เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ธรรมเท่านั้นทำโลกให้มีคุณค่า
ก่อนจังหัน
มนุษย์เราดีด้วยการอบรมศึกษา ด้วยการดัดแปลงแก้ไขฝึกตัวเองนะ มนุษย์เราสูงกว่าสัตว์ ระเบียบที่มาประจำมนุษย์เรานี้เป็นระเบียบที่เหมาะสมกับมนุษย์เรา ให้พากันนำไปปฏิบัติดัดแปลงแก้ไขตัวเอง เพียงเป็นมนุษย์เฉย ๆ ทั้งหญิงทั้งชายมันก็เหมือนหมาตัวผู้ตัวเมียนั่นแหละ ไม่ได้ผิดแปลกกันอะไร ถ้ามีกฎมีระเบียบอันดีงามซึ่งนำมาจากธรรมของพระพุทธเจ้ามาแก้ไขดัดแปลงตัวเอง ก็จะเป็นเครื่องประดับตัวให้มีคุณค่ามีราคามากขึ้น ไม่ว่าเพศใด เช่นอย่างเพศหญิง เพศชาย เพศพระ เพศฆราวาส ขอให้มีธรรมไปเป็นเครื่องประดับตน ความประพฤติให้พินิจพิจารณาเสียก่อน อย่าทำไปตามความอยาก ความอยากนั้นคือเรื่องของกิเลสตัวสกปรก ผลของมันก่อความเดือดร้อนให้แก่สัตว์โลกมาเป็นประจำกี่กัปกี่กัลป์แล้ว
ให้นำธรรมเข้ามาชะล้าง ธรรมคือความถูกต้องดีงาม ประดับเข้าที่ไหนสวยงามที่นั่น นั่นจึงเรียกว่าธรรม มีธรรมเท่านั้นที่จะทำโลกให้มีคุณค่ามีราคา มีความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน ถ้าปราศจากธรรมเสียอย่างเดียวใครจะโอ้อวดว่าใครเก่งกล้าสามารถเพียงไรก็ตาม ก็มีแต่ลมปาก หัวใจจะร้อนไปด้วยอำนาจของกิเลสที่มันผลักดันอยู่ภายในนั่นแล เป็นเครื่องขยำย่ำยีหัวใจสัตว์โลก ท่านทั้งหลายที่มาศึกษาอบรม คือเอาธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นแบบเป็นฉบับ นำไปปฏิบัติตนเองให้เหมาะสมกับเพศกับวัยของตน
เพศพระก็ปฏิบัติให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยของพระ เครื่องประกันของพระคือพระวินัย ไม่ให้ล่วงเกินฝ่าฝืน หรือไม่ล่วงเกินฝ่าฝืนแม้แต่เล็กน้อย และให้ปฏิบัติตามสิ่งที่ธรรมแนะบอกว่าถูกว่าควร สิ่งใดไม่ควรให้ปัดออกทันที อย่าเสียดายสิ่งไม่ควรซึ่งธรรมตำหนินั้นคือโทษ ให้นำคุณคือสิ่งที่ธรรมบอกว่าควรนั้นเข้ามาปฏิบัติตนเอง แล้วจะสวยงาม ไม่ว่ามากว่าน้อยจะเป็นความสวยงามสม่ำเสมอ เป็นเครื่องประดับกัน ไม่เหมือนความชั่ว ความชั่วมีมากมีน้อยเลอะ ๆ เทอะ ๆ
เพียงแต่เราเอาคูถกองเดียวเหล่านี้ปาเข้าไปในศาลา คูถ เข้าใจไหมคูถกับขี้มันอันเดียวกันนั้นแหละ เอาปาเข้ามาในศาลานี่ จะมีความสงบเรียบร้อย ด้วยนั่งท่าใดก็ตามนะ จะแตกฮือเลย ดีไม่ดีกำลังพระท่านจะฉันจังหันอยู่นี่ พระนี่แตกฮือ วันนี้พระอดอาหารไม่ได้ฉันจังหัน เพราะกองคูถเข้ามาทำลาย นั้นเรียกว่าข้าศึกใหญ่ พระก็อดอาหาร คนก็แตกจากศาลา นี่คือความสกปรก ไม่มีใครยินดีด้วยกันทั้งนั้น ความชั่วกับความสกปรกนี้อันเดียวกัน ให้พากันระมัดระวัง เหมือนอย่างว่าเราระมัดระวังกองมูตรกองคูถอย่าให้มาแตะต้องทำลายตัวเราได้ จะเสียผู้เสียคน เสียพระเสียเณรไปหมด
พากันจำเอานะ ไปปฏิบัติ ให้ฝึกหัดตนเอง อย่าปล่อยเลยตามเลย ความปล่อยเลยตามเลยเป็นสิ่งที่ตัดคุณค่า หากมีอยู่บ้างคุณค่าในตัวของเราก็จะตัดออก ๆ คือถูกตัดออกตลอด และหมดคุณค่าไม่มีราคาเลย พากันตั้งใจนำไปปฏิบัติ พระเราให้รักษาธรรมวินัยให้เข้มงวดกวดขัน อย่าให้ต้องติตนเองได้แม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าบกพร่องธรรมวินัยเรียกว่าศาสดาของเราบกพร่องแล้ว ศาสดาอยู่บนหัวใจเรา คือธรรม คือวินัย ธรรมวินัยนี้แลเป็นเครื่องปกป้องเรา ได้แก่ศาสดาปกป้องเรา ใครอยู่ที่ไหนมีความหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ผู้นั้นชื่อว่ามีศาสดาประจำตน และมีเครื่องรับรองตนอยู่โดยสม่ำเสมอ อยู่โลกนี้ก็เย็น ไปโลกหน้าก็ชุ่มเย็น ให้พากันจำ
พระเณรเราก็ได้บอกแล้วเรื่องข้อวัตรปฏิบัติให้เข้มงวดกวดขัน ให้สะอาดสะอ้านทุกแง่ทุกมุม อย่าให้บกพร่องได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้บกพร่องแสดงว่าใจของเราบกพร่อง จะเสียที่เรานั้นแหละ ไม่ได้เสียที่ข้อวัตรปฏิบัติ จะทำหรือไม่ทำก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทำลงไปก็เพื่อประดับเรา แก้ไขเรา ไม่ได้ประดับสิ่งเหล่านั้นให้เป็นของดิบของดี เป็นของมีราค่ำมีราคา ขึ้นสวรรค์นิพพาน ข้ามหัวเราที่เป็นคนทั่ว ๆ ไปได้ ไม่มี เราต้องเป็นคนดี ปฏิบัติตนให้เป็นคนดี อยู่ไหนจะชุ่มเย็น
อีกประการหนึ่ง ในวัดนี้รู้สึกเพ่นพ่าน ๆ ตอนค่ำตอนเย็นเราด้อม ๆ ออกมาค่ำ ๆ คนหลั่งไหลเข้าออกในครัวนี้เหมือนโรงสำเพ็งอยู่ข้างใน ไม่ทราบว่าเข้าเมื่อไรออกเมื่อไร ยั้วเยี้ย ๆ ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ให้พึงทราบว่าวัดนี้เป็นวัดของท่านผู้มีกฎมีระเบียบรักษาความดีงามเอาไว้ เพื่อบรรดาโลกทั้งหลายที่ต้องการความดีงาม ก็จะได้มาเป็นคติเครื่องสอนใจ และชำระสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกจากตัว เพราะฉะนั้นการเข้าวัดออกวัดจึงควรจะรู้จักเวล่ำเวลา เช่น จนกระทั่งมืด วันนั้นเห็นออกเห็นเข้าอยู่นี้ ดูไม่ได้นะ เสียมาก เสียวัดอีกด้วยนะ เรานั้นแหละมาทำให้เสียวัดเสียวา ไปที่ไหนมาที่ไหนให้คำนึงถึงเวล่ำเวลา ไปแบบไม่ได้คิดได้อ่าน ไปแบบเตลิดเปิดเปิงไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์นี้เสีย แต่การมาที่ค่ำที่มืดด้วยเหตุผลจำเป็นนั้นมี ไม่เสียความสวยงาม
ให้พากันระมัดระวังให้ดี ดูแล้วมันเลอะเทอะไปมาก ๆ พูดตามความจริงก็ไม่เคยปฏิบัติมาอย่างนี้ แต่มันก็มาเกี่ยวข้องให้ปฏิบัติอยู่จนได้ ประชาชนญาติโยมไม่ทราบมาจากที่ไหนทิศใดแดนใด มาไม่ทราบว่ามีข้อบังคับกฎเกณฑ์อันดีงามอย่างไรหรือไม่ มาก็เลอะเทอะมา อยู่ก็อยู่ด้วยความเลอะเทอะ ไปก็เลอะเทอะไป สุดท้ายเลอะเทอะไปทั้งวัดทั้งวา ให้พากันระมัดระวังนะเข้ามาในวัด เข้าออกให้พากันสังเกตสังกาให้รู้เวล่ำเวลา อย่ามาแบบคิดอยากไปก็ไป อยากมาก็มา นี่มันนิสัยเลอะเทอะ เข้ามาในนี้จะทำให้เลอะเทอะไปหมดนั่นแหละ
อีกประการสำคัญก็คือการแต่งเนื้อแต่งตัว นี่เคยเตือนเสมอ บางทีเอานิ้วมือนี้ชี้หน้าเลยก็มีเพราะมันหยาบ ควรแก่การชี้หน้าคนประเภทหน้าด้านอย่างนั้น เราเคยชี้หน้าหลายรายแล้วนะ เราไปเจอเองชี้หน้าเลยทีเดียว คือสอนธรรมดามันไม่สนใจฟัง ต้องชี้หน้า จากนั้นขับไล่ไม่ให้เข้ามาในวัด วัดนี้เป็นวัดที่มีกฎมีระเบียบ ดูซิพระเณรองค์ไหนท่านมีจีวรประจำท่านครองจีวรประจำท่าน มองดูพระก็เห็นเครื่องหมายของพระ ท่านมีกฎมีระเบียบในการนุ่งการห่ม ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูซิเป็นยังไงพระเณรองค์ไหนแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นเปรตเป็นผีมาขับกันในวัด เอาดูใกล้ๆ ดูวัดป่าบ้านตาดมีองค์ไหนบ้างให้บอกมา เราจะพิจารณาทันที
นี่พระท่านก็มีกฎมีระเบียบการนุ่งการห่มทุกอย่างมีระเบียบ ประชาชนก็มีระเบียบของประชาชน ไม่ควรจะให้เลอะเทอะไปหมด กฎระเบียบประเพณีของประชาชน เมืองใด ประเทศใด เขาแต่งเนื้อแต่ตัวนุ่งห่มประการใดบ้าง เรามีหูมีตาควรจะดูขนบประเพณีแบบแผนอันดีงามของเขา แล้วนำมาใช่ต่อบ้านเมืองของตน นี้มันเลอะเทอะไปหมดนะ การแต่งเนื้อแต่งตัวดูไม่ได้นะ ไอ้ผู้หญิงนี่ละตัวสำคัญมากนะ เราไม่ตำหนิผู้หญิงคนหนึ่งคนใด เราตำหนิผู้หญิงตัวมันหน้าด้าน ตัวมันสำคัญ อยากอวดหี นั่นแหละ นุ่งวับ ๆ แวม ๆ อวดดี แล้วนุ่งกางเกงก็รัดขึ้นมาเสียจนมองเห็นหีอยู่นั่นน่ะ ริมอ่อนริมแก่ก็เห็นหมด แตดมันก็เห็นอยู่ในนั้น มันทำไมไม่เห็นอาย มันเป็นมนุษย์แท้ ๆ ไม่อายมนุษย์เขาผู้มีศีลธรรมบ้างเหรอ
ให้นำไปปฏิบัตินะ นี่ละเรื่องกิเลสมันเด็ดมา ธรรมะต้องเด็ดไป ไม่เด็ดไปไม่ทันกัน พวกนี้ยุ่มย่ามมากนะ หน้าด้านมาก ไม่ได้อายใครง่าย ๆ ธรรมะต้องใส่เปรี้ยง ๆ เข้าไป ดีไม่ดีไม่ให้เข้าในวัดนี้นะ วัดนี้มีกฎมีระเบียบอันดีงามปฏิบัติกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อย่ามาจุ้นจ้าน อย่ามาทำลาย ให้พากันจำเอาไว้นะ เลอะเทอะมากนะเมืองไทยเรา จุ้นจ้าน ๆ ไม่มีกฎมีระเบียบอะไรเลย มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อะไรมาคว้ามับ ๆ อยากอวดเนื้ออวดตัว อวดหาอะไรมันเหมือนหมาตัวหนึ่ง แล้วหมาจะไปอวดที่ไหน มันน่าดูไหมล่ะ คนอวดตัวเก่งเอาหมาเข้ามาเป็นแบบ แล้วเอาหมานี้ไปอวดโลกมนุษย์ด้วยกันดูไม่ได้นะ พากันจำให้ดี เอาละต่อไปนี้จะให้พร
หลังจังหัน
โรงเรียนอุดรเหรอมาวันนี้ (โรงเรียนอุดรพิทยานุกูลครับ) ทุกวันนี้เด็กที่จะเข้าโรงเรียนตามกฎเกณฑ์ธรรมดานี้อายุกี่ขวบ ( ๔ ขวบอนุบาลหนึ่งเจ้าค่ะ) สมัยเรามันอายุ ๑๐ ขวบเขาถึงจะรับนะ ถ้าไม่ถึง ๑๐ ขวบเขาไม่รับ (วันนี้นักเรียนมา ๑๐๘ คนผู้ชาย ๗๒ ผู้หญิง ๓๖ ครับ) พอพูดถึงเรื่องเรียนหนังสือ เรายังระลึกถึงพี่ชายเราบักห่านั่น บักคำไพ.พี่ชายเราไปเข้าโรงเรียน เพราะอายุมันเข้าเกณฑ์เรียนแล้ว ไปวันแรกเราก็ติดตามไปดู คือเวลาจะขึ้นห้องเรียนครูเขาจะเรียกนักเรียน มีกฎอย่างงั้น นักเรียนมายืนเป็นแถวเลย นับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า จนกระทั่งสิบ แล้วก็ขึ้นนักเรียนหัวหน้าแถวนี้หนึ่ง คนที่สองก็สองไป คนที่สามก็สามไปเรื่อย สี่ ห้า หก เจ็ด แปด ไปเรื่อยอย่างนี้ เราก็ไปยืนคอยดูอยู่
ครูให้นักเรียนเข้าแถว นี่เป็นประจำ พอดีวันนั้นเป็นวันแรกที่พี่ชายเราไปเข้าโรงเรียน เราก็ติดตามไปดู พอไปถึงเวลาเขาเรียกมาเข้าแถว แล้วก็นับ คนที่หนึ่งก็หนึ่ง คนที่สองก็สอง คนที่สามสาม คนที่สี่สี่ ห้า หก เจ็ด แปด ไปเรื่อย ไปถึงพี่ชายเราเป็นคนที่สิบเอ็ด พอสิบแล้ว ไปถึงพี่ชายเราเป็นคนที่สิบเอ็ดแทนที่จะว่านะมันยืนงงอยู่ เราก็สิบเอ็ดซิ เราก็ว่างั้น เราไม่ลืมนะ สิบเอ็ดซิ มันถึงว่าสิบเอ็ด โอ๊ย บักห่ากินหัวมึง โมโห ตั้งแต่เราเป็นน้องยังรู้ หนึ่ง สอง สามมันก็บอกไปในตัวแล้ว พอไปถึงมันสิบเอ็ดมันยืนอ้าปาก สิบเอ็ดซิ สิบเอ็ด โอ๋ย บักห่าเอ๊ย บักนี้มันขายหน้าเรา นี่อันหนึ่งนะ
อันที่สองพี่ชายเรา ทีนี้เรียนหนังสือมันสู้เราไม่ได้ เราขึ้นประถมหนึ่งมันยังไม่ขึ้นเลย โรงเรียนก็เอาศาลาวัดนั่นแหละเป็นโรงเรียน มันเป็นชั้นๆ เป็นหมวดเป็นหมู่ อยู่เป็นคณะ ครูเขาก็ถาม นี่ละอันหนึ่งนะ เราก็โมโห มันจึงไม่ลืมนะ ตอนนั้นเราขึ้นประถมแล้วแหละ ไอ้นั้นมันยังไม่ขึ้น บักห่านั่นมันยังบ่ขึ้นเลย ทีนี้ครูเขาก็ถาม คือเขาเคยถามเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่อยให้นักเรียนตอบ ฝึกซ้อมความเข้าใจความฉลาดของนักเรียน วันนั้นเขาถามไปถึงค้างคาว เราก็อยู่ทางนี้ มันก็อยู่ทางนั้น ถามคำไหนตอบคำไหนมันก็ได้ยินกันหมด เขาถามค้างคาว ทางภาคอีสานเขาเรียกเจีย ภาษาทางภาคกลางเขาเรียกค้างคาว เป็นภาษากลาง คือออกทั่วประเทศแล้วแต่ใครจะเรียกว่ายังไง แต่ทางภาคอีสานเรียกว่าเจีย
พอเขาถามมาถึงค้างคาว ค้างคาวแปลว่าอะไร ก็มาถูกบักห่าบักโง่ๆ นี่ เอ้อ โมโหนะเรา มาโดนพี่ชายเราพอดี ครูเขาถามขึ้น คือเวลาจะตอบนักเรียนนั่งอยู่นั้น เวลาจะตอบต้องยืนขึ้นตอบ พอถามใครคนนั้นยืนปุ๊บขึ้นตอบ มาถามว่าค้างคาวแปลว่าอะไร คำไพ ชื่อมันชื่อคำไพ ยืนขึ้นมองนู้นมองนี้ ยิ้มนั้นยิ้มนี้ พวกอยู่ข้างๆ เขา นั่งอยู่ข้างๆ กันก็กระซิบกระซาบบอก ครูนั่งอยู่โต๊ะ พวกนักเรียนคลอเคลียกันอยู่ พอเขาถามค้างคาวแปลว่าอะไรนายคำไพ คนนั้นก็บอก ค้างคาวแปลว่าเจีย ว่างั้นนะ คนนั้นบอกแปลว่าเจีย ทางนี้พอได้ความแล้ว เขาย้ำอีกนะค้างคาวแปลว่าอะไร แปลว่าเจีย ว่างั้นนะ ทีนี้เขาย้ำอีกเจียแปลว่าอะไรอีก มันไปติดอันนี้อีกบักห่านี่ โมโหนะเรา
พอเขาถามเจียแปลว่าอะไร ไอ้พวกนี้แหละพวกอยู่ข้าง ๆ มันบอกเจียแปลว่า ดังวีก จมูกวิ่น เจียแปลว่าจมูกวิ่น ลักษณะมันจมูกวิ่น เจีย แปลว่าอะไร แปลว่าดังวีก ดังก็คือจมูก ดังวีกก็คือจมูกมันวิ่น พวกนี้เขาก็บอก เจียแปลว่าอะไร คือค้างคาวแปลว่าอะไร แปลว่าเจีย เขาก็ถามกลับเท่านั้นเอง แล้วเจียแปลว่าอะไร อันนี้ติดแล้ว เราเข้าใจแล้ว คนนี้เขาก็บอกแปลว่าดังวีก เขากระซิบบอกแปลว่าดังวีก ไอ้นี่ก็ตอบ เจียแปลว่าดังวีก โอ๊ย บักห่าเอ๊ย เราโมโห โอ๊ย มึงทำไมโง่ตาย พวกนักเรียนเขาหัว(เราะ) แตกฮือ ๆ ครูอดไม่ได้ก็หัวเราะ ค้างคาวแปลว่า เจีย เจียแปลไม่ได้ ต้องเขาบอกอีก แปลว่าดังวีก โธ่ มึงทำไมโง่หลายบักห่านี่ เราไม่ลืมนะ
นี่ละสองจุดนี้พี่ชายเราไปเข้าโรงเรียน เวลาไปเข้าโรงเรียนแล้วเรียนหนังสือสู้เราไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราถึงขึ้นชั้นหนึ่ง มันยังไม่ขึ้น เราขึ้นมันก็ยังไม่ขึ้น พูดถึงเรื่องนักเรียน ค้างคาวแปลว่าอะไรไอ้พวกนี้น่ะ แปลว่านายคำไพตัวเซ่อเหรอ เราเลยไม่ลืมนะ เรียนหนังสือ พวกนักเรียนที่มันเลว ๆ มันก็มี แต่มีไม่กี่ราย ครูต้องคอยกำชับกำชา นักเรียนเกเรมี ให้จำเอานะลูกหลาน แต่ก่อนนักเรียนไม่มากแหละ ไม่มีนักเรียนมาก แต่ก็มีนักเรียนเกเรอยู่จนได้นั่นละ เราอย่าให้เป็นอย่างงั้นนะ เป็นนักเรียนเกเรใช้ไม่ได้
คือเราเข้าไปนั้นเข้าไปฝึกฝนอบรม ความเกเรมันมีอยู่มากน้อยด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เวลาเข้าไปอบรมแล้วได้ของดีเข้าไป ก็ขับซักฟอกความเกเร ความไม่ดีของเจ้าของออกไป เอาความดีจากครูจากอาจารย์เข้าไปบรรจุแทน ของไม่ดีก็ปล่อยไป อย่าเสียดายมัน เรียนหนังสือก็ต้องเป็นอย่างงั้น เรียนหนังสือด้วย ฝึกหัดการประพฤติตัวด้วยทุกอย่าง จึงเรียกว่าเข้าไปเรียน ครูจะสอนทุกแบบทุกฉบับนั้นแหละตามฐานะของนักเรียน สอนเป็นลำดับลำดา แต่ก่อนมีเพียงชั้น ป.๓ ตั้งแต่เราเรียน ป.๓ เริ่มต้นเป็น ป.๓ ขึ้นเลย เราเรียนจบแค่ ป.๓ แล้วก็ออก สอบประถมหนึ่งเราได้ที่สอง สอบประถมสองเราได้ที่หนึ่ง สอบประถมสามเราได้ที่หนึ่ง จากนั้นก็ออกเลย เราไม่ลืมนะ
หัวเราไม่ค่อยดี ความจำไม่ค่อยดี อยู่กับเพื่อนกับฝูงไปเรียนหนังสือ เวลาบวชเป็นพระก็เหมือนกัน ความจำเรานี้จะอยู่ในเกณฑ์ ๕๐% ละมั้ง แต่มันอาศัยความขยัน ความขยันหมั่นเพียร เรื่องขยันนี้ตอนบวชเป็นพระเป็นผู้ใหญ่แล้วขยัน แต่เป็นเด็กบ้างมันก็ขยันบ้างขี้เกียจบ้างเป็นธรรมดา เพราะประสาเด็ก แต่เวลาไปเรียนไปสอบมันก็ได้อย่างว่าแหละ ได้ที่สองแล้วก็ได้ที่หนึ่ง จากนั้นก็หยุด ครูที่ไม่ค่อยดีก็มี อย่าว่าแต่นักเรียนไม่ดีนะ ครูไม่ค่อยดีก็มี นักเล่น จะเป็นครูเสียหายจริงๆ ไม่ใช่นะ หากเป็นครูนักเล่นที่นักเรียนไม่เลื่อมใส ไม่ค่อยเคารพ
ฟังแต่ว่าครูชอบเล่น ถ้าเข้าไปในบ้านชอบเล่นกับหญิงกับสาว ไม่ค่อยมีหลักมีเกณฑ์พอเป็นคติตัวอย่างน่าเคารพนับถือ ครูจึงต้องเป็นแบบพิมพ์ที่ดี เป็นครูมาสอนนักเรียนก็ดี เข้าไปอยู่ในหมู่บ้านแล้วก็ต้องเป็นครู เป็นคนที่ดีอยู่เสมอ เด็กเล็กเด็กน้อยเห็นเคารพนับถือ เป็นอย่างงั้นแหละ ถ้าโกโรโกโสเที่ยวกินเหล้าบ้างอะไรบ้าง แล้วรำฟ้อนแอ่นอยู่ตามถนน เด็กไปเห็นหมดความเลื่อมใสนะ เราเห็นแล้วเห็นครูเป็น เพราะฉะนั้นเราถึงนำมาพูดได้โดยถูกต้อง ไปเมาเหล้าเมาอะไรแอ่นอยู่ในวงชุมนุมชน เป็นครูแท้ ๆ แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าจะตำหนิอย่างงั้นอย่างงี้แหละ แต่ก็มีนิดหน่อยเท่านั้นเอง เอ๊ะ ครูทำไมถึงมาเมาเหล้าให้คนผู้ใหญ่ทั้งหลายดูอย่างนี้นะ เท่านั้นแหละ จะคิดยกโทษก็ไม่ใช่ หากมีอย่างงั้น เราก็ไม่ลืม
นี่ละผู้ใหญ่จึงต้องเป็นแบบพิมพ์ที่ดีจึงถูก อยู่ในบ้านก็เป็น ออกนอกบ้านก็เป็น เป็นครูประจำตัว แล้วสอนตัวเองก็สอน ก่อนที่จะไปสอนคนอื่นต้องสอนตนเองก่อน แล้วไปสอนคนอื่นดังพระพุทธเจ้า อย่างศาสนาพระพุทธเจ้าก็สอนตนเองเรียบร้อยแล้ว สอนโลก สาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน ฝึกทรมานตนเอง แล้วก็ฝึกฝนอบรมโลกทั่วๆ ไป ครูต้องเป็นผู้ผ่านเหตุการณ์ดีชั่วมาก่อน แก้ไขดัดแปลงตนเองมาก่อนแล้วค่อยมาเป็นอาจารย์สอนคน ทีนี้ครูก็มีความรู้แล้ว ภาคปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีครูก็ต้องเป็นแบบพิมพ์อันหนึ่งเหมือนกัน ทีนี้นักเรียนไปเห็นครูคนไหนดีนักเรียนก็เคารพเลื่อมใส เพราะนักเรียนก็คน ก็เป็นแบบฉบับอันดีงามไปเรื่อย ๆ
นี่พวกลูกพวกหลานไปเรียนหนังสือแล้วให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียน อย่ามีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ดีนะ เวลาที่จะฝึกตนเองให้ฝึก อยากทำก็ไม่ทำถ้าสิ่งไม่ดี เป็นที่ตำหนิติเตียนของผู้อื่นแล้วอย่าทำ ฝึกเอา เมื่อเราไม่พามันทำ มันจะอยากขนาดไหนก็ทำไม่ได้ เพราะเราเป็นหัวหน้า สติปัญญาควบคุมกิริยาความอยากของเรา ความอยากเป็นฝ่ายต่ำ สติปัญญากลั่นกรองผิด ถูก ชั่ว ดี เป็นเจ้าของ แล้วให้ฝึก อะไรไม่ควรแล้วอยากทำก็ไม่ทำ อยากไปก็ไม่ไป นี่ละเรียกว่าการฝึกตน ต่อไปมันก็เชื่อฟังเจ้าของ คือสติปัญญาที่เป็นหัวคิดนำหน้า แล้วก็ค่อยเดินตามหัวคิดปัญญาไปเรื่อย คนนั้นก็ดีไปเรื่อย ๆ
ถ้าคนไหนทำตามความอยาก อยากทำก็ทำ อยากอะไรก็ทำแล้วมันเคยตัว มันก็ไหลลื่นลงทางต่ำไปเลย ทีนี้เวลาโตขึ้นมาจะสอนให้เป็นคนดี สอนยากนะ ดีไม่ดีไม่ยอมฟังเสียงใครเลย เป็นคนหัวดื้อหัวด้านไปเลย ไม่ดี ให้พากันฝึกอบรมตน ทุกอย่างถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมไม่ดีนะ ต้องได้รับการฝึกฝนอบรม อย่างมาอยู่ในวัดเต็มอยู่นี้ก็เพื่อฝึกฝนอบรมตน เมื่อได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์แล้วก็นำไปปฏิบัติต่อตนเอง แล้วก็ค่อยดีวันดีคืนขึ้นไปเรื่อย ๆ การฝึกฝนอบรมจึงเป็นของดี คนไม่สนใจกับการศึกษาอบรมนี่คือเศษคน ไม่มีค่าอะไร เรียกว่าเศษมนุษย์ ไม่ดี เศษหญิง เศษชาย ไม่ดี ถ้าเป็นนักเรียนก็ไม่สนใจต่อการศึกษาเล่าเรียนที่เป็นสาระ แต่สนใจตามความคึกความคะนองของตัวเองทั้งหญิงทั้งชาย อันนี้ก็เป็นเศษเด็ก เศษหญิง เศษชายในโรงเรียน ไม่ดี
อย่าให้เป็นเศษนะ เป็นเศษเป็นเดนหมดค่าหมดราคา ถูกเขาทิ้งไปแล้วเรียกว่าของเศษของเดน เราเป็นมนุษย์ทั้งคนทั้งหญิงทั้งชาย ไม่ใช่มนุษย์เศษเดน อย่าทำตัวให้เป็นคนเศษเดน หญิงชายเศษเดน นักเรียนเศษเดน ใช้ไม่ได้นะ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวเอง เป็นนักเรียนก็ต้องเป็นอย่างงั้น โตขึ้นมาก็ฝึกฝนอบรมตัวเองให้เป็นคนดี สิ่งใดจะเป็นความชั่วอย่าพากันทำ เช่นอย่างพวกยาเสพย์ติดนี่ร้ายแรงมาก โอ้เสียหมดเลยคน นี่ยังดีนะนี่ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมานี้ไอ้พวกยาเสพย์ติดเสพแตดมีมากมีน้อยมันมีมาดั้งเดิมนั้นแหละ มันไม่ได้ออกหน้าออกตาอย่างปัจจุบันที่ถูกปราบอยู่เวลานี้ นี่ก็ดี ตั้งรัฐบาลก็กี่ชุดกี่สมัย จะว่าเราตำหนิเราก็ไม่ได้ตำหนิ คือไม่เห็นเราก็บอกไม่เห็น ไอ้สิ่งชั่วช้าอย่างนี้ก็ไม่หนาแน่นนักแต่ก่อน แล้วมันก็หนาแน่นขึ้นมาไม่กี่รัฐบาลนี้แหละ แต่ก็ไม่ปรากฏรัฐบาลใดแก้ไขดัดแปลงเพื่อความดีขึ้น ๆ ดีไม่ดีอาจจะเสริมเขาอยู่ทางลับ ๆ ก็ได้
พวกยาเสพย์ติดก่อนที่จะไปซื้อไปขายได้อย่างคล่องตัวของมัน มันอาจจะเอาเงินไปยื่นให้นายเสียก่อนก็ได้ ทีนี้ก็ทำไปเรื่อย ๆ ละ แล้วก็บานปลาย คนทั้งหลายทั่วประเทศก็เสียไป ๆ เงินก็ไปป้อนเจ้าป้อนนาย ป้อนนายก็ในเครือของรัฐบาล เครือราชการ แล้วก็ไปเป็นใจกับเขาน่ะซิ เราได้เงินมาเขาเสียไปเท่าไรไม่คำนึง คนเสียทั้งประเทศไม่คำนึง เราได้เงินเพียงเท่านั้นก็พอใจ ทีนี้มันก็บานปลาย ๆ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เมืองไทยเราจะจมกันทั้งประเทศนะ เมื่อยาเสพย์ติดเป็นพิษ ถึงคนเป็นบ้าเป็นบอ หมดราค่ำราคา กำลังระบาดเข้ามาๆ จนจะทั่วประเทศไทยแล้ว ไม่ได้เลือกหน้านะตั้งแต่เด็กขึ้นไปหาผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ขนาดไหนมันก็มีอันนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำลายชาติของตัวเองไปโดยลำดับลำดา จนจะไม่มีชาติที่เป็นสาระเหลืออยู่เลย จะเหลืออยู่แต่เศษเดนของชาติ เศษเดนของคนไทยเรา
นี่ก็พอดีได้นายกคนใหม่ขึ้นมา เรียกว่านายกเป็นผู้นำ นายกแปลว่าผู้นำ นำในทางที่ถูกที่ดี ทีนี้มาดูแล้ว นำก็นำชาติ เวลานี้ชาติเป็นยังไง ชาติกำลังงอมแงม หมดค่าหมดราคากันทั้งประเทศ กำลังเริ่มมากขึ้นๆ อะไรทำให้งอมแงมผู้นำต้องคิดซี อะไรทำให้งอมแงมจะให้หมดราค่ำราคา ยาเสพย์ติด ยาบ้า อันนี้ตัวเป็นพิษเป็นภัย ก็ต้องเอาต้นเหตุมันละซี เพราะฉะนั้นที่ว่าปราบยาบ้า คือปราบตัวพิษนั่นเอง เวลานี้ก็ค่อยสงบไป คนไทยเราค่อยฟื้นขึ้นมาๆ พิจารณาซิ นี่ละนายกท่านทำด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม เราพิจารณากลางๆ คนมีค่าราคาขนาดไหน สิ่งเหล่านี้เป็นความเสียหายมากมาย เรียกว่ามหาภัย ท่านจัดการพิจารณาแก้ไขชะล้างสิ่งเหล่านี้ นี้เป็นความถูกต้องแล้วสำหรับคนไทยเราทั้งประเทศ
ประเทศไหนก็ตามถ้าพวกนี้ได้เข้าแล้วหมดทั้งนั้นแหละ ประเทศไทยเราก็เหมือนกัน จวนจะหมดแล้วนะ เริ่ม แล้วเวลานี้กำลังฟื้นตัวขึ้นมามากมาย นี่ละคำว่าผู้นำเป็นอย่างนี้ละ นำตัวเอง นำคนอื่น ยิ่งเป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นผู้นำอันกว้างขวาง บ้านเมืองของเราก็ค่อยชุ่มเย็นพอลืมหูลืมตาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะหมดจริงๆ ประเทศไทยทั้งประเทศจะไม่มีเหลือ มีแต่พวกขี้ยา หมดราค่ำราคา เป็นสัตว์ สัตว์ก็ไม่ทำลายกัน แต่มนุษย์ขี้ยา มนุษย์ยาบ้านี้ทำลายหมด ไปที่ไหนเพื่อทำลายทั้งนั้นๆ ไม่เพื่อการส่งเสริม ก็คือพวกกินยาเสพย์ติดมึนเมา ติดงอมแงมแล้วไม่หวังประโยชน์ต่อผู้ใดนอกจากประโยชน์แก่เจ้าของอย่างเดียว แล้วก็ทำลายผู้อื่น สุดท้ายก็ฉิบหายกันทั้งประเทศเพราะยาเสพย์ติด นี่ที่ท่านปราบยาเสพย์ติดถูกต้นเหตุแล้วนี่ ต้นเหตุที่จะทำลายคนทั้งชาติ พิจารณาซิ
นี่ละเรื่องความเป็นธรรม ถ้าพูดถึงเรื่องกฎหมาย ธรรมละเอียดกว่ากฎหมายนะ กฎหมายก็ออกมาจากธรรมไม่ได้เอามาจากไหนนะ กฎหมายบ้านเมืองนี้ออกมาจากธรรม คือความยุติธรรม ความถูกต้องดีงาม เอามาจากธรรม กฎหมายเมื่อออกมาแล้วจึงต้องหยาบกว่าธรรม ธรรมละเอียดกว่านั้น กฎหมายไม่มีธรรมมี กฎหมายไม่รู้ธรรมรู้ เพราะฉะนั้นธรรมจึงสอนโลกได้ อย่างที่เรานำมาพูดเวลานี้ เราก็ไม่ใช่นักกฎหมายบ้านเมือง ไปไหนเราก็ไม่ได้แบกพระไตรปิฎกไป เราก็หยิบเอาตามที่ศึกษาเล่าเรียนมา ทั้งภาคปริยัติศึกษาเล่าเรียนตามตำรับตำราคัมภีร์ต่างๆ ทั้งภาคปฏิบัติตามทางของศาสดาโดยแท้ คือภาคปฏิบัติ ความจริงจะเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ เพราะหลักธรรมชาติที่จะให้รู้ให้เห็นทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว มันเป็นหลักธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น ฝ่ายที่เป็นพิษเป็นภัยเป็นคุณเป็นประโยชน์ เป็นธรรมชาติทั้งนั้น ทีนี้เวลาเรียน เรียนตามหลักธรรมชาติ อันไหนไม่ดี ตามธรรมชาติของมันเป็นยังไง มันไม่ดีอย่างนั้น เราถอยตัวอย่างนี้ แก้ไขอย่างนี้ อันนี้ดีอย่างนี้ พยายามบำรุงรักษาอย่างนี้ เรียกว่าธรรม
อย่างท่านปฏิบัติอย่างนี้ ชำระสะสางอบรมจิตใจให้ดี ก็คือว่ามีภัยอยู่ในใจเรียกว่ากิเลส กิเลสเป็นตัวภัยฝังอยู่ในใจ ธรรมะก็เกิดที่ใจอยู่ที่ใจ แล้วนำธรรมะนั้นซึ่งเป็นเหมือนน้ำดับไฟเข้ามาชะล้างสิ่งสกปรกนี้ออกไป ก็กลายเป็นคนมีคุณค่าขึ้นมา เป็นพระก็เป็นพระมีคุณค่าสง่างาม ดังศาสดาองค์เอกของเราเป็นอันดับหนึ่ง นั่นละน้ำดับไฟดูเอาซิ เป็นน้ำดับไฟ และน้ำชะล้างสิ่งของสกปรกทั้งหลายให้สะอาดสะอ้าน ดับไฟก็ไฟสงบไปเลย นี่เรียกว่าธรรม ต้องมีการฝึกการอบรมการชะการล้าง จะปล่อยให้ดีเฉยๆ ดีไม่ได้นะ ให้พากันฝึกฝนอบรม
เรื่องธรรมนั้นเลิศเลอแล้ว มันเลวตั้งแต่พวกกิเลสอยู่ในหัวใจสัตว์โลก สัตว์โลกนี้เลว ธรรมนั้นเลิศ อยู่กับผู้ใดเลิศเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า พระสาวก เลิศเลอไปเลย นั่นต่างกัน แล้วก็มากระจายสอนโลกให้พอเป็นตนเป็นตัวเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นผู้เป็นคนบ้าง ไม่ให้มันเลวไปหมด
อย่างหลวงตาที่พูดถึงเรื่อง ป.๓ กับว่าให้พี่ชาย ๑๑ กับเจียดังวีก นั่นก็หลวงตาฝึกฝนอบรมมาอย่างนี้เหมือนกัน เรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ สำหรับชีวิตเป็นฆราวาส เราไม่ได้มีอะไรเป็นแบบเป็นฉบับ ก็ทำตามประสีประสาเหมือนโลกทั่วๆ ไป เป็นแต่เพียงว่านิสัยเราไม่เป็นคนใฝ่ต่ำเท่านั้น แม้แต่เพื่อนฝูงที่เข้ามาคบค้าสมาคม ถ้าเป็นคนเหลาะๆ แหละๆ แล้วยิ่งตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัวด้วยแล้วเราไม่คบนะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสมันก็เป็นเองในใจ ถ้าผู้ใดมีความจริงใจ หน้าที่การงานเป็นชิ้นเป็นอัน คบๆ อย่างนั้นมันก็เป็นอยู่ลึกๆ แต่ไม่ได้มีอะไรที่ว่าเป็นเด่นเป็นดวงอะไรแหละ เป็นตามนิสัยของฆราวาส ก็ธรรมดาเหมือนท่านๆ เราๆ ใครๆ ก็เลือกเหมือนกัน
เพื่อนฝูงไม่เลือกได้หรือ กัลยาณมิตตตา ปาปมิตร มิตรที่เลวอย่าไปคบค้าสมาคม กัลยาณมิตร ให้คบมิตรที่ดีเป็นคติตัวอย่าง พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ แล้วใครๆ ก็มีการคบการคัดการเลือกกันเป็นหลักธรรมชาติเหมือนกันหมด นอกจากไม่นำมาพูดเฉยๆ เราก็เหมือนกันกับโลกทั่วๆ ไปนั่นแหละ เวลาออกมาบวชนี้จึงเรียกว่าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริงๆ เอาจริงเอาจังด้วย ตั้งหน้ามาบวชนี่ สิกขาบทวินัยไม่ข้ามเลยเทียว เหมือนว่าขีดเส้นตายไว้เลย พระวินัยข้อไหนก็ตามถ้าลงได้เห็นแล้วจะฝืนไม่ได้ เป็นอย่างนั้นตลอดมา เมื่อเป็นอย่างนั้นที่พระพุทธเจ้าว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแล เป็นศาสดาของเธอทั้งหลายเมื่อเราตายไปแล้ว เราก็มีศาสดาประจำตนอยู่อย่างนั้นจะว่าไง
ยิ่งไปอยู่ในป่าในเขาที่ศาสดาประจำตนยิ่งเห็นชัด เราไปภาวนา พูดถึงเรื่องศีลของเราก็ไม่มีอะไรด่างพร้อยแล้ว เรื่องธรรมเรายิ่งอบรมให้มีความอบอุ่นเย็นใจ มันก็ปรากฏที่ใจของเรา เย็น ไปอยู่ในป่าลึกๆ เสือครางกระหึ่มๆ รอบๆ มันอยู่ในนี้นะไม่ได้ไปอยู่กับเสือ เป็นกับตายอยู่นี้ พึ่งธรรมๆ เช่น พุทโธก็พุทโธติดกับตัวเลย ทีนี้เรื่องความกลัวทั้งหลาย แต่ก่อนมันกลัว แต่บังคับจิตให้อยู่กับพุทโธ สำหรับเราเป็นนิสัยชอบพุทโธมาดั้งเดิม ไม่ให้ออก ไม่ให้คิดออก ให้อยู่กับพุทโธ เป็นกับตายอยู่กับพุทโธๆ ทีนี้เวลาพุทโธหนาแน่นเข้าๆ เลยสร้างความแน่นหนามั่นคงขึ้นที่ใจ กลายเป็นความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมา คิดออกไปหาเสือหาช้างหาพิษหาภัยอะไรไม่กลัวเลย นี่ก็เรียกว่าศาสดาอยู่กับใจใช่ไหมล่ะ มันเห็นชัดๆ
ทีนี้กล้าหาญชาญชัย สถานที่ใดเป็นที่กลัวมากๆ ไปที่นั่นแหละ คือไปดัด ถ้ามันกลัวมากๆ มันก็หันหาพุทโธมากๆ ซิ อยู่กับพุทโธติด แล้วมันก็สร้างความแน่นหนามั่นคงหรืออบอุ่นตลอดจนความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมา เห็นประจักษ์สำหรับผู้ปฏิบัตินะ เรานี้มันทุกอย่างนั่นแหละ คนนิสัยอันนี้น่ะ การฝึกหัดการทดลองเจ้าของ หรือเทคนิคอุบายต่างๆ ในการแก้ไขตัวเองนี้มันหากเกิดขึ้นแต่ละบุคคลๆ นี่เราก็ฝึก ที่ไหนที่กลัวมากๆ คือที่กลัวมากๆ ความระวังตัวมาก พุทโธก็ยิ่งติดกับหัวใจเลยไม่ออก หรือธรรมะขั้นใดก็ติดกับหัวใจไม่ออกข้างนอก มันก็เห็นผลประจักษ์ ๆ นี่การฝึกทรมาน
พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ในธชัคคสูตรก็เหมือนกัน อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเรว ภิกฺขโว อยู่ในป่าในเขาให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าระลึกถึงพระพุทธเจ้าไม่สงบให้ระลึกพระธรรม ระลึกพระธรรมไม่สงบให้ระลึกถึงพระสงฆ์ สามรัตนะนี้รัตนะใดรัตนะหนึ่งที่เหมาะกับจริตของตน รัตนะนั้นแลจะเป็นที่พึ่ง จิตใจที่เคยว้าวุ่นขุ่นมัวกลัวนั้นกลัวนี้จะสงบลง ท่านบอกไว้ในธชัคคสูตร ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาเราไปอยู่ในป่าในเขาจริงๆ มองไปที่ไหนมันมีแต่สัตว์ร้ายตั้งแต่ก่อน ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้นะ ป่าเป็นป่าสัตว์ ป่าเนื้อป่าเสือป่าช้างเต็มไปหมด ดงเหล่านี้เต็มไปหมด เราไปอยู่กับธรรม หมุนจิตเข้าสู่ธรรม ไม่ให้ออก ทีนี้ไม่ให้ออกมันก็เห็นผลประจักษ์
เพราะฉะนั้นเวลาจิตมันรู้สึกจะมีขี้เกียจขี้คร้านหรือความเพียรมันอ่อนลงๆ หาที่แล้วนะ เปลี่ยนใหม่ ขยับเข้าหาที่กลัวๆ พอหาที่กลัวแล้วความขี้เกียจมันหายหน้าไป มันกลัวตายมันก็ต้องขยันใช่ไหม ขยันภาวนาละซี แล้วได้ผลขึ้นมา เปลี่ยนเรื่อยแหละเรา นิสัยมันเป็นอย่างนั้น คือดูเจ้าของ ถ้าที่ไหนมันลักษณะเฉื่อยชา อ้าว ไม่เป็นท่าแล้วนะ ภาวนาจะไม่ดีแล้ว คิดแล้ว มันกลัวที่ไหนปั๊บเข้าหาที่นั่น ทีนี้ตั้งท่าใหม่ กล้าหาญขึ้นมา ความเพียรดีขึ้น ได้ผลๆ ขยับเรื่อยอย่างนี้ นี่การฝึกทรมานตนเองทำอย่างนั้น นี้เราเคยทำมาแล้วไม่ใช่มาโม้เฉยๆ เราทำมาแล้ว
อย่างที่ว่ามันกลัวมากๆ นี้เดินบุกเข้าไปเลย ที่ไหนมันกลัวมากๆ มันวาดภาพหลอกตัวเองนะ ยิ่งกลัวเท่าไรแล้วยิ่งคิดส่ายแส่ไปข้างนอก มันวาดภาพเสือหมอบอยู่สองข้างทางจงกรม เสือไม่มีแหละไอ้สังขารตัวนี้มันหลอก เสือนี้หมอบเป็นแถวคอยกินพระขี้ขลาดคนเดียวนี้แหละ ดัดกันละซิ เอ้ากำหนด คือเสือมันปรุงขึ้นมาเอง ทีนี้กำหนดว่าตัวไหนใหญ่กว่าเพื่อน มันก็บอกตัวนั้นใหญ่ บุกเข้าไปหาตัวนี้ ตัวไหนใหญ่อีก บุกเข้าไปตรงไหนหายเงียบๆ มันไม่มีเสือมันหลอกเจ้าของ เหอ มึงเอากูอย่างนี้เหรอ ได้ซัดกันเรื่อย สุดท้ายก็เดินเตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเลยเทียว เอ้า เป็นยังไงถึงไหนถึงกัน ถ้าจิตไม่กล้าหาญเสียก่อนจะไม่กลับที่นี่ เอากันให้ถึงพริกถึงขิง ใครจะว่าบ้าว่าบอ ทะลุออกที่ไหนก็ตามเราจะฝึก ใครจะว่าเราเป็นบ้า เราไม่เป็นบ้า เราฆ่ากิเลสต่างหาก ไปที่ไหนมันกล้าหาญชาญชัย แล้วก็คืนมา มันได้เห็นผล
จึงได้ฝึกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ การฝึกเจ้าของ เพราะกิเลสมันร้อยสันพันคม ร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยม ธรรมะไม่หลายสันพันคมไม่ได้ ต้องร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมให้ทันกัน กิเลสเบาธรรมะเบา กิเลสหนักธรรมะเบาไม่ได้ ต้องเอาให้หนัก แก้กันตกๆ อย่างเทศน์เมื่อเช้านี้เห็นไหมล่ะ นี่ละพวกมันหยาบโลนมันหยาบอย่างนี้จะว่าไง มันหยาบเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วไม่เห็นสะดุดตาสะดุดใจบ้างเลย ธรรมะสะดุดตลอดเวลา ท่านไม่พูดธรรมะ ถึงกาลจะออกก็ออกบ้างดังที่ฟังพูดเมื่อเช้านี้เป็นยังไง นี่ละเป็นอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่ามารู้เดี๋ยวนี้นะ รู้มาตั้งแต่เมื่อไร มันสะดุดตาสะดุดใจอุจาดบาดตาขนาดไหน เจ้าของเองเป็นผู้ทำไม่ดูไม่สนใจ ยังลืมเนื้อลืมตัวตลอดเวลา ผู้ดีทั้งหลายดูมันดูไม่ได้ คนมีสมบัติผู้ดีดูคนประเภทนั้นดูไม่ได้ อย่าว่าแต่ธรรมหรือท่านผู้ดีถึงขั้นดีเลิศนั้นดูเลย แม้แต่คนสามัญธรรมดาซึ่งเป็นผู้มีสมบัติผู้ดีก็ดูกันไม่ได้ แล้วทำไมเราถึงไปกล้าหาญชาญชัยไปทำอย่างนั้น แบบอุจาดบาดตา อวดเนื้ออวดหนัง อวดของสกปรก สิ่งเหล่านี้ปกปิดมันไว้เท่านั้น ไม่งั้นมันหยาบมันโลนมันดูไม่ได้ มันคือส้วมคือถานเต็มอยู่ในตัวของเราด้วยกันทุกคน ต้องปกปิดเอาไว้ แล้วยังอวดเก่งมาเปิดให้โลกเขาดู มันดูไม่ได้ก็ซัดกันเสียเปรี้ยงละซี นั่นเห็นไหม มันกล้าออกมาอย่างนั้น ทางนี้ก็กล้ารับกันละซี เข้าใจไหม
แล้วอะไรหยาบกว่ากันที่นี่ ตัวมันเป็นที่ทำโลกให้ฉิบหาย ทำโลกให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว หมดราค่ำราคา คือตัวที่มันแสดงนั่นเอง ธรรมะชำระล้างเข้าไปเสียหายที่ตรงไหนพิจารณาซิ ทำไมถึงจะว่าธรรมะเสียหาย ตัวนั้นตัวเสียหาย ธรรมะเป็นน้ำชะล้างสิ่งสกปรกเสียหายที่ตรงไหน นั่นละธรรม ควรแรงก็แรง ควรเบาก็เบา เพราะสิ่งที่สกปรกมันมีหนักมีเบาต่างกัน ธรรมะก็ต้องวางลงให้พอเหมาะพอดี เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นพอ
โยม มีปัญหาอินเตอร์เน็ต เขาเขียนมาดังนี้ครับ กระผมได้ฝึกหักทำสมาธิด้วยตนเองโดยอาศัยความรู้จากเว็บนี้เอง ตอนแรกกระผมก็ใช้วิธีกำหนดลมหายใจ คือหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ฝึกอย่างนี้มาเกือบปี ต่อมากระผมได้มาเปลี่ยนเป็นใช้ภาวนาพุทโธ คือนึกถึงคำว่า พุทโธ ๆ โดยกำหนดไว้ที่หน้าอกในตอนแรก เมื่อทำแล้วก็รู้สึกสงบดี การคำนึงคำว่าพุทโธๆ นั้น ก็ต่อเนื่องกันไปซึ่งกระผมก็ฝึกอย่างนั้นมาได้ระยะเวลาพอสมควร ในตอนนี้เมื่อกระผมเริ่มภาวนาคำว่าพุทโธๆ กะว่าให้ต่อเนื่องกันไปอย่างเดิม แต่ว่าเมื่อภาวนาไปสักครู่หนึ่ง คำว่า พุทโธ ๆ ที่ต่อเนื่องกันก็ปรากฏว่าจะนึกออกมาได้ไม่ต่อเนื่อง เช่น นึกคำว่า พุท กว่าจะ โธ ได้ก็นานหรือหายไปเลย เมื่อนึกไม่ได้หรือหายไปแล้ว รู้สึกว่าลมหายใจจะปรากฏชัดเจน กระผมควรจะกำหนดลมหายใจเป็นหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ หรืออีกอย่างคือดูลมหายใจอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องกำหนดพุทโธ กับลมหายใจนั้น หรือมีวิธีการอย่างอื่นอีก ขอกราบเรียนถึงถามข้อควรจะทำต่อไปจนถึงขั้นตอนที่ต่อจากขั้นตอนนี้ด้วย ขอกราบนมัสการ
หลวงตา เรากำหนดพุทโธนี่ ถ้าเป็นความตั้งใจ คือมีสติอยู่แล้ว พุทโธ ๆ นี้เป็นขันธ์คือความคิดปรุง แต่เป็นความคิดปรุงทางด้านธรรมะ ขันธ์อันหนึ่งเป็นความคิดปรุงของกิเลส คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามโลกตามสงสาร เรียกว่าขันธ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของกิเลส เราคิดทางด้านอรรถด้านธรรม ขันธ์คือความคิดปรุงนี้เป็นเครื่องมือของธรรมเข้าใจไหม ทีนี้พอเรานึกพุทโธ ๆ เรียกว่าเป็นเครื่องมือของธรรม เมื่อนึกพุทโธ ด้วยสติกำกับตลอด ๆ แล้ว พอถึงขั้นที่ละเอียดจะละเอียดเข้าไปเรื่อย จนกระทั่งพุทโธไม่ปรากฏเลยก็มี อันนี้มีขัดกันอยู่ที่เขาว่าพุทโธแล้วติดกันบ้างไม่ติดกันบ้าง แล้วลมหายใจเด่น ขัดกันอยู่ ผู้ภาวนาอาจจะไม่ใช้ความพินิจพิจารณาละเอียดพอ มันถึงมีขัด ๆ กัน
คือตามธรรมดาถ้าลงขนาดพุทโธละเอียดแล้ว ลมหายใจก็แผ่วเบาไปตาม ๆ กัน จะยังเหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดจะบริกรรมนั้นออกไม่ได้เลย เรียกว่า ขันธ์ไม่ทำงาน ขันธ์ระงับตัว สังขารขันธ์คือความคิดความปรุง เราใช้ทางด้านธรรมะนี้ เมื่อเวลาธรรมะกับจิตเข้าสัมพันธ์เป็นอันเดียวกันแล้ว ความคิดปรุงนี้จะหายไป ปรุงพุทโธเท่าไรก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราปรุงพุทโธตั้งแต่เริ่มแรกพอถึงขั้นพุทโธกับจิตกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว เราจะนึกพุทโธไม่ได้เลย แต่ความรู้นี้จะเด่น ลมหายใจนี้ว่าไม่มี คือเรียกว่าไม่เป็นกังวลไม่เป็นอารมณ์เลย เหลือตั้งแต่ความรู้ที่เด่นเข้าใจเหรอ มีอะไรอีกล่ะ
โยม อันนี้รู้สึกเขาอยากจะได้คำตอบจากหลวงตาว่า จะให้เขาภาวนาลมหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ หรือว่าดูลมหายใจเฉย ๆ ไม่ต้องกำหนดพุทโธ หรือจะมีวิธีการอย่างอื่น
หลวงตา เอ้า ถ้าเขาถนัดพุทโธ ก็ให้พุทโธติดกันเลย ถ้าเขาถนัดลมหายใจก็ลมหายใจอย่ามาสงสัยกึ่งกลาง ๒ ข้าง ขานี้ก็จะก้าวทางนี้ ขานี้จะก้าวทางนั้น เดี๋ยวขาฉีกเข้าใจไหม นี่ธรรมสงสัย ธรรมแท้ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ถ้าควรจะไปทางไหนไปเลยทันทีของผู้ปฏิบัติธรรมที่รู้ด้วยสติจริงๆ เป็นอย่างนั้น เช่นอย่างที่ว่า คำบริกรรมว่าไปๆ ละเอียดๆ จนกระทั่งนึกไม่ได้เลย คือไม่ขึ้น เหลือแต่ความรู้ที่เด่นอยู่นั้น อยู่นั้นเลย แล้วใครจะไปกังวลหาลมหายใจที่ไหน ๆ อีก นั่นมันขัดกันตรงนี้เข้าใจไหม
โยม นี่เขาจะดูลมหายใจเฉย ๆ ไม่กำหนดพุทโธ
หลวงตา เอ้า ดูก็ดูสติก็ดู เอ้า แต่มันจะรู้ทั้งสองเงื่อนนั่นแหละเข้าไปหากัน ทั้งสองเงื่อนเลยเข้าไปหาความแน่นอนของใจ อ๋อ อย่างนี้เอง ทีนี้มันจะไปทางไหนก็ไปละเข้าใจไหม เอ้า ว่าไป
โยม เขาก็ขอเมตตาแค่นี้ละครับ ว่าจะให้พุทโธติดต่อกันไปหรือจะหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ หรือว่าดูลมหายใจเฉย ๆ
หลวงตา มันแบบยืนถ่างขามันยังไม่ลงความแน่ใจ ถ้าลงแน่ใจแล้วเฉพาะอย่างยิ่งว่าพุทโธไม่มี ทั้ง ๆ ที่พุทโธ ๆ ละเอียดเข้า ๆ เข้าถึงจิตแล้วพุทโธหายไปเลย จะเป็นความรู้อยู่ในจิตเป็นอันเดียวกัน แล้วมันจะไปยุ่งอะไรกับลมหายใจล่ะ แน่ะ ก็เท่านั้นเอง เข้าใจแล้วเหรอ ดูความรู้เด่นอยู่นั้นแล้ว นี่ละการภาวนา คือเวลามันละเอียดจริง ๆ ลมหายใจนี้ ความปรุง ปรุงอะไรก็ตาม พุทโธก็ตาม ธัมโมก็ตาม สังโฆก็ตามนะ เพราะมันเป็นความปรุง เรียกว่า สังขาร มันปรุงขึ้นมา ปรุงฝ่ายธรรมปรุงฝ่ายกิเลส เอาสังขารนี้ละออกมาใช้ด้วยกัน แต่อันหนึ่งธรรมเป็นเจ้าของ อันหนึ่งกิเลสเป็นเจ้าของเท่านั้นเอง ทีนี้เวลาเราเอาธรรมเป็นเจ้าของ บริกรรมพุทโธ ๆ พอถึงขั้นละเอียดจริง ๆ แล้วจะหมดเลยนะ คำว่า พุทโธไม่มีเลย เราเองก็จนงงทีแรก
เราทำมาก่อนแล้วนี่นะ ว่าอะไรมันก็รู้ซิมันเคยผ่านมาแล้วนี่ พอละเอียดเข้าไป ๆ ถึงพุทโธหายเงียบเลยยังเหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดอยู่ในนั้น เอ๊ นี่ทำไมพุทโธ ๆ มาแล้วหายไปไหนแล้วทำยังไง ทางนี้มันก็รู้กันทันที เอ้า อะไรยังเหลืออยู่ก็กำหนดอันนั้น ความรู้เหลืออยู่ก็เอาความรู้ พุทโธ บริกรรมไม่ได้ก็ไม่ต้องบริกรรม จ่ออยู่นั้นเลย พอไม่นานละได้จังหวะมันก็คลี่คลายออกมา จิตคลี่คลายออกมานึกพุทโธได้พุทโธต่อไป ทีนี้คราวหลังมันละเอียดปั๊บมันก็เข้าจุดต่อไปหายเงียบไปอีก หายเงียบก็อยู่กับนั้น ทีนี้มันก็รู้จักวิธีปฏิบัติใช่ไหมล่ะ เท่านั้นละ ต่อไปนี้จะให้พร
ชมการถ่ายทอดสดทุกวัน ได้ที่
www luangta com หรือ www.luangta.or.th |