เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ธรรมะถึงกัน
(โยมอ่านจดหมายกราบอาราธนานิมนต์หลวงตาไปรับผ้าป่าช่วยชาติ และแสดงพระธรรมเทศนา ณ วัดอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เวลา ๑๖.๐๐ น.) พูดถึงอำเภอท่าบ่อ วัดอรัญญิกาวาส นี้เราลงมาจากภูเขา คือวัดอรัญญิกาวาสนี่สมชื่อสมนาม แต่ก่อนเป็นป่าล้วน ๆ เลยนะ เป็นป่าช้า อย่างที่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ มาพัก ตั้งแต่ตอนที่เราไปพักก็ยังเป็นดงล้วนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตัวอำเภอจริง ๆ มันอยู่นู้น จากนู้นมานี้เป็นกิโลกว่ามาหาวัด จากนี้ไปเป็นดงทั้งนั้น ไปถึงอำเภอ ท่านจึงเรียกว่าอรัญญิกาวาส วัดที่อยู่ในป่า เราไปพรรษา ๘ เราจำได้นะ ท่านอาจารย์กู่พาไป ไปพักที่วัดนี้แหละ เป็นป่าเป็นดงร้อยเปอร์เซ็นต์
หลังจากนั้นมาแล้วก็เป็นพรรษา ๑๖ ที่เราไปเที่ยวทางนู้นกลับมา ทีนี้เข้ามาวัดอรัญญิกาวาส ที่ไหนได้มันเป็นอำเภอหมดแล้ว ระยะชั่ว ๘ ปีนะ เป็นอำเภอหมด เป็นหมู่บ้านทั้งหมดแทนป่าเลยเชียว วัดอรัญญิกาวาสอยู่ไหน เขาก็ชี้มือมาทางนี้ เราเดินมาจากนี้กำลังจะพอดีบิณฑบาต เรามากลางคืนเงียบ ๆ สะพายบาตรมากลางคืน เพราะระยะนั้นมันร้อนมาก มาตอนกลางวันร้อนมาก เลยมาตอนกลางคืนดีกว่า เพราะเดือนหงายเสียด้วย ดูเหมือนจะเป็นเดือนหงายระยะนั้น ถามวัดอรัญญิกาวาส เขาก็บอกทางไป ไปที่นี่ เขาก็ชี้บอกนี่อรัญญิกาวาส เมืองทั้งเมืองเราไม่เห็นแต่ก่อน แล้วจะหาวัดอรัญญิกาวาสอยู่ตรงไหน เอ๊ะ ทำไมอำเภอเป็นอย่างนี้ อำเภอไม่เหมือนแต่ก่อน คืออำเภอแต่ก่อนมันอยู่โน้น ที่เขาไปตั้งใหม่มีตลาด
หลง เขาก็ชี้บอก นี่แล้ว ๆ ดูอะไรมันไม่ใช่ทั้งนั้น มันร้อยเปอร์เซ็นต์ ผิดกันร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็เลยเดินเข้าไปดู ทั้งๆ ที่ยังไม่เชื่อคนบอกด้วยนะ เขาก็บอกนี่แหละวัดอรัญญิกาวาส เราก็ไม่เชื่อเพราะสภาพมันเปลี่ยนแปลงหมด ไม่เชื่อ เดินเข้าไป ๆ จึงไปเห็นศาลาเก่าหลังที่เราเคยพักอยู่แต่ก่อน ศาลานั้นยังไม่ได้รื้อ นอกนั้นเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว ไปเห็นศาลาเก่า โอ้ ใช่แล้วนี่ศาลาเก่า จึงยอมรับ และเป็นตลาดทั้งหมดเลยนะ ที่ดงล้วน ๆ นะ ๘ ปี พรรษา ๘ พรรษา ๑๖ กลับมา ๘ ปี พอดีหมดเลย ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่ได้เข้าไปอีก หรือเข้าไปหนหนึ่งหรือไงนะลืม
วัดนี้ท่านอาจารย์เสาร์ท่านอยู่แต่ก่อน เพราะเป็นดงล้วน ๆ สมควรอย่างยิ่งที่จะเรียกว่าวัดอรัญญิกาวาส เป็นดงทั้งหมดเลย ดงหนาแน่นเสียด้วยนะ อำเภอมันอยู่นู่นไกล ตัดดงเข้ามาโผล่มาก็มาในวัด วัดนี้ก็เป็นดงด้วย ไม่มีบ้านคนเลย ดงล้วน ๆ เลยตอนนั้นนะ กลับไปนี้คราวนี้เป็นบ้านล้วน ๆ เลย ดงไม่มี ๘ ปี เราจำได้ พรรษา ๑๖ เราออกมาจากถ้ำผาดัก มานี้ ออกจากนี้ก็กลับมาอุดร แล้วขึ้นไปวัดดอยธรรมเจดีย์ พอเดือนพฤษภาไปหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ ออกจากวัดดอยธรรมเจดีย์ก็เข้านู้น ออกจากนู้นกลับมาก็มาวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปจากวัดดอยธรรมเจดีย์เดือน ๓ มั้ง เผาศพท่านแล้ว งานร้อยวันของท่านผ่านไปแล้วเราถึงได้ไปจากนี้ กลับมาก็พอดีเดือน ๖
สรุปทองคำและดอลลาร์เมื่อวันที่ ๒ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๒ กิโล ๔๔ บาท ๓๔ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐,๑๘๗ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๖,๗๐๐ กิโล ดอลลาร์ที่มอบคลังหลวงแล้ว ๘ ล้านพอดี ทองคำที่ได้เพิ่มหลังจากมอบแล้ว ๓๙๒ กิโล ๔ บาท ๒๖ สตางค์ ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑๐๘ กิโล จะครบจำนวน ๕๐๐ กิโล ดอลลาร์ได้ ๑๔๖,๔๐๑ ดอลล์ที่เราจะมอบพร้อมกันกับทองคำ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมดเป็น ๗,๐๙๒ กิโล ดอลลาร์รวมทั้งหมดได้ ๘,๑๔๖,๔๐๑ ดอลล์ กรุณาทราบตามนี้ เราจะเขยิบขึ้นไปให้ถึงจุดที่หมาย คำว่า ๕๐๐ นี้ต้องเป็นก้าวแรกเลยการมอบคราวนี้ ขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้เลย จากนั้นก็ก้าวขึ้นเรื่อย ต่ำกว่า ๕๐๐ ไม่ได้ที่จะมอบคราวนี้ ส่วนดอลลาร์จะได้แค่ไหนก็แล้วแต่เรายังไม่กำหนด มันไม่ค่อยหนักเท่าไรนักดอลลาร์ ทองคำนี้หนักมาก จึงต้องได้เน้นหนักลงที่ทองคำมากกว่าสมบัติอย่างอื่น
นี่เราก็ทำเพื่อชาติไทยของเราเราไม่ได้ทำเพื่อใคร ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน เราทำเพื่อเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีดีงามแห่งชาติไทยของเรา ซึ่งเป็นชาติสมบูรณ์พูนผลมาตามสภาพของตนที่มีพลเมืองน้อยแต่ก่อนมาโดยลำดับ ก็ราบรื่นดีงามเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำเรื่อยมา แล้วก็มาเกิดวิกฤตการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงกับเมืองไทยจะเอาตัวไปไม่รอด ทีนี้เราก็พยายามฟื้นด้วยความรักชาติของเราก็ค่อยเป็นขึ้นมาโดยลำดับลำดา มีแต่ผลบวกเรื่อยมา จนกระทั่งที่เหยี่ยวใหญ่มันจะกำหัวเมืองไทยเรา ๖๒ ล้านคนผ่านไปได้เรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าหมดแล้วที่อุ้งเหยี่ยวใหญ่มันจะกำเรา พ้นไปได้แล้ว ด้วยความอุตส่าห์พยายามของพี่น้องชาวไทยเราทั้งชาตินี้แหละ มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ผ่านไปได้อย่างนี้แหละ
นี่เราก็จะพยายามผ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความอุตส่าห์ ผลที่ได้มานี้จากความอุตส่าห์ของเราทั้งประเทศ ต่อไปก็เป็นความอุตส่าห์ของพี่น้องชาวไทยเรา เวลานี้อยู่ในระยะที่ว่าจะพยายามรวบรวมทองคำให้ได้สมใจเมืองไทยเราที่เคียดแค้นให้ความล่มจมมาเป็นเวลา ๓-๔ ปีนี้แล้ว เคียดแค้นอย่างถึงใจเทียว ถึงขนาดหลวงตาร้องโก้กเลยเทียว หลวงตาไม่ค่อยเหมือนใครง่ายๆ ถ้าลงได้ลงตรงไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลยนะ เคียดแค้นอันนี้เคียดแค้นสุดขีดเลย เพราะฉะนั้นจึงร้องโก้ก แล้วเวลานี้เรื่องก็ผ่านมาได้โดยลำดับสมใจ ค่อยเจริญขึ้นๆ เรื่อยๆ เป็นผลบวกเรื่อยๆ มา ผลลบที่จะเอาเมืองไทยให้จมก็ผ่านไปได้แล้ว ให้พยายาม นี่ที่เราหนักในตอนเดือนสิงหา นี้ก็เพื่อข้างหน้าไม่ให้หนักมากไป ถ้าหากว่าเบาตอนนี้จะไปหนักข้างหน้า เราถึงต้องเร่งหนักตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเรื่อยๆ
สมบัติเงินทองอยู่ในกระเป๋าไหนๆ ก็รวมเข้ามาๆ หาบัญชีของหลวงตา อันไหนที่ควรเข้าบัญชีก็เข้าทันที อันไหนที่ควรจะแยกก็แยกทันที รวมเข้าบัญชีไหนๆ บัญชีสมุดของเราแหละ สมุดนี้เรารับผิดชอบแต่ผู้เดียวนะ เพราะฉะนั้นถึงแน่นอน ไม่มีรั่วไหลแตกซึมไปไหนเลย เราเป็นผู้รับผิดชอบในบัญชีเงินแต่ผู้เดียว ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเราไม่เคยเลยนะ นี่ก็ความฝืนเพื่อชาติของเรานั่นแหละ ก็ไม่ขัดข้องต่อพระธรรมวินัยข้อไหน เป็นแต่เพียงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องด้านธรรมะ ทางพระวินัยไม่มีอะไรผิด ทางด้านธรรมะมียุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่บ้างเมื่อมาเกี่ยวกับการเงินการทอง แต่ถึงจะยุ่งเหยิงก็ยุ่งเหยิงเพื่อชาติเพื่อศาสนาของเรา เมื่อชาติอยู่ได้ศาสนาก็อยู่ได้ ถ้าชาติจมศาสนาก็จม
ทีนี้การทำอันนี้จะทำให้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรบ้าง มาคำนวณถึงเรื่องความกังวลของเราที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ความกังวลก็ไม่มีความเสียหายอะไร เป็นแต่เพียงว่ากังวลเพื่อชาติบ้านเมืองของเราเท่านั้น จึงตัดสินใจรับนะ รับเป็นเจ้าของบัญชี รับผิดชอบมาตลอด ด้วยเหตุนี้เองสมบัติเงินทองพี่น้องทั้งหลายถวายมามากน้อย จึงไม่มีคำว่ารั่วไหนแตกซึมไปไหนเลย เราบริสุทธิ์ขนาดนั้นละ ทำกับชาติ ศาสนา ของเมืองไทยเรา สมกันกับที่เราร้องโก้ก เราจะไปหาเอาอะไรบาทหนึ่งสตางค์หนึ่งเข้ามา มันเข้ากันได้หรือกับร้องโก้กด้วยความเสียใจสุดขีดเกี่ยวกับเมืองไทยจะล่มจม ซึ่งปู่ย่าตายายพาถ่อพาพายมาไม่เคยมี ทำไมเมืองไทยเราลูกหลานปู่ย่าตายายชาวไทยเรา พาถ่อพาพายมาจนกระทั่งป่านนี้ ยังจะเอาไว้ไม่ได้ ลูกหลานมีตั้ง ๖๒ ล้านคน แต่ปู่ย่าตายายพามา พามาได้ ทีนี้เวลาลูกหลานเกิดมาหลายท่านหลายคนแล้ว จะเอาเมืองไทยให้จม มันเป็นไปไม่ได้
จึงต้องได้ฟิตใหญ่เลยเทียวนะ เอาอย่างเต็มเหนี่ยวๆ เลยตลอดมาดังพี่น้องทั้งหลายเห็น ไม่มีคำว่าย่อหย่อนอ่อนข้อ เพราะได้ตัดสินใจขึ้นเวทีแล้วจะสู้กับความจน จึงต้องบึกบึนเต็มเหนี่ยว พิจารณาโดยความเป็นอรรถเป็นธรรมแล้วพุ่งเลย ๆ ๆ อะไรมาผ่านหน้าไม่ได้ จึงได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายมาอย่างนี้ เวลานี้ก็รู้สึกว่ามีความรื่นเริงบันเทิงขึ้นโดยลำดับ แม้เมืองนอกเขาก็เห็นว่า เมืองไทยเราเป็นเมืองสาวงามเหลือเกินนี่นะ ใครก็หันหน้าเข้ามาๆ เยอะนะเวลานี้ เท่าที่ทราบเป็นลำดับลำดามา นี่ก็เพราะความอุตส่าห์ของชาติไทยเรา โดยมีหัวหน้าผู้ดีเป็นผู้นำ เงินทองข้าวของก็ไม่รั่วไหลแตกซึมไปไหน ไหลเข้าส่วนรวม ๆ หนุนส่วนรวมให้สูงขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งมองเห็นทั่วเมืองนอกเมืองนา มองเห็นเมืองไทยเรา เพราะเมืองไทยเราสูงขึ้น แต่ก่อนมันต่ำ มองใครอยากจะมองลง เดี๋ยวนี้สูงขึ้นใครก็มองมาๆ นี่ก็คือคุณค่าแห่งความอุตส่าห์พยายามของพี่น้องชาวไทยเรา
ต่อไปนี้เราก็จะได้พยายามในจุดนี้ให้ได้ จุดที่พูดเวลานี้เป็นจุดสุดท้าย คือทองคำให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ให้ได้ ๑๐ ล้าน นี่เป็นจุดมุ่งหมายที่หลวงตาตั้งไว้แล้ว ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันทั่วแดนไทยเรา ยังไงต้องให้ได้ในจุดนี้ ถ้าไม่ได้จุดนี้ โหย หลวงตาบัวไม่เป็นท่า ตายจะไม่ให้ใครเห็นหน้าเลย จะว่าอะไร อย่านิมนต์พระไปกุสลา มันเสียหน้าพระ ไปกุสลาหลวงตาไม่เป็นท่า เข้าใจไหม คน ๖๒ ล้านคน ทองคำเพียงแค่ ๑๐ ตัน กับดอลลาร์ ๑๐ ล้านนี้เอาไว้ไม่ได้ ถึงขนาดเอาหัวหน้าจม แทนที่จะเอาทองคำขึ้นให้ฟื้นฟู กลับเอาหัวหน้าให้จม ก็เท่ากับว่าเอาคนไทยทั้งชาติจม นั่น ใครจะอยากฟังไหมล่ะ ไม่อยากฟัง ไม่อยากฟัง เอ้า ดิ้น นั่นเอาให้ได้ละเรา
คราวนี้ต้องเอาเป็นคราวสำคัญของชาติไทยเรา จะประกาศก้องทั่วโลกเลยเชียวนะคราวนี้ ได้พิจารณาหมดแล้ว ยังไงต้องเป็นประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยจะเอาแบบไหนออก นี่ละสำคัญ ต้องแบบเชิดหน้าชูตาชาติตัวเองซิ จะไปเหยียบย่ำทำลายชาติตัวเองมีอย่างหรือ ยังไงชาติตัวเองจะดี และปู่ ย่า ตา ยาย ของชาติไทยเราเป็นมายังไง และเราเป็นมายังไง ต้องเอาขึ้นได้ทั้งปู่ ย่า ตา ยาย ทั้งหลานเหลนที่เดินตามหลังท่าน หนุนขึ้นให้ได้ ในนามชาติไทยของเรา ฟื้นตัวได้ ดังที่เห็นเวลานี้ ฟื้นแล้ว ฟื้นมาเป็นลำดับ
นี่พูดถึงเรื่องการช่วยชาติทางด้านวัตถุ ทางด้านธรรมะก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายรู้เนื้อรู้ตัวนะ เวลานี้ธรรมะบกพร่องมาก สำหรับเมืองไทยที่เป็นเมืองพุทธ รู้สึกว่าทางด้านศีลธรรมบกพร่องมาก การอยู่ การกิน การใช้ การสอย รู้สึกว่าฟุ้งเฟ้อเห่อมากทีเดียว ลืมเนื้อลืมตัว ไม่สมพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าสอนให้ประหยัดมัธยัสถ์ ให้อยู่ในความพอดี อย่าให้ล้นฝั่ง นี่ธรรมะสอนไว้เด็ดขาดด้วยนะ มัธยัสถ์ ความไม่ลืมเนื้อลืมตัว สอนเรื่องอรรถเรื่องธรรม ประหยัดมัธยัสถ์ อันนี้เป็นธรรมสอนทั่วไปหมดในแดนชาวพุทธ ทั้งประชาชนทั้งพระ ให้รู้เนื้อรู้ตัว อย่าลืมเนื้อลืมตัว
แต่เวลานี้เมืองไทยเรานี้อาศัยสิ่งภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามาทุกแห่งทุกหน จะว่าปรับตัวไม่ทันก็ถูก อะไรมาก็เห็นแปลกหูแปลกตาฉวยมับๆ กลายเป็นความลืมตัวไป เลยเสียนะ กลายเป็นความฟุ่มเฟือยไป ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี อันไหนจะอยู่มากน้อยให้เราคิดอย่างนี้นะ สมบัติเรากองเท่าภูเขาก็ตาม แต่เวลาเรารับประทานแล้ว เราจะพออิ่มท้องของเราพอดีๆ เราไม่ได้เอาสมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขามาเทียงเคียงกับพุงของเรา ว่าพุงเพียงเท่านี้มันจะเข้ากันได้ไหมกับสมบัติของเรามากมาย พุงของเรามีเท่านี้ เขาไม่ได้เทียบกันเข้าใจไหม
สมบัติเป็นสมบัติ มากเป็นมาก น้อยเป็นน้อย ความพอดีคือสิ่งที่บรรจุของเรา นี่พอดี ให้อยู่ในความพอดีนี้เข้าใจไหมล่ะ อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมทำให้เสียได้ ให้พากันพยายามระวังจิตใจของเราด้วย สิ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนี้ออกไปจากใจนะ ใจลืมเนื้อลืมตัว ทำให้สิ่งทั้งหลายนี้มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาเราได้ เพราะเราลืมเนื้อลืมตัว ให้พยายามรักษาตัวของเราให้ดี ให้อยู่ในความดีพอดี อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินประมาณ
เห็นไหมนั่นพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น สบง จีวร บริขาร เครื่องใช้สอยของท่าน ไปดูเป็นยังไง ท่านฟุ่มเฟือยไหม ปะติดปะต่อ ปะ ๆ ชุน ๆ เต็มอยู่ในกองบริขารท่าน เราไปเห็นทีไรสะดุดใจกึ๊ก ๆ เพราะเราเป็นเทวทัต อะไร ๆ ก็ตาม เมื่อวานนี้วานซืนนี้ธรรมอินทร์ก็เอาผ้าไตรผ้าอะไรมาห่อขนาดนี้ เอามาให้เราคนเดียว นี่ตัดเย็บมาเฉพาะครูอาจารย์คนเดียว ทั้งสังฆาฏิ ทั้งจีวร ทั้งสงบ ผ้าอาบน้ำ เครื่องบริขารเต็มเท่านี้ มันจะเอาไปใช้อะไร ตั้งแต่นี้มันก็เหลือเฟือพอแล้ว โอ๊ย ได้ฉลองให้นิดหนึ่งก็พอใจ แน่ะเห็นไหมล่ะ มันเหลือเฟือซิของเรา แล้วไปดูของท่านนั่นซิ เราสลดสังเวช เรายอมกราบท่านสนิทใจ ๆ
ไปทีไรพอกราบท่านเสร็จเรียบร้อยแล้วจะไปเดินดูบริขารท่าน จากนั้นก็เดินมาดูบริขารทางด้านนี้ แล้วน้อมด้วยความเคารพกราบไหว้อย่างสุดหัวใจ แล้วออกมา อย่างนั้นทุกครั้งไป เพราะเราไม่เห็นครูบาอาจารย์องค์ใดที่จะเป็นเหมือนหลวงปู่มั่น นี่ก็พูดตรง ๆ เลย ไปอยู่กับท่านเป็นเวลา ๘ ปี หาที่ตำหนิไม่ได้เลย ไปที่ไหนมันก็มีธรรมดา หูตานี่เป็นนักตำหนิติชม เข้าใจไหม พวกตา หู จมูก ลิ้น กายของเรานี้เป็นนักตำหนิติชม เห็นอันนี้อันนี้ดีนะ อันนี้ไม่ดีนะ ฟัง ๆ เอ๊ะ คนนี้พูดมันพูดอะไรอย่างงั้นน่ะ เรื่อย นี่พวกนักตำหนิอยู่นี่
อายตนะภายใน ไปเจออายตนะภายนอกเข้าก็ตำหนิกัน ชมกัน เป็นบ้าไปเลย แต่เวลาไปดูเครื่องบริขารของท่าน ในวาระสุดท้ายคือบริขารของท่านมาประมวลไว้ให้เป็นที่สะดุดใจของลูกของหลาน ว่าเป็นยังไงที่พาใช้มา ใช้ยังไง ดู แล้วก็มาดูเรานี้มันเข้ากันไม่ได้ มันเหลือเฟือเหลือเกินเราน่ะ มาทุกด้านทุกทาง คนนั้นเอานั้นมาให้ คนนั้นเอานี้มาให้ พูดเท่าไรก็ไม่ฟัง ก็มาอยู่อย่างงั้น ไปก็จะไปกราบท่านแบบหมอบราบเลย ที่อยู่กับท่านมาเป็นเวลา ๘ ปี เรายังไม่เคยเห็นก็บอกว่าไม่เคยเห็น ครูบาอาจารย์ที่เป็นแบบหลวงปู่มั่นนี้ไม่มี เพราะเราก็เป็นนักล่าครูอาจารย์เหมือนกัน ทั้งฝ่ายปริยัติเข้านอกออกในได้หมดเลย ไม่ว่าวัดนอก วัดใน วัดราษฎร์ วัดหลวง วัดที่ไหนไปหมดเลย
ทีนี้ออกทางภาคปฏิบัติก็เหมือนกัน ขึ้นจุดสุดยอดก็หาหลวงปู่มั่น แน่ะ อันนั้นจุดสุดยอด ขึ้นไปตั้งแต่พื้น ๆ เป็นนักล่าครูอาจารย์ ไปที่นั่น ไปที่นี่ ก็ไปลงจุดสุดท้ายที่หลวงปู่มั่น ลงแล้วลงจริง ๆ ไปอยู่กับท่านได้ ๘ ปี แหม ทำไมกิริยามารยาททุกอย่างหาที่ต้องติไม่ได้เลย พอดิบพอดีทุกอย่าง ๆ เลยนะหลวงปู่มั่น ไอ้เรามันมีนิสัยตลกอยู่ในนั้นตั้งแต่ไปอยู่ นั่นละนิสัยมันติดตัวนะ เวลาคุยไปคุยมา มีอะไรแย็บออกมานะ ท่านว่า อะไร หาแต่เรื่องเล่น ท่านพูดแล้วท่านยิ้ม ๆ นะ ว่าจะพูดตำหนิเราจริง ๆ ก็ไม่ใช่ เราดูก็รู้ อะไร ท่านว่า หาแต่เรื่องเล่น คือเราพูดตลกท่านก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่ท่านสะกดไว้ท่านไม่หัวเราะ มันจะเป็นการเสริมเราให้เป็นบ้าหนักขึ้นเข้าใจไหมล่ะ ท่านว่า อะไร หาแต่เรื่องเล่นเป็นบ้าไปอย่างนั้น ท่านมีลักษณะยิ้ม ๆ อยู่ภายใน ท่านก็รู้ อ่านออกว่านิสัยนี้เป็นนิสัยลิง แต่มันจะออกมากไม่ได้นะลิงตัวนี้ ถึงออกมากไม่ได้ มันออกแค่นี้ก็เอา นี่ละที่หาตำหนิท่านอย่างนี้ไม่มีนะ ไม่มีเลยหลวงปู่มั่น แต่เวลาเราพูดนี้ท่านก็รู้ตามนิสัย ท่านมียิ้มนิด ๆ เราก็รู้
เราไม่เคยเห็นนะ การปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยนี้เปรี๊ยะเลยนะ ไม่มีคลาดเคลื่อนเลย เพราะเราก็เรียนไปแล้ว ท่านทำนี้ถูกต้องกับหลักธรรมหลักวินัยข้อไหน ๆ ก็อ่านเรียนไปหมดแล้ว มันก็รู้หมด จึงว่าหาที่ต้องติไม่ได้เลยหลวงปู่มั่น อำนาจมาก ตาแหลมคม ตาหลวงปู่มั่นแหลมคม นิสัยคล่องตัว เสียงกังวาน เวลาท่านเทศน์พระเณรนี้เต็มศาลานะ เพราะที่ไหน ๆ ก็มา พอทราบว่าท่านจะมีการประชุม อยู่ที่ไหนวัดไหน ๆ ก็มาเต็ม กุฏินี้แน่น เช่นประชุมศาลา ศาลาแน่น พระเหมือนไมมีเลยนะ เหมือนไม่มีคนเลยศาลา พระแน่น เวลาท่านเทศน์นี่ซิมันอัศจรรย์นะ พระก็เงียบหมดเลย คอยฟังเสียงแต่ท่าน
พอได้โอกาสแล้วท่านก็เริ่มขึ้น จิตใจก็จ่อ พระฟังเทศน์ด้วยภาคปฏิบัติจะไม่ส่งไปข้างนอกข้างไหน แม้ที่สุดส่งไปหาท่านผู้แสดงธรรมก็ไม่ออก สติจ่ออยู่ในจิต เทศน์พอเริ่มปั๊บจะเข้านี่เลย เพราะสติรักษาบ้านดี ความรู้เหมือนสมบัติในบ้าน สติเหมือนเจ้าของรักษา พอท่านเริ่มปั๊บจะไหลเข้านี้ จ่อปั๊บไหลเข้าเรื่อย ๆ ธรรมะท่านเริ่มออกก็ค่อยเอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ก็เหมือนรถเราเริ่มออก พอได้จังหวะทีนี้ก็พุ่ง ๆ ๆ เลย จนกระทั่งถึงธรรมะขั้นสูงเท่าไรยิ่งเด็ด ยิ่งเผ็ด ยิ่งร้อนนะ แล้วยิ่งหวาน ยิ่งมันนะ ผู้ฟังก็ดี เทศน์นี่ไหลไปเลยเทียว ออกจากนี้ทั้งหมด ไม่ได้ไปหาที่ไหน
พูดแล้วเราก็สาธุแทนท่านนะ ไม่ได้ไปหาตามตำรับตำราที่นู่นที่นี่ เพราะตำราท่านชี้เข้ามาที่นี่ให้ปฏิบัติตน เมื่อผลเกิดจะเกิดขึ้นจากที่นี่ เป็นสักขีพยานต่อตำรับตำรานั้น เพราะอันนี้เป็นตัวยืนยัน ไหลเลย ไปอยู่กับท่านเบื้องต้น ๔ ชั่วโมง ตั้งแต่เริ่มเทศน์ จนกระทั่งจบ ๔ ชั่วโมงไหลตลอดเลยนะ นี่ไหลออกจากธรรมะ ธรรมะเป็นตู้พระไตรปิฎกเหมือนครั้งพระพุทธเจ้า เมื่อธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว จะไม่มีวันสิ้นวันสุด วันหมด วันสิ้นไปได้เลย ไหลตลอด แล้วแต่จะมีเหตุการณ์ควรที่จะหนักอะไรต่อแขนงไปเรื่อย ๆ ๆ ไปเลย
ยิ่งมีธรรมะทุกขั้นที่มารอฟังท่านอยู่นั้นแล้ว ธรรมะท่านจะยิ่งไหลไปเลยนะ คือผู้มาปฏิบัตินั้นมีขั้นของจิตของธรรมเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ตั้งแต่พื้นๆ ฝึกหัดล้มลุกคลุกคลานไป แล้วเข้าสู่สมาธิ สมาธิเป็นขั้น ๆ แล้วก้าวเข้าสู่ปัญญาเป็นขั้น ๆ ถึงขั้นที่จะหลุดจะพ้นนี้ ธรรมะท่านจะไหลไปเลยนะ อย่างนี้ท่านเทศน์สะดวกมาก อย่างท่านเทศน์สอนพระนี้ แหม ไหลตลอดนะ ไม่มีจะอึ๊อ๊ะที่ไหนไม่มีเลย ไหล ๆ เทศน์ไปนานเท่าไร ธรรมะสูงเท่าไรยิ่งไหลนะ ไหลเรื่อย ๆ เพราะธรรมะท่านเปิดรับกันกับผู้รับ เหมือนกับว่าฝนตกลงมาจากบนฟ้าไหลลงสู่ที่รับ ๆ ภาชนะ ท่านเทศน์เป็นอย่างงั้น
ในระยะแรก ๔ ชั่วโมง ระยะหลังเข้ามานี้ลดลงเป็น ๓ ชั่วโมง เทศน์แต่ละครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วโมง จนกระทั่งหลังสุดนี้เทศน์ ๒ ชั่วโมง ไม่ต่ำกว่านั้น จากนั้นแล้วหยุดเลย ตั้งแต่ ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ท่านเทศน์ แต่เทศน์สอนพระล้วน ๆ เพราะไม่มีประชาชนญาติโยมเข้าไปเกี่ยวข้องเลย ท่านเทศน์สอนพระ นี่แหละที่ได้ฟังธรรมะอัศจรรย์จากท่าน ทีนี้หูของเรามันก็เลยกลายเป็นหูโยมแม่ไปซิ จะว่าประมาทครูบาอาจารย์องค์ใดก็ไม่ประมาทนะ แต่จิตใจมันไม่สัมผัส มันจ่ออยู่กับท่านองค์เดียว เป็นอย่างงั้นนะ มันไม่ได้ไปสัมผัสองค์ใด แต่ไม่ได้ประมาทองค์ใดนะ มันหากจ่ออยู่ตรงนั้น นี่จึงว่ามันเป็นหูโยมแม่ ไหลไปเลย
บางทีมันเป็นในจิตจริงๆ นะ เวลาท่านเทศน์เต็มเหนี่ยวของท่าน แล้วธรรมะก็รับกันเต็มเหนี่ยว ใจของเราก็จ่อตลอด เรียกว่าใจของเราก็เต็มภูมิร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่จะรอรับท่านร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่านจะเทศน์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วบางวันเรายังไม่ลืมนะเหมือนว่าโลกนี้ดับหมดเลย อำนาจของธรรมท่านออกมา กับอำนาจแห่งการรับฟัง ด้วยความสนใจเต็มเหนี่ยว มันรับกันได้เต็มที่ ๆ นี้ ขณะฟังเทศน์เหมือนกับว่าโลกนี้ดับไปหมด ไม่ทราบว่าเป็นยังไง พอหยุดฟังเทศน์แล้วอะไรก็มีเป็นปรกติ ๆ แต่ภายในใจของเรามันไม่รับอะไรเลย มันมีอยู่นี่ จึงเหมือนว่าโลกนี้ดับหมด นี่เป็น เป็นชัด ๆ เราเองเป็น แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง ผู้ปฏิบัติทั้งหลายก็จะทราบอย่างเดียวกัน แต่ต่างองค์ต่างก็เงียบๆ
นี่ละธรรมะที่ถึงกัน ๆ ฟังแล้วมันเหมือนว่าโลกนี้ดับไปเลย เราเป็น เป็นอยู่บ่อยๆ ธรรมะประเภทนี้ นี่ละธรรมะภาคปฏิบัติที่รับฟัง กับธรรมะที่ท่านรู้แล้วเห็นแล้ว เปิดลงมารับกัน เพราะฉะนั้นที่ท่านแสดงไว้ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแต่ละครั้งนี้ เทวบุตร เทวดา ประชาชน บรรลุมรรค ผล นิพพาน จำนวนตั้งมากมาย จะไม่จำนวนมากยังไง มันยอมรับเลยมันเห็นอยู่ในใจนี่ เพระคนจำนวนมากมาฟังเทศน์นี้ ไม่ว่าพวกเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันภายในจิตใจของแต่ละสัตว์แต่ละบุคคล ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหม ลงมาหามนุษย์ มีจริตนิสัยขั้นภูมิของอรรถของธรรมเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน
ทีนี้เวลาเทศน์ผู้ที่อยู่ใกล้เข้ามาๆ พอเทศน์นี้เหมือนวัวอยู่ปากคอก พอเปิดปากคอกปั๊บนี่ผู้ที่จวนจะได้สำเร็จสูงแล้ว พอเปิดปากคอกปั๊บ ออกปั๊บ ๆ ๆ นี่ผู้มีนิสัยที่จะรู้อย่างรวดเร็ว พอท่านเปิดธรรมะก็ออกปุ๊บ ๆ ทีนี้ก็หนุนกันมาเรื่อย หนุนกันมา ผู้ออกออกเรื่อย ผู้หนุนอยู่ข้างหลังหนุนเข้ามาเลย เป็นลำดับลำดา คราวนี้ท่านเทศน์จิตขยับขึ้นมาอย่างนี้ คราวนั้นเทศน์ขยับขึ้นมา ก็ใกล้เข้ามา ๆ สุดท้ายก็มาอยู่ปากคอก ออกได้ นั่นเป็นอย่างงั้นนะ แต่ก่อนเราก็ฟังในปริยัตินะ อ่านไปฟังไปธรรมดา แต่เวลามาภาคปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งเข้าภาคธรรมะขั้นสูงนี่ซิ โหย มันเหมือนหวุดหวิดๆ จับนิพพานชั่วเอื้อมๆ กับธรรมะประเภทเหล่านี้เข้ากันได้สนิท มันจะไม่สำเร็จได้ยังไง ก็มันหวุดหวิด ๆ อยู่นี่ ยอมรับ
นี่ละพระพุทธเจ้าสอนที่ตรงไหนผิด ไม่มีผิด เป็นแต่พวกเรามันหูหนวกตาบอด มันรับไม่ได้ มันก็ว่าเป็นสิ่งที่สุดวิสัยไปเสีย ผู้ที่อยู่ในวิสัยจะรู้ จะเห็น จะพ้นได้มีอยู่ มันก็พ้นได้ ๆ ละซิ ผู้อยู่ในวิสัยอันนี้ก็อยู่ในวิสัยอันนี้เสีย แต่นี้ไปก้าวก่ายกันซิ หาเรื่องว่าเกินเชื่อ เกินคาดเกินหมาย เหลือเชื่อไปอย่างงั้น ผู้ที่เชื่อ ผู้ที่พอเหมาะพอดี ผู้ที่จะพ้นท่านมีอยู่เป็นระยะ ๆ ๆ ท่านพ้นไป ๆ ผู้นี้ก็หนุนเข้าไป ผู้ที่เหลือเชื่อนั้นปฏิบัติไปนาน ๆ ต่อไปก็เข้าในระดับเชื่อได้ ๆ ต่อไปก็ผึงได้เหมือนกัน พวกบ้านี่เข้าใจไหม พวกบ้าอยู่ก้นคอก ผู้ที่อยู่ปากคอกท่านออกไปๆ โอ๊ย ไปก็ไปเถอะ กูยังนอนไม่อิ่ม มันก็อยู่อย่างงั้น ครั้นต่อไปเวลามันนอนแล้วมันก็หากิน เห็นเขาออกก็อยากออก ออกได้เข้าใจไหม ให้พากันจำเอานะ
ธรรมะเป็นขั้นๆ พอเหมาะพอดีกับตัวเอง อยู่ในขั้นนั้น ขั้นเหล่านี้ก็เหลือเชื่อๆ ไป แต่ครั้นเวลาหนักเข้า ๆ มันก็ค่อยพอดิบพอดี พอดีปึ๋งเลย นั่นเป็นอย่างงั้นนะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้น พากันจำเอานะคติธรรม ธรรมพระพุทธเจ้านี่เป็นธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบนะ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย มีแต่เรื่องกิเลสลบทั้งนั้นนะ ธรรมพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วๆ สวากขาตธรรม ขอให้ปฏิบัติไปเถอะเปิดโล่งอยู่เรื่องมรรค ผล นิพพานไม่สงสัย บุญบาปเปิดโล่งตลอดมา ท่านถึงเรียกว่า อกาลิโก ทั้งบุญและบาป กิเลสเป็นอกาลิโก ทำให้เป็นบาปเป็นกรรมเป็นได้ทั้งนั้น ทำให้เป็นบุญเป็นกุศลเป็นได้ทั้งนั้น ทั้งสองอย่างเสมอกันนะ เอาละเทศน์เพียงเท่านี้
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www luangta com หรือ www.luangta.or.th |