
เวลาท่านเทศน์ถึงเหตุถึงผล ถึงอรรถถึงธรรมจริง ๆ แล้วโลกเหมือนดับหมดนะ ฟังเทศน์ท่านขณะที่ฟังนั้นเหมือนอะไรดับหมด นี่ละฤทธิ์ของธรรมท่านที่รู้จริงเห็นจริงแสดงออกมา ดับใจของเราผู้คอยฟังอยู่นั้น ปรากฏว่าดับ อะไรก็ได้ยิน มองไปก็เห็นก็รู้อยู่ธรรมดา แต่อยู่ภายในมันดับเหมือนไม่มีอะไร ดับไปหมดนะ เราเป็นเอง โห ทำไมฤทธิ์ธรรมของท่านถึงเป็นถึงขนาดนี้เชียวหนา คืออัศจรรย์ มันเป็น กลางวี่กลางวันเวลาไหนมันก็ดับของมัน ฤทธิ์ของธรรมที่ฟังมาจากท่านตอนกลางคืน มันดับ ฤทธิ์ของธรรม ดับเงียบไปเลย แล้วมันจะไม่สำเร็จยังไง
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าหลังจากทรงแสดงธรรมจบลงแล้ว บรรดาสัตว์โลกได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน จำนวนมาก ๆ จะไม่มากยังไงก็สัตว์โลกมันมีน้อยเมื่อไร นั่น แล้วฟังอรรถฟังธรรมวันนี้ได้ฟังขนาดนี้ขยับขึ้นไป ขยับขึ้นไป ละเอียดเข้าไป สุดท้ายก็พ้นไปได้ พ้นไปได้ ผู้มาตามหลังก็หนุนกันมา หนุนกันมา สำเร็จไปได้ แต่ก่อนที่เราเห็นในตำรับตำราก็ฟังธรรมดาไม่ได้ถึงใจ เวลามาปฏิบัติจนผลปรากฏขึ้นกับใจตัวเองในขณะที่ฟังเทศน์หลวงปู่มั่นเรานี่มันถึงประจักษ์ อ๋อ อย่างนี้มันก็สำเร็จได้ละว่ะ จิตของเรามันขยับขึ้นเรื่อย ๆ ฟังเทศน์ท่านคราวนี้เป็นอย่างนี้ คราวนั้นเป็นอย่างนั้น มันขยับเชื่องช้าก็ตามแต่มันขยับขึ้นเรื่อย พอถึงจังหวะมันจะไม่พ้นได้ยังไง มันก็พ้นได้
ออกมาก็มาปฏิบัติ แน่ะ ฟังก็ฟังภาคปฏิบัติ จากการฟังนี้เป็นที่หนึ่ง คือผู้เทศน์เป็นผู้รู้จริงเห็นจริง ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่มั่นท่านเปิดเผย ไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจ ขึ้นชื่อว่ากิเลสรู้หมด ดับหมด แล้วแสดงธรรมออกมาด้วยธรรมอันบริสุทธิ์ล้วน ๆ ผู้ฟังก็ถึงใจ ๆ นี่จึงว่าเป็นอันดับหนึ่ง การฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติจากครูอาจารย์ผู้ที่รู้จริงเห็นจริงนี้เป็นผลประจักษ์เลย จิตใจที่ไม่เคยสงบก็สงบเข้ามา สงบเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสงบเต็มที่แล้วกระแสของธรรมเสียงแว้ว ๆ อยู่สูง ๆ นะ ไม่เข้าไปถึง เพราะอันนั้นเข้าเป็นตัวของตัว พึ่งตัวเองได้แล้วในขณะนั้น มันก็ไม่เกี่ยวกับธรรม เสียงอรรถเสียงธรรมจึงเป็นลักษณะแหววอยู่เผิน ๆ นั่นเป็นอย่างงั้น
ฟังวันไหนก็เป็นอย่างงั้น ฟังวันไหนก็เป็นอย่างงั้น ผู้ที่เพื่อความสงบจิตก็สงบได้ในขณะฟัง จิตของผู้เพื่อปัญญาที่กำลังดำเนินปัญญาอยู่แล้ว ก็เสริมปัญญาเข้าไปเรื่อย ๆ ท่านเทศน์ไปตรงไหนขยับตาม ๆ ปัญญากับสมาธิไม่เหมือนกัน ถ้าจิตก้าวทางด้านปัญญาฟังเทศน์นี้มันจะขยับตาม แต่จิตอยู่ในขั้นสงบเทศน์แล้วกล่อมลงให้จิตสงบ นี่ละจิตตัวนี้เป็นตัวสำคัญมากนะ สงบก็คือจิตดวงนี้ แสดงความเป็นฟืนเป็นไฟเผาเราเองก็คือจิตดวงนี่ นี่ละบ่อเกิดแห่งมหาเหตุทั้งหลายเกิดที่จิต ไม่ว่ากิเลสไม่ว่าธรรมเกิดที่ใจนี้ทั้งนั้น ดับก็ดับที่ใจ กิเลสดับที่ใจ ธรรมก็เกิดที่ใจ แล้วสงบเงียบไปหมดเลย
ไม่มีโลกอันนี้ว่างั้นเลย ใครจะไปสอนลงในจุดของมหาเหตุเหมือนธรรมของพระพุทธเจ้าทางภาคปฏิบัติ สอนธรรมดาเรานี้มันไม่ได้เรื่องนะ เอาปริยัติมาสอนกันเพราะผู้เรียนมาก็ได้แต่ความจำ สอนมาก็สอนแบบความจำ แล้วผู้ฟังจะเอาความจริงมาจากไหน มันก็ได้เพียงความจำเท่านั้น ถ้าสอนมาด้วยภาคความจริงล้วนๆ แล้ว ผู้ปฏิบัติก็คือผู้ฟังจะเป็นเครื่องกล่อมใจลงโดยลำดับลำดา ได้ผล ๆ ในขณะที่ฟัง นี่การฟังเทศน์จากภาคปฏิบัติของครูอาจารย์ที่เข้าอกเข้าใจในอรรถในธรรมจริง ๆ แล้วได้ผลเป็นลำดับลำดาไป จิตใจนี่ถูกตีตะล่อมเข้ามาด้วยธรรม ตีตะล่อมเข้ามา สงบเข้มา เย็นเข้ามา มีแต่ภาคปริยัติถ้าไม่ปฏิบัติมันไม่เกิดผลประโยชน์อะไร แต่พอมาภาคปฏิบัติมันก็รู้เอง
คิดดูซิอย่างโยมแม่เราเองก็ไม่เคยได้ฟังเทศน์จากใครภาคปฏิบัติ ฟังทางปริยัตินี้ฟังมามากต่อมาก เพราะโยมแม่นิสัยชอบอรรถชอบธรรม การทำบุญให้ทานไม่ได้ตำหนิกันละทั้งพ่อทั้งแม่พอใจด้วยกัน ใครว่าอะไรไปด้วยกันเลย ไม่เคยมีการขัดแย้งกันเท่าที่เราฟังมาโดยลำดับ และโยมแม่เป็นคนที่ชอบวัดชอบวาตลอดเลย ก็ฟังมาพอ ฟังเทศน์จากพระที่ท่านเทศน์ วันพระอย่างนี้ได้ฟังทุกวัน ๆ แต่ครั้นเวลามาอยู่กับเรา เราไม่ได้เทศน์ไปทางด้านปริยัติ ก็ภาคปฏิบัติล้วน ๆ เทศน์ โยมแม่ก็ไม่เคยได้ยิน ครั้นเทศน์ไปๆ มันก็เป็นขึ้นมาเอง เพราะเทศน์ให้ผู้ภาวนาฟัง โยมแม่ก็ภาวนาอยู่แล้ว เราก็เทศน์ภาคภาวนา
ครั้นเทศน์ไป ๆ เลยติดเองนะ นั่น ติดเองช่วยการภาวนาได้ดีอีกด้วย ได้ฟังเทศน์จากเราแล้วนั่งภาวนาฟัง จิตจะสงบลงทุกครั้งไม่มีผิดพลาดเลยและไม่ยาก นั่น พอท่านเริ่มเทศน์จิตก็เริ่มจ่อ สติจ่อเข้าไปหาจิต ธรรมะก็ไหลเข้าไปตรงนั้น สงบลง ๆ แน่วเลย นี่ได้ทุกครั้งโยมแม่พูดเอง ตอนที่ชัดเจนก็คือคุณเพาพงาไปพักอยู่กับเรา ตอนที่แกเป็นอะไรโรคมะเร็งที่นี่ ที่ตะโพกหรืออะไร หมอเขาทำนายไว้ว่าไม่เลยหกเดือนตาย แกก็หมดหวังแล้ว มีแต่ที่จะออกปฏิบัติภาวนาท่าเดียว แกเขียนจดหมายไปหาเราว่าแกจะมา เราก็ให้คำตอบเป็นสองแง่
แง่หนึ่งถ้าไปภาวนาธรรมดาก็ไปได้เราก็ไม่ว่า ถ้าตั้งใจไปภาวนาเอาจริงเอาจังตามที่แสดงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมาแล้วว่าหมดหวังแล้วโรคนี้ ไม่มีทางที่จะหายแล้ว มีแต่จะตั้งหน้าภาวนาเพื่อใจที่เป็นสมบัติอันล้นค่าอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว ไปเมื่อไรไปได้เลยเราบอก ไปได้เราว่า พอแกรับจดหมายตอนเย็นเตรียมของในตอนนั้นเลย ไปกลางคืนเลย เช้าโผล่ไปถึงแล้ว อ้าว ทำไมถึงมาถึงแล้วนี่น่ะ ได้รับจดหมายหรือยัง ได้รับตอนเย็นเมื่อวาน พออ่านแล้วมาเลย นั่น พอแกมาเลยเราก็บอกเลยทีนี้ แสดงว่าแกมาในแง่ที่สอง แง่หนึ่งเป็นธรรมดา แง่ที่สองแกรับจดหมายแล้วแกมาเลย เราก็บอกเอาจะอยู่กุฏิไหนก็ได้สองหลังนี้ หลังหนึ่งสิงคโปร์นอก หลังหนึ่งสิงคโปร์ใน เพราะทั้งสองหลังนี้ว่างอยู่แล้ว เราสั่งเสีย แกมาอยู่ที่นั่น
แล้วก็ไปเทศน์ให้ฟังทุกคืน จนกลายเป็นหนังสือขึ้นมาสองเล่ม คือศาสนาอยู่ที่ไหน หนึ่ง แล้วธรรมะชุดเตรียมพร้อม หนึ่ง ได้ถึงสองเล่มนะเทศน์ ดูเหมือนจะประมาณสักร้อยกัณฑ์ละมัง เพราะเทศน์ให้ฟังทุกค่ำทุกเย็น พอเริ่มมืดอย่างที่นี่เข้ามาเราก็เข้าไปตอนนั้น มีท่านปัญญาพระฝรั่งไปอัดเทปทุกวัน ๆ เพราะฉะนั้นจึงได้ธรรมะมาพิมพ์ โยมแม่ฟังทุกวัน นี่ละเป็นการอบรมจิตด้วยจิตตภาวนาล้วน ๆ เวลาฟังโยมแม่มีความพออกพอใจในการฟัง จนกระทั่งถึงว่าเวลาญาติโยมเขากลับไปแล้วไม่มีใครก็ตาม ถ้าอาจารย์ว่างเมื่อไรก็ขอให้นิมนต์มาเทศน์สอนแม่บ้าง ว่างั้นนะ
เวลาฟังเทศน์อาจารย์แล้ว ไม่ต้องบังคับบัญชาจิตยากเหมือนเราบำเพ็ญภาวนาธรรมดาเลย ซึ่งภาวนาโดยลำพังตัวเองนั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่รวม แต่ได้ฟังเทศน์วันไหนได้เป็นลงทุกวัน ๆ นะ ว่างั้น นี่ติดแล้ว เทศน์แต่ธรรมะปฏิบัติล้วน ๆ แล้วบอกชัดเจนเลยว่าอยากฟังแต่เทศน์ของอาจารย์เท่านั้น ว่างั้น เทศน์ที่อื่น ๆ แม่ไม่อยากฟัง ยิ่งปริยัติด้วยแล้วแม่ฟังมามากแล้วไม่ค่อยได้ผลอะไร ฟังไปงู ๆ ปลา ๆ ไปงั้น แต่เทศน์ภาคปฏิบัตินี้มันเห็นผลประจักษ์ใจ นั่นว่างั้นนะ จึงว่าบอกแม่หูสูงนะนี่ เราจึงบอกระวังเดี๋ยวมันเป็นหูหมาหูสูง ทางนั้นก็แว้ดออกมาเลย มันจะเป็นหูหมายังไงหูคนทั้งคน ทางนี้ก็ตอบปั๊บไปมันก็เป็นตรงที่สูง ๆ นั่นแหละ นั่น หมายความว่าติดธรรม
แม่ลงลูกก็คือโยมมารดาลงเรา สรุปมาพูดหมดเลย เทศน์อาจารย์นี่ไม่เหมือนใครเทศน์ เทศน์ตีตะล่อมเข้ามา ตีตะล่อมเข้ามา แม่ไม่เคยฟัง เพราะงั้นจิตมันถึงลงได้ทุกครั้งๆ วันไหนว่างให้เราไปเทศน์ให้ฟัง เราไม่ได้เข้าไปเพราะเราไม่ว่าง นี่ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น จิตใจโยมแม่ได้หลักเกณฑ์ดีนะ นี่ก็เพราะภาคปฏิบัติจิตตภาวนา เวลาจวนตัวเข้าไปเท่าไรแล้วเราเข้าไป พอไปก็ไปยืนอยู่หน้ากุฏิ ภายในก็มีลูกมีอะไรนอนดูแล้วอยู่นั้น เราก็ไปยืนอยู่หน้ากุฏิถามเรื่องราว เป็นยังไงอาการของการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็บอกตามเรื่อง แล้วจิตใจเป็นยังไงละ โห จิตใจแม่นี้ผ่องใสอยู่ตลอดเลย แม่ไม่ได้กังวล นั่น อยู่สบายตายไปแม่ก็ไม่ห่วง บอกตรง ๆ เลยนะ อย่างงั้นละผลของจิตตภาวนา จิตของแม่มีความสงบผ่องใสตลอดเวลา
นี่ละคุณค่าของการภาวนา เวลาจะตายมันก็ไม่ได้ห่วงได้ใยอะไร เพราะจิตมีที่พึ่งแล้ว ห่วงหวงอะไรภาษาร่างกาย สบายอยู่ในนั้นละอยู่ในใจนั้น นี่พูดถึงเรื่องจิตใจที่ได้รับการอบรม มันแน่ใจนะ แน่ใจไปโดยลำดับ แน่ใจจนกระทั่งถึงชั้นที่จะอยู่ของจิต สวรรค์ชั้นใด พรหมโลกชั้นใด มันรู้ของมันถึงขั้นนั้นแล้ว นี่ละที่ว่าสวรรค์มีหรือไม่มี พรหมโลกมีหรือไม่มี มันเห็นประจักษ์อยู่กับผู้ปฏิบัติ อย่างพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นตรัสรู้ขึ้นมาจากภาคปฏิบัติ ไอ้พวกเราไม่ปฏิบัติและผู้ไม่สนใจศาสนาเลยมันก็ไปลบล้าง ว่าเรื่องนรกสวรรค์ไม่มี ผู้ที่ท่านเห็นท่านเห็นอยู่อย่างงั้น เวลามันละเอียดเข้าไปมันแน่อยู่ในตัวเอง ใครจะไปบอกสวรรค์ชั้นพรหมชั้นใดภูมิใดไม่ต้องบอกมันรู้ของมัน
เวลามันหมดสภาพถึงเรื่องจะไปชั้นใดภูมิใด ซึ่งเป็นภูมิของสมมุติทั้งนั้น ตั้งแต่สมมุติส่วนหยาบถึงละเอียด เช่นอย่างสวรรค์ชั้นพรหมอย่างงี้ ก็เป็นสมมุติทั้งหมดมันก็รู้ ๆ นี่สมมุติทั้งมวล มันผ่านไปหมดแล้วมันก็รู้ ผ่านหมดแล้วคืออะไร ก็คือนิพพานหมดสมมุติแล้วมันก็รู้ นั่น มันรู้อยู่ที่ใจ พระพุทธเจ้าจึงว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตน ใครรู้เข้าก็จะไปถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เพราะสนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ทรงประกาศเอง ศักดิ์สิทธิ์มาก เมื่อรู้นั่นแล้วอ๋อทันทีเลยไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า นี่ละจิตดวงนี้ละ จิตดวงที่เวียนเกิดเวียนตาย ตายกองกันก็คือจิตดวงนี้ ไปเข้าร่างนั้นและเข้าร่างนี้ แต่ละร่างหมดสภาพแล้วไปเข้าใหม่ เพราะจิตไม่เคยตาย ไปตามกรรมดีกรรมชั่วมากน้อยของตนไปเรื่อย
เวลาถูกชำระเข้าไป มันก็รู้ตัวเองละซิ รู้เข้าไป ๆ จนกระทั่งจะไปแต่ทางดีล้วน ๆ มันก็รู้ เป็นชั้น ๆ ก็รู้เข้าอีก นั่น จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง ขึ้นชื่อว่าสมมุติ เช่น สวรรค์ชั้นพรหมเป็นสมมุติทั้งมวล รู้หมด ผ่านไปหมด นั่น ท่านว่าถึงนิพพานมันก็รู้ในตัวเอง เหล่านี้พระพุทธเจ้าสาวกและจอมปราชญ์ทั้งหลาย ท่านดำเนินท่านชมเชยมาเป็นเสียงเดียวกันหมด แต่พวกหูหนวกตาบอดก็ลบล้างเป็นเสียงเดียวกันว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี เราจะเชื่อทางไหน ฟังซิ เราอยู่ในฝ่ายหูหนวกตาบอด พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก แล้วกิเลสสอนคนให้หูหนวกตาบอด แล้วเราจะไปเอาทางไหน สอนตัวเองซิ พิจารณาซิ
เราจะเอาแต่ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นในใจแล้วก็มาถืออันนั้นเป็นตัวเป็นตน เป็นของเรา เป็นใหญ่เป็นโตยิ่งกว่าธรรมของจริง ยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกไปเสีย เราจะพลาดทั้งนั้นแหละ ถ้าฟังเสียงศาสดาแล้วจะไม่มีศาสดาองค์ใดหลอกลวงโลก ไม่มี สอนโลกเพื่อความดิบดีทั้งนั้นแหละ แล้วทีนี้ผลประโยชน์ที่จะได้มากน้อยเพียงไรก็เป็นกำลังความสามารถของผู้มาศึกษาอบรม ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ต้องถาม ธรรมของท่านเลิศเลอ ปฏิบัติมามันก็เห็นอย่างนั้นจะให้ว่าไง พระพุทธเจ้านิพพานนานเท่าไร ๆ ไม่ไปถามให้เสียเวลา ก็เรื่องเกิดเรื่องตาย เกิดที่ไหนก็เกิดได้ ตายที่ไหนมันก็ตายได้ มีปัญหาอะไรกับเรื่องรูปเรื่องกายนี่ ใจนั้นเป็นสำคัญที่ไม่เคยตาย แต่เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติอยู่ตลอดเวลา พาได้รับความทุกข์ความสุข ส่วนมากมีแต่ความทุกข์เรื่อยมา
เวลาอบรมอันนี้เข้าแล้วมันก็มีความรักใคร่ใฝ่อรรถใฝ่ธรรม แล้วก็มีแต่ทางดีส่งเสริมกันไป ส่งเสริมกันไป จิตใจที่เคยมัวหมองมืดตื้อก็ค่อยสว่างไสวออกไป เห็นทางที่เดินเพื่อสุคติไปดี ๆ ไปโดยลำดับ นั่น ใจเป็นของฝึกฝนอบรมได้ ใจเป็นของไม่ตาย นี่ค่อยสว่างขึ้น สว่าง จากนั้นใครจะบอกใคร บรรดาพระอรหันต์ไม่มีใครบอก พอถึงขั้นผ่านหมดแล้วเรื่องการเกิดตายอยู่ในแดนสมมุตินี้ไม่มีเหลือแล้ว เป็นวิมุตติก็คือพ้นแล้วจากสมมุติทั้งมวล ท่านผู้พ้นแล้วกับเราที่แบกหามกองทุกข์อยู่ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย นี่พิจารณาซิมันต่างกันยังไง ผู้หนึ่งพ้นแล้วโดยสิ้นเชิง ทุกข์ไม่มีเลยตลอดไป ที่เรียกว่านิพพานเที่ยง ทุกข์จะไม่มี มีแต่สุขล้วน ๆ ที่นอกสมมุติ ไม่ใช่สุขอย่างสมมุติทั้งหลายอย่างนี้นะ สุขของผู้สิ้นกิเลส พูดไม่ถูกแต่เจ้าของไม่สงสัย อ๋อ สุขอย่างนี้ หรือว่านิพพาน ถ้าตั้งชื่อขึ้นมาก็อย่างนี้เท่านั้น นั่น อันนั้นน่ะที่เลิศเลอสุดยอด
จิตดวงนี้เมื่อเวลาชำระซักฟอกให้ถึงเขตถึงแดนแล้วไม่มีคำว่าสูญ ว่าฉิบหายไปไหน ท่านก็ให้ชื่อว่าธรรมธาตุ อันนี้ที่ถึงจุดแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาเข้าไม่ถึง เพราะนี้เป็นสมมุติอันนั้นเป็นวิมุตติ พ้นสมมุติทั้งหมดแล้ว นั่น ทีนี้หมดแล้วทีนี้เรื่องความกังวลในการเกิดการตายของตัวเอง ภพน้อยภพใหญ่สูง ๆ ต่ำ ๆ หมดโดยสิ้นเชิง ที่กิเลสตัวสร้างภพสร้างชาตินี่สิ้นไปจากใจ ทุกข์ก็หมดโดยสิ้นเชิง ท่านไม่เคยมีเลยละเรื่องทุกข์ภายในใจของท่านตั้งแต่กิเลสสิ้นไป กิเลสเป็นตัวสร้างกองทุกข์ทั้งหลายมากน้อย พอตัวนี้สิ้นลงไปเท่านั้นเรื่องทุกข์ทั้งหลายหมดโดยสิ้นเชิง กิเลสสิ้นไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ทุกข์ก็หมดไปโดยสิ้นเชิง นิพพานเที่ยงเป็นขึ้นมาทันทีกับความบริสุทธิ์นั้น นั่น นั่นละความบริสุทธิ์ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลยนะ
นี่ละจิตดวงนี้ถูกเหยียบย่ำทำลายไปมา กิเลสนั้นละพาเหยียบพาย่ำไม่ให้มองดูจิต มีแต่วิ่งตามกิเลสที่มันวาดภาพหลอกนั้นหลอกนี้ไปเรื่อย ผู้หนึ่งไปด้วยจุดหมายปลายทาง พระพุทธเจ้า พระสาวก แล้วผู้ที่มีอรรถมีธรรมภายในใจไปตามจุดหมายปลายทาง แต่ผู้ที่ไม่ได้สร้างคุณงามความดีเอาเลยไม่มีจุดมีหมาย กลิ้งไปเรื่อยอย่างงั้นละ แล้วแต่บาปแต่กรรมจะพาให้ไปที่ไหน มันก็ไม่ผิดอะไรกับฟุตบอลแหละ ถูกเตะกลิ้งไปกลิ้งมาภพนั้นภพนี้อยู่ตลอด หาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้นะ สัตว์โลกหาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้ จะเป็นอย่างงี้ตลอดไป ซึ่งเคยเป็นมาแล้วกี่กัปกี่กัลป์เกิดตายมาอย่างนี้
นี่คือหลักความจริง มันจะเป็นอย่างงี้ตลอดไปถ้าแก้ไม่ได้แก้ไม่ตก มันจะเป็นอย่างงี้ตลอดไปด้วยอำนาจของกิเลสพาฉุดพาลาก วกเวียนไปมาสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่อย่างนี้ไม่มีสิ้นสุดยุติ ธรรมเท่านั้นพาให้สิ้นสุดลงได้ ถ้าธรรมมีมากน้อยก็ย่นวัฏจักรเข้ามา วัฏวนคือการเกิดตายจะไม่รู้จักจุดหมายปลายทางก็ตาม แต่จะย่นเข้ามาจนกระทั่งรู้จุดหมายปลายทางเข้ามาได้ รู้ภพรู้ชาติของตัวเอง เช่นอย่างพระโสดา พอสำเร็จเป็นพระโสดาความแน่นอนเข้าถึงแล้ว อย่างช้าไม่เลย ๗ ชาติพระโสดา พอสำเร็จพระโสดาแล้วการเกิดตายนี้อย่างช้าไม่เลย ๗ ชาติ เกิดตายเพียง ๗ ชาติ แต่ไม่เคยไปตกอบายภูมิ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ไป มาเกิดก็มาเกิดแดนมนุษย์ จากแดนมนุษย์นี้แล้วขึ้นสวรรค์ แล้วลงมาเกิดอย่างมากเพียง ๗ ชาติผ่านเลย ความแน่นอนอยู่กับคำว่าอริยธรรมนั่นแล้ว
อย่างกลางก็ ๓ ชาติ มาเกิดเพียง ๓ ชาติพ้นไปได้ อย่างอุกฤษฏ์ชาติเดียวพ้นไปได้เลย นั่น มีอยู่ ๓ ชาติ เมื่อเข้าถึงอันนี้เมื่อไรแล้วความแน่นอนมี ภพชาติจะกำหนดไม่ได้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ที่จะเกิดตายต่อไปนั้น พอธรรมได้เข้าถึงกระแสอริยธรรมนี้เท่านั้นภพชาติตัดขาดเข้ามาทันที อย่างมากไม่เลย ๗ ชาติ นั่นเห็นไหมละ ธรรมเครื่องตัดสินมีอยู่ กิเลสมันตัดสินให้สัตว์ว่ากี่ภพกี่ชาติที่ไหนไม่มี บอกว่าตั้งกัปตั้งกัลป์ก็พาหมุนอยู่อย่างนี้ คือกิเลส ไม่มีสถานี ไปเรื่อยกลิ้งไปเรื่อย หมุนไปเรื่อย เกิดไปเรื่อย ตายไปเรื่อย ถ้ามันมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี่มันก็ยังดีนะ ไปเกิดในภพที่ไม่พึงปรารถนา แต่กรรมของตัวหากทำไว้อย่างนั้น มันก็ต้องไปตามแบบนั้น นั่นน่ะสำคัญมากนะ
ใครจะอยากไปเกิดในที่ไม่ดี สัตว์ทั้งหลายเต็มโลกเต็มสงสาร ไปเกิดตามความปรารถนาเหรอ สัตว์ตัวไหนไปลำบากลำบน ได้รับความทุกข์ความทรมาน มันก็เจอกันจนได้ ๆ เพราะกรรมของตัวเองหากทำ นี่ละการอบรมจิตใจ อำนาจของศีล ของทานการกุศลนี่เป็นเครื่องฉุดลาก เป็นเครื่องที่จะตัดภพชาติที่ยืดยาวทั้งหลายให้สั้นเข้ามา ๆ สุดท้ายก็เข้ามาในจุด ๗ ชาติแล้วผ่านไปได้เลย ถ้าไม่มีอรรถมีธรรมแล้วเกิดตายเท่าไรที่เป็นมาฉันใดเป็นไปฉันนั้นเหมือนกัน นั่น ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์เกิดตายอยู่อย่างนี้ แล้วที่ว่ากิเลสมันบอกว่าตายแล้วสูญ มันตายแล้วสูญทำไมสัตว์โลกมันเกิดตายเกลื่อนอยู่นี่ มันสูญไปไหน นั่น ก็จิตมันไม่สูญ มันว่าเอาเฉย ๆ
ต้องเอาให้หนักแหละ กิเลสมีกำลังมากเท่าไร แหม มันจะกั้นกลางความดีของเรานะ ขึ้นชื่อว่าจะสร้างความดีนี้กิเลสขัดขวางทันที ๆ นี่ละกิเลสเกิดที่ใจขัดขวางใจไม่ให้สร้างความดี เพราะการสร้างความดีมันจะหนีอำนาจของมันไป มันจึงกีดขวางเอาไว้แล้วสร้างไม่ถอย สู้ไม่ถอย กำลังของมันก็อ่อนลง ๆ ต่อไปไม่ได้สร้างความดีอยู่ไม่ได้ แน่ะ เพราะอำนาจของธรรมมากแล้ว ๆ จนกระทั่งถึงเป็นธรรมจักร ความเพียรเป็นธรรมจักรมีแต่จะพ้นโดยถ่ายเดียว ๆ นี่เมื่อธรรมมีอำนาจแล้วก็เป็นอย่างนั้น
พุทธศาสนานี่เท่านั้นที่แม่นยำสุดยอดเลย ยังสัตว์ให้หลุดพ้นโดยลำดับ แล้วพาเขาไปสู่สุคติด้วยอำนาจแห่งการทำดีของตนเอง ๆ กิเลสมันสอนใครให้ทำดีอะไรที่ไหน มันไม่มี ถ้าทำชั่วกิเลสเป็นยอด ลากไปก่อนแล้วไปทำชั่ว นี่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูดว่า ฐีติ ภูตํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ท่านว่า แหม ทำไมท่านถึงพูดถูกต้องเหลือเกิน เพราะในหนังสือท่านเอานี้มาพูด ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ นี่ต้นแห่งวัฏจักรคืออวิชชาพาสัตว์ให้เกิดตายไม่หยุดไม่ถอย ท่านว่า แต่ที่ท่านไม่แสดงไว้เลยคืออวิชชามันเกิดจากอะไร
มีแต่ขึ้นก็อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาพาให้เกิดสังขาร วิญญาณ ภพชาติไปเรื่อย ๆ นะ แล้วอวิชชาเกิดจากอะไร ท่านไม่แสดงเอาไว้ ว่างี้นะ บทเวลาท่านแสดงออกมาว่า ฐีติ ภูตํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเกิดขึ้นจาก ฐีติ ภูตํ คือธรรมชาติของจิตนั่นแหละ และมันก็ต่อกันไป มันมีที่เกิดอย่างนั้นท่านว่า ฐีติ ภูตํ คือจิต เกิดที่นั่น จากนั้นก็เป็น อวิชฺชาปจฺจยา ไป เราฟังแล้วซึ้งนะ เพราะมันเกิดจากนั้นจริง วันนี้พูดเพียงแค่นี้ละนะ เอาละพอ
วันนี้ทองคำเราได้ ๑๐ กิโล ๕๖ บาท ๑๐ สตางค์ และดอลลาร์ได้วันนี้ตั้ง
๘,๘๕๘ ดอลล์วันนี้นะ ก็นับว่าได้มาก ยังขาดอยู่อีก ๓๑,๐๙๒ ดอลล์จะครบจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ คือคราวนี้เราจะเอาเพียง ๓๐๐,๐๐๐ จะเอาเข้าคลังหลวงเพียง ๓๐๐,๐๐๐ ไม่เอาอะไรมากนักแหละ ทองคำจะเอาให้ถึงจุดที่เรานั่นนะ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๑ ตันคราวนี้นะ เราจะเอาให้ได้ อย่างน้อยต้องให้ได้ ๑ ตันนะ ทองคำ แล้วดอลลาร์เอาแค่นั้นละ แค่ ๓๐๐,๐๐๐ เราไม่เอามากอะไรนะ
(หลวงตาอ่านแถลงการณ์เรื่องกฐินวัดป่าบ้านตาด แถลงการณ์ เรื่องการทอดกฐินสามัคคี ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ด้วยปรากฏว่า มีการเผยแพร่เอกสาร มีข้อความพาดพิงถึง พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน), ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี, ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี, นายสุขุมพงษ์ โง่นคำ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และพลอากาศตรี นายแพทย์เฉลิมชัย เครืองาม เลขานุการ ดร.วิษณุฯ เกี่ยวข้องกับการทอดกฐิน ณ วัดป่าบ้านตาด ซึ่งได้กำหนดเป็นกฐินสามัคคี ในวันที่ 11 ตุลาคม 2546 โดยอ้างว่า เป็นคำพูด และหรือ ข้อตกลงต่าง ๆ ตลอดจนข้อความที่เป็นความส่วนตัวของบุคคลต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวถึง อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดความเสียหายแก่ท่านที่ถูกกล่าวถึง และกระทบกระเทือนต่อวัตถุประสงค์ของโครงการช่วยชาติโดย หลวงตามหาบัวฯ
ด้วยเอกสารที่มีการเผยแพร่ด้วยวิธีการต่าง ๆ ระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-23 ส.ค.2546 ซึ่งปรากฏรายนามบุคคลดังกล่าวแล้วข้างต้น คณะกรรมการประชาสัมพันธ์ฯ ขอความกรุณาชี้แจงว่า โครงการช่วยชาติ โดย หลวงตามหาบัวฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และขอความกรุณาเรียนว่า การทอดกฐินสามัคคี ณ วัดป่าบ้านตาด เป็นไปตามที่กำหนดไว้ โดยเรียนเชิญประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ตลอดทั้งสาธุชนทั้งมวลพร้อมใจกัน ทอดกฐินสามัคคีเพื่อชาติไทย ในวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม 2546 เริ่มพิธีเวลา 06:30 น. ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี จึงแถลงมาเพื่อกรุณาทราบโดยทั่วกัน ลงชื่อ (นายทองก้อน วงศ์สมุทร) กรรมการประชาสัมพันธ์โครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัวฯ 23 สิงหาคม 2546)
เอานี้ขึ้นเป็นหลักไปเลยเข้าใจไหม (สาธุ) อันนี้เหมาะสำหรับการบำเพ็ญงานของพระกรรมฐานเป็นอย่างงั้นละ ไปหากวนที่นั่นกวนที่นี่ยุ่งไปหมด ใครก็ทราบว่างานกฐินนี้เพื่อชาติด้วยกันแล้ว ไปหายุนั้นแหย่นี้ กวนตรงนั้นกวนตรงนี้ ลากตรงนั้นมาลากตรงนี้มาไม่เหมาะ นี่เป็นเรื่องความเห็นของเราที่ให้ออกอันนี้นะ ก็ลงชื่อผู้รับรองพวกคณะกรรมการก็คือคุณทองก้อน ก็เราเองเป็นผู้สั่ง ไม่ใช่คุณทองก้อนอุตริไปเขียนนะ เราเป็นผู้สั่ง ก็มีโดยหลวงตาบัวนั้นด้วยมิใช่เหรอ (ครับผม) นั่นละเราสั่งให้ปฏิบัติตามนี้เลย เรื่องราวทั้งหมดก็เรียกว่าให้ผ่านไปหมด บรรดาหนังสือต่าง ๆ ที่กำลังเกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่เวลานี้จากเจตนาของผู้หวังดี แต่ความคิดเห็นอาจต่างกัน จึงให้เกิดแง่ที่ควรจะเกิดความสงสัยและสงสัยเรื่อยมา จึงให้งดทั้งหมด เอานี้ออกให้ทราบทั่วกันเลย เข้าใจแล้วนะ ก็เท่านั้นละไม่มีอะไร
นี่เป็นเรื่องเราเป็นคนสั่งเองอันนี้ นอกนั้นเราไม่ได้สั่ง เราไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้เลย แต่เรื่องเกิดขึ้นมาแล้วมากระทบกระเทือนเรา นี่ซิมันเสียตรงนี้ละ เพราะงั้นจึงเอาเรื่องของเรานี้ออกเลย นี้เป็นเรื่องของเราสั่งเลย ผิดถูกประการใดหลวงตาบัวจะเป็นผู้รับรองทั้งหมดในหนังสือฉบับนี้ สั่งใครให้เป็นผู้ออกพิมพ์หนังสือเพื่อประกาศให้ทราบ เราก็บอกไว้แล้วในชื่อ อย่างงั้นแล้ว เรียบร้อยแล้ว หลวงตาเป็นผู้สั่งไม่ใช่อุตริทำเอา แล้วหนังสือต่อไปใครจะเขียนยังไง ๆ ก็ตามอย่าถือเป็นประมาณนะ ถือฉบับนี้เป็นประมาณฉบับเดียวเท่านั้นนะ ฉบับนี้เกี่ยวกับเราโดยตรงเราเป็นคนสั่งเอง นอกนั้นเราไม่ทราบ อย่างที่ผ่านมา ๆ นี่จะออกแล้วเหรอนี่ (เขาออกอินเตอร์เน็ตทั่ว ๆ ถึงเมืองนอกด้วย) เออ นั่นละออกไปซะเสีย จะว่าไง
พระกรรมฐานที่ท่านนั่งภาวนาอยู่ในป่าท่านไม่ได้มีเสียงประกาศโฆษณาอะไรนะ อย่างพระพุทธเจ้าพระสาวกก็เหมือนกัน ท่านไปภาวนาอยู่ในป่าที่เรียกว่ามหาวิทยาลัย อย่างทุกวันนี้ เป็นมหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธเจ้าและสาวก เป็นมหาวิทยาลัยของพุทธศาสนาโดยตรง พระท่านก็เอาแบบฉบับนั้นมาปฏิบัติอยู่ตามป่าตามเขา เฉพาะภาคอีสานรู้สึกมาก พระกรรมฐานมากตลอดมา เพราะต้นลำอันใหญ่โตอยู่ที่นั่น มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เป็นต้นลำอันสำคัญ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่ไปศึกษาอบรมกับท่านมาแล้วมาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนพี่น้องชาวไทยเราทั่วทุกภาค ก็มาจากต้นลำอันใหญ่โตนี้แหละ เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานจึงมีมากที่ภาคอีสาน
มีต้นลำใหญ่แล้วก็มีต้นลำถัด ๆ กันลงมา เป็นครูเป็นอาจารย์สอนกันตามแบบฉบับของครูบาอาจารย์เรื่อยมา ทุกวันนี้มีน้อยเมื่อไรแต่ค่อยล่วงลับไป ๆ เริ่มมาตั้งแต่นู้น ตั้งแต่ท่านอาจารย์ฝั้น อาจารย์ขาว หลวงปู่แหวน อาจารย์ทม นี้มีแต่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้นนะ เวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ๆ ไปหมดละที่กล่าวถึงนี้นะ แล้วมีหลายองค์ที่เป็นอยู่เงียบ ๆ ท่านมรณภาพไปเงียบ ๆ อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุยังมีอีกเยอะนะ ทางภาคอีสานมีเยอะ ท่านทำของท่านเงียบ ๆ นี่ละขุดข้นหาเพชรหาพลอยที่เลิศเลอ เรียกว่าธรรมอันเลิศเลอ ท่านคุ้ยเขี่ยขุดข้นอยู่ตามป่าตามเขาอย่างงั้นเรื่อยมา แล้วก็เป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมอย่างเงียบ ๆ เรื่อยมา อย่างนั้นละ ไม่น้อยนะ
เวลาเข้าไปหากันถึงรู้ พระกรรมฐานท่านจะประสับประสานกันอยู่ตลอดมา ตั้งแต่ครูบาอาจารย์มา ไปหาลูกศิษย์ลูกหา ประสานกันอยู่เรื่อย ๆ เงียบ ๆ ท่านไปมาหาสู่ ศึกษาอบรมทางด้านจิตตภาวนา องค์ไหนเป็นยังไง ๆ ก็ทราบกันหมดเพราะไปเล่าให้ครูให้อาจารย์ฟัง และเพื่อนฝูงได้ยินด้วยกัน องค์ไหนอยู่ในขั้นใดภูมิใดปิดไม่อยู่เวลาแสดงออกมาแล้วและครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอน แก้ไขดัดแปลงตรงไหนที่ยังขัดข้อง ๆ เพื่อความราบรื่นดีงามต่อไป ท่านก็ทำมาอย่างนั้นตลอด ผู้ที่ตักตวงเอามรรค ผล นิพพาน มีน้อยหรือทุกวันนี้ แต่ไม่แสดงเหมือนกิเลสเฉย ๆ
ตั้งแต่เพียงหลวงตาบัวออกมาแสดงเขายังว่าโอ้ว่าอวด ปากสกปรก ปากส้วมปากถานนั้นแหละมันว่า ปากอรรถปากธรรมจริง ๆ ท่านไม่ว่ากันนะ มีแต่ความชมเชยสรรเสริญไปตามขั้นตามภูมิของธรรมที่ปฏิบัติได้เท่านั้น ส่วนที่ปากส้วมปากถานมันเห่าดะไปเลย เห่าลงไปแล้วก็ไปกินส้วมกินถานแล้วก็ขึ้นมาเห่า เป็นอย่างงั้น มีทั่วโลกเวลานี้ ปากส้วมปากถานคือปากของคลังกิเลส มันไม่มีอรรถมีธรรมเข้าไปบรรจุในปากมัน มันก็เอาแต่ปากส้วมปากถานมาพูด มาคุย มาลบ มาล้างศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า
เวลานี้กิเลสมันออกหน้าออกตาเต็มไปหมดทุกบ้านทุกเมือง จึงมีตั้งแต่เรื่องของอันนี้ ถ้าพูดเรื่องกิเลสเอาถึงพริกถึงขิง เอาเป็นเอาตายด้วยกันไม่มีใครตำหนิติเตียนกันเลยนะ ทั้ง ๆ ที่มันพาเป็นความเสียหายให้คนลืมตัวเป็นลำดับลำดา ก็ไม่มีใครระลึกได้ ไม่มีใครคิด แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่ท่านไปบำเพ็ญในที่ต่าง ๆ ได้มาสนทนาคุยกันเป็นสิริมงคลต่อการสนทนาของท่านด้วย ต่อส่วนรวมด้วย กระจายไปทั่วไปหมด เหล่านี้เป็นภัยทั้งนั้นละกับกิเลสตัวส้วมตัวถาน พวกนี้มันไม่อยากฟัง มีแต่คอยลบล้าง ๆ นี่ละธรรมท่านจึงไม่ค่อยแสดง
ประการหนึ่งธรรมท่านไม่หิวไม่โหยนะ มีมากน้อยเพียงไรเหมือนไม่มี ธรรมมีในใจเหมือนไม่มี ควรจะพูดหนักเบามากน้อยท่านก็พูดเสียในเหตุผลที่ควรเท่านั้น ไม่มีผลักมีดันอยากพูดอยากคุย อยากโม้ อยากโอ้อยากอวด ในธรรมทั้งหลายไม่มี ในหัวใจของผู้มีธรรมก็ไม่มี การแสดงออกแสดงออกเป็นความจริงล้วน ๆ ๆ ไปเลย ทีนี้เมื่อเวลาแสดงเป็นความจริงใครจะตำหนิติเตียนอะไรท่านไม่สนใจ เพราะความจริงจริงอยู่แล้ว ความจอมปลอมมันมาทำอะไรท่านก็ไม่หวั่น ศาสนาจึงผิดกับโลกที่ว่าถึงคราวที่จะแสดงหนักเบามากน้อยท่านจะออกของท่านเอง ไม่ถึงกาลท่านไม่สนใจ
เวลาออกแล้วใครจะมาตำหนิติเตียนอะไรท่านก็ไม่สนใจ เพราะท่านไม่ได้ปฏิบัติเพื่อสิ่งเหล่านี้มาเป็นสาระ มาเป็นใหญ่เป็นโต มาเป็นอำนาจบาตรหลวงคอยกดขี่บังคับท่านไม่ให้พูด ไม่ให้แสดง ท่านแสดงได้ของท่าน ท่านปฏิบัติมาผลของท่านเกิดได้มากน้อยเพียงไรท่านก็มาสนทนาต่อท่านผู้เป็นอรรถเป็นธรรมด้วยกันได้อย่างสะดวกสบาย ไม่สนใจกับพวกที่เห่าหอนไม่มีเนื้อมีหนังอะไร อย่างนี้มีมากเวลานี้นะ ในวงกรรมฐาน เราออกมาจากวงกรรมฐานเสียเองแล้วก็เล่าถึงเรื่องพระทั้งหลายที่ท่านปฏิบัติ ท่านปฏิบัติจริง ๆ นะ ท่านอยู่ในป่าในเขาไม่ค่อยออกมา
ในระยะนี้เห็นว่าครูบาอาจารย์คือเราออกมาช่วยชาติบ้านเมือง ท่านจึงได้เคลื่อนไหวออกมามากมายเวลานี้ แต่ก่อนท่านไม่ออกละ ดูซิการช่วยชาติบ้านเมืองในวงกรรมฐานนี้เด่นมากทีเดียว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนอยู่ในป่าในเขา มีประชาชนญาติโยมจำนวนมากน้อยปรึกษาหารือกันได้มากน้อยเพียงไรก็รวมกัน ๆ แล้วก็เอามารวมในจุดใหญ่ ๆ อย่างที่เห็นมานี้แหละ วงกรรมฐานนี้มากทั้งฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุต ฝ่ายมหานิกายก็เป็นลูกศิษย์กรรมฐาน คืออย่างสายท่านอาจารย์ชา อาจารย์ชาก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรา นี่เป็นลำดับ จึงเรียกว่าสายหลวงปู่มั่นก็ทั้งสองเลย ครอบกันทั้งสอง
ท่านเหล่านี้เป็นผู้เอาจริงเอาจังต่อชาติบ้านเมือง เห็นน้ำใจของท่าน เราอดที่จะขอบคุณและอนุโมทนากับท่านไม่ได้ จึงเคยพูดเสมอ เราขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพระกรรมฐานที่เป็นห่วงเป็นใยต่อชาติ ศาสนา ซึ่งมีอยู่ในเมืองไทยแห่งเดียวกัน และได้ช่วยกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดมา แต่ละแห่ง ๆ ช่วยมาแต่ละครั้งน้อยเมื่อไร เวลาท่านประชุมกันนี่ก็พึบเลย ได้ยินผู้ใหญ่พูดคำเดียวเท่านั้นท่านจะพร้อมกัน พร้อมเพรียงกันพึบ ๆ ๆ ท่านไม่มีอืดอาดเหนื่อยหน่ายมาโต้มาเถียงครูอาจารย์อย่างนั้นอย่างนี้ท่านไม่มี เพราะท่านพิจารณาแล้วคำพูดของครูบาอาจารย์แต่ละประโยคแต่ละเรื่องละราวเป็นคำพูดที่เป็นอรรถเป็นธรรมแล้วท่านยอมรับและปฏิบัติตามทันที ๆ เรื่อยมา เป็นอย่างนี้เรื่อยมา ไม่มีเรื่องราวอะไรแหละในวงกรรมฐานท่านพร้อมเพรียงกันมาก ด้วยถือธรรมเป็นใหญ่ เมื่อถูกต้องแล้วท่านยอมรับทันที ถ้าไม่ถูกต้องไม่ว่าใครแหละจะยอมรับกันไม่ได้
นี่พูดถึงเรื่องท่านผู้ทรงมรรคทรงผลมีน้อยเมื่อไร เวลานี้อัฐิของท่านที่กลายเป็นพระธาตุซึ่งท่านล่วงไปแล้วมีจำนวนมากทีเดียวนะ ตายอยู่เงียบ ๆ ในป่าในเขา พระที่ตายแบบอัฐิกลายเป็นพระธาตุมีอยู่เยอะนะ นั่นละเห็นไหมถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วตีตราไว้เลยว่านี้คือผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้ว ๆ ใครจะไปยกยอปอปั้นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ความจริง อัฐิประกาศออกมาแล้วว่ากลายเป็นพระธาตุนั้นคือเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว หรือเรียกว่าพระอรหันต์ก็ไม่ผิด
นี่แหละสมัยไหนธรรมเป็นของปลอมมีหรือ ธรรมจริงมาตลอด กิเลสมันปลอมมาตลอด ธรรมเป็นของจริงตลอด ผู้ใดวิ่งเต้นขวนขวายหาอรรถหาธรรมผู้นั้นจะได้ธรรมครองใจมาตลอดเช่นเดียวกัน ผู้ใดวิ่งหาตั้งแต่กิเลสตัณหาก็จะได้ตั้งแต่ฟืนแต่ไฟ มาบีบบี้สีไฟเผาหัวใจตลอดไปเช่นเดียวกัน ให้เราทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามหาธรรมมาครองใจ การเป็นอยู่ของเราก็มีความอบอุ่น ตายไปก็เป็นสุคโต คนผู้มีบุญมีกุศลที่สร้างไว้แล้วไม่พาตกนรกนะ บุญกุศลไม่เคยพาใครไปตกนรก แต่เรื่องกิเลสที่พาให้สร้างบาปสร้างกรรมนั้น โอ๋ย ไม่ต้องพูดแหละ ดีไม่ดีนรกจนจะไม่มีที่ให้บรรจุนั่นละ มันแน่นหมด เรื่องนรกนี่มีมาก สัตว์โลกไปตก สวรรค์มีน้อยกว่านรก
ดังที่เทียบไอ้ขนโคกับเขาโคนั่นแหละ พระอานนท์ทูลถาม คนที่จะไปสวรรค์นี้กับคนที่จะตกนรกทางไหนมากกว่ากัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าผู้ที่จะตกนรกนั้นเหมือนขนโค ฟังซิเหมือนขนโค หมดทั้งตัวโคมีแต่ขนทั้งนั้น เว้นแต่เล็บของมันไม่มีขน แล้วคนที่จะไปสวรรค์เท่ากับขนโค นี้หมายความว่ามีจำนวนน้อยมาก คนที่จะอุตส่าห์พยายามแหวกว่ายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ไปได้เป็นลำดับลำดานั้นมีน้อยมาก แต่ผู้ที่จะหมุนตัวลงนรกด้วยความพอใจโดยหลักธรรมชาติของจิตดวงนั้น ๆ มีมากต่อมาก จึงเทียบกันกับขนโค
ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาสอนตัวเองซิ สอนเราเราก็เป็นคนคนหนึ่ง ถ้าว่าขนก็ขนเต็มตัวเหมือนขนโค เขาโคกับขนโค คิดไปทางดีเป็นเขาโค คิดไปทางไม่ดีเป็นขนโค วันหนึ่ง ๆ เราคิดไปทางดีทางชั่วมากน้อยเพียงไรในตัวของเรา ไม่มีมากก็เอาขนในตัวของเรามันมีกี่ขนเอามานับดู ทีนี้เราไม่มีเขาก็เอาหูนี่มีสองหู คนคนหนึ่งมีสองหู เราเอาหูสองหูมาเทียบกับขนในตัวของเรา ถ้ามันมีมากนี่แสดงว่าเรายังมีขนมากมันจะลงนรกอยู่นะ ให้ถอนขนออกเสียด้วยการสร้างความดี แล้วเสริมเขาของเรา หูของเราให้เป็นหลายหูเข้าไป เข้าใจไหม อย่าเป็นหูสับปลับนะ หูอะไรหูปากเปราะ หูปากบอน เข้าใจไหม หูอันนี้หูปากบอนนะ ให้เป็นหูเป็นตาที่เป็นอรรถเป็นธรรมเสี้ยมสอนเราไปเรื่อย ๆ เข้าใจเหรอ เรามีหู เราไม่มีเขาก็เอาหูนี่วัดกันกับขนในตัวของเรา ถ้าขนของเรามีมากถอนมันออกเรื่อย ๆ ด้วยการสร้างความดี จำเอานะ
นี่เราพูดถึงเรื่องพระผู้ครองทรงมรรคทรงผลยังมีอยู่มากนะ นี่ละธรรมที่ว่าอกาลิโก คือไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา จะมาตัดทอนได้ นอกจากการกระทำของตัวเอง ทำชั่วเป็นอกาลิโก เป็นชั่วทันที ทำดีก็เป็นอกาลิโก เป็นดีทันที เหมือนกัน เสมอกัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน อย่าให้กิเลสมันหลอกต้มตุ๋น ทางภาคอีสานรู้สึกว่าพระกรรมฐานมีมากอยู่ เรียกว่ามากกว่าทุกภาค เพราะต้นลำอันใหญ่โตอยู่ทางนู้น แล้วเวลาไปศึกษาอบรมได้แล้วท่านก็มาแนะนำสั่งสอน ส่วนมากก็มีแต่ทางภาคอีสาน รู้สึกว่าทางภาคอีสานจะมีเด่นอยู่บ้างทางด้านอรรถธรรมและศาสนาทางภาคปฏิบัตินะ ท่านสนใจมากอยู่ ป่าไหนเขาลูกไหนนี้ โหย พระเต็มเลย
อย่างวัดดอยธรรมเจดีย์ นี้ก็เท่าไรตั้ง ๖๐-๗๐ องค์ แต่อยู่ได้สบายนะเพราะวัดกว้าง อยู่ไหนอยู่ได้สบายภาวนาสะดวก วัดไหนก็มีมาก อย่างวัดผาแดง วัดธรรมลีอยู่นี้ก็เท่าไร ๓๐-๔๐ อย่างนั้นแล้ว วัดภูสังโฆก็น่าจะเป็น ๓๐-๔๐ แล้ว มีแต่มาก ๆ ทั้งนั้น วัดภูวัวก็ ๓๙ หรือเท่าไร นี่ก็มาก มีแต่มาก ๆ ท่านอยู่ด้วยความสงบสงัดสบาย มีแต่ภาวนา พอตกค่ำท่านจะฟังเทศน์ หัวหน้าเอาเทปมาเปิด แล้วมานั่งภาวนาฟังเทปกัน เช่น อย่างวัดภูวัว พอตกค่ำเอาเทปวัดเปิดแล้วนั่งสมาธิฟังกัน อย่างน้อย ๑ ม้วน จากนั้นแล้วใครอยากจะลุกไปก็ได้ ไม่อยากลุกไปก็นั่งภาวนาต่อ ก็ไม่เป็นไร ท่านอบรมจิตของท่านอยู่ตลอดเวลา จิตของท่านจึงเจริญรุ่งเรือง ถ้าได้รับการอบรมรักษาอยู่ไม่ว่าอะไรก็ดีขึ้นทั้งนั้น
นี่เราพูดถึงเรื่องพระทางฝ่ายปฏิบัติที่มีจำนวนมาก ก็คือทางอีสาน มีอยู่ทั่วไปภาคอีสาน แต่ที่มากเวลานี้ก็คือจังหวัดอุดรรู้สึกจะมาก จากนั้นก็นครพนมหรือหนองคายนี้มันก็มีเป็นแห่ง ๆ เช่น ภูวัวนี้ก็เขตหนองคาย เขตหนองคายมีมาก จากนั้นแล้วอยู่ตามป่าตามเขามีอยู่ทั่วไป ไม่มากก็มีอยู่ทั่วไป แล้วทางจังหวัดนครพนม สกลนคร อุดรก็มาก พระปฏิบัติ สามจังหวัดนี้รู้สึกว่าเด่นมาก สกลนคร หนึ่ง นครพนม หนึ่ง หนองคาย หนึ่ง อุดร หนึ่ง สี่จังหวัด พระกรรมฐานรู้สึกมาก นอกนั้นก็มีไม่มากก็มีอยู่ทั่วไป เท่านั้นแหละละนะทีนี้ให้ศีลให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|