เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
เปรตผีขอส่วนบุญในโรงพยาบาล
(ผู้ว่าฯ วันเกิดครับ เอาทองคำมาถวาย) โหย นี่เกิดเป็นเงินเป็นทองเราอยากจะให้เกิดวันยังค่ำ (ทองหนัก ๑๐ บาทครับผม) พอใจๆ ดีแล้ว เป็นมงคล (ค่าไฟฟ้าทั้งหมดเขาคิด ๙๖,๐๐๐ ครับ ท่านผู้กำกับรวบรวมได้ ๑๓,๐๐๐ อีก ๘๓,๐๐๐ ผมออกไปหมดแล้วครับ) ไฟฟ้านะ เออเอาละพอใจ เพราะเห็นแล้วมาตั้งแล้วรื้อ ๆ โห ดูแล้วไม่สะดวกใจ จึงได้ติดต่อเรื่องราวนี้นะ ก็ดีแล้วทีนี้ไม่ต้องมาติดมาตั้งเรื่อยๆ ยุ่งเรื่อยๆ ทำให้เรียบร้อยไปเลย ทั้งเสา ทั้งสายไฟฟ้า เพราะมันมีงานอยู่ตลอด เสาไฟดูเหมือนจะ ๒๐ กว่าต้น เราเดินนับดูดูเหมือน ๒๐ กว่าเสาไฟ แล้วลำบากลำบนอยู่บ่อยๆ เดี๋ยวมีงาน ๆ มีงานทีไรก็ขนอันนี้มายุ่งกันเลย พอเสร็จแล้วก็รื้อไป ดู เอ๊ มันยังไงกัน จึงทำให้เรียบร้อยสนิท ตกลงทีนี้ไม่ต้องรื้อต้องถอนบ่อย
นี่ผู้ว่าฯท่านก็เอาเกือบแสน นู่นเห็นไหมสายไฟ บรรดาพี่น้องทั้งหลายก็รวมกันบริจาค เสร็จแล้วผู้ว่าฯ เป็นโต้โผใหญ่ขึ้นเลย พวกสายไฟ แล้วก็พวกต้นเสาไฟฟ้านี้จะไม่เป็นกังวลมาฝังมารื้อ เพราะวัดนี้มีงานอยู่บ่อย ๆ นี่นะ ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยมี สำหรับวัดนี้พูดได้เลยว่าไม่มีงาน มีแต่งานของพระล้วน ๆ งานของพระเป็นยังไง งานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ชำระความไม่ดีของตัวเอง จากจิตใจ จากกาย วาจา ชำระตลอด ๆ อันนี้เรียกว่ากิเลสคือความสกปรกทางใจ กิเลสแสดงฤทธิ์ออกมาเป็นพิษเป็นภัย ทุกแบบที่ออกมาจากใจแล้วเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กัน เผาได้ทั้งโลก นี่ออกจากความสกปรกและเป็นพิษภัยอยู่ภายในใจ ท่านให้ชื่อว่ากิเลส
พระท่านชำระสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เป็นภัยแก่ตัวเอง เมื่อไม่เป็นภัยคุณก็เกิดขึ้นพร้อมกัน เหมือนอย่างที่รกรุงรังออกแล้ว ความเตียนโล่งก็ขึ้นพร้อมกัน งานของท่านเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เรื่อยมา เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นชีวิตจิตใจของพระพุทธศาสนา และของพระตลอดมา นี้คืองานอันดับหนึ่ง ส่วนที่เราเห็นเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่นี้ มันไม่ใช่งานของศาสนาโดยตรงนะ อนุโลมให้บ้างก็มาทางอ้อม หนักเข้าไปกว่านั้นก็เป็นพวกกาฝากของศาสนา กัดตับ กัดไส้ กัดพุงของศาสนา และก็ของพระ ของเณร ของวัดของวาไปหมดเลย มีแต่การก่อการสร้างยุ่งเหยิงวุ่นวาย นี้ไม่ใช่งานของพระพุทธเจ้าโดยตรง
ท่านผู้ใดที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวศาสนาให้ได้ฟังเสีย งานศาสนาแท้พระนี่ขึ้นดับหนึ่ง งานศาสนา งานของพระแท้ รุกฺขมูลเสนาสนํ ขึ้นต้น บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ในรุกขมูลร่มไม้ ในป่า ในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ซึ่งเป็นสถานที่ไม่มีสิ่งใดรบกวน เพราะโลกเขาไม่ไปเกี่ยวข้อง เป็นความสะดวกสำหรับผู้บำเพ็ญธรรม อยู่ในที่เช่นนั้น และจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่ในที่เช่นนั้น ตลอดชีวิตเถิด นู่นน่ะ ไม่ใช่ธรรมดานะ ตลอดชีวิตให้อุตส่าห์พยายาม อุสฺสาโห กรณีโย อยู่อย่างงั้นตลอดชีวิตเถิด
ส่วนที่ท่านให้เป็นอนุโลมไปมีบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องใหญ่เป็นอันนี้ ท่านปฏิบัติมาอย่างนั้น ฟังแต่รุกขมูล คือป่าคือเขา ในครั้งนี้เขาเรียกมหาวิทยาลัยบ้าน มหาวิทยาลัยป่า เราก็ต้องมีเข้ามาเทียบกันซิ มหาวิทยาลัยป่านี้มีมาก่อนมหาวิทยาลัยบ้านนะ อันนี้พึ่งมาตั้งขึ้น ยกขึ้นโก้ ๆ ที่ว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกวันนี้ พูดให้มันยันกันนี่ ต่างคนต่างเรียนมารู้ด้วยกัน เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาวิทยาลัยสงฆ์คืออะไร มีแต่เรื่องความรู้วิชา หลักวิชาต่าง ๆ ของทางโลกเข้ามาเหยียบย่ำทำลายศาสนาไปเสียแหลก ๆ นี่มหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกวันนี้เป็นอย่างงี้ มหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธเจ้านี้ ไล่เข้าป่าแล้วกำจัดสิ่งที่เป็นมลทิน มัวหมองมืดตื้อ เป็นฟืนเป็นไฟแก่ตัวเองออก
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาองค์เอก สำเร็จมาจากมหาวิทยาลัยป่า บรรดาสาวกทั้งหลายก็ไปศึกษาเล่าเรียนในป่า เช่นเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ถ้าอย่างทุกวันนี้เรียกมหาวิทยาลัยป่า แต่ก่อนท่านไม่เรียก ท่านเรียกว่าว่าป่า ๆ ไปอย่างงั้น รุกขมูล ๆ เวลาท่านไปเรียนตามที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทให้เรียบร้อยแล้ว ขั้นที่ท่านเรียนท่านสำเร็จออกมา องค์นี้สำเร็จพระโสดา องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอนาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหัตบุคคล นี่เรียกว่าก้าวขึ้นไปถึงขั้นอริยภูมิ อริยธรรม อริยบุคคลขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านสำเร็จออกมาจากในป่า จากนั้นก็มาสั่งสอนโลกเรื่อยมา จนกลายเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้
ท่านเรียน ท่านปฏิบัติ สำเร็จมาจากในป่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทให้โดยถูกต้องแล้ว จึงว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้ เป็นสงฺฆํประเภทนั้นนะ ผู้ที่ไม่เข้าใจถึงเรื่องศาสนา ก็จะเห็นที่เกลื่อนอยู่ตามวัดตามวา ตามบ้านตามเมืองนี้ว่าเป็นศาสนา ศาสนาแท้ไปเสีย เช่นอย่างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ท่านไม่ได้นิยมแต่ก่อน นิยมอะไร ในตำรับตำราก็ไม่เห็น มีบ้างเล็กน้อยท่านก็แสดงเอาไว้ว่า นางวิสาขาสร้างวิหาร หรือสร้างศาลา ขออนุญาตพระพุทธเจ้าสร้างศาลา หรือวิหารหลังหนึ่ง นางวิสาขาที่เป็นโยมอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเรา พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้สร้าง แล้วให้พระโมคคัลลาน์มาคอยดูแล คอยแนะนำช่างที่เขามาสร้างกัน แล้วพระโมคคัลลาน์ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ฟังซิ ท่านเป็นปุถุชนที่ไหน ท่านเสียหายอะไรพระอรหันต์ ก็มีเท่านั้น
แต่เรื่องปฏิเสธว่าไม่ก่อสร้างเลยไม่ปฏิเสธ มีหากมีน้อยมาก หนักแน่นเข้าทางด้านประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสโดยลำดับลำดาเท่านั้นเอง การก่อการสร้างนั้นๆ นี้ๆ ก็มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่เวลานี้ตั้งกึ๊กลงตรงไหน สร้างวัดสร้างวาสร้างอะไร วัตถุนี้ต้องออกหน้าออกตานะ ให้ได้วิหารใหญ่ ๆ ได้โบสถ์หลังใหญ่ ๆ ได้กี่ชั้นกี่ห้องกี่หับ เพื่อเป็นความสง่าราศี น่าเกรงขาม กิเลสมันเกรงขามไหมคนทำอย่างนั้น พระทำอย่างนั้น กิเลสไม่เกรงขามเหยียบหัวพระไปเลย
แต่ธรรมเกรงขาม ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมไม่ก่อไม่สร้าง.ธรรมเกรงขาม อยากให้ออกสร้างทางด้านจิตใจ สร้างศีลให้สมบูรณ์แบบ ตั้งแต่วันบวชมานั้นแหละศีลต้องสมบูรณ์ตั้งแต่วันนั้น บกพร่องไม่ได้ นี่คือสมบัติของพระ ศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติขึ้นเรื่อยๆ มีศีลแล้วมีใจอบอุ่น บำเพ็ญธรรมเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจที่เคยยุ่งเหยิงวุ่นวาย ที่กิเลสเผาหัวใจ ด้วยอรรถด้วยธรรมคือความสงบร่มเย็นใจ โดยจิตตภาวนา พักอารมณ์บ้าง งานของเราทั้งวันตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับ งานของจิต จิตไม่มีเวลาพักเลย ให้ได้พักบ้างวันหนึ่ง ๆ เขาทำการทำงานทุกอย่างเขายังพัก วิ่งรถเขาก็ยังพักเครื่อง หัวใจเราตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งค่ำไม่ได้พักเครื่องบ้างได้เหรอ นี่หัวใจพักเครื่องต้องพักด้วยธรรม สำหรับเราเป็นชาวพุทธ ให้ทำความสงบใจ
ใจนี้ตัวดิ้นตัวดีดที่สุด อะไรที่พาให้มันดิ้นดีด กิเลสอยู่ทางใต้ มันหนุนออกมา ผลักดันออกมา อยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ อยากตลอดเวลา นี้คือกิเลสที่มันเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ภายในใจผลักดันออกมา จิตใจไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้นะ ไม่ว่าจิตใครเหมือนกันในโลกนี้ กิเลสมันหนุนออก ๆ หรือว่าบังคับให้คิด ให้ปรุง ให้อยาก ให้ทะเยอทะยาน ท่านว่าตัณหา คือความหิวไม่จบ หิวไม่สิ้น นั่นตัณหา กิเลสไม่พาใครให้อิ่มพอ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วพอเป็นลำดับลำดา ศีลเต็มตัว เช่น อย่างพระท่านว่าศีล ๒๒๗ รักษาทุกข้อ ๆ ของศีลแล้วไม่มีคำว่าบกพร่อง นี่พอเข้าใจไหม
ศีลพอ พอเริ่มเข้าไปฝ่ายธรรม ฝ่ายศาสนา ทุกอย่างจะมีความพอ ๆ เป็นลำดับ ถ้าเอียงไปทางกิเลสมีแต่หิวโหยตลอดเวลา พังได้เพราะความหิวโหย แต่ธรรมแล้วสงบร่มเย็นได้ เช่น อย่างศีล บวชปั๊บวันนี้ศีลเต็มตัวแล้วนี่ หิวที่ไหน รักษาให้ดี อิ่มตัว จิตใจสบาย ๆ ไปที่ไหนเย็น อำนาจของศีลนี้ทำให้ประจักษ์ อยู่กับหมู่กับเพื่อนก็เป็นอันหนึ่ง เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปบำเพ็ญภาวนานี้ ศีลนี้จะเป็นของเด่น เป็นสมบัติที่เด่นชัดในตัวของเรา ไปนี้เสือกระหึ่ม ทางนู้นก็เสื่อกระหึ่ม อันนี้เราพอพูดอวดได้เพราะเราเคยมาแล้วกับเรื่องเหล่านี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเก่งกว่าเราในเรื่องอย่างนี้ อย่างน้อยให้มีศีล พอมีศีลนี้อบอุ่นอยู่ภายในใจ เอ้า ถึงมันมากัดกินเรานี้ความอบอุ่นมันแน่อยู่แล้วต่อความดีความสุคตินะ เพียงเท่านี้พอ พอตัวนะในขั้นที่มีศีลพอตัว
จากนั้นจิตอบรมด้วยศีลด้วยธรรม จิตใจมีความสง่างามขึ้น นี่บำรุงธรรมนะ ศีลรักษาเป็นรั้วกั้นไม่ให้ภัยให้ข้าศึกอันตรายอะไรเข้ามาทำลายธรรมที่กำลังบำรุงรักษาอยู่เวลานี้ด้วยการภาวนา ๆ ศีลเป็นรั้วกั้นกำแพงหนาแน่น คือไม่มีอะไรเข้ามาทำลายศีลให้ขาดได้ ตัวเองก็ไม่ดีดไม่ดิ้นออกไปเพื่อการทำลายตัวเอง ศีลก็สมบูรณ์ นั่นละสมบูรณ์มาตั้งแต่วันบวช องค์ไหนขาดศีลข้อใด ตั้งแต่วันบวชมาสมบูรณ์ด้วยกัน ท่านอิ่มด้วยศีล พอด้วยศีลด้วยกันทั้งนั้น เพราะต่างองค์ต่างรักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน นี่เรียกว่าก้าวเข้ามาฝ่ายศาสนา ฝ่ายธรรม เพื่อจะแก้สิ่งที่เป็นภัย คือความหิวโหยนั้นด้วยศีลด้วยธรรมเป็นลำดับ เพียงศีลเท่านี้พอ
ในขั้นนี้แล้วอิ่มนะ อิ่มตัว ไปอยู่ในป่าในเขา โอ๋ย เสียงเสือกระหึ่ม ๆ เสือไม่ใช่เสือเล็กเสือน้อย ไม่ใช่เสือเขาวาดภาพในกระดาษนะ เสือจริง ๆ ว่าไง มันกระหึ่ม ๆ อยู่ข้างทาง เดินจงกรมนี้เฉยนะ เพราะมันอบอุ่น ทีนี้จิตก็หมุนตัวเข้าไป ฟังท่านทั้งหลายให้รู้เรื่องคุณค่าของธรรม ทีนี้เวลาจิตธรรมดาที่เราว่ากลัวนั้นกลัวนี้ นี่ก็คือกิเลสหลอก กลัวอะไร ถ้าว่ากลัวผีจิตมันวิ่งเข้าไปหาแต่ป่าช้า วิ่งเข้าไปหาแต่ผี ถ้าว่ากลัวเสือมันวิ่งเข้าหาแต่เสือ คิดหาแต่เรื่องเสือ มันกลัวอะไรจึงเป็นอย่างนั้น ถ้ากลัวมันต้องหลบ ต้องหมอบ ต้องซ่อน นี่วิ่งเข้าไปหาเขา มันกล้าหาญไม่รู้จักตายเข้าใจไหม
ทีนี้เวลาศีลเรามีแล้ว จิตของเรามันจะกลัวอะไร เอาพุทโธให้เป็นเกาะ ยึดกับพุทโธ นี่ผู้ตั้งใจพิจารณาให้เห็นประจักษ์ นี่กำลังพูดให้ฟังเรื่องผลแห่งการกระทำ เวลาเข้าไป แต่ก่อนอยู่ที่ไหนมีแต่เสือนะ มีสัตว์ร้ายพวกเนื้อเต็มไปหมดในดงในป่า ไม่อดไม่อยากเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นก้าวเข้าดงไหนจึงมีแต่ป่าที่น่ากลัว ทีนี้น่ากลัวก็ยิ่งขยับเข้าไปหาที่น่ากลัว เพื่อจะดัดสันดานจิตตัวที่กิเลสแฝงอยู่นี้ พอไปนี้เสียงเสือกระหึ่ม บังคับที่นี่นะ เอากันตรงนี้นะ เราจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนเลย มันจะตัวสั่นแล้วนะ มันกลัว
ทีนี้เราก็เชื่อพระพุทธเจ้าซิ เชื่อเสือก็สร้างแต่ความกลัวความทุกข์ให้เรา เชื่อพระพุทธเจ้าเอาพุทโธเข้ามาในใจนี้ จะเอาความอาจหาญชาญชัยขึ้นทับกัน รบกัน เอาพุทโธติดกับจิตห้ามไม่ให้คิดออกไป ถ้าว่ากลัวเสือก็อย่าคิดถึงเสือ ไม่ให้คิด ให้เกาะพระพุทธเจ้า เสือเป็นภัย พระพุทธเจ้าเป็นคุณ พุทโธ ๆ ติดแนบ มันกลัว มันอยากจะคิดนะ มันกลัว อยากจะคิดออกไปหาเสือ มันกลัวอะไรอย่างนั้น บังคับไว้ ๆ หนาแน่น ๆ ด้วยสติบังคับไว้ ทีนี้จิตเมื่อได้รับการอบรมรักษาด้วยสติดี แล้วพุทโธติดแนบกัน ก็สร้างพลังขึ้นมาในใจ มีความอบอุ่นเข้ามา ๆ แน่นหนามั่นคง ความกลัวหายไป ๆ ทีนี้พุทโธถี่ยิบ แล้วหมุนตัวขึ้นมาเป็นฐานแห่งความสงบเย็นใจ
จากนั้นแล้วความกล้าหาญขึ้นนะที่นี่ ขณะก่อนมันกลัวจะเป็นจะตาย ทีนี้พอพุทโธกับใจเข้าเป็นอันเดียวกันแล้ว ความกล้าหาญชาญชัย ความอบอุ่นเกิดขึ้น ๆ จากนั้นเป็นความกล้าหาญเลยที่นี่ เอา ในขณะก่อนนี้มันกลัวจนตัวสั่น มันกลัวมากนะ ทีนี้พอจิตได้รับการอบรมจากพุทโธที่เป็นมหาคุณนี้ด้วยดีแล้ว ไม่ให้มันส่งไปหาภัยคือเสือ ทีนี้จิตนี้ก็อบอุ่นเข้าๆ สง่างาม ๆ ต่อจากนั้นก็เกิดความกล้าหาญชาญชัย พร้อมทั้งความสว่างไสวภายในใจ เอ้า ที่นี่ขณะนี้มันกล้าหาญเต็มที่แล้ว เอ้า เสือเดินมาจะเดินเข้าไปหาเสือได้เลย เห็นไหมจิตดวงนี้แหละ ตัวมันหลอกให้กลัว นั่นคือกิเลส ธรรมที่ทำให้กล้าหาญชาญชัย สู้กันได้เลย
ขณะก่อนมันกลัวจนตัวสั่น ขณะหลังมานี้เกิดความกล้าหาญชาญชัย เอ้าเสือเดินมาเถอะเดินเข้าไปหาเลย ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน ถึงเสือจะกินหรือไม่กินมันก็ไม่คิด แต่ความกล้าหาญมันบอกอยู่ในปัจจุบัน ไม่กลัวอะไรในโลกนี้ ฟังซิน่ะ ลงธรรมสั่งสมพลังธรรมเข้าสู่ใจแล้วกล้าหาญชาญชัย เดินไปไหนได้หมดที่นี่ แต่ก่อนเรากลัวจะตาย ทีนี้ไปไหนไปได้หมด นี่เห็นไหมผลแห่งการปฏิบัติ ธรรมเป็นมหาคุณต่อจิตใจปัจจุบันเช่นเดียวกัน กับกิเลสมันสร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้เราในปัจจุบัน นี่ละท่านก็พอของท่าน
ทีนี้เมื่อได้เหตุได้ผลอย่างนี้แล้ว ไปอยู่ที่ไหนหาที่กลัว ๆ ที่กลัวคืออะไร ที่กลัวยิ่งจะได้เด็ด เข้มแข็งเข้าไปในการรักษาจิต จิตจะได้รับความมั่นคงจากธรรม แล้วก็เห็นผลประจักษ์ ๆ เกิดความกล้าหาญ ถ้าไม่น่ากลัวจิตมันเถลไถลนะ ถ้าที่ไหนไม่น่ากลัวมันชักขี้เกียจภาวนา สติก็ไม่ค่อยตั้ง นอนก็ไม่รู้จักตื่น กินก็มาก นอนก็มาก นี่สั่งสมกิเลสขึ้นแล้ว จะลากอันอื่นมันไม่ทันกัน ไม่ถึงกันนะ ลากคอมันไปภาวนา ไปเดินจงกรม โอ๋ย คอขาดก็ขาดมันไม่ยอมไปทางจงกรม มันโดดถอยหลัง
นี่ความขี้เกียจ ท้อแท้อ่อนแอเป็นเรื่องกิเลสแล้วนี่มันเกิด เวลาเราดัดมันเข้าไปความกล้าหาญเกิดขึ้นอย่างนี้ เวลากลัวเท่าไรจิตของเราแน่นหนามั่นคง ฟิตเข้า ๆ เห็นผลประจักษ์ ๆ นี่ละทำไมพระก็ดี คนก็ดี กลัวเหมือนกัน เช่น อย่างท่านไปฝึกหัดท่านอยู่ในป่าในเขา บางแห่งเสือมานั่งอยู่ก็มีหลวงปู่มั่นเล่าให้ฟัง มานั่งอยู่นี่ ท่านเดินจงกรม แต่ไม่ใช่ท่านอาจารย์มั่นเรา หากครูบาของท่าน ท่านเดินจงกรมอยู่ ท่านอาจารย์มั่นเล่าให้ฟัง เล่าให้ฟังอย่างเฉยนะ เพราะท่านสู้มาพอแล้ว เราเดินจงกรมไปมาๆ เอ๊ะ ทำไมมันผิดสังเกตท่านว่า ท่านอาจารย์สีทาท่านมาเล่าให้ฟัง ทำไมมันผิดสังเกต มองไปที่ไหนได้ แต่เสือมันไม่ได้หมอบนะ ถ้าหมอบมันมีท่าจะตะครุบจะตะปบจะกินได้ แต่นี้มันนั่งแบบหมานั่ง นั่งชัน
ท่านเดินไปมองไป โอ้โหย มันนั่งอยู่นี่ มันมานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ท่านก็เดินจงกรม ไม่กลัวนะ ท่านว่าอย่างนั้น ไม่กลัวแต่ขนลุก ก็เดินไปอย่างนั้นแหละ มันก็นั่งอยู่นั้นเฉย นี่ก็เดินไปเดินมา พอนานเข้าพอสมควรแล้วท่านก็คิดในใจ คิดว่า เอ๊อ จะมานั่งเฝ้ากันหาอะไร อยากไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซี ทางนี้ก็จะทำภาวนาหาประโยชน์แก่ตน นั้นจะไปทำอะไรๆ ก็แล้วแต่ อยากจะไปไหนก็ไปซีมานั่งเฝ้ากันอะไร เสียงคำรามขึ้นเลย เฮ่อๆ ๆ ขึ้นเลย เหมือนกับเทวดาบันดาลหรือเทวดาสังหรณ์มาเป็นเสือก็ได้ หรือจิตนั้นมีเทวดาคอยกระซิบอยู่ก็ได้ พอเราคิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาเสือนี่คำรามขึ้นทันทีเลย พอว่าอย่างนั้นท่านก็พลิกแก้ความคิดเสียใหม่ว่า เอ้อ ถ้าไม่อยากไป จะมานั่งเฝ้ารักษายามให้ก็ดีอยู่ไม่ว่าอะไร นั่งอยู่นั้นก็นั่งเถอะ ทางนี้ก็จะเดินจงกรม เสียงเงียบเลยนะ แล้วนั่งอยู่นั้นจนกระทั่งเดินจงกรมกลับมาแล้ว วันหลังไม่มาอีกเลย นี่เห็นไหมภาวนาท่านสู้จนขนาดนั้น ท่านไม่ได้หนีนี่นะ เอาจนได้
นี่พูดถึงเรื่องการภาวนาฝึกใจ กิเลสตัวแสบที่หลอกให้เอนให้เอียงให้ล้มระนาว มีแต่กิเลสทั้งนั้น ธรรมนี้สอนเพื่อพยุงๆ ให้ตั้งตัว เช่นอย่างมันกลัวเสือก็ให้คิดกับพุทโธ นี่เรียกว่าตั้งตัวกับพุทโธ เสือจะมาเตะมายันไปหามัน ให้กลัวมันแล้วก็เผ่นเท่านั้นละซี ทีนี้พอจิตมีความสงบเย็นใจแล้ว จิตนี้ก็พอตัวในนี้ ไม่เหมือนกิเลสนะ พอตัวขั้นนี้ในสมาธิ อยู่ที่ไหนเย็นหมด สบายหมดจิตของผู้ภาวนามีสมาธิ นี่ละธรรมมีอยู่หรือไม่มี ฟังซิท่านทั้งหลาย ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานมาได้กี่กัปกี่กัลป์ เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว พวกเราเป็นยังไง เป็นกบเฝ้ากอบัวอยู่เหรอ
เป็นยังไงกบเฝ้ากอบัว ร้องเอ้บๆ ๆ ถึงเวลาเขาก็เอาดอกบัวไปบูชาพระ กบก็ร้องเอ้บๆ ๆ ไม่ได้เรื่องอะไร นี่ผู้ดีทั้งหลายท่านขนอรรถขนธรรมขนบุญขนกุศลเข้าสู่ใจจากศาสนา เรามีแต่เอ้บๆ ๆ ไปที่ไหนดี ไปโรงละคร โรงระบำรำโป๊ที่ไหนดี มันเอ้บๆ ทางนู้น เอ้บๆ ทางนี้ พวกเราพวกเอ้บๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ให้พากันคิดนะ ศาสนาประกาศกังวานอยู่ด้วยความเลิศเลอ พวกเรามันหูหนวกตาบอดอยู่ยังไง ตายกองกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่เข็ดไม่หลาบบ้างเหรอ พระพุทธเจ้าโฆษณาอยู่ โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ. ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจของสัตว์โลก เพราะความมืดมนอนธการของกิเลสตลอดเวลามา ยังมีแก่ใจหัวเราะรื่นเริงบันเทิงกันอยู่เหรอ ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง นั่นฟังซิ นี่ละพุทธภาษิตนะท่านแสดงไว้
ควรจะตื่นนะพวกเราทั้งหลาย อย่าเพลินเป็นบ้ากัน เขาก็เพลิน เราก็เพลิน โลกสงสารนี้เพลินกันด้วยฟืนด้วยไฟเผาไหม้ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าโฆษณามันไม่ได้ฟังเสียงนะ มันถึงมีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนที่มีความสุขบ้างพอให้อยู่ได้เย็นสบายหรือออกร้านความสุขบ้างมีที่ไหน ไม่มี มีตั้งแต่ความทุกข์เต็มโลกเต็มสงสารเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มแผ่นดิน ไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าบุคคล ความทุกข์คือกิเลสสร้างขึ้นมาอยู่บนหัวใจ ทับลงในหัวใจ เผาไหม้ตลอดเวลา หาความสุขที่ไหนได้ ถ้าไม่เอาธรรมเข้ามากำจัดปัดเป่า เช่นน้ำดับไฟแล้วหาความเย็นไม่ได้นะ ต้องพากันอุตส่าห์พยายามหาความเย็นด้วยอรรถด้วยธรรม
นี่เราพูดถึงเรื่องธรรม ธรรมพอเป็นลำดับนะ ศีลพอตัวแล้วไม่ต้องไปหาศีลที่ไหนอีก แล้วสมาธิก็แน่นหนามั่นคงพอตัวนี้ ก้าวขึ้นทางด้านปัญญาแก้กิเลสเป็นลำดับลำดา กิเลสตั้งแต่ส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด จะแก้ด้วยสติ แก้ด้วยปัญญา ศรัทธา ความเพียร หมุนติ้วๆ นี้พอเป็นลำดับ พอถึงขั้นปัญญาหมุนติ้วเสียก่อน นี่เรียกว่าหมุนเพื่ออิ่มพอ หมุนทางความพากความเพียร ถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น กิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้วพอ พอคราวนี้พอขั้นสุดยอด พอเรียกว่านิพพาน แปลว่าเมืองพอ ไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไปทำลายได้เลย ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง นี่ก็พอ พอด้วย เที่ยงด้วย ธรรมนี่พอ
แต่กิเลสนี่เอามาซิ ไม่มีคำว่าพอ มีแต่ความหิวความโหยพาดีดพาดิ้นตลอดเวลา เอานั้นมาเอานี้ไป เอานั้นมาอันนี้หลุดไปๆ หลุดไม้หลุดมือไปเรื่อยๆ หาเรื่อย ทุกข์ตลอดเวลา สุขมีนิดหน่อยๆ แล้วความทุกข์ทับถมเข้ามาเรื่อยๆ ให้มีธรรมเข้าไปแทรกแซงกันบ้างซิ มีการแก้ไขดัดแปลงกันบ้าง มีแต่กิเลสมันก็ตายกองกันอยู่นี้ไม่มีเวลาสิ้นสุดยุติ ถ้ามีธรรมแล้วตายกองกันด้วยความทุกข์ความทรมานนี้จะหดย่นเข้ามา ทางจะยาวแสนยาวหดย่นเข้ามาด้วยการสร้างคุณงามความดี ใจดวงนี้ไม่ตาย ให้พากันทราบเสียว่าใจดวงนี้ไม่เคยตาย ถึงจะไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ก็ตามยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์มากขนาดไหนยอมรับทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้
ใจดวงนี้เมื่อเวลาชำระซักฟอกโดยลำดับแล้ว ก็กลายเป็นใจที่สง่างามขึ้นมาดังที่กล่าวมานี้ จนกระทั่งพ้นผึงไปเลย นี่เรียกว่าสุดยอดแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องมาตายกองกันอีกแล้ว นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้ความเกิดอีก ตายอีก แบกกองทุกข์ต่อไปอีกของเราไม่มีแล้ว นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้าประกาศออกมา แต่ก่อนพระองค์เคยประกาศเมื่อไร วันนั้นทำไมประกาศได้ ก็เพราะความกระจ่างแจ้งตัดภพตัดชาติ ตัดกองทุกข์ทั้งหลายออกขาดสะบั้นในคืนวันเดือนหกเพ็ญ ประกาศออกมาเลย นี่ละธรรมประกาศก้องอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเรานอนจมปล่อยให้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย ไม่เคยเอาธรรมมาชำระสะสาง ชะล้างกันบ้างเลย มันก็มีแต่กองทุกข์ ไปที่ไหนมีแต่กองทุกข์นะ
อย่างไปโรงพยาบาล เรากลัวตาย เราเจ็บไข้ได้ป่วยวิ่งเข้าโรงพยาบาล รู้ไหมโรงพยาบาลนั้นคือป่าช้าใหญ่ คิดบ้างซิ รักษากันรักษาไม่หายมันก็ตาย เตียงหนึ่งบรรจุคนไข้หรือรับรองคนไข้มา เตียงนี้กี่คนที่ตายไป ๆ รักษาไม่ไหวตายไป เตียงคนไข้ที่รักษาหายไปก็มี คนไข้ที่รักษาไม่หายตายอยู่บนเตียงนั้นก็มี มากขนาดไหน ในโรงพยาบาลแต่ละโรง ๆ เตียงนี้เป็นเตียงป่าช้า ทั้งคนเป็นทั้งคนตาย ผู้หายกลับบ้าน ผู้ไม่หายตายไปเลยมีมากนะ เอาทีนี้เวลาตายไปแล้วมันไม่ไปไหนนะ มันมาเกาะมาเกี่ยวก็มี สวรรค์นิพพานควรจะไปมันไม่ไป เพราะมันไม่สร้างบุญสร้างกุศล มันสร้างแต่ความชั่วช้าลามก
ตายไปแล้วนึกว่าจะหมดทุกข์ ก็มากวนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อีก เช่นนักภาวนา ท่านเจ็บไข้ได้ป่วยท่านไปอยู่โรงพยาบาล พวกเปรตพวกผีนี้มากวนขอส่วนบุญส่วนกุศล ตายแล้วแทนที่จะไปไหนไม่ไป เห็นใครมาก็ไปหวังพึ่งหวังอาศัย เพราะความดีของตัวไม่มี นี่มีเยอะนะในโรงพยาบาล ฟังให้ชัดนะวันนี้ธรรมพระพุทธเจ้า นี่ละโรงพยาบาล ป่าช้าอยู่ในที่เดียวกัน ผู้ที่มาขอรับส่วนบุญส่วนกุศลเต็มอยู่ในนั้นอีกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าตายแล้วจะไปเลย ผู้ที่ลงนรกก็คือว่าผู้ที่มีกรรมหนามากอยู่ไม่ได้ อยู่โรงพยาบาลมาเป็นเปรตเป็นผีอยู่นี้ นี่เป็นเปรตเป็นผีประเภทหนึ่งที่ควรจะได้อาศัยส่วนบุญจากผู้อื่นอยู่ ก็มารบกวนมาขอ
ผู้ที่มีบาปกรรมหนา ๆ ตายขาดสะบั้น พอลมหายใจขาดผึงลงนรกเลย เอ้า ผู้ที่มีความดีงามทั้งหลายตามขั้นของตน พอลมหายใจขาดดีดผึงขึ้นเลยๆ ผู้ถึงมรรคผล นิพพานแล้วไม่ต้องบอก ธรรมท่านไม่มีอะไรละ ดูแต่ลมหายใจ พอลมหายใจขาดท่านก็ดีดผึงเลย ท่านไม่มีวิตกวิจารณ์กับเรื่องการเป็นการตาย คือพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ท่านไม่มี สมมุติว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ มันจะตายแล้วหรือก็ดูลมหายใจ เรื่องสมมุติก่อกวนให้เป็นความเดือดร้อนตลอดเวลา คือธาตุคือขันธ์ นี่อันสุดท้ายละ
เอ้าที่นี่จะไปก็ไป แบกหามกันมานานแล้ว รับผิดชอบกันมานานแล้ว ถึงไม่ยึดไม่ถือก็รับผิดชอบกัน เช่น พระอรหันต์ พระพุทธเจ้ารับผิดชอบในธาตุในขันธ์ กิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นเครื่องก่อกวนจิตใจให้ได้รับความทุกข์ ทุกข์ไม่มีในใจของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ แต่เรื่องที่จะรับผิดชอบในธาตุในขันธ์นี้ยังมีอยู่ เจ็บไข้ได้ป่วยก็รู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อนก็รู้ แต่ไม่ยึดไม่ถือ หากผ่านกันไปผ่านกันมากวนกันอยู่อย่างงั้น ทีนี้พอลมหายใจขาดปั๊บดีดผึง เรื่องการก่อกวนในธาตุในขันธ์อันเป็นเรื่องสมมุติหมดโดยสิ้นเชิง นั่นอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วน ๆ เลย วิมุตติหลุดพ้นล้วน ๆ พวกนี้ไม่มา ดีดผึงไปเลย กับพวกที่สร้างบาปสร้างกรรมหนาๆ ดีดผึงลงเลย
แต่พวกที่เป็นเปรตเป็นผี ชีวิตจิตใจความเป็นอยู่ไม่เพียงพอว่าจะไปลงนรก กรรมก็ไม่ถึงขนาดที่จะลงนรก จะไปสวรรค์นิพพานก็ไม่ถึงขนาดจะไปได้ ก็อยู่ในสภาพที่รบกวน ท่านผู้มีศีลมีธรรมไปนอนภาวนาเจ็บไข้ได้ป่วยรักษาธาตุขันธ์เหมือนโลก แต่ใจของท่านท่านรักษาด้วยธรรม ธาตุขันธ์ท่านมอบให้หมอเป็นผู้รักษา ทีนี้เวลาท่านไปอยู่ในนั้น เอาละพวกเปรตพวกผีมา บางทีจับขากระตุกก็มีๆ ท่านกำหนดดูแล้วมันเป็นพวกเปรตพวกผีมาขอส่วนบุญนั้นส่วนกุศลนี้ นี่ฟังซิน่ะ ฟังให้ดีนะเป็นยังไงโรงพยาบาล มีแต่ที่จะรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนให้หายโดยถ่ายเดียวหรือ ป่าช้าก็มีในนั้น ให้พิจารณาเทียบเคียงให้ดีนะ เปรตกับผีอยู่ในนั้น เปรตคนเป็น เปรตคนตายอยู่ในนั้นหมดนั่นแหละ เข้าใจเหรอ
เปรตคนเป็นคืออะไร เข้าไปโรงพยาบาลแล้วก็ไม่อยากตายจะว่ายังไง นี่เปรตคนเป็น ผู้ตายแล้วก็มาขอส่วนบุญ นี้เปรตคนตาย เข้าใจเหรอ มันเต็มอยู่ในนั้นหมดนั่นนะ เอ้า ฟังให้ดีนะ วันนี้ไม่ได้เอาโกหกมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ถึงกาลเวลาที่จะควรพูดยังไงจะพูดทันทีเพราะมันจ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้ว ท่านทั้งหลายว่าศาสนาไม่มี ธรรมไม่มีหรือมรรคผลนิพพานไม่มีเหรอ มันหลับตามันไม่ได้ทำ ไม่ได้ภาวนามันจะมีอะไร ผู้ท่านลืมตาผู้ท่านบำเพ็ญมีอยู่ พระพุทธเจ้ามีอยู่ สาวก สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ สอนโลกของพวกเราทั้งหลายสอนมาโดยลำดับมีอยู่ แล้วทำไมเราเป็นลูกศิษย์ลูกหาท่านจึงนอนจมอยู่กับบาปกับกรรม กับความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาตลอดเวลาไม่รู้จักเป็นจักตาย แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยร้องแอ๊ๆ ไม่อยากตาย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
สร้างให้ดีซิ สร้างจิตใจของตัวเอง เพราะใจดวงนี้ไม่เคยตาย เมื่อพอแล้วมันดีดเอง ๆ นะ เอ้า ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ วันนี้พวกลูกพวกหลานก็มาเยอะ มาเรียนหนังแส่หนังสือแล้วก็ส่งเข้ามาอบรมทางอรรถทางธรรม ให้นำไปปฏิบัตินะ อย่าพากันลืมเนื้อลืมตัว เด็กมันคึกมันคะนองไปทางไม่เป็นท่านะ คึกคะนองส่วนมากมีแต่กิเลสลากไปใช้คล่องตัว คือเด็กที่กำลังหนุ่มสาวนี่แหละ ทั้งหนุ่ม ทั้งหญิง ทั้งชายกำลังคึกคะนองเป็นบ้า อยู่อย่างนี้ละนะ ไม่ได้เอาธรรมเข้าไปเป็นเบรกห้ามล้อ ให้พออยู่เป็นผู้เป็นคน รู้จักดีจักชั่ว รู้จักบุญจักบาปด้วยการรักษาตัวด้วยดี กำจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดี ให้ลูกหลานนำไปปฏิบัตินะ มีตั้งแต่ความคึกความคะนองมันจะพาจมกันหมดนั่นนะ จมตั้งแต่ยังไม่ตกน้ำพวกนี้น่ะ มันจะจมตั้งแต่ยังไม่ตาย จำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละพอ
โยม สาธุ
หลวงตา เออ พูดไปพูดมาหลงหน้าหลงหลังไปแล้ว
โยม ยอดครูนักเรียนลูกหลานครับ
หลวงตา ครู-นักเรียน โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ครู ๓ คน นักเรียน ม.๔/๗ ชาย ๕๔ หญิง ๕๓ รวม ๑๐๗ คน มาศึกษาเล่าเรียนได้ความรู้วิชาแล้วจะไปปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เข้าใจไหมล่ะ เอาละพอ เอ้า ก็เติมให้ซีที่ไหนมันมันบกพร่อง ตรงนี้บกพร่องเราก็เติมให้เข้าใจไหม มีอะไรบ้าง
โยม ปัญหาอินเตอร์เน็ตครับผม
หลวงตา เออ ถามมาควรตอบจะตอบไป
โยม ครูอาจารย์ท่านสอนไว้ว่าให้ยกเอามาอย่างหนึ่งคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อะไรก็ได้มาอย่างหนึ่งแล้วมาพิจารณาแยกแยะเป็นส่วน ๆ ให้ละเอียด ซอยให้ถี่ยิบ ตรงนี้แหละที่เกล้าไม่เข้าใจว่าต้องพิจารณาอย่างไร แยกแยะอย่างไร ว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง แยกให้มันเป็นส่วนๆ ละเอียดๆ ได้อย่างไร ขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์ช่วยยกตัวอย่างบอกแนวในการปฏิบัติให้เกล้าด้วยครับ
หลวงตา อ๋อ ก็ผมก็อยู่กับผู้ถามปัญหานั่นแหละ พิจารณาผม ผมอยู่กับพระพุทธเจ้า ผมอยู่กับพระอรหันต์ ท่านพิจารณาผมท่านได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน นี่ผมอยู่กับเราเราจะพิจารณายังไง หรือจะเอาหวีเอาน้ำเอาอะไรมาประมาพรมให้มันหอมหวนชวนชมทั้ง ๆ ที่มันเหม็นจะตายไปผม ถ้าเป็นแบบนี้นี่เรียกว่า กรรมฐานคนนี้กำลังถามปัญหานี้มันจะลงนรกทั้งเป็น เข้าใจไหม พิจารณาเรื่องผมเป็นยังไงไม่ต้องพูดไปมากละ ดูในตัวของเรานี้จิตใจมันอยู่ในนี้มันจะค่อยซักฟอกตัวของมันไปเอง เอาเท่านั้นละไม่ต้องเอามากละ ผมคนทั้งโลกเขาพิจารณาได้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์มีมากขนาดไหนท่านพิจารณาได้ ทำไมเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าพิจารณาไม่ได้ ไม่ใช่มันไม่พิจารณาเหรอ มันขี้เกียจจะตายไปละมัง เอ้า แค่นั้นก่อน เอ้า ว่าไป
โยม อีกข้อนะครับ ผมนั่งสมาธิและได้เห็นใบหน้าต่าง ๆ สลับไปมา ทำให้รู้สึกกลัว จึงมองไปที่จิตเห็นว่าจิตกำลังปรุงแต่งสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา แต่สักพักสิ่งเหล่านั้นก็จะหายไป จึงมองไปที่จิตอีกเห็นแต่ความว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรอยู่ในจิต สับไปมาอย่างนี้ จนเกิดความคิดว่าจิตจะต้องมีธรรมแต่มองเท่าไรก็ไม่เห็นธรรมในจิต ในตอนนี้ผมเข้าใจว่าจิตมี ๓ อย่างประกอบกันคือ
๑.จิตกิเลสที่คอยปรุงแต่งสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นภายในจิต
๒..จิตว่างที่ไม่มีอะไรเลยอยู่ในจิตนอกจากความว่างเปล่า
๓..จิตธรรมซึ่งผมคิดว่าเป็นธรรมะใช้ดับกิเลสที่เกิดขึ้นภายในจิต
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ
หลวงตา ถูกต้อง เป็นขั้น ๆ อย่างนี้แหละ กิเลสปรุงมันก็เป็นต่าง ๆ พอระงับความปรุงทั้งหลายโดยจิตที่ย้อนเข้ามาสู่ตัวเองคือความรู้แล้วจิตจะสงบ พอสงบแล้วมันก็จะว่างของมัน ไม่มีเรื่องปรุงแต่งออกไปสับสนปนเปกัน มันก็ว่างของมัน แล้วอันหนึ่งเป็นอุบายวิธีการต่าง ๆ ที่จะแก้กิเลสด้วยปัญญาคือความคิดความอ่านจากที่ใช้ความคิดนี้ นี้ก็ถูก เอาละแค่นั้น
ข้อ ๒ นะครับ ในตอนนี้ผมเข้าใจว่า ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้ไม่จีรังถาวรพอกาลเวลาผ่านไป ความรู้เหล่านั้นก็จะเสื่อมไปตามกาลเวลาเพราะไม่ใช่ความรู้แจ้งของจิต ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งนั้นครับ ขอกราบขอบพระคุณหลวงตา
หลวงตา อบรมหลักฐานให้ดี หลักฐานที่ภาวนายังไงให้อบรมตรงนั้นให้ดี ให้จิตมีความสงบเย็นใจอยู่กับตัว อย่าไปส่งสิ่งภายนอกเข้าใจเหรอ เอาละ เท่านั้นพอ มีอะไรอีกล่ะ
โยม อีกข้อหนึ่งครับ เป็นผู้หญิงนะครับ เขาบอกว่า เขาภาวนาด้วยความเผลอสติ ดิฉันเคยคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์พระอริยะท่าน แม้ท่านไม่ถือโทษ แต่บาปใหญ่ก็เกิดขึ้นแก่ตัวผู้คิด ทางแก้ก็คือต้องไปขออโหสิกรรม และท่านให้อโหสิกรรม ดิฉันก็ได้ยินมาแบบนี้นะคะ จึงอยากกราบเรียนถามหลวงตาเพื่อเป็นคติ และสำรวมระวังต่อไป หากเกิดการลบหลู่ครูบาอาจารย์โดยเผลอสติไปแล้ว และสำนึกสำรวมระวังต่อไป และท่านไม่จำเป็นต้องเอ่ยอโหสิกรรมให้ ผู้คิดลบหลู่นั้นจะมีบาปติดใจหรือไม่เจ้าคะ ดิฉันไม่สบายใจจึงขอความเมตตาหลวงตามา
หลวงตา เออ ให้มีสติ อย่าไปคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์ผู้ท่านดี ให้คิดลบหลู่ดูหมิ่นเราตัวกำลังสร้างความชั่วช้าลามก ว่ายกโทษครูบาอาจารย์อยู่เวลานี้ให้มันสงบราบลง เข้าใจไหม ตัวนี้ละตัวเป็นมหาภัย ตัวไปคิดลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ตัวเป็นภัย ให้ระวังตัวนี้ให้ดี เอาละเท่านั้น มีอะไรอีกล่ะ
โยม เขาก็บอก ถ้าได้รับคำสั่งสอนจากหลวงตาแล้วเขาจะรีบเดินทางไปขออโหสิกรรมกับครูบาอาจารย์ที่เขาคิดลบหลู่ครับ
หลวงตา ไปไม่ไปไม่จำเป็น ให้อยู่กับภาวนาถูกต้องแล้ว เข้าใจเหรอ
โยม อ๋อ ไปก็ได้ไม่ไปก็ได้เหรอครับ
หลวงตา ไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ เราว่าไม่ไปดีกว่า (คนในศาลาหัวเราะ) อ้าว ให้ภาวนาอยู่นี้ ภาวนาไม่ต้องไปมันดีกว่า ไปก็ เดินโขยกเขยกไปก็จะไปดูถูกท่านอีก กลับมาขาด้วนไปหมด เดินไปเดินมาไปโขยกเขยกไป ไปดูถูกท่านอีกกลับมาขาขาดไปข้างหนึ่งแล้ว ไปที่สองขาขาด ๒ ข้าง ครั้งที่ ๓ กลิ้งไปเลย เข้าใจเหรอ แล้วมีอะไรอีกล่ะ
โยม อันนี้ลูกศิษย์ที่เคยมาภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด ชื่อ ปู ที่ไปอยู่ที่สเปน ไปทำปริญญาเอกจำได้ไหมครับ เขากราบเรียนถามมาครับผม จากสเปนนะครับ เขาบอกหนูอยู่สเปนกำลังทำปริญญาเอก ได้นิมิตว่าเห็นหลวงตาเดินผ่านไปมา ณ ร่มไม้ชายป่า ก็เดินตามหลวงตาไป เห็นมีโต๊ะเก้าอี้แล้วก็นักเรียน แล้วก็มีพระนั่งอยู่ แล้วหลวงตาก็เข้าไปยืนข้างหลังบนเวที ใต้ร่มไม้มีผู้ติดตามไป แล้วก็นั่งเรียงแถวหน้ากระดาน มีที่ว่างเกือบกึ่งกลางวางไว้หน้าสุด ๑ ที่ พระที่นั่งบนโต๊ะเก้าอี้ก็มองมาที่ผู้ถามชื่อปูนี่ละครับ แล้วก็พูดว่า อยากให้สมัครงานโดยมีหลวงตายืนอยู่เบื้องหลังแล้วนิมิตก็จบ อยากให้สมัครงาน
หลวงตา แล้วหลวงตาว่ายังไงล่ะยืนอยู่เบื้องหลัง
โยม เดี๋ยวยังไม่จบนะครับ แล้วนิมิตจบเขาก็กราบเรียนถามหลวงตามาว่า การตัดสินใจสมัครงานฆ่ากิเลสกับทางวัดป่า จะเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมกับชีวิตของปูคือผู้ถามหรือไม่ ขณะนี้คุณแม่ก็ไม่คัดค้านแล้ว
หลวงตา ถ้าอย่างนั้นก็ให้ปูตัดสินเองนะ เข้าใจไหม หลวงตาก็ไม่คัดค้าน แม่ก็ไม่คัดค้าน ให้ตัดสินเองเข้าใจเหรอ ให้ไปบอกว่าให้ไปภาวนาเสีย กำลังงานอันหนึ่งมันก็มีอยู่ที่ควรจะทำ มันไปขัดอีกอันหนึ่ง ให้พิจารณาวินิจฉัยตัวเองแล้วตัดสินเสีย เอ้า ถ้าเรายังไปไม่ได้ เวลาภาวนาทำความสงบใจก็ให้มี เวลาเรียนหนังแส่หนังสือปฏิบัติหน้าที่ทางการศึกษาก็ให้มี อย่าให้สับปนกันเข้าใจไหม อันนี้น่าจะไม่ขัดข้องทั้ง ๓ นั่นแหละ เข้าใจไหม เจ้าของเองไม่ขัดข้อง หลวงตาก็ไม่ว่า เพราะยังไม่ได้บวชเรียนนี่วะ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอะไรก็อยู่เป็นฆราวาสทำงานทางบ้านบ้าง ทางวัดบ้าง แน่ะ ก็ไม่ขัดข้อง แม่ก็คงเห็นด้วยหลวงตาน่ะ เอาละเอานี้ไปใช้นะ เข้าใจเหรอ พอ
โยม ครับ เขาผ่านมาทางสื่อนู้นครับ ผ่านมาสื่อคุณหญิงนู้น
คุณหญิง ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์เจ้าค่ะ เขาตั้งใจของเขาในความหมายของเขา เขาคิดว่าเขาเรียนจบปริญญาเอกแล้วเขาจะมาภาวนาอยู่วัดเจ้าค่ะ
หลวงตา เรียนให้เรียนไป อย่าด่วนคิดคาดจนเกินไปจะสร้างความกังวลในหน้าที่การงานของตัวเอง เวลานี้จะทำอะไรให้ทำไปเสีย ก็มีเท่านั้นละ แล้วมีอะไรอีกล่ะ เอ้า ว่ามา
โยม อันนี้ไม่ทราบว่าสมควรหรือไม่ คนนี้เขาใช้ชื่อว่าหมาน้อย เขาอธิบายเรื่อง อายตนะนิพพาน นี่ครับไม่เชิงคำถามผมว่า เหมือนกับพูดให้ฟังอย่างนั้นนะครับ
หลวงตา โอ๊ย.เอาละไม่อยากพูด คำว่า อายตนะนิพพาน จะรู้ได้ชัดและเข้าใจกัน มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ล้วน ๆ เท่านั้น เพราะอายตนะนิพพานเป็นสมบัติประจำท่านตลอด จ้าเข้าไปปั๊บนี่ถึงแล้วถึงกันหมดแล้ว นี่พูดเข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละอายตนะนิพพาน พอบรรลุธรรมปึ๋งถึงกันหมด นี่อายตนะนิพพานของพระอรหันต์ท่านไม่ถามกัน พวกเรามาถามนี้ เดี๋ยวเห่าไปทางนั้น เดี๋ยวเห่าไปทางนี้ เดี๋ยวไอ้หยองเห่าทางนี้เดี๋ยวไอ้ปุกกี้เห่าทางนี้ เราเลยจะต้มยำหมาไม่ไหววันนี้ เอาละพอ
อายตนะนิพพานเป็นของเล่นเมื่อไร แต่เป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับพระอรหันต์เท่านั้น พูดอย่างนี้พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ พอบรรลุธรรมปึ๋งอายตนะนิพพานถึงกันหมด นั่นเห็นไหม นี่ละอายตนะนิพพานโดยแท้เป็นอย่างนี้ อย่างอื่นก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละ ที่จ้าขึ้นเลยทันทีไม่ต้องถามกัน ทุก ๆ องค์บรรดาสิ้นกิเลสด้วยกันแล้วก็คือ พระอรหันต์เท่านั้น เป็นผู้ทรงอายตนะนิพพานสมบูรณ์แบบ เข้าใจไหม แล้วจะมีข้อคัดค้านตรงไหนอีกล่ะว่ามาซิ
คุณหญิง ขอให้มีอายตนะนิพพาน จะได้เข้าใจกว่านี้
หลวงตา ก็พูดแล้วนี่ อายตนะนิพพาน เช่น พระอรหันต์นี่นะ เช่น สมมุติหลวงตาบัวขึ้นเป็นพระอรหันต์ นี่ก็อายตนะนิพพาน แน่ะ ก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ นี่ตุ๊กตาเข้าใจไหม มันก็เท่านั้นเองจะว่าอะไรอีก พูดขนาดนั้นแล้วยังไม่เข้าใจ นี่ละธรรมประเภทที่ท่านก็พูดออกมาสำหรับปุถุชนเรานี้ไม่เข้าใจเลย อันนี้เราแน่นอนไม่เข้าใจเลย จะพูดแยกไปไหนก็ไม่เข้าใจ พอว่า อายตนะนิพพาน พระอรหันต์ทรงไว้สมบูรณ์แบบทุกองค์ ถึงกันหมดทันที อันนี้เข้าใจด้วยกันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ พอผางเข้าจุดนั้นแล้วเป็นอายตนะนิพพานด้วยกันหมดเลย เข้าใจเหรอ ท่านไม่สงสัยกันเลย ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าว่ามีมากมีน้อยเพียงไร แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่สงสัยพระอรหันต์ เพราะเป็นอายตนะนิพพานด้วยกัน สงสัยกันหาอะไร แน่ะเท่านั้น
สรุปทองคำ และดอลลาร์ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ทองคำได้ ๑๐ บาท ๒๔ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๖,๗๐๐ กิโล ดอลลาร์ที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๘ ล้านดอลล์ ทองคำและดอลลาร์ที่ได้เพิ่มหลังจากมอบเข้าคลังหลวงแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎา ที่ผ่านมานั้นได้ทองคำ ๓๘๙ กิโล ๑๐ บาท ๖๙ สตางค์ ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑๑๑ กิโล จะครบจำนวน ๕๐๐ กิโล ที่เราจะมอบข้างหน้านี้หลังจากวันที่ ๑๒ ไปแล้ว ทองคำเรามอบก้าวแรกต้องให้ได้ ๕๐๐ กิโล ก้าวต่อไปไม่เป็นไรขอให้ได้ก้าวแรกต้อง ๕๐๐ กิโล ถ้าไม่ได้ ๕๐๐ กิโลไม่มอบ จะเอาให้ได้ ๕๐๐ กิโลก่อนถึงจะมอบ จำทุกคนนะ ดอลลาร์ได้ ๘๖,๐๕๘ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบนะ เวลานี้ได้ทองคำ ๗,๐๘๙ กิโล ดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๐๘๖,๐๕๖ ดอลล์ กรุณาทราบตามนี้ เอาละทีนี้ให้พรนะ
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www luangta com หรือ www.luangta.or.th |