ฐานแห่งธรรม
วันที่ 13 สิงหาคม 2546 เวลา 8:20 น. ความยาว 50.2 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ฐานแห่งธรรม

 

         เมื่อวานนี้ได้ทองคำ ๑๑๖ กิโล ๕๖ บาท คราวนี้จะเร่งให้มีบทหนักบ้าง คราววันที่ ๑๒ พอเรียบร้อยแล้วจะรีบรวบรวมทองคำเข้าหลอม ก้าวแรก ๕๐๐ กิโล ขยับเรื่อยไม่ถอย เวลานี้กำลังรวมบัญชี แล้วเข้าซื้อทองๆ คราวนี้คงจะได้มากอยู่ทอง ให้น้อยกว่าคราวที่แล้วนี้แน่ใจว่าไม่น้อยกว่า คือคราวที่แล้วนั้น ๖๑๒ กิโลครึ่งนะ คราวนี้จะให้สูงกว่านั้น ยังพอจะสูงได้นะจะให้สูงกว่านั้น แต่ส่วนดอลลาร์อะไรยังไม่ค่อยคิดอะไร ไม่แน่นะ ดูซิคราวที่แล้วไปเราได้คิดดอลลาร์อะไรสักอัฐสักแดงเดียวไม่ได้คิดนะ ไปถึงก็จี๋ใส่เลยกับทองคำ หมุนแต่ทองคำตลอดเลย จนกระทั่งทองคำเป็นที่แน่ใจได้แล้ว เราก็บอกไปทางธนาคารชาติ

         บทเวลาทางนู้นถามมาถึงได้รู้ มอบทองคำคราวนี้จะได้มอบดอลลาร์ด้วยหรือเปล่า เราสะดุดใจกึ๊กเลยนะ คือเราไม่ได้คิดเลย มันหมุนแต่ทองคำ พอทางนู้นถามมาว่า มอบทองคำคราวนี้จะได้มอบดอลลาร์ด้วยหรือเปล่า สะดุดใจกึ๊ก ทางนู้นจะทาบจะทามมาแล้วความหวังก็มีพร้อม แล้วตามธรรมดาทองคำกับดอลลาร์มันก็ไปด้วยกัน ทางนู้นถามมามันจะมีแง่อยู่สอง แง่หนึ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือว่า ดอลลาร์เคยไปกับทองคำ คราวนี้จะได้ไปด้วยหรือเปล่า แง่ที่สองถ้าพอมีได้ด้วยก็อยากได้ดอลลาร์ ก็เราไม่ได้คิดเลย ทางนู้นถามมาไม่ทราบว่าจะตอบว่าไง เราก็ตอบเดี๋ยวนั้นเลย ดอลลาร์คราวนี้คงไม่ได้มากนัก คือเราจะให้แต่ไม่แน่ซิ เพราะเราไม่ได้คิดเลยนี่ อยู่ ๆ ก็ถามมาอย่างนั้น ถึงได้คิดปึ๋งปั๋ง ๆ เดี๋ยวนั้น เอาเลย

         แล้วมันก็ไม่พ้นที่จำนวนดอลลาร์มีเท่าไรในคลังหลวง ได้คิด เขาบอกมาว่ามีเท่านั้น ๆ มันจวนจะถึง ๘ ล้านแล้ว ขาดเท่าไร ทีนี้ก็เลยหมุนใหญ่เลยละเอาให้ไ ด้ เพราะฉะนั้นการมอบดอลลาร์คราวนี้จึงไม่มอบเป็นชิ้นเป็นอัน เลยเป็นแสน แล้วก็เป็นหมื่น เป็นพัน ไปอย่างงั้น ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คิดเรื่องดอลลาร์ เราคิดแต่ทองคำมากต่อมาก มุ่งต่อทองคำตลอด แต่เวลามาคิดทางดอลลาร์มันก็หากได้ ก็ผิดคาดผิดหมายเหมือนกัน ถึง ๔๓๒,๐๐๐ นี่ที่มันขาดจำนวนเท่านี้อยู่ในคลังหลวง จะครบ ๘ ล้าน ก็เลยเอาเลย เอาหมดเลย

         คราวนี้ยังไม่คิดนะ คือมีคิดบ้าง เพราะคราวที่แล้วมันกระตุกแรง คราวนี้มีคิดบ้างเท่านั้นไม่มาก แต่จวนเวลาแล้วจะเป็นยังไง จะพิจารณากันทีหลังอีกทีหนึ่ง เรารวบรวมปัจจัยเอาไว้ บอกให้เอาเข้าซื้อทองคำทั้งหมด จะแยกมาหาดอลลาร์ ดอลลาร์ก็ยังไม่เห็นจำเป็นยิ่งกว่าทองคำ ทองคำจำเป็นตลอดเลย ออกหน้าตลอด ๆ เพราะฉะนั้นดอลลาร์จึงไม่ค่อยได้คิดมาก เอานะพี่น้องชาวไทยเราคราวนี้จะเป็นการประกาศก้องชาติไทยของเรา ลบล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่จะพาเมืองไทยของเราให้ล่มจม พากันลบล้างให้ได้นะคราวนี้

         หัวหน้าท่านทั้งหลายนี้จะเป็นจะตายแล้วนะ คิดดูซิ ไปหมุนแต่ทองคำ เวลาเขาถามมาทางดอลลาร์ อ้าปาก คือมันไม่มีอะไรจะตอบเขาใช่ไหม นั่นฟังซิ มันมุ่งหนักขนาดไหนฟังเอาซิ เพราะทองคำเป็นอันดับหนึ่งในหัวใจของชาติ แล้วเราไปดูทองคำเองด้วย ถึงสะดุดใจ ออกมาก็ประกาศป้างเดี๋ยวนั้นเลยนะ พอมาถึงวัดสวนแสงธรรม บ๊งเบ๊งขึ้นเลย ทุกวันเห็นแต่หนังสือพิมพ์ พวกนักข่าวมายุ่งกับเราตลอด วันนี้มันไปไหนวะ มาตั้งแต่ยังไม่มืดแหละ ถ้าอย่างทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะราวสัก ๖ โมงละมั้ง มันยังไม่มืด เราว่า มีไหมเดี๋ยวนี้น่ะนักข่าว มันบันดลบันดาลเขายังอยู่นั้น พอว่างั้นก็สั่งเลยทีเดียว เอ้า ประกาศทองคำตั้งแต่บัดนี้ต่อไป ประกาศให้หนักขึ้นไปเลย

         ตั้งแต่มาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยจืดนะทองคำ หมุนติ้วตลอด จะให้ถึงจุดนั้น เพราะไปดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่จะมีเท่าไร ๆ ไม่จำเป็นต้องมาพูด แบตับออกมาทำไม.หามาใส่ซิถึงถูก เพราะฉะนั้นจึงประกาศอยู่ตรงนี้จุดนี้ พอได้ทองคำถึง ๑๐ ตันแล้วก็จะพอหายใจได้ละ นี่จะไม่มีช่องหายใจ มันตีบตันเอามากทองคำเรา จึงต้องเบิกให้เป็นที่หายใจเข้าออกได้ จึงต้องประกาศลง ฟาดลงถึง ๑๐ ตันเลย คำนวณดูที่มีอยู่กับได้มาเป็นยังไง ถ้าได้ ๑๐ ตัน แล้วจะพอหายใจได้โล่งพอสมควร ไม่เต็มปอดก็ตาม ได้ แน่ใจเพราะได้พิจารณาเรียบร้อยแล้วถึงได้ประกาศออกมา

ด้วยเหตุนี้เองทองคำจึงให้ขาด ๑๐ ตันไม่ได้ ว่างั้นเลย เอาคอคนไทยเราทั้งประเทศนี้ คอหลวงตาบัวเป็นคอที่หนึ่งตัดรองให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ส่วนดอลลาร์นั้นเราค่อนข้างแน่ใจอยู่แล้วว่าคงไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้าน เวลานี้มันก็ได้ ๘ ล้านกับ ๑ แสนกว่าไปแล้ว ถึงเวลาแล้วเพียงเท่านั้นมันไม่หนักนัก ไม่เหมือนทองคำ ทองคำนี่หนัก ยกยาก ส่วนดอลลาร์เบากว่ากันอยู่มาก เราจึงค่อนข้างแน่ใจว่าได้ แต่พอทองคำถึง ๑๐ ตันแล้ว ดอลลาร์จะไปหลบซ่อนอยู่มุมไหน จะไปลากขาลากหางมันออกมา ถ้าเห็นหางดึงหางมันออกมา มองเห็นขาดึงขาออกมาก เอาจนให้ได้ ๑๐ ล้าน แล้วเราพอใจ ทีนี้เมืองไทยเราก็จะสง่างามขึ้น เมื่อได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันสง่างาม

เมืองนอกเมืองนาที่ไหนเขาจะตำหนิติเตียนเราก็ตำหนิติเตียนไม่ได้ เพราะเมืองไทยเราใครก็ทราบแล้ว ไม่ใช่เมืองเศรษฐี แต่ทำไมตะเกียกตะกายได้ทองคำมาถึง ๑๐ ตัน นั่นเอาตรงนี้ เมืองเศรษฐีเขาไม่เห็นเอามาให้เราสักกิโลหนึ่งวะ พวกเราเป็นเมืองทุคตะเข็ญใจ ถึงขั้นที่จะล่มจมอยู่แล้วยังฟื้นตัวขึ้นมาได้ขนาดนี้ ไม่ชมจุดนี้จะชมจุดไหนว่ะ นั่น เอาตรงนี้แหละเรา จึงต้องตะเกียกตะกาย

ไปก็สั่งเสียเรียบร้อยแล้วนะ พิจารณาทางโน้นทางนี้รีบด่วน ทองคำก็เอาไปหมดแล้ว ทองคำคราวนี้ก็ได้เยอะอยู่ เอาไปด้วยอะไรด้วย เงินก็โอนไปให้พร้อมแล้ว.เงินทางนี้มีเท่าไรก็โอนไป แล้วก็รอจ่อใส่ทองคำ จะถูกหรือแพงก็ตาม จำนวนเงินเหล่านี้ที่จะซื้อทองคำนี้ต้องให้ซื้อ มันแพงก็แพง ถูกก็ถูก เมืองไทยเรามีค่ายิ่งกว่าราคาทองคำแพงเพียงเท่านั้นเท่านี้กี่บาท เอาให้ได้ สั่งไปหมดแล้วนะ คือเราก็รอตามจังหวะเฉยๆ พอจวนถึงที่แล้วใส่ตูมเลย เอาเลย จะขึ้นหรือลงช่างหัวมัน เอาให้ได้ว่างั้น แล้วให้รีบบอกมา พอลงใจทุกอย่างเป็นที่แน่นอนแล้วให้รีบบอกมา ก็คิดว่าจะได้มากกว่าคราวที่แล้วอยู่ คราวที่แล้ว ๖๑๒ กิโลครึ่ง คราวนี้เราค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า ไม่ต่ำกว่า ๖๐๐ กิโล อย่างน้อยเรียกว่าต้องชนะกันอยู่กับ ๖๐๐ กิโล เราคำนวณไว้หมดเรียบร้อยแล้ว เราให้หนักอันนี้เผื่อข้างหน้า เพราะข้างหน้ายังหนักมากกว่านี้ คราวนี้จึงต้องให้หนักเพื่อแบ่งเบาข้างหน้า

         งานเรานี้เป็นยังไง เขาว่าเป็นงานใหญ่ มองดูคนเต็มหมดเมื่อวานนะ หรูหราฟู่ฟ่าทุกอย่าง สมบัติเงินทองข้าวของก็ไหลมาเต็มที่ ๆ เมื่อวานนี้ เรียกว่าสมบูรณ์ในงานเมื่อวานนี้ แต่งานวันกฐินยังจะหนักมือกว่านี้อีกนะ งานนี้ถ้าเราไม่ได้คาดงานกฐินก็ว่าเป็นงานใหญ่โต ว่าเป็นงานที่สมบูรณ์พอสมควร แต่พองานกฐินยังจะหนักมือกว่านี้ ให้สมบูรณ์ยิ่งกว่านี้เข้าไปอีก นี่ละมันถึงหนักตรงนี้นะ จึงให้เตรียมพร้อมไว้ทุกคน แล้วสุดท้ายก็คือธันวาฯ สิ้นปีธันวาฯ นั้นละตอนขีดเส้นตายกันเลย เตรียมไว้นะคอทุกคน ๆ  ถ้าความล่มจมคอไม่ขาด เมืองไทยเราต้องคอขาดทั้งประเทศเลย เท่านั้นละ คอความล่มกับคอเมืองไทยเราจะเอาชัยชนะกัน คอใครจะยังเหลืออยู่ คอใครจะขาด เอาตรงนั้นละ

         หลวงตาบัวเป็นตัวประกันอยู่แล้วอยู่ข้างหน้าสนามรบแล้ว ไม่ถอย ถ้าลงได้ทำอะไรแล้วเป็นไม่ถอย ขาดขาดไปเลยเทียว นี่อำนาจแห่งความเอาจริงเอาจัง ความเด็ดเดี่ยวอาจหาญนี้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์มันก็เห็นประโยชน์เรื่อยมาๆ อย่างงั้น เราเห็นคุณค่าแห่งความจริงความจัง ไม่ได้เห็นคุณค่ากับความเหลาะแหละโยก ๆ คลอน ๆ นะ แม้แต่การทำความเพียรเราก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว เราคิดย้อนหลังความเพียรของเรานี่จะหาที่ตำหนิที่ไหนไม่ได้เลย มีตั้งแต่ขยะๆ คือเวลามาถึงขั้นที่เราจะทบทวนย้อนหน้าย้อนหลังแล้ว มาทบทวนเรื่องความพากเพียรของเราตั้งแต่เวลาที่กำลังฟัดกันอยู่บนเวที กับเวลามายืนอยู่นอกเวทีแล้วมองย้อนหลังกลับไปนี้ขยะ ๆ ถึงขั้น โอ้โห อย่างงั้นมันก็ทำได้ อย่างนี้มันก็ทำได้

         คือตอนนั้น หนึ่ง ร่างกายเข้มแข็งมีกำลังวังชา ยังหนุ่มยังน้อย สอง ความมุ่งมั่นต่อแดนแห่งความพ้นทุกข์ พูดตรง ๆ ก็คืออรหันต์ว่าอย่างงั้นละ ความมุ่งมั่นนี้แรงที่สุด นี่ละกำลังของใจสำคัญมากนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดให้ดี ถ้ากำลังของใจดีแล้วอะไรจะอ่อน ใจดึงจนได้ๆ กำลังใจนี้ ถ้ากำลังใจอ่อนเสียอย่างเดียวนี้ล้มตูมเลย นี่เรามาพิจารณาย้อนหลังถึงเรื่องความเพียร ตั้งแต่ตัดสินใจปึ๋งลง หลังจากได้ฟังโอวาทของพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วว่าสมบูรณ์แบบทุกอย่าง แต่ก่อนเราก็มีข้อข้องใจ ความมุ่งมั่นอันนั้นก็มีแต่มันยังไม่เต็ม พอได้ฟังอรรถฟังธรรมท่านที่ออกมาเหมือนหนึ่งว่าจับเรดาร์กับหัวใจเราเรียบร้อยแล้ว

         ไปก็ใส่ผางเลย ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรค ผล นิพพานเหรอ ชี้ไปเลย ดิน ฟ้า อากาศ ต้นไม้ ภูเขา ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วแดนโลกธาตุไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรค ผล นิพพาน นั่น กิเลสแท้ ธรรมแท้ มรรค ผล นิพพานแท้อยู่ที่ใจ ลงตรงนี้เลย ให้ท่านเน้นหนักทางใจให้มากนะ ชี้ลงเลยว่าเน้นหนักทางใจ จะรวมอยู่ที่นี่หมด สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ตัวใจนี้เป็นตัวกิเลส รังกิเลส เป็นคลังของธรรม เอา ให้ลงจุดนี้ให้ดี ให้เน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา จากนั้นท่านก็มีอะไรแย็บออกมา โอ๋ย เราไม่ลืมเพราะมันฟังจริง ๆ ให้เน้นหนักด้านจิตตภาวนา ยังไงจิตจะมีความสงบเป็นรากฐานแห่งธรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้แล้ว ให้เน้นหนักลงจุดนั้น จิตตภาวนาเพื่อความสงบของใจ ฐานแห่งธรรมจะเกิดที่นี่ ความหมายว่างั้น ธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นจากความสงบของใจ

เมื่อใจมีความสงบแล้วใจก็มีทุนมีรอนที่จะหากำไรต่อไปได้ ถ้าใจยังไม่สงบแล้วมันไม่ได้เรื่องนะ ต้องมีสงบ ต้องเน้นหนักลง เอา ยังไงใจจะสงบเอาให้เต็มเหนี่ยวนะ อย่าไปคิดเรื่องอะไรๆ จากนั้นแล้วท่านก็ย้อนมาอีกว่า ท่านอย่าว่าผมประมาทธรรมะของพระพุทธเจ้านะ ท่านก็เรียนมามากพอสมควรถึงขั้นเป็นมหาแล้ว แต่เวลานี้ธรรมมากน้อยที่ท่านเรียนมานั้น ขอให้ยกบูชาไว้ก่อน เวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์ นอกจากจะมาคละเคล้าถีบเตะยันกันให้ภาคปฏิบัติไขว่คว้านี้ล้มเหลวไปเท่านั้น อย่างไรจิตจะสงบ เอาลงจุดนี้นะ ท่านอย่าไปคิดถึงเรื่องปริยัติที่เรียนมามากน้อย จะมาเป็นข้าศึกต่อภาคปฏิบัติคือความสงบ ใจจะสงบได้ยาก เวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์สำหรับปริยัติ ว่างี้นะท่านพูด ให้ท่านเน้นหนักทางด้านปฏิบัติ ให้จิตสงบให้ได้ ถึงเวลาภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติจะวิ่งเข้าประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ นี่อันหนึ่งนะ

เราก็จับไว้หมดเลย เมื่อถึงคราวภาคปริยัติที่เรียนมานั้น กับภาคปฏิบัติ คือผลที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติของตัวเองจะวิ่งประสานกันแล้ว เอาไว้ไม่อยู่ นี่แหละเอาไว้ไม่อยู่ มันเป็นจริงๆ บทเวลาถึงขั้นแล้ว ตอนนั้นเราก็เชื่อท่านเราไม่เอาจริงๆ นะ ปริยัติเรียนมามากน้อยไม่ไปสนใจเลย เอาตามท่านเพราะเรามันเป็นเถรตรง พูดอะไรถ้าลงแล้วลงอย่างนั้น มุ่งแต่ภาคปฏิบัติ ทำไงจิตจะสงบเย็นดังที่ท่านว่า เน้นหนักลงๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่านี่ ปริยัติกับปฏิบัติวิ่งประสานกัน คือออกทางด้านปัญญาแล้ว ทางภาคปฏิบัติสมาธิเป็นต้นทุนหนุนปัญญาให้เกิดได้ ถ้าไม่ขี้เกียจขี้คร้านนอนจมอยู่กับสมาธิคือความสงบนั้นเสีย แล้วออกพิจารณาทางด้านปัญญา

เมื่อด้านปัญญามีความรู้ความฉลาด เห็นผลแห่งการพิจารณาของตนแล้ว ปัญญาจะก้าวเดินอย่างคล่องตัวๆ นี่ละถึงขั้นปัญญาออกเดิน ปัญญาออกเดินนี่แก้กิเลส ไม่ได้เหมือนสมาธิซึ่งมีแต่ความสงบ หาทางแก้กิเลสไม่มี มีแต่ความสงบ เหมือนหินทับหญ้า ความสงบทับกิเลสทั้งหลายไม่ให้ฟุ้งซ่าน ทับเอาไว้นั้น ทีนี้พอทางด้านปัญญา เอาหินออกแล้วคุ้ยเขี่ยขุดรากแก้วรากฝอยของหญ้าออกให้หมด ซึ่งเท่ากับค้นคว้าคุ้ยเขี่ยขุดค้นหากิเลส ตอนนี้ละตอนปัญญาออก

ทีนี้เวลาปฏิบัติ ปัญญาเกิดเท่าไร ฆ่ากิเลสมันฆ่าด้วยปัญญาจริงละที่นี่ เห็นแล้ว แต่ก่อนความสงบเย็นใจมากน้อยเพียงไรไม่เห็นปรากฏว่าฆ่ากิเลส มีแต่ความเพลินในความสงบของตัวเอง แต่พอปัญญาออกก้าวเดินนี้ ความรู้ความฉลาดมันสูงกว่าสมาธิเป็นไหนๆ จากนั้นมันก็พุ่งเลย พอสติปัญญาพุ่งออกนี้แล้ว ที่นี่เหตุผลกลไกจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเกิดขึ้นแล้ว ทางเราเรียนมาบ้างที่มันยังไม่แน่ใจตรงไหนหรือขัดข้องตรงไหน ปริยัติท่านเป็นยังไง ท่านว่ายังไง ปริยัติว่ายังไง ทีนี้มันวิ่งถึงกันนะ ปริยัติที่เรียนมาเอาไว้ไม่อยู่ๆ จริงๆ พอมันรู้อันนี้มันหาหลักฐานพยานที่ยังไม่แน่ใจ หาเหตุหาผล ก็วิ่งใส่ปริยัติที่เรียนมามากน้อย ประสานกันเรื่อยๆ

นี่ละที่ว่าเมื่อถึงขั้นสติปัญญาออกก้าวเดินแล้ว ปริยัติกับปฏิบัตินี้จะวิ่งประสานกันทันทีเอาไว้ไม่อยู่ๆ มันพุ่งๆ ของมัน นี่เราไม่ลืม นี่ก็เพราะสนใจจริงๆ ฟังจริงๆ ไปฟังท่านไม่ใช่ฟังธรรมดานะ เอาทุกกิทุกกีเลย ไม่ลืมนะ เวลาท่านเทศน์จับได้เรียกว่าเต็มหัวอกแล้ว เอาละที่นี่ ขึ้นเลย จะจริงหรือไม่จริง ถามตัวเอง ทางตัวเองก็ตอบขึ้นทันที ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นู่นฟังซิเอาตายเข้าว่าเลย จากนั้นมาก็พุ่ง นี่ละทุกข์ตอนนี้ละ ทุกข์มากที่สุด ตั้งแต่ลงใจทุกอย่างๆ แล้วนี้ เรียกว่าเป็นทุกข์มากที่สุด แต่ทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อบรมสุข ทุกข์เพื่อชัยชนะเพื่อบรมสุข ไม่ใช่ทุกข์อย่างที่สัตว์โลกทั้งหลายวิ่งถลอกปอกเปิกกับกิเลส ทุกข์ไปเท่าไรหนังถลอกออก เนื้อขาดออก ทุกข์ไปเท่าไร กระดูกตับไตไส้พุงพังออกไปๆ ทุกข์เท่าไร นี่กิเลสลากไปมีแต่พังออกไป ฉิบหายไม่มีอะไรเหลือเลย ทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ ทุกข์ที่วิ่งตามกิเลสนี้เป็นทุกข์มหันตทุกข์ ทุกข์ที่ต่อสู้กับกิเลสนี้ทุกข์เพื่อสุข ทุกข์เพื่อบรมสุข

ดังที่ท่านแสดงไว้ในธรรมก็มีในบาลี สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ ทุกข์จะเกิดขึ้นจากลำดับแห่งความสุขที่สุกเอาเผากินนั้น อันนี้เป็นเครื่องที่ทำคนให้ลืมตัวและเป็นทุกข์ข้างหน้า ทุกข์เกิดในลำดับแห่งสุข คือสุขด้วยความอยู่สบายๆ นั่งภาวนาก็เอาหมอนเป็นที่สบาย เอาเสื่อเป็นที่สบาย พอจิตสงบบ้างก็เอาความสงบนั้นเป็นที่สบายเรื่อยๆ เลย นี่พวกนี้มันจะตายกองกันนะจำให้ดี ทีนี้ทุกข์อันหนึ่งมีแต่จะหมุนออกตลอดเวลาเลย ทุกข์ถึงขนาดนอนไม่หลับเลย นอนไม่ได้เลย มันเอาของมันขนาดนั้นนะ กลางวันกลางคืนไม่สนใจการหลับการนอน มีแต่หมุนกับกิเลส ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติหมุนติ้ว ฆ่ากันเรื่อย สังหารกันเรื่อย จิตนี้ก็หมุนติ้วๆ อันนี้ทุกข์

ไม่ทุกข์ได้ยังไง บางคืนนอนไม่หลับเลยนะ จะทำยังไงให้มันหลับมันก็ไม่หลับ เช่นนอนอย่างนี้ จะนอนพักสงบให้หลับ นอนก็นอน นอนมันก็ฟัดกันอยู่ภายในจิต จิตไม่มีอิริยาบถนี่นะ กิเลสไม่มีอิริยาบถ เรานอนอยู่ ระหว่างธรรมกับกิเลสซัดกันอยู่บนหัวใจ มันก็ซัดกันอยู่ในนั้น เรานอนก็เหมือนซุงทั้งท่อน สุดท้ายมันก็ไม่หลับ เอ้า ลุกขึ้นมานั่งก็ยิ่งฟัดกันอีก อ้าว เหนื่อยทางนี้ลงไปเดินจงกรม สุดท้ายก็แจ้งอยู่ที่ทางจงกรม พอกลางวันมาอีกมันก็จะไม่นอน มันหมุนของมันอยู่งั้น นี่ถึงขั้นมันเห็นภัย ถึงขั้นที่ว่าทุกข์เพื่อบรมสุข ทุกข์ขนาดไหนก็ทุกข์เถอะ บรมสุขเหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ มันหมุนของมันไปเรื่อยๆ

คำว่าทุกข์มันมีหลายขั้นนะ ทุกข์ด้วยความตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานนี้ก็เป็นทุกข์แบบหนึ่ง ทุกข์แบบนี้คอยที่จะล้มเหลวนะไม่ค่อยจะฟื้น ทุกข์ไปทุกข์มาสู้กิเลสไม่ได้ก็ล้มเหลวไปทุกข์แบบนี้ ล้มเหลวแบบนี้ทั้งกิเลสก็แบ่งเอาไปกิน ธรรมก็แบ่งไปกินนิดหน่อย กิเลสเอาไปกินมากกว่าธรรม นี่ตะเกียกตะกายเบื้องต้น แต่ เอ้า ฟิตลงไปๆ แล้วทางด้านธรรมะจะได้กินมากขึ้นๆ ทางกิเลสได้กินน้อยลงๆ ทางนี้ฟิตเข้าไปๆ เดี๋ยวเย็บปากกิเลสไม่ให้มันอ้าปากกินได้เลย นี่พูดถึงเรื่องความเพียร ทุกข์ขั้นนี้ขั้นล้มลุกคลุกคลาน ที่ยังไม่มีทุนมีรอน จิตใจหาความสงบไม่ได้นี้เป็นทุกข์มากอยู่ เป็นขั้นหนึ่ง ต่อจากนั้นทุกข์ก็จริงแต่ความสงบเย็นใจมี นี่ก็มีต้นทุน จากนั้นความสงบเย็นใจมีมากขึ้นๆ ก็มีแต่ความสุขทางสมาธิ ทางด้านปัญญายังไม่ก้าวออกก็เหมือนหมูขึ้นเขียง นอนเป็นซุงอยู่บนเขียงนั่นแหละหมู เขาหั่นหอมหั่นกระเทียมไว้นั้น หมูยังนอนหลับสบาย นี่เป็นประเภทหนึ่ง

คือผู้ที่จิตเป็นสมาธิ จะว่าขี้เกียจหรือก็ไม่ใช่ มันก็ขยันอยู่กับความสงบ ทั้งวันมันก็อยู่ได้ จะว่าขี้เกียจก็พูดยากๆ ต่อเมื่อเอาปัญญามาจับปั๊บ นี่ตัวขี้เกียจใหญ่อยู่ตรงนี้ มันเหมือนหมูขึ้นเขียง จิตที่มีสมาธิอยู่ด้วยความสงบเย็นใจ ไม่ได้คิดอ่านทางด้านปัญญาเพื่อฆ่ากิเลสเลย เรียกว่าสุขประเภทนี้สุขหมูขึ้นเขียง พอออกทางด้านปัญญานี่เป็นทุกข์ทุกด้าน มีความสุขบ้างตอนจิตมีสมาธิ อยู่ที่ไหนสุขหมด สบายหมดเลย พอออกทางด้านปัญญานี้ทุกข์นะ แต่มันเหมือนกับงานเด็กงานผู้ใหญ่เป็นลำดับลำดาไป เด็กก็ให้มีงานของเด็กทำ เด็กควรจะทำยังไงก็ให้มีงานเป็นประจำๆ พอถึงงานขั้นผู้ใหญ่แล้วจะหมุนติ้วไปเลย ทุกข์ขนาดไหน ผู้ใหญ่รู้จักหน้าที่การงานของตัวเองใช่ไหมล่ะ มันก็ทำของมันเอง อันนี้ทุกข์ขนาดไหนมันก็ทำของตัวเองไม่ค่อยสนใจเรื่องทุกข์

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์มากทีเดียว เดินจงกรมจะว่าสุขหรือว่าทุกข์ ถ้าได้ลงทางจงกรมแล้วทั้งวันมันก็อยู่ได้ ไม่ว่ากลางคืนไม่ว่ากลางวันถ้าลงทางจงกรมแล้วอยู่ได้เดินได้ตลอด นั่นที่ท่านว่าเดินจงกรมทำความเพียรฝ่าเท้าแตก อย่างพระโสณะ ทำความเพียรจนฝ่าเท้าแตก แต่ก่อนเราอ่านทางปริยัติก็อ่านไปผ่านไป ความหยั่งจิตลงสู่เหตุผลว่าจริงไม่จริงขนาดไหน ยังไม่หนักแน่นนักละ อ่านผ่านไป เวลาจิตผ่านเข้าไปตรงนี้แล้วมันถึงรู้ พอถึงความเพียรขั้นนี้ ขั้นจะออกจากทุกข์โดยถ่ายเดียวนี่หมุนติ้วตลอดเลย พาเดินจงกรมทั้งวันก็เดินได้สบาย นั่งสมาธินั่งเท่าไรๆ ก็ได้ ถ้าได้ลงทางจงกรมแล้วกลางวันทั้งวัน กลางคืนนี้ทั้งคืนไปเลย ไม่ได้สนใจกับอะไร มีแต่หมุนอยู่ กิเลสกับธรรมอยู่ที่หัวใจ ฟัดกันอยู่ที่นี่

ที่นี่เดินก็เลยลืมตัวไป วันไหนก็เดิน คืนไหนก็เดิน ทุกวันทุกคืนเดินมาตลอด ฝ่าเท้ามันจะเอากำแพงมาจากที่ไหนมาหนาแน่น ถึงขนาดที่มันจะทะลุไม่ได้จะแตกไม่ได้ วันไหนก็เดิน มันก็บางเข้าๆ ฝ่าเท้าเราบางเข้าๆ นี่ฝ่าเท้าแตกได้เพราะความเพียรบังคับ ถ้าว่าธรรมดานี้จะบังคับให้เดินจงกรมภาวนาจนฝ่าเท้าแตกมันเชื่อไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าว่าความเพียรประเภทนี้ ยอมทันทีเลย ไม่เชื่อยังไงก็มันบังคับกันอยู่ ถ้ากิเลสไม่พังฝ่าเท้าพัง คือฝ่าเท้าแตก ถ้ากิเลสแตกแล้วความเพียรท่านก็รู้ประมาณของท่านเอง หยุดทันทีเมื่องานเสร็จแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ เสร็จ การประพฤติพรหมจรรย์ได้อยู่จบเรียบร้อยแล้ว กตํ กรณียํ งานที่จะควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ งานอื่นให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี

งานพระอรหันต์สิ้นปุ๊บลงนี้งานเสร็จ ตั้งแต่บัดนั้นมาพระอรหันต์ไม่มีงานฆ่ากิเลสเลย ก็มีแต่งานสงเคราะห์โลกสงสาร งานปฏิบัติตามธาตุตามขันธ์ธรรมดาเราเท่านั้น ท่านไม่มีงานเพื่อแก้กิเลสตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายเสียดแทงหัวใจตลอดเวลานี้เลย  ท่านจึงว่า  วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ การประกอบความพากเพียรหมุนไป ๆ ตลอด ถึงขั้นมันหมุนของมัน ทีนี้เวลาพิจารณาย้อนหลังไป หาที่ตำหนิไม่ได้เลย มีแต่ โอ้โห ๆ อย่างนั้นมันก็ทำได้ๆ คืออย่างทุกวันนี้ ก็หมายถึงว่าออกจากเวทีนี้มาแล้วมาดูที่บนเวทีสนามมวยที่เราต่อยกับกิเลสแต่ก่อนนั้น กับปัจจุบันที่ออกจากเวทีมาแล้วมันทำไม่ได้ คือทำก็ตาย ทำแบบนั้นตายเลยไม่มีเหลือ แต่เวลานั้นมันไม่ตาย หนึ่ง ธาตุขันธ์มีกำลังวังชาอยู่ ถึงจะอดข้าวอดน้ำจนจะก้าวขาไม่ออก พอไปกินข้าวกลับมาแล้วเดินนี้ม้าแข่งสู้ไม่ได้ เพราะกำลังมันมี พอฉันจังหันจากนั้นมาแล้วเดินนี่ม้าแข่งสู้ไม่ได้ เพราะมันมีกำลังวังชา

ทีนี้มาเทียบอย่างทุกวันนี้แล้ว กำลังวังชาของธาตุของขันธ์มันก็ไม่มี แล้วความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์อย่างนั้นมันก็ไม่มี เมื่อมันไม่มีแล้วไปทำแล้วตายเลย บอกว่าให้เขียนใบตายให้เลย แล้วทำโลงศพไว้เลย ไม่มีเหลือ แต่ระยะนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องตาย มันเป็นอย่างนั้น ค่อยเป็นมาๆ  ด้วยความอุตส่าห์พยายามความขยันหมั่นเพียรเป็นผลหนุนมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งว่าหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วความพากเพียรหยุดเอง ไม่มีอะไรละ นั่นละการทำงานทางอรรถทางธรรมนี้มีวันเสร็จสิ้นได้ ไม่ยืดเยื้อ ไม่ต่อกันไปตลอดเวลาตั้งกัปตั้งกัลป์เหมือนงานของกิเลสลากเข็นสัตว์โลกให้ลงอยู่ในกองทุกข์ ทุกข์แล้วทุกข์เล่าตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่มีเวลาหยุด แต่งานของธรรมนี้มีเวลาหยุด พอสิ้นสุดแล้วหมดเลย พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่มีการทำความเพียรเพื่อฆ่ากิเลส ก็มีแต่งานการที่ช่วยสงเคราะห์โลกสงสารและดูแลธาตุขันธ์รับผิดชอบกันไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น พอวาระสุดท้ายสมมุติสุดท้ายคือลมหายใจขาดปั๊บแล้วท่านก็ดีดผึงไปเลย จะไปหาพระที่ไหนมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา หาๆ อะไร เท่านั้นพอ

การประกอบความพากเพียรที่ได้ดำเนินมานี้เราพูดจริงๆ เราไม่ได้คุย เราทำอย่างนั้นจริงๆ แล้วผลก็ปรากฏมาอย่างนั้นๆ นี่ละการทำความดีทำเท่าไรหนักเท่าไรๆ ก็ยิ่งดีเด่นๆ ก้าวไม่หยุดก้าวไม่ถอยมันพ้นได้ถึงได้ ถ้าก้าวแล้วถอยหน้าถอยหลังมันถึงไม่ได้แหละ ถึงก็ไปถึงเสื่อถึงหมอนนั่นแหละไม่ไปไหน ผลที่ปฏิบัติมานี้ตั้งแต่เริ่มแรกตะเกียกตะกายมาถึงขนาดที่ว่าน้ำตาร่วงเพราะสู้กิเลสไม่ได้ จนกระทั่งถึงกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่มีอะไรเหลือภายในใจ ข้าศึกศัตรูภายในใจสิ้นสุดลงเป็นวาระสุดท้าย คือกิเลส อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ขาดสะบั้นลงไปจากใจ หมดข้าศึกภายในใจ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นอนันตกาล ท่านว่า นิพพานเที่ยง ก็คือธรรมชาติของจิต หมดข้าศึกแล้วนั้นแล

นี่ละการตะเกียกตะกายทำความดีทุกประเภท ต้องอาศัยกำลังวังชา อาศัยความอุตส่าห์พยายาม นี่ก็ได้ทำมาอย่างนั้น จนกระทั่งถึงนั่นแล้ว เวลามาช่วยชาติบ้านเมืองกิริยานิสัยนี้มันก็ส่อแววให้เห็นอยู่ตลอดนั่นแหละ จะทำอ่อนแอท้อแท้อย่างนี้ไม่มี ลงตัดสินใจว่าจะทำอะไรแล้วผึงๆ ๆ เลย อะไรมาขวางหน้าไม่ได้ ขาดสะบั้นไปเลย อย่างที่ช่วยชาติอย่างที่พี่น้องทั้งหลายเห็นเหมือนกัน อะไรผ่านไม่ได้เลย เราจะยกชาติของเราขึ้นจากหล่มลึกขึ้นจากความล่มจมทั้งหลาย แล้วในนามเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายเราจะทำอ่อนแอได้อย่างไร แต่ไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะไม่ทำอ่อนแอเพราะเรานำพี่น้อง มันหากเป็นอยู่ในนั้น เป็นเองในหลักธรรมชาติของจิต มันก็หมุนติ้วๆ ของมันตลอดมาอย่างนี้แหละ

นี้ก็วางมาเป็นระยะๆ วางอันนี้ไว้เกี่ยวกับภายนอกเพื่อนฝูงแกงหม้อใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องของเรานี้ให้มันขาดก็มีทันทีเลย เอานะขาดเลย ๆ นี่เอานะทางนี้ พอไปจับปั๊บร้องแก้กขึ้น สงสาร ปล่อยเสีย แล้วไปจับคอนี้เอานะ ทางนี้ก็ร้องแก้ก เลยไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว เพราะฉะนั้นอย่าร้องนะ เอาฟัดเลย เข้าใจไหม ถ้าคอขาดเราจะไปหาขี้หมูราขี้หมาแห้งเป็นยาทาคอให้ เอาให้ได้นะเมืองไทยของเรา อย่าอ่อนแอ

คราวนี้จะเป็นการประกาศก้องเมืองไทยเราขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ อย่างไม่สงสัยเลย เพราะเมืองไทยเราจะล่มจมนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์ขึ้นแล้วในระยะเดียวกัน ทีนี้เวลาเราฟื้นฟูชาติไทยของเรา ด้วยความรักชาติ ด้วยความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงกันแบบเอาจริงเอาจังแล้วจะฟื้นขึ้นมา โลกทั้งหลายเขาจะได้เห็นเรา เมืองไทยเราไม่ใช่เมืองไร้คุณค่าไร้ราคาอะไร เป็นเมืองที่มีคุณค่ามีราคาสมบูรณ์แบบกับโลกทั่วๆ ไป ทำไมเราจะยอมอ่อนข้อให้ความล่มความจมมาเหยียบหัวคนไทยทั้งประเทศให้จมลงไปเลยนี้เป็นไปไม่ได้ ว่างั้นเลย เอาให้คอขาดไปเลย ถ้าเมืองไทยจมให้คอเราขาดเสียก่อน จมไปไหนจมเถอะถ้าคอขาดแล้วมันสุดวิสัย แต่นี้คอยังไม่ขาด เอาเลย นั่นต้องอย่างนั้นนะ

ให้เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้านะ วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้มากน้อยเพราะอำนาจแห่งความพากเพียร ไม่ใช่เพราะอำนาจแห่งความขี้เกียจ ความขี้เกียจกับความพากเพียรมันไปด้วยกัน แต่ส่วนมากความขี้เกียจมันเหยียบหัวความพากเพียรไปเสีย มันไต่ขึ้นบนหลังเหยียบคอไปเลยความขี้เกียจ ความเพียรเลยมีแต่ครางแอ๊ๆ

เราจะเร่งตั้งแต่บัดนี้แหละไป หนักมือๆ จะได้รู้กันตอนวันที่ ๒๖ เป็นวันมอบทองคำ แต่สำหรับภายในผู้นำคือเรานี้จะรู้ก่อนแล้ว รู้ก่อนทุกอย่างๆ แล้วผลแสดงออกมาจะทั่วถึงกันวันที่ ๒๖ วันนี้จะเอาให้หนักมือเทียว พูดเท่านั้นละ

(มีปัญหาครับ การบริจาคร่างกายที่สิ้นลมแก่สภากาชาดไทย ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และทานนั้นไม่ให้ผลจริงหรือไม่ เนื่องจากร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรถือว่าเป็นเรา) เอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ถ้าไม่ถือว่าเป็นเราเป็นของเราใช่ไหม (ครับ ทำนองนั้น) ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพากันสะแตกข้าวซี (ผู้ฟังหัวเราะ) อ้าว ข้าวไม่ใช่เรา ข้าวไม่ใช่ของเรา สะแตกหาอะไร เอากันอย่างนั้นซี อะไรก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา อดตายเป็นเราก็ให้มันเป็นไปเสีย ไปกับเราที่ตายนั่นนะ เข้าใจเหรอ เอ้า ถามมาอีก

(ข้อสองนะครับ เขาบอกการบริจาคโลหิตไม่ก่อให้เกิดผลบุญจริงหรือไม่ เนื่องจากเข้าข่ายปาณาติบาต ลูกได้รับเหตุผลจากพระคุณเจ้าท่านหนึ่งกล่าวว่า การบริจาคโลหิตเป็นเพียงสงเคราะห์คนที่ปลายเหตุ หากต้องการสงเคราะห์ที่ต้นเหตุต้องสอนให้เขาเจริญในทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อดับเหตุของกรรมนั้นๆ ประเด็นที่สอนให้ดับที่เหตุ ลูกเห็นด้วยแต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมการบริจาคโลหิตจึงเข้าข่ายปาณาติบาต) ขี้เกียจตอบ ไม่ตอบไม่เกิดประโยชน์ อันนี้โลกเขาก็รู้กันอยู่แล้ว อะไรเป็นปาณาติบาตติแบด ถ้าตอบมันจะแรงไป เอาเท่านั้นละ

สรุปทองคำ ดอลลาร์ เงินสด วันที่ ๑๒ สิงหา ทองคำได้ ๑๑๖ กิโล ๕๖ บาท ๗๔ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๗,๘๙๑ ดอลล์ เงินสดได้ ๖,๒๒๔,๕๔๑ บาท ทองคำและดอลลาร์ที่ได้เพิ่มหลังจากมอบแล้วเวลานี้ได้ ๕๖๙ กิโล ๒๙ บาท ๑๓ สตางค์ ดอลลาร์ขึ้นสองแสนแล้ว คงไม่ผิดหวังแหละธนาคารชาติ ดอลลาร์ได้ ๒๕๔,๙๙๑ ดอลล์ รวมทองคำทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นทองคำ ๗,๒๙๖ กิโล ดอลลาร์ได้แล้วทั้งหมด ๘,๒๕๔,๙๙๑ ดอลล์ กรุณาจำไว้ กว่าจะถึงโน้นจะได้มากกว่านี้ ถึงวันที่เราจะไปกรุงเทพ ไปกรุงเทพก็ได้อีกเข้าอีก จากนี้ถึงวันไปกรุงเทพก็หลายวันอยู่

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก