เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
พุทโธไม่มีคำว่าต่ำว่าสูง
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๑๔ คือเมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑๐ บาท ๕๓ สตางค์ดอลลาร์ได้ ๓๑๓ ดอลล์ ทองคำและดอลลาร์ที่ได้เพิ่มหลังมอบแล้ว มอบแล้วหมายถึงวันที่ ๑๐ กรกฎานี้นะ ทองคำได้ ๕๙๗ กิโล ๓๓ บาท ๙๖ สตางค์ แล้วดอลลาร์ได้ ๒๕๕,๕๕๓ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ รวมกันเวลานี้ได้ทองคำ ๗,๒๙๗ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ได้ ๘,๒๕๕,๕๕๓ ดอลล์ ทองคำได้ ๗,๒๙๗ กิโลครึ่ง หรือ ๗ ตัน ๒๙๗ กิโลครึ่ง
(ครูจากโรงเรียนอุดรพิทย์นำนักเรียน ม.๔ และ ม.๖ ทั้งหมด ๑๘ ชั้นเรียน รวบรวมปัจจัยถวายหลวงตา ๒๐,๒๒๒ บาท ทองคำหนัก ๑ บาทครับ) เออ เอาละพอใจ พอใจกับพวกลูก ๆ หลาน ๆ นั่นนะ
ดอลลาร์ที่อุดรได้ ๑๘๖,๘๖๓ ดอลล์ ส่วนเงินในโครงการนั้นที่อุดรนี้ ไทยพาณิชย์ มี ๓,๐๔๙,๙๓๕ บาท อันนี้หมายถึงเงินสดที่อยู่ทางนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์นี่รับบัญชีดอลลาร์และโครงการช่วยชาติ ส่วนกสิกรไทย ดูมีแต่โครงการช่วยชาติ ดอลลาร์ไม่มี มีอันเดียว ทางกรุงเทพฯ ก็ดูเหมือน กรุงเทพ จำกัด กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ทางกรุงเทพฯมีอยู่ ๓ บัญชี ทางอุดรก็ ๓ บัญชีเหมือนกัน
(นักเรียนถวายทองคำเพิ่มอีก ๑ สลึงครับ) เออ ๆ พอใจ ๑ สลึงก็เอา บาทหนึ่งก็เอา หลานเอ๋ยไปหามาเถอะ สลึงหนึ่ง บาทหนึ่งก็เอา เอาทั้งนั้นแหละ มาเรื่อยๆ ทองคำ ก็เข้ากันได้กับหลวงตากำลังจะเร่งทองคำเข้าคลังหลวงของเรา( ๕ บาทครับ) เออ พอใจ เราจะเร่งทองคำเข้าคลังหลวง คราวนี้เร่งใหญ่อยู่นะ ไม่ใช่เล่น ๆ เร่งใหญ่อยู่
วันที่ ๒๑ เราก็ลงกรุงเทพฯ วันที่ ๒๖ มอบทองคำ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว ต้องวันที่ ๒๖ เป็นวันมอบทองคำ ดอลลาร์นี้ก็คิดว่า แต่เวลานี้มันก็น่าจะถึงสองแสนแล้วมัง (สองแสนห้าแล้วครับดอลลาร์ รวมทั้งอุดรทั้งกรุงเทพฯ ครับ) เหรอ อ๋อ สองแสนห้า รวมทั้งอุดรทั้งกรุงเทพฯ สองแสนห้า คิดว่าจะไม่ต่ำกว่า ๓๐๐,๐๐๐ แหละ เพราะทั้ง ๆ ที่เรายังไม่คิดอะไรกับดอลลาร์นัก มันก็ได้ถึงสองแสนห้าแล้วเวลานี้ จึงคิดว่ามันจะได้ถึง ๓๐๐,๐๐๐ ส่วนทองคำจะเอาอย่างหนักละ ตอนนี้กำลังบรรดาศรัทธาผู้รักชาติทั้งหลายทั่วประเทศไทยกำลังโอนเข้ามา โอนเข้ามาในบัญชี โอนเข้ามาเรื่อย ๆ เราก็ทยอยออกซื้อทองคำเรื่อย ๆ ซื้อต่อไปเรื่อย ๆ ละ
วันที่ ๒๖ วันมอบ มันน่าจะเสร็จก่อน ทองคำกำลังเข้ามาเรื่อย ๆ อยู่นะ เงินสดก็มาทุกด้าน ดอลลาร์ก็มา ไหลเข้ามาเรื่อยๆ ถึงวันที่ ๒๑ ตอนภาคเช้าก็ยังมีอยู่ พอหลังจากฉันแล้วเราก็ลงกรุงเทพฯ แล้วนำสมบัติไป ไปบวกกับทางกรุงเทพฯ เข้าอีก อยู่ทางนี้ก็ไม่ค่อยหมุนเท่าไรนักนะ มันจะไปหมุนที่กรุงเทพฯ ที่รวมยอดมันอยู่ตรงนั้น มันก็หมุนลงตรงนั้นแหละนะ หมุนติ้ว ๆ แล้วก็ลง หมุนติ้ว ๆ แล้วก็ลง ไปกรุงเทพฯ นี้จะหมุนละ ทุกครั้งมันต้องเป็น หมุนของมันอยู่นั้นแหละ คราวนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งติดต่อกับทางนี้ ทั้งโรงหลอมทั้งอะไร ทั้งผู้คอยฟังคำสั่งของเราเกี่ยวกับเรื่องบัญชีเงินด้วย สามจุดนี้สำคัญมากติดต่อกันตลอดนะ เราจะเร่งให้หนักมือคราวนี้ มันควรจะได้มากตามนั้นเราก็จะได้ อย่างไอ้เฒ่าปากเปราะพูดนี่ว่า ๑ ตัน มันควรจะได้อย่างงั้นก็ให้ได้ ว่างั้นเถอะนะ แต่มาโมโหมาเปราะก่อนนี่ซิสำคัญ โอ๋ย ดีกำปั้นอยู่นี้มันใกล้กันนะ ปั๊วะนี่เลย
เราก็ยิ่งอ่อนลง คิดดูซิวันนั้นเทศน์ วันที่ ๑๐ มั้ง วันวัดดอยธรรมเจดีย์มา กำลังเทศน์อยู่นี่ นี่ละบทเวลามันจะเป็น เพราะมันเคยเป็นอยู่เสมอ นาน ๆ เป็นทีหนึ่ง ถ้าเผลอตัวมันก็เป็นละ กำลังเทศน์อยู่นี้ คนเต็มศาลา พระก็เต็ม วันที่ ๑๐ กำลังเทศน์ไปได้สักกี่นาที จะถึง ๓๐ นาทีไหม (ถึงอยู่ครับ) เออ นั่นละถึงระยะนั้น มีลักษณะหวิวแหววภายในตัวอย่างที่มันเคยเป็น พอมันเป็นมันหนักนะถ้ามันเป็น พอมันหวิวแหววนิดหนึ่งเท่านั้นเราก็เลยถอยจิตเข้ามาแล้วลืมตาขึ้น มองดูศาลานี้กำลังหมุน ยังอีก มันเป็นวินาทีเท่านั้นนะจะล้มตูม อย่างมากไม่เลย ๑ วินาที เพราะลืมตาขึ้นมาอันนี้มันหมุนอย่างรวดเร็วแล้วนี่ หมุนติ้วๆ ศาลาหลังนี้ทั้งหลังมันหมุน มันจะล้มละนั่น พอรู้อย่างนั้นปั๊บก็เลยหยุดกึ๊ก เอามือค้ำเตรียมท่าระวัง ทางจิตก็ระวังรับกัน รีบเอายาภูลประสิทธิ์มาฉันแก้ลมภายใน แล้วค่อยสงบไป เป็นอย่างนั้นละนะ เวลาจะเป็นเมื่อไรมันเป็นได้ง่ายมาก
สำหรับเราเองเราก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว นี้เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ทำประโยชน์แก่โลก ส่วนที่ว่าเหล่านี้ ที่เราวิตกวิจารณ์ระมัดระวังรักษาก็เพื่อประโยชน์แก่โลก เราไม่ได้เพื่ออะไรกับเราสำหรับขันธ์นี้นะ เป็นเครื่องมือล้วนๆ เมื่อมันยังพอใช้ทำประโยชน์ได้อยู่ เราก็พยายามบำรุงรักษาระมัดระวัง เพื่อโลกเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม สำหรับเราเองเราไม่มีปัญหา จะไปเมื่อไรได้ทั้งนั้น นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหมคำนี้ เราก็ไม่เคยคิดด้วย ว่ามันจะเป็นขึ้นมาอย่างนี้ประจักษ์ใจและประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพราะผลแห่งการปฏิบัติตัว การฝึกฝนอบรมตัวตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา ถึงดอกเตอร์ดอกแต้ที่ไหน ไปจากนี้แหละ จากการศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนอบรมตัวให้เป็นคนดีไปพร้อม
คนดีก็คือปฏิบัติมีศีลธรรม ศีลธรรมมีแต่ความดีงามทั้งนั้นแหละ ความเสียหายไม่มีในธรรมของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ไม่มีว่างั้นเลย เราก็ฝึกฝนอบรมของเราไปเรื่อยๆ อย่างนั้น มันก็ค่อยขยับ เหมือนกับเราเรียน ก.ไก่ ก.กา นั่นแหละ ขยับขึ้น เดี๋ยวก็เป็นประถม มัธยม ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไป การเรียนไม่ถอย ทีนี้การฝึกของเราก็ให้ฝึกตัวของเราดีไปตามขั้นภูมิแห่งการศึกษาเล่าเรียนมามากน้อย เด็กมีความรู้อย่างหนึ่ง เรียนอย่างหนึ่ง การประพฤติตัวก็เป็นอย่างหนึ่ง พอเลื่อนขึ้นมาวัยสูงขึ้นมาๆ ความรู้ก็สูงขึ้น ความประพฤติตัวเองก็ให้ดีขึ้นไปตามๆ กัน อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว
ความรู้สูงเท่าไร เจ้าของยิ่งเลวใช้ไม่ได้นะ ความรู้จะเป็นเครื่องส่งเสริมให้มีทิฐิมานะ ความลืมเนื้อลืมตัว ให้ทำความชั่วช้าลามกได้อย่างไม่รู้สึกตัวเลย อันนี้สำคัญมาก ทีนี้ย้อนกลับมาถึงเรื่องการฝึก การฝึกเราเป็นพระอย่างนี้นะ คือเป็นพระฝึกแต่ความดีล้วนๆ ตั้งแต่เรื่องศีลเรื่องธรรม ตั้งแต่บวชมาศีลธรรมจับติดกับขณะนั้นเลย ออกจากโบสถ์มานี้เป็นพระเต็มตัวแล้ว การประพฤติปฏิบัติของตัวให้ถูกต้องตามศีลตามธรรมนั้นก็เต็มตัวแล้ว สำหรับศีลนั้นเต็มตัว ธรรมนั้นพยายามที่จะให้ได้มากขึ้นๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยมา สิ่งที่ไม่เคยคิดเคยอ่านนี้ก็ปรากฏ เริ่มมาตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา ปฏิบัติตัวมาตั้งแต่บวชจนกระทั่งป่านนี้เป็นยังไง
ถ้าพูดถึงการบวชถึงวันนี้มันก็ ๗๐ ปีกับ ๓ เดือน ๓ วันแล้วมัง เพราะเราบวชเดือน ๖ เดือนพฤษภา วันที่ ๑๒ วันที่ ๑๒ เป็นวันบวช นี้ก็สิงหา วันที่ ๑๒ ก็ครบ ๓ เดือน กับ ๓ วัน นี่ละฝึกฝนอบรมมาตั้งแต่วันบวช เริ่มแต่วันเข้านาคก็เป็นตามประสีประสา คนเข้านาคอยู่ในวัดจะไปทำความชั่วอะไร ไม่ไป นี่ก็เป็นขั้นหนึ่ง พอบวชเข้ามานี้ศีลเต็มตัวเลยตั้งแต่บัดนั้น ระมัดระวังรักษาอย่างเต็มที่เต็มฐาน ซึ่งเราไม่เคยจะคิดระมัดระวังเรื่องผิดเรื่องถูกประการใดแหละ ตามประสาของโลกนั่นแหละ แต่เวลาบวชแล้วการรักษาเข้มงวดกวดขัน เฉพาะศีลนี้เรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ทันทีเลย ออกมาก็เป็นพระเต็มตัวออกมา รักษาอย่างเข้มงวดกวดขันเรื่อยมา จากนั้นทางด้านธรรมะก็ติดตามไปตามๆ กัน ฝึกฝนอบรมจิต
จิตนี้ตัวคึกตัวคะนอง ไม่มีอะไรจะคึกจะคะนอง เช่นอย่างเรานั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ อย่างนี้นะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเรื่องเลย หัวใจนั่นมันเป็นไฟ มันดีดมันดิ้นของมันอยู่ในนั้นด้วยกัน นอกจากผู้ได้รับการอบรมจะมีความสงบตามขั้นตามภูมิของจิต จนกระทั่งถึงผู้บริสุทธิ์ ผู้บริสุทธิ์ก็เรียกว่าเรียบราบตลอดเลยต่างๆ กัน นี่เพราะการอบรมมา ทีนี้เวลาเราได้อบรมมา สนฺทิฏฺฐิโก คือรู้เห็นจากผลแห่งการบำเพ็ญของตน ก็รู้ขึ้นมาตามลำดับลำดาๆ จนถึงขั้นที่ว่า ปล่อยวางได้แล้วเรื่องขันธ์ เรื่องเป็นเรื่องตาย ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวแล้ว กลายมาเป็นขันธ์คือรูปขันธ์นี้ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ เครื่องมือล้วนๆ ไม่มีกิเลสเข้าแทรก
ทีนี้เวลามันเข้าถึงขั้นนี้แล้ว หมดเรื่องการห่วงการใย ความเป็นความตาย อดีตอนาคต อดีตเป็นมายังไงๆ อนาคตจะเป็นยังไง แล้วปัจจุบันนี้ปฏิบัติตัวยังไง ความรู้สึกเป็นยังไง หมดโดยประการทั้งปวง มีแต่ความพอแล้วทุกอย่าง พอแบบเลิศเลอภายในจิตใจ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลย เรียกว่าสมมุติทั้งมวลหมดจากจิต ไม่มีในจิตเลย ก็มีแต่กิริยาของขันธ์ซึ่งเป็นสมมุติที่รับผิดชอบกันอยู่ เพื่อทำประโยชน์และบำรุงรักษาไว้เพื่อทำประโยชน์เท่านั้นๆ
อย่างที่หลวงตาได้มาช่วยพี่น้องทั้งหลาย ดีดดิ้นไปทั่วประเทศไทยนี้ คนทั้งหลายเขาก็จะดูว่าหลวงตานี้เป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นทุคตะเข็ญใจ มิหนำซ้ำยังกวนบ้านกวนเมือง กวนห้ากวนสิบ ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ใครมีอยู่ที่ไหนไม่ได้หลวงตาไปเที่ยวแกะเที่ยวงัดกระเป๋าจนได้ๆ ไม่ได้มากก็ได้น้อยมาเรื่อยๆ คนทั้งหลายเขาก็จะเห็นว่าหลวงตานี้เป็นตัวรบกวนชาติบ้านเมืองที่สุด เขาจะคิดอย่างนั้นมีจำนวนไม่น้อย ผู้ที่จะคิดไปตามที่เราประกาศก้องมาแต่ทีแรกนั้นจะมีน้อย ในเบื้องต้นจะมีน้อย ส่วนมากก็มักจะคิดไปว่าเรารบกวนชาติบ้านเมือง แต่การรบกวนเหล่านี้เรารบกวนด้วยความหมดห่วงแล้ว รบกวนด้วยความเป็นห่วงพี่น้องชาวไทยเราทั้งนั้นเลย การหมุนตัวของเราทุกด้านทุกทางเราไม่ได้หมุนเพื่อเรา ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้ ลูกหลานทั้งหลายให้ทราบ นี้คือความพอของจิต ความพอของธรรม ความพอของความดีทั้งหลาย พอเต็มหัวใจแล้ว
เราจึงเชื่อพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าว่า เป็นศาสนาชั้นเอกในโลกทั้งสามนี้ มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนถูกจุดแห่งความทุกข์และความสุขทั้งหลาย คือกิเลสเป็นสาเหตุหรือเป็นต้นเหตุที่จะทำความเดือดร้อนวุ่นวายฉิบหายแก่โลกทั่วๆ ไป นี่ก็เกิดที่ใจ แสดงฤทธิ์เดชความเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตนเองและส่วนรวมอยู่ที่ใจ แล้วธรรมะคือความดีงามทั้งหลายที่คิดเพื่อเป็นความดีแก่ตนเองและความดีแก่ผู้เกี่ยวข้อง ตลอดทั่วโลกดินแดน เป็นความคิดในทางที่ถูกที่ดีเพื่อสมัครสมาน เพื่อความรักใคร่จากการเสียสละ จากความเมตตา จากความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เฉลี่ยทั่วถึงกันเป็นความเย็นไปหมด เหล่านี้เรียกว่าธรรม
ธรรมนี้เกิดที่ใจ แสดงออกมาจากใจให้เป็นความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน แล้วยิ่งต่างคนต่างมีธรรมภายในใจก็ฉายแสงออกมาด้วยความดีงามนี้ โลกจะชุ่มเย็นไปทั่วหน้ากัน เพราะอำนาจแห่งธรรมไม่เคยทำใครให้เดือดร้อนเลย นอกจากกิเลส มีมากมีน้อยก่อกวนทุกอย่างเป็นไปได้ไม่มีประมาณสำหรับกิเลส นี้เกิดขึ้นจากใจด้วยกันนะ กิเลสก็เกิดขึ้นจากใจ แสดงฤทธิ์ออกมาจากใจ ทำลายตนเองแล้วก็ทำลายผู้อื่น แล้วธรรมก็ออกลวดลายหรือออกฤทธิ์ขึ้นมาจากใจ ทำความร่มเย็นเป็นมงคลแก่ตนเองและให้ความร่มเย็นและเป็นสิริมงคลแก่ส่วนรวมทั่ว ๆ ไป ก็คือธรรมที่เกิดขึ้นจากใจ นี่ละให้พากันจำเอาไว้ เวลาศึกษาเล่าเรียนแล้วให้ไปปฏิบัติ
เราได้เอามาพูดนี้ ยันออกมาจากหัวใจเราเลย เราจวนจะตายแล้ว เราไม่เคยสนใจละว่าใครจะตำหนิติเตียน ว่าเราพูดโอ้พูดอวดพูดโม้พูดคุย เราไม่เคยสนใจ พวกนี้เขามีแต่อันนี้กองกันอยู่ในหัวใจของเขา กิริยามารยาทมีแต่มูตรแต่คูถความสกปรก ที่ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่โลก เต็มอยู่ในหัวใจและกิริยาการกระทำทั่วหน้ากันหมด เขามีแต่อย่างนี้เขาจะเอาความสะอาดมาจากไหน เขาก็ต้องว่าตามเรื่องของเขา เห่าฟ้อๆ แฟ้ๆ ว่าท่านดุท่านด่า ท่านพูดโอ้พูดอวดโลกอวดสงสาร
ความสกปรกมันไม่เคยมีความสะอาดติดหัวใจมัน มันมีแต่ความสกปรก แสดงออกมาจากจิตดวงใดปากใด จึงเป็นปากสกปรกโจมตีความดีคนดีกันทั้งนั้น เขาทำความดิบความดีเต็มบ้านเต็มเมืองเพื่อตนเองและส่วนรวม ไอ้เราไม่ได้หน้าได้หลังอะไร หาตั้งแต่ฟืนแต่ไฟไปเผาไปไหม้ ไปถีบไปยันไปเตะให้พังๆ นี้คือความชั่ว พวกชั่วจะแสดงตั้งแต่ความชั่ว เพราะไม่มีความดีออกแสดง ต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกัน เราจะตำหนิใครไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของกิเลสคือความชั่วช้าลามกเป็นอย่างนี้ เรื่องของธรรมคือความช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็ทำกันอย่างนั้น ทั้งสองอย่างนี้อยู่ด้วยกันในหัวใจของคนแต่ละคน จึงมีคนดีคนชั่วแฝงกันไปอย่างนี้
เราก็ได้พยายามเต็มกำลัง ทำประโยชน์แก่ตนก็ตั้งแต่บัดนั้นมา ตั้งแต่วันบวชมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เราทำ สำหรับทุกวันนี้เป็นประโยชน์แก่โลกล้วนๆ ประโยชน์แก่เรามันหมดปัญหาก็บอกว่าหมดปัญหา เราไม่เคยฆ่ากิเลสตัวใด รบกับกิเลสตัวใด ตั้งแต่ขณะกิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุก่อทุกข์ความเดือดร้อนขึ้นที่ใจพังทลายลงไปจากใจ มีแต่ธรรมล้วนๆ ขึ้นแทนที่แล้ว ไม่มีความทุกข์ความกังวลกับกิเลสตัวใดที่จะมาก่อกวนเราให้แก้ไขหรือต้านทานกัน เราไม่มีเราบอกตรงๆ อยู่ที่ไหนก็ไม่มี โลกนี้จะร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ หรือใครจะมาโจมตีดุด่าว่ากล่าวชี้หน้าด่าทอ ก็ให้ยกมาทั้งโคตรมาชี้เรา เราก็เฉยเพราะเราไม่มีอะไรเครื่องรับกัน เขามีอะไร เอ้าโยน ก็เหมือนกับถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า มันก็มาฟาดหน้าตัวเองนั่นแหละ โยนไปไหนไม่ไปมันก็เข้ามาหาเจ้าของๆ
เรามีแต่ความเมตตาสงสารล้วนๆ ที่ดีดดิ้นเพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งหลายไม่ได้หยุดได้หย่อนมาเป็นเวลา ๕ ปีกว่านี้แล้ว ประชาชนส่วนมากก็จะว่าเรานี้เป็นตัวเสนียดจัญไรรบกวนบ้านเมือง แต่ผู้มีความดีงามคนดีคนมีศีลมีธรรมแล้วก็จะคิดไปแบบเดียวกัน มีความพออกพอใจอนุโมทนาสาธุการ ช่วยเหลือกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย บ้านเมืองของเราก็ค่อยเจริญขึ้นมาๆ เวลานี้ทองคำเราก็ได้ตั้ง ๗ ตันกว่าแล้ว เร็วๆ นี้จะขึ้นอีกอาจจะถึงเป็น ๘ ตันก็ได้ เพราะเราเร่งเต็มเหนี่ยวๆ การเร่งเหล่านี้เร่งอะไรท่านทั้งหลายพิจารณาซิ ก็เร่งเพื่อชาติบ้านเมืองของเราทั้งนั้น เพื่อให้อุ่นหนาฝาคั่งมีความสงบร่มเย็นเป็นสง่าราศีแก่ชาติของเรา
ใครอยากจะทำลายตน ใครอยากจะเอามูตรเอาคูถมาโปะหัวตัวเอง แล้วเอามูตรเอาคูถไปอวดโลกสงสารเขามีไหม แม้แต่เด็กก็ไม่ทำ อันนี้เมืองไทยเราทั้งชาติมีศักดิ์ศรีดีงาม มีสง่าราศีเต็มเนื้อเต็มตัวทุกคน เหตุใดจะเอาความเลอะๆ เทอะๆ ความท้อแท้อ่อนแอ ความทำลายชาติตนเองมาโปะคนทั้งชาติ ดูแล้วคนชาติไทยเรามีแต่มูตรแต่คูถเต็มหัวอย่างนี้มีอย่างเหรอ ไม่มี มีแต่ปัดออกสิ่งใดไม่ดี อันนี้ก็เหมือนกัน ความล่มความจมนี้เป็นที่ความสกปรกโสมมเป็นฟืนเป็นไฟอย่างมากทีเดียว เผาคนไทยให้จมได้ทั้งประเทศ นี้กำลังพากันปัดกันออกๆ ชะล้างด้วยสมบัติเงินทองข้าวของซึ่งเป็นน้ำอรรถน้ำธรรมออกมาจากหัวใจเพราะความรักชาติที่สะอาดสุดเต็มที่แล้วล้างกันไป ๆ เวลานี้ได้ทองคำตั้ง ๗ ตันกว่าแล้ว ดอลลาร์ก็ได้ ๘ ล้านกว่าแล้ว นี่ก็ผลแห่งการอุตส่าห์พยายามปัดเป่าสิ่งเลวร้ายทั้งหลายออกจากเนื้อจากตัวของเรา เอาความสะอาดเข้ามาชะล้างแทนที่กัน ก็กลายเป็นเมืองมีความสง่างาม
ใครมองมาที่ไหนก็เห็นความสง่างามขึ้นที่นั่นๆ เมืองไทยก็ประดับตนด้วยความรักชาติ ด้วยความเสียสละ จากบรรดาพี่น้องลูกหลานทั่วประเทศไทยช่วยกันเต็มกำลังความสามารถ เราก็เห็นได้ชัด ๆ อย่างนี้ นี่ละการช่วยชาติของเราที่ต่างคนต่างรักชาติ มีผลขึ้นมาอย่างนี้ หลวงตาในนามเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายจึงได้อุตส่าห์พยายามอย่างนี้เรื่อยมาให้ถึงจุดหมาย จุดหมายที่ตั้งไว้แล้วและประกาศก้องให้ทราบทั่วโลกว่างั้นเถอะ ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันในการช่วยชาติคราวนี้ และดอลลาร์ขอให้ได้ ๑๐ ล้าน เมื่อได้ถึงจุดนี้แล้วเราพอใจ เต็มตื้นขึ้นมาทุกอย่าง สง่างามครอบประเทศไทย ส่วนที่จะได้เป็นเศษเป็นเลยเป็นเกินขึ้นไปมากน้อยเพียงไร ยิ่งเป็นเครื่องประดับดอกประดับใบ กิ่งก้านออกไป ให้สวยงามขึ้นไปมากขึ้น เป็นที่พอใจสำหรับเราที่เป็นหัวหน้าเหมือนกัน ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
เมื่อทางนี้พอแล้วเราก็พอของเรา เพราะเราพอทุกอย่างอยู่แล้ว ความบกพร่องเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองของเราที่เกี่ยวโยงกันทั้งประเทศ เมื่ออันหนึ่งเอนมันต้องเอนไปหมดด้วยกัน อันหนึ่งตรงต้องตรงไปหมด แน่นๆ ไปหมด ล้มๆ ไปหมด เมื่อล้มทั้งหงายแหลกเป็นหมาไปหมด ล้มทั้งหงายเขาเรียกหงายหมา เมืองไทยนี้เมืองล้มหงายหมาอยากฟังไหม เมืองไม่เป็นท่าไม่เอาไหนๆ นี้เมืองล้มหงายหมา อย่าให้มีในเมืองไทยของเรา ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ดังที่เราได้ปฏิบัติมานี้ก็เห็นผลประจักษ์แล้ว นี้เราจะเขยิบใส่จุดสำคัญที่เราต้องการ คือทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ขอให้ได้อย่างนี้นะ แล้วเราจะเป็นที่พอใจ นี่ละการปฏิบัติตัวอย่างที่เราพูดมานี้ ถึงขนาดที่ว่าเราพอทุกอย่างแล้ว เราก็ไม่เคยคิดแต่ก่อน พอทุกอย่าง พอหมดอยู่ในหัวใจ หัวใจพอเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างพอหมด หัวใจบกพร่องเสียอย่างเดียว อะไรในโลกนี้ไม่พอทั้งนั้น บกพร่องด้วยกันหมด ธรรมจึงมีความพอ กิเลสไม่พอ ไม่เคยพาใครพอให้มีความสุข ส่วนธรรมนี้พอไปเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงพอเต็มที่แล้วจะเอาอะไรเพิ่มอีกไม่มีเลย
ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ ให้ได้สืบทอดมรดกของปู่ย่าตายายของเราต่อไป ด้วยความแน่นหนามั่นคงจากการอุตส่าห์พยายามของพวกเราทุกคนๆ อย่านอนใจนะ เรื่องศีลธรรมนี้เป็นของจำเป็นมากทีเดียว เวลานี้โลกกำลังห่างจากศีลจากธรรม ให้กิเลสออกหน้าออกตานำหน้า นำออกสนามรบ มันก็รบเรานั่นแหละกิเลสออกไปแล้ว กิเลสออกไปสนามรบ จะไปรบกับใคร ออกไปสนามรบก็ไปรบพวกเราที่กิเลสอยู่บนหัวนั่นแหละ คือหัวใจนั่น ให้พยายามตัดออก
เมื่อถึงกาลเมื่อไรเราไปได้ง่ายมากนะ พูดอย่างจังๆ คุยไหมนี่ แต่ก่อนเราไม่เคยคิดอย่าว่าแต่นำมาพูดอย่างนี้ได้เลย ก็เมื่อมันประจักษ์ในหัวใจ อะไรจะแน่นหนามั่นคงยิ่งกว่าใจที่เป็นนักรู้ บรรจุความรู้ทุกอย่างเต็มหัวใจด้วยแล้วสงสัยอะไร นี่ที่เราอุตส่าห์พยายามกับลูกกับหลานทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายทราบนะ ว่าเราดีดเราดิ้นทุกวันนี้ไม่ดิ้นเพื่ออะไร เพื่อเราเราไม่มี แต่เพื่อชาติของเรา เพื่อพี่น้องลูกหลานคนไทยเรา จะได้สืบทอดกันไปด้วยความสงบร่มเย็น ทรงไว้ซึ่งความสง่างาม ความมีสง่าราศีเหมือนกับโลกทั่วๆ ไป เราจะไปน้อยหน้ากว่าคนทั้งหลายซึ่งอยู่ในโลกร่วมกันนี้แหม มันขายหน้านะ ต้องให้มีหน้ามีตาด้วยความศักดิ์ศรีดีงาม เพราะความรักชาติ อุตส่าห์พยายามบำรุงรักษา อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง ให้พากันปฏิบัติอย่างนี้
เรื่องพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอยอดของไตรภพ ให้พากันนำมาปฏิบัติแล้วจะมีความสง่างามอบอุ่นภายในใจของเรา ถ้ามีธรรมในใจมากน้อยจะมีความอบอุ่นนะ ถ้ามีแต่กิเลสความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหามาก ๆ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผากันทั้งนั้น ถ้ามีธรรมมีการระงับให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี ถึงละมันไม่ได้ก็ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี พอทนอยู่ได้นะ ถ้าปล่อยจริง ๆ ทนไม่ได้นะพังทั้งนั้น ใครอย่าเข้าใจว่าเศรษฐีจะมีความสุขมาก เศรษฐีไม่รู้จักประมาณเศรษฐีนี้แหละพัง ตาสีตาสาเขาไม่พัง เศรษฐีนี้จะพัง พังจากความหวัง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความลืมเนื้อลืมตัว ความได้ไม่พอ ๆ สุดท้ายตายทิ้ง สมบัติมีมากน้อยเพียงไรทิ้งไว้อย่างนั้น เหมือนกับร่างกายของเจ้าของนะ นี่ร่างกายของเศรษฐีมีความหมายอะไร กับสมบัติของเศรษฐีมันก็เท่ากัน ไม่มีความหมายด้วยกัน แต่ใจของเศรษฐี ถ้าเศรษฐีมีธรรม เศรษฐีก็ไปทางด้านธรรม ถ้าไม่มีธรรมจมไปเลย ๆ
คนทุกข์คนจนก็แบบเดียวกัน จนทั้งสมบัติภายนอกจนทั้งสมบัติภายใน บุญกุศลศีลทานนิดหนึ่งก็ไม่มี อันนี้ก็จมแบบเดียวกัน ไม่ได้มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะฉะนั้นใครๆ ที่มาอยู่มาด้วยอำนาจแห่งกรรม มีมากมีน้อยสมบัติเงินทองข้าวของที่ควรจะทำบุญให้ทาน เพื่อเป็นสมบัติอันล้นค่าและแน่นหนามั่นคงแก่จิตใจ ขอให้พากันบำเพ็ญติดเนื้อติดตัวเสมอนะ อย่าปล่อยอย่าวาง การทำบุญให้ทานเป็นสารคุณอย่างล้นพ้นเต็มหัวใจนะ สิ่งภายนอกก็อาศัยมันไป เมื่อถึงกาลเวลาแล้วจะมาเกาะติดตรงนี้นะ ที่บุญกุศลเพราะใจไม่เคยตาย ออกจากนี้แล้วจะเดินต่อไปอีกแล้ว มีความดีและความชั่วพาติดตาม ถ้าความชั่วแล้วหมุนลงเลย ถ้าเป็นความดีหนุนขึ้นไปเรื่อย ๆ จำอันนี้ให้ดี เราอย่าปล่อยอย่าวาง ทั้งสองด้านนี้ละดี
ไปคราวนี้มอบทองคำเรียบร้อยแล้วก็กลับมาเอาใหญ่อีก กฐินนะ กฐินนี้หนักมากเพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งเบากัน ระยะนี้ตั้งหน้าจะคืบ คืบให้เต็มเหนี่ยว อันนี้เพื่อแบ่งเบาข้างหน้า พอจากนี้เสร็จแล้วทีนี้ก็บุกใหญ่เลย เอาให้ได้เสร็จ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้แหละนะ ไม่พูดอะไรมาก ลูกหลานจำเอานะ ลูกหลานจำเอาให้ไปปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เอ้า ว่ามาที่นี่ มีปัญหาอะไรถามมา
โยม ปัญหาทางอินเตอร์เน็ตถามมาจากสหรัฐอเมริกา เขาขึ้นต้นว่า ตอนนี้หนูกำลังศึกษาอยู่ในต่างประเทศ หนูเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยสนใจธรรมะ ไม่สวดมนต์ ไม่เป็นนักปฏิบัติ ทำตัวไร้สาระไปวันๆ แต่หนูชอบอ่านหนังสือ จนกระทั่งน้าสาวได้มอบหนังสือธรรมะของหลวงตาให้อ่านชื่อธรรมะชาวบ้าน และหนังสือพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าเรื่องพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน พอได้อ่านแล้วก็ซึ้งใจแล้วก็ตามเก็บตามอ่านอยู่เรื่อยไป บางทีเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง พอจะจับใจความสำคัญได้ หนูท่องพุทโธจนติดเป็นนิสัย จะทำอะไรก็แล้วแต่คำว่าพุทโธติดอยู่ในใจตลอด จะทำอะไรก็มีพุทโธ จนบางทีเคยสงสัยว่า คำว่า พุทโธ นี้อยู่ดี ๆ เราคิดขึ้นมาได้อย่างไร ดังนั้นหนูจึงมีคำถามอยากจะรบกวนหลวงตาดังนี้
ข้อ ๑ การที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการภาวนาพุทโธนั้น เป็นสิ่งที่บังควรหรือไม่ เพราะหนูคิดว่าพุทโธเป็นคำศักดิ์สิทธ์แต่บางกิจกรรม เช่น การอาบน้ำ จิตก็คิดถึงพุทโธก็ท่องติดตลอด อันนี้ควรจะทำหรือไม่เจ้าคะ
หลวงตา ต้องทำให้หนักมือ เวลาอาบน้ำ เวลาถ่ายมูตรถ่ายคูถนั้นตัวสกปรก พุทโธ ตัวสะอาดที่สุดเอามาชะล้างอย่างหนัก พุทโธติดแนบเลยตรงนั้นเวลานั้นเข้าใจไหม เพราะเวลานั้นมันสกปรกมาก เอาพุทโธที่สะอาดมาก ๆ นี้สาดลงไปเลยเข้าใจไหม เอ้า ว่าไป
โยม ข้อ ๒ บ้างทีพุทโธเข้ามาอยู่ในใจเราเมื่อไรก็ไม่รู้ มารู้อีกทีตัวเองท่องพุทโธ ๆ ไปเรียบร้อยแล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ
หลวงตา พุทโธก็ดี กิเลสก็ดี เกิดได้ทุกเวลา แต่เวลากิเลสเกิดไม่เห็นพูดมันเกิดขึ้นได้ยังไง มาระลึกได้ พุทโธคำสองคำก็มาอวดตัวเอง ว่ามาระลึกพุทโธได้ยังไง แต่มันระลึกกิเลสตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งป่านนี้มันระลึกได้ยังไงก็ถามมาบ้างซิน่ะ เข้าใจไหม
โยม ข้อ ๓ เวลาหนูเรียนหนังสือหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ใดก็ทำได้ แต่คำว่า พุทโธก็เข้ามาตลอด
หลวงตา เออ ให้เข้าตลอดเหมาะสมแล้วนะ พุทโธ ไม่มีคำว่าต่ำว่าสูง เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอเข้าได้หมด น้ำสะอาดสาดกระจายไปได้หมด ทำสิ่งต่าง ๆ ที่สกปรกให้สะอาดได้ทั้งนั้นเข้าใจไหม ไม่เลือกว่าน้ำนี้อยู่ที่สูงที่ต่ำ มันสกปรกที่ไหนสาดเข้าไปเถอะ ธรรมก็แบบเดียวกันเข้าใจเหรอ
โยม นี่เขาบอกไม่ใช่เป็นการท่องเรื่อยเปื่อยหรือเปล่า
หลวงตา ไม่ ๆ ๆ
โยม ไม่ใช่นะครับ
หลวงตา ให้มันติดตลอดนั่นละเข้าใจไหม เออ เพราะกิเลสมันพาเรื่อยเปื่อยไปมันเท่าไร มันไม่ได้เห็นโทษของกิเลส มันมาเอาโทษของพระพุทธเจ้าพุทโธนี้มาใส่ นี่คือกิเลสมันแทรกเข้าใจไหม เอ้า ว่าไป
โยม เขาบอกเรื่องอัศจรรย์ของเขา แต่เรื่องอัศจรรย์ที่สุดที่หนูอยากจะเผยแพร่ตรงนี้ผ่านสู่เยาวชนและเพื่อนนักเรียนด้วยกันคือ ตั้งแต่หนูท่องพุทโธในใจจิตเป็นสมาธิมากขึ้น เรียนหนังสืออย่างเข้าใจมากขึ้น และเปลี่ยนนิสัยของหนูให้เป็นคนมีวินัย ไม่เกียจคร้านไม่สุรุ่ยสุร่าย สิ่งที่แต่ก่อนจัดได้ว่าเป็นคนที่ใช้เงินใช้ทองหมดไปโดยไร้สาระ เดี๋ยวนี้ไม่อยากได้ไม่อยากมี เอาแค่พออยู่พอกินก็เพียงพอแล้ว แล้วจะหันไปทำอะไรที่มีสาระมากกว่าเดิม หนูขอกราบขอบพระคุณหลวงตา และขอบคุณทีมงานที่ทำให้หนูซึ่งอยู่ต่างประเทศได้ฟังเทศน์จากหลวงตาทุกวันๆ ยิ่งหนูมาอยู่คนเดียวความเหงาซึ่งเป็นกิเลสอันร้ายกาจชอบมาตามรังครานอยู่เรื่อย ก็ได้ธรรมะของหลวงตาคอยขัดเกลาจิตใจให้หนูพบทางสุขสงบมากขึ้น
หลวงตา เออ ถูกต้องแล้วให้ทำกันอย่างนี้ละนะ ทำอย่างนี้ถูกต้องแล้ว ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ มีแต่กิเลสมันคอยเตะคอยถีบ พอเราจะระลึกพุทโธ ก็ว่าพุทโธเป็นของสูงนะ ไม่ควรจะระลึกเวลาเช่นนั้น แต่เวลามันขี้แตกป้าด ๆ มันของสูงหรือของต่ำ ทำไมมันขี้แตกป้าด ๆ ได้ ควรหรือไม่ควรเข้าใจไหม มันยังขี้แตกป้าด ๆ พุทโธทำจะพูดไม่ได้คิดไม่ได้ อยู่ในหัวใจอันเดียวกัน ก็ยังบอกว่ากิเลสก็ดีธรรมก็ดีอยู่ที่หัวใจอันเดียวกัน แก้กันได้ตลอดเข้าใจไหม เอ้า มีอะไรว่าไป
โยม บุคคลที่ ๒ ครับ อันนี้เป็นผู้ชายครับ เขาบอก ผมทำสมาธิมาโดยกำหนดให้จิตอยู่ในกายและกายอยู่ในจิต ตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่ากายนี้เป็นศพและมีหนอนขึ้น โดยทั้งหมดนี้ไม่เห็นภาพแต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะทำสมาธิ ปัญหามีอยู่ว่าขณะที่ทำสมาธิบางครั้งจิตมีความคิดที่จะพิจารณาการเกิดของกาย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะพิจารณาไปพร้อมกับการแตกสลายของกายได้หรือเปล่า ผมยังไม่มีความรู้สึกว่ากายแตกสลายแล้วเป็นอะไร นอกจากความรู้ที่ได้จากสัญญาว่าเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งผมไม่รู้ว่าธาตุเหล่านั้นมีลักษณะอย่างไร จึงทำให้เริ่มต้นไม่ถูกว่าจะพิจารณาการเกิดได้อย่างไร ขอหลวงตาเมตตาได้แนะนำด้วย แต่ถ้าหลวงตาคิดว่าผมควรจะพิจารณาการแตกสลายของกายให้รู้แจ้งก่อน ผมก็จะปฏิบัติตามขอขอบพระคุณครับ
หลวงตา ให้พิจารณาอย่างนี้แหละ อย่าคิดไปมากมาย พิจารณาตรงที่กำลังพิจารณาแล้วพูดมาอยู่นี้นะ เข้าใจไหม การเกิดการตายนี้ให้พิจารณาอยู่ในกายของเจ้าของก่อน แล้วออกจากนี้มันจะกระจายของมันไปเอง ถึงกาลเวลาที่มันจะขยายตัวออกไปแล้วไม่ต้องบอก มันจะเป็นไปเอง เหมือนไฟเชื้ออยู่ที่ไหนมันจะลุกลามไปได้หมด เวลาธรรมของเรามีหลักมีเกณฑ์แล้วก็เหมือนไฟได้เชื้อ กิเลสคือเชื้อไฟเผาไปได้ตลอดนะ เข้าใจ เอ้า ว่าไป
โยม คนต่อไปครับ เกล้ากระผมได้อ่านเทศน์ของหลวงตา ในเรื่องการอธิษฐานเข้าพรรษาแล้ว เลยน้อมนำมาพิจารณา ก่อนหน้านี้ก็ได้อธิษฐานจะรักษาศีลห้าอย่างเข้มงวดตลอดช่วงพรรษานี้ พร้อมทั้งไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน แต่เรื่องศีลห้านี้แรกๆ ตัวสติมันตามทันทุกเวลาศีลมันก็สมบูรณ์ดี ทรงอยู่อย่างนั้นได้สัก ๑ สัปดาห์ สติมันก็เริ่มตามไม่ทัน กิเลสมันละเอียดลง ๆ อย่างที่หลวงตาได้ว่าไว้ มันก็เลยเสียทีให้กิเลสล่วงละเมิดศีล ๕ ไปจนได้ ส่วนมากมันจะเป็นข้อมุสาวาท เพราะกระผมชอบพูดเล่นพูดหยอกเย้าเพื่อนฝูงอยู่เรื่อย ด้วยถือว่าเป็นเรื่องสนุก จึงเริ่มติดเป็นนิสัยและล่วงละเมิดเข้าให้ ทีนี้บทจะภาวนาจะพิจารณาอะไร ๆ เรื่องเหล่านี้มันก็มาก่อกวนอยู่เรื่อย ๆ ไป ทำอะไรก็มากวนทำให้ปฏิบัติไม่ค่อยได้ ไม่ทราบว่าจะเกิดผลเสียขนาดไหนต่อการปฏิบัติ จะแก้ไขได้อย่างไร ถ้าจะภาวนาเพื่อสู้กิเลสไปเรื่อย ๆ จะเป็นผลเสียหรือผลดี ผมอยากให้ท่านหลวงตาชี้แนวทางให้ด้วยครับ
หลวงตา ก็เจ้าของผิดพลาดก็รู้แล้วว่าความเหลิงเจิ้งของเจ้าของ ไม่ระมัดระวัง ก่อนที่ระวังมันก็ดีอยู่นั่น ทีนี้พอเจ้าของอ่อนลง ๆ คือกำลังของธรรมอ่อนลง กำลังกิเลสก็ตีเข้ามาทำให้เกิดความเสียหายไปเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยไปเท่าไรก็เสียหายหมดทุกข้อในศีลนั่นแหละไม่มีเหลือ และเสียหายหมดตัวเลยเข้าใจ มีเท่านั้นเหรอ
โยม มีอีกครับ เขาบอกสำหรับเรื่องที่ได้กราบเรียนถามเมื่อก่อนนี้เรื่องภาวนาโดยไม่ใช้คำบริกรรม ซึ่งหลวงตาได้กรุณาเมตตาให้คำสั่งสอนไป เกี่ยวกับเรื่องพิจารณาเกศาซึ่งได้รับอุบายให้ไปขยันพิจารณา ก็มีบ้าง แต่รวมลงอยู่เป็นขณิกะ ไม่เคยรวมลง อุปจาระหรือ อัปปนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะยังไม่ได้จริงจังเท่าที่ควรเหมือนแต่ก่อน ทั้งนี้หลวงตามีอุบายในการปฏิบัติต่อไปอย่างไรในช่วงพรรษานี้ ควรน้อมนำธรรมะเข้ามาอธิษฐานเป็นเครื่องอยู่
หลวงตา เอาแค่นี้เสียก่อน ที่สอนไว้นี้ก็ขอให้ปฏิบัติได้เสียก่อน อย่าเอามากรู้ยิ่งกว่าครูเข้าใจไหม เวลานี้พูดไปดูเหมือนจะแซงหน้าครูไปแล้ว มันจะเป็นอาจารย์ใหญ่แล้วนั่น เข้าใจ
โยม ครับ
หลวงตา นี่ละการภาวนาฟังซิ ที่พูดมาคนเบื้องต้นนั่นละ เห็นได้ชัดเลย นี่ละการฝึกตัวเอง คือจิตเป็นของฝึกได้ ถ้าฝึกไม่ได้พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาไม่ได้ เพราะไม่ได้ฝึกหรือฝึกไม่ได้ นี่ฝึกได้จนถึงขั้นเป็นศาสดาประกาศธรรมสอนโลกก็เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ธรรมมีอยู่ในจิตของโลกทั่ว ๆ ไป เพราะธรรมพระพุทธเจ้าที่ได้มาจากการฝึกฝนอบรม เราจะอยู่เฉย ๆ ไม้ซุงทั้งท่อนนี้มันจะเนื้อดีขนาดไหนเนื้อแข็งขนาดไหนมันก็เป็นไม้นั้น ๆ อยู่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์ ต่อเมื่อมาเจียระไนเอามาเลื่อยมาสิ่วมาไสกบลบเหลี่ยมทำปลูกบ้านสร้างเรือนเราเห็นทั่วไปเป็นยังไง นี่แปรรูป มันจะดีขนาดไหนต้องเอามาดัดแปลงให้เต็มภูมิของมัน แน่ะ อันนี้เราก็เหมือนกัน ชื่อแต่ดีเฉย ๆ ไม่ได้เรื่องนะ อย่างในเรือนจำมีทุกแบบ ชื่อของเขาชื่อเดิมเขามีมา เวลาไปติดคุกติดตะรางชื่อเดิมมันก็ติดไปด้วย บางคนนางสวรรค์ นายพรหม พรหมหีพ่อหีแม่มึงยังไงมึงติดคุกละซิเข้าใจไหม สวรรค์ก็สวรรค์หีพ่อหีแม่มันอะไรก็ไม่รู้มันมาติด สวรรค์ของผู้อื่นไม่เห็นได้ยินว่าเทวดาทั้งหลายไปติดคุกติดตะราง ไอ้สวรรค์อันนี้มันทำไมมาอยู่ในตะราง มันสวรรค์บ้าอะไรก็ไม่รู้เข้าใจไหม เอาละ เอาแค่นี้ก่อน
โยม อีกคนหนึ่งครับ กราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพ กระผมมีข้อข้องใจที่เรียนถามเกี่ยวกับการภาวนาและการทำสมาธิ ว่าหลักในการทำสมาธิ เวลาผมทำสมาธิก็เริ่มด้วยการทำภาวนาว่า พุทโธ ให้มีความแนบแน่นอยู่กับใจ และก็ความรู้สึกว่ามีอาการวูบวาบพอจิตสงบพอสมควรก็เกิดแสงแว้บเข้ามาในใจไม่รู้ว่าเป็นแสงอะไร จึงขอกราบเรียนถามหลวงตา
หลวงตา แสงหลอกลวงให้คนภาวนาล้มทั้งหงาย เข้าใจไหม นี่แสงหลอกลวงถ้าเชื่อมันล้มทั้งหงายนะนี่ ล้มทั้งหงาย หงายหมาด้วย หงายไม่เป็นท่าเข้าใจไหม หงายแมวมันตบได้นะ หงายหมานี้แง็ก ๆ ๆ
โยม ไม่ให้สนใจนะครับ
หลวงตา อย่าไปยุ่งกับมัน เอาจิตให้สงบลงด้วยคำบริกรรมให้ติดอยู่กับนี้ นี้เป็นรากฐานสำคัญมากนะ ถ้าคำบริกรรมกับจิตติดแนบกันอยู่แล้ว อาการใดจะเกิดขึ้นไม่ปล่อยอันนี้ เหล่านั้นจะสงบมา อันนี้จะสร้างความสงบแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น ๆ แล้วอาการใดเกิดขึ้นมามันจะทันหมดที่นี่เข้าใจไหม พอฐานของมันดีแล้วมันจะทัน เพราะอันนี้เป็นกิ่งก้านที่ออกไปจากตัวเองทำไมจะไม่รู้เงาตัววะ เหล่านี้เป็นเงาของจิต เมื่อจิตสร้างตัวเองให้แน่นหนามั่นคงแล้วมันจะทราบหมดอาการทุกอย่างเกิดขึ้น เข้าใจแล้วเหรอ เอ้า มีอะไรอีก ว่ามา
โยม อันนี้สุดท้ายครับ กราบนมัสการถามหลวงตา กระผมขอเรียนถามเรื่อง สีลัพพตปรามาส คือว่าเราต้องไหว้ศาลพระภูมิหรือไม่ เราจะทำอย่างไร
หลวงตา ถ้าไม่มีอะไรไหว้ก็ไปไหว้กองขี้หมาก็ได้นะ มันสารพัดถามมา เราก็ต้องตอบแบบนั้นละซิ ไม่งั้นไม่ทันกัน ไม่มีศาลพระภูมิจะไหว้อะไร มีขี้หมูขี้หมาที่ไหนให้ไหว้ไปก่อน พอเจอศาลพระภูมิเมื่อไรค่อยไหว้ บอกอย่างนั้น เอาละ ทีนี้มันติดแล้วมันบ้าเท่ากันก็พอดีละได้มีทุกอย่าง แล้วคำพูดก็จะออกรับกันทุกแบบเข้าใจไหม
โยม เราจะไหว้ศาลพระภูมิหรือไม่นี่ครับ
หลวงตา ศาลพระภูมิอะไรจะเลิศกว่าพระพุทธเจ้า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดอยู่นี้ นี่ละศาลพระภูมิ ขอให้ดีศาลพระภูมิเหล่านี้นอกนั้นล้มเหลวไปหมด ศาลพระภูมิมันเหลวไหลอย่างที่ว่า อย่างที่เขาออกในการ์ตูนเราเคยมาพูดให้ฟัง เออ ศาลพระภูมินั่นเข้าใจเหรอ มันได้ฟังกันแล้วมัง นิทานศาลพระภูมิพวกนี้ได้ฟังกันแล้วยัง เขามีศาลพระภูมิ สายระโยงระยางลงมาจากศาลพระภูมิใหญ่ ปู่ใหญ่อยู่ข้างบน หลานก็มาจุดธูปเทียนอยู่ที่ถังธูปนี้ ปู่ใหญ่ก็ถามว่า เออ เป็นอะไรหลานถึงมาจุดธูปจุดเทียน
หลาน โอ๊ย.หลานเป็นทุกข์มาก หลานนั้นก็หลานเป็นเป็นที่โปรดปรานเหลือเกินเป็นทุกข์มาก
ปู่ เป็นทุกข์มากอะไร
หลาน ก็เป็นทุกข์เพราะปฏิบัติตามปู่นั่นแหละ
ปู่ ปู่สอนยังไงถึงได้ทุกข์มาก
หลาน ปู่สอนให้มีความปรารถนาน้อย
ปู่ แล้วหลานไปทำยังไง
หลาน ไปมีเมียน้อย
ฟังซิน่ะ เสือกไปมีเมียน้อย ทางปู่หมดท่าก็ เฮ่อ เอาละพอ ทีนี้ปู่จะไปละนะ เสือกไปมีเมียน้อย ให้มีความปรารถนาน้อยมันไปมีเมียน้อย
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |