ความโง่พาใครให้พ้นจากทุกข์?
วันที่ 20 สิงหาคม 2546 เวลา 8:20 น. ความยาว 43.21 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ความโง่พาใครให้พ้นจากทุกข์?

 

         เมื่อวานทองคำได้ ๓ บาท ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๔๓ ดอลล์ นี่ก็ได้บอกธนาคารชาติไปแล้วว่า ๓ แสน เวลานี้เราก็ได้แล้ว ๒๕๗,๑๒๒ ดอลล์ เราบอกเขาเราจะมอบ ๓ แสน กะว่า ๓ แสนต้องได้ เพราะได้ตั้ง ๒๕๐,๐๐๐ แล้วนี่นะ ๒๕๐,๐๐๐ กว่าแล้ว ถ้าให้เหมาะกันจริงๆ ดอลลาร์ก็ควรจะเขยิบขึ้นสักหน่อย เพราะทองคำคราวนี้เราเน้นหนัก ทองคำเขยิบขึ้น ดอลลาร์ก็ควรขยับตามกัน แต่เราก็ไม่ค่อยถือเป็นสำคัญนักดอลลาร์ ไม่เหมือนทองคำ ทองคำนี้ขยับอยู่ตลอดไม่มีถอยเลย เพราะจะเอาให้ได้อย่างนั้นเทียว บอกว่าเป็นอื่นไปไม่ได้ ฟังซิน่ะ เด็ดนี้เด็ดเพื่อชาติ เราเด็ดเพื่อเราก็เห็นผลมาแล้ว คราวนี้เราจะเด็ดเพื่อชาติของเรา จึงตัดคอลงไปเลยเชียว เอาให้ได้ ว่างั้นเลย คน ๖๒ ล้านคน ทองคำเวลานี้ก็ขาดอยู่ไม่กี่ตัน เพราะฉะนั้นจึงต้องจะเอาให้ได้ พอได้นี้แล้วเสียงก็กระฉ่อนทั่วโลก ทองคำมีคุณค่าเพียงเท่านี้ แต่ประเทศไทยเรามีคุณค่าขนาดไหน เราเพื่อรักษาเกียรติประเทศไทยของเรา

เพราะฉะนั้นเดินมานี้ต้องระวังนะ เผลอไม่ได้นะกระเป๋า ใครเผลอฉวยมับเลย มันกำลังเร่งเข้าใจไหม จะเอาให้ได้ ๑๐ ตันอย่างแน่ทีเดียว เพราะได้ประกาศลั่นแล้ว เสียเกียรติเมืองไทย เฉพาะอย่างยิ่งคือหัวหน้านี้เอาคอไปตัดเสียเลย เสียคอดีกว่าเสียเกียรติ เกียรติคงไว้ คอตัดเพื่อไปเลย คราวนี้ก็จะมอบที่สวนแสงธรรม เพราะสถานที่กว้างขวางทุกอย่าง เรียกว่าปลอดภัยด้วย พอขนจากนี้ก็ขึ้นใส่รถเลย ทหารติดตามไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ ทุกครั้งเป็นอย่างนั้น แล้วคนก็ดูจะมากอยู่ เราคิดว่าคนก็จะมาก สถานที่นั้นเหมาะพอดี ที่จอดรถก็เยอะ คนจะมากจะน้อยเท่าไรไม่สำคัญแหละ สำคัญที่ว่าทองคำต้องมาก เราเอาจุดนี้แหละนะ

เราได้เห็นเหตุเห็นผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในเหตุกับผลสมดุลกันไปตลอดๆ ถ้าเหตุเบาผลก็เบา เหตุหนักผลก็หนัก เราได้เห็นในความเพียรของเราเป็นสักขีพยานในนี้เลย ถ้าวันไหนแพ้กิเลสแล้ว คือจะเอาจุดนี้ให้ได้ว่างั้น แล้วมาแพ้นี่เหมือนนอนไม่หลับเลยนะ ต้องคึกคักขึ้นมาอีกฟัดอีก เอาจนชนะแล้ว เออ นอนหลับสบาย เป็นอย่างนั้นนะหัวใจ จึงว่าไม่เหมือนใครง่ายๆ ยังบอกแล้ว ว่าอะไรลงไปนี้ขาดสะบั้นเลยๆ ว่าเจ้าของก็แบบเดียวกัน บอกว่าเอาตายเลย นั่งไม่ถึงเวลานั้นจะไม่ลุก เอาตายก็ไปเลย

เวลามันทุกข์มากๆ ความทุกข์นี้มันเหมือนกับเปลวไฟเผาเราที่นั่งอยู่นั้น เหมือนกับเปลวไฟคือกองทุกข์ เหมือนกับเปลวไฟละ มันเผาขึ้นมา เหมือนว่าหมดทั้งตัว ร่างกายเราประหนึ่งว่ามองไม่เห็น เห็นแต่ไฟคือทุกข์มันท่วมท้นไปหมด เอา ตาย จิตไม่ตาย หมุนติ้วๆ เลยเทียวนะ ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุน เราจะทนอยู่เฉยๆ ไม่ถูกไม่ได้ไม่เอา มันทุกข์มากเท่าไร ทุกข์มาจากไหนๆ ไล่เบี้ยเข้าถึงทุกอาการ เนื้อ เอ็น กระดูก ตับไตไส้พุง อวัยวะอันไหนเป็นทุกข์ๆ แยกกัน ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้นเป็นอันเดียวกันไหม ไล่กันไปไล่กันมาจนกระทั่งได้เหตุได้ผลแล้ว ทุกข์ก็ลงพรึบเลย นี่เรียกว่าธรรมเป็นน้ำดับไฟ ธรรมเหนือกว่าแล้วก็ดับทุกข์ได้พรึบเลย เป็นอย่างนั้นนะ

คืนแรกนี้เรายังไม่รู้เหตุผลเป็นยังไงๆ มีแต่เอาตายเข้ารับรองเท่านั้น ถ้าไม่ถึงเวลานั้นจะไม่ลุก ตายก็ยอมไปเลย ส่วนผลจะเป็นยังไงไม่คำนึง เอาตายเข้าว่าเลย ทีนี้พอมันได้ผลขึ้นมาแล้ว ผลนี้ละที่ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาก ผลที่อัศจรรย์เราได้ปรากฏแล้ว เพราะเหตุนั้นๆ ทีนี้เราจะหมุนเหตุนั้นให้หนักเข้าไป ตายก็ตาย กำลังใจหนุนขึ้นเพราะเราได้ผลในคืนที่ผ่านมาแล้ว ไม่ตาย สติปัญญาแก้ได้ๆ พระพุทธเจ้าแก้กิเลสด้วยสติปัญญา เราจะเอาอะไรมาแก้ เราก็ต้องเอาสติปัญญาแก้ เพราะฉะนั้นเวลาทุกข์มากขนาดไหนสติปัญญาจึงอยู่ไม่ได้ หมุนติ้วๆ ให้ทันกับเหตุการณ์ของความทุกข์ที่โหมตัวเข้ามา สุดท้ายก็ลงผึงเลย มันได้เหตุผลอันนี้แล้วก็ยิ่งเป็นกำลังใจ วันหลังมันจะเป็นอะไรก็เป็นเถอะ สติปัญญาเหนือกว่ากิเลสอยู่ตลอด จะเอาสติปัญญามาฟัดกิเลสให้ได้ มันก็ซัดเข้าๆ

นี่เราก็ไม่ลืม พ่อแม่ครูจารย์ท่านรู้นิสัย เพราะนิสัยเรามันผาดโผนจริงๆ ยังบอก ทีแรกท่านก็ยอละซี ฟาดตลอดรุ่งคืนแรกได้ผลอัศจรรย์ขึ้นมาเล่าถวายท่านนี้ โอ๋ย เหมือนนักมวยแชมเปี้ยนนะ แต่ก่อนขึ้นไปหาท่านไม่ว่าท่านว่าเรา บรรดาพระทั้งหลายขึ้นไปหาท่านเหมือนผ้าพับไว้ ด้วยความเคารพเลื่อมใสทุกสิ่งทุกอย่างนิ่มไปหมด เราก็เหมือนท่าน ท่านก็เหมือนเรา ไม่มีใครตำหนิใครได้ เรื่องกิริยามารยาทความเคารพครูบาอาจารย์ ขึ้นไปเหมือนผ้าพับไว้ แต่เวลามันเป็นขึ้นในใจแล้วมันพลิกใหม่นะกิริยานี่นะ เหมือนผ้าพับไว้มันกลายเป็นเหมือนแชมเปี้ยนเลยเชียวนะ

ขึ้นไปก็ใส่เปรี้ยงทีเดียว กราบเรียนท่านผางๆ คือออกจากกำลังใจนี่ทุกอย่างมันรุนแรงนะ เวลาออกมันผางๆ ออกเต็มเหนี่ยวเทียว มันรู้มันเห็นอะไรเป็นยังไงต่อยังไงมันประจักษ์อยู่กับใจ จะไม่อาจหาญได้ยังไง ก็การเล่าไม่ได้เล่าเพื่อแข่งขันท่านนี่ เล่าเพื่อถวายเรื่องราวอะไร ขาดตกบกพร่องอะไรท่านจะได้สอนเพิ่มเติม ความหมายว่าอย่างนั้น ผลได้ยังไงก็เล่าให้ท่านฟัง มันเป็นเหมือนแชมเปี้ยนนะ โห มันเป็นจริงๆ เห็นประจักษ์กับเจ้าของเลย ธรรมดามาก็เหมือนผ้าพับไว้ วันนั้นมันเหมือนแชมเปี้ยนต่อยกันบนเวที ถือท่านอาจารย์มั่นเป็นคู่ต่อสู้ แต่กิริยาโลกนะ ภายในนี่คือธรรมะ เล่าอะไรนี่เพื่อถวายท่าน ท่านจะได้ช่วย ความหมายว่างั้น แต่มันออกอย่างรุนแรงละซี เพราะมันเกิดอย่างแบบอัศจรรย์ เราก็ไม่เคยเป็น

เวลาจะเอาเป็นเอาตายกันจริงๆ สติปัญญาคุ้ยเขี่ยขุดค้นจนกิเลสดับพรึบลง ความทุกข์ทั้งหลายที่โหมตัวมาหมดเลยทันที ดับพรึบหมด เห็นแต่ความอัศจรรย์ในจิต เหอ เป็นอย่างนี้เหรอ นั่น พอขึ้นไปหาท่านก็ผางเลยที่นี่ ท่านก็ผางมาเลยนะ พอเรากราบเรียนท่านจบเรียบร้อยแล้ว หมอบนะที่นี่คอยฟัง ผิดถูกประการใดท่านจะชี้แจงมาเราจะคอยยึดคอยจับ มันจ่อตลอดนะ ผิดถูกประการใดจะฟังเอาทุกกิทุกกี พอเราสงบหมอบลง มันต้องอย่างนั้น ขึ้นเลยนะท่าน มันต้องอย่างนั้นซีจึงเรียกว่านักรบ เอาๆ เลยที่นี่ได้หลักแล้ว อัตภาพเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนละ มันตายหนเดียวเท่านั้น ท่านว่างั้น เอาเลยที่นี่ได้หลักแล้ว อย่าถอยนะ

โอ๋ย ทางนี้ก็เหมือนหมาตัวหนึ่งนะ พอท่านยุอย่างนั้นก็ทั้งจะเห่าจะกัด มันมีกำลังใจ ไม่ลืม สดๆ ร้อนๆ ท่านก็ใส่เต็มเหนี่ยวเลยวันนั้น ท่านก็เป็นกำลังใจ เมตตาเรา ว่าที่เราดำเนินมาแล้วถูกต้องแล้ว ได้หลักแล้ว เอ้าที่นี่อย่าถอยนะว่างั้นเลย อัตภาพนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หน มันตายหนเดียวเท่านั้น เอาเลยที่นี่นะ โอ๋ย ทางนี้เหมือนจะกัดจะเห่า ลงไปด้วยความภาคภูมิใจ สิ่งที่รู้ประจักษ์ก็แน่แล้ว ท่านซ้ำเข้าอีกก็ยิ่งแน่เข้าไปอีก คืนต่อมาก็เอาอีก แต่ไม่ได้ติดกันทุกคืนนะ เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่งๆ  บางวันยังไม่มืดนั่งแล้ว ฟาดจนตะวันโผล่

ร่างกายนี้ อู๊ย เหมือนว่าถูกทุบถูกตี บวมไปหมดร่างกายปรากฏว่านะ ถ้าวันไหนมันทุกข์มากๆ  คือการทุกข์มากของร่างกายนี้ไม่ได้ขึ้นกับเวล่ำเวลานะ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาคล่องแคล่วหรือฝืดเคือง ถ้าวันไหนพิจารณามันขลุกขลักๆ เหมือนรถเราวิ่งตามทางมีหลุมมีบ่อ มันก็วิ่งเร็วไม่ได้ ขลุกขลักๆ  อันนี้สติปัญญาหมุนติ้วกับกิเลส กิเลสเป็นเหมือนหลุมเหมือนบ่อ เอากันอยู่นั้น มันไม่สะดวกมันก็ลักษณะขลุกขลักๆ ทีนี้มันก็บอบช้ำทางร่างกาย ร่างกายบอบช้ำมาก วันเช่นนั้นเวลาจะลุกขึ้นนี้ต้องได้จับขาดึงออก คือมันตายหมดจากนี้ไป เหลือแต่นี้ขึ้นไปเป็นปรกติ อันนี้ตายหมดแล้ว

วันที่พิจารณาไม่สะดวก ไม่คล่องตัว วันนั้นบอบช้ำร่างกายมากนะ เวลาเท่ากันก็ตาม มันขึ้นอยู่กับจิตนะ ถ้าวันไหนจับติด ๆ พิจารณาเหมือนคีมปากคม ๆ  พอจับติดปั๊บ ๆ นี้ไม่นานพุ่ง ลงเลย พอถอนขึ้นมาก็พิจารณาอีกลงอีก พอได้เวลาที่จะลุก ถึงเวลาแล้วลุกนะ ไม่ถึงเวลาไม่ได้เลยละเด็ดขาด ลุกไปเลยนะไม่ต้องจับนั้นดึงจับนี้ดึงขาเรา เหมือนเรานั่งภาวนาธรรมดาเป็นเวลา ๑๒ ๑๓ ชั่วโมงด้วยกันก็ตาม ถ้าจิตคล่องเสียอย่างเดียว ร่างกายไม่บอบช้ำ ลุกแล้วไปเลย แล้วก็ไม่เห็นเจ็บปวดอะไร ถ้าวันไหนบอบช้ำมาก ๆ วันนั้นเราจะลุก คือเราเคยลุกคืนแรกที่ว่านี่ พอลุกนี่ล้มตูมเลย มันตายหมดแล้วเราไม่รู้ คือมันไม่เจ็บไม่ปวด มันตายหมดแล้ว

         พอลุกนี้ล้มตูม ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น อ้าว ทำไมเป็นอย่างงี้ ไม่รู้ เจ้าของก็ไม่รู้เจ้าของ มาดูที่ไหน จับขามันไม่รู้ว่าเราจับเลย ตายหมด ทีนี้จับขาดึงออก ดึงแล้ว มันก็ตายของมันอยู่งั้น เราก็ปล่อยไว้อย่างงั้นก่อน จนกระทั่งนานเข้า ๆ เลือดลมมันค่อยเดินออกไป ค่อยรู้ ขาค่อยรู้สึกนั้นนี้เข้าไป แล้วต่อไปค่อยกระดิกดู กระดิกนิ้วเท้าดู คู้เข้ามาดู เหยียดออกดู จนกระทั่งมันคล่องตัว จะลุกได้ถึงลุก เป็นคืนแรกนะ พอลุกนี่ล้ม ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เพราะอันนี้มันตายหมด พอเราปล่อยมันไว้อย่างงั้น เลือดลมสะดวกเดินได้แล้วก็ค่อยลุกขึ้น บอบช้ำมาก คืนแรกเป็นคืนที่บอบช้ำมากที่สุด

         วันต่อมาถ้าวันไหนสะดวกลุกขึ้นไปเลย ถ้าไม่สะดวกก็รู้ตั้งแต่เราพิจารณานะ วันนี้พิจารณาเป็นยังไง ๆ เวลาลุกนี้เราจะต้องได้จับขาดึงออกเสียก่อน แล้วถึงจะยอมลุก ไม่งั้นล้ม เพราะมันสอนแล้วต้องจำ จับขานี้ดึง นั่งขัดสมาธิ จับขานี้ดึงไปวาง จับขานี้ดึงไปวาง มือมันดีอยู่ส่วนขานี้มันตายหมดแล้ว จนกระทั่งคู้เข้าเหยียดออกทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้วค่อยไป อย่างนั้นทุกครั้ง ถ้าวันไหนมันบอบช้ำมาก ๆ ก็รู้เอง วันนั้นเราต้องได้จับขาดึงออก ถ้าวันไหนมันสะดวกมันก็รู้ในตัวเอง ลุกแล้วไปเลย มันนั่งไม่ใช่นั่งธรรมดานะ

         ที่ว่าท่านรู้นิสัยเราผาดโผนก็คือ ทีแรกท่านก็ชมเชยเต็มที่ ต่อมาค่อยลดลง ๆ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นของเราก็เหมือนเก่านั่นละ ท่านลดลง พอถึงวาระท่านจะเอานะ ท่านจะกระตุก นี่ละครูอาจารย์ท่านเคยผ่านเคยเดินมายังไง เราไม่เคย ไม่รู้จักเป็นจักตาย พอขึ้นไปกราบนี่ขึ้นผางเลยนะ “กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่ร่างกายนะ มันอยู่ที่ใจนะ” ขึ้นอย่างแบบผาง ๆ เลยนะ “กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่ร่างกายนะ มันอยู่ที่ใจนะ” ความหมายก็ว่า ความทุกข์นี้มันเป็นทุกข์ร่างกาย เพราะเราไม่รู้จักประมาณเราก็รู้ จากนั้นท่านก็ยกสารถีฝึกม้ามา ท่านใส่เปรี้ยง ๆ ย้ำแล้วย้ำเล่านะ “กิเลสไม่อยู่กับกายนะมันอยู่กับใจนะ”

         จากนั้นก็ยกสารถีฝึกม้ามา สารถีฝึกม้า ม้าตัวไหนมันผาดโผนโจนทะยานคึกคะนองมาก ๆ เขาจะฝึกทรมานมันอย่างหนัก ท่านว่างี้นะ บอกว่าอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ยอมให้มันกิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน แต่ฝึกไม่ถอย ท่านว่า เมื่อความพยศมันค่อยเบาลง ๆ การฝึกเขาก็ค่อยเบาลง ๆ จนกระทั่งมันยอมรับการฝึก ใช้การใช้งานได้ตามปกติแล้วการฝึกเช่นนั้นเขาก็งดหมด เขาหยุด ที่เราพูดเราเสียดายที่ว่า เรายังเสียดายท่านไม่หักมาหาเรา ว่าเขาฝึกม้ากันยังไง ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง แต่เราเสียดายอยู่นะ ท่านไม่ได้ว่า คือท่านพูดแล้วผ่านไปเลยนะ แต่เรามันเข้าใจหมดแล้ว เพราะอันนี้มีแล้วในธรรม เราก็เรียนมาแล้ว พอท่านแย็บขึ้นก็รู้เลย

         นี่ละท่านกระตุก คือมันผาดโผนเกินไป เวลาจิตมันผาดโผนโจนทะยานมันไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลย จะทรมานแบบไหนก็เอาเวลานั้น เหมือนเขาฝึกม้าตัวคึกคะนอง ครั้นเวลามันค่อยลดลง ๆ การฝึกค่อยลดลง คือจิตของเรามันค่อยลดพยศคึกคะนองลง การฝึกก็ค่อยลดลงความหมายว่าอย่างงั้น เมื่อมันได้หลักได้เกณฑ์แล้วการฝึกเช่นนั้นก็ไม่มี ก็ฝึกธรรมดาไปเลย ความหมายว่าอย่างงั้นแหละ แต่ท่านไม่ได้บอกมานะ ท่านยกม้าเท่านั้นพอ เรามันเข้าใจหมดแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกนะ ท่านก็ไม่เคยถามว่าได้นั่งตลอดรุ่งอีกไหม ท่านก็ไม่เคยถาม เราก็ไม่เคยพูดถึงเลย วิธีนั้นนั่งตลอดรุ่ง ๆ หยุด ท่านก็ไม่ถาม เราก็ไม่ได้ทำ

         นี่พูดถึงเรื่องครูอาจารย์ ท่านฝึกทรมาน ท่านรู้นิสัยหมดนั่นละ อย่างทีแรกท่านก็ยกยอจนกระทั่งเราเป็นหมาไม่รู้ตัว ลงไปนี้อะไรทั้งจะกัดจะเห่า มันดีใจ ครั้นต่อมาท่านก็ลดลง ๆ พอสุดท้ายท่านก็ขนาบเอา นี่เราก็ไม่ลืม นี่ละการฝึกทรมาน นิสัยเรามันเป็นนิสัยผาดโผนจริง ๆ ก็อย่างที่ท่านรั้งเอาไว้ กิเลสมันไม่อยู่ที่ใจนะ ขู่ใหญ่เลยนะ คือท่านก็รู้นิสัยอีก ถ้าพูดเบา ๆ ธรรมดามันไม่ถึงใจคนหนา เข้าใจไหม ต้องเอาขนาบเลย มันก็ถึงใจ หยุดเลยนะนั่งตลอดรุ่ง ตั้งแต่นั้นไม่เคยนั่งอีกเลย นั่งตามอัธยาศัยก็ไม่เคยตลอดรุ่ง แต่นั่งทีละ ๕-๖ ชั่วโมงมี แต่มันตามอัธยาศัยไม่ได้กำหนดว่าให้ตลอดรุ่ง นั่งตลอดรุ่งไม่มี แล้วผลก็ได้เป็นลำดับ ๆ

         นี่ละเหตุที่เอาถึงเป็นถึงตาย ผลก็ได้เป็นที่พอใจ ๆ เป็นลำดับมาเลยนะสำหรับเรา ถ้าวันไหนความเพียรรู้สึกมีอ่อนมันจะไม่สบายใจ เอาให้ได้ยิ้มในตัวเองว่าชนะกิเลสเป็นพัก ๆ พักไหนที่ต้องฟัดกัน พักนั้นแพ้วันนั้นจะไม่สบาย คือมันเป็นระยะ ๆ เราก็เห็นผลของเราที่ดำเนินมาด้วยเหตุผลอย่างนี้ ๆ นี่เราช่วยชาติบ้านเมืองของเรา เราก็ต้องมีการเข้มข้น ไม่เข้มข้นไม่ได้เพราะชาติไทยเป็นชาติที่มีเกียรติมาดั้งเดิม จะปล่อยให้จมไปเลย ให้เขาหัวเราะชี้หน้าด่าทอดูไม่ได้ นี่นะอันนี้เสียมาก ให้คอขาดไปเท่าไรยังดี คอขาดด้วยการเป็นนักต่อสู้ ไม่ใช่คอขาดด้วยแพ้นะ แพ้ก็ให้แพ้แบบคอขาด อย่างนักมวยต่อยกันถูกน็อกไปเลย ยอมแพ้ยกมือไหว้ ถ้าเป็นหลวงตาบัวมันจะไม่ยอมยกมือไหว้ ถ้าแพ้ก็ให้หามลงเปลไปเลย มันจะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ตาม ตายไปเลย ที่จะมายอมแพ้ยกมือนี้ มันแน่ใจนะว่าค่อนข้างจะไม่มี เพราะมันเด็ดของมัน ซัดกับกิเลสก็แบบเดียวกัน ถึงคราวมันเด็ดมันเด็ดจริงๆ  แล้วก็ได้ผลมาเป็นลำดับลำดา ล้วนแล้วตั้งแต่เหตุที่เด็ดขาดขนาดไหน ผลรับรองกันไปเรื่อยๆ นี่ละเป็นเครื่องพิสูจน์ในตัวเอง ทีนี้การงานอะไรต่ออะไร ส่วนหยาบส่วนอะไร ไม่หนีจากเหตุผลไปได้นะ ถ้าเหตุอ่อนผลก็อ่อน ทางด้านจิตใจยิ่งสำคัญ

         คราวนี้จะเริ่มหนักแล้วแหละทองคำเรา จะไม่ให้ได้น้อย เอาเร่งเข้าไปเลยเทียว จะเอาไม่ให้ต่ำกว่า ๑ ตันไปเลย คราวที่จะมอบนี้จะเอาให้ได้ ๑ ตันขึ้นไปเลย นี่เรียกว่าขยับแล้วนี่ พอจากนั้นก็พุ่งอีกให้ทะลุ คำว่าแพ้ไม่มี แล้วบรรดาพี่น้องชาวไทยเราที่บริจาคมาจากที่ต่างๆ ไหลมาทุกทิศทุกทาง เข้าบัญชีโอนๆ เราก็หมุนจากบัญชีโอนเข้าซื้อทองคำๆ เรื่อยมาอย่างนี้ มาทุกทิศทุกทาง ไหลเข้ามันก็เป็นกองใหญ่ขึ้นเอง แล้วก็หมุนเข้าๆ เอาให้ถึงจุดที่หมาย บัญชีก็เปิดไว้อยู่แล้ว ก็ประกาศไว้ด้วย ใครมีมากน้อยเพียงไร ถ้าเป็นเงินสดก็ให้โอนเข้าทางบัญชี ๆ แล้วถ้าเป็นทองคำก็ถวายมาเลย อย่างนี้เรื่อย ๆ เราเมื่อได้มาแล้วก็หมุนออกซื้อทองคำเป็นระยะ ๆ พอทองคำลงบ้าง ๆ คอยขยับไปซื้อเรื่อย ๆ ไปอย่างงั้น คอยเอาจังหวะที่ทองคำลง เมื่อมันไม่ลงจริง ๆ นี้ เราก็จะให้ได้อย่างงั้นจริง ๆ  ตามระยะเวล่ำเวลาที่กำหนดไว้แล้ว มันจะขึ้นถึงไหนน่ะ ทองคำน่ะ ตามตีมันตกว่าไง ตกเข้าคลังหลวงหมดนั้นแหละ ไม่ให้ไปไหน

         การฝึกจิตตภาวนานี่เราเป็นห่วง เวลานี้กำลังกว้างขวางออกไปเกี่ยวกับทางด้านจิตใจ คือจิตตภาวนา ให้ใจมีความสงบ ให้ได้รู้เรื่องของตัวเองบ้าง กอดร่างกับจิตใจมาด้วยกันตั้งแต่วันเกิด ตายไม่มีสาระเลย หาจุดที่หมายไม่ได้มันเกินไปมนุษย์เรา จุดที่หมายของมันคือใจ กิเลสตัวสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เกิดที่ใจ แล้วสร้างขึ้นมาที่ใจ แสดงฤทธิ์ขึ้นมาที่ใจ กิเลสคืออารมณ์ที่เป็นภัยของธรรม แล้วรวมแล้วก็มาเป็นภัยต่อใจของเรา ธรรมนั้นเป็นคุณของใจแต่เป็นพิษกับกิเลส ฆ่ากิเลส แล้วอยู่ที่ใจ ท่านจึงเรียกว่าธรรมเกิดที่ใจ กิเลสเกิดที่ใจ ความทุกข์ทั้งมวลเกิดที่ใจ แล้วก็รวมอยู่ที่ใจ เผาที่ใจ แล้วสุขทั้งมวลก็มารวมอยู่ที่ใจ ส่งเสริมที่ใจให้มีความสุขมากน้อย ๆ เรื่อยๆ

ยิ่งได้สั่งสมธรรม สั่งสมความดีงามทั้งหลายเข้าสู่ใจ ใจได้รับการบำรุงรักษาก็ค่อยขยับตัวขึ้น ๆ สูงขึ้น ๆ เมื่อมีมากเต็มที่แล้วยกพ้นเลย ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลศีลทานของเรามากน้อยนี้แหละ เป็นเครื่องหนุนจิตใจของเราให้หลุดพ้นได้เลย นี่เรียกว่าธรรมเกิดที่ใจ การแสดงออก การให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา สร้างกุศลมากน้อยนี้ ออกมาจากใจ ใจเป็นผู้บงการ แล้วผลก็เป็นความดีงามเข้าสู่ใจ เรียกว่าธรรมอยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ ทีนี้ส่วนความชั่วก็กิเลสคือความมัวหมองมืดตื้อ เป็นภัยต่อจิตใจก็เกิดที่ใจ แสดงฤทธิ์เดชออกมาทางความโลภ ทางความโกรธ ราคะตัณหา เหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลเกิดที่ใจ ให้รู้ว่าสถานที่เกิดแห่งสุขแห่งทุกข์เกิดอยู่ที่ไหน ฟังเสียงธรรมของพระพุทธเจ้าก็รู้เองว่าเกิดที่ใจ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ระงับที่ใจ จะระงับที่อื่นที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้นไม่มีความหมาย ถ้าระงับที่ใจนี้มีความหมายเป็นลำดับลำดาไป

ความคิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายนี่ก็ขึ้นไปจากใจ คือกิเลสมันผลักดันออกไปให้คิด ไม่คิดอยู่ไม่ได้ มันอยากคิดอยากปรุง สังขารคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นสังขาร รากฐานของกิเลสอยู่ที่อวิชชา ตัวนี้เป็นตัวผลักดันออกมาให้อยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ อยากไม่หยุดไม่ถอย คือกิเลสตัวนี้มันผลักดันออกไป แล้วก็สร้างความทุกข์ย้อนเข้ามาหาตัวของเรา ๆ สมหวังหรือไม่สมหวัง ส่วนมากมันผิดพลาด ๆ สร้างความทุกข์ขึ้นมาเผาที่หัวใจของเรา

         นี่ละทุกข์มารวมอยู่ที่หัวใจนะ ไม่ได้มีอยู่ที่อื่นใดทั้งนั้น โลกธาตุกว้างแสนกว้างมันเกิดที่ใจ ใจเป็นผู้ไปไขว่คว้าหา จะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ โดยกิเลสที่เป็นรากฐานได้แก่อวิชชาผลักดันออกไปให้คิดไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงรวมเข้ามาทับหัวใจเรา นี่ละทุกข์จึงมาอยู่ที่หัวใจ พูดถึงเรื่องทางด้านความสุขก็เหมือนกัน เอาเราสร้างความดีงาม มีเท่าไรมากน้อยเท่าไรเราสร้างเต็มกำลังของเราๆ แล้วก็ย้อนเข้ามาหนุนเรา ๆ ให้เป็นความสุข ส่วนกิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟมันก็ค่อยจางไป ๆ อรรถธรรมที่เราสร้างเป็นความดีงามขึ้นมาภายในใจก็หนุนใจของเราไปเรื่อย ๆ หลุดพ้นไปได้

         รวมแล้วเรียกว่าทุกข์ก็ดี สุขก็ดี เกิดที่ใจ อยู่ที่ใจด้วยกัน ทั้งกิเลสทั้งธรรมเกิดที่ใจ อยู่ที่ใจ ถ้าใครก้าวไปตามกิเลสมันก็เผาที่ใจ ทุกข์ที่ใจ ก้าวไปตามธรรมมันก็เย็นที่ใจ มีความสุขจนกระทั่งถึงความเลิศเลอแห่งความสุขขึ้นที่ใจ ให้จำเอานะ เราอย่าไปตื่นลมตื่นแล้ง มืดแจ้งมันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พวกนี้ไม่ได้ไปตกนรก ไปสวรรค์ชั้นพรหม ไม่ได้ติดคุกติดตะราง  ไม่ได้เป็นผู้ต้องหานะพวกนี้ ตัวหัวใจของเราตัวดื้อ ตัวคึกตัวคะนองมันหากดีดหากดิ้น แล้วเอาไฟเผาตัวไปเรื่อย ๆ แต่ไม่มีทางที่จะรู้สึกตัวว่าเราผิด มีแต่บืนไปตามกิเลส กิเลสไม่ให้รู้ตัวว่าผิด มีแต่เพลินไปเรื่อย นี่คืออารมณ์ของกิเลสเกิดขึ้นจากใจ

         อารมณ์ของธรรมระงับสิ่งเหล่านี้เป็นลำดับ แล้วสร้างความดีไปเรื่อย ๆ การระงับก็เป็นสร้างความดีอันหนึ่ง คือระงับแล้วเราก็สร้างความดี ความสุขความเจริญก็เกิดขึ้นมา จิตใจที่มืดตื้อเพราะกิเลสปิดบังหุ้มห่อไว้ อำนาจแห่งความดีนี้ มีจิตตภาวนาเป็นต้นจะชำระล้างค่อยผ่องใสขึ้นมาๆ พอผ่องใสขึ้นมามันก็ต้องเห็น เห็นก็เห็นตัวภัยนั่นแหละ คือกิเลสตัวมันสร้างฟืนสร้างไฟให้เรา และเห็นคุณธรรมของเราที่สร้างมานั่นแหละ ทีนี้ก็มีแก่ใจเรื่อย ๆ พ้นไปเรื่อย ให้จับจุดให้ดีนะที่ระงับดับทุกข์ จะดับที่ใจ ที่บำรุงส่งเสริมสุขให้เกิดมากมูนขึ้นไปจนถึงความพ้นทุกข์ก็ให้บำรุงที่ใจ เป็นความสุขที่ใจ เกิดขึ้นที่ใจ

         ความสุขทุกข์เป็นผลที่เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากการสร้างความดีของเรา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาเป็นลำดับเพราะการสร้างความชั่วไปตามกิเลส มันจึงมารวมอยู่ที่ใจ ใจนี้เป็นแหล่งใหญ่ ถ้าว่าเป็นทำนบก็ทำนบใหญ่ เป็นที่ไหลมาแห่งความสุขความทุกข์มารวมที่ใจทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงให้แก้กันที่ใจ แก้แล้วจะเห็นความสงบผ่องใสของตัวเอง ใครก็ตามถ้าลงได้ตั้งใจภาวนา วันมากวันน้อย บางวันฟาดเต็มที่ มันก็เห็นละซี เพราะความสุขกับความทุกข์ กิเลสกับธรรมอยู่ที่ใจ ความสุขความทุกข์อยู่ที่ใจ จะไม่เห็นยังไงเราค้นลงที่ใจ ถ้าไปค้นที่อื่นดังกิเลสพาค้น ฟาดไปโลกธาตุ ก็เอาแต่กองฟืนกองไฟมาเผาเรา.ถ้าค้นลงมาที่นี่ก็ถูกจุดสำคัญ พากันจำอันนี้ไว้ให้ดีนะ

เราเป็นห่วงมากนะ คือจิตนี่สำคัญมาก โลกทั้งหลายไม่รู้ตัวเลย เราพูดคนเดียวเราก็พูดได้อย่างอาจหาญชัย เพราะเราทรงไว้แล้วทั้งกิเลสและธรรม กิเลสก็เคยทรงมาแล้ว ขนาดไหนไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาดีดดิ้นยังไงเราก็เป็นแบบโลกทั้งหลายเป็น ทีนี้เวลาหมุนเข้ามา ๆ ในทางที่ถูกที่ดีมันก็วิ่งถึงพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเหมือนกัน ในทางที่ถูกที่ดีท่านหมุนยังไงก็หมุนอย่างนี้ นี้ท่านเป็นมาก่อน มันก็ยอมรับ ๆ นี่มันมีสักขีพยานทั้งสอง หมุนเข้ามาทางใจนี้มันเคยมืดเคยบอดมา ไม่ได้คิดว่ามันจะสว่างเมื่อไร นี่มันก็เป็นของมันอย่างนี้ พอบำเพ็ญธรรมความดีงามเข้าไปความสว่างมันก็ออกมันก็เห็นละซิที่นี่ ค่อยเห็นเข้าไป ๆ เห็นทั้งโทษเห็นทั้งคุณ สร้างความอุตส่าห์พยายามแหวกว่ายตัวเองหนักเข้า ๆ นั่น แล้วก็พ้นที่ใจ

ทีนี้เรื่องความพ้นทุกข์ทั้งหลายไม่มีในโลก มีที่ใจ ใจที่มีกองทุกข์ก็เพราะกิเลสสร้างขึ้นมา เพราะกิเลสมีอยู่ที่ใจ เป็นผู้สร้างกองทุกข์ขึ้นมาให้สัตว์ พอกิเลสพังลงไปเท่านั้นการสร้างกองทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์ก็หมดไป ธรรมก็จ้าขึ้นมา นั่นละ ถึงว่าทุกข์ไม่มี ถ้าว่าสุขแล้วสุขเป็นเครื่องเทียบเคียงกับทุกข์ของวัฏวน ท่านก็บอกว่าเป็นบรมสุข สุขที่สุดยอดของธรรมที่ละสมมุติได้แล้ว แต่ธรรมชาตินั้นที่ท่านผู้บริสุทธิ์ทรงไว้ ธรรมชาติที่เลิศเลอที่ท่านทรงไว้นั้นมันต่างกันอีกนะ ที่ว่าบรมสุข ๆ อันนั้นยังเหนือนี้อีกพูดไม่ถูก แต่เจ้าของไม่สงสัย ท่านตั้งสมมุติไว้เพื่อรับกัน เช่น นิพพานก็เป็นสมมุติ โลกมีสมมุติก็ให้คาดเอาไว้เพื่อเป็นกรุยหมายป้ายทางและก้าวเดิน และมีกำลังใจจะเดินไปตามนั้น

เช่น บ้านนั้นมีเท่านั้นกิโล เท่านี้กิโลก็ค่อยไป นี้ได้ ๑ กิโลแล้ว ได้ ๒ กิโลแล้ว ๓ กิโลแล้วค่อยก้าวไป พอไปถึงแล้วมันก็รู้เองเข้าใจไหม อันนี้ก็เหมือนกันใครจะไปฉลาดยิ่งกว่าจอมปราชญ์คือพระพุทธเจ้า ยังไงก็ตามให้ยอมรับว่าเราตาบอดให้เชื่อคนตาดี คือจอมปราชญ์พาสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์มากต่อมากแล้ว ความโง่ของเราพาใครให้พ้นจากทุกข์มีไหม แม้แต่เราคนเดียวมันยังพาเราจมลงมันไม่ได้พาพ้นจากทุกข์ มันพาจมด้วยซ้ำ เราไปเชื่อมันได้ยังไงกิเลส มีแต่พาจมไม่ได้พาขึ้นนะ พากันจำเอานะ เอาละพอ วันนี้วันไหนก็เทศน์ทุกวัน ๆ หลวงตา ป.๓ มันไปเอาเทศน์มาจากไหนนักหนานะ เทศน์ทุกวัน ฟังทุกวันผู้ฟังก็ดี หรือผู้ฟังก็ย่นออกมา ป.๓ เหมือนกันเหรอ มันถึงฟังกันออก ผู้เทศน์เทศน์ ป.๓

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก