|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ทองครบ ๑๐ ตันแล้วพอ |
|
วันที่ 30 มิถุนายน 2545 เวลา 7:45 น. ความยาว 20.38 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | |
ค้นหา :
ทองครบ ๑๐ ตันแล้วพอ
ตั้งแต่มอบวันที่ ๑๑ เมษา ๔๕ ที่สวนแสงธรรมแล้ว หลังจากนั้นแล้วดูว่าได้ ๗๐ กว่ากิโลนะ เช้าวันนี้ได้ ๒๑ บาท ๑๘ สตางค์ เมื่อวานนี้ได้ ๓ บาท ๕ สตางค์ ไม่ขาดแหละอย่างน้อยวันละบาท ก็ของเด็กอีกเหมือนกัน วันละบาทเป็นพื้นฐานเอาไว้เลย
วันพรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว จะไปค้างที่ลำตะคอง ทางปากช่องคืนนึง เทศน์ตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ ๔ โมง เรากะว่าไปถึงโน้นประมาณไม่เลยบ่ายโมง ออกจากนี้ไปถึงโคราช ผ่านโคราชแล้วก็ไปถึงลำตะคอง ก็ประมาณบ่ายโมง ยังไงก็ไม่เลยบ่ายโมง แล้วบ่าย ๔ โมงก็เทศน์ที่นั่น พอตื่นเช้าวันหลังฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินทางต่อไปสวนแสงธรรม ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งวันจวนเข้าพรรษาจึงได้กลับมา ขึ้น ๑๔ ค่ำ นั่นเอง พอขึ้น ๑๕ ค่ำก็วันเพ็ญ จวนเข้าพรรษา เป็น ๒๒-๒๓ วัน
เวลานี้ทองคำเราก็ได้ถึง ๕ ตันกับ ๑๓๖ กิโลแล้ว ที่ว่า ๑๐ ตันเวลานี้ยังขาดไม่ถึง ๕ ตัน ลดลงไปเรื่อย ๆ เราจะพยายามให้ได้ ๑๐ ตัน พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบ นี้คือพูดเรื่องหัวใจของชาติไทยเรา ขอให้ทุก ๆ ท่านได้ฟังให้ถึงใจทุกคนนะ หลวงตานำพี่น้องทั้งหลายคราวนี้ไม่มีอะไรเหลือในหัวใจเลยนะ ชีวิตจิตใจมอบไว้หมดขาดสะบั้นไปเลย ด้วยเหตุด้วยผลในความเป็นธรรมแล้วจะออกทันที ๆ เราช่วยมาตลอดนี่เราก็มุ่งใส่ทองคำ ๑๐ ตัน เพื่อเป็นเครื่องหมายลบล้างความเลวของเราที่จะจมลงในทะเลเมื่อสามสี่ปีผ่านมานี้ ถึงขนาดหลวงตาร้องโก้กเลย นี่ละที่ได้ออกเวทีก็ดังพี่น้องทั้งหลายทราบ
ธรรมดาเราไม่เคยสนใจ ดีชั่วก็รู้อยู่ตลอด เรื่องของโลกของสงสารเขาทางบ้านเมือง เรารู้มาตลอด ๆ เพราะลูกศิษย์เรามีอยู่ทุกกระทรวง รู้อะไร ๆ ก็เข้าลิ้นชักๆ ไว้หมดเลย เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ทีนี้เวลาจำเป็นเข้ามานี้ก็กระเทือนใจมากทีเดียว ถึงขนาดที่ให้ลูกศิษย์เข้าไปค้นดูต้นตออันใหญ่หลวง ความได้ความเสียมีมากน้อยเพียงไรในเมืองไทยเรา ให้ไปค้นออกจากโน้นมาเลย ขนาดนั้นนะ พอไปค้นได้ต้นตอมันมาแล้ว ต้นเหตุมาแล้ว ทางนี้ก็ร้องเสียงดังโก้กเลยเทียวนะ มันกระเทือนใจมากทีเดียว มีแต่ทางจะจม มองหาที่ไหนไม่เห็นเลย เห็นตั้งแต่อุ้งเล็บของเขาที่เป็นนายหนี้ของเราเขาครอบอยู่ เรามันพวกเท่าหัวหนูนี่ เขากำปั๊บนี้หมดเลยชาติไทยของเรา ไม่ต้องใช้ด้วยปืนผาหน้าไม้แบบสงคราม นี้สงครามเศรษฐกิจ มันกระเทือนอันนี้ที่กระเทือนมากที่สุด
เลยต้องออกปาก เอ้า จะนำพี่น้องทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้ต่อไป อย่างไรก็เอาละ ตัดสินใจแล้วก็ออก นั่นละตั้งแต่นั้นมาแล้วเรียกว่าตัดสินใจแล้ว อย่างไรก็ไม่ถอยว่างั้นเลย จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ถอย ยังจะสู้กับทองคำ ๑๐ ตันอีกอยู่นะ นี่รออยู่โน้น การเทศนาว่าการนี้ถ้าธรรมดาเราหยุดแล้ว แต่นี้เมื่อมีทองคำ ๑๐ ตันเป็นหลักใหญ่อยู่นั้น หัวใจประชาชนก็อยู่ที่นั่น หัวใจเราซึ่งเป็นผู้นำก็อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงมีบ้างเป็นบางกาลเวลา จะว่าหมดเสียทีเดียว ทองคำที่มุ่งหมายเป็นสายโยงเกี่ยวกันกับเราอยู่นี้ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงยอมรับว่ายังมี แต่ว่ามีด้วยความจำเป็น จะให้เทศนาว่าการอย่างแต่ก่อนจริง ๆ ก็ไม่ได้แหละ พอทองคำถึง ๑๐ ตันเมื่อไรมันล้มเองลงเอง รออยู่ ๑๐ ตันแหละ ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบนะ เอากันจริง ๆ
สำหรับดอลลาร์เราอย่างไรเราก็ไม่สงสัยละว่าต้องได้ ๑๐ ล้าน เวลานี้ก็ร่วมเข้า ๗ ล้านแล้ว ยังอีก ๓ ล้านกว่าก็จะถึง ๑๐ ล้าน นี่ให้ไปพร้อมกัน สองอันนี้ให้ไปพร้อมกันเลย พอทองคำ ๑๐ ตัน ดอลลาร์ขาดเท่าไรหามาทันทีเลยเอาให้ได้ ๑๐ ล้าน จากนั้นก็ล้มไปเลย เพราะมุ่งอยู่ในจุดนั้นแล้วเวลานี้ มุ่งเท่านั้นเอง จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจด้วยกันทุกคน ให้เห็นน้ำใจของชาติไทยเรา เวลานี้พวกเราเป็นนักต่อสู้กับความจน ความจนมันท่วมท้นถึงขนาดพวกเราทั้งประเทศนี้จะจมไปด้วยกันเสียหมด เวลานี้ฟื้นขึ้นมาพอหายใจบ้างแล้ว เอาหายใจใหญ่เลยเทียวนะ เอาให้ได้ดังที่ว่านี้แล้วก็หายใจเต็มปอดละที่นี่ สบายไปพักหนึ่ง ให้กรุณาทราบตามนี้ก็แล้วกัน ต้องเอาจริงเอาจัง
ที่หลวงตารออยู่เพียงเท่านี้ละ เวลานี้ธาตุขันธ์มันอ่อนลงทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างมันปล่อยหมดแล้ว พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง โลกธาตุนี้มันปล่อยมาได้ ๕๐ กว่าปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยชีวิตร่างกายของเราซึ่งเป็นสมมุติอันสุดท้าย ที่มารวมอยู่ในหัวใจรับผิดชอบกับขันธ์ ๕ นี้เอง เป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับจิตใจผู้รับผิดชอบ นอกนั้นมันไม่ได้สนใจ มันปล่อยของมันหมด อันนี้ปล่อยก็จริงแต่ความรับผิดชอบยังมี ความประสับประสานระหว่างขันธ์กับจิตยังมีกันอยู่ตลอด นี่ละที่เรียกว่ามันกวน แต่เขาไม่ได้บอกเขากวนนะ หากเป็นเรื่องของเขาแสดงอยู่เท่านั้น แต่จิตเป็นนักรู้ก็ต้องรู้ เช่น หิวก็รู้ หิวกระหายก็รู้ อยากหลับอยากนอน อยากอะไรๆ ก็รู้ ๆ
ความที่มันแสดงขึ้นมาในขันธ์นี้จิตจะต้องรับทราบ ๆ นี่เรียกว่าสมมุติมารวมอยู่ภายในขันธ์แห่งเดียว ขันธ์เป็นผู้แสดงให้จิตซึ่งเป็นเจ้าของรับทราบ จึงรับทราบกันเป็นปรกติเลยคือขันธ์ พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่าย อะไร ๆ มีแต่เรื่องของขันธ์ต้องการ ขันธ์ดีดยังไงก็ปฏิบัติตามขันธ์ อยากนอน เอ้านอน พากินพาอยู่พาไปพามา นอนไป นั่นขันธ์แสดงให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย นี่เรียกว่าสมมุติอันสุดท้าย ทางโน้นหมดแล้วเข้ามาอยู่ในขันธ์ ขันธ์รวมตัวกันมีขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันดิ้นของมันอยู่ภายใน จิตซึ่งเป็นเจ้าของถึงไม่ยึดก็ตาม เป็นผู้รับทราบ มันก็ทราบของมันตลอดเวลา นี่ละสมมุติอันสุดท้ายมารวมอยู่ที่ขันธ์แห่งเดียว เมื่อลมหายใจขาดปั๊บเท่านั้น ขันธ์อันนี้สมมุติอันนี้เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย ถ้าว่าเป็นวิมุตติก็วิมุตติล้วน ๆ อนุปาทิเสสนิพพานก็ล้วน ๆ ไปเลย
เวลานี้ยัง สอุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ ๕ ยังแบ่งไว้ สอุปาทิเสสนิพพาน คือขันธ์ ๕ ยังแบ่งเอาไว้ ยังต้องได้รับผิดชอบ ถึงไม่ยึดไม่ถือก็รับผิดชอบ จึงเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ยังแบ่งเอาไว้อยู่ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน พออันนี้ขาดปั๊บลงไปก็หมดโดยสิ้นเชิงเลย คำว่าหมดอันนี้ก็คือ สำหรับจิตอันนี้เรียกว่าหมดความรับผิดชอบ เรื่องความหมดภาระความทุกข์ความลำบากอันนั้นไม่ต้องไปพูดถึงมันแหละ มันมาอยู่ในขันธ์นี้หมดแล้ว นอกนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลย โลกธาตุสามแดนโลกธาตุมีก็เหมือนไม่มี
เพราะอะไรถึงไม่มี จิตมันปล่อยหมด ต่อจากปล่อยแล้วก็ว่างหมดอีกด้วยนะ ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านเลย นี่ท่านเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าเราว่าเขาออกเสีย จะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชไปได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ นี่ท่านสอน พระโมฆราช ก็คือสอนเราทุกคน ทำจิตให้ว่างอย่างนี้แล้วจะเป็นแบบพระโมฆราชทั้งหมดเลย พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกที่ทรงทำโลกให้ว่างเปล่าไปหมด แล้วก็นำมาสอนพระโมฆราช พระโมฆราชก็ในนามลูกศิษย์ตถาคตเหมือนพวกเรานี้ ให้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่า เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วอะไรจะเข้ามาผ่านไม่มี ว่างไปหมดโดยหลักธรรมชาติ ไม่ใช่เวลานี้ว่างเวลานั้นมืดนะ ไม่ใช่เป็นกลางวันกลางคืนอย่างนี้ ว่าง อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา นั่นละจิตที่สิ้นสมมุติโดยประการทั้งปวงไม่มีอะไรสืบต่อแล้ว ว่างไปหมด
ทีนี้เวลาท่านยังทรงขันธ์อยู่ ก็เรียกว่า ขันธ์ ๕ นี้ยังผ่านอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน พออันนี้ดับพรึบลงไปแล้ว เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง เรียบไปหมดเลย ทีนี้ธรรมชาตินั้นเรียกว่า บรมสุขล้วน ๆ แหละ ไม่มีอะไรไปแบ่งสันปันส่วน ผ่านนั้นผ่านนี้คือขันธ์ หมดโดยสิ้นเชิง นั่นละตั้งแต่นั้นไปตลอดอนันตกาลเรียกว่า นิพพานเที่ยง คือความสุขที่เป็นบรมสุขของเรานี้เที่ยงแล้ว ไม่ต้องมีอะไรมาแบ่งสันปันส่วนอีกแล้ว แต่ก่อนมีแต่เรื่องสมมุติ สมมุติก็คือกิเลสเป็นตัวการ แยกอันนั้นเข้ามา เอาไฟนั้นเข้ามาเอาไฟนี้เข้ามา เผาเรื่องนั้นเผาเรื่องนี้ มีแต่กิเลสเผานะ ไม่มีอะไรเผา กิเลสเป็นตัวการสำคัญมาก มีละเอียดขนาดไหนจะเป็นเสี้ยนเป็นหนามเป็นผง เหมือนผงเข้าตา มีมากน้อยจะเป็นอย่างนั้น พอหมดโดยสิ้นเชิงแล้วจะไม่มีอะไรเหลือ เป็น สุญฺญโต โลกํ ไปเลย โลกว่างไปหมดคือว่างจากหัวใจ หัวใจปล่อยว่างจากการปล่อยวางหมด นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง แล้วเที่ยงตลอดอนันตกาลเลย
นี่ละคุณค่าแห่งความอุตส่าห์พยายามของพวกเราทั้งหลาย ที่แบกหามทุกข์อยู่ตลอดเวลา อยู่กินหลับนอนอะไร มีแต่เรื่องกองทุกข์ทับอยู่ตลอดเวลา แล้วสลัดอันนี้ออกเสียโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือแล้ว มีแต่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เป็นบรมสุข นิพพานเที่ยงคือธรรมชาตินี้เที่ยง ที่ไม่เที่ยงก็เพราะมีสมมุติเข้าไปเจือปน เมื่อสมมุติเข้าไปตรงไหน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็มีอยู่ในนั้นเสร็จ ไม่ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด จะมีอยู่ในนั้น พอกิเลสหมดโดยสิ้นเชิง ก็เรียกว่าสมมุติหมดแล้วโดยสิ้นเชิง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะไม่มีเข้าไปเกี่ยวข้องในจิตดวงนั้น ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง นั่นละความอุตส่าห์พยายาม เราทุกข์ยากขนาดไหน ทุกข์วันนี้วันหน้ามันก็มีสุข มันสับปนกันไป มันไม่ได้เที่ยงตลอดไปเหมือนนิพพานที่เป็นบรมสุขเที่ยงนะ
ไอ้ทุกข์มันไม่เที่ยง มันหมุนกันไปกันมา มันไม่เที่ยงมันก็เอาเรา เหมือนเราเป็นฟุตบอล มันเตะกลิ้งไปกลิ้งมา มันไม่เที่ยงก็เพราะถูกเตะ เข้าใจเหรอ ความทุกข์มันเตะไปโน้นเตะไปนี้ ทีนี้พยายามชำระ สิ่งที่จะแก้ความทุกข์ของกิเลสที่มันเตะไปโน้นไปนี้คืออะไร คือคุณงามความดี การทำบุญให้ทาน อย่าตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ใช่ของดี ตัดหนามกั้นทางตัวเอง อยู่โลกนี้ก็คับแคบตีบตัน ไปคบค้าสมาคมกับใคร ใครก็ไม่อยากคบค้าสมาคมเพราะคนขี้เหนียว ไปไหนคับแคบตีบตัน เงินถึงขั้นเป็นเศรษฐีก็ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม เพราะหัวใจตีบตันเสียอย่างเดียว ตีบตันอั้นตู้ไปหมดเลย จึงอย่าพากันสั่งสมเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว พอสงเคราะห์สงหาสงเคราะห์กันไป ศาสดาองค์เอกจนกระทั่งถึงนิพพานเที่ยง ออกจากการให้ทาน ไม่ได้ออกจากความตระหนี่ถี่เหนียวนะ
คนตระหนี่ถี่เหนียวอยู่โลกนี้ก็ตีบตันอั้นตู้ ไปโลกหน้าก็หาทางไปไม่ได้ มีแต่กองทุกข์เผาตลอดเวลา คนมีจิตใจอันกว้างขวางไปด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยทานการกุศลด้วยแล้ว อยู่โลกนี้เพื่อนฝูงก็มากนะ ถึงจะเป็นคนจนเขาไม่ได้รังเกียจนะ ขอให้มีน้ำใจกว้างขวางเสียอย่างเดียว เด็กเขาก็สงสารอย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย ยิ่งเป็นผู้ใหญ่รู้จักเดียงสาภาวะทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไปไหนมีจิตใจกว้างขวางเฉลี่ยเผื่อแผ่ มีความเมตตาสงสารซึ่งกันและกันรวมลงในคำว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้นแล้ว ย่อมเป็นผู้หวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่โดยดี ไม่ใช่เราจะอยู่โดดเดี่ยวของเรา เป็นเศรษฐีก็ยังต้องหวังความช่วยเหลือจากบริษัทบริวาร คนใช้ว่าไง ไม่มีคนใช้เป็นเศรษฐีไม่ได้นะ คนใช้เป็นผู้วิ่งเต้นขวนขวาย เศรษฐีออกทางด้านความคิดปัญญา คนใช้ออกทางด้านแข้งขาวิ่งตาม รวมแล้วก็ไปหนุนเศรษฐีให้เป็นเศรษฐีขึ้นมาได้ นั่น
คนเราหวังพึ่งกันตลอดเวลานะ ไม่ใช่ว่าอยู่โดดเดี่ยวได้นะ ไม่ได้นะ ต้องหวังพึ่งกันทั้งนั้น ผู้ใหญ่พึ่งผู้น้อย ผู้น้อยพึ่งผู้ใหญ่ ต่างคนต่างพึ่งกันด้วยความเห็นใจด้วยความเมตตาสงสาร จะเย็นทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย นี่ละเป็นอย่างนี้ อยู่โลกนี้ก็เย็น ไปโลกหน้าอำนาจแห่งกุศลศีลทานนี้จะเบิกกว้างไป ๆ เรื่อย ช่วยตลอดไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งการให้ทาน รักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา ซึ่งเป็นกุศลทั้งมวลรวมตัวกันแล้วเข้าสู่ใจ หนุนใจให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง
อย่าพากันตระหนี่ถี่เหนียว ศาสดาองค์เอก ทุก ๆ พระองค์ตำหนิทั้งนั้นเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว มันตัดหนามกั้นทางตัวเองให้เป็นคนจนตรอกจนมุม หาทางออกไม่ได้คือความตระหนี่ของตัวเอง ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้เห็นแก่ร่ำแก่รวย ครั้นสุดท้ายเหล่านี้มันก็มาเป็นไฟเผาเจ้าของ เพราะเป็นทางผิด ถ้าเป็นทางถูก มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่กันไปไม่ดูดาย ไปไหนเบิกกว้างเรื่อย ๆ จนกระทั่งเบิกกว้างสุดยอดถึงนิพพานเลย นี่ละให้พากันจับข้อนี้ไว้
ทุกข์ก็ทุกข์เถอะ เรื่องความทุกข์ความจนมีอยู่ทั่วโลกดินแดน เป็นเศรษฐีก็ทุกข์ ทุกข์คนละแบบนะ เศรษฐีไม่ทุกข์ด้วยเงิน แต่ทุกข์ด้วยหัวใจ พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้เราระลึกถึงเศรษฐีคนหนึ่งอยู่ที่สหรัฐ นี่ก็ฝรั่ง ฝรั่งก็เป็นลูกศิษย์ของเรานี่แหละมาเล่าให้ฟัง นี่ละเวลาไม่ลืมมันไม่ลืมอย่างนี้นะ ฝรั่งคนนั้นเงินเอาไว้ที่ไหนจนไม่มีที่ไว้ว่างั้นนะ แกก็เรียกว่าเป็นศาสนาหลักธรรมชาติของแกเหมือนกัน แกก็บอกว่าแกไม่ได้ถือศาสนาอะไร แต่ถือในหลักธรรมชาติของศาสนาที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตรัสรู้ในศาสนาหลักธรรมชาติ อันนี้เงินทองข้าวของนี้แจกจ่ายตลอดเวลาว่างั้น ถึงขนาดนั้นมันก็หลั่งไหลเข้ามา ๆ ทางนั้นก็ไหลเข้าทางนี้ก็ไหลเข้า รายได้ของแกมีรอบตัว ทีนี้เวลามันมามันก็ไหลเข้ามา ๆ แจกทานเท่าไรมันก็ยังเต็มอยู่นี้
แกก็พูดว่า เงินนี้เราก็ให้ทานไปมากมายไหลเข้ามาตลอดเวลา แล้วก็มาคิดทบทวนผู้เขาโหยหิวเขาอยากได้ เขาวิ่งมาอาศัยเราเราก็ให้เขาไป เขาก็ได้รับความสุขจากสมบัติที่เราให้ไป แกไม่ได้บอกว่าแกได้บุญนะ เขาก็ให้ไป ๆ แล้วส่วนที่ยังไม่ให้ เราก็ถือว่าเป็นของเรา แต่สมบัติที่มีมากมายนี้จะมาบรรเทาทุกข์ของเราว่ามีกว่าเพื่อนในโลกนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก แน่ะฟังซิแกพูดนะ คือความทุกข์ความสุขความลำบากลำบนมีเหมือนกันกับโลกเขา ไม่เห็นมีอะไรที่แปลกต่างเขาจากคำว่าเรามีเงินมากนี้ ไอ้เรื่องความเจ็บความป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยหรือความทุกข์ความเดือดร้อนนี้ โลกเขามียังไงเราก็มีเหมือนเขา ไม่เห็นมีอะไรแปลก ก็มีแต่คำว่ากองเงินกองทอง มีเราก็ไปว่าเอาเฉยๆ นั่นฟังซิแกพูด เขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นกองเงินกองทอง
นี่ละศาสนาหลักธรรมชาติ แล้วจะทำยังไงหมู่เพื่อนว่า เมื่ออะไรมันก็มีอย่างนี้ มีเงินจำนวนมากเท่าไร ความทุกข์ก็เท่ากับเขา เราก็ทำไปอย่างนี้แหละ นี่แกพูดนะ เหล่านี้เราก็จะแจกทานตลอดไปจนกระทั่งวันเราตายเราไม่หยุด ไอ้เรื่องความสุขความทุกข์ เรากับโลกนี้แบกหามเท่ากัน นั่นฟังซิน่ะ เราพอใจที่จะแจกจ่ายตลอดไปเมื่อของมีอยู่ เราจะจ่ายตลอดไปจนกระทั่งถึงวันแล้ว เราก็ตายเหมือนโลกเขานั่นแหละ แน่ะฟังซิน่ะ เราไม่ได้พิเศษจากโลกเขานะ เราเป็นเศรษฐีขนาดนี้เราก็ตายเหมือนโลกเขา นี่ฟังซิ ความคิดของเขา
นี่ละเรื่องศาสนาหลักธรรมชาติ เป็นหลักธรรมชาติ แกพอใจในการให้ เราจะทานให้หมดกำลังของเรา มันหมดก็ให้หมดไป ไม่หมดเราก็จะทานไปจนกระทั่งวันเราตาย เอาไว้ทำไม ไม่เห็นใครเอาเงินเอาทองนี้ไปเผากัน ฟังซิเอาเงินเอาทองไปเผากัน ตั้งแต่ศาสนาพุทธก็ไม่ค่อยมีใครพูดนะ นอกจากหลวงตาบัวดื้อปากคะนองปาก ตายแล้วจะเอาเงินนั้นหรือไปเผา ก็เอาฟืนไปเผาเหมือนเขา หลวงตานี้เคยขู่เสมอ ทีนี้เขาเป็นฝรั่งเขายังพูดได้ เวลาตายก็ไม่ได้เห็นเอาเงินเอาทองนี้ไปเผา แน่ะ ก็เหมือนโลกเขา แน่ะมันน่าคิดนะ นี่เราจึงไม่ลืม เอามาสอนพี่น้องทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธ เขาก็ทำอย่างนั้น แล้วคนนี้เป็นหลักธรรมชาติ การทำความดีของเขาก็เป็นหลักธรรมชาติ ไม่ต้องว่าเขาทำบุญให้ทานอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ต้อง หลักธรรมชาติประกาศแล้ว นั้นคือความดีของเขาโดยส่วนรวม ในหัวใจของเขารวมอยู่นั้นหมด นี่ละคนนี้ไม่จม นี่ให้พิจารณาเอานะ
ศาสนาพระพุทธเจ้าของเรา เป็นศาสนาในหลักธรรมชาติ ไม่เสกสรรปั้นยออย่างนั้นอย่างนี้ เป็นหลักธรรมชาติอย่างที่ฝรั่งคนนี้เขาพูด นั่นละเป็นหลักธรรมชาติ มันหากฝังอยู่ในนิสัยเอง แกบอกว่าแกไม่ตระหนี่ ให้ทานตลอดเลย จะตระหนี่ไปอะไร นั่นฟังซิ มันยังมีธรรมเป็นเครื่องสอนอยู่ ตระหนี่เท่าไรมันก็ไม่ได้ไป แน่ะฟังซิน่ะ ถึงเวลาตายอันนี้มันก็ตายของมันก็ทิ้งไป เราก็ไม่ทราบไปไหนมาไหน ก็เป็นเรื่องของเรา แกไม่ได้บอกว่าจิตนี้จะไปที่นั่นที่นี่ เราก็ไม่ทราบจะไปที่ไหน เราก็เป็นเรื่องของเราไปเสีย ฟังซิ ให้คิดนะทุกคน
ความตระหนี่ถี่เหนียวไม่ดีแหละ ตีบตันอั้นตู้ ปิดทางตัวเอง ไปไหนควรจะได้ไม่ได้ ควรจะมีไม่มี อำนาจความตระหนี่ของเจ้าของที่มันเคยทำเจ้าของมา มันหากปิดหากกั้นหากพาหลบพาหลีกความมั่งความมีไปเสีย แล้วมีแต่ความจนไหลเข้า ๆ เพราะความตระหนี่ถี่เหนี่ยวเป็นทางพาให้เดินมาดั้งเดิม ให้ระมัดระวังอันนี้ให้อุตส่าห์พยายาม
ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนให้ทน เราทนนี้ทนเพื่อแก้ข้าศึกคือกิเลสตัวสร้างความทุกข์ให้เรา เราสู้นี่เราสู้ด้วยอำนาจแห่งธรรมที่จะเอาตัวรอดออกไป ทุกข์ก็ต้องทุกข์ ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์นี้ทุกข์เพื่อสุข แต่ทุกข์เพราะวิ่งตามกิเลสนี้ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ ไม่มีทางบกบางลงไปเลย แต่ทุกข์ด้วยการสู้กิเลสมี ท่านจึงว่า ทุกฺขสฺสานนฺตรํ สุขํ สุขเกิดในลำดับแห่งทุกข์ คือผู้สร้างความดีต้องยอมรับทุกข์เสียก่อน แล้วเป็นความสุขขึ้นมาทีหลัง ผู้ที่สร้างตามกิเลสนี้ สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ มีความสุขรื่นเริงบันเทิงเป็นบ้ากับสมบัติเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ เพลินอยู่อย่างนี้ แล้วว่าเป็นสุขนะ พอตายแล้วก็เป็นทุกข์ ท่านว่า สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ คือ ทุกข์เกิดจากลำดับของสุข ที่ตั้งตนไว้ผิดในเบื้องต้น ตั้งผิดแล้วก็สร้างความทุกข์ขึ้นไปด้วยความเพลิดเพลินของใจ แล้วก็ไปเป็นความทุกข์ข้างหน้า
ท่านจึงแสดงไว้เป็นสองภาค ภาคหนึ่ง ทุกฺขสฺสานนฺตรํ สุขํ ทุกข์เสียก่อนแล้วเป็นความสุขทีหลัง ได้แก่คนปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงตัวเอง สร้างคุณงามความดีแก่ตน ถึงจะทุกข์ก็เพื่อความสุขอันนี้แน่นอน อันหนึ่งไม่ดัดแปลง อันใดที่กิเลสชอบยังไงแล้วเพลินไปตามมันทั้งนั้น อันนี้เรียกว่า สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ ดิ้นไปด้วยความเพลิดความเพลินถือว่าเป็นสุข ๆ แล้วก็กอบโกยเอาความทุกข์ในภายหลัง เข้าใจไหม ท่านว่า สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ สุขจริงในความสำคัญตัวเอง เพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงไปกับโลกกับสงสารไม่รู้เนื้อรู้ตัว ว่าเป็นความสุข แล้วข้างหน้านั้นเป็นความทุกข์ ท่านว่า นนฺตรํ ทุกฺขํ เป็นความทุกข์ในกาลข้างหน้า ให้พากันพิจารณาไว้ด้วยดี
เวลานี้เป็นเวลาที่เราจะกลั่นกรอง เราได้พุทธศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเสมอเหมือนพุทธศาสนา เป็นพุทธศาสนาในหลักธรรมชาติ มาปฏิบัติจะรู้อย่างเดียวกัน อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้ารู้เห็นยังไง พระสาวกไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ก็คือหลักธรรมชาติเหมือนกัน รู้เห็นในสิ่งเป็นหลักธรรมชาติ จิตก็เป็นหลักธรรมชาติ เมื่อรู้เห็นอย่างเดียวกันแล้วก็ยอมรับกันโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องเสกสรรปั้นยอก็ได้ ให้พากันเข้าใจนะ อุตส่าห์พยายามทุกคน
นี่พูดถึงเรื่องหลวงตาบัวได้สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพี่น้องชาวไทย ในชีวิตนี้ก็มีอยู่ ๒ ครั้ง เราก็เคยพูดแล้ว ครั้งแรกก็คือ ครั้งที่จะฆ่ากิเลสไม่ให้มีเหลืออยู่ในหัวใจเลย หลังจากฟังโอวาทหลวงปู่มั่นมาอย่างถึงใจแล้ว ก็ซัดกันอย่างถึงใจเหมือนกัน นั่นเป็นอันดับหนึ่ง คือช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยว พอหลังจากนั้นแล้วทีนี้ก็ไม่ได้คาดได้คิดนะ ว่าจะได้ช่วยโลก มันก็พลิกขึ้นมาอย่างที่พี่น้องทั้งหลายเห็น ทีนี้พลิกออกมาทางนี้ช่วยโลกก็แบบเดียวกัน เอาชีวิตเข้าแลกแบบเดียวกันเลย ไม่มีอะไรเสียดาย เช่นเดียวกับเราฆ่ากิเลสด้วยอรรถด้วยธรรมของเรา สละชีวิตเข้าแลกเลยเทียว อันนี้ก็เหมือนกันช่วยโลกถอนตัวขึ้นมาจากความทุกข์ความจนซึ่งเป็นมหาภัยต่อชาติไทยของเรา เราก็พยายามช่วยเต็มกำลังความสามารถ แล้วบัดนี้ก็ค่อยเต็มตื้นขึ้นมา ๆ พอลืมหูลืมตาขึ้นได้
นี้ทองคำเราเราก็ไม่เคยคาดเคยฝันว่าจะได้ทองคำถึงขนาดนี้ นี้ก็ตั้ง ๕ ตันกว่าแล้ว จึงขอจากพี่น้องทั้งหลายอีก ๔ ตันกว่าให้ครบจำนวน ๑๐ ตัน แล้วพอ หลวงตาบัว พูดมีสัตย์มีจริง ส่วนที่ใครจะเอามาให้อีกก็เอาไปนั้น เราไม่ปฏิเสธนะ เขาให้มากเท่าไร หรือให้มากกว่า ๑๐ ตันเราก็เอา แต่เราไม่ขอเข้าใจไหม คือเขาให้เท่าไรก็เอา ส่วนที่เราขอพี่น้องทั้งหลายนี้ขอเพียง ๑๐ ตัน พอได้ถึงนี้แล้วเราก็ยุติทันที พี่น้องทั้งหลายขนเงินขนทองมาให้เราอีกเราก็จะเอาอีกอยู่ แต่เราไม่กวน เข้าใจไหม ให้มามากกว่านั้นเราก็ยังจะเอา มันไม่ผิดนี่ ก็เราไม่ขอ ใช่ไหม เราก็บอกว่าเราพอในจำนวนนี้แล้ว ใครจะมาอีกเราก็จะเอาอีก เราไม่ได้บอกว่าเราปัด เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นให้พี่น้องทั้งหลายเตรียมไว้นะ เวลามันพอแล้วให้หามาอีกก็ได้ เราเปิดไว้ทาง เอาละนะ จำเอาไว้นะ จะให้พร
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ทางอินเตอร์เน็ต ได้ที่ www.Luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|