ศาสดาอยู่กับผู้รักธรรมรักวินัย
วันที่ 9 สิงหาคม 2546 เวลา 11:30 น. ความยาว 69.44 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมคณะท่านพระอาจารย์แบน ธนกโร

มากราบถวายทองคำและดอลลาร์ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ศาสดาอยู่กับผู้รักธรรมรักวินัย

        

         ฟัง วัดดอยธรรมเจดีย์ขอน้อมถวายปัจจัยจำนวน ๕ ล้านบาท (สาธุ) เนื่องในวาระที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเจริญอายุมาได้ถึง ๙๐ ปี นับเป็นมหามงคลอันอบอุ่นยิ่งแก่ลูกหลานทั้งหลายด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงสุด พระแบน ธนกโร นี่ก็หลวงตาขอตอบขอบคุณกับบรรดาท่านทั้งหลาย มีท่านแบนซึ่งเป็นหัวหน้า ที่ได้น้อมนำมาถวายซึ่งปัจจัย เพื่ออนุโมทนาสาธุการกับชาติกับศาสนา กับครูบาอาจารย์ ให้เจริญรุ่งเรือง พร้อมกับบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย อย่าพากันดื้อดึงจนเกินไป ครูอาจารย์สอนให้เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา อย่าเอาหมอนมาขวางหน้าก็แล้วกัน เอาละพอ (สาธุ)ตรงไหนที่บกพร่องก็ต้องเติมเข้าซิ อ่านเพื่อดูอะไรบกพร่องเติมเข้า เงิน ๕ ล้านมันหาได้ง่าย ๆ เหรอ หลวงตาหามาได้ ๕ ปี ๖ ปี หาไปที่ไหนก็เจอแต่หัวล้านๆ เงินล้านไม่ค่อยเจอ วันนี้เจอแล้วจึงต้องดีใจเป็นอย่างยิ่ง นี่มากันมากมาย

         เอาพากันนั่งสงบทีนี้จะพูดธรรมะให้ฟัง กล้องถ่ายภาพนี่ นี่เป็นลูกศิษย์พระ อย่าเอากล้องมาเป็นข้าศึกของครูของอาจารย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของเรา ไม่เป็นของดี อันนี้เป็นวิชาลิง อย่าเอามาใช้ในวงศาสนากับครูบาอาจารย์ที่ต้องการความสงบสงัด เพื่ออรรถเพื่อธรรมโดยถ่ายเดียว ยิ่งขณะที่กำลังเทศน์แล้วถ่ายภาพพุบนี้ แหม เสียมากทีเดียว เพราะฉะนั้นไปเทศน์ในที่ต่างๆ จึงได้เตือนไว้เสมอ ไม่ให้มีอะไรเหล่านี้มารบกวนธรรม เพราะต้องการความสงบสงัด ธรรมจะได้ออกเต็มเหนี่ยว ๆ จากหัวใจ สิ่งเหล่านี้เป็นข้าศึกตัดขาดสะบั้นเข้ามา

        วันนี้ก็เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องทั้งหลาย ทั้งตั้งแต่จังหวัดสกลนคร โดยมีท่านอาจารย์แบนเป็นหัวหน้าพาพี่น้องทั้งหลายมารวมเข้าที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งรวมมาจากกรุงเทพฯ จำนวนมากมาย และหลายจังหวัดที่สมทบกันเข้ามาเพื่อมหากุศล ผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ชาติไทยของเรา จากการบำเพ็ญเพื่ออุ้มชาติของตนที่จะล่มจม ให้ฟื้นฟูขึ้นมาสู่ความสง่างาม ด้วยอำนาจแห่งความรักชาติ ความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีของเหล่าพุทธมามกะซึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคต ได้พร้อมใจกันบริจาคมาเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ทองคำก็ได้ ๗ ตันกว่าแล้ว สำหรับดอลลาร์ได้ ๘ ล้านกว่าเวลานี้

         นี่ก็ออกมาจากกำลังแห่งความรักชาติ ความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงของพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย รวมแล้วมาเป็นทองคำก้อนใหญ่โต ถึงขนาด ๗ ตันกว่าเวลานี้ แล้วดอลลาร์ก็ได้ ๘ ล้านกว่าแล้ว นี่เป็นกำลังความสามารถของพี่น้องชาวไทยเราที่ได้บริจาคแสดงน้ำใจออกมา ชาวโลกทั้งหลายทั้งภายในเมืองไทยและเมืองนอก จะได้รู้เห็นทั่วหน้ากันหมด จากน้ำใจของพี่น้องชาวไทยเราที่แสดงขึ้นในครั้งนี้ วันนี้ท่านทั้งหลายก็ได้นำน้ำใจที่ออกมาแสดงเป็นด้านวัตถุ เช่นปัจจัยจำนวน ๕ ล้านเป็นต้น นี่นำมาบริจาค

         ต้องขออภัยการเทศน์หลงหน้าหลงหลัง วกวนไปมา ตรงไหนขาดก็กรุณาทราบว่า นี้คือความจำมาตัดไปแล้ว แล้วก็ตั้งใหม่ขึ้นมาๆ เทศน์ไม่เป็นบทเป็นบาท ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะความจำเหลวไหลมากเวลานี้ จึงขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วย

         วันนี้มีทั้งพระเจ้าพระสงฆ์ มีทั้งประชาชนฆราวาส ได้พร้อมใจมาบริจาคทาน และเคารพครูบาอาจารย์ เช่นหลวงตาบัวที่ชาวพุทธเราทั่วประเทศไทยทราบทั่วหน้ากัน  และยอมรับมากน้อยตามกำลังจิตใจของตน ก็ได้มาพร้อมเพรียงกันอย่างนี้ หลวงตามีความยินดีและซาบซึ้งกับน้ำใจ และความเคารพเลื่อมใสของพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมาก และในโอกาสนี้ก็จะได้แสดงอรรถธรรมให้เป็นที่ระลึกแก่ทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายพระเราหนึ่ง ฝ่ายฆราวาสหนึ่ง ต่างท่านต่างก็มีความมุ่งหวังต่ออรรถต่อธรรมเพื่อความดีงามแก่ตนเอง ขอได้นำอรรถนำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ

         อรรถธรรมที่กล่าวถึงนี้รวมลงมาแล้วอยู่ที่จิตใจของเราทุกท่าน ๆ ที่จะน้อมรับธรรมเหล่านั้นมาบำรุงส่งเสริมจิตใจของตนด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้เรียบร้อยแล้ว โดยความเป็นศาสดาของเราทั้งหลายแทนพระองค์เวลาปรินิพพานไปแล้ว คือพระธรรมหนึ่ง พระวินัยหนึ่ง ทั้งสองนี้คือองค์ศาสดา แม้พระองค์จะปรินิพพานไปแล้วตามโลกสมมุติ โดยเรือนร่างที่มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เต็มตัว แต่อรรถธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้วด้วยความแน่นอน และแม่นยำตามสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ได้มอบไว้แล้วกับพวกเราทั้งหลาย

         เฉพาะอย่างยิ่งคือพระเราซึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคต ออกปฏิบัติปรากฏตัวเป็นแนวหน้า ในการรบราฆ่าฟันกับความชั่วช้าลามกที่เกิดภายในกาย วาจา ใจของตน ให้สงบงบเงียบ และสูญหายลงไปเป็นลำดับๆ นำความสงบเย็นใจขึ้นมาสู่จิตใจของตน โดยทางสำรวมระวังตามธรรมตามวินัยที่องค์ศาสดาแสดงไว้แล้ว ธรรมและวินัยนั้นแลอยู่ที่ใจของเราทั้งหลาย ผู้รักผู้เคารพกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไป ด้วยความสำรวมระวัง มีสติระมัดระวังรักษา พระวินัยไม่ว่าข้อใดๆ ก็ตาม นั้นคือศาสดาองค์เอกโดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ข้อใหญ่ลงไปถึงข้อสุดท้าย ที่เรียกว่าอนุบัญญัติ ล้วนแล้วตั้งแต่องค์ศาสดาที่สมบูรณ์แบบทุกๆ ข้อ ทุกๆ กระทงที่แสดงไว้แล้วเพื่อเป็นมรดกของเราทั้งหลาย  ซึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคต นี่คือพระวินัย ให้พากันสำรวมระวังพระวินัยให้ดี

         เรามีพระวินัยดีสมบูรณ์แบบตั้งแต่วันอุปสมบทมา เรียกว่ามีศีล คือพระวินัย สำรวมลงมาแล้วเป็นศีลสมบูรณ์แบบในองค์ของพระแต่ละองค์ๆ จงพากันระมัดระวังรักษา พระวาจาของพระพุทธเจ้าคือพระวินัย นี้แลคือองค์แทนของศาสดา เมื่อเรามีหิริโอตตัปปะ ระมัดระวังรักษาพระวินัยของเราอย่างเข้มงวดกวดขันอยู่ตลอดเวลาแล้ว ก็เท่ากับเราเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจของเรา ที่เต็มไปด้วยความสำรวมระวัง นี่เรียกว่าพระวินัย แยกออกแล้วพระวินัยเป็นรั้วกั้นอันตรายที่จะเข้ามาทำลายผู้รักษา แต่ปฏิบัติไม่ดี เช่น ล่วงเกินพระวินัย หรือมีความพลั้งเผลอด้วยความประมาท

         เหล่านี้เป็นที่รั่วไหลเข้ามาแห่งโทษแห่งกรม ท่านเรียกว่าล่วงเกินพระวินัยก็คือล่วงเกินศาสดา ทำลายพระวินัยก็คือทำลายองค์ศาสดา เมื่อเราสำรวมระวังรักษาพระวินัย เทิดทูนพระวินัยอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับเราเทิดทูนองค์ศาสดาเต็มหัวใจเราตลอดเวลา นี่เรียกว่าพระวินัย เป็นรั้วกั้นสองฟากทาง ท่ามกลางคือทางเดินของธรรม เพื่อมรรค ผล นิพพาน ล้วนๆ ไม่เป็นอย่างอื่น พระวินัยคือรั้วกั้นห้ามไม่ให้เล็ดลอดออกจากรั้วกั้นนี้ ออกไปสู่ขวากสู่หนาม สู่ฟืนสู่ไฟ สู่บาปสู่กรรม สู่อาบัติโทษต่างๆ ตั้งแต่น้อยถึงใหญ่สุด ทำคอของพระให้กุดด้วนขาดสะบั้นลงไปได้ เหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่โทษ มหาโทษ ให้พากันระวังด้วยดีอันนี้แล้ว ชื่อว่าเราปลอดภัย

         ก้าวเดินตามหลักวิชาธรรม พระวินัยเป็นรั้วกั้นฟากทางไปนี่ ถ้าพูดถึงเรื่องแขนก็คือพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา พระหัตถ์ซ้ายเหมือนพระวินัย พระหัตถ์ขวานั้นเหมือนกับธรรม แล้วให้ก้าวเดินตามหลักธรรมนี้ ในท่ามกลางแห่งความมีสติ สำรวมระวังดำเนินอรรถธรรม ก้าวเดินไปในท่ามกลางแห่งพระวินัยที่เป็นรั้วกั้นไว้ทั้งสองฟากทางนี้ อย่างราบรื่นดีงามด้วยความมีสติ สติเป็นของสำคัญมาก นี่ละท่านเรียกว่าสติธรรม คือศาสดาแต่ละพระองค์ ๆ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม เหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นทางก้าวเดินของธรรม เพื่อความสงบร่มเย็นแก่จิตใจของเรา

         ใจเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาด้วยสติและปัญญา หนุนด้วยความพากเพียรให้ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นลำดับแล้ว ใจซึ่งมีภัยอยู่ภายในตัว ซ่องสุมตัวอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์มาเท่าไร จะมากน้อยเพียงไรก็ทนอรรถธรรมที่เป็นข้าศึกต่อกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ไปไม่ได้ จะต้องค่อยหักค่อยพังลงเป็นลำดับ ๆ ด้วยอำนาจแห่งสติธรรมกำจัด ปัญญาธรรมทำลาย วิริยธรรมหนุนเข้าเพื่อทำลาย ขันติธรรมมีความอดความทนต่อต้านต่อสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายที่เรียกว่ากิเลส นี่เรียกว่าธรรมก้าวเดินอยู่ในหัวใจเรา ซึ่งเท่ากับเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ยกพระพุทธเจ้าเป็นธรรมเป็นวินัยขึ้นที่หัวใจแล้ว เรามีกำลังใจที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับความชั่วช้าลามกทั้งหลายภายในจิตใจ

         แม้ใจจะยังไม่เคยได้รับความสงบร่มเย็น เมื่อน้อมนำศาสดาเข้ามาสู่จิตใจด้วยความสำรวมระวังในพระวินัย มีหิริโอตตัปปะเต็มหัวใจ มีธรรมคือความพากเพียรในคุณธรรมทั้งหลาย เริ่มต้นตั้งแต่การภาวนา ใครจะมีพุทโธ ธัมโม สังโฆเป็นเครื่องบริกรรม และธรรมบทใดเป็นอารมณ์ของใจก็ตาม นี่ชื่อว่าก้าวเดินตามธรรมอยู่ตลอด เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา อย่าได้พากันไปคิดต่างๆ นานา ซึ่งเป็นเรื่องงมงายของกิเลสที่พาสัตว์โลกให้ล่มจมมามากแสนมาก นานแสนนานแล้วว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไม่มีที่พึ่ง นั่น พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเท่านั้นปี เท่านี้เดือน ขาดที่พึ่ง บุญบาปทั้งหลายค่อยร่อยหรอลง ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ค่อยเป็นบาป ต่อไปก็ทำบาปไม่เป็นบาป ทำบุญไม่เป็นบุญ มรรค ผล นิพพานไม่มี

         เหล่านี้มีแต่คำเสี้ยมสอนของกิเลสซึ่งเป็นตัวมหาภัย ติดแนบอยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้บูชาอยู่ทุกเวล่ำเวลานั้นแล ให้กำจัดปัดมันออก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วด้วยความชอบธรรม เป็นความเสี้ยมสอนของกิเลสที่จะมาทำลายคุณงามความดีภายในจิตใจของเรา ให้ขาดไปหายไป จนกระทั่งจิตใจมีแต่ความจืดจางว่างเปล่าจากความดีทั้งหลาย และมีความดูดดื่มไปตามกิเลส เมื่อว่าบาปไม่มีก็สนุกทำบาป ไม่สะทกสะท้านกลัวบาปกลัวกรรม และว่าบุญไม่มียิ่งไม่สนใจอยากทำบุญเลย เพราะแต่ก่อนมันก็ไม่อยากทำอยู่แล้ว

         ยิ่งมีคำของกิเลสมาเสี้ยมสอนเข้าว่าทำบุญไม่ได้บุญ เลยปัดทันทีไม่ทำบุญ เพราะทำแล้วก็ไม่ได้บุญ ส่วนบาปจะทำหรือไม่ทำก็ตามกิเลสมันลากไปแล้วๆ สร้างแต่บาปแต่กรรม ตื่นนอนขึ้นมาแต่เช้ายันค่ำสร้างแต่บาปหาบแต่กรรม ขนแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้หัวใจตนตลอดเวลา วันนี้ก็สร้าง วันหน้าก็สร้าง สร้างแต่บาปแต่กรรม เดือนนี้ เดือนหน้า ปีนี้ ปีหน้า ก็สร้างแต่บาปแต่กรรม เพราะกิเลสหลอกว่าสร้างเท่าไรก็ไม่เป็นบาปเป็นกรรม ยิ่งสร้างมากเท่าไรยิ่งจะขึ้นเลยนิพพานเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปอีกด้วยซ้ำ แล้วก็ยิ่งพอใจสร้างแต่บาปแต่กรรม แล้วสร้างมาตั้งแต่วันรู้จักเดียงสาภาวะจนกระทั่งถึงวันตาย

         เราสร้างผลประโยชน์อย่างอื่นจะได้มากมายเพียงไร ทีนี้สร้างความฉิบหายแก่ตน ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย จะได้ความฉิบหายจนอะไรไม่มีเถ้าถ่านติดเนื้อติดตัว เป็นผุยผงไปหมด คนทั้งคนกลายเป็นคนผิวผงไปหมด หาค่าหาราคาไม่ได้ ผิวผงเพราะกิเลสเผาหัวใจให้แหลกเหลวไม่มีค่ามีราคา ตายแล้วก็ให้ไฟนรกเผาลงไปอีก กี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้หลุดพ้นจากทุกข์ขึ้นมา เมื่อหลุดพ้นจากทุกข์จากกิเลสขึ้นมา กิเลสก็หลอกย้ำเข้าไปอีก ให้หลงให้ลืมในความทุกข์ทรมานของตน จากการตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ แล้วก็พอใจไม่จืดจางในการสร้างบาปสร้างกรรมต่อไป แล้วก็ขนทุกข์เข้ามาภายในหัวใจ ลงอีก ๆ นี่คือกิเลสหลอกสัตว์โลก หลอกมาอย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว มันเป็นสองฝั่ง

         หัวใจของเราทั้งหลายหรือหัวใจของสัตว์โลก เท่ากับแม่น้ำลำคลอง อีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นฝั่งของกิเลสคือมหาภัยต่อธรรม อีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งแห่งธรรม ที่ชะล้างหรือปราบปรามกิเลสให้สิ้นซากไปจากหัวใจ ใจนั้นเป็นแม่น้ำลำคลอง เมื่อใจมีธรรมเป็นเครื่องซักฟอกสิ่งที่ทำให้ขุ่นมัวหม่นหมองอะไร เหล่านี้มืดตื้อให้จางลงไป ๆ จิตใจก็สง่างามขึ้นมาๆ นี่ละใจอยู่ศูนย์กลาง กิเลสเกิดขึ้นจากใจ แต่เป็นเครื่องทำลายจิตใจ ถ้าเทียบทางโลกเขาเรียกว่าสนิมเกิดจากเหล็ก แล้วกัดเหล็กให้สึกให้หรอ ให้หมดสิ้นเปลืองไป จนกระทั่งเหล็กหมด ถูกสนิมกัดไม่มีอะไรเหลือเลย นี่คือสนิมของเหล็ก เป็นภัยของเหล็ก ทำเหล็กให้ฉิบหายสูญไปได้

         ผิดกันอยู่ที่ว่า กิเลสเข้ามากัดมาทำลายจิตใจนี้ ไม่สามารถที่จะทำจิตใจให้ฉิบหายไปได้เหมือนสนิมทำลายเหล็กให้เหล็กฉิบหายไปได้ เป็นแต่ยอมรับว่าทุกข์ทรมานจากอำนาจของกิเลสบีบบี้สีไฟ ได้รับความทุกข์ความทรมานในสถานที่ต่าง ๆ ตามแต่บาปแต่กรรมของตนที่สร้างไว้มากน้อย เช่น เป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์เดรัจฉาน นี้เป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นก็เป็นเปรตประเภทที่หนักลงไปๆ จนกระทั่งถึงเป็นสัตว์นรก เหล่านี้เป็นเรื่องของบาปของกรรมมันเผาผลาญหัวใจ แต่ใจนั้นไม่ยอมฉิบหาย ถึงจะได้รับความทุกข์จากบาปกรรมทั้งหลายเหล่านี้ ที่ตนสร้างมาด้วยความดื้อด้านหาญธรรมก็ตาม แต่ยอมรับเพียงความทุกข์ความทรมาน แม้จะไปตกนรกกี่กัปกี่กัลป์ มหันตทุกข์เต็มอยู่ในแดนนรกหมดก็ตาม แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้

         สำหรับสนิมกัดเหล็กนั้นเหล็กฉิบหายได้ แต่กิเลสกัดใจนี้ไม่มีทางฉิบหาย เพียงได้รับความทุกข์ความทรมานมากน้อย จากกรรมของตนที่สร้างมานั้นแล มันเป็นสนิมกัดหัวใจเรา พอพ้นจากนั้นแล้วก็ผ่านขึ้นมา พอมีสติสตัง มีบุญมีกุศลแทรกอยู่บ้างก็สร้างบุญสร้างกุศลจนเจริญเติบโตขึ้นมา แล้วเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตใจนี้ก็ค่อยฟื้นตัวขึ้นมาเป็นจิตที่ผ่องใส มองเห็นบุญเห็นบาป อยากทำคุณงามความดี และละบาปบำเพ็ญบุญ ขยะแขยงต่อความชั่วช้าลามก มีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อความดีทั้งหลาย และพร้อมกับการสร้างความดีนี้เป็นลำดับลำดา

         จิตใจเมื่อได้รับการส่งเสริมจากอรรถจากธรรมแล้วย่อมมีความสง่างาม และผ่องใสสงบร่มเย็นขึ้นไปเป็นลำดับ  เราสร้างไปๆ  บุญกุศลย่อมมีมาก  เพราะสร้างทุกวี่ทุกวันทุกเวล่ำเวลา เพิ่มขึ้นไปเรื่อย บุญกุศลก็มีมาก หนุนจิตใจของเราให้สูงเด่นขึ้นมาโดยลำดับจนกระทั่งถึงเมืองพอ เมื่อชำระจิตใจด้วยการสร้างความดีเป็นลำดับลำดาแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงมรรค ผล นิพพาน ด้วยความตรัสรู้ธรรม หรือบรรลุธรรมอย่างสูงสุด ถึงวิมุตติพระนิพพาน เมื่อถึงวิมุตติพระนิพพานแล้วจิตดวงนั้นเรียกว่าเป็นธรรมธาตุ ไม่มีคำว่าสูญหายไปไหน เพราะกิเลสตัวใดไปกัด ไปทำลาย ไปเผา ไปจุดให้ไหม้ให้ฉิบหาย ไม่มีเลย จิตดวงนั้นเป็นธรรมธาตุ

         อยู่ในนรกก็ไม่ฉิบหาย พ้นจากนรกมาแล้วความดีบำรุงส่งเสริม อุดหนุนขึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ ถึงแดนแห่งธรรมธาตุก็ไม่ฉิบหาย แดนแห่งธรรมธาตุคือจิตที่เป็นธรรมธาตุนี้แลเป็นจิตที่เลิศเลอสุดยอด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีจิตดวงใดจะเลิศเลอยิ่งกว่าจิตที่ถึงแดนแห่งธรรมธาตุ คือจิตตวิมุตติหลุดพ้นจากสิ่งจองจำทั้งหลายในสามแดนโลกธาตุนี้ไปโดยสมบูรณ์แล้ว นี่เรียกว่าไม่สูญ จิตดวงนี้ไม่มีสูญ แต่ต้องถูกกิเลสตบต่อยอยู่ตลอดเวลา ให้เชื่อมันตามนั้นตามนี้ไปเรื่อย ทำบาปไม่เป็นบาป ทำบุญไม่เป็นบุญ เชื่อหนักกว่านั้นมันก็บอกว่าตายแล้วสูญ

         คือเรานี้ สัตว์โลกแต่ละราย ๆ นี้เป็นนักเกิดนักตาย จนกระทั่งนับภพนับชาติของตัวเองไม่ได้ ถึงเช่นนั้นก็ถูกกิเลสมันปิดบังหุ้มห่อไว้หมด ว่าตายแล้วสูญ คือนักตาย นักเกิดนั้นแหละ ไม่มีคำว่าสูญ แต่กิเลสมันจะมาเสี้ยมสอนให้มืดมิดปิดตา เข้าใจว่าตายแล้วสูญ คนที่เชื่อตามกิเลสว่าตายแล้วสูญนี้จะเป็นคนที่หมดค่าหมดราคา ยังเหลือแต่ลมหายใจ สร้างแต่บาปหาบแต่กรรมทุกวันทุกเวลา ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโต ถึงเป็นผู้ใหญ่ จนกระทั่งเฒ่าแก่ชรา ตายไปก็ตายไปด้วยการหาบบาปหาบกรรมเต็มหัวใจ ตกนรกหมกไหม้ไปด้วยการหลงกลของกิเลสที่ว่าตายแล้วสูญ เวลาตายแล้วมันไม่สูญ ตกนรกก็คือเราเอง กิเลสมันไม่ไปตก มันหลอกเราต่างหาก เราหลงกลของกิเลสเราก็ตกนรกหมกไหม้ นี่พูดถึงเรื่องตายแล้วสูญ

         กิเลสก็ดี ธรรมก็ดี ท่านทั้งหลายอย่าไปเข้าใจในที่อื่นใด เพราะโลกอันนี้กว้างขวางพอที่จะหลอกสัตว์โลกให้หลงกลมันได้ ว่าโลกนี่กว้างขวาง อะไรมีถมไป ว่าตรงไหนอยู่จุดใดย่อมจะเชื่อได้ เช่นว่ากิเลสอาจจะอยู่ในมุมโลกมุมนั้น มุมโลกมุมนี้ อยู่ในน้ำมหาสมุทรทะเล อยู่บนบก อยู่ใต้ดิน เหนือดิน อาจจะเป็นที่หลบซ่อนของกิเลสว่ามีอยู่ในที่เช่นนั้น ๆ ก็ได้นะ เพราะกิเลสนี่แหลมคมมาก หลอกลวงสัตว์ได้ทุกแง่ทุกมุม ทั้ง ๆ กิเลสไม่อยู่ในที่ดังกล่าวนี้เลย กิเลสนั้นอยู่ที่ใจแห่งเดียว

         ธรรมก็เหมือนกัน อาจจะไปอยู่ในซอกนั้นมุมนี้ อยู่ในคัมภีร์ใบลาน อยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับพระเจ้าพระสงฆ์ อยู่กับวัดกับวา อยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ไปหมด ตัวเองเป็นโมฆะ หาอรรถหาธรรม หาความดีงามเข้ามาสถิตอยู่ที่นี่ไม่ได้ ว่างเปล่าไปหมดจากความดีงามทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลาย ความดีงามทั้งหลายไปเที่ยวหลบซ่อนอยู่ในสถานที่นั่นที่นี่ไปหมดเสีย นี้คือความเห็นผิดของกิเลสหลอกสัตว์โลก ให้เชื่อตามอรรถตามธรรม ว่าบาปก็ดี บุญก็ดี ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก ไม่ว่าบาปว่าบุญ เกิดขึ้นที่ใจ อยู่ที่ใจ บาปเกิดที่ใจเพราะผู้ทำบาปทำที่ใจ เสาะแสวงหาบาปเสาะแสวงหาที่ใจ

         กิเลสผู้พาให้เสาะแสวงหาบาปหากรรมนั้น มันเกิดอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ดิน ฟ้า อากาศ มหาสมุทรที่ไหน มันอยู่ที่ใจ กิเลสเกิดที่ใจ แสดงฤทธิ์ออกมาตามอำนาจของตนจากหัวใจของสัตว์โลกให้เป็นฟืนเป็นไฟต่อหัวใจของผู้นั้น ๆ เอง เมื่อหลงกลไปตามกิเลสนี่แล้วก็สร้างแต่ความล่มจมให้ตัวเอง ความปรารถนานี้อยากไปสถานที่ที่ว่ามีความเลิศเลอ มีความดิบความดี มีความสุขความเจริญ ดีไม่ดีถ้าว่ามีความสุขเลิศยิ่งกว่าพระนิพพาน สัตว์โลกยังอยากจะเลยพระนิพพาน ข้ามหัวพระพุทธเจ้าไปอีกก็ได้ แต่นี้ไม่มีใครบอกว่า ความสุขที่เลิศเลอยิ่งกว่าพระนิพพานมี

         เพราะฉะนั้นกิเลสมันจึงไม่หลอกให้เลยพระนิพพานไป แม้แต่พระนิพพานมันก็ปิดไว้บอกว่าไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี และมันจะเบิกกว้างเอาความสุขแข่งสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ขึ้นไปอยู่ฟากพระนิพพานนี้ได้ยังไง เพราะกิเลสมันไม่มีความสามารถ มันอยู่ใต้แหล่งแห่งโลกธาตุ ส่วนพระนิพพานอยู่เหนือโลกธาตุนี้ไปหมดแล้ว มันจึงไม่กล้าที่จะหลอกลวงสัตว์โลกได้ พระพุทธเจ้าจึงสอน ด้วยความแม่นยำทุกอย่าง เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นี่พระองค์สอนลงอยู่ที่ใจทั้งหมด กิเลสก็ดี ธรรมก็ดีอยู่ที่ใจ

         กิเลสเป็นสาเหตุให้ทำบาปทำกรรมก็ทำอยู่ที่ใจของเรา ที่กายของเรา ที่วาจาของเรา ซึ่งได้รับคำบัญชามาจากใจ พาให้มาพูดทางวาจา ให้กระทำทางกายในทางที่ผิด ชั่วช้าลามกต่าง ๆ ผลจึงเกิดขึ้นมาแล้วไหลเข้าสู่ใจๆ น้ำมหาสมุทร ฝนตกมาจากบนฟ้าลงในมหาสมุทรทั้งหมด แต่บาปกรรมทั้งหลายที่ผู้ใดสร้างไหลเข้ามาสู่ใจของผู้นี้ทั้งหมด ไม่ไปอยู่ในแม่น้ำมหาสมุทร เหมือนน้ำทั้งหลายที่ตกมาสู่มหาสมุทร เรื่องบาปเรื่องกรรมนี้ไหลเข้ามาสู่ผู้ทำ ใครเป็นคนทำบาปทำกรรมมากน้อย เท่ากับห่าฝนบรรลัยกัลป์มาเผาตัวเองอยู่ในนั้น

         เอ้าผู้ที่สร้างคุณงามความดีคิดถึงเรื่องความดิบความดี เป็นอรรถเป็นธรรม อยากทำบุญให้ทานการกุศล มีจิตใจกว้างขวาง มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่ เมตตาสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป นี่เรียกว่าจิตที่เป็นธรรม แสดงออกมาอย่างนี้เรียกว่าเป็นบุญเป็นกุศล ก็สร้างขึ้นในหัวใจของผู้นั้น ๆ แล้วก็ส่งเสริมจิตใจของผู้นี้ให้ได้รับเสวยคุณงามความดี ให้มีความสงบเย็นใจ ไปในภพใดชาติใด เกิดในสถานที่ใด บุญกรรมเป็นผู้มีสิทธิ มีอำนาจที่จะยังสัตว์ทั้งหลายให้ไปเกิดในภพนั้น ๆ ได้โดยสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดจะมีอำนาจนอกจากกรรมของตัวเอง เราจึงขอให้พากันเชื่อกรรม เชื่อกรรมคือการกระทำดี กระทำชั่ว นี่เป็นของสำคัญ

        ท่านแสดงไว้ในวัฏวนสามว่า กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ กิเลสวัฏฏ์นี่มันเกิดและอยู่ที่ใจของสัตว์ มันผลักมันดัน มันบีบบี้บังคับจิตใจให้สร้างแต่บาปแต่กรรม แล้วก็เป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมา นี่อันหนึ่งเรียกกิเลสวัฏฏ์ ทีนี้เมื่อสร้างบาปสร้างกรรมขึ้นมาแล้วก็เป็นกรรมวัฏฏ์ เป็นผลของกรรม กรรมชั่วช้าลามกต่างๆ แล้วก็มาเผาตัวของเรา วิปากวัฏฏ์ คือกิเลสบังคับให้ทำกรรม กรรมนั้นทำลงไปเป็นกรรมดีกรรมชั่วแล้วเป็นผลดี ชั่ว สุข ทุกข์ ขึ้นมาภายในจิตใจของสัตว์ นี่มันอยู่ที่ใจนี่นะ ไม่ได้อยู่ที่ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหน กิเลสอยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ ผลักดันออกมาที่ใจ บังคับสัตว์ทั้งหลายให้ทำชั่วช้าลามกได้ที่ใจของสัตว์นั้นแหละ

         ครั้นเวลาทำลงไปแล้ววิปากวัฏฏ์ ผลความชั่วนั้นก็ไหลเข้ามาสู่ใจของผู้ทำนั้นแหละ แล้วก็วกวนกันไปกันมา เกิดแล้วตายเล่า เกิดแล้วตายเล่ามากี่กัปกี่กัลป์ของสัตว์ตัวหนึ่ง ๆ ไม่มีประมาณเลย นี่เรียกว่ากรรมของสัตว์ เกิดที่ใจ ไม่ได้เกิดที่อื่น ท้องฟ้ามหาสมุทรกว้างแสนกว้างไม่เป็นที่เกิดที่อยู่ของกิเลส ไม่เป็นที่สร้างของกิเลส ที่สร้างโรงงานอันใหญ่โตของกิเลสคือหัวใจ หัวใจนี้เป็นโรงงานอันใหญ่โตที่จะผลักดันจิตใจของสัตว์ให้ไปทำความชั่วช้าลามกต่างๆ เอ้า ในขณะเดียวกันธรรมก็เกิดที่ใจ ไม่ได้เกิดที่ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหนเหมือนกัน เกิดที่ใจ อารมณ์ของธรรม เจ้าของอยากทำความดีงามทั้งหลาย นี่เรียกว่าอารมณ์ของธรรม มีอารมณ์ต่างกัน

         อารมณ์ของกิเลสอยากให้พาทำความชั่วช้าลามก หลงใหลใฝ่ฝันโดยไม่มีประมาณ แต่ทำไม่หยุดไม่ถอย เพราะหลงไม่หยุดไม่ถอย แล้วก็ได้รับความล่มจมไปไม่หยุดไม่ถอย กี่กัปกี่กัลป์ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายคือกิเลสหลอกสัตว์โลก นี่เป็นเรื่องของกิเลส ส่วนธรรมนั้นก็เกิดที่ใจ อยากทำบุญให้ทาน อยากรักษาศีล อยากเจริญเมตตาภาวนา มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่ มีจิตใจอันกว้างขวางเบิกบาน ไปที่ไหนไม่ตีบตันอั้นตู้ มีความเสียสละ เห็นสัตว์สงสารสัตว์ เห็นคนที่ยากจนเข็ญใจสงสาร เฉลี่ยเผื่อแผ่ตามเกิดตามมีไปอย่างนี้เรียกว่าธรรม ธรรมเกิดขึ้นที่ใจของผู้นั้น ผู้นั้นเสียสละลงไปเรียกว่าบำเพ็ญธรรม ๆ นี่ต่างกันอย่างนี้

         ทีนี้เวลาบำเพ็ญหนักเข้าๆ ธรรมนี้ก็ส่งผู้บำเพ็ญให้ดีขึ้น หนาขึ้น สูงขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายถึงแดนสวรรค์นิพพานไปได้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะอำนาจแห่งธรรมที่เราสร้างขึ้นภายในจิตใจของเราด้วยกันกับกิเลสนั้นแหละ กิเลสมันก็สร้างไฟนรกขึ้นที่หัวใจของเรา เวลาไปก็ใจดวงนี้ละไปลงนรก เพราะกิเลสพาสร้าง ให้พากันจำเอาไว้ วันนี้พระลูกพระหลานมากราบมาไหว้ครูบาอาจารย์ ได้มาบำเพ็ญกองการกุศลก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้แนะนำสั่งสอน

         ให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้รักธรรม รักวินัย อย่ารักสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ยิ่งกว่าธรรมกว่าวินัย อันเป็นองค์แทนของศาสดาและจะเป็นองค์ผู้รื้อฟื้นเราทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง นอกจากนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะมายก มารื้อฟื้น หรือมาฉุดมาลากเราให้หลุดพ้นจากทุกข์นี้ไปได้ นอกจากศาสดาองค์เอก ประทานบันไดหรือคำสั่งสอนไว้เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ ไม่มีผิดมีพลาดคือศาสดาองค์เอกนี้แลสอนโลก ให้เรายึดเอาสวากขาตธรรม พระวินัยก็ตรัสไว้ชอบแล้ว อย่าฝืน ฝืนลงไปเป็นบาปเป็นกรรม

         (หลวงตาท่านกำลังรู้สึกวิงเวียน) มันจะล้มนะ วิงเวียน มันเป็นอะไรไม่รู้ วิงเวียน หมุน พักเสียก่อน มันหวิวแหวว ลืมตาขึ้นมามันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มันจะล้มในขณะที่เทศน์ นี่กำลัง มันยังเป็นอยู่ เดี๋ยวฉันยาเสียก่อน เอาน้ำมา สักเดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวมันก็สงบของมันเอง ไม่เคยเป็นนะ พึ่งมาเป็นนี้เป็นครั้งแรกในขณะที่เทศน์อยู่บนธรรมาสน์ ไม่ว่าเทศน์ที่ไหนไม่เคยเป็น พึ่งมาเป็นเอาเดี๋ยวนี้ นี่เป็นครั้งแรก ต่อไปจะเป็นครั้งที่สองที่สาม ต่อไปดีไม่ดีตกธรรมาสน์ อ้าว จริง ๆ มันเริ่มบอกแล้ว

         สอนพระลูกพระหลานก็ยังไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้พากันรักเทิดทูนพระพุทธเจ้า คือพระธรรม พระวินัย อย่ารักสิ่งใด ติดใจในสิ่งใด นอกเหนือไปจากธรรมและวินัย ให้ยึดอันนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ท่านทั้งหลายจะมีสรณะตลอดไป สรณะคือพระพุทธเจ้าองค์ศาสดาจะอยู่กับเราผู้รักธรรมรักวินัย ผู้รักธรรมรักวินัยนี้มีใจอันอบอุ่น ไปอยู่ที่ไหนอบอุ่นชื่นใจ สบาย หลักอันนี้เป็นหลักประกันตัวของเรา ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ขอให้มีศาสดาประจำตนคือเป็นผู้รักธรรมรักวินัย เทิดทูนธรรม เทิดทูนวินัยตลอดเวลา ผู้นี้แลเป็นผู้เทิดทูนตนตลอด จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางได้นะ

         วันนี้ก็คงจะเทศน์เพียงเท่านั้นละ ดูอาการมันไม่ค่อยดีแล้วนะ ขอความสวัสดีจงมีแก่พระลูกพระหลาน การเทศน์ธรรมะที่สูงกว่านี้ก็เลยไม่เทศน์ละ เอาจุดนี้นะ จุดสวากขาตธรรม คือธรรมวินัย เดินตรงนี้ให้ดี พระนิพพานจะไม่นอกเหนือจากนี้ไป อย่าไปมองพระนิพพาน มองที่ไหนให้นอกเหนือไปจากธรรมจากวินัย มองตรงนี้จุดนี้ถูกต้องเลย ปฏิบัติตามนี้แล้วจะพุ่ง ๆ ถึง เอาละพอ (สาธุ)

        วัดดอยธรรมเจดีย์นี้ฝังลึกมากสำหรับกับเราตั้งแต่ก่อนนะ พอเราไปถึงวัดดอยธรรมเจดีย์นี้เราจะขึ้นนู้นเลยนะ ขึ้นสถานที่นู่นเลย ไปทีไรปั๊บนี่เป็นเอง มันเป็นเองปั๊บนี่ขึ้นเลย ๆ จนกระทั่งขึ้นไม่ได้แล้วอย่างทุกวันนี้ ไม่ขึ้น ขึ้นไม่ได้ ไปก็ไปนอนเอกเขนกที่ศาลา จากนั้นก็ลงมาเลย แต่ก่อนมาปั๊บไม่มีใครทันเห็นละ ขึ้นแล้ว ขึ้นบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เพราะฉะนั้นจึงว่าไม่ลืม ไม่ลืมเลย เรียกว่าฝังลึกไม่ลืมเลย ไม่มีขยับเขยื้อนไปไหนเลย แน่ แน่ว เป็นอย่างนั้น วัดนี้ปกติเราก็เคยไปเคยมาอยู่แล้วนะ คือจะขึ้นไปเที่ยวภูเขาแล้วก็มาพักวัดดอยธรรมเจดีย์ก่อน แล้วขึ้น ทีนี้เวลาลงมาจากภูเขาที่เป็นแดนบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ทางนู้นกว้างขวางมากนะ ข้างบนนู้น คือเลยจากวัดดอยธรรมเจดีย์นี้ก็เข้าป่าเข้าเขาไปลึก ๆ มันเป็นสายทางที่เหมาะสมกับพระกรรมฐาน ไปนี้เข้าไปวัดดอยธรรมเจดีย์ไปพักที่นั่น พอได้จังหวะจากนั้นก็ขึ้นเขาเลย

        ทีนี้เวลาจะลงมาก็ลงมาที่นั่น ที่นั่นก็เหมาะดีอยู่แล้ว อยากกลับไปวัดเมื่อไรก็กลับ ส่วนมากก็กลับไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นนั้นแหละ ออกจากนี้ก็ไปหนองผือ ออกจากหนองผือมาก็มานี้แล้วขึ้นนี้ เป็นอย่างงั้นเป็นประจำ เราพูดจริง ๆ นะ เราไม่มีคำว่าจืดจางเลยนะ ไม่มีเลย รสชาตินิพพานเที่ยงเข้ากันได้ปึ๋งเลย เพราะฉะนั้นมันถึงออกน้ำตา กิริยาของธาตุของขันธ์ของสมมุติมันแสดงของมัน แต่ธรรมชาตินั้นไม่มีอะไร อันนี้เกี่ยวกับสมมุติ อย่างที่ว่าสะดุ้งไปหมดกับน้ำตาพรากทันทีเลย ใครไปเรียกที่ไหน.นี่ละสมมุติมันหวั่นของมัน เพราะอำนาจแห่งความอัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสารเป็นเครื่องกระทบกับอันนี้ อันนี้ก็ขึ้นทันทีเลย เป็นอย่างงั้น แต่ธรรมชาตินั้นไม่มีอะไร ก็นอกอันนี้ไปแล้วนี่จะมีอะไร มีแต่อันนี้แสดงตัวเต็มที่

         พอผางขึ้นมาเท่านั้น ก็ตั้งแต่วันเกิดมาเราไม่เคยเห็น บำเพ็ญธรรมมาเท่าไร ๆ ก็ไม่เคยเห็น ๆ ดังที่พูดที่ว่า เหอ ไปธรรมหาที่ไหนๆ แบกกลด สะพายบาตร ขึ้นเขาลูกนั้นลูกนี้ไปหาธรรม ธรรมอยู่ที่ไหน ๆ คือการแสวงหานั้นก็ถูกต้องแล้วใช่ไหมล่ะ แต่มันยังไม่เจอ พอมันมาเจอ ว่าธรรมอยู่ที่ไหน ก็คืออยู่ที่นี่ ความหมายว่าอย่างงั้น เหอ ธรรมอยู่ที่ไหนๆ มันอัศจรรย์นะ เพราะฉะนั้นจวนจะตายเท่าไรยิ่งเร่งอรรถเร่งธรรม ไอ้เรื่องที่จะมาคิดเรื่องโลกเรื่องสงสารเขาจะมาโจมตีอย่างงั้นอย่างงี้ โอ๋ย มันมูตรมันคูถเอามายุ่งทำไมใช่ไหม

         สิ่งที่เลิศเลอคือทองคำทั้งแท่งกับมูตรคูถต่างกันยังไง เพียงเท่านี้ที่เราเทียบกันด้วยวัตถุนะ วัตถุอันหนึ่งคือมูตรคือคูถ วัตถุอันหนึ่งคือทองคำทั้งแท่ง เท่านี้ก็จนเทียบกันไม่ได้แล้ว และธรรมชาติอันนั้นกับโลกสมมุตินี้เป็นยังไงกันอีก นั่นซิมันเข้ากันไม่ได้ คิดดูตั้งแต่เกิดมาไม่เคย มันผางขึ้นมาทีเดียวเท่านั้นมันก็พังไปหมดทุกอย่าง  ร่างกายนี้ไหวประหนึ่งว่าโลกธาตุสะเทือนสะท้านไปหมดเลย ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีคำว่าจืดจางวัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีเลย แต่ก่อนมาปั๊บขึ้นเลย ไปรำพึงรำพันอยู่ด้วยความซึ้งในบุญในคุณสถานที่

         นี่ยกตัวอย่าง อย่าไปคิดนะว่าวัดรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเอาต้นโพธิ์เป็นสรณะคู่เคียงกับพุทธศาสนาคืออะไร พระองค์ตรัสรู้ใต้ร่มโพธิ์เข้าใจไหม ร่มโพธิ์นี้ท่านลืมพระเนตรบูชาอยู่แห่งละ ๗ วันๆ อย่างงั้นไม่ใช่เหรอ ดูนานแล้วนะ บูชาคุณต้นโพธิ์นี้เท่าไร นั่น ต้นโพธิ์มีคุณแก่พระองค์ขนาดไหน คิดดูซิ จึงได้ยกต้นโพธิ์นี้ขึ้นเป็นคู่เคียงของศาสนาตลอดมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ นี่ก็เหมือนกัน พอไปปั๊บนี่ขึ้นแล้ว ๆ มันเป็นอยู่ในจิตนะ เป็นอย่างลึกซึ้งมากพูดไม่ถูก นี่ที่ว่าธรรมอัศจรรย์อย่างนี้ แล้วเป็นยังไงศาสนา มีไหมมรรค ผล นิพพาน ก็เมื่อมีผู้ปฏิบัติอยู่ตามสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้แล้วเรียบร้อย เป็นทางอันสมบูรณ์ราบรื่นดีงาม ถึงมรรค ผล นิพพาน ไม่มีแง่สงสัยแล้วจากสวากขาตธรรมพระพุทธเจ้า แล้วพวกนี้มันพวกหูหนวกตาบอด มันจะมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้ยังไงใช่ไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยนี่ สาวกทั้งหลายที่ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราก็ตรัสรู้ด้วยสายทางที่เป็นสวากขาตธรรมนี้ทั้งนั้นๆ แล้วเคลื่อนคลาดไปไหน ขอให้มีผู้ปฏิบัติเถอะน่ะว่างั้นเลย ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติก็กอดคัมภีร์อยู่เฉยๆ เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่อย่างนั้นแหละ

         กอดคัมภีร์แล้วก็มาอวดก้าม ว่าเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ๆ ดินเหนียวติดหัวเข้าไปก็ว่าตัวมีหงอน ยิ่งไปใหญ่ นี่การสั่งสมกิเลสจากการเรียนธรรม ถ้าเรียนธรรมเพื่อปฏิบัติ เรียนไปผิดถูกตรงไหนดู องค์นั้นแก้ไขตัวเองไป อ่านไปตรงไหนผิดตรงไหนแก้ไปเรื่อยๆ แล้วออกปฏิบัติฟัดกันเลยกับกิเลส นี่เรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถูกต้องตามสวากขาตธรรม เรียนเฉยๆ เรียนไม่หวังมรรคหวังผล เรียนธรรมแล้วเอาธรรมนี้เข้ามาเป็นพื้นฐานเหยียบขึ้นของกิเลส ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายธรรมเวลานี้ มีอยู่ทุกแห่งทุกหนเต็มบ้านเต็มเมือง เวลานี้ก็มีแต่หลวงตา จะว่าคัดค้านหรือไม่คัดค้านก็แล้วแต่

คืออันหนึ่งพูดออกมามันฟังไม่ได้ อันนี้เอาธรรมออกไปพูดก็เหมือนกันว่ารับกันต้านทานกัน เข้าใจไหมล่ะ นี่ละที่เราต้านทานอยู่ทุกวันนี้ คืออันหนึ่งเป็นของจริง อันหนึ่งเป็นของปลอม เข้ามาแง่ไหนมีแต่การทำลายศาสนาๆ ที่ทรงสอนไว้แล้วโดยถูกต้องทั้งนั้น มาทำลายทั้งนั้นๆ ค้านกันๆ ปัดกันอยู่ ก็เพราะอันนี้เป็นของปลอม นี่ละที่ได้คัดค้านต้านทานกันเรื่อยมา ดังที่เห็นกันอยู่นี้ ก็เพราะมันมีแต่กาฝากๆ เข้าไปกัดตับกัดปอดศาสนาให้แหลกเหลวซีไม่มีอะไร ออกมาแง่ใดมุมใดมีแต่แง่แต่มุมที่จะทำลายศาสนาและทำลายศาสนาทั้งนั้น แล้วผู้ปฏิบัติตามศาสนธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วอย่างสมบูรณ์แบบนี้มีอยู่ แล้วท่านจะยอมยังไง

ใครจะไปแตะต้องพระพุทธเจ้าได้ใช่ไหม แม้แต่พ่อแม่ของเราก็มาซิใครเก่ง อย่างใครจะมาฆ่าพ่อแม่หลวงตาบัวนี้ ยังไงคอหลวงตาบัวนี้ขาดทันทีเลย ให้ถอยไม่ถอยละ ไม่ได้คำนึงว่าความมีความจนความโง่ความฉลาด ใครอยากตายให้เข้ามา เข้ามาก็คอขาดเลย เขาไม่ขาดเราขาด ให้ถอยไม่มี นั่นความรักพ่อรักแม่รักยังไง รักพระพุทธเจ้าก็แบบเดียวกันนั่นเอง ทีนี้เมื่ออะไรเข้ามาผ่านเข้ามาทำลายศาสนธรรม ก็เทียบเท่ากับทำลายพระพุทธเจ้า มันก็ต้องฟัดต้องเหวี่ยงกันใช่ไหมล่ะ นี่ความหมายว่าอย่างนั้นต่างหากนะ ผู้รักษาท่านรักษา ผู้ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากันมาสำหรับผู้ปฏิบัติทั้งหลายท่านไม่มีเรื่อง

ไอ้พวกที่ไม่ปฏิบัติ มันหาทำลายนั้นทำลายนี้ จุดนั้นเผานี้ ก็ตีนั้นตีนี้เรื่อยซิ ผู้รักษารักษาอยู่มาทำลายทำไมมาเผาทำไม ความหมายก็ว่าอย่างนั้น นี่ละที่มันเป็นอยู่นี้ เดี๋ยวออกแง่นั้นออกแง่นี้ ออกมาแง่ไหนมีแต่แง่ทำลาย ไม่ใช่แง่ส่งเสริมนะ มันน่าสลดสังเวชนะ เรียนมากเสียด้วยนะ เอาชื่อเอานามมาอวดโก้ว่าเรียนชั้นนั้นชั้นนี้ ฟาดขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ หรือเป็นสมเด็จสมแด็ดอะไรก็ไม่รู้แหละ แล้วมาเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ดินเหนียวติดหัว แล้วก็ว่าตัวมีหงอน หงอนนี่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าลงไปซิ มันจะทนได้ยังไง ดินเหนียวมันก็รู้ หงอนมันก็รู้ใช่ไหม พระพุทธเจ้าก็รู้ ธรรมก็รู้ สิ่งที่เป็นภัยต่อธรรมก็รู้อยู่นี่ นั่น มันก็ปัดกันซิ นี่เรื่องราวมันเป็นอย่างงั้น

         ศาสนาของพระพุทธเจ้านี่คงเส้นคงวาหนาแน่นนะ ขอให้ปฏิบัติเถอะว่างั้นเลย เรานี้ยันเลย มีคนเดียวเราไม่ต้องไปหาใครจากไหนมาเป็นพยาน เราแน่ในหัวใจ อย่างที่ว่า อายตนะนิพพาน พอมันจ้าขึ้นมานี้มันถึงกันหมดเดี๋ยวนั้น นั่นอายตนะนิพพานไปถามใคร ว่าไปนั้นเราก็เรียนเรียนแต่ก่อนปริยัติ แต่มันก็ไม่เข้าใจ พอมันผางขึ้นนี่แล้วเข้าใจหมด ถามหาอะไร เท่านั้นเอง อายตนะนิพพานประสานกันทันที เหมือนอย่างน้ำตกลงมาจากบนฟ้า ลงมาพื้นมหาสมุทร พอตกปั๊บลงไปเป็นมหาสมุทรแล้ว เข้าใจไหมล่ะ เป็นมหาสมุทรแล้วทุกหยดทุกหยาดของน้ำที่ตกลงมา ไม่ได้แยกแยะว่าเป็นน้ำประเภทไหนบ้างเลยละ มาจากเมฆไหนก้อนไหนไม่มี ลงมาจากแม่น้ำสายไหนๆ ไม่มี ลงถึงนั้นเป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด

         ทีนี้จิตพอจ้าเข้าไปมันถึงกันทันทีเลยจะว่าไง นี่ละอายตนะนิพพาน ท่านจะถามใครที่ไหน นอกจากนั้นท่านจะไปหาอะไร อายตนะนิพพาน ไปหาส่องอะไรๆ เราก็ไม่อยากส่อง แม้แต่เราตัวเท่าหนูนี่เราก็ไม่อยากส่อง ถ้าส่องไปนี้เห็นแต่เสื่อแต่หมอนเต็ม มัดคอติดคอมัน ส่องไปหาอะไร มันไม่เกิดประโยชน์เข้าใจไหม ถึงมีอายตนะนิพพานก็ไม่ส่อง ส่องแบบนี้ เข้าใจเหรอ พูดเหมือนจะกัดปุ๊บ โห มรรค ผล นิพพาน ท้าทายคือความจริงล้วน ๆ ไม่มีอะไรแตะต้องได้เลย กิเลสมันแหย่นู้นแหย่นี้ ไอ้พวกโลกตาบอดหูหนวกเชื่อไปตามกิเลสก็พากันไปทำลายมรรค ผล นิพพาน ศาสนธรรมพระพุทธเจ้า ที่มันสลดสังเวชนะ

         ผู้ท่านปฏิบัติปฏิบัติอยู่ ผู้ตักตวงเอามรรค ผล นิพพาน ท่านเอาของท่านอยู่ตลอดนี่นะ นี่คือผู้ปฏิบัติท่านตักตวงเอามรรค ผล นิพพาน เช่น ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในป่าในเขา เราพูดจริง ๆ นะ ผู้จะทรงมรรค ผล นิพพาน มากต่อมากเวลานี้ เราพูดตามหลักความจริงจะมีในสายของผู้ปฏิบัติธรรมในป่าในเขา นอกนั้นเราก็ไม่ปฏิเสธ แต่มีน้อยมาก เพราะการสนใจและการปฏิบัติมีน้อย และไม่ปฏิบัติก็ไม่มีเลย แบกคัมภีร์อยู่ก็แบกไปเฉยๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ขอให้มีการปฏิบัติเถอะ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามอันนี้แยกกันไม่ออก ตรงแน่วเลย จึงว่าอกาลิโก ๆ ท่านสอนไว้แล้วจะให้ท่านสอนว่าไงอีก

         อกาลิโก คือไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลาสั้นยาวมาทำลายได้ สำหรับคนที่ทำดีทำชั่ว กิเลสก็เป็นอกาลิโก ทำชั่วลงไปเป็นกิเลสทันที ทำดีลงไปเป็นธรรมทันที นี่เสมอกันไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน ใครจะมาทำลาย แต่กิเลสมันอวดเก่งมันมักจะไปทำลายธรรม ธรรมจะวิ่งตามกิเลสให้ตัดคอออกด้วยนะ ที่จะไปตัดคอกิเลสไม่มีนะ คัดค้านกิเลสไม่ค่อยมี มีแต่เอากิเลสมาคัดค้านธรรมมากต่อมากเวลานี้ น่าทุเรศเหมือนกันนะ เอาละเท่านี้ละนะ ดีละ ขอขอบบุญขอบคุณกับบรรดาท่านทั้งหลาย มีท่านอาจารย์แบนเป็นต้นที่ได้ช่วยกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย สายกรรมฐานเรานี้เด่นมากในการช่วยชาติบ้านเมือง ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกลรวมหัวกันมาอย่างนี้เรื่อย

         รวมศรัทธาญาติโยมทั้งหลายเป็นเงินสด ๑๘๐,๒๗๔ บาท เช็ค ๒,๑๐๐ บาท เงินดอลลาร์ ๒๑๐ ดอลล์ กรุณาอนุโมทนาพร้อมหน้ากัน (สาธุ)

       

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก