เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
เรียนธรรมแต่เพื่อโลก
วันนี้ท่านเจ้าคุณวัดโพธิฯ จะพาพระเณร ประชาชนด้วยท่า มาดูเหมือนตอนบ่ายโมง จะพาพวกนั้นมาฟังเทศน์ ตกลงเอาศาลานอกถึงจะพอกัน ศาลานี้พระนั่งจะไม่พอแล้ว ประชาชนต้องไปหานั่งอยู่ตามป่า แต่ป่าสมัยทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เรียกว่าป่าทุกวันนี้บกพร่อง แต่ก่อนป่าแถว ๆ นี้สมบูรณ์ สมบูรณ์อะไร ก็มีต่อมีอะไรอยู่ตามนั้น พวกแตนพวกต่ออยู่ตามนั้น เดี๋ยวนี้มันหมดแล้วแหละ สมมุติว่าประชาชนมามาก ๆ ไม่มีที่นั่ง แอบไปนั่งในป่านี้ก็จะไม่มีอะไรได้เกาบ้าง เข้าใจไหม คือต่อแตนไม่มี เราระลึกได้ไม่ลืม นี่ต้นอะไรเขาเรียกต้น เป็นป่าทั้งนั้นอยู่รอบศาลานี่แต่ก่อน เดี๋ยวนี้มันโล่งหมดแล้ว มันเป็นคนละโลก ป่ารอบศาลา ต่อมันมาทำรัง โหย ขนาดนี้ ทำอยู่ข้าง ๆ แม้แต่พระยังไม่เห็น พระก็ไม่เห็น หมาก็ไม่เห็น
ที่จะมาเป็นพยานยันกันก็คือว่า พระท่านล้างบาตร มันมีโอ่งอยู่นั้น ล้างบาตรแล้วสาดโน้นสาดนี้ ท่านเองท่านก็ไม่รู้ว่ามีต่อทำรังอยู่ป่ากระจั๋งกระแจ๋ง ท่านไม่รู้ หมาก็ไม่รู้ เข้าใจไหม นี่ทำไมถึงว่าหมาก็ไม่รู้ เวลาพระท่านสาดน้ำล้างบาตรนี้ไป สาดเข้าไปในป่า หมาจะไปหาเก็บกิน ไปแย่งอาหารกันในป่า กัดกันในป่า กัดใส่รังต่อ ต่อซัดเอานี้ฟังเสียงร้องลั่น วิ่ง นั่นเห็นไหม หมาก็ไม่เห็นพึ่งเห็นเดี๋ยวนั้น ฟังเสียงลั่นเลย โห เลยไม่ทราบว่าตัวไหนแพ้ตัวไหนชนะ เพราะต่อรังใหญ่มันยกขบวนมาเลย ก็ไปชนมันทั้งรัง มันก็เอาใหญ่ เสียงหมาร้องแง็กงัก ๆ อยู่ตามนี้ กลางวี่กลางวันยังร้องอยู่นะ คือตัวไหนอยู่ตรงไหน คือมันไม่ได้เข้าไปบ้าน มันไปหาเก็บอาหารกินอยู่นี้ ตัวไหนอยู่ที่ไหนร้องแง็ก ๆ คือพิษมันแสดงเมื่อไรมันก็ร้อง เข้าใจไหม เสียงแง็กงัก ๆ อยู่ตามนี้
นี่เราไม่ได้ติดต่อเขา ถ้าจะเอาต่อเอาแตนมาไว้ข้างศาลานี้ มันก็จะเปิดเผย มันเห็นมันก็จะไม่ไปซิ วันนี้จะเอาศาลาหลังนั้น คนมากจะพอ หลังนี้ไม่พอ เพียงพระเท่านั้นก็เต็มหมดแล้ว เราเคยเห็นแล้วพระเต็มหมดเลย จังหวัดนี้มันทุกอำเภอนะ เต็มหมดเลย กะว่าตอนบ่ายโมง ถ้าธรรมดาแล้วก็ตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนวันพระ แรมแปดค่ำ ตอนบ่ายโมง ทุก ๆ ปี แต่ปีนี้มีการเทศน์ที่บ้านหนองใหญ่-หนองตูม เสีย เลยเลื่อนมาวันนี้ เมื่อวานนี้เทศน์ที่นั่น วันนี้เลื่อนมาที่นี่ ที่มีแปลกอยู่ระยะนี้นะ ในวัดนี้แต่ก่อนไม่เคยขาดนะ คือเขามาอยู่ด้วยความร่มเย็นของเขาพวกสัตว์ อย่างผึ้งหลวงนี่ ต้นยางปีนี้ดูเหมือนประมาณสัก ๔๐ มันมีประจำ อย่างน้อยปีละ ๓๐
นี่ก็พวกเก่าแหละ พอเขาเลี้ยงลูกของเขาโตแล้วเขาก็ไป พอถึงฤดูแล้วเขาก็กลับมา ก็มาเข้าที่เก่า ต้นไม้ต้นเก่า คือมันปลอดภัย มันแปลกอยู่ที่ว่าต้นไหนเคยเข้าเคยอยู่ต้องไปต้นนั้น ต้นอื่นไม่ไปนะ มันก็แปลกอยู่ เช่นอย่างในวัดนี่ ต้นยางมีตั้งหลาย ๆ ต้นไม่ไป ไปอยู่ต้นนั้นแหละ ต้นเคยอยู่ ปีนี้ดูว่าถึง ๔๐ รัง ผึ้งหลวง นี่ก็ดูเหมือนจะยังไม่หมด เพราะหน้านี้เป็นหน้าที่หมดแล้ว ตั้งแต่เดือนพฤษภาไป เขาเลี้ยงลูกโต แก่แล้วก็พาลูกเขาไป เลี้ยงเป็นรุ่น ๆ รุ่นนี้แก่มาแล้ว รุ่นนั้น ๆ พอสมควรเขาก็เลิกราไป
จะเริ่มมาตั้งแต่เดือนกุมภา ผึ้งหลวงเริ่มแต่เดือนกุมภา มีนา เมษาเต็มที่ พอพฤษภานี้เรียกว่าแก่ ถ้าเป็นผลไม้ก็แก่ มันเลยมิถุนามาแล้ว นอกจากพวกที่มาล่า ๆ ก็อยู่ล่า ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภา มีนา ตั้งแต่สร้างวัด เขาอยู่อาศัยมาตลอดตั้งแต่สร้างวัดมา มีอยู่ทุกปี เป็นแต่เพียงว่าบางปีมาก บางปีน้อย มีทุกปี ต้นอื่นก็มีบ้างไม่มาก เรียกว่าจรมาอย่างงั้นแหละ ต้นยางมีต้นละ ๒ รัง ๓ รังก็มี เป็นบางปีนะ แต่ต้นที่เขาเคยไปทำเรียกว่าทุกปีเลย อย่างวัดเจดีย์หลวงก็ยังมี ตอนที่เราไปเราเห็นรังผึ้ง อ๋อ นี่ก็พวกรุ่นเก่า ตอนที่เราอยู่วัดเจดีย์หลวงก็เห็นมี นี่ก็มีมาเรื่อย ๆ ต้นยางต้นนั้นยังไม่ตาย เพราะเขาสืบทอดกันมาเรื่อย ๆ
ที่นี่ที่มากก็คือว่า มากทั่วๆ ไปหมายถึงพวกต่อ มีอยู่ทั่วไปในวัด แต่เขาไม่ได้ทำรังต่ำ ๆ เหมือนนี่นะ ทำอยู่สูง ๆ ที่ไหนที่น่าทำไม่ว่าสูงว่าต่ำเขาก็ทำ แต่ส่วนมากมักจะทำสูง อย่างพวกที่มาทำอยู่ที่นี่ มันต่อยหมานี่ โอ๋ย เสียงลั่นเลย หมาก็ไม่เห็น คนก็ไม่เห็น พระไม่เห็น มันอยู่ในพุ่ม จนกระทั่งวันมันต่อยหมาแล้วถึงได้เห็น โอ๋ มันหาที่หลบซ่อนดีนะทำรัง หมากัดกันไปชนเอาซิ ชนมันแตกทั้งรังเลย ซัดหมา หมาเลยไม่มีตัวแพ้ตัวชนะ เสียงลั่น แล้วกลางวี่กลางวันยังร้องแง็ก ๆ งัก ๆ เจ็บ พิษของมันจะออกเป็นระยะ ๆ นะ โห ต่อนี่ปวดมากนะ บรรดาพวกแตนพวกต่อเรานี้เคยหมดแล้วแหละ เพราะฉะนั้นถึงรู้ชนิดไหนมันปวดมากปวดน้อย รู้
อย่างที่อยู่หน้ากุฏิเรานี่ เราพาเด็กไปตอนบ่ายสี่โมง เถาวัลย์มันมาพันทางเราไป เราพาเด็กไป เถาวัลย์เล็ก ๆ แต่มันพะรุงพะรังลอดไปลำบาก ก็เลยบอกเด็ก เด็กอายุไม่ถึง ๑๔-๑๕ ปีนะ ต่อมันทำรังอยู่นี่ เราก็ไม่เห็น เด็กก็ไม่เห็น เถาวัลย์มันพะรุงพะรัง เด็กเลยไปตัดเถาวัลย์ จับดึงนี้มันไปกระเทือนรัง มันแตกออกมาซิ ต่อยเด็ก เด็กร้องกรี้ดเลย เรามองเห็นต่อเข้า พอเห็นต่อ มันเป็นช่อง ปัดเด็ก เราปัดเด็กไป เรายืนดันอยู่นั่นเลย โอ๋ย ฟาดหมดรังเลย คือถ้าปล่อยให้ไปต่อยเด็กนี่ ดีไม่ดีตายได้ วันนั้นเด็กดูว่าถูกต่อยตัวหนึ่งหรือสองตัว เป็นไข้ เด็ก ไอ้เรานี้ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งตีสองค่อยสงบ หมดเลยหลัง เรียกว่ายกรังใส่เราเลย เรายืนดันช่องนี้ไว้ไม่ให้มันเห็นเด็ก รังมันอยู่นี้มันก็ซัดเรา เราปล่อยเลย เฉย เอาเต็มเหนี่ยวเลย สองหน มันเอาเราจนพระร้องโก้ก ๆ เรายังเฉยอยู่นะ อย่างงั้นละเหตุผล ฟังซิ
ทางนี้ก็ไม่ทราบพระมาดูข้างหลัง โหย หมด แผ่นหลังนี้หมดเลย มันต่อยจุดไหนเป็นจุดแดงๆ ฟาดทั้งหัวทั้งอะไรหมดเลย จนเป็นไข้กับที่เลยนะ ขึ้นมาก็นอนไข้เลย มันเอาอย่างหนัก ตีสองค่อยสงบลง ตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็นถึงตีสอง ตั้งเท่าไร ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมงมั้ง ฤทธิ์ของมัน ก็มันหมดรังใส่เรา นี่ครั้งหนึ่ง ครั้งหนึ่งอยู่หนองผือ อันนั้นเขาเรียกแตนเหลือง โอ๊ย ปวดมากนะ รองต่อลงมา ทั้งรังนี่ก็ดี ฟาดเราทั้งรังเลย พระอยู่ข้างหลังร้องวี้ดว้าด ๆ คือแตนมันรุมเรา เราเฉย คือหามไม้ออกไปจะไปทำที่ล้างเท้า ฝนตกมันเปียก เห็นท่านปรารภว่าถ้ามีที่นี่ก็จะไม่เปียกนะ มาถึงที่ล้างเท้าแล้วฝนก็หยุด ถ้ามีที่มุง ท่านว่างี้ นั่นละเราถึงพาพระไปเอาไม้มา ไม้ต้นเสานะ
ทีนี้เวลาจะหามเสาขึ้น เรากับพระหามเสา พระอยู่ข้างหน้า เราอยู่ข้างหลัง นี่รังแตนอยู่นี้ เถาวัลย์มันเกี่ยวโยงกับต้นเสา พอเรายกต้นเสา เถาวัลย์มันจะไปเหนี่ยวกันกระเทือนรังแตน พระเอาเสาขึ้นบ่าแล้ว หันหลังให้เรา พอเรายกขึ้นใส่บ่ามันก็ผึงมาเลย ถ้าสมมุติว่าเราโดดลงนี่ พระดีไม่ดีไม้ทับตายเลย นั่นละตรงนั้นละ รักษาชีวิตของพระ พระไม่รู้นะองค์ข้างหน้า แตนฟาดเรานี้หมดรัง จนพระอยู่ข้างหลังร้องโก้กเก้ก ๆ เราเฉย พอออกไปแล้วบอกให้พระท่านปลงลงดูซิมันเป็นยังไง มันแตนต่อยเรา ปลงลงไม้ มาดู โอ้โหย รังยาวขนาดนี้ หมดรังเลย อันนี้สองหนเรา
อันนี้ก็รู้สึกว่าเป็นไข้ย่อม ๆ เหมือนกัน มันเอาหมดนะ แต่ต่อนี่ โหย เอาเต็มที่เป็นไข้เลย ถ้าหากว่าเราวิ่งหนีเด็กตาย ไม่สงสัย ตาย มันจะเอาทั้งรัง ตายเลยเด็ก พอรู้ว่าเป็นต่อเท่านั้น มันเป็นช่อง เรายืนดันนี้เลย ไม่ให้มันไปโน้น ให้มันซัดเรา เด็กก็รอดไปได้ นี่เรียกว่าตายละไม่สงสัย เพราะต่อ สำหรับเราไม่เป็นไรละ สองหนนี้มันยกรังใส่เลยทั้งต่อทั้งแตน เราจึงคิดเหมือนกันเวลาพวกนี้มันมักง่วงนอน เอาเถาวัลย์ไปผูก เอาต่อเอาแตนไปแขวนไว้ เถาวัลย์มาไว้ทางจงกรม มันเดินเซ่อซ่า ๆ ไปเกาะ เสียงมันจะลั่น เราจะหัวเราะอยู่กุฏินี้เฉยเลยละ ได้ยินแต่เสียงลั่น เราจะวิ่งมาถาม เสียงอะไร ๆ เราก็จะทำท่า มันเสียงอะไรจอแจตะกี้นี้เหมือนหมากัดกัน ทางนั้นก็จะแผดว่า.หมากัดกันยังไง ต่อทั้งรังก็จะว่า เขาไม่รู้ว่าตัวนี้ใส่คาถาให้เขา เป็นอย่างงั้นนะ ทีนี้มันหมดเสียแตนต่อแถวนี้ พวกนี้จึงได้สงบ สนุกนอนกันนะ ไม่งั้นเอาหลงทิศไปละ
มันหายไปไหนหมดนะต่อ ไม่มีเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนมีอยู่ทั่วไป หายไปไหนหมด แตนก็ไม่ค่อยมี มีเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่แตนที่เป็นพิษ มีเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องสัตว์ที่ต่อยปวดที่สุดคือต่อเป็นที่หนึ่ง แตนเหลือง แตนสูด มันมีหลายประเภท ต่อยปวดมากนะ เราระลึกถึงเณร เณรอยู่ข้างหลังเรา นี่ละไปในป่านี้ ทีนี้ปลวกซิมันเต็มอยู่พื้นดิน ปลวกใหญ่เสียด้วยนะ มันเอาหลงทิศไปเลยแหละ เณรมาข้างหลังเราไม่เห็นซิ ทีแรกเราก็ไม่เห็น มันกัดเราปั๊บพอมองลงไป โถ พอพ้นจากปลวกนี้แล้ว เราก็ทำท่ายืนมอง ไอ้เณรนี่เซ่อ ๆ ซิ มา ดูอะไร มันยังเซ่ออยู่นะ ปลวกเต็มพื้นดินนั่นน่ะ เราเห็นปลวกแล้วมันกัดเราแล้ว พอกัดเราก็ถอยไปยืนทำท่ามอง เณรมา ดูอะไร.คือมันยังไม่กัดเณร เณรยังไม่เข้าไปถึงจุดใหญ่มันอยู่แถวนั้น ดูนี่นะ ทำท่า ดูนี่นะ ทำท่า เสียงแว้ มันมีช่องเดียวเราก็ไปยืนขวางอยู่นั้น ฟังเสียงร้องแว้ วิ่งกลับหลัง ไสเราไปแต่เราไม่ไป เณรไม่มีทางไปก็วิ่งกลับ เป็นอะไรเณร เราว่า โอ๊ย ปลวก เป็นอะไรเณร เรายังว่าสบายอยู่นะ ดัดมันสักหน่อย มันเพียงเท่านั้นไม่ได้เจ็บมากอะไร ตลกดีๆ นี่ละ
นี่ขบขันนะ ถ้าไปเจออย่างงั้นเอาละ เราเคยเจอแล้ว เช่น แตนต่อย ปั๊บ แตนต่อยแล้วปั๊บเรารู้แล้วเราเฉย มันฟาดข้างหลัง เราไม่ไปนี่ เราทำท่า คือไม่ให้รู้ว่าแตนต่อยเรา เราไม่ดิ้น เราเฉย เอาหลายครั้งในวัดนี้ ส่วนมากที่ดัดพระเณรในวัดนี้มีแต่เราคนเดียวแหละดัด หรือไปเวลามันต่อย มันตื่นซิ ดิ้นให้รู้ว่าแตนต่อย ไอ้เรานี้เฉย ปั๊บเข้าไปรู้แล้วว่าเป็นแตน เอาละที่นี่มีท่าแล้ว ซัดข้างหลัง ฟังเสียงดิ้นป่าเลิกไปเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีนะมันไปไหนหมด นี่พูดเรื่องแตนให้พวกนี้ฟัง เรื่องแตนเรื่องต่อ วัดนี้มีมาก แต่สำหรับผึ้งไม่เป็นไรละ อยู่ข้างบนเขาไม่ลงมา ถ้าแหลว(เหยี่ยว) ไม่ไปทำไมเขา เขาไม่ทำ
เมื่อวานนี้คนก็มากนะ ไปเทศน์เมื่อวาน คนมีมากเหมือนกัน ทองก็ได้ตั้ง เมื่อวานนี้นะ วัดหนองตูม-หนองใหญ่ วันที่ ๒๐ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๓ กิโล ๕๒ บาท ๔๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๗๖๒ ดอลล์ เงินสดได้ ๑,๖๖๐,๗๙๐ บาท ที่ไปเทศน์เมื่อวานนี้ เทศน์มันหมด ไปเทศน์ที่ไหนๆ มันก็หมดทั่วประเทศไทย เมื่อวานนี้วัดหนองใหญ่-หนองตูม มองหาอะไรไม่เห็น เลยคว้าเอานิทานออกมาซิ นิทานสองนิทานเมื่อวานนี้ เมื่อวานใครไปก็ได้ยินนิทานอันนี้ งัดออกมาให้พวกนั้น ฟังเสียงหัวเราะแก้กๆ นี่ละถ้าไปช่องไหนมันมีนิทานควรจะเหมาะกับสถานที่ใดมันก็งัดออกมา ที่ใดเหมาะกับที่ใดก็งัดออกมาที่เหมาะๆ นะ นี่ก็เหมาะกับที่นั่นเลยงัดออกมาเมื่อวานนิทาน สองกลอนเมื่อวาน ฟังเสียงหัวเราะแก้กๆ ทางนี้ก็เล่าไปเรื่อย ทางนั้นหัวเราะแก้กๆ
กรุงเทพมันฟังไม่ได้เรื่องแหละ พวกนี้พวกอ่อนภาษา พวกนี้เขาแก่ภาษาพอแย็บมันรู้ทันทีหัวเราะแก้ก เมื่อวานนี้เห็นพวกแก่ภาษา มันเป็นยังไงใส่พวกแก่ภาษาสักหน่อย พอใส่ฟังเสียงหัวเราะกันลั่นเมื่อวานนี้ เล่านิทานให้พวกนั้นฟัง นานๆ มีทีหนึ่ง ไปช่องไหนพอจะมีนิทานเข้ากันได้กับสถานที่ใดก็งัดอันนั้นออกๆ ไปอย่างนั้น
วันนี้ตอนบ่ายโมงท่านเจ้าคุณจะมา ส่วนมากเทศน์สอนพระนะ พระจะมามากแหละวันพรุ่งนี้ ทุกปีนี้เต็มหมดศาลาออกข้างนอกเต็มหมด ปีนี้เลยจัดศาลาใหญ่เสีย เอาศาลาใหญ่พอดี เทศน์สอนพระ เราสงสารพระ ทุกวันนี้ศาสนาเหลวไหลมากทีเดียว นี่ละภาษาธรรมเป็นอย่างนั้น พระเณรเราเหลวไหลมากเหมือนไม่มีคัมภีร์วินัย ทั้งๆ ที่เรียนชั้นสูงเป็นมหาเปรียญขึ้นไป พวกนี้เรียกว่าเป็นผู้ศึกษาด้วยดีมาเรียบร้อยแล้ว ถึงขั้นมหาแล้วไม่สงสัยแหละ กี่ประโยคๆ ไม่สำคัญนะ กิเลสมันเหนือทุกอย่าง เพราะเราเรียนธรรมเรียนได้แต่ความจำ กิเลสมันไม่ได้สนใจกับความจำ กิเลสมันเป็นความจริงของมันล้วนๆ คือเป็นกิเลสวันยังค่ำ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เป็นกิเลสบนหัวใจสัตว์ล้วนๆ อันนี้ไม่มีใครแตะมันได้
เรียนมากี่ประโยคก็เป็นแต่เพียงความจำ ไม่ใช่ความจริงที่จะถอนกิเลสได้ เพราะฉะนั้นกิเลสจึงไม่กลัว กิเลสจะกลัวเฉพาะผู้ที่เรียนเพื่อปฏิบัติ ถ้าเรียนเพื่อปฏิบัติแล้วไม่ว่าหญิงว่าชาย ใครเรียนได้เป็นคติเตือนตัวเอง เอาไปแก้ไขดัดแปลงตัวเอง นี่เรียกว่าเรียนเพื่อปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เมื่อเรียนเพื่อปฏิบัติ เราปฏิบัติแล้วผลแห่งการปฏิบัติก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้กิเลสเบาบางลงไปจากปริยัตินั้น นี่เป็นสายทางของศาสดาโดยแท้ ตามที่ท่านแสดงไว้ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียน ศึกษาแบบแปลนแผนผังของอรรถของธรรม ของบาปของบุญ ของนรกสวรรค์ มรรคผลนิพพาน จะอยู่ในแปลนคือศาสนธรรมนั้นหมด
เช่นอย่างท่านแสดงไว้ว่า พระไตรปิฎก ปิฎก ๆ นั้นแปลว่าภาชนะ ไตรแปลว่าสาม พระไตรปิฎก แปลว่า ภาชนะสาม คือรับรองพระสูตร ๑ พระวินัย ๑ พระปรมัตถ์ ๑ ทั้งสามนี้ท่านเรียกปิฎก พระไตรปิฎกคือภาชนะสำหรับรับรองธรรมทั้งสามประเภทนี้ ทีนี้เวลาเรียนมาแล้วก็ได้แต่ชื่อ กิเลสประเภทต่างๆ ตลอดธรรมะประเภทต่างๆ ได้แต่ชื่อๆ ไม่ได้เห็นตัวจริง ไม่ได้ตัวจริง จึงไม่เกิดผลอะไร ยิ่งเรียนเพื่อชั้นเพื่อภูมิด้วยแล้วยิ่งเหลวไหลมากไปเลย ถ้าเรียนเพื่อปฏิบัตินี้ถูกต้องตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ สมัยนี้มันกลับตรงกันข้าม มันเอาธรรมพระพุทธเจ้านั้นแหละมาทำลายพระพุทธเจ้า มาทำลายศาสนธรรมให้แหลกเหลวไปหมด ผู้ที่เป็นนั้นไม่ใช่ผู้ไม่ได้เรียน เรียนมากยิ่งกว่าผู้เขาไม่เป็นเสียอีก แต่ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามที่ศึกษาเล่าเรียนมา ความรู้การเรียนมาเหล่านี้กลายเป็นอาวุธของกิเลสตัณหาทำลายตัวเองและสังคมทั่วๆ ไปหมดเห็นได้อย่างชัดเจน
วัดๆ ท่านตั้งไว้สำหรับผู้บำเพ็ญ ละชั่ว ทำดี รักษาศีลรักษาธรรม บำเพ็ญภาวนาให้รู้บาปรู้บุญ สรุปความแล้วว่า ละชั่ว ทำดี เป็นวัดที่ไหนเป็นสถานที่ร่มเย็นที่นั่นๆ นี่วัดในครั้งพุทธกาลตั้งเรื่อยมา แล้วก็เป็นวัดมาเรื่อยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ถ้ามีวัดที่ไหนความร่มเย็นตามความรู้สึกของคนที่เชื่อต่อศาสนามานาน ก็เป็นความร่มเย็นในจิต พอทราบที่นั่นมีวัดที่นี่มีวัด นี่เป็นสิ่งที่ฝังลงในใจของสัตว์ ให้มีความสงบเยือกเย็นไม่กำเริบเสิบสาน คำว่าวัดจึงเป็นธรรมที่สำคัญตั้งแต่ครั้งพุทธกาล แล้วทีนี้วัดนั้นกลายมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้วัดมันกลายเป็นวัดส้วมวัดถาน พระส้วมพระถานไปหมดทั้งเขาทั้งเรา จะตำหนิใครตำหนิไม่ได้นะ
คัมภีร์มีอยู่มันไม่สนใจ เข้าไปอยู่ในวัดในวาบวชเป็นพระเป็นเณรผ้าเหลืองคลุมหัว หัวเขาหัวเราเรียบร้อยแล้วอาศัยชาวบ้านหากิน เรียนตั้งแต่เรื่องโลกเรื่องสงสารติรัจฉานวิชาซึ่งไม่มีในศาสนานี้เลย แล้วเอาเข้ามาเหยียบย่ำทำลายศาสนาวัดวาอาวาส เหยียบพระเหยียบเณรให้กลายเป็นพระส้วมพระถาน วัดส้วมวัดถาน ทุกสิ่งทุกอย่างกิริยาในวัดกลายเป็นส้วมเป็นถานเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด ผิดกันกับวัดครั้งพุทธกาลอยู่มาก เพราะผู้ที่ครองวัดกลายเป็นผู้สร้างฟืนสร้างไฟ ส้วมถานสกปรกโสมมขึ้นใส่ตัวเองและวัดวาอาวาสไปหมด แล้วทีนี้วัดกับบ้าน อย่างน้อยก็เรียกว่าพอๆ กัน มากกว่านั้นวัดเลวกว่าบ้าน เพราะชาวบ้านเขาไม่กล้าตำหนิติเตียนพระที่ทำผิด ข้ามเกินพระธรรมวินัย สร้างความชั่วช้าลามกอยู่ในวัดในวา ไม่มีใครไปสนใจ พระจึงสนุกสร้างส้วมสร้างถาน สร้างฟืนสร้างไฟภายในวัด วัดเลยกลายเป็นขุมนรก เผาพระเผาเณร เผาหัวใจประชาชน ใครไม่อยากจะเข้าไปใกล้วัด ผู้ที่มีความดีความชอบ เป็นผู้มีสมบัติผู้ดีอยู่ในใจบ้าง ไม่อยากไปวัดเช่นนั้น วัดไหนก็ตามเป็นเช่นนั้นแล้วเหมือนกันหมด นี่พูดตามหลักความจริงของวัดของพระของเณร
เลอะเทอะไปหมดนะเวลานี้ไม่ว่าที่ไหน พูดด้วยความเสมอภาค ไม่หนักทางโน้นไม่เบาทางนี้ พูดตามหลักความจริง เวลานี้วัดเรากลายเป็นส้วมเป็นถานเป็นฟืนเป็นไฟ หาความสงบเย็นใจแก่ผู้ไปเกี่ยวข้องไม่ได้ แม้ที่สุดผู้เข้าไปบวชเป็นพระก็กลายเป็นผู้ไปสั่งสมความชั่วช้าลามกไปหมดเวลานี้ เรียนตั้งแต่วิชาทางโลกทางสงสารที่ศัพท์พุทธศาสนาท่านให้ชื่อว่า ติรัจฉานวิชา วิชาของสัตว์โลกผู้ยังพอใจในการติดการข้องพัวพันในกองทุกข์กิเลสตัณหา ที่เป็นเครื่องผสมกันให้เกิดกองทุกข์กันอยู่ทั่วไป
วิชาเหล่านี้ท่านไม่เอาเข้าไปยุ่งในพุทธศาสนา บอกไว้ชัดเจนในตำรับตำรา ครั้งพุทธกาลท่านก็เรียน ไม่ใช่มาเรียนอย่างทุกวันนี้ แต่ท่านเรียนเพื่อศึกษาเพื่อปฏิบัติจริงๆ ปริยัติไม่ค่อยมีมาก ปฏิบัติมีมากในครั้งนั้น แต่ก็มีเหมือนกัน ท่านบอกไว้แล้ว มีเรียนแต่ท่านเรียนเพื่อจะออกปฏิบัติ ไม่ได้เรียนเพื่อจะเตร็ดเตร่เร่ร่อน เพื่อเอาชื่อเอาเสียงเอาอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสมาเหยียบศาสนธรรม มาเหยียบตัวเองคือพระเณรให้แหลกเหลวไปอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ ซึ่งมีอยู่ทั่วไป วัดไหนไม่มีติรัจฉานวิชาซึ่งเป็นวิชาของสัตว์ตัวรุ่มร้อนเข้าไปแทรกอยู่แล้ว วัดนั้นเหมือนว่าไม่ใช่วัดเต็มภูมิเสียแล้วเวลานี้ นี่กลับตรงกันข้ามอย่างนั้นนะ
แล้วศาสนาว่าเจริญ มันเจริญตั้งแต่ความจดความจำ เรียนมาเพื่อกิเลส กิเลสเอาเป็นเขียงเหยียบขึ้นของกิเลสไปหมด ไปหาดูเอาถ้าว่าเราอุตริน่ะ การเรียนก็เรียนมาด้วยกันดังที่เห็นนี้แล้ว ตำรับตำราคัมภีร์ไหน ตามีหูมีก็ไปค้นมาดูได้ด้วยกัน ผิดถูกดีชั่วทำไมจะไม่รู้คนเรา แต่ความเลอะเทอะหูหนวกตาบอด ไม่เหลือบมองในศีลในธรรมที่เป็นสารประโยชน์ มันมีอยู่มากเวลานี้นะ เลอะเทอะไปหมด ไม่สนใจปฏิบัติเลย เรียนโก้ๆ เก๋ๆ เป็นเรื่องของกิเลสไปทั้งมวลในพระในเณรในวัดวาอาวาสแต่ละวัด แล้วดีไม่ดีใครไปเป็นเจ้าอาวาสนั้นละผึ่งผายลายตาละนะ เบ่งเทียว เอา ขยับเข้าไปใครไปอยู่ที่นั่น ภาคไหนไปอยู่ที่นั่นเป็นใหญ่เลยเทียว นี่ละมันเป็นโลกไปหมด คนอื่นภาคอื่นไปอยู่ด้วยไม่ได้ มันหวงเหมือนเสือหวงซาก
พระบวชมาเป็นเสือหวงซากมีหรือ หลักพุทธศาสนาใครบวชเข้ามา ตั้งแต่วงศ์กษัตริย์ลงมา ไม่มีการถือชาติชั้นวรรณะ ถือภาคนั้นพรรคนั้นพวกนี้อย่างสมัยกิเลสมาครองวัดครองวา ครองพระครองเณร ครองอรรถครองธรรม เหยียบย่ำทำลายศาสนาให้แหลกเหลวไปอย่างทุกวันนี้ ทุกวันนี้มันมีจริงๆ น่าอุจาดบาดตามากนะ ทำไมพระเราจึงหยาบเอาเหลือเกิน หยาบยิ่งกว่าประชาชนทั้งหลายเสียอีกนะ ไม่มียางอายเลยพระเรา แล้วมาอาศัยชาวบ้านเขาหากิน แล้วก็มาเบ่งตัวเอง โอ๋ย น่าทุเรศนะพระเรา ไปหาดูเอา ให้ดูเจ้าของก่อนจะดูผู้อื่น เราเป็นยังไงดีหรือไม่ดีเราดูเรา แล้วดูคนอื่นเอามาเทียบเพื่อหาเหตุหาผลเพื่ออรรถเพื่อธรรม นำผลประโยชน์เข้ามาสู่ตัว เอ้า ดู คัดเลือกเอา มันมีทั้งดีทั้งชั่วมีมาดั้งเดิมเรื่องดีเรื่องชั่ว พระก็ไม่ใช่จะมาเลวตั้งแต่บัดนี้ เคยเลวมาแล้ว ท่านจึงเรียกว่า พระอลัชชีๆ พระไม่กลัวบาป เป็นพระประเภทนี้เอง
ในครั้งพุทธกาลอลัชชีก็ประเภทที่ไม่ละอายบาปนี่แหละ แล้วมันก็ติดกันมาอย่างทุกวันนี้ ยิ่งมากขึ้นนะ สร้างวัดสร้างวาขึ้นที่ไหน สร้างบาปสร้างกรรมสร้างส้วมสร้างถาน สร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้ในวัดในวาไป พูดแล้วมันน่าอายนะหัวโล้นๆ ด้วยกัน มันไม่อายเลย พวกนี้มันด้านพอ มันไม่ได้สนใจในธรรมนะ เรียนธรรมแต่เพื่อโลก เพื่อให้กิเลสตัณหาเอาไปขยี้ขยำแหลกหมด มันไม่ได้เรียนธรรมเพื่อปฏิบัติธรรม ละความชั่ว บำเพ็ญความดีนะ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ มันเหลวแหลกแหวกแนวไปหมด สุดท้ายคำว่าศาสนาพุทธก็มีแต่ชื่อ ผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนาพุทธทั้งฆราวาสและพระนี้แทบจะไม่มีแล้วเวลานี้ มีแต่ความเลอะเทอะเพราะอำนาจของกิเลสมันหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ
ตัวที่สำคัญมากที่สุดก็คือตัวราคะตัณหา ตัวนี้เหยียบแหลกไม่ว่าพระว่าเณรว่าฆราวาส เหยียบได้หมดทีเดียว ตัวนี้อุจาดบาดตามาก แต่ในสายตาของผู้ดี เรียกว่าตัวนี้ตัวอุจาดมาก แต่สำหรับผู้หน้าด้าน โอ๋ย ชอบมากนะ อันนี้ละตัวทำลาย เวลานี้แหลกเหลวไปหมด การแก้ก็ไม่มีอะไรแก้ยากยิ่งกว่าธรรมชาตินี้ ตัวนี้แก้ยากที่สุด บรรดากิเลสที่มีในหัวใจของสัตว์โลกยกนิ้วให้ว่าราคะตัณหาเป็นที่หนึ่ง เป็นตัวออกสนามทีเดียว ตัวนี้จะเป็นตัวออกสนามออกสู่แนวรบ เหยียบย่ำทำลายธรรมไม่มีเหลือเลย แหลกๆๆ ในหัวใจของผู้ปฏิบัตินี้แหละดูเอา มันเหยียบอยู่ที่หัวใจ
นี่ละที่ท่านภาวนาหาอุบายวิธีการฝึกทรมานตนเองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น อดนอนบ้าง ผ่อนอาหารบ้าง อดอาหารบ้าง วิธีการใดที่กิเลสตัวนี้ละตัวสำคัญที่มันจะเบาลงบ้าง ต้องหาวิธี เพราะตัวอื่นตัวใดไม่แสดง เป็นบริษัทบริวารของราคะตัณหาทั้งนั้น ตัวนี้จะออกได้ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน นั่งอยู่เฉยๆ มันก็ขึ้น ขึ้นอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก เอ้า เปิด มันมีอยู่ที่หัวใจของทุกคน อายไปหาอะไรอายกิเลส ให้กิเลสเหยียบธรรมเหรอ อายธรรมเหยียบหัวกิเลสซิถึงถูก มันเหยียบหัวใจสัตว์เป็นยังไง ทั้งๆ ที่เราภาวนาอยู่นี้ เรื่องของราคะตัณหานี้มันจะยิบแย็บๆ อยู่ในหัวใจ พอมันได้โอกาสแล้วเหยียบแหลกเลยๆ ทั้งๆ ผู้ปฏิบัติที่จะฆ่ามันอยู่ ถึงได้เห็นกันนะ มันยังไม่กลัว มันไม่ได้กลัวนะ เพราะฉะนั้นจึงได้เอากันหนัก
ตัวนี้ละตัวฝึกอย่างหนักอย่างแรง ตัวนี้เอง เช่นอย่างฉันจังหันมากๆ ฉันมากเป็นยังไง ร่างกายมีกำลัง ถ้าร่างกายมีกำลังก็แสดงว่าเครื่องมือสมบูรณ์แล้ว เครื่องมือของกิเลส ราคะตัณหามันอาศัยอันนี้แหละเป็นเครื่องมือ มีกำลังแล้วเรื่องคิดราคะตัณหานี่ มันจะสั่งสมตัวของมันถี่ยิบเข้าไปในหัวใจของผู้บำเพ็ญนั้นแหละ ทีนี้เวลาตัดอันนี้เข้าไป อันนี้ก็จะเบาลง ธรรมะก็ก้าวขึ้นได้ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ก้าวขึ้นได้ๆ เพื่อเหยียบหัวอันนี้ลง ถึงไม่ขาดก็ให้ยุบยอบลงไป นี่วิธีการที่ท่านฝึกทรมาน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมากทีเดียว ให้ขึ้นเวทีเสียก่อนถึงจะรู้ ไม่ขึ้นเวทีไม่รู้
ใครก็ว่าตัวเป็นกรรมฐานๆ กิเลสตัวนี้มันหัวเราะอยู่ในหัวใจ ให้สูยกมาทั้งโคตรสูมาเป็นกรรมฐานไม่พอเหยียบกูแหละ กูเอาตีนเดียวฟาดมึงหงายหมาไปเลยละพวกนี้ มันพูดได้อย่างจังๆ มันไม่ได้กลัว มีกี่อุปัชฌาย์มาบวชก็เถอะ ตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้นฟาดเท่านี้อุปัชฌาย์พัง ลูกศิษย์ลูกหาพระกำลังบวชนั่งหัตถบาสพังไปตามๆ กันหมด อุปัชฌาย์ใหญ่เหยียบเข้าใจไหม ตัวนี้ใหญ่โตมากเห็นได้อย่างชัดเจน เวลาพิจารณาตัวนี้หนักมากทีเดียว อะไรๆ ต้องคอยดูตัวนี้ตลอดๆ มันหากมียิบแย็บๆ ในจิต มันไม่ได้ออกทางอวัยวะละ มากกว่านั้นออก มากกว่านั้นลากเจ้าของให้ตกเหวตกบ่อสดๆ ร้อนๆ ไปได้ไม่สงสัย ตัวนี้รุนแรงตลอด เวลาท่านฝึกทรมานท่านถึงดูตัวนี้ตลอด
พอตัวนี้สงบใจจะสบายนะ ใจเริ่มเป็นทุกข์ ตัวนี้ละก่อเรื่องขึ้นมา พอตัวนี้ค่อยสงบลงไปใจจะสงบสบาย สงบลงไปๆ ด้วยอำนาจแห่งการพิจารณา ท่านจึงยกให้อสุภะอสุภังนี้เป็นยาปราบอันสำคัญมาก ตีอันนี้ลงไปให้มันเบาลงๆ จากนั้นก็หนักมือขึ้น พอได้กำลังแล้วทีนี้หากรู้ได้ด้วยตัวเอง อันนี้จะหนักขึ้นๆ ทีนี้มันหมอบนะ เวลาเอาจริงๆ แล้วมันหมอบ หมอบจนกระทั่งที่ว่า โถ ไม่ใช่กูนี่เป็นอรหันต์แล้วเหรอ ความจริงคือกิเลสมันนอนตอนนั้น ทางนี้ก็มาออกท่าออกทาง แหม กูนี่เป็นอรหันต์น้อยๆ แล้วมัง ตัวเทวทัตมันนอนหรือมันไปไหนนะ สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมา โถ หลบไม่ทัน ลากโคตรลากแซ่วิ่งหนีไม่งั้นไม่ทัน มันจะเอาทั้งหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ เห็นไหมล่ะกิเลสตัวนี้
เอ้า เปิดให้ฟัง ตัวนี้ตัวเป็นภัยต่อหัวใจของสัตว์โลก ภาคปฏิบัติฟัดตัวนี้ลงไปแล้วแสนสบาย พอตัวนี้สงบ เอา ถึงขั้นอนาคามี ตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว นี่ละความกดถ่วงจิตใจหมด คือเรื่องกดถ่วงจิตใจให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน และอ้อยอิ่งที่สุดคือตัวนี้นะ ตัวดึงลง ทางนี้ก็จมลงๆ หนักมากที่สุดคือตัวนี้เอง เวลาซัดตัวนี้ให้เบาลงจิตค่อยฟื้นขึ้น พอฟาดขั้นราคะตัณหาขาดสะบั้นออกจากใจแล้ว จิตไม่มีกดถ่วง เหาะลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ดังที่พระอนาคามี พระอนาคามีเป็นยังไงท่านไม่กลับมาเกิดอีก มีกี่ชั้นในพรหมโลก มี ๕ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้เรียงลำดับไว้สำหรับผู้บำเพ็ญที่มีความช้าความเร็วต่างกัน ถ้าผู้ที่ผึงเดียวถึงอกนิฏฐาเลยก็ผ่านไปเลย ไม่ต้องมาเรียงลำดับชั้น เรียงลำดับกิเลส เรียงลำดับธรรม ต่อสู้กันไป เวลาตายแล้วไปขั้นนั้นๆ
ไม่ตายก็ตาม รู้ จิตพอได้ระดับ เช่น สอบได้ ๕๐% นี่ได้ระดับพระอนาคาแล้ว สำหรับผู้ดำเนินอย่างเชื่องช้าต้องไปเป็นลำดับ พอได้อนาคาแล้วทีนี้ฝึกซ้อมอันนี้ขึ้นไป ค่อยก้าวขึ้นไป ๆ จากอวิหาก็ อตัปปา แล้วก็เคลื่อนสู่ สุทัสสา สุทัสสี คือฝึกซ้อมเข้าไป ละเอียดเข้าไป ถึง อกนิฏฐา อันนี้หมดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่เริ่มต้นมาแล้วจิตดวงนี้จะไม่ถูกกดถูกถ่วงลง จิตดวงนี้จะค่อยเบาเหมือนสำลี เบาขึ้นๆ ฝึกซ้อมนี้เกรียงไกร รวดเร็ว นี่ท่านว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ขั้นนี้ไปละเป็นอัตโนมัติ มีแต่จะก้าวให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียว คำว่าถอยไม่มี ดูในหัวใจเจ้าของ เวลาถูกกดถ่วงคืออะไร พออันนี้ขาดลงไปแล้วไม่มีอะไรกดถ่วง ดีดขึ้น มันก็รู้ ดีดขึ้นละเอียดแค่ไหนๆ ก็รู้ จิตยิ่งหมุนเข้าเรื่อยๆ ฟาดถึงขั้นอกนิฏฐานี่จะเต็มภูมิ พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปเต็มภูมิแล้ว ผึงถึงนิพพาน อยู่ในหัวใจ ถามอะไร พระพุทธเจ้าไปหานิพพานอยู่ตลาดไหนมาสอนพวกเรา ตลาดหัวใจท่านเอง กิเลสก็อยู่ในตลาดเดียวกัน ได้นั้นแล้ว รู้นั้นแล้วมาสอนได้อย่างเต็มภูมิ
นี่พูดถึงเรื่องการภาวนาเพื่ออรรถเพื่อธรรม อันเป็นทางของพระเรา บวชมาเพื่อมรรคเพื่อผล มรรคผลนิพพาน ต้องมีการชำระสะสางอย่างนี้เป็นลำดับลำดาไป ผลที่จะติดตามไม่ต้องสงสัย ขอให้มีภาคปฏิบัติติดตามกันไปเถิด ผลจะต้องเป็นไปโดยลำดับลำดา แต่ไม่มีใครปฏิบัติ เอาแต่ความจำมาเป็นมรรคเป็นผล ให้สำเร็จเป็นโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ไปอย่างนี้ โสดากับโสเดามันก็ไปด้วยกันนั่นแหละ เดาเรื่อย อรหัตอรหันต์ก็หันไปทางโน้นหันไปทางนี้ มันไม่ไปหันตามทางพระพุทธเจ้า มันหันไปแบบนั้น หันใส่นรกอเวจี หันใส่รูปนั้น หันใส่รูปนี้ไป นี่หันของกิเลส เข้าใจไหม หันของพระพุทธเจ้าฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไป ไม่ถามหานิพพาน ถามหาอะไร
นี่เราพูดถึงเรื่องศาสนา เวลานี้เมืองไหนที่จะมากยิ่งกว่าเมืองไทยเราพระเณร แล้วเทียบกันเข้า พระเณรมากควรจะมีความสุขความสงบเย็นใจมากสำหรับผู้บวช และประชาชนผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับพระ กลับกลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันได้สบายเลย เวลานี้ทั้งพระทั้งโยมเอาไฟเผากันตลอด ความหมายของศาสนาไม่มี เพราะกิเลสเข้าไปตีตลาด อยู่ในหัวใจพระ อยู่ในกิริยาของพระ ของวัดของวาของประชาชน คละเคล้ากันก็เหมือนไฟได้เชื้อ เผากันแหลกๆ ไปอย่างนั้น ศาสนาไม่มีความหมายเพราะไม่ได้สนใจปฏิบัติ พากันพินิจพิจารณา
สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในหัวใจใครเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ การสอนนี้ก็สอนเพื่อให้แก้ แก้ตามขั้นตามภูมิของตัวเอง เราพูดถึงเรื่องศาสนาเสื่อม-เจริญ เวลานี้มันเสื่อมเอามากทีเดียว พระไม่รู้จักอาย เป็นพระหน้าด้านมีมาก ที่มีหิริโอตตัปปะมีน้อยมากทีเดียว นี่ละหิริโอตตัปปะเป็นผู้จะทรงมรรคทรงผลตามทางของศาสดา ผู้เป็นอลัชชิตา หาความละอายไม่ได้นี้ นรกหลุมไหนมันเหมาได้หมด มันเหมาของมันแล้วยังไม่แล้ว มันยังจองนรกนี้ไว้เพื่อให้โคตรของมันมาตกนรกอีก พวกพระเปรตพระผี พระอลัชชิตา ไม่มียางอาย มันไปจองนรกไว้แล้วยังไม่แล้ว มันยังจองไว้เพื่อโคตรเพื่อแซ่พวกหน้าด้านของมันอีก ให้แหลกไปตามๆ กันหมดนะ
เอาดู พูดนี้ธรรมะเป็นของกลาง นำมาปฏิบัติทุกคน ผู้เทศน์นี่ก็ฟังธรรมปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ฟังอรรถฟังธรรม พร้อมที่จะปฏิบัติตามธรรมทุกด้านเหมือนกัน เราไม่ได้เหนือใครทั้งนั้นแหละ เราเอาธรรมเหนือโลกสงสารมาสอนพวกเรา พวกหูป่าตาเถื่อน มันน่าทุเรศนะ ยิ่งมากนะเวลานี้พระ มาทุกแง่ทุกมุม ทำลายไปทุกแห่งทุกหน สุดท้ายพระต่อพระดูกันก็จะดูไม่ได้ มันขวางหูขวางตาดูไม่ได้ ดูสัตว์สาราสิง ดูเด็กดูเล็กดูคนทั่วๆ ไปดูได้ตามขั้นตามภูมิ ไม่มีอะไรแสลงใจแสลงตา ดูสัตว์ก็น่ารักไปเสียประเภทของสัตว์ สัตว์ประเภทไหนก็น่ารักไปตามประเภท เด็กประเภทไหนน่าดู คนทั่วๆ ไปดูก็มีความเมตตาเสมอหน้ากันไปเรื่อยๆ ไม่สะดุดใจเหมือนดูพระดูเณรตัวอลัชชิตา หาความละอายบาปไม่ได้ นี้ดูไม่ได้เลย ขวางหูขวางตาขวางใจขนาดไหน พระดูพระจนดูไม่ได้ ผู้หนึ่งปฏิบัติอยู่ ผู้หนึ่งทำลายให้เห็นต่อหน้าต่อตา มันเข้ากันได้สนิทยังไงพระเราน่ะ นี่ละที่ว่าดูพระมันดูไม่ได้ เพราะอย่างนี้เอง
เพราะพระเป็นผู้รักษาธรรมวินัยด้วยกัน แต่ทำไมมาทำลายหลักธรรมหลักวินัย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าต่อหน้าต่อตา ของผู้ที่เคารพกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลานี้ มันดูกันได้ยังไงคนเรา นี่ละมันเสียตรงนี้ โห มันน่าละอายชาวเมืองนอกเมืองนาเขาเหลือเกินนะ ไปไหนโอ่อ่าฟู่ฟ่าโก้เก๋ เป็นพระเจ้าชู้พระขุนนาง พระเจ้าพระนาย กิเลสครอบหัวมัน ขี้รดหัวมัน นี่คือกิเลสนั่นเองเป็นเจ้าเป็นนายเหยียบหัวพระ เจ้าของยังโอ่อ่าฟู่ฟ่า เป็นเหมือนว่ามีราชการงานเมืองใหญ่มากนะ หยิ่งมากนะ พระสมัยปัจจุบันนี้หยิ่งมากทีเดียว ลืมเนื้อลืมตัว ถึงขนาดหยิ่งจนไม่มียางอาย มันเป็นยังไงพระพวกเรา อยู่ในวัดป่าบ้านตาดนี่มีมากน้อยเพียงไร ให้หนีจากนี้ อย่าอยู่ในนี้นะ มันดูไม่ได้นะเวลานี้ ดูที่ไหนก็พอดูได้ แต่เวลามาดูพวกหัวโล้นๆ ผ้าเหลืองด้วยกัน มันกลับดูไม่ได้ มันหยาบเอานักหนาหรือมนุษย์เราแท้ๆ เป็นพระแท้ๆ ควรจะมียางอายบ้าง ทำไมจึงให้แสลงแทงตากันจนถึงขนาดดูกันไม่ได้มีอย่างเหรอ มันเลวขนาดไหนพระพวกเรานี้น่ะ
นี่วิธีท่านปฏิบัติ ต้องเอากันอย่างจริงอย่างจังแก้ไขตัวนี้ พอตัวนี้ขาดลงไปแล้วจิตดีดเลย นี่ละพระอนาคามีไม่กลับมาเกิดอีก คือตัวนี้เป็นมหาภัย ในบรรดากิเลสที่เต็มหัวใจสัตว์ ตัวนี้เป็นตัวเสนาบดีอันใหญ่โต อวิชชาเป็นกษัตริย์วัฏจักรครองอยู่ในหัวใจ มันไม่ได้ทำการทำงานอะไร เป็นแต่ว่าสั่งเสีย ส่งอุบายวิธีการต่างๆ ออกมาๆ ให้พวกนี้ออกสนามรบ พวกเสนาบดีใหญ่คือกามกิเลสราคะตัณหา ออกทำแบบหน้าด้านเลย พอตัวนี้ตายแล้วก็ยังเหลือแต่อวิชชา ไม่มีบริษัทบริวารก็ไม่มีอำนาจ เดี๋ยวมหาสติมหาปัญญาตามเข้าไปก็เผาแหลกไม่มีอะไรเหลือเลย ว่างหมดที่นี่
ความทุกข์เท่าเม็ดหินเม็ดทรายในหัวใจของผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่มี ว่างั้นเลย ไม่มีเลย ตั้งแต่วันกิเลสสิ้นซากลงไป กิเลสนั่นละตัวสร้างทุกข์ ต้นเหตุมันอยู่ที่นั่น พออันนั้นขาดลงไปจากใจ เป็นบรมสุขที่เลิศเลอสุดยอด เลยสมมุติไปแล้ว ให้พากันปฏิบัติ ไม่ได้มากน้อยอะไรก็ขอให้ได้ภาวนาทำใจให้สงบ อย่าให้มันเตลิดเปิดเปิงด้วยความคิดความปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเกินเหตุเกินผล ยับยั้งชั่งตัวไม่ได้เลย ตายจมนะชาวพุทธเรา เวลาคิดอ่านไตร่ตรองหน้าที่การงานก็ให้คิด เวลาที่จะคิดอรรถคิดธรรม หักห้ามความชั่วของตัวที่มันจะเผาตัวนั้น ก็ให้หักห้ามไม่ให้คิด จะพอมีที่แก้ภัย เหมือนโรคมียาแก้แล้วก็ยังพอเป็นไป อันนี้มีแต่กิเลสไม่มียาแก้ไม่ได้นะ ต้องมียาแก้ มันถึงจะค่อยดิบค่อยดีขึ้นไป เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ พอสมควรแก่เวลา
กฐินปีนี้วันออกพรรษาดูเป็นวันที่ ๑๐ ตุลา วันที่ ๑๑ เป็นวันเสาร์ นั่นละกฐินสำหรับวัดนี้ กฐินวันที่ ๑๑ ตอนเช้าเลย กรุณาทราบตามนี้ คือวัดทั้งหลายสายหลวงปู่มั่นจะรอวัดนี้อยู่ตลอดเวลา พอวัดนี้เคลื่อนปั๊บทางนั้นจะออกตามกันเลย นี่รออยู่จังหวะอันนี้ เราจึงกำหนดวันให้เสียว่า วันที่ ๑๐ เป็นวันออกพรรษา วันที่ ๑๑ ก็เริ่มทอดกฐินเลย จากนั้นไปแล้วบรรดาลูกศิษย์ลูกหาตามวัดต่างๆ ก็เอานี้เป็นรากฐานปึ๋ง แล้วต่อจากนั้นเรื่อย วันที่ ๑๑ ตอนบ่ายก็จะมีทั่วๆ ไปทอดกฐิน วันที่ ๑๒ ฟาดเต็มวันเลย จากนั้นก็กลับบ้านเลยกำหนดเอาระยะนี้เสียพอดีละ
โยม ขอโอกาสถามนิดหนึ่ง ถูกต่อถูกแตนต่อยนะค่ะ ว่ามันไข้ขึ้นนะค่ะ ยังไงถึงสงบ
หลวงตา โอ๊ย.มันหมดพิษมันแล้วมันก็สงบเอง ตอนพิษมันแรงไข้ขึ้นปัจจุบันเลยละ ก็มันหมดทั้งรัง พระมาดูข้างหลังเรานี้ คือมันต่อยตรงไหนมันจะเป็นจุดแดง ๆๆ หมดแผ่นหลังเลย ตามหัวก็มี มันเอาเต็มเหนี่ยวของมัน
โยม ใส่ยาด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ
หลวงตา ไม่ใส่ ไม่ใส่อะไรเลย ปล่อยเลยเทียว ก็เป็นไข้ตั้งแต่บัดนั้น ขึ้นกุฏิแล้วมันก็เป็นของมันเอง ไข้หลักธรรมชาติ ไข้พิษต่อต่อย จนกระทั่งตีสองจึงค่อยสงบลง ๆ มันสงบเองนะ ตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงตีสอง เขาว่าเด็กเป็นไข้ ถามเขามันต่อยกี่ตัว เห็นรอยมันต่อยสองตัว ต่อยเด็กสองตัว อายุ ๑๕ ปีเป็นไข้ได้ ต่อยเรานับไม่ได้เลย เป็นแผ่น ก็คือเรารักษาชีวิตเด็ก มันหากรู้ในสัญชาตญาณที่รับผิดชอบกันนะ ไม่ต้องบอกมันเป็นของมันเอง เพราะมันเป็นช่องเล็ก ๆ รังต่ออยู่ตรงนี้ พอไปจับปุ๊บมันก็กระเทือน แล้วมันแตกฮือออกมา ต่อยเด็ก พอเด็กร้องจี้ก มองดูมันเป็นต่อ เรายันนั้นเลย มันเป็นช่อง เราปัดเด็กด้วยนะ พอรู้ว่าต่อต่อยเด็ก เด็กร้องจี้ก มองดูเป็นต่อ เราก็ปัดหลังเด็กเลย เราก็ยืนดันไว้เลยนะ สุดฤทธิ์มัน สุดฤทธิ์เลย เราก็ยืนเฉยเลย เสร็จแล้วก็เดินออกมาอย่างสบายไม่มีอะไร เด็กไข้ เราก็ไข้
โยม พ่อแม่ครูจารย์ยังเดินสบาย
หลวงตา ตอบยาก ก็มันเป็นอย่างนั้น อย่างที่ว่าพระร้องอยู่ข้างหลัง เรายกไม้ขึ้นบนบ่า คือเราจะแบกเอง พระจะแบกเราไม่ให้พระแบก เราก็แบกเอง ยกขึ้นเถาวัลย์มันเกี่ยวรังแตน โอ๋ย ถูกเราก็พรึบออกมาก็ใส่ พระก็ร้องลั่น ท่านเพ็งแหละองค์หนึ่ง โอ้ แตน ๆ ลั่น เราเฉย พอออกมาเราบอกให้พระวางไว้นั้นก่อน มันเป็นอะไรแตนอะไรเราว่า เลยไปวางต้นเสา คือพระหันหน้าไปทางโน้นแล้ว ค่อนต้นเสายาวไปทางเรา เราแบกข้างหลังท่านแบกข้างหน้า ถ้าสมมุติว่าเราทิ้งไม้ ไม้ทับคอท่านตายจะว่ายังไง นั่นละเรื่องใหญ่ที่มันทำให้เฉยนะ พอรู้อย่างนั้นเราก็เฉย พระองค์นั้นไม่รู้นะว่าแตนต่อยเรา เพราะเราไม่มีอะไร จนกระทั่งไปโน้นบอกให้พระปลงไม้ลงก่อน มาดูรังแตนมันแตนอะไรว่าอย่างนั้นนะ
ชมการถ่ายทอดสดทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|