เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
วันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [เช้า]
จุดเกิดความทุกข์และความสุข
เวลานี้ขาดอยู่ ขาดที่เรากำหนดไว้ ๓๐๐,๐๐๐ อยู่ ๕๐๐ ดอลล์นะ (ครับ ๔๒,๘๔๐) เออจะครบกำหนด ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์ คือเราจะมอบคราวนี้ ๓๐๐,๐๐๐ หนักทางทองคำ ดอลลาร์จึงเบา แต่ถ้าจะไม่ติดตามกันก็ไม่สวยงาม คิดดูซิตั้งแต่คราวที่แล้วปุบปับจะมอบทองคำบอกไปทางธนาคารเขายังถามมา มอบทองคำคราวนี้จะได้มอบดอลลาร์ด้วยหรือเปล่า เราติดกึ๊กเลย ก็เราไม่ได้คิดมันหมุนแต่ทองคำ เราก็เลยตอบให้ความหวังเอาไว้ว่า คราวนี้ดอลลาร์คงไม่ได้ให้มากนักแหละ ว่างั้น พอหันจากนั้นมาก็หมุนใหญ่เลย แล้วถามถึงธนาคารมีเท่าไรจะให้ได้ ๘ ล้าน ขาดเท่าไรว่ามา ขาดเท่านั้น คือขาดอยู่ ๔๓๒,๐๐๐ หาเอาได้เลย ปุ๊บเข้าเลย ตกลงว่าดอลลาร์ได้ตั้ง ๔๓๒,๐๐๐ คราวที่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดเลย
คราวนี้คิดแต่คิดจะไมให้มาก คิดเหมือนกัน กะว่าจะเพียง ๓๐๐,๐๐๐ ก็พอ เพราะทองคำเราจะเข้าหนักมืออยู่คราวนี้ เผื่อข้างหน้านะ ถ้าเราไม่หนักมือตอนนี้ข้างหน้าจะหนักมาก จึงต้องพยายามให้พี่น้องทั้งหลายได้ตั้งใจพยายาม มีเท่าไรคุ้ยเขี่ยขุดข้นมาเพื่อชาติไทยของเรา ไม่เป็นไรเข้าชาติไทยแล้วหมดในกระเป๋าไปอยู่ที่คลังหลวงอบอุ่นทั่วประเทศ อยู่ในกระเป๋าของเราก็อบอุ่นเฉพาะเราคนสองคนเท่านั้น เข้าคลังหลวงแล้วอบอุ่นกระจายไปทั่วโลกเลย เหลืองอร่าม นี่เรามุ่งหน้ามุ่งตาที่จะเชิดชาติไทยของเรา จากขณะที่มันจะพาให้ล่มจมจนมองดูหน้ากันไม่ได้ ถึงขนาดที่เราร้องโก้กนี้ถึงใจนะ ถึงใจถึงได้ร้องโก้กออกมา แล้วฝังลึกด้วย เพราะงั้นจึงต้องหมุนใหญ่เลย ให้กลบกัน ให้กลบกันให้ลบได้เลยเชียว ผลบวกให้ขึ้น
เพราะฉะนั้นที่ผลบวกจะขึ้นนี้ประมาณเท่าไรจะพอดี จะเป็นผลบวกขึ้น กำหนดแล้ว ๑๐ ตัน ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน เต็มเม็ดเต็มหน่วย ลบได้ที่จะล่มจมทั้งประเทศ ฟื้นฟูขึ้นทั้งประเทศ นี่ลบได้เลยละ เราพอใจจุดนี้จึงต้องรบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เพราะเราเห็นแก่ชาติของเรา เพราะชาตินี้มันกระเทือนทั่วโลก จะว่าไง ไม่ใช่ของเล็กน้อยนะ ถ้าชาติไทยจมนี้ทั่วโลกนี่ โอ้ย ถ้าคนไม่มีเจตนาหวังดีเขายิ่งจะชี้ลงซ้ำเติมเข้าอีก ถ้าคนเขามีเจตนาหวังดีเขาก็จะมีความสลดสังเวช สงสารประเทศไทย คน ๖๒ ล้านคนเอาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้ชาติไทยจมทั้งชาติ นี้มันฟังไม่ได้เลยนะ
เพราะงั้นจึงต้องเอากันให้หนัก นี่จะได้คราวนี้เท่านั้นนะ พอหมดคราวนี้จะไม่มีนะ เพราะคราวนี้เหตุผลกลไกอำนวยเหมาะสมทุกอย่างที่เราจะได้ขวนขวายสมบัติของเราเข้าสู่คลังหลวงของเรา จากการที่จะล่มจมนั้นเป็นการเตือนประเทศไทยทั้งประเทศแล้ว แล้วทั่วโลกก็จะทราบกันหมด ทีนี้เราจะฟื้นหาสมบัติเงินทองเข้ามาสู่ชาติไทยของเรา มันก็ต้องกระเทือนไปหมด เพราะฉะนั้นเอาให้สมดุลกัน เอาตรงนี้ละ ให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน จากน้ำหนัก ๑๐ ตันแล้วเรายังมีบัญชีเปิดเอาไว้ คือเรายังแหว่ง ใจมันยังแป้ว ๆ อยู่ตรงที่ว่ามันเป็นคี่ มันยังไม่คู่ แต่เราไม่พูดถึงเพราะน้ำหนักทองคำ ๑๐ ตันมากกว่านั้น เราจึงหมุนทองคำ ยังไงขอให้ได้ อันนั้นมันคี่ก็ให้คี่ไป อันนี้ขอให้ได้ พออันนี้จะมีหวังบ้างแล้วนะ ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน
เราก็เปิดบัญชีไว้ตามเดิม คือบัญชีที่เราไปเปิดเอาไว้เราจะเปิดไว้ตามเดิม เป็นแต่เพียงเราไม่รบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลายในที่ต่าง ๆ ดังที่เคยเป็นมาเท่านั้น เราจะเปิดบัญชีไว้ ท่านผู้ใดจะบริจาคทองคำ-ดอลลาร์ก็ให้เข้าตามบัญชี เราจะเอาเข้าตามเดิม ปฏิบัติตามเดิม ทองคำได้เท่าไรเราก็จะมาหลอม ๆ ถ้ายังไม่พอมอบเราก็เก็บไว้ก่อน เก็บไว้ก่อน พอสมควรแล้วเราก็มอบ ๆ ส่วนดอลลาร์ก็เหมือนกัน ดอลลาร์ก็มอบ เงินสดกับทั่วประเทศนี่มันแย่งกันอยู่ตลอดละ ทั้งจะแบ่งเข้าคลังหลวง ทั้งจะแบ่งช่วยชาติบ้านเมือง มันแย่งกันอยู่ตลอด อันนี้เราพูดไม่ได้ละ ไม่แน่ แต่มันอยู่ในความพินิจพิจารณาของเราว่าสมควรจะเข้าคลังหลวงเท่าไร สมควรจะออกช่วยชาติเท่าไรเราจะพิจารณาตลอด พอมันแยกได้เราแยกปั๊บทันทีเลย
นี่เรียกว่าเป็นการอันควรมากทีเดียว เราจึงต้องพยายามขวนขวายเวลาที่เหมาะสมอย่างนี้ ให้ได้ตามความสัตย์ความจริงของเรา ถ้าเลยจากนี้แล้วจะไม่ได้นะ หลวงตาก็หมดหวังทันทีเลย เพราะร่างกายสังขารทุกอย่างมันก็อ่อนลง ๆ มีแต่กำลังใจเพื่อพี่น้องทั้งหลายเท่านั้น พอกำลังใจหมดทีเดียว สังขารร่างกายล้มไปเลยนะ แต่นี้มันพยุงกันด้วยน้ำใจต่างหาก จึงขอให้พยายามทุกคน ๆ ขอให้ได้ดังที่กำหนดนี้แล้วเราเป็นที่พอใจ แล้วจากนี้ไปมันก็เงียบไปเลยละ ที่จะให้ทำอย่างนี้ไม่เหมาะสมกับเหตุผลกลไกอะไรเลย คราวนี้เหมาะสมมาก เอาให้เหมาะสมกัน นี่ได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน
คราวนี้ก็กำหนดกันไว้เอาเต็มเหนี่ยว ทองคำจะให้ได้มากกว่าเพื่อน ทุกครั้งที่ผ่านมานี่ ทองคำคราวนี้จะให้ได้มากกว่าเพื่อน แต่เรามอบครั้งแรกดูเหมือนพันกิโล คราวนี้ให้อยู่ระดับเดียวกัน ส่วนดอลลาร์เราไม่กำหนดละ กำหนดตายไว้ ๑๐ ล้าน เวลานี้ก็ได้ ๘ ล้านกว่า แล้วที่มีเงินอยู่ในบัญชีเวลานี้ก็ดูเหมือน ๒๕๗,๑๖๐ ขาดอยู่ ๔๒,๘๔๐ จะครบจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ อันนี้ไม่ค่อยหนักมากนักละ เรากะว่าจะได้อยู่ ไม่ค่อยหนักมาก แต่ส่วนทองคำหนักมากอยู่ ทั้ง ๆ ที่ว่าคาดจะได้ แต่รู้สึกมันยังหนักอยู่ภายใน
การเทศนาว่าการบอกแล้วนะ อย่าให้พูดอะไรมากนะ วันนี้ตอนบ่ายโมงครึ่งไปเทศน์ที่โรงพยาบาลวชิระอยู่แล้ว ไม่ว่างเลย พอมาวันนี้ก็ไปเทศน์แล้ว ต่อจากนั้นก็เรื่อย ๆ จนกระทั่งวันกลับไม่ว่าง คราวนี้เทศน์จริง ๆ สองกัณฑ์นะ กัณฑ์วชิระกับรามอินทรา เทศน์สองกัณฑ์ นอกจากนั้นก็ไปรับทอง ที่อยู่อุดรนี้ก็พอพูดอย่างนี้ก็ออกทั่วโลกเลยนะ พูดตอนเช้า ๆ ออกทั่วโลกทุกเช้าเลย มีวันนี้แหละที่จะออกหรือไม่ออกไม่รู้วันนี้ (ออกครับ พวกศรัทธาญาติโยมลูกศิษย์ติดเทศน์หลวงตาตอนเช้า ๆ แล้ว) เมืองนอกหรือเมืองไทย (ทั้งเมืองนอกเมืองไทยครับ)
เวลานี้เมืองนอกรู้สึกว่ากว้างขวางมากที่เทศน์ เริ่มมีปัญหาถามมาทางอินเตอร์เน็ต ส่วนมากก็เป็นปัญหาภาวนา เอ้อเราชอบ เพราะเป็นจุดสำคัญของศาสนาพุทธเราอยู่ที่จิตตภาวนา ที่ดับทุกข์ดับตรงนั้นละ จิตตภาวนาเป็นที่ดับทุกข์ โลกทั้งหลายไม่รู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นที่ไหน สุขเกิดขึ้นที่ไหน ไม่รู้ พูดชัด ๆ อย่างนี้เลย เห็นแต่ร้อนเป็นไฟเต็มตัว ๆ กันไปหมด เรื่องทุกข์มันมาจากไหน อะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ และจะดับด้วยเหตุผลกลไกอะไรไม่รู้ทั้งนั้น มีพุทธศาสนาของเราที่ชี้แจงลงตามจุดที่เกิดทั้งความทุกข์และความสุข จ่อลงที่หัวใจ
หัวใจเป็นผู้ไขว่คว้าหาเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสพาให้ไขว่คว้าแล้วก็นำฟืนไฟมาเผาตัวเองทั่วโลก เราอย่าว่าแต่เมืองไทยเลย เรียกว่าทั่วโลก เรื่องก่อฟืนก่อไฟมาเผาตัวนี้ก่อได้ด้วยกันทุกคนทั่วโลกเลย แต่ที่จะทราบว่าฟืนไฟคือความทุกข์ทั้งหลาย ที่มันเผาหัวใจมันเป็นมาจากอะไร อะไรเป็นต้นเหตุและจะดับด้วยวิธีใด อย่างนี้ไม่รู้กันเลยอีกเหมือนกัน ไม่รู้ มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่ประกาศแจ้งให้รู้ชัดเจนไม่สงสัย ถ้าดำเนินตามพุทธศาสนานี้ทุกข์ทั้งหลายที่มันเผาโลกมาเป็นเวลานาน ๆ ขนาดไหนก็ตาม จะระงับดับลง ๆ ๆ โดยลำดับด้วยอำนาจแห่งธรรม มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญมากทีเดียว
จิตตภาวนาคือดูตัวเหตุ ทุกข์ก็เกิดขึ้นจากใจ อะไรเป็นทุกข์ก็คือกิเลสเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ คือความดีดดิ้นของใจ ใจที่มันดีดดิ้นมันมีกิเลสรากฐานของมันอยู่เช่นนั้นอันหนึ่ง มันผลักดันออกไปให้อยากคิด อยากปรุง อยากรู้ อยากเห็น อยากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีประมาณเรื่องความอยากเต็มอยู่กับกิเลสนี้ทั้งหมด กิเลสไม่เคยมีความอิ่มพอ มีแต่ความหิวโหยตลอด จึงมันเผาโลกด้วยฟืนด้วยไฟของกิเลสตลอดมา นี่มันเกิดขึ้นที่ใจ โลกไม่รู้ อยากได้อะไรก็นู่นมันไปอยู่นู้น มันไม่อยู่ที่นี่ อันนี้ส่งให้ไปยุ่งกับอันนั้น อันนี้ส่งให้ไปยุ่งอันนั้น ไม่รู้ คือมันส่งออกไป มันก็หมุนอยู่ข้างนอก แล้วได้เรื่องราวมาแล้วก็มาเผาตัวอง เผาจนนอนไม่หลับ บางทีเป็นบ้าไปเลยก็มี
นี่เพราะความคิดมากยุ่งมากของกิเลสเผาหัวใจสัตว์โลก เวลาพิจารณาดูต้นเหตุของมันมันก็ออกไปจากใจ คือกิเลสตัวนี้เป็นผู้ผลักดันให้ออกคิด วาดภาพหลอกเจ้าของไปเรื่อย เห็นอะไรก็เป็นภาพหลอกไป ๆ ไม่ว่าดีว่าชั่วติดทั้งนั้นจิตใจของสัตว์โลก กิเลสจะหลอกทางชั่วก็ติด ทางดีก็ติด ไม่มีคำว่าไม่ติดถ้าลองกิเลสได้หลอกอะไรแล้ว แล้วมันเกิดมาจากกิเลสที่ออกไปจากใจไปวาดภาพหลอก สัตว์โลกไม่รู้ ทีนี้ย้อนกลับมาเมื่อมีพุทธศาสนา นำพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงพาดับกองทุกข์นี้มาเป็นพระองค์แรก แล้วนำมาปฏิบัติต่อตัวของเรา คือพิจารณาต้นเหตุของทุกข์เกิดขึ้น สุขเกิดขึ้นเกิดขึ้นจากอะไร
มันมีทั้งความสุขความทุกข์เป็นคู่เคียงกันอยู่ภายในจิตใจ เพราะกิเลสก็เกิดขึ้นจากใจ ธรรมะก็เกิดขึ้นจากใจ และอยู่ที่ใจด้วยกัน ทีนี้เราก็มาพิสูจน์ด้วยจิตตภาวนานี้ เป็นวิธีการที่จะทราบชัดเจนทีเดียว ไม่มีทางอื่นใดที่ยิ่งกว่าจิตตภาวนา ทราบวิธีการของกิเลสมันเกิดขึ้น และมันดับไปด้วย ทราบวิธีการของธรรมในการเป็นน้ำดับไฟคือกิเลสนั้นด้วย แล้วก็มาปฏิบัติตัวเอง เบื้องต้นจิตตภาวนาใช้คำบริกรรมบังคับความคิดทั้งหลายที่เป็นกิเลสเข้าสู่บทธรรมคือพุทโธ เป็นต้น ให้อยู่กับคำว่าพุทโธ ๆ ไม่ให้นอกเหนือ มันอยากจะคิดไปขนาดไหนก็ไม่ให้คิด บังคับพุทโธไว้ สติตั้งให้ดี
ทีแรกนั้นเป็นเหมือนกับคลื่น กิเลสนี้เหมือนคลื่นในทะเล ธรรมนี้เหมือนเป็นฝ่ามือกั้นคลื่นในทะเล เอาให้ฝ่ามือตกไปเลย อันนี้กิเลสคือความอยากคิดอยากปรุง มันผลักความคิดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ซึ่งเป็นเหมือนฝ่ามือที่เรียกว่าธรรมนี้ให้ตกไปเลย แล้วบังคับให้หนัก วันนี้หนักมาก เอา มากให้รู้ว่าต่อสู้กับข้าศึก เช่นเขาต่อยมวยกันนี่เจ็บด้วยกันทุกคน แต่เขาไม่ได้คำนึงถึงความเจ็บปวดแสบร้อนมากยิ่งกว่าความจะเอาชัยชนะ
อันนี้เราก็จะเอาชัยชนะกับกิเลส เอาทุกข์ให้ทุกข์ไป มันอยากคิดภายนอกเรื่องของกิเลสที่เคยคิดมานมนานจนชิน ให้กลับคิดเป็นธรรม ความคิดนี้เป็นธรรมกลับตาลปัดกัน เอาพุทโธหรือธรรมบทใดก็ตามให้ติดอยู่กับนั้น มีสติจ่อ วันนี้จะทุกข์มากนะ วันเริ่มแรกทุกข์มากที่สุดเลย เป็นเหมือนนักมวยเขาต่อยวงในกันนั่นแหละทุกข์มาก แต่มันจะมีชนะขึ้นมา ถ้าลงทุกข์มาก เบื้องต้นก็มีทั้งสอง เพราะเบื้องต้นกิเลสมันรุนแรงกว่ามันอาจจะชนะได้นะ ครั้นต่อไปนี้ธรรมะหนักเข้า ๆ กิเลสจะเป็นฝ่ายอ่อนข้อ ๆ แล้วธรรมะก็ชนะ
ธรรมะชนะด้วยความสงบร่มเย็นขึ้นมา ความคิดปรุงประเภทต่าง ๆ ของกิเลสที่เอาไฟมาเผาเรานั้นจะอ่อนลง ๆ ความคิดปรุงทางภายในซึ่งเป็นด้านธรรมะนี้จะหนักมือเข้า หนักมือเข้า แล้วอันนี้จะสงบเย็น ความคิดทั้งหลายที่มันเป็นกิเลสเริ่มเห็นโทษของมันไปโดยลำดับ และเห็นคุณค่าของความคิดทางด้านธรรมะเข้าเป็นลำดับเช่นเดียวกัน นี่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป จากนั้นก็สงบเย็นเข้า ๆ ความรบกวนของกิเลสที่มันลากไปข้างนอกจะเบาลง ๆ จะมีแต่ความหมุนของธรรมขึ้น
ทีนี้ธรรมออกก้าวแล้วทีนี้ กิเลสกับกองทุกข์จะค่อยเริ่มเบาลง ๆ จากใจของเรานะ ไม่ใช่ทุกข์จะอยู่ที่นู่นที่นี่ ไม่อยู่ ต้นไม้ ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ ที่จิตของเราคึกคะนองไปยึดไปถือเขา แล้วสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้นมานั้นมามันอยู่ที่ใจ อันนั้นเขาไม่ได้เป็นทุกข์ ตัวใจเป็นผู้ไปหมายต่างหาก พอใจรู้ตัวเองใจแล้วกลับเข้ามาสู่ความสบ ใจก็เย็น พอใจเย็นแล้วก็เห็นโทษแห่งความปรุงแต่งที่วุ่นวายมาก ๆ นั้นโดยลำดับ แล้วก็เห็นคุณค่าของธรรมที่พาให้สงบเป็นลำดับลำดาไป
ทีนี้ใจก็เริ่มสงบเย็น ๆ นี่วิธีดับทุกข์ให้ดับที่หัวใจ ท่านทั้งหลายอย่าไปเที่ยวดับกับดิน ฟ้า อากาศ วัตถุ เงินทอง ข้าวของ มีมากมีน้อยดับทุกข์ไม่ได้นะ มีมากเท่าไรก็ตาม เงินทองกองเท่าภูเขาจะมาดับทุกข์ในหัวใจเราดับไม่ลง ได้กองเท่าภูเขากองนี้อยากได้เข้าอีกสองภูเขา สามภูเขา ความอยากของกิเลสนี้เหมือนไฟได้เชื้อ ไฟดับเพราะเอาเชื้อไสเข้าไปได้ยังไง ไม่ดับ ไสเชื้อเข้าไปเท่าไรไฟยิ่งแสดงเปลวหนัก ได้มาเท่าไร ๆ ยิ่งเป็นเหมือนกับได้เชื้อไฟมา กิเลสไปกว้านเอานู้นมาเอานี้มา ได้ยิบแย็บดีใจชั่วครู่ จากนั้นเป็นไฟเผาตัวตลอด ได้มาเท่าไรไม่พอ นี่คือความหิวโหยไม่มีอะไรเกินกิเลส
ทีนี้พอธรรมเรามีความสงบเย็นใจ ความหิวโหยเหล่านั้นจะระงับลง ความหิวโหยระงับลงความทุกข์จะระงับลง แล้วจิตใจเราจะเอิบอิ่มไปด้วยอรรถด้วยธรรมไปเรื่อย ๆ นะ การเทศนาว่าการคิดดูซิเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่เคยคิดเคยอ่านและไม่เคยจะพูดนะสิ่งเหล่านี้ที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว แต่มันก็พูดจนได้นั่นแหละเพราะความเมตตาสงสาร ถึงขนาดที่เอาตัวออกประกันเลยก็มีการบำเพ็ญเพียร ก็อย่างที่ว่ามานี่แหละ ภาวนาไป ๆ จนถึงขนาดน้ำตาร่วงบนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ ก็เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
นี่ละเบื้องต้นสู้กิเลสไม่ได้ถึงขนาดน้ำตาร่วง ล้มทั้งหงาย ๆ ตั้งสติพับล้มผล็อย ๆ คลื่นของกิเลสตีเอาทีเดียวขาดสะบั้น ๆ เราไม่ถอย สร้างขึ้นด้วยกำลัง เอาเรื่อย กลับไปเรื่อย สู้เรื่อย ต่อไปก็ค่อยขยับขึ้น ๆ ต่อไปก็กิเลสล้มทั้งหงายให้เห็น นั่นเห็นไหม เหอ มึงก็ล้มเหมือนกันหรือกิเลส นึกว่ามีท้องแต่กู ล้มทั้งหงาย มึงก็มีท้องล้มทั้งหงายเหมือนกันเหรอ นั่น เอาละทีนี้ขยับใหญ่เลย กิเลสตัวนั้นอ่อนลงๆ ธรรมะขยับขึ้นเรื่อย ๆ ความทุกข์นี้เบาลง ความสงบเย็นใจมีเพิ่มขึ้น ๆ จากนั้นกลายเป็นความอัศจรรย์ขึ้นมาที่ใจ
นี่ละใจสร้างความสุขสร้างที่ใจ สร้างความทุกข์ก็สร้างที่ใจ แต่นี่เราสร้างด้วยธรรมจึงเป็นการสร้างความสุข จิตใจก็สง่างามขึ้นเรื่อย ๆ ๆ จนกระทั่งว่ากิเลสหมดไปจากหัวใจ คือกิเลสตัวยุแหย่ก่อนกวนมีมากมีน้อยมันจะแสดงอยู่ภายในตัวของเรา ในใจของเรานั้นแหละ ทีนี้พอหมดไป ๆ หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย ก็หมดสิ่งที่มายุแหย่ก่อกวนให้เกิดทุกข์ ทุกข์ก็ไม่มี กิเลสสิ้นซากไปแล้วทุกข์ก็ดับไปพร้อม ๆ กัน ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่บรมสุขคือจิตที่บริสุทธิ์เป็นธรรมล้วน ๆ แล้วจ้าอยู่บนหัวใจ ทุกข์ไม่มีเลยตั้งแต่ขณะกิเลสดับไป
นี่ผู้ชำระจิตใจชำระกิเลสด้วยจิตตภาวนาจนถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ท่านเหล่านี้เป็นผู้สังหารทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลยทุกข์ภายในใจ จะมีเหลืออยู่บ้างเพียงธาตุเพียงขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน มันก็มีอยู่ในขันธ์ มันไม่สามารถที่จะซึมซาบให้เป็นทุกข์ทางใจได้เลย นี่ย่นเข้ามานี้เองให้ท่านทั้งหลายฟัง เราสอนพี่น้องทั้งหลายนี้เราสอนด้วยความเมตตาล้วนๆ เห็นแก่ชาติบ้านเมืองเรา ถึงขนาดเอาชีวิตเข้าแลกเลยเพื่อชาติไทยของเรา เป็นก็เป็น ตายก็ตายไม่มีถอยเลย นี่ก็เพราะความเมตตา
นี้การพูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายฟังก็พูดด้วยความเมตตาเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมาเราก็ทำเป็นแบบฉบับให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ เอาสู้ไม่ถอย ๆ โกรธแค้นให้กิเลสโกรธแค้นเท่าไรยิ่งมุมานะ ยิ่งมีความพากความเพียรมาก โกรธแค้นให้กิเลสเท่าไรยิ่งเป็นธรรมขึ้นไปโดยลำดับ ไม่เหมือนเราโกรธแค้นให้คนนั้นสัตว์ตัวนี้นะ ถ้าโกรธแค้นให้คนอื่นสัตว์อื่นนี้เป็นกิเลส แต่โกรธแค้นให้กิเลสภายในตัวของเราซึ่งเป็นข้าศึกต่อเรานี้ โกรธแค้นเท่าไรยิ่งสร้างความมุมานะขึ้น ความพากความเพียร ความอดความทน เอาเป็นก็เป็น ตายก็ตาย เอ้า ฟัดกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้
สุดท้ายกิเลสทั้งหลายที่มันเป็นคลื่นเท่ากับน้ำมหาสมุทร หมดไป ๆ ๆ ฝ่ามือที่กั้นขึ้นของกิเลส ที่ว่าเป็นฝ่ามือกลายเป็นภูเขาทั้งลูกขึ้นมา กั้นคลื่นของกิเลส สุดท้ายฟาดกิเลสมอดลง ดับมอดลงไปหมดไม่มีเหลือเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยมีทุกข์ ท่านทั้งหลาย ฟังซิ หัวใจของเราที่เคยเป็นส้วมเป็นถาน บรรทุกกิเลสตัวสกปรกโสมม ทั้งเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในหัวใจได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจหมดแล้ว พร้อมกับกิเลสขาดสะบั้นลงไป ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยมีความทุกข์ แม้เม็ดหินเม็ดทรายที่จะทำให้เกิดสงสัยว่า เหอ ทุกข์นี่นะ กิเลสนี่นะ เราว่ามันดับไปตั้งแต่วันนั้น ๆ แล้ว มันยังโผล่ขึ้นมาอีกเหรอ ไม่เคยมี แล้วก็ไม่สงสัยดัวย ตั้งแต่ขนาดกิเลสขาดสะบั้นลงไป ไม่มีสงสัยว่ามันจะเกิดขึ้นมาอะไรอีก ตั้งแต่บัดนั้นมา
นี่ก็ผลแห่งการฝึกอบรมที่ใจ ทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ สุขเกิดที่ใจ ให้บำรุงจิตใจ สังเกตดูความคิดของตัวเองเสมอ ความคิดนี้จะเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นมหาภัยต่อใจของเรา และมหาคุณก็คือความคิดที่เป็นธรรมตามแก้ตามถอดตามถอนกัน แล้วมันจะสงบระงับลงได้ แม้เราจะไม่ได้เหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านแสดงไว้ก็ดี ขอให้ได้เป็นแบบศิษย์มีครู มีสติยับยั้งตัวเองพอซุกหัวนอนได้ก็ยังดี อย่าปล่อยให้กิเลสเผาอยู่ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ซึ่งไม่เป็นของดีเลย เพราะเราเป็นลูกชาวพุทธ ควรจะรู้จักวิธีระงับดับมัน แต่ยอมให้มันเผาเอาจนกระทั่งวันตายนี้ เกินเหตุเกินผลเหลือประมาณนะ ให้พากันยึดหลักนี้ไปปฏิบัติ
นี่หลวงตาได้เอาตัวองมายืนยันให้พี่น้องทั้งหลายฟังทั่วหน้ากัน เราไม่มีคำว่าโอ้ว่าอวด โอ้อวดไปหาอะไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าโอ้อวดเกิดประโยชน์นี้ไม่ต้องทำความดิบความดี ไม่ต้องวิ่งเต้นขวนขวายอะไร โอ้อวดเท่านั้นมันก็ดีขึ้นหมด อยากได้เงิน ข้าได้เงินหนึ่งพัน สองพันล้าน สามพันล้าน โอ้อวด ต่างคนต่างได้มาไม่ต้องหามันก็ได้ นี้โอ้อวดก็มีแต่ลมปาก ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรถ้าเจ้าของไม่หา อันนี้ก็เหมือนกันโอ้อวดไปทำไม ฆ่ากิเลสเราไม่ได้ฆ่าด้วยความโอ้อวด เราฆ่าด้วยเหตุด้วยผลกับกิเลสที่เห็นว่ากิเลสเป็นภัย ฟัดกับกิเลสต่างหาก ไม่ได้ฟัดด้วยความโอ้ความอวด กิเลสขาดสะบั้นไปก็ไม่ได้ขาดด้วยความโอ้ความอวด แล้วจะเอาความโอ้ความอวดมาสอนพี่น้องทั้งหลาย หรือส่งเสริมพี่น้องทั้งหลายโดยไม่ต้องขวนขวายหาความดีงามอะไรเลย ได้ยังไง จำเอานะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
ดับกิเลส ดับกองทุกข์ดับที่ใจ ไม่ได้มากขอให้ได้พอซุกหัวนอนได้ พอระงับมันได้ วันไหนมันคิดมาก ๆ วันนี้คิดมาก พยายามบังคับเข้าใส่บทธรรมพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ บังคับไว้ไม่ให้มันออก ต่อไปมันจะสงบให้เห็น ถ้าไม่มีนี้แล้วตายเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ เอาละจำให้ดีนะ เอาละพอ ว่าจะไม่พูดอะไรมันไปใหญ่แล้วแหละ ให้พร
วันที่ ๒๑ เมื่อวานเงินสดทั้งวันได้ ๘๖,๖๐๐ ดอลลาร์ได้ ๘๒๐ ดอลล์ ทองคำได้ ๒๖ บาท ๔๙ สตางค์ ดอลลาร์ที่ได้รับหลังจากมอบคลังหลวงเวลานี้ได้ ๒๕๗,๙๘๐ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๔๒,๐๒๐ ดอลล์ จะครบจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์
(หลวงพ่อสังวาลย์มากราบถวายทองคำ) หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโกขอน้อมถวายทองคำน้ำหนัก ๑๐๑ บาทกับ ๒๕ สตางค์ เงินจำนวน ๑๐๒,๐๐๐ บาท เอ้าสาธุ (สาธุ ๆ ๆ ) ร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ พอใจๆ สงสารท่าน ท่านเป็นพระดิบพระดี พระมีบุญวาสนา เราอนุโมทนากับท่านตลอดมาเลยนะ พอทราบว่าท่านมาเราก็ดีใจ มิหนำซ้ำยังมาเสริมเข้าอีกก็ยิ่งดีใจใหญ่เลย ลูกศิษย์ลูกหาสาธุจนไม่รู้จักประมาณจนได้ตีปากเอาไว้ พอใจ ๆ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|