เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
อายตนะนิพพาน
เมื่อวานนี้ตอนสี่โมงครึ่ง คนที่มาถวาย ลูกบวชแล้วมาอยู่ถ้ำเจีย อันนี้ก็ถวาย ๑ กิโล คณะศาลฎีกาดูว่า ๕ บาท เมื่อวานนี้ ๑ กิโลกับ ๕ บาท (ปากน้ำ ๑ กิโลครับ) ลูกชายมาอยู่ที่ถ้ำเจีย (พระนพพรครับ) มาอยู่ถ้ำเจีย สงัดดีนะที่ถ้ำเจีย สงัดดี แต่ก่อนเราเคยไปบ่อย ๆ ถ้ำเจีย จากนั้นมายุ่งเลยไม่มีเวลาไป เป็น ๑๐ กว่าปีแล้วมั้งไม่ได้ไปเลย น่าจะเป็น ๑๐ กว่าปี พอว่า ๑๐ กว่าปี ๆ ที่เราเคยพูดอะไรที่ถ้ำภูวัว ที่เราส่งของไปให้วัดภูวัว ๑๐ กว่าปีแล้วนะ ทีนี้เวลาทราบที่เขาจำรายละเอียดได้มัน ๒๒ ปี ไม่ใช่เล่น ปีพ.ศ.เท่านั้น ๆ ว่างั้น เราก็ยอมรับเลย โห ว่า ๒๑-๒๒ ปีแล้ว เมื่อวานนี้ก็ให้เขาไปวัดถ้ำภูวัว ดูว่าพระมี ๔๔ หรือไง เณร ๒ องค์ พระ ๔๒ หรือ ๔๓ น้า
เท่าไรก็ไม่เป็นปัญหา เราพูดครอบไว้หมดแล้ว ว่าพระที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ เอามาเท่าไรมา ผมจะรับเลี้ยง เราว่างี้เลย นี่เราก็ถามไปอย่างงั้นละ แต่ท่านคงจะตั้งจุด ๓๐ เป็นจุดกลาง มากกว่านั้นบ้าง ลดลงบ้าง แต่ส่วนมากมีแต่ขึ้น ลดลงมีน้อยมาก ท่านคงตั้งจุด ๓๐ องค์เป็นจุดกลาง จะขึ้นบ้างลงบ้างก็อยู่ในย่านนี้ เมื่อวานนี้เขาเอาของไป มาทราบว่าที่ไปส่งของภูวัวนี้เราว่า ๑๐ กว่าปี ถ้าว่า ๑๘-๑๙ ปี ก็ยังอยู่ในเขตอยู่นะ นี่มัน ๒๑-๒๒ ปี เรียกว่าผิดอันนี้ ๒๑-๒๒ ปีแล้ว พระท่านตั้งใจมาปฏิบัติ เราพอใจ เราส่งเสริมพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เพราะฉะนั้นจึงว่าถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ เอ้า เอามาเท่าไรให้มา เราบอกอย่างงั้นเลยนะ เราจะรับเลี้ยง ตรงกันข้ามกันอีกก็คือว่า ถ้าพระโกโรโกโสอย่าให้มาอยู่ที่นี่นะ ให้ไล่ลงภูเขาให้หมด มันหนักภูเขาเราว่า เอาเด็ดด้วยกันทั้งสอง ตั้งแต่นั้นมาพระก็มากมาเรื่อย ๆ เพราะเราไปดูเองหมด ทำเลไปดูหมดแล้ว เหมาะ เหมาะสมทุกอย่าง กลางวันกลางคืนมันเป็นความรื่นเริงในใจ สำหรับผู้มุ่งต่อธรรมนะ ไปอยู่สถานที่เช่นนั้นมันรื่นเริง ๆ ภายในใจ นี่เราก็ได้ยินมานานกว่านั้นแล้ว ว่าที่นั่นสงบสงัดดี มีท่านอุทัยอยู่ที่นั่น สององค์ สามองค์ อยู่มากกว่านั้นไม่ได้ ไม่มีที่โคจรบิณฑบาต ว่างั้น เราก็ฟัง ว่าที่นั่นสงัดมาก ท่านอาจารย์ฝั้นเคยไปพักชั่วระยะเดียว เพราะไม่มีทำเลบิณฑบาต ท่านอุทัยเลยไปอยู่ที่นั่น ท่านอยู่นั้นมานานกว่าที่เราจะไปช่วยสนับสนุน
ไปทีแรกก็ตั้งหน้าจะไปดูวัดนี้แหละ เพราะได้ยินมานานว่าเป็นที่สงบสงัดดีมาก เราเลยไป พอลงรถแล้ว ตั้งแต่ก่อนอายุมันยังหนุ่มน้อยนี่ ลงรถแล้วปั๊บนี่เข้าเลย บนภูเขาลูกนั้นเที่ยวตระเวนดูหมดเลย โห ไปที่ไหนเหมาะสม ทำเลที่โล่งแจ้งก็มี ที่เป็นป่าชุ่มเย็นก็มี เลือกเอาได้ว่างั้นเถอะ กลางคืนนี้อยากออกมาเดินจงกรมอยู่หินลาดหินดานก็ได้ กลางวันอยู่ใต้ร่มไม้ก็ได้ มีอยู่ทั่วไป เราไปหาดูแล้ว โอ๋ย ชอบใจ พอกลับมาถึงก็สั่งท่านอุทัย ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้ พระท่านจะต้องการมาพักภาวนา พระที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ตั้งใจอยากจะภาวนาแล้วมาอยู่กับท่าน ให้รับท่านนะ เอ้า มาเท่าไรมาเราจะรับเลี้ยง บอกตรงๆ เลย แต่พระโกโรโกโสอย่าให้มา ให้ไล่ลงภูเขาให้หมด เสียศักดิ์ศรีภูเขา หนักภูเขา ว่างี้เลย เด็ดทั้งสองนั่นแหละ พระตั้งใจปฏิบัติดี เอา มา อย่างที่ว่า ๔๐ หรือเท่าไร ก็เราเปิดครอบไว้แล้วนี่นะ เอ้า มาเท่าไรมา มาเท่าไรเราพอใจที่จะเลี้ยง แล้วเรายังได้บอกไว้แล้วด้วยว่า ถ้าเลี้ยงไม่มีกำลังพอแล้วผมจะบอก บอกงั้นนะ เอามาเท่าไรให้มา ถ้าไม่สามารถจะเลี้ยงได้แล้วผมจะบอก เรียกว่ายอม พูดง่าย ๆ ว่างั้นเถอะ
อยู่ในเกณฑ์ส่วนมากจะ ๓๐ กว่า หรือ ๔๐ อยู่ในย่านนี้ ปีนี้ดูว่า ๔๐ ในพรรษา ในพรรษามักจะอยู่ในย่าน ๔๐ ปีนี้ก็ดู ๔๓-๔๔ เท่าไรอยู่เถอะเราพอใจ ท่านมาอยู่ในที่อย่างนั้นเราพอใจกับท่าน ให้ท่านบำเพ็ญสมณธรรม โห เรื่องอรรถเรื่องธรรมของง่ายเมื่อไร ใครจะไปชอบใจได้ง่าย ๆ กิเลสมันตีหูตีตาไว้ไม่ให้เห็นนี่นะ มันของง่ายเมื่อไรกิเลส มันปิดหูปิดตาไม่ให้เห็น ให้เห็นแต่พวกมูตรพวกคูถเต็มบ้านเต็มเมือง เสกสรรปั้นยอกันขึ้นว่าเป็นทองคำทั้งแท่ง อันนี้เป็นเพชร อันนี้เป็นพลอย นั้นทองคำ ไปอย่างนั้น ของเล่นหรือกิเลส ของง่ายหรือ มันเสกเอาเป่าฟุด ๆ พวกเราล้มระนาวไปเลย หลงมันทั้งนั้น
ธรรมพระพุทธเจ้าโฆษณาป้าง ๆ มันไม่อยากฟัง มันยังไม่อยากดูของมีค่า สัตว์โลกมันไม่มีค่า มันไม่คู่ควรกัน มันจะเถลไถลไปหาแต่สิ่งที่ไม่มีค่า เพราะตัวเองไม่มีค่า สิ่งที่มีค่ามันก็รับกันไม่ได้ ในเวลามันเป็นในหัวใจเรา เอาเราคนเดียวตั้งขึ้นเลยนะ อย่าไปมองโลกกว้าง ๆ ก่อน ให้มองแต่เรานี้ขยายออกไป จิตนี้เวลาไม่มีคุณค่ามันไม่มีจริง ๆ นะ เหมือนว่าสุด ๆ สิ้น ๆ มันก็ยังพอใจทำ พอใจอยู่ จะหาวิธีดีดดิ้น พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่สนใจ เรียกว่ามันมืดสุดขีด บืนไปอย่างงั้น เพราะฉะนั้นของดี คนดีจึงชอบ แต่คนชั่วไม่ชอบ ของต่ำคนชั่วชอบ ของสูงคนดีชอบแต่มีได้น้อย ดังที่เคยพูดให้ฟัง เป็นคติได้ดีนะ พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า ผู้ที่จะไปสวรรค์ นิพพาน กับผู้ที่จะลงทางนรก ทางไหนมากกว่ากัน โห น่าฟังนะเป็นคติได้เป็นอย่างดี แล้วฝังลึกด้วยนะ
พระพุทธเจ้าก็รับสั่งเทียบทันทีเลยว่า.ผู้ที่จะไปสวรรค์ ไปทางดีได้ ไปสวรรค์นิพพานได้นี้เทียบกับเขาโค แต่ผู้ที่จะหมุนลงในนรกนั้นเหมือนขนโค ในโคตัวหนึ่งมีขนเท่าไร และมีเขาเท่าไร มีสองเขา ใครเห็นโคสามเขาสี่เขาไหม ไม่มี มีสองเขา แต่ขนมันเต็มตัวเลยโค คือจิตใจลงมันใฝ่ต่ำมันมาก เราดูตัวของเรานี้ เวลายังไม่ได้อบรมจิตใจนี้มีแต่เรื่องต่ำทั้งนั้น ๆ ๆ เต็มเนื้อเต็มตัวรอบตัว เท่ากับขนโค ที่จะแย็บไปทางความดีนี้อย่างมากเขาโคพ้นมาแค่นี้ มันไม่ได้พ้นเต็มที่นะ นั่นแหละเราดูเราเสียก่อน ความคิดความเห็นภายในจิตใจของเรา มันมีแต่ความคิดประเภทขนโคทั้งนั้น ไปทางต่ำ ๆ ความคิด ความคิดจะไปทางดีงามเหมือนเขาโค มีน้อยมาก ๆ เบื้องต้นเป็นอย่างนั้นด้วยกัน
ในเราคนหนึ่ง ๆ ก็เรียกว่าขนโคเต็มตัว เขาโคแทบว่าไม่มี โคบางตัวเป็นโคหัวโล้น โห มึงจนขนาดนั้นเชียวเหรอ เราพูดเป็นธรรม ไปเห็นโคพูดด้วยความสงสาร รักมันนะ คือเทียบกับธรรมะ โห ท่านบอกว่าโคมีสองเขา มึงไม่มีเลย มึงเป็นโคหัวโล้น มึงยังจนกว่าเขาอีกเหรอ เราว่า ประเภทปทปรมะมันมี เทียบกันเข้าเลย ประเภทปทปรมะเรียกว่าไม่มีเขาโคเลย เป็นโคหัวโล้นเขาไม่มี แต่ขนมันเต็มตัว โคหัวโล้นขนเต็มตัว เขาไม่มี
ทีนี้แยกออกไป โลกนี้คนจำนวนมาก นี่เทียบกับขนโคกันทั้งนั้น เขาโคมีนิด ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยเวลาจะสั่งสอนสัตว์โลก คือมันมีตั้งแต่ขนโคทั้งนั้นไม่มีเขาโค อันนี้จิตใจเราเบื้องต้นก็มีแต่ขนโค เวลาได้รับการศึกษาอบรมเข้า จิตใจได้ยินได้ฟังอรรถธรรมค่อยแทรกเข้าไปๆ ต่อไปก็ปรากฏเป็นเขาโคขึ้นมา ทีแรกมันเป็นโคหัวโล้นเสียก่อน โคหัวโล้นไม่มีเขา ค่อยอบรมไปๆ เขาโคก็ค่อยอ้วนขึ้นๆ สูงขึ้นเด่นขึ้น จิตใจของเราได้รับการอบรมทางอรรถธรรมก็สง่าขึ้นมา นี่เทียบกับเขาโค คือความดีนี้เท่ากับเขาโค มีมากมีน้อยค่อยสง่าขึ้นมาในนั้น อบรมไปๆ เอาจนกระทั่ง เอาเลยที่นี่ ตั้งแต่พื้นๆ ที่อบรมมันเป็นอย่างนั้นๆ ทีนี้อบรมไม่หยุดไม่ถอย ขัดเกลาเข้าเรื่อย บำรุงรักษาเรื่อย ค่อยผ่องค่อยใสขึ้นมาจิตใจเรา ค่อยสง่าขึ้นมาในท่ามกลางขนโค ขนโคนั้นจะลดน้อยลงไป
พอเขาโคงอกเงยขึ้น สง่างามขึ้น ขนโคเริ่มลดลงไป ความคิดต่างๆ ที่ไม่ดีทั้งหลายค่อยลดลงๆ เขาโคเป็นน้ำสะอาดชะล้างไปเรื่อยๆ ได้รับการบำรุงอรรถธรรมเท่าไรยิ่งสง่างามขึ้นมาๆ เรื่อยภายในใจ เมื่อสง่างามก็ยิ่งเห็นได้ชัด จิตใจเราที่นี่ค่อยหมุนเข้ามาหาเขาโค ขนโคค่อยหลุดร่วงไปๆ เขาโคสง่างามขึ้น เขาโคเลยกลายไปเป็นขนโค คือสง่างามกระจายทั่วไปหมด ขนโคพังลงๆ เขาโคเลยกลายเป็นขนโคไป คือกระจายออกไปสง่างามรอบใจ รอบกาย วาจา ความประพฤติหน้าที่การงานสะอาดไปตาม กลายเป็นเขาโคไปๆ
เวลาพูดถึงธรรมะขั้นสูงก็ยิ่งสง่าขึ้นเรื่อยๆ ขนโคนี้หลุดร่วงลงไป ๆ เขาโคสง่าขึ้นเรื่อย เขาโคกระจายไปเป็นขนโคละที่นี่ แต่ก่อนมันเป็นขนโครอบตัว ต่อมานี้เขาโคกระจายเป็นขนโค ขนโคพังลงไป เขาโคกระจายเป็นขนแทน ขนอันนี้เป็นขนศีลขนธรรม ขนมรรคขนผล นิพพาน แล้วกระจายไปทั่วรอบใจรอบตัว มันกระจายของมันออกไป จิตดวงนั้นเลยสง่างามตลอดเลย มองหาขนบางลงๆ แทบไม่มีๆ ฟาดจนขนหมด มีแต่เขาสง่าประดับหมดตัวโค กลายเป็นทองทั้งแท่งขึ้นมาในใจดวงนั้น นั่นละการฝึกหัดอบรม หากฝึกหัดอบรมไม่ได้ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะไม่มีในโลก เพราะมีขึ้นมาก็เพื่อสั่งสอนสัตว์โลกนั้นแหละ พระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมารื้อขนสัตว์โลกขึ้นสู่ความดีงาม มรรคผลนิพพาน มากทีเดียวนะ ไม่ใช่น้อยๆ
นี่เราพูดถึงขนโค ให้ไปเทียบเจ้าของ แก้เจ้าของ ค่อยปัดขนโคออกเรื่อยนะ บำรุงรักษาเขาโคให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จะสง่างาม ทีนี้เมื่อเวลาเขาโคถึงขั้นพอตัว เลิศเลอ ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านแล้ว เลยเป็นทองทั้งแท่งไปหมด โคตัวนั้นไม่ว่าเขาว่าหาง อวัยวะทุกสัดทุกส่วนเป็นทองทั้งแท่งไปหมดเลย นี่คือจิตพระอรหันต์ จิตพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนก็อย่างที่เราว่า พอถูกขัดถูกเกลาไปเรื่อยๆ เลยกลายเป็นเขาโคทั้งตัวสง่างามไปเลย
เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วทีนี้หมดละนะ เรื่องอะไรในสมมุตินี้จะมีกว้างมีแคบมากน้อยขนาดไหน เช่นว่าโลกธาตุดังที่แสดงไว้ทั่วๆ ไปว่า สามแดนโลกธาตุ แต่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านแสดงไว้หมื่นโลกธาตุนะ อยญฺจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ คือหมื่นโลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหวทั่วกันหมดเวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มาว่าอะไรสามแดนโลกธาตุ หมื่นโลกธาตุ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สะเทือนสะท้านหวั่นไหว สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปหมด อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ คือความสว่างไสว โอภาสแห่งพระทัยของพระพุทธเจ้าสว่างไสว โอภาสคือแสงสว่าง ปรากฏแก่โลกในเวลานั้น อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวนุภาวํ ข้ามอานุภาพ รัศมีสีสันทุกอย่างของเทวดาทั้งหลายไปหมด อานุภาพแห่งความสว่างของพระพุทธเจ้า อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํ คือล่วงอานุภาพแห่งเทวดาทั้งหลายเสียหมด ข้ามไปเลย อานุภาพแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า แห่งพระทัยของพระพุทธเจ้า ท่านแสดงไว้อย่างนั้น
นี่ละจิตเวลาได้สว่างเป็นอย่างนั้น เมื่อขัดเกลาให้เต็มที่แล้วก็เป็นดังจิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ท่าน เป็นอย่างนั้นด้วยกันทั้งนั้น เป็นอย่างเดียวกันเลย เทียบก็เหมือนแม่น้ำมหาสมุทร ตกปั๊บลงมาในมหาสมุทร เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันแล้วๆ ตกมาจากบนฟ้าก็ตาม ไหลมาจากลำคลองก็ตาม พอเข้าสู่มหาสมุทรเป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด แยกแยะไม่ได้เลย เป็นอันเดียวกันเลย จิตที่เป็นธรรมธาตุ ถึงขั้นเป็นธรรมธาตุแล้ว ก็เหมือนฝนตกลงมาสู่มหาสมุทร พื้นเพมหาสมุทรคือธรรมธาตุ พระองค์ใดบรรลุปั๊บเข้าเป็นอันเดียวกันๆ หมดเลย นี่เรียกว่าธรรมธาตุ หรือว่ามหาวิมุตติมหานิพพานอะไรก็แล้วแต่จะตั้งชื่อแหละ อันนี้เป็นสมมุติอันหนึ่งออกมา พื้นฐานก็คือธรรมธาตุ นั่นละจิตเวลาฝึกหัดอบรมได้แล้วเป็นอย่างนั้น
เราจึงอยากให้บรรดาพี่น้องชาวพุทธเราได้ฝืนหูฝืนตาฝืนใจ คิดทางอรรถทางธรรม เอา ฝืนขนาดไหนก็ให้ต่อสู้กันไป เพราะสิ่งที่เลิศเลอยังมี ฟากการฝืนไปนี้มี นั่น ไม่ใช่ว่าฝืนไปแล้วจะไปจมนะ ไม่จม ฝืนไปเพื่อความเลิศเลออยู่ข้างหน้า อย่างพระพุทธเจ้าสลบไสลก็ยอมรับ แต่เลยนั้นไปก็ตรัสรู้ พระสาวกทั้งหลายเหมือนกัน บำเพ็ญความพากเพียรนี้ลำบากลำบน อุปนิสัยของคนไม่เหมือนกันก็จริง แต่ส่วนลำบากนี้มีมาก ผู้ที่ประเภทขิปปาภิญญา ตรัสรู้เร็ว หรืออุคฆฏิตัญญู รู้ได้อย่างรวดเร็ว มีแต่น้อยกว่ากัน นั่นเป็นอย่างนั้น มี แล้วรองลงมาก็มี มีเรื่อย มาประเภทเนยยะกับประเภทปทปรมะรู้สึกจะมากทีเดียว ระยะนี้จะเข้าขั้นปทปรมะ ในจำพวกเราที่พอยอมรับกันได้ว่าเป็นประเภทเนยยะอยู่ ยังรู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก รู้จักแก้ไขดัดแปลงตนดี แต่สิ่งที่ไม่ดีมันมีกำลังมากกว่าความดีที่กำลังพยายามอยู่นั้น ความไม่ดีมันก็ฝืนมาดึงลากลงไปทางต่ำได้ประเภทเนยยะ เพราะฉะนั้นประเภทนี้จึงขึ้นก็ได้ลงก็ได้ อยู่ในย่านกลาง
เนยยะคือพอแนะนำชักจูงหรือสั่งสอนไปได้ อันนี้ขึ้นก็ได้ ถ้าเจ้าของบึกบึนแล้วก็ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอ่อนแอท้อแท้แล้วลงได้ ส่วนปทปรมะไม่มีทาง เหมือนเอายาไปรักษาคนตายนั่นแหละ หรือคนเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. หมอและยาไม่มีความหมาย เพราะคนไข้คนนั้นหมดความหมายแล้ว ยาจึงหมดความหมายไปตามๆ กัน คนๆ นั้นหมดความหมายแล้วในความดีทั้งหลาย ไม่ยอมเชื่อเรื่องบาปบุญนรกสวรรค์ตามทางของมนุษย์เราที่จะยอมรับเพื่อความดีงามแก่ตนเอง พวกนี้ไม่ยอมรับ อะไรที่เป็นเรื่องต่ำทรามแล้วรับทันทีๆ นี่เรียกปทปรมะ ยังเหลือแต่ลมหายใจ จะพึ่งเกิดมาก็ตามก็มีแต่ลมหายใจ จนกระทั่งถึงวันตายคนๆ นี้จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ไม่เหมือนคนที่มีอุปนิสัยพอที่จะเป็นไปได้อยู่ ก็เริ่มมีคุณค่าตั้งแต่เกิดมา ถึงจะผิดจะพลาดไปบ้างก็ยังมีคุณค่าฝังอยู่ภายในใจ ต่อไปก็ค่อยบุกเบิกออกไปได้ ไม่เหมือนคนที่หมดคุณค่าแล้วตั้งแต่วันเกิด ลมหายใจก็มีเพื่อวันตายเท่านั้น ไม่มีคำว่าเพื่อมีคุณค่า พวกนี้มีอย่างนั้น
เหล่านี้มีอยู่ในสัตว์โลกนะ เราอย่าไปหาที่ไหนๆ กว้างแคบ ให้หาดูตัวของเรา ค้น ถ้ามันหนาแน่นไปทางด้านอรรถด้านธรรมมากเท่าไร เอ้า ฟัดมันลงไป ควรเป็นควรตาย เอ้า สละกันลงไป เดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาได้ นั่น ถ้าปล่อยไปเลยจมไปเลยนะ ถ้าฝืนกันแล้วโผล่ได้ จะยากขนาดไหนโผล่ได้พ้นได้ ถ้าปล่อยไปตามเลย จมได้เลยเพราะมันคอยจะจมอยู่แล้ว ให้พากันจดจำเอานะ จิตใจเป็นสิ่งที่ฝึกได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่เลิศเลอฝึกสิ่งที่เลวให้ดี ดีเยี่ยมได้ เราก็เป็นคน ๆ หนึ่ง ประเภทที่ควรจะรับได้ ต้องฝืนตัวเองนะ จะปล่อยให้เป็นไปตามความมืดหนาสาโหดแห่งโลกนี้ ศาสดามีอยู่เต็มโลกเต็มสงสารเวลานี้ ศาสดาของกิเลสตัณหาที่จะพาคนให้ล่มจม พาสัตว์โลกให้ล่มจม เต็มไปหมด มีอยู่ทุกตัวคนอีกด้วย ไม่ว่ามีกับคนนั้นคนนี้ทั่วโลกนะ มีอยู่ในตัวของเราเต็มตัวเต็มใจของเรา เป็นศาสดาทั้งนั้น จะลากคอเราลงนรก บอกว่าลากคอซิมันถึงกันเข้าใจไหม นี่ละให้เทียบเข้ามาซิ เทียบเข้ามาคนทั่วโลกสงสารจิตใจมันต่ำ เอ้า จิตใจของเรานี้เป็นยังไงมันคิดทั่วโลกสงสารมันก็ต่ำ คิดไปด้วยความต่ำของมันเมื่อไม่ได้รับการอบรม เมื่อได้รับการอบรมแล้วก็ฟิตตัวของมันได้ นั่น
ยิ่งนับวันไปนะ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาก็แล้วกัน ให้พิจารณาให้ตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ภายในตัวของเราเอง รอรับเหตุการณ์ สิ่งภายนอกมันแฝงเข้ามาได้ที่จะมาหลอกให้ลุ่มหลง อย่างปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง แต่ก่อนเมืองไทยเราจะมีอะไร ได้อะไรมาอยู่มากินมาใช้สอยวันหนึ่ง ๆ พอ ไม่ได้สร้างความกังวลวุ่นวาย ความดีดดิ้นให้มากมายอะไรนัก ก็เป็นความสุขความสบาย เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันไหลเข้ามาไม่ทราบทางน้ำทางบกทางไหน ๆ มาเรื่อย ๆ อะไรมามันก็ตื่น ๆ ก็ดีดก็ดิ้นแล้วดีดดิ้นมันส่วนมาก ๆ เราอยากพูดว่าร้อยทั้งร้อยเป็นเรื่องที่จะทำคนให้หลงงมงายให้หลับหูหลับตาไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ตื่นนะ เวลานี้กำลังเต็มบ้านเต็มเมืองเข้ามา อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี ไม่เคยได้เห็นก็เห็น ไม่เคยได้ยินก็ได้ยิน มีมาหมดทุกอย่าง ต้องได้ฟิตหัวใจเราด้วยสติปัญญาด้วยดี ไม่งั้นหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ได้
พูดอันนี้แล้ว เอ้า พูดถึงท่านผู้ที่ผ่านไปโดยสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว อะไรมารู้หมด ที่จะให้ท่านหลงท่านลืมท่านชินต่อสิ่งเหล่านี้ไม่มี ปั๊บ รู้ทันที ๆ ๆ นั่นต่างกันกับโลกที่กำลังลุ่มหลงอยู่ อะไรมาคอยแต่จะหลง ๆ ผู้ที่ท่านรู้ท่านรอบหมดแล้วทำยังไงให้หลงก็ไม่หลง ปั๊บมาก็รู้ ตกผล็อย ๆ เหมือนน้ำบนใบบัว น้ำที่ตกลงบนใบบัว กลิ้งตก ๆ ไม่ซึมซาบ จิตของท่านที่เป็นใบบัวแล้วสมมุติทั้งหลายเหมือนน้ำ ตกลงมาปั๊บกลิ้งเลย ๆ ไม่ซึมซาบมันต่างกันอย่างนี้นะ พวกเราพวกไม่ใช่ซึมซาบ มันพวกลิง คว้ามับ ๆ อะไรมาคว้ามับเลย เพราะฉะนั้นมันถึงตามไม่ทันนะ จมได้เร็ว กำลังเริ่มขึ้นนะ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นบริษัทบริวารเป็นเครื่องอุปกรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างของกิเลสเสียมากต่อมากทีเดียว ถ้าไม่มีธรรมจะไม่รู้เลย แล้วจะเพลินไปตามสิ่งเหล่านี้ แล้วก็จมไปทุกวี่ทุกวัน ผู้มีธรรมเหมือนกับว่ามาขัดเกลาจิตใจ อะไรผ่านเข้ามา ถ้าจิตใจเป็นธรรมขึ้นไปโดยลำดับลำดาแล้วอะไรผ่านเข้ามา เหมือนกับเป็นหินมาลับปัญญา หินลับมีด สติปัญญาของเราเหมือนมีด
สิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องเหมือนหินมาลับมีด ๆ เพราะเมื่อขั้นเป็นธรรมแล้วอะไรเป็นธรรมหมด อยู่ที่ไหนเป็นธรรม ท่านว่าอัตโนมัติ ๆ คือเป็นธรรมอัตโนมัติโดยลำดับ จนจะถึงขั้นเด็ดขาดเป็นอัตโนมัติ อะไรผ่านเข้ามาเป็นธรรมหมด อยู่เฉย ๆ ก็เป็น ความคิดความปรุงขึ้นมานี้ แต่ก่อนมันเป็นกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟ เวลามันกลับกลายขึ้นมาเป็นธรรมแล้วด้วยการฝึกฝนอบรมเรา ที่ไหนอะไรผ่านเข้ามามันเป็นธรรม เหมือนกับว่ามาเตือนสติปัญญา ลับสติปัญญาให้คมกล้าเป็นลำดับลำดา มันต่างกันนะ ให้คิดแยกหลายประเภทซิ กิเลสมันร้อยสันพันคม เราก็ให้เป็นอย่างนั้นธรรมะ เมื่อมันทันกันแล้วร้อยก็ร้อยพันก็พัน มีคมเหมือนกันเลย นั่น ทันกัน ๆ
ค่อยหนาไป ๆ ดูนะ มันอดไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านี้มันสัมผัส อายตนะภายนอก อายตนะภายใน อายตนะแปลว่าเครื่องสืบต่อ เครื่องประสานกัน เช่น ตาเรานี้เพื่อประสานรูป รูปเป็นอายตนะภายนอก ตาเป็นอายตนะภายในเครื่องประสานกัน ตาเห็นรูปเป็นยังไง หูฟังเสียงเป็นยังไง มันประสาน เรียกว่าประสานกัน เวลาทางภายในมันรอบหมดแล้วอายตนะก็สักแต่ว่าใช้ในเวลามีสมมุติอยู่เท่านั้น ส่วนภายในจิตนั้นไม่ได้ซึมซาบกับสิ่งเหล่านี้ เราจะแยกเข้าไปพูดว่าเป็นอายตนะของตัวเองโดยเด็ดขาด โดยหลักธรรมชาติไม่ผิด แต่ต้องเป็นผู้ปฏิบัติผู้บรรลุไม่ค้านกัน ถ้าไม่ปฏิบัติไม่รู้แล้วค้านวันยังค่ำเข้าใจไหม ท่านเป็นอายตนะโดยหลักธรรมชาติ ในเวลาอยู่ในสมมุติท่านก็ทราบ ไม่ถือไม่ติด นั่น ท่านพูดอันหนึ่งว่า อายตนะนิพพาน มีนะในหนังสือ
อายตนะนิพพานเป็นยังไง อันนี้พูดยากนะ แต่ไม่สงสัย มันเป็นอายตนะนอกสมมุติเสียทั้งหมด นิพพานก็นอกสมมุติแล้ว อายตนะนิพพานก็นอกไปด้วยกัน แล้วจะเอามาพูดคลุกเคล้ากันกับมูตรกับคูถได้ยังไง แน่ะ อายตนะที่จะใช้ในมูตรในคูถก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของพระอรหันต์ท่านก็มีท่านก็ใช้เหมือนกัน แต่ท่านไม่แปดเปื้อนกับสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นอายตนะอันหนึ่ง อายตนะนิพพาน จิตเป็นนิพพานแล้วก็เป็นอายตนะอันหนึ่ง มาใช้ภายนอกเป็นอายตนะอันหนึ่ง เอ้า ดับไปโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องพูด แน่ะ หายสงสัยทุกอย่างวันนี้พูดธรรมะจะสูงไปหรือต่ำไปก็ไม่รู้นะเรา ก็งงผู้พูดเหมือนกันเราก็งง หนาขึ้นเรื่อย ๆ นะ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ กิเลสจะหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ คนจะนับวันทะนงตัวดีดดิ้นเรื่อยไปตามกิเลส ทะนงเท่าไรยิ่งต่ำลง ๆ ผู้มีสติสตังพินิจพิจารณาผู้นี้ไม่ทะนงจะผ่านไปได้ ๆ จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น
(พระหลวงตาเจ้าคะ วันนี้ผ้าป่าหน้าศาลา ๔,๒๖๕ บาท กับอีก ๑๕ ดอลลาร์เจ้าค่ะ) เออ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑ กิโล ๗ บาท ดอลลาร์ได้ ๓๕๔ ดอลล์
ชมการถ่ายทอดสดทุกวัน ได้ที่
www luangta com หรือ www.luangta.or.th |