เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ความเพียรประเภทฝ่าเท้าแตก
วันที่ ๒๑ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑๙ บาท ๗๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๐๐ ดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากมอบคลังหลวงแล้วเวลานี้ได้ ๓๘๕ กิโล ๒๗ บาท ๗๔ สตางค์ นี่รวมหมดทั้งกรุงเทพและที่นี่ ดอลลาร์ได้ ๘๔,๒๒๓ ดอลล์ ทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๗,๐๘๕ กิโล หรือ ๗ ตันกับ ๘๕ กิโล รวมดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๐๘๔,๒๒๓ ดอลล์
พระก็มามาก ประชาชนก็มามาก เมื่อวานนี้ ศาลาหลังนั้นเราก็ว่ามันใหญ่มันโต เมื่อวานนี้คับแคบไป เรียกว่าแน่นหมด คนยังเต็มอยู่ข้างนอก ไม่มีที่นั่ง ดูซิศาลาหลังนั้นแน่นหมดเลย พระก็มาก ประชาชนก็มาก เมื่อวานนี้ ไม่ได้พูดอะไรกับท่านเจ้าคุณเลย เราเข้าไปทีแรกก็กะว่าจะไปรอท่าน เพราะยังเหลือเวลาอีก ๒๐ กว่านาที จึงถือระยะนั้น มีอะไรก็จะคุยกับท่านตอนนั้นก่อนเทศน์ พอเข้าไปคนรออยู่แล้วแน่นหมด เงียบหมด เตรียมพร้อมแล้วที่จะฟัง เราไปนั้นท่านเจ้าคุณท่านยังไม่มา เราขึ้นบนอาสน์สงฆ์แล้ว ทั้งประชาชน พระเณรก็พร้อมแล้วด้วยความสงบเงียบ ก็เลยเริ่มพูดธรรมะไปเรื่อยเลย เรื่อยๆ ๆ จึงไม่ทราบว่าท่านเจ้าคุณท่านไปถึงเมื่อไร เรื่อยจนจบ เลยไม่ได้พูดกับท่านเรื่องใดอะไรบ้าง
พระก็มาก เรื่องราวก็มายุ่งกับเราคนเดียว ไม่ทราบจะพูดเรื่องอะไรบ้าง เลยพูดกับท่านเจ้าคุณสองสามประโยคเท่านั้นเมื่อวาน เสร็จแล้วท่านก็กลับเลย ถ้าวันไหนว่างจะไปกราบคารวะทำวัตรท่าน ส่วนมากเราไปเฉพาะเรา ไปเงียบๆ ตอนเย็น ถามว่าท่านอยู่แล้ว จะไปก็ไปเลย เมื่อวานนี้ไม่ได้พูดอะไรเลย พระที่มาเมื่อวานนี้มีทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติ สีผ้าเรียกว่าเป็นสีเดียวกันก็ได้เลย เป็นสีแก่นขนุน แบบโบราณสีกรักหรือแก่นขนุน มีในตำรา สีแก่นขนุนเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่มั่นที่เราเรียนถามท่าน เวลาท่านพิจารณา นั่นเห็นไหมท่านพิจารณาตลอดสีผ้า เราอยากทราบ ก็ซอกแซก ท่านบอกว่าสีผ้ามีอยู่ ๓ ขั้น สีแก่นขนุนอ่อน สีแก่นขนุนปานกลาง สีแก่นขนุนแก่
ทีนี้ก็มีช่องที่จะถาม แล้วสีเหลืองอย่างธรรมดาที่พระใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีไหม บอกไม่มี ใส่เด็ดมาเลยนะ พิจารณาๆ แล้วมีอยู่ ๓ แก่นขนุนสีอ่อน สีกลาง สีแก่ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านใช้นี้รู้สึกจะเป็นสีกลางๆ นะ สีที่ท่านครองเป็นสีกลาง สีอ่อนก็มีบ้างเป็นบางระยะ ผ้าที่ย้อมใหม่ก็เป็นสีแก่นขนุนอ่อนอยู่บ้าง จากนั้นที่ท่านใช้เป็นประจำก็สีกลางหรือแก่ มีอยู่สาม ท่านบอกเวลาท่านพิจารณาดูถึงเรื่องอดีต โห น่าอัศจรรย์นะ เห็นไหมล่ะความรู้ของท่าน เพราะแต่ก่อนท่านปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพูดเองจึงชัดเจนซิ
เพราะฉะนั้นลวดลายของพุทธภูมิ หรือของศาสดาจึงมี ถึงไม่มีเต็มที่ก็มี ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาภาวนาไปเท่าไรจิตมันก็ยิ่งเข้มข้นเข้า จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรเรื่องโพธิสัตว์ โพธิญาณจะแย็บเข้ามาเลยทุกครั้ง ท่านว่างั้นนะ ทุกครั้งพอจะเข้าด้ายเข้าเข็ม คือเวลาจะพุ่ง สายโพธิญาณ โพธิสัตว์ ผ่านเข้ามา เลยถอย เพราะผ่านเข้ามาก็เป็นสมบัติของตัวเอง ท่านว่า สายโพธิสัตว์ก็คือเรื่องของท่านเองผ่านเข้ามา ท่านก็ถอย ท่านว่างั้น ทีนี้ความอยากพ้นจากทุกข์ก็หนักเข้าเป็นลำดับ เลยมาประมวล ท่านว่างี้นะ
เรื่องเป็นพระพุทธเจ้าก็เลิศเลอ ปรารถนามาก็ปรารถนาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนสัตว์โลกได้มากเต็มภูมิของศาสดาแต่ละพระองค์ ๆ เวลาท่านจะออกนะ แต่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์นั้นเสมอกัน ท่านว่างี้นะ เออ เอาละ ที่นี่ถอยนะ แนะนำสั่งสอนใครไม่ได้ ก็สั่งสอนเจ้าของให้หลุดพ้นจากทุกข์นี้ก็พอแล้ว ท่านว่างั้น เลยตั้งเป็นคำสัตย์ขอหยุด ขอพัก ของดเลย เรื่องสายโพธิสัตว์ โพธิญาณ จะมุ่งเฉพาะสาวกภูมิ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น แล้วก็ปลงใจลง ปลงใจลงในสาวกภูมิ จากนั้นมาจิตมันก็พุ่ง ๆ เลยเชียว ท่านบอกว่าแต่ก่อนพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร สายพุทธภูมิก็ผ่านเข้ามา ผ่านเข้ามาอยู่อย่างงั้น
ท่านประมวลมาทุกอย่างแล้ว มาลงในสายสาวกภูมิ คือความหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นจิตที่บริสุทธิ์เสมอกันหมด ไม่ว่าพระพุทธเจ้า สาวก ท่านเลยเอาจุดนี้ เออ เอาอันนี้แหละ จากนั้นมาจิตมันก็พุ่งเลย ท่านว่า อันนี้หมายความว่า ท่านยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดองค์หนึ่งนะ ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายแล้วว่า ต่อจากนี้ไปเท่านั้น ๆ ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าอย่างนั้น สาวกข้างขวาว่างั้น สาวกข้างซ้ายว่างี้แล้วเท่านั้น จะแก้ยังไงก็ไม่ตก ถ้าลงพระพุทธเจ้าทรงทำนาย แต่นี้ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ พระพุทธเจ้าท่านยังไม่พยากรณ์ให้ เลยผ่านออกได้ ถ้าเข้าเขตพยากรณ์แล้วยังไงก็มีแต่ไปข้างหน้า แก้ไม่ตก
นี่เรียกว่าญาณของพระพุทธเจ้า ถ้าลงได้เล็งดูจุดไหนแล้วเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น นี่เช่น อย่างลัทธพยากรณ์ ได้รับจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดแล้ว ยังไงก็ต้องไปเป็นแบบนั้น เอาสด ๆ ร้อน ๆ บิณฑบาตตอนเช้าก็เห็นอยู่ในตำราทุกคน ก็เห็นสันตติมหาอำมาตย์มิใช่หรือ ชื่อน่ะ เมาเหล้าอยู่บนคอช้าง สนุกสนานรื่นเริง เป็นบ้าแบบหนึ่งอยู่คอช้าง พระองค์เสด็จไปนั้นมองเห็นเมาเหล้าอยู่คอช้าง เอ้อ ตอนบ่ายนี้มันก็จะไปเมาอีกแบบหนึ่ง มันจะเป็นบ้าอีกแบบหนึ่ง นี่เห็นไหมล่ะ พูดชัด ๆ ก็คือว่าเมียมันตาย เมียตายเสร็จความโศกเศร้าเห็นทุกข์แล้วออก สำเร็จ เป็นปุ๊บเลยเห็นไหมล่ะ ก็อย่างนั้นแล้ว ตอนเช้าเมาเหล้าสนุกสนาน พอตอนบ่ายเมียตายละซี เกิดความโศกเศร้า เห็นความทุกข์ทรมานหลายด้านหลายทาง ย้อนเข้ามาเป็นธรรมออกบวช สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แน่ะก็อย่างงั้นแล้ว พระพุทธเจ้าถ้าลงได้ทรงทำนายไม่มีอะไรผิดยังบอกแล้ว ตรงเป๋ง ๆ เลย
เพราะฉะนั้นจึงว่าเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร มีศาสนาพระพุทธเจ้า พุทธศาสนาเท่านั้น คือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์รวมแล้วเรียกว่าพุทธศาสนา นี่เป็นสายทางลบล้างกิเลส กิเลสมันก็เป็นแนวทางของมันในจิตดวงเดียวกันนั่นแหละ ธรรมก็อยู่ในจิตอันเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างลบล้างกัน ฝ่ายธรรมคือพระพุทธเจ้า ลบล้างกิเลสที่มีประจำอยู่ในวัฏวนนี้ นำมาลบล้างได้มากน้อยก็ผ่านไปได้ พอลบล้างได้โดยสิ้นเชิงก็พ้น ธรรมพระพุทธเจ้านี่แหละที่ทรงสอนไว้เรียบร้อยแล้ว มาลบล้างผ่านไปได้ๆ นอกนั้นไม่มี เพราะศาสนานี้เป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ ผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลส ทรงด้วยพระญาณ พลังทุกอย่าง เต็มเม็ดเต็มหน่วยของภูมิศาสดา สอนสัตว์โลกพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับ โดยไม่มีทางเสีย เรื่องพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนสัตว์โลก ให้สัตว์โลกเสียไปไม่เคยมี
แต่เรื่องกิเลสนี้ม้วนเสื่อ ๆ ไปตาม ๆ กันหมด ถ้ากิเลสลงได้สอนใครแล้วม้วนเสื่อ อยู่ในศาลานี้ก็ล้มระนาวไปเลย ม้วนเสื่อ ฟาดตั้งแต่หลวงตาบัวลงไป ดีไม่ดีหลวงตาบัวพาลูกน้องหงายหมาไปก็ได้ ไม่เป็นท่า กิเลสได้เป่าพุดเดียวเท่านั้น โหย ล้มระนาว นี่ละตัวภัยของธรรม ของศาสนา มีศาสนาพุทธเท่านั้นลบล้างสิ่งเหล่านี้ได้ นอกนั้นไม่มี ยันกันอย่างงี้เลย จะเป็นกี่ศาสนาไม่ประมาท พูดตามหลักความจริง เพราะเป็นศาสนาของผู้มีคลังกิเลสด้วยกัน ไม่มีศาสนาใดที่เจ้าของศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลสเหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลายนะ เมื่อเป็นคลังกิเลสก็ต้องนำกิเลสออกมาเป็นโครงการ นโยบายของกิเลสไปหมด การสอนโลกก็เป็นโครงการของกิเลส นโยบายของกิเลสที่มันเสี้ยมสอน โดยสำคัญตนว่าเป็นครูเป็นอาจารย์เขา สอนยังไงก็สอนไป ชอบใจอะไรก็ว่าถูกว่าดี อะไรไม่ชอบใจก็ว่าผิดไปหมด
ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ว่าอย่างงั้น ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ตรงแน่วเลย จึงเป็นธรรมที่ตายตัวได้ นอกจากนั้นตายไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้เองจะมีกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านศาสนาก็ไม่มีความหมาย คือเป็นศาสนาของคลังกิเลสทั้งนั้น แต่พุทธศาสนาไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้บริสุทธิ์ สอนโลกด้วยสวากขาตธรรมเหมือนกันหมด มันต่างกันอย่างนี้ ถ้าลงได้รู้ในใจแล้วมันไม่ได้ไปหาใครมาเป็นพยานนะ ความรู้ในธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้าก็ดี ของสาวกก็ดี ถ้าท่านได้รู้ในใจของท่านแล้ว เต็มภูมิของสาวกท่านก็ไม่ไปถามพระพุทธเจ้ามารับรอง ไม่หาผู้ใดมารับรองความรู้ของท่าน เต็มภูมิของท่านเอง จะรู้กว้าง รู้แคบ เต็มภูมิของท่าน ท่านจะไม่ไปถามใคร เอาใครมาเป็นสักขีพยานเลย นี่เรียกว่าจิตกับสภาวธรรมทั้งหลายรู้เห็นกัน รู้เห็นอย่างนั้นนะ ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน
ส่วนตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรานี่มันเป็นเครื่องมือของกิเลส เครื่องมือของธรรมนั้นน้อยมาก ถ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ก็เป็นเครื่องมือของธรรมล้วน ๆ เลย แต่ก่อนเป็นเครื่องมือของกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะใจไม่มีธรรม มันเหยียบธรรมไว้หมดเลย กิเลสออกเพ่นพ่าน เอาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้ไปเป็นเครื่องมือของกิเลสหมด มันจึงใช้ไปในทางกิเลสเสียหมด ผลที่ดีจึงไม่ค่อยเห็นมี นี่ละต่างกันอย่างนี้ เป็นเครื่องมือของกิเลสไปหมด ทีนี้เวลาธรรมมีเข้าภายในใจนี้ก็แบ่งสันกันเรื่อย ขัดกัน แย่งกัน พอถึงธรรมะล้วน ๆ เต็มที่แล้วไม่มีอะไรมาขัด กิเลสขาดสะบั้นไปหมด เหลือแต่ความจริงล้วน ๆ เป็นเครื่องมือของธรรมล้วน ๆ แหละที่นี่
ร่างกาย กิริยาอาการทุกอย่าง หมุนกลับไปเป็นเครื่องมือของธรรม ธรรมท่านไม่ยึดถือ กิเลสมันยึดถือด้วย เครื่องมือของมันด้วย ยึดถือด้วย ธรรมนี้เอามาเป็นเครื่องมือเฉย ๆ ใช้ในเวลาไปทำประโยชน์แก่โลก ท่านไม่ยึดไม่ถือ ขันธ์นี้จึงเป็นได้สองอย่าง รวมแล้วเรียก ขันธ์ของพระอรหันต์นั้นเป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่มีกิเลสเจือปน ขันธ์ของโลกนี่เป็นขันธ์ของกิเลสไปเลย กระดิกออกไปทางไหน กิเลสหมุนออกไปๆ ธรรมหมุนออกไปนี้ธรรมบริสุทธิ์ หมุนออกไปก็บริสุทธิ์ แต่กิเลสหมุนออกไปนี่หมุนออกไปด้วยส้วมด้วยถาน สกปรกไปตาม ๆ กันหมด มันต่างกันอย่างนั้นนะ
มันรู้ที่ใจ ลองได้รู้แล้ว นอกจากท่านไม่พูด เพราะการพูดหรือการไม่พูด ท่านไม่เอาเรื่องของกิเลสมาเป็นใหญ่เป็นโต เอาธรรมเป็นใหญ่ทั้งหมด ถ้าลงรู้แล้วชัดเจน ๆ ๆ ท่านจึงไม่ถามใคร มันต่างกันอย่างนี้นะ ความรู้ของธรรมล้วน ๆ กิเลสไม่มี กับความรู้ที่เป็นไปด้วยกิเลสเป็นเจ้าอำนาจ มันต่างกันมากนะ ส่วนมากความรู้ของเรามีแต่กิเลสเป็นอำนาจละซี มันจึงผิดจึงพลาดอยู่เรื่อย ๆ ภาวนาจะเอาอย่างนี้ จะเอาอย่างนั้น พอก้าวเข้าทางจงกรมสองสามก้าวกิเลสเตะขาล้มระนาวเลย ฟังเสียงตกลงเสื่อลงหมอนตูมตาม ๆ กิเลสมันเตะเอา นั่นเห็นไหมล่ะตั้งท่า อู๋ย ตั้งดิบตั้งดี เวลาเข้าทางจงกรมท่าทีแรก ท่าเป็นทางจงกรม ท่าที่สองที่สามนี่เป็นท่าเสื่อท่าหมอนไปเลย มันเป็นอย่างงั้นพวกเรา กิเลสมีอำนาจมาก
พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ แหม เวลามันมีกำลังมากมีจริง ๆ นะ ไม่มีอะไรจะไปต่อต้านมันได้เลย ขาดสะบั้น ๆ นะ ธรรมเรา โฮ้ ไม่ลืมนะ มันฝังลึกมาก ทีนี้เวลาฝึกฝนอบรมสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เข้าสู่ธรรมเรื่อย ๆ ค่อยหนุนกันขึ้น หนุนกันขึ้น ที่มันแข็งแรง หรือว่ามันเชี่ยวจัดเรื่องกระแสของกิเลส มันค่อยลบล้าง ๆ ต่อไปก็ฟาดกันเลย ๆ ขาดสะบั้น จนถึงขั้นขาดสะบั้น นี่สติปัญญาที่เกรียงไกรมาก เป็นสติปัญญาทำให้กิเลสขาดสะบั้น โผล่มาไม่ได้เลย แย็บนี่ขาดพร้อมกันเลย จะว่าเจตนาตั้งหน้าทำลายมันเหรอ มันก็พูดไม่ถนัด จะให้มันถนัดจริง ๆ ถึงขั้นว่าทำงานในหน้าที่ของตนเอง ข้อบังคับบัญชาอะไรไม่มี มีแต่หมุนใส่เลย
อย่างที่ว่าความเพียรที่อุตส่าห์พยายามบึกบึน ๆ นี่ความเพียรระหว่างที่ต่อสู้กับกิเลสซึ่งมีกำลังหนามากกว่าธรรม ต้องได้ใช้ความพยายามให้มาก ๆ ทีนี้เวลาทางด้านธรรมะมีกำลังมากแล้ว ความเพียรนี้ แต่ก่อนหมุนใส่แทบเป็นแทบตาย คำว่าความเพียร ๆ นี้รู้สึกจะด้อยไป ๆ ไอ้ความอะไรมันเป็นอยู่ในจิตในใจด้วยความพอใจ หนุนแรงกว่าความเพียร มันก็เลยหนุนไปเรื่อย หนักเข้า ๆ ว่าเพียร เพียรอะไร นั่นเห็นไหมล่ะ คือมันหมุนอยู่ตลอดเวลานี้จะเอาอะไรมาเพียร จนกระทั่งได้รั้งเอาไว้ ถ้าพูดว่าเพียร เวลาหมุนก็จริงแต่ยังไม่พ้นทุกข์ เพียรเพื่อความพ้นทุกข์นั้นถูก เพียรเพื่อจุดนั้นมันถูก แต่เพียรในย่านกลางอย่างนี้ไม่มีละ ได้รั้งเอาไว้ ๆ
นี่ละอำนาจของธรรม เมื่อมีกำลังแล้วกิเลสขาดไป เช่นเดียวกันกับกิเลสมีกำลัง ธรรมขาดสะบั้นเป็นแบบเดียวกัน เสมอกันเลย ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน ถ้าว่า อกาลิโก ก็แบบเดียวกัน ขอให้ทำเถอะ เสริมทางไหนเป็นกำลังทางนั้นขึ้นทันที เสริมทางอรรถธรรมก็ขึ้นทางธรรม เสริมทางกิเลสขึ้นทางกิเลส เวลากิเลสมีกำลังแกล้วกล้าเสริมนิดหนึ่งมันขึ้น ท่วมท้นไปหมด ธรรมไม่ค่อยขึ้นนะ เวลาธรรมกล้าแล้วก็แบบเดียวกัน พุ่งทีเดียวเลย กิเลสผ่านไม่ได้
วันนี้ไม่มีคนมากอะไรนักนะ อย่างไรขอให้พากันพยายามนะ อย่าลืมองค์ศาสดา ครั้นเวลาขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ มันปัดศาสดาลงทะเล มันเอาเทวทัตขึ้นนั่งบนหัวขี้รดมันก็พอใจ กิเลสขี้รดหัว เจ้าของหลับครอกๆ ก็พอใจ เวลานี้พวกเรามีแต่พวกอย่างนี้ละ พระพุทธเจ้านั้นปัดลงคลอง เราไม่ปัดกิเลสมันปัดเอง เพราะมันคล่องแคล่ว จำเอานะ ต้องอุตส่าห์พยายาม ไม่พยายามไม่ได้ เราอุตส่าห์เพื่อเรา เราอย่าไปคิดว่าเพื่อผู้หนึ่งผู้ใด จะไปหาเรื่องหาราวใส่นั้นใส่นี้ไม่ได้ เรื่องอยู่กับเรา หนักเบาอยู่กับเรา สุขทุกข์มากน้อยอยู่กับเราจะเป็นผู้ขวนขวายหามา เรารับผิดชอบเราต้องได้อุตส่าห์พยายามด้วยกันทุกคน เมื่อเกิดความท้อแท้ให้ระลึกถึงศาสดาที่ทรงสลบไสล ท่านอ่อนแอหรือไม่อ่อนแอ ถึงขั้นสลบไสลก็ยอมรับ
พาทำความพากความเพียรก็เหมือนกัน ดังที่เคยเล่าให้ฟัง เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ทำความเพียร จนได้รับเอตทัคคะว่าเลิศเลอทางความพากเพียร พระโสณะ เรื่องความเพียรอย่างนี้แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิดนะ อ่านในตำราเห็นไปว่า พระโสณะท่านได้รับเอตทัคคะทางด้านประกอบความเพียรกล้า ก็อ่านไปอย่างนั้น แต่เวลามาปฏิบัติขึ้นเวที มันวิ่งถึงกันเลย ที่ฝ่าเท้าแตกคือความเพียรหมุนตลอด เราเดินอยู่ทุกวัน นั่งทุกวัน วันนี้ไม่แตกวันหลังมันก็แตกเพราะเดิน ถ้าลงได้เดินแล้วไม่รู้เวล่ำเวลา ความเพียรประเภทนี้หมุนเป็นธรรมจักร ไม่มีสถานี ต้องเอาสติปัญญาเข้าจับ ธรรมอีกประเภทหนึ่งจับ ยับยั้งให้อยู่ในความพอดี ถึงเวลาพักผ่อน เอา จะเข้าสมาธิสงบตัวเองจากอารมณ์ที่หมุนตัวเป็นเกลียวเพื่อฆ่ากิเลส ก็ให้ระงับเข้าสู่สมาธิเพื่อเอากำลัง จิตเข้าสู่สมาธิแล้วจะไม่ทำงาน พักสงบแน่ว ความสงบของจิตนั้นแลเป็นการสั่งสมพลังของจิต ทีนี้พอออกจากนั้นเหมือนกับเราตื่นนอนขึ้นมา มีกำลัง หรือรับประทานอาหารอิ่มแล้วมีกำลัง ควรแก่การงานทั้งหลาย
ทีนี้เวลาเราพักสมาธิแล้วออก หมุนติ้วแล้วก็เอากันเลย นั่น มีพักนะ ไม่พักไม่ได้ ถึงเวลามันเพียรเอาจริงเอาจัง เดินจงกรมมันไม่รู้เวลา ได้ลงทางจงกรมเมื่อไรแล้วอยู่กับนั้นเลย หมุนอยู่ภายใน เรื่องภายนอกกิริยานี้เอาแน่ไม่ได้ คือจิตไม่ออกเสียอย่างเดียว ร่างกายของเราเดินจงกรมนี้มันมีสะเปะสะปะ บางทีโครมครามเข้าในป่าก็มี พอโครมครามเข้าในป่า โอ๊ะ ป่า จิตแย็บออกไปรู้ว่าเป็นป่า ทีนี้ก็เข้าทางจงกรมไป ไม่นานละ เพราะจิตมันหมุนอยู่ภายใน ตานี้มัว มองหาอะไรไม่เห็น มันไม่มองข้างนอก มันอยู่แต่ข้างใน เหมือนหูหนวกตาบอดไป มันไปหมุนกันอยู่ภายใน ตาก็ฝ้าฟาง เป็นอย่างนั้นละ มันไปสว่างอยู่ภายใน เวลาเดินไปๆ มีคนไปเห็นเข้านี่ เอ๊อ พระองค์นี้หรือว่าฆราวาสก็ตาม มันเดินแบบไหน มันเหมือนบ้า
คือเดินโซซัดโซเซ แล้วซุ่มซ่ามเข้าป่า รู้สึกตัวแป๊บออกมาแล้วเดินไป ๆ เข้าป่านี้ คือจิตมันไม่ได้สนใจกับข้างนอก มันจะหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ร่างกายมันก็เดินไปเรื่อย มันก็สะเปะสะปะ นี่เวลามันหมุน ฟังให้ชัดนะท่านทั้งหลาย นี้ถอดออกมาจากหัวใจ ออกมาจากเวทีที่มาเล่าให้ฟัง จึงไม่ได้สอนท่านทั้งหลายด้วยแบบลูบๆ คลำๆ สอนขนาดนั้นด้วยความเมตตาจริงๆ ว่า กิเลสนี้แหลมคมมาก แต่ธรรมนี้เหนือสุด นั่น เอาตรงนั้นเลย กับความเพียรประเภทนี้ยอมทันทีเลย เข้ากันได้สนิท ฝ่าเท้าแตก คือลงได้เดินแล้วไม่รู้จักเวล่ำเวลา หมุนกันอยู่ เหมือนนักมวยเข้าวงในกัน หมุนตลอด นั่งก็เหมือนกัน อะไรเหมือนกัน นี่ละที่ว่าความเพียรกล้า ฝ่าเท้าแตกยอมรับให้ ถ้าธรรมดาเราเดินไปนี้ บังคับเจ้าของจนกระทั่งเดินจงกรมฝ่าเท้าแตกนี้มันไม่อยากเชื่อนะ พอเข้าถึงขั้นนี้ยอมทันที อ๋อ อย่างนี้เองฝ่าเท้าแตก คือวันนี้ก็เดิน วันไหนก็เดิน เดินไม่หยุดไม่ถอยฝ่าเท้ามันก็บางเข้าๆ มันจะทะลุถึงเนื้อ นี่ที่ว่าฝ่าเท้าแตก คือมันทะลุเข้าไปถึงเนื้อ คือมันเดินไม่หยุดไม่ถอย เดินทุกวันฟัดกับกิเลส ถ้ากิเลสไม่ม้วนเสื่อเมื่อไร อันนี้จะซัดกันอยู่ตลอดเวลา
เราตัวเท่าหนูมันก็เป็น พอมาถึงที่แล้วฝ่าเท้านี่ออกร้อนเหมือนไฟลนนะ ออกร้อนหมดเลยฝ่าเท้า เอ๊ มันพิลึกพิลั่นอะไรนักหนา นี่เวลาออกจากทางจงกรมมานะ เวลาอยู่ในนั้นมันไม่ได้ดูกันละ ไม่สนใจ พอมาถึงที่พักแล้วนี้ เอ๊อ ฝ่าเท้าเราทำไมมันจึงเหมือนไฟเผาไฟลนอย่างนี้นะ แล้วก็เอาฝ่าเท้ามาดูจริงๆ ลืมเมื่อไร มาดู เอ๊ มันก็ไม่เห็นแตก เอามือลูบๆ อู๋ย เสียว คือมันบางพอแล้ว เอามือมาลูบๆ นี้เสียว นี่มันกำลังจะทะลุถึงเนื้อแล้วนั่น นี่ไม่แตกแต่มันเห็นอย่างนี้จะว่าไง ถ้ากิเลสไม่แตกก่อนอันนี้แตก อันนี้เราก็ไม่สงสัย ถ้ากิเลสไม่แตกก่อนฝ่าเท้าต้องแตก แต่นี้ไม่ทราบมันแตกไม่แตกกิเลสก็ดี แต่ถ้าได้ยินก็จะได้ยินตั้งแต่เสียงหมอนแตกของพวกขี้เกียจทั้งนั้นละ ถ้าได้ยิน เข้าใจไหม มันก็มีแง่ออกอยู่นะ
เรื่องธรรมกับเรื่องกิเลสมันมีกำลังเหมือนกัน ถึงขั้นธรรมมีกำลังแล้วอะไรผ่านไม่ได้เลยเรื่องกิเลส ขาดสะบั้นไปหมด เหมือนกับกิเลสมีกำลัง ธรรมะขาดสะบั้นไป ล้มระนาวๆ นี่กิเลสมันก็มีกำลัง ธรรมมีกำลัง เมื่อเสริมให้มีกำลังมีได้ด้วยกันทุกทาง พระพุทธเจ้าจึงนำมาสอนโลก ถ้าเป็นไปไม่ได้พระพุทธเจ้าจะไม่สอนโลกเลย เพราะไม่มีใครฉลาดแหลมคมเกินศาสดา สอนให้อยู่ในความพอดีกับสัตว์ที่จะอุตส่าห์ขวนขวาย ให้พากันอุตส่าห์พยายามก็แล้วกัน วันนี้ก็มีเท่านั้นละมั้ง ไม่พูดอะไรมากนักละ พูดเท่านั้นแหละ
(เวลาภาวนาลมหายใจรู้สึกไม่มี รู้สึกมีแต่ตรงกลางอกอย่างเดียว) ถูกต้องแล้ว ให้รู้อยู่กับลมที่สงบนะ ให้สติรู้อยู่ตรงนั้น เมื่อมันสงบละเอียดแล้วค่อยกระจายความรู้นี้ออกมาสู่ร่างกาย คือใจมันละเอียด ผ่องใส แล้วเอากระแสของจิตที่ละเอียดผ่องใสนี้ กระจายออกมาดูความสกปรก ส้วมถานเต็มตัว แล้วมันจะกระจ่างออกไป ดูเรื่องร่างกาย เวลามันสงบละเอียด จิตของเราจะคิดจะอ่านอะไรได้หมด คือละเอียดอย่างหนึ่งไม่อยากคิด การคิดเป็นการฝืนความละเอียดนั้น เราก็ไม่ต้องคิด ถ้ามันละเอียดด้วย คิดได้ด้วย ก็มาพิจารณาข้างบนข้างล่างกรรมฐาน เข้าใจไหม
(มันสว่างข้างในเหมือนพระอาทิตย์) ไม่เป็นไรละ มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ให้มองดูจิตของเราให้ดี ความสว่างยิ่งจะกระจายออกไป (แล้วเห็นบริเวณแห่งมนุษย์แห่งสัตว์) เออ ถูกต้อง แต่ยังไม่ถูกจังๆ เห็นบริเวณนั้นบริเวณนี้ แต่บริเวณเหล่านั้นไม่ใช่กิเลสตัวเป็นภัยต่อเรา ให้เข้ามาเห็นตัวนี้ กิเลสมีมากมีน้อยให้ย้อนเข้ามาดูกิเลสตัวนี้ ให้มันเห็นละเอียดยิ่งกว่านั้นเข้าไป แล้วความทุกข์ทั้งหลายจะเบาลง ๆ เพราะกิเลสตัวสร้างทุกข์เบาลง ๆ เข้าใจเหรอ อันนั้นเป็นอาการอันหนึ่ง ( แต่ว่าไม่ใช่บริเวณวัดป่าบ้านตาด) อะไรช่างมันเถอะ เราเข้าใจทันทีเลยแหละ เรื่องเข้าใจเพราะฉะนั้นจึงรีบประมวลอันนั้นเข้ามาให้มาดูความละเอียด คือกิเลสละเอียดมากอยู่ในใจนะ ให้เข้ามาดูอันนี้อีก มันจะคิดปรุงเรื่องอะไร นั่นแหละมันจะออกตรงนั้น เรื่องรัก เรื่องชัง เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องพอใจไม่พอใจจะขึ้นจากที่นี่ ให้ดูที่นี่เข้าใจเหรอ อันนั้นก็ดูมันไปซิ มันไม่ไปไหนละอันนั้น แต่ตัวนี้ลึกลับกว่านั้นนะ เข้าใจเหรอ ให้ดูอันนี้ มีอะไรอีกล่ะ
(แล้วก็รู้สึกตัวเบา) มันก็เบาละ ถ้าลงจิตได้เบาแล้วกายมันเบาของมันไปเอง เพราะฉะนั้นผู้ภาวนาบางรายที่ถูกกับจริตนิสัย การภาวนาตัวลอยขึ้น ลอยจากพื้น ไม่เป็นแต่เรื่องหลวงปู่เสาร์นะ พระปัจจุบัน ฆราวาสปัจจุบันนี้ก็เป็น แต่ไม่เป็นเรื่องจำเป็นอะไรมากนักท่านจึงไม่ได้นำออกมาพูดสิ่งเหล่านี้ เขาขึ้นเรือเหาะสูงกว่าเราอีก ก็ยังมีได้ จึงไม่จำเป็น เป็นวิสัยของโลกธรรมดา วิสัยของจิตที่โลกเอื้อมไม่ถึงนี้สำคัญมาก ให้จิตเบา จิตเบากับกิเลส ไม่ใช่จิตเบากายเหาะขึ้นนะ มันต่างกัน จิตเบากายก็เบาเหาะขึ้นนี้เป็นประเภทหนึ่ง จิตเบา กิเลสเบา ทุกข์เบา นั่น ต่างกัน เข้าใจ
(จิตเบาอย่างนี้แล้วก็เหมือนกับไม่มีตัว ไม่มีตัวแล้วก็รู้สึกอิสระ) เวลามันเป็นอย่างนั้นจิตมันไม่ได้ไปสนใจกับกายแหละ มันว่างของมันไปหมด มันไม่สนใจ เอาละถูกต้อง ( ตัวเบา ปรากฏลมอย่างเดียวลมวิ่งไปวิ่งมา) เออ เอาละ ให้มันรับทราบอยู่ในวงนี้ละ รับทราบอยู่นี้นะ ให้รู้อยู่ในวงลม แล้วก็เข้ามาสู่จิต จิตเป็นฐานที่ตั้งแห่งความละเอียดและความอัศจรรย์ทุกอย่าง จะอยู่ในจุดนี้หมด เพราะฉะนั้นเวลามันแสดงอะไรขึ้นมาจึงอย่าไปด่วนกังวลมันมากยิ่งกว่าการสั่งสมหรือบำรุงกำลังให้ดี แล้วมันจะขึ้นของมันเรื่อย ออกของมันเรื่อย เข้าใจไหมล่ะ ถ้าเราไปตื่นเงาเสีย อันนี้ขาดการบำรุง ดีไม่ดีผิดได้ ถ้าถืออันนี้เป็นสำคัญมากกว่า ต้นลำถือเป็นสำคัญมากกว่ากิ่งก้านว่างั้นเถอะ บำรุงลำต้นให้ดีกิ่งก้านมันจะแตกแขนงของมันออกไป บำรุงลำต้นคือจิตเอาสติจับ ปัญญาคอยสังเกตพิจารณาความเคลื่อนไหว เข้าใจเหรอ มีอะไรอีก
(ความร้อนออกจากร่างกายเหมือนต้มกาน้ำ ออกไปจากทางพวยกานั่นละครับ) ออกไปไหนช่างหัวมันเถอะ ไฟอยู่ในเตามันยิ่งร้อนกว่านี้ เอาละนี้มันออกจากด้านจิตตภาวนามีทุกแบบนะเรื่องภาวนา เพราะฉะนั้นจึงว่าใจพิสดารมากนะ บอกแล้ว อะไรจะพิสดารยิ่งกว่าใจ เวลาใจได้มีธรรมเข้าเป็นเครื่องมือแล้วมันจะปราบทุกสิ่งทุกอย่างไป อะไร ๆ ไม่เคยรู้เคยเห็นมันจะเป็นของมันขึ้นมา ที่เป็นไม่ได้เพราะกิเลสตัวมืดบอดมันกำไว้อย่างนี้ อะไรดีหมดเรื่องของกิเลส คือเป็นของเลว ๆ นั่นแหละ ดีไปหมดเพราะกิเลสพาดี ทีนี้พอซักอันนี้ออกฟอกอันนี้ออก ทีนี้ธรรมพาดีมันต่างกันนะที่นี่ ธรรมพาดีตีกิเลสออก กิเลสพาดีตีธรรมลง มันต่างกัน เอาละนะ ไปภาวนาอีกนะ ไป
อย่างนี้ซิฟังซิ นี่ละเรื่องภาวนามันจำเป็นขึ้นมาตามนิสัยของแต่ละคน จะไม่เหมือนกันนะ จึงว่าพิสดารมาก เป็นไปตามนิสัย ถ้ามีครูมีอาจารย์คอยแนะ ๆ ไม่ค่อยผิดพลาดแหละ ถ้าเป็นไปโดยลำพังเจ้าของมีผิดพลาดได้ เพราะทางไม่เคยเดินสิ่งไม่เคยรู้ ผิดพลาดได้ อย่างยาย บ้านแกอยู่หนองผือ จิตองค์ไหนเป็นยังไง ๆ แกดูแกรู้หมด ฟังซิ เทวบุตรเทวดามาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น แกดู ๆ ตลอด แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแกก็มาถามท่าน แต่ท่านไม่ค่อยพูดมากนะ กลัวแกจะลืมตัวไป เรารู้ทันที ก็มีแต่ตอบรับกัน อันนั้นเป็นอะไรเป็นยังไงอย่างนั้น ท่านก็บอกชื่อ เช่นอย่าง ท้าวมหาพรหม แกบอก อุ๊ย.เหลืองอัศจรรย์มานี่ สุดท้ายนี้อัศจรรย์กว่าเพื่อน แต่งสีอย่างนั้น ๆ มา อันนั้นคืออะไร อันนั้นท้าวมหาพรหม แน่ะ ท่านพูดเท่านั้นละไม่มากนะ แต่ท่านไม่เสริมนะ เรื่องความรู้อย่างนี้ท่านไม่เสริม ท่านจะหมุนเข้าแต่กิเลส นั่นละเห็นไหม เพราะเหล่านี้เป็นกิ่งก้านมันแตกของมันไปเองไม่เห็นมีปัญหาอะไร มีเท่านั้นละ ยายกั้งแกรู้หมด ว่าหนองผือนี้ โหย สว่างหมดเลย ญาท่านเป็นที่ ๑ ครอบโลกธาตุ นอกนั้นก็สว่างเป็นดวง ๆ อยู่ในหนองผือ ฟังซิ อันนี้อะไรมันก็เข้ามาหาเรื่องของเราที่ว่านะ
โยม ท่านห้ามหลานท่านอย่าไปบอกใคร
หลวงตา นั่นซิ ไม่ให้ไปบอกใครว่างั้น นั่น เห็นไหมล่ะ แกกับเราเคยพูดกันเมื่อไร ไม่เคยพูดกัน เวลาแกมาหาท่านเราก็นั่งแอบอยู่ข้าง ๆ ท่าน คอยฟังทุกกิทุกกีนะ แกพูดอะไรกับท่าน ท่านตอบอะไรแกนี่ เราจะจับทุกระยะเลย ไม่เคยคุยกับแกนะ แต่เวลาแกมานั่งปั๊บ หลวงปู่มั่นพอเสร็จแล้วแกก็มานั่งปั๊บ มาเล่าภาวนา อาจหาญนะ ผึงผัง ๆ เลย ตามนิสัยของแก แต่ไม่เคยคุยกันกับเรา จนกระทั่งหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้วไปเผาศพที่วัดสุทธาวาส ปีนั้นปีพระวัดร้างว่างั้นเถอะน่ะ เราขึ้นไปอำเภอวาริชภูมิไปถ้ำแล้ว เตรียมพร้อมแล้วที่จะไปจำพรรษาที่นั่น กับท่านเพ็งนี่แหละ นี่แหละที่เขามาเล่าให้ฟังถึงสภาพวัดป่าหนองผือ โอ๊ย.สลดสังเวช ชื่อทิดผานจำแกได้ แกอยู่บ้านหนองกุงทางไปวาริชภูมิ เมื่อวานนี้ก็ไปบ้านหนองผือมา ไปเห็นสภาพหนองผือ โอ๊ย.สลดสังเวชเหมือนบ้านร้างเหมือนวัดร้างแกว่าอย่างนั้น เพราะเหตุไร นี้แกก็เล่าให้ฟัง
แต่ก่อนพระนี่เหลืองอร่ามเลย มาจากทิศใต้ทิศเหนือไหลเข้าไหลออกตลอด ไปคราวนี้เงียบมีพระอยู่นั้นหลวงตา ๒-๓ องค์ เป็นหลวงตาวัดนั้นแหละ คือบ้านนั้นแหละ มีเท่านั้น แล้วประชาชนญาติโยมเหมือนบ้านร้างแกว่า ยุบยอบไปหมดเลย สลดสังเวช พอแกว่าอย่างนั้นมันสะเทือนใจเราแล้วนะ ผึงเลยหากไม่พูด เฉย นั่งฟังแกพูดอยู่นั้น ไม่ถามไม่ตอบแกสักคำเดียวนะ นั่น คิดดูซิน่ะ มันเต็มในหัวอกหมดแล้ว ว่าวัดป่าหนองผือเหมือนวัดร้าง โอ้โห วัดนี้เป็นวัดที่มีบุญมีคุณมากมายขนาดไหน ชาวบ้านเขาทำบุญให้ทานสละทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตายไม่ว่า ทีนี้พอหลวงปู่มั่นมรณภาพไปแล้วกลายเป็นวัดร้างบ้านร้างไป มันเป็นไปได้เหรอ เราต้องกลับไปจำพรรษาที่หนองผือ ตัดสินใจแล้วนะนั่นน่ะ แต่ไม่เคยตอบ ที่แกพูดอะไรไม่ตอบเลยนะ เพราะเรื่องราวทุกอย่างมันสะเทือนใจมาก นี่ละถึงได้ปุ๊บปั๊บพอตื่นขึ้นตอนเช้าฉันจังหันเสร็จแล้ว ไป เพ็งเตรียมของ
หลวงปู่บุญเพ็ง ไปไหน
หลวงตา จะไปหนองผือ
หลวงปู่บุญเพ็ง เอ้า ไปหนองผือยังไง
หลวงตา ก็จะไปจำพรรษาที่นั่น เห็นไหมทิดผานมาพูด เฒ่าทิดผานพูดเมื่อวานได้ยินไหม แกก็นิ่ง ก็ได้ยินด้วยกัน เขานั่งคุยอยู่บนถ้ำ เราไปอยู่ได้ ๒-๓ วันจะจำพรรษาที่นั่น ก็มาเลยที่นี่ พอมาถึงแล้วก็ไม่เคยคุยกันเลย ยายกั้งนี่เรียกหลานชายมากระซิบ ไอ้พุธ กูจะกระซิบมึงนะมึงอย่าไปบอกใคร นี่ละมันขบขัน ก็อย่างนั้นละ มันถามใครเมื่อไรมันเป็นเองมันเห็นอยู่ในจิต มึงอย่าไปบอกใครนะ กูจะพูดมึงโดยเฉพาะ นี่หลวงปู่มั่นล่วงลับไปแล้ว ท่านมหาบัวมาแทนนี้ พ่อตายพ่อยังนะพุธนะ แกก็บอกไปหมดอะไร ๆ อันเดียวกันหมดขึ้นเลย มึงอย่าไปบอกใครนะ ก็อีตานั้นแหละมาบอกมากระซิบเรา เราเลยไม่ลืมนะ บอกไม่ให้บอกใครแล้วมันมาบอกกับเรานี่ เราเลยไม่ลืมเรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น แล้วหลานชายคนนี้เป็นผู้รับบาตรส่งบาตรท่านตลอดเวลา ทีนี้เวลาเราไปที่นั่นแกก็รับบาตรส่งบาตรเหมือนยายแกกระซิบแกนั่นแหละ เป็นอย่างนั้น ไปละ
ชมการถ่ายทอดสดทุกวัน ได้ที่
|