เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]
นิสสัคคีย์
นวลนั่นน่ะมันเอาลูกหมามาสองตัว ตัวหนึ่งดำ ตัวหนึ่งขาว เราถามแล้วว่าเป็นลูกแม่เดียวกัน มันตัวเท่ากัน มันไล่หยอกเล่นกันป้วนเปี้ยน ๆ เราไปจับมันมาดึงมาเล่น ตัวเท่ากัน ถามแล้วว่าลูกแม่เดียวกัน ตัวหนึ่งขาว ตัวหนึ่งดำ เห็นมันไล่หยอกกันอยู่นั้น เรื่องนี้เราก็คิดถึงตั้งแต่เราชอบเล่นกับหมาเป็นประจำ กับหมาเราชอบเล่น นิสัยกับหมาถูกกันแต่ไหนแต่ไรมา จนกระทั่งเป็นหนุ่มแล้วก็เล่นอยู่อย่างงั้น แม่คงรำคาญท่านะ คือหมาตัวไหนมาในบ้านนี้ดื้อหมดเพราะเราเล่นกับมัน ไม่ใช่อะไรนะ หมาจะเรียบร้อยขนาดไหนครั้นมาได้รับการอบรมกับเราแล้วดื้อหมด อบรมเพื่อดื้อว่างั้น
เล่นกับมันจนกระทั่งมันเหนื่อยมันเพลีย พอหลุดมือเราปั๊บวิ่งเข้าป่าเลย คือเขาไม่อยากเล่นกับเรา ลูกหมาหรืออะไรนะ แม่มาเห็นว่าขึ้นเลย เลี้ยงหมาตัวไหนไว้มีเท่าไร ๆ ดื้อเหมือนกันหมด ว่างั้นนะ แม่เห็นเราเล่นกับหมา หมาตัวไหนจะเรียบร้อยขนาดไหนก็ตามเถอะเอามาแล้วดื้อเหมือนกันหมด หยอกแต่หมาเล่นแต่หมา เราเฉย มันก็เป็นอย่างว่าจริง ๆ หมามันมักดื้อ ก็เล่นกับมันจะไม่ดื้อยังไง
เราพูดจริง ๆ นะ เรามันจืดชืดกับเรื่องหาเงินหาทองเอาไว้เป็นกองกงกองกลางอะไรสำหรับพระเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้หาเงินหาทองมาเป็นกองกลางอะไร ให้เป็นทุนเป็นรอน หาอรรถหาธรรมให้พระสงฆ์ สอนพระสงฆ์ให้เป็นต้นทุนขึ้นที่นี่ มีเท่านั้น ๆ เรื่องเงินเรื่องทองนี้ โห ตรัสอย่างเด็ดขาดนะ แต่พระเรามันดื้อด้านต่างหาก พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้อย่างเด็ดขาด พระวินัยข้อนี้เป็นกรณีพิเศษเด็ดขาด คือไม่ให้พระมายุ่งกับสิ่งเหล่านี้เลย มันจะขาดเพราะมันเป็นอันตรายต่ออรรถต่อธรรม ท่านจึงตัดขาดไว้เลย ทรงบัญญัติว่าห้ามไม่ให้ภิกษุมาจับต้องเงินต้องทองอะไร ถ้าจับแล้วปรับอาบัติ ของเป็นนิสสัคคีย์ต้องเสียสละทิ้งไปเลย ไม่ใช่เสียสละแล้วเอามาเป็นของตัวเอง เสียสละแล้วทิ้งไปเลย เจ้าของก็เป็นอาบัติ ต้องไปแสดงอาบัติปาจิตตีย์
การเสียสละนั้นท่านรับสั่งในพระวินัย ให้พระสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปมาเป็นคณะสงฆ์ แล้วพระองค์ไปจับเงินจับทองเป็นอาบัตินั้น ให้มาเสียสละเงินที่จับมาได้มานั้นต่อหน้าสงฆ์สี่องค์ พอเสร็จแล้วก็ให้สมมุติพระอีกองค์หนึ่ง เสียสละเรียบร้อยแล้วมอบให้พระอีกองค์หนึ่งนี้เอาไปโยนทิ้งในป่า ห้ามไม่ให้กำหนดที่ตก ฟังซิน่ะ คือถ้ายังกำหนดที่ตกก็เรียกว่ายังหมายที่จะไปเอาอยู่ใช่ไหม ห้ามไม่ให้กำหนดที่ตก ถ้ายังกำหนดที่ตกไม่พ้นอาบัติ ปรับอาบัติอีก นู่นฟังซิพระวินัยข้อนี้ของเล่นเมื่อไร
แล้วมันเป็นยังไงกับทุกวันนี้ มันหน้าด้านขนาดไหนพระเรา ฟังซิน่ะ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปต่อหน้าต่อตา พระวินัยนี้คือองค์ศาสดา นี่ละข้อนี้ถ้าใครยังไม่เข้าใจให้จำพระวินัยข้อนี้ พระวินัยข้อเกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทอง ถ้าเป็นปาฏิโมกข์ท่านก็สวดเป็นปาฏิโมกข์ ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ. ใช่ไหม เราไม่ได้ลืมนะปาฏิโมกข์เราสวดมาเสียพอแล้ว (นึกว่าลืมแล้ว) ก็นึกเอาเฉย ๆ นึกบ้า ๆ บอ ๆ คนหนึ่งไม่ลืม คนหนึ่งมานึกเอาเฉย ๆ มันก็นึกบ้า ๆ บอ ๆ ละซี นี่ละบาลีข้อนี้ สิกขาบท ๑๘ นิสสัคคีย์ เข้าใจไหมล่ะ นั่นจำได้จนกระทั่งสิกขาบท ๑๘ นิสสัคคีย์ ภิกษุใดจับเงินและทอง หรือให้เขาเก็บไว้เพื่อตนก็ดี อุคฺคณฺเหยฺย วา.เก็บเองก็ดี อุคฺคณฺหาเปยฺย วา ยังคนอื่นให้เก็บก็ดี อุปนิกฺขิตฺตํ วา.หรือยินดีเงินและทองที่เก็บไว้เพื่อตนก็ดี ของนั้นต้องเสียสละ เงินนี้ นิสสัคคีย์ นั่นเสียสละ ปาจิตตีย์เจ้าของต้องไปแสดงอาบัติ
เมื่อเสียสละเงินนี้แล้ว ก็ให้สมมุติพระสงฆ์สี่องค์นี้ละเป็นผู้จะสมมุติ ให้พระอีกองค์หนึ่งเอาเงินที่พระองค์เป็นโทษจับมานี้ให้ไปปาเข้าป่า ฟังซิน่ะ แล้วห้ามไม่ให้กำหนดที่ตกด้วย ถ้ายังกำหนดที่ตกว่าตกตรงไหน ๆ แล้วไม่พ้นอาบัติ ปรับอาบัติอีก นู่นน่ะท่านเด็ดขาดมาก สำหรับเงินทองเหล่านี้เด็ดขาดมากทีเดียว นี่ละข้อนี้จำเอา เอามาจากปาฏิโมกข์เลย สวดภาษาบาลีให้ฟังอีกด้วยใช่ไหมล่ะ นี่เป็นข้อบัญญัติต้น ทีนี้อนุบัญญัติที่สอง เมณฑกเศรษฐี ที่เป็นพ่อของธนัญชัยเศรษฐี และเป็นปู่ของนางวิสาขา เห็นความลำบากลำบนของพระเจ้าพระสงฆ์ที่มาจากสกุลต่าง ๆ กัน บางสกุลมาจากพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐีกุฎุมพี ซึ่งมีความละเอียดอ่อนต่างกัน ครั้นเวลามาสมบุกสมบันอย่างพระทั้งหลายแล้วจะเป็นความลำบากต่อท่าน
เมณฑกเศรษฐีจึงไปขอทรงผ่อนผันลง ทรงขอความผ่อนผันจากพระพุทธเจ้า ก็เล่าเรื่องสกุลต่าง ๆ ที่ว่า ทูลพระพุทธเจ้าเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงผ่อนผันลง ถ้าอย่างงั้นก็ทรงอนุญาตให้คนอื่นเก็บไว้ได้ แต่เพื่อกัปปิยภัณฑ์ที่เจ้าของต้องการ ถ้ามายินดีในเงินและทองไม่พ้นอาบัติอีก นั่นเห็นไหมล่ะ คือทรงอนุญาตเฉพาะปัจจัยที่เขาจะแลกเปลี่ยนกัปปิยภัณฑ์อะไรมานั่นเท่านั้น ให้ยินดีเพียงเท่านั้น จะยินดีเงินและทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตนนี้ไม่พ้นอาบัติอีก นั่นเห็นไหม พระพุทธเจ้าทรงผ่อนผันแล้วยังเหน็บเข้าไปอีก เพราะท่านเห็นภัยกับสิ่งเหล่านี้
พระถ้ามายุ่งกับเงินกับทองแล้วจะไม่มีอรรถมีธรรมภายในใจ จะกลายเป็นเศรษฐีเงินไป เรื่องเศรษฐีธรรมจะไม่มีหวังเลย พระองค์ถึงได้ตรัสลงขนาดนั้น อันนี้ตรัสเด็ดขาดมากทีเดียวกว่าพระวินัยทั้งหลาย ขนาดให้พระถึงสี่องค์มาแสดง มาเสียสละต่อพระตั้งสี่องค์ด้วยกัน เสร็จแล้วก็ให้แสดงอาบัติ แสดงโทษของตัวต่อพระสี่องค์ถึงจะพ้นอาบัติไปได้ แล้วสมมุติพระองค์ใดก็ได้ให้มาเอาเงินนี้ไปปาเข้าป่า ห้ามกำหนดที่ตก ถ้ายังกำหนดที่ตกว่าที่ใดที่หนึ่งอยู่แล้วไม่พ้นอาบัติ นั่นเห็นไหม เด็ดขนาดนั้นพระวินัยข้อนี้ เพราะอันนี้เป็นภัยมาก
เมื่อมีเงินมีทองข้าวของเรื่องกิเลสตัณหาจะพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ ละ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก จึงตัดให้ขาด ไม่มีอะไรเลยทีเดียวติดเนื้อติดตัว ให้เหลือแต่บริขารแปด ปฏิบัติธรรมเพื่ออรรถเพื่อธรรมโดยถ่ายเดียว แล้วก็เพื่อมรรค ผล นิพพาน พระในครั้งพุทธกาล ท่านบัญญัติไว้อย่างนั้น ก็บัญญัติมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ถึงพระเราสมัยปัจจุบันนี้ นี่เรื่องราวมันเป็นอย่างงั้น พระที่ท่านทรงมรรคทรงผลท่านปฏิบัติตามศาสดานี่นะ องค์ศาสดาติดแนบอยู่กับธรรมกับวินัยที่เป็นองค์แทนของศาสดาตลอดไปเลย ใครที่มีหลักธรรมหลักวินัยติดแนบกับตัวก็แสดงว่ามีศาสดาติดกับตัว มรรค ผล นิพพานจะไม่ต้องไปดูที่ไหน
ท่านไม่ชี้ไปที่ไหนเรื่องมรรค ผล นิพพาน ให้ชี้ลงในธรรมในวินัย นี้คือทางก้าวเดินเพื่อมรรค ผล นิพพาน ถ้าไม่ผิดพลาดจากนี้แล้วมรรค ผล นิพพานจะเจอไม่สงสัย เพราะธรรมนี้ชี้ไว้เพื่อมรรค ผล นิพพาน ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นท่านถึงให้เคารพธรรมเคารพวินัย อย่าข้ามเกินฝ่าฝืน ให้ปฏิบัติตามนี้แล้วจะเจอมรรค ผล นิพพาน ตามนี้แหละ ไปดูที่อื่นดูโลก ๆ ไปเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ ให้ดูหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นเข็มทิศทางเดินเพื่อมรรค ผล นิพพาน อันนี้แม่นยำ
ดูก่อนอานนท์ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมหลักวินัยที่แสดงไว้แล้วอยู่ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ นั่นฟังซิ บอกว่าถ้ามีผู้ปฏิบัติตามนี้อยู่พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก ไม่ได้บอกว่า ถ้าใครไปคว้าเอานู้นๆ แล้วพระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ ไม่เห็นว่า ท่านสอนลงในจุดนี้ จุดนี้เป็นจุดที่ตักตวงเอามรรค ผล นิพพาน ถ้ามองข้ามนี้แล้วก็เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปเลย ไม่มีศาสดา ไม่มีความหมายละ
วันนี้ก็ไปเทศน์ที่โรงพยาบาลวชิระอีกตอนบ่ายโมงครึ่ง เทศน์วันนี้หลงหน้าหลงหลังนะ ไม่ทราบเป็นยังไงมันตัดเรื่อยนะเทศน์วันนี้นะ รู้อยู่เจ้าของ เทศน์ไปตัดปุ๊บๆ อยู่เรื่อย ต่อไปจะเทศน์ไม่ได้บอกแล้ว คือมันหลง พอเทศน์ไปแล้วลืมหายเงียบไปเลย ไม่ทราบว่าพูดเรื่องอะไรไป มันจะต่อกันได้ยังไงก็เมื่อทางข้างหลังนี่ตัดขาดแล้วลืมแล้วว่าเทศน์เรื่องอะไรมา ข้างหน้ามันต่อใหม่มันก็ขาดวรรคขาดตอนไป อย่างนั้นละ วันนี้เด่นชัดมากนะ มันแป็บเรื่อย ๆ ระวังขนาดไหนมันก็ตัดของมันอยู่นั้น ไม่มากก็ตัด ถึงคนอื่นไม่ทราบเจ้าของก็ทราบวันนี้ แต่ไม่พ้นแหละคนอื่นจะไม่ทราบ ต้องทราบ จากนั้นทีนี้ก็ต่อใหม่ มันติดกันก็เหมือนกับไม่รู้ บางทีอาจไม่รู้ก็ได้ มันตัดของมันอยู่เรื่อย ๆ
(วันที่ ๑๒ เทศน์ดีมาก เขาดูโทรทัศน์ช่อง ๑๑ เทศน์วันเกิดวันนั้น) วันนั้นเหรอ ฟังอยู่ที่ไหน (เขาดูโทรทัศน์เสียงออก) ผมจำไม่ได้ละ เทศน์วันไหนมันก็เทศน์ของมันไปเรื่อย ๆ จำไม่ได้ว่าเทศน์ดีไม่ดี (เทศน์ดีมาก) เทศน์เรื่องอะไรไม่รู้วันที่ ๑๒ จำไม่ได้แล้ว มันไม่ได้สนใจนะว่าเทศน์ดีไม่ดี ไปที่ไหนมันก็เทศน์เรื่อยไป เลยไม่ได้สนใจว่าเทศน์ดีเทศน์ไม่ดีนะ ก็ลากคนขึ้นจากนรกก็จะมาเทศน์ชั่วได้ยังไง เท่านั้นพอ เรารวมยอดเอานั้นเลย เทศน์ดีทางนั้นลากขึ้นมาจากหลุมนรก อันนี้ทำชั่วนะนี่จะว่าไง จับยัดลงไปเลย นี่ทำดีนะว่างั้นเหรอ นี่ทำดีนะนี่ไสลงไปนรกเลย ถ้าตกน้ำตกไฟก็ไสลงไปอย่างงั้น โอ๋ยนี่ดีนะ ว่างั้นเหรอ ลากขึ้นมาไม่ดี เอาไสลงไปเสียก็ว่าอย่างงั้น มันก็มีสองอย่างเท่านั้น
(วันที่ ๒๖ มอบทอง) มอบทองวันที่ ๒๖ จะมอบที่สวนแสงธรรม ๑๑ โมงเช้า จะรวมทองคำ ดอลลาร์จะไม่ได้มาก ดอลลาร์กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะได้เพียง ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์ คราวนี้จะไม่เอามากนัก เพราะเราหมุนทองคำมาก ทองคำให้ได้มากหน่อย คราวนี้ทองคำจะได้มากหน่อย ไม่ต่ำกว่าตันละทองคำคราวนี้ เพราะเราหนักทองคำ ดอลลาร์จึงเบา ทองคำจะไม่ต่ำกว่า ๑ ตันกับ ๒๕ กิโล ดอลลาร์เราก็กะเอา ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์พอคราวนี้ เรากำหนดตายตัวไว้แล้วไม่เปลี่ยน เรากะว่าไม่เปลี่ยน ถ้าไม่มีเหตุผลเหนือนี้จริง ๆ แล้วเราไม่เปลี่ยน
ทองคำที่ได้มามากน้อยเราก็รวมเอาไว้เพื่อข้างหน้าๆ ทั้งหมด ทั้งดอลลาร์และทองคำ ได้มากน้อยเพียงไรเราก็เผื่อข้างหน้า ไม่เอาเข้านี้ ถึงหลอมไว้ก็เก็บไว้เฉย ๆ แต่คงไม่มีใครหลอม เมื่อเราบอกว่าหยุดแล้วว่างั้น ก็ไม่หลอม จะหลอมในกาลต่อไป จะมาฉุกละหุกหาอะไรใช่ไหม ก็หยุดแล้วเท่านั้นก็พอ มาก็เก็บไว้ ๆ เมื่อพอหลอมเมื่อไรเราค่อยหลอม ๆ หลอมเก็บไว้ เมื่อถึงเวลาแล้วอย่างนี้ก็จะออกเอง คนก็จะมากอยู่วันนั้น ไม่น้อยละ ให้น้อยไม่น้อยละคน แต่ก็ดีอย่างหนึ่ง คือวัดเรานี่ที่จอดรถกว้างขวาง มิหนำซ้ำยังจอดไปตามถนนก็ยังได้ ในบริเวณนี้ก็เยอะจอดรถเต็มได้ ที่อื่นไม่ได้นะ เช่นอย่างไปจอดที่เคยไปมอบแล้วหาที่จอดรถไม่ได้ คนก็เหมือนกัน อันนี้กว้างขวาง
ระยะนี้ดูไม่ค่อยมีเวลาว่างนะ ไปหาเก็บเล็กผสมน้อยมาจากบรรดาพี่น้องทั้งหลาย บรรดาทองคำมีเท่าไร ๆ เอามาให้พอ ๑๐ ตัน เอาให้เม็ดเต็มหน่วย ใครโอนมาในบัญชี ๆ ก็เหมือนกัน ใครถวายที่นี่ก็รับที่นี่ ใครโอนเข้าบัญชีเป็นเงินสด ออกจากบัญชีก็เข้าซื้อทองคำ ๆ เหมือน ๆ กันกับที่มาบริจาคนี้ คือจะเร่งเรื่อย ๆ ไปอย่างนี้ มาทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งประชาชนเข้ามาบริจาค นี่อันหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเขาโอนเงินมาให้ตามบัญชีต่าง ๆ แล้วเราก็นำเงินที่โอนมานี้รอเข้าซื้อทองคำ มันมีอยู่สองด้าน พอจบอันนี้แล้วเราก็หงายเลย ไม่เอาละหงายละ แต่มันทำให้คิดไม่แล้วนะ อย่างที่เราเทศน์นี่เวลานี้เทศน์มันหลงหน้าหลงหลังจะไปไม่รอดแล้ว พอจากนี้แล้วจะไม่เอาละเรื่องเทศนาว่าการ มันก็วิตกถึงการเทศน์ว่าจะลดน้อยลงเท่าไร การเทศน์รู้สึกว่าหนักขึ้นทุกวันนะ หนักขึ้น ๆ นะเวลานี้
ที่ไหนเอะอะก็มาเอาเราไปเทศน์ เอะอะก็เอาเราไปเทศน์ อย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ แทนที่มันจะลดลงมันกลับมากขึ้นนะ มาคราวนี้ก็เทศน์สองหน แล้วเดือนกันยาก็จะไปบุรีรัมย์ อันนั้นก็เทศน์หลายแห่งเหมือนกัน ติดกันเลย ๗ วัน นั่นก็ดี ไปเกี่ยวกับเรื่องศพท่านสุวัจน์ นั่นก็เทศน์แห่งหนึ่ง แล้วไปที่ไหนอีก เทศน์จังหวัดไหนบ้าง (บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษครับ) นู่นน่ะ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ เทศน์ถึง ๓ กัณฑ์ (ลูกศิษย์อ่านกำหนดการรับผ้าป่าและแสดงธรรมเทศนาของหลวงตา) โธ่ ไกลเสียด้วยนะ ตั้งแต่บุรีรัมย์มาอุดรนี่น่าจะพอ ๆ กันกับโคราชมาอุดร เราเคยไปมาแล้วไกล
เขาว่าจะก่อศิลาฤกษ์หรืออะไร ที่เจดีย์ท่านสุวัจน์ว่างั้น เราก็เห็นด้วย ท่านองค์นี้ควรก่อเจดีย์ไว้ให้คนกราบไหว้บูชาต่อไป เพราะจะเป็นสิริมงคล คุ้มค่าว่างั้นเถอะ เวลานี้อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้วเหรอ (ผมยังไม่ได้ข่าว) แต่เราแน่ใจเป็น เราแน่ใจแล้ว พระกรรมฐานท่านรู้กันก่อนผู้อื่นผู้ใดนะ ท่านรู้อย่างเงียบ ๆ ลับ ๆ รู้ขั้นของจิตของธรรมของกันและกัน เพราะท่านเคยไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ เวลามาก็เล่าเรื่องภาวนาให้ฟัง สนทนาธรรมะ ตรงไหนที่ขัดข้อง ครูบาอาจารย์ก็คอยแนะให้ ๆ แล้วไปปฏิบัติ ท่านประสานกันอยู่เงียบ ๆ นะวงกรรมฐาน
เพราะฉะนั้นองค์ไหนมีขั้นภูมิขนาดไหนในเรื่องธรรมทั้งหลาย ท่านจึงทราบกันได้ดี แต่ทราบอย่างเงียบ ๆ ไป อย่างท่านสุวัจน์นี้ก็เหมือนกัน จึงว่าสมควรที่จะก่อเจดีย์ไว้สำหรับประชาชนทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา ไม่ได้ก่อสุ่มสี่สุ่มห้านะ เพราะหลักแห่งการก่อเจดีย์ก็มีในตำราอยู่แล้ว มีหลักมีเกณฑ์ พระพุทธเจ้าไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะ บุคคลที่ควรแก่การก่อเจดีย์ไว้กราบไหว้บูชามีกี่ประเภท บอกไว้เรียบร้อย มีอยู่สี่ประเภทด้วยกัน หนึ่ง พระพุทธเจ้า สอง พระปัจเจกพุทธเจ้า สาม พระอรหันต์ สี่ พระเจ้าจักรพรรดิ ทั้งสี่พระองค์นี้เป็นผู้ควรแก่การก่อเจดีย์ไว้สำหรับกราบไหว้บูชา มีหลักเกณฑ์
ไม่ใช่ว่าหมาตัวหนึ่งตายก็ก่อเจดีย์ ไอ้ปุ๊กกี้ตายก็ก่อเจดีย์ ไอ้หยองตายก็ก่อเจดีย์ ไอ้หมีตายก็ก่อเจดีย์ เป็ด ไก่ ยั้วเยี้ย ๆ อยู่ในวัดป่าบ้านตาด ตัวไหนตายก็ก่อเจดีย์ไปอย่างงั้น ตายเลยวัดป่าบ้านตาดถ้าก่อเจดีย์ให้สัตว์ตลอดเวลา ท่านไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้า นี่หลักเกณฑ์ของพุทธศาสนาของเรา ถ้านำไปปฏิบัติแล้วจะถูกต้องแม่นยำไปเรื่อยๆ ถ้าข้ามเกินหรือล่วงเกินฝ่าฝืนพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่มีหวัง เพราะที่ทรงแสดงไว้แล้วเป็นความถูกต้องแม่นยำทุกขั้นทุกภูมิของธรรม ตลอดถึงมรรค ผล นิพพาน จะแสดงไว้ด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทั้งนั้น แม่นยำ ๆ ตลอด ขออย่าฝืนอันนี้
ท่านจึงชี้ลงในนี้ว่าให้ดูหลักธรรมหลักวินัยนะ อย่าไปดูที่อื่นใดดูมรรค ผล นิพพาน ให้ดูหลักธรรมหลักวินัย ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยนี้ ซึ่งเป็นทางก้าวเดินเพื่อมรรค ผล นิพพาน จะไม่ผิดพลาดเลย ถ้าไปดูที่อื่นที่ใดเห็นว่าอันนั้นดี อันนี้ดี เลอะไปหมดเลย ดีกว่าพระพุทธเจ้าคือธรรมวินัย เลอะไปหมด นี่ละพระพุทธเจ้าแสดงไว้ตรงไหนแม่นยำ ๆ วันนี้ก็เหนื่อยมากแล้วไม่เทศน์อะไรมากนัก เออ เอาเข้ามาถวายลูกหลานพากันช่วยชาติบ้านเมืองของเรา ต่อไปนี้ชาติบ้านเมืองก็จะเป็นสมบัติของลูกหลานนั้นแหละ หลวงตาบัวนี้ไม่เอาอะไรแหละ ไม่เอาจริง ๆ
คิดดูเวลาจะตายก็ยังทำพินัยกรรมเอาไว้ด้วย แล้วทำเมรุไว้ด้วย เมรุก็อยู่นั้น ตายแล้วไม่มีอะไรแล้วนั่นแหละเอ้าเผาเลย เผากบเผาเขียดยังเผาได้ เผาคนทำไมเผาไม่ได้ เผาเลย แล้วสมบัติมีมากน้อยเวลาเผาศพเรา เราจะรวบรวมสมบัติทั้งหมดนี้ ให้คณะกรรมการเก็บรวบรวม แล้วนำเข้าไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมดเลย เราจะเผาด้วยไฟ แน่ะ เพราะร่างกายนี้กับไฟเป็นคู่ควรกัน สมบัติกับคนที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นของคู่ควรกัน เราจึงจะนำสมบัตินี้เข้าสู่คลังหลวงเพื่อผู้มีชีวิตอยู่ได้สืบทอดต่อไป อันนี้เป็นพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว พอเราตายแล้วมาอ่านปึ๋งก็เป็นคำพูดของเรา แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น ไม่ให้คลาดให้เคลื่อน ไม่ให้ฝ่าฝืน
ทำหรู ๆ หรา ๆ เวลาหลวงตาตาย ก่อขึ้นไปอย่างงั้นหรู ๆ หรา ๆ สิ้นเปลืองเงินไปเท่าไร พอทำเสร็จแล้วรื้อกันอึกทึกครึกโครม ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ทำอะไรมากมาย เท่านั้นแหละ แต่ก็ทำให้คิดเหมือนกันเรื่องเมรุเรานี่ คิดทางเหตุผลนะ คือธรรมดาเราแล้วนั้นแลคือที่เผาศพเราอย่างดี นั้นแหละอย่างดี ถ้าให้เป็นหลักธรรมชาติแล้วตายอยู่ในร่มไม้ร่มไหน เอา ไม่เผาก็ฝัง ไม่ฝังโยนเข้าป่าไปเลย เราสละหมดแล้ว นี่เป็นหลักธรรมชาติของเราเอง จะไม่ห่วงไม่ใยอะไรเลย แต่นี่ เอ้า เป็นครูบาอาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหาก็ทำเมรุให้เขาเห็นเสีย นี่เมรุหลวงตาบัว เอาเผาที่เมรุนี้ นี่เป็นอันดับสอง
อันดับสามนี้คิดยากอยู่นะ เพราะเหตุผลเป็นเครื่องบังคับอยู่ สมมุติว่าเราตายลงไปนี้ คนก็นับถือกันเรียกว่าทั่วประเทศไทย แล้วสถานที่นั้นมันพออยู่พอเป็นพอไปหรือในงานนี้ มันจะพอกับคนเหรอ นี่ซิ รับสั่งมาปั๊วะเดียวเท่านั้นตายหมดเลย เข้าใจไหม นี่เราคิดแล้วนะ จะพิจารณาอย่างที่เราพิจารณานี่ใช่ไหมล่ะ นี่กว้างแคบขนาดไหนที่นั่น สมควรยังไงที่จะเหมาะสมกัน ที่ไหนกว้างเอาตรงนั้น ชี้ทีเดียวเท่านั้นมันก็เป็นสิ่งนั้นขึ้นมาเลย นี่จึงทำให้คิดมากอยู่นะเรา เราจึงไม่กล้าเพราะเราให้เกียรติ แล้วเคารพเหตุผลด้วย เหตุผลคนมามากเพียงเท่านั้นมันพอเหรอ ถ้ายอมรับกันแล้วไม่พอ จะทำยังไงให้พอ แน่ะก็เป็นอย่างงั้น จึงได้คิดไว้อันหนึ่ง
สำหรับเราเองเราไม่มีอะไรละ หมดโดยประการทั้งปวง ตั้งแต่ลมหายใจขาดปั๊บ เท่านั้นหมดสมมุติทั้งมวลที่อยู่ในหัวใจกับร่างกายของเรานี้ พอลมหายใจขาดเรียกว่าสมมุติทั้งหมดขาดสะบั้นไปในขณะนั้น จิตที่ครองร่างอยู่นี้เพราะลมหายใจ ลมหายใจกับร่างกายเหล่านี้เป็นสมมุติ จิตก็ได้มาครองรักษาอยู่นี้ เป็นสัญชาตญาณในการรับผิดชอบตัวเองจนกระทั่งจะสิ้นลมหายใจ เหล่านี้ยังเป็นสมมุติ ๆ อยู่โดยดี พอลมหายใจขาดปั๊บเท่านี้ สมมุติทั้งหลายขาดสะบั้นไปพร้อมเลย จิตดีดพับเลย เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเลย ขึ้นชื่อว่าสมมุติทั่วแดนโลกธาตุไม่มีเลย นั่นจะเรียกว่าอะไร ท่านก็เรียกว่าธรรมธาตุ หรือนิพพาน
พูดให้มันจัง ๆ อย่างนี้ เราปฏิบัติมา มันประจักษ์อยู่กับหัวใจนี้จะให้ว่าไงอีก สอนโลกก็ไม่ได้สอนด้วยความโกหก เราปฏิบัติเราเองเราก็ไม่เคยโกหกตัวเอง เอาลงตรงไหนขาดสะบั้นๆ ด้วยความสัตย์ความจริงทั้งนั้น ผลเกิดขึ้นมาก็จากความสัตย์ความจริงที่เอาจริงเอาจังมาทุกด้านทุกทางจนเป็นที่พอใจ แล้วพูดให้ประชาชนทั้งหลายภายนอกฟังผิดไปที่ตรงไหน ก็ธรรมเป็นของจริงเอาของจริงมาพูดแล้วผิดไปตรงไหน กิเลสเป็นของปลอมมันเอาของปลอมมาหลอกก็ยังเชื่อมัน นี้เอาของจริงมาพูดทำไมจะเชื่อไม่ได้ กิเลสมันไม่ได้เอาของจริงมาพูดนะ มันเอาของปลอมทั้งนั้น พวกเรายังเชื่อมันเต็มโลกเต็มสงสาร ธรรมะเอาของจริงมาพูดจะเสียไปไหน
นี้เราพูดจริง ๆ การปฏิบัติธรรมเราเห็นความเลิศเลอของพุทธศาสนาอย่างถึงใจเลย จนชี้นิ้วเลย บอกว่าสามแดนโลกธาตุนี้มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่รื้อขนสัตว์ออกจากโลกไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง จะไม่มีศาสนาใด เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส ฆ่ากิเลสภายในใจ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครฆ่าได้เลย มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงรู้ทรงเห็น ฆ่ากิเลสให้ขาดสะบั้นแล้วทรงบรมสุข แล้วความหลุดพ้นจากทุกข์ปรากฏขึ้นในขณะเดียวกัน แล้วประกาศธรรมสอนโลก เมื่อสอนโลกได้แล้วด้วยธรรมที่ตรัสรู้ชอบจึงไม่มีอะไรผิดพลาด
จึงชี้นิ้วเลยมีพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนโลกได้ถูกต้องแม่นยำ ตามจุดเหตุผลกลไกต่าง ๆ ทั้งกิเลสและฝ่ายธรรมซึ่งมีอยู่ในหัวใจ ใครก็ตามไม่เคยชี้เข้ามาในหัวใจ ซึ่งเป็นที่เกิดของกิเลสและธรรม ชี้ออกไปข้างนอกตามเงาของกิเลสที่มันหลอก วาดภาพหลอกอันนั้น อย่างนั้นดีไปเรื่อย ๆ ตัวต้นเหตุของมันอยู่ข้างในไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครชี้ พระพุทธเจ้าเห็นตรงนี้ ชี้ลงตรงนี้ จึงได้ตรัสรู้ธรรม นี่ถึงว่าเรามีวาสนานะได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาชั้นเอกเลยหาที่เทียบไม่ได้ ชี้นิ้วเลยสามแดนโลกธาตุมีศาสนาเดียว ที่จะรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น อย่างอื่นที่จะมีแง่มีงอนเหมือนกิเลสทั้งหลายไม่มี ตรงแน่ว ๆ
ส่วนนอกจากนั้นมันเป็นโครงการของกิเลส เพราะผู้เป็นเจ้าของศาสนาก็เป็นคลังกิเลส สอนออกไปก็สอนออกจากคลังกิเลส ก็มีผิด ๆ ถูก ๆ ไป ชอบใจตรงไหนก็ว่าถูก ไม่ชอบใจก็ว่าผิด ไม่ทราบว่ามันผิดหรือมันถูกประการใด พระพุทธเจ้าสอนตามหลักความจริงจึงไม่ผิด
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|