เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ระงับทุกข์ด้วยธรรม
ท่านเจ้าคุณวัดโพธิ์นี้กิริยานิสัยท่านดีนะ เรียบร้อย ๆ มาตั้งแต่ต้น ส่วนมากที่เกี่ยวกับวัดโพธิ์นี่มีแต่เราเป็นฝ่ายโจมตีท่าน ท่านเงียบสบาย เราเอาเรื่อยเอาท่าน โจมตีท่านเรื่อย ดุท่านเรื่อย แต่ท่านเรียบร้อยอยู่ตลอด เห็นไหมล่ะเมรุที่วัดโพธิ์นั่น คือท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด ทีนี้เมรุมาเกี่ยวกับเราละซี เพราะเราเป็นผู้ยืนยันคำพูดอุปัชฌาย์ ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านพูดมีเหตุผลที่เราจะยอมรับ และปฏิบัติตามนั้นด้วยความถึงใจจริง ๆ คือท่านบอกว่า เออ เราตายนี้ ตายเปล่า ๆ ไม่ค่อยเกิดประโยชน์ ท่านขึ้นนะ เจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านพูด เราตายนี้ตายเปล่า ๆ ไม่ค่อยเกิดประโยชน์อะไร ก็ควรจะทำประโยชน์เวลาเราตายเผาเราบ้าง คืออยากจะได้เมรุสักเมรุหนึ่ง ท่านว่างั้นนะ แถวนี้ไม่มีเมรุเลย
ท่านพูดมีเหตุผล เราฟังตลอด ถ้าหากว่าได้ทำเมรุนี้ขึ้น แล้วเผาเราเป็นองค์แรก จากนั้นก็กระจายทั่วหมด แล้วแถวนี้ก็มาเผากันที่นี่ จะเป็นประโยชน์มาก เราอยากได้เมรุสักเมรุหนึ่ง เพื่อเป็นความสะดวกสบายแก่ประชาชนทั้งหลาย เราก็นิ่งฟังตลอด เวลาออกมาแล้ว ก็มีเจ้าคณะจังหวัดนี่แหละ เจ้าคุณแต่ก่อนท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด ออกมาแล้ว แล้วพวกเราว่าไง ปรึกษากัน จะว่าไงก็ฟังด้วยกันทุกคน ว่าไงก็ว่าออกมาซิ เรานี้เก็บไว้หมดแล้ว คอยแต่จะปึ๋งเท่านั้นแหละ ท่านพูดนี้ก็ดีนะ ดีอยู่ทุกอย่าง ท่านครอบไปหมดแล้วนะ ดีทุกอย่าง แต่ว่าเงินที่จะมาทำเมรุมันไม่ใช่บาทหนึ่งบาทเดียว ท่านเจ้าคุณท่านพูดว่าอย่างนั้น
เมรุนี้กว่าจะขึ้นไม่ใช่น้อยนะ เป็นแสน ๆ ขึ้นไปเลย เราก็ฟัง แล้วเราจะได้เงินมาจากที่ไหนล่ะ ว่างั้น โอ๋ย ลูกศิษย์ของท่านมีแต่ชาวพุทธ แล้วก็เป็นลูกศิษย์ของท่านด้วย คนมีมากกว่าแสน ได้ ว่างั้นนะ ผมได้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ผมยอมรับท่านแล้ว ว่างี้ทีนี้เราออกเลยนะ ยอมรับเทิดทูนท่าน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนแถวนี้ด้วย แล้วคำพูดของท่านก็พูดเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย เข้ากันได้สนิท ผมเห็นดีด้วยเลย แล้วจะทำยังไงการเงิน เอ้า ก็หา ตั้งแต่ท่านตายแล้วท่านยังมาหาเงินกับพวกเรา เรายังเป็นอยู่จะหาเงินไม่ได้มีเหรอ ท่านนิ่งเลย เอาผมจะช่วย ทีนี้ออกแล้วนะ เอาเลย ยังไงก็เอา เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม
ทีนี้เมื่อว่าผมจะช่วย แล้วก็เอาจริงนะ เราไม่ได้เหมือนใครง่าย ๆ ว่าอะไรจริงทุกอย่าง เกี่ยวกับเรื่องเงิน เงินก็มาเกี่ยวกับเรา เรียกว่าขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งเลย ตอนที่จะมาประชุมเมรุกันนี้ก็ฟัดกันหนักเหมือนกันนะ ไม่ใช่เล่น พวกที่จะไม่อยากทำมี แล้วผู้ใหญ่ ๆ ด้วยไม่อยากทำเมรุ อยากทำอะไร ๆ มันมีอะไรกินอยู่ในนั้นน่ะเรารู้หมดแล้ว ประชุมแล้วมีท่านไม่ใช่น้อย ๆ โอ๋ย ใหญ่ขั้นอธิบดีนู่นน่ะ อธิบดีกับอีตาบัวมันก็ซัดกันละซี บทเวลาจะเอา วันนั้นเข้าประชุมกันเลยนะ เข้าประชุมอันนี้ละ เข้าประชุมนี้จะหาเรื่องจะออก ๆ แล้วก็มาตีพระ พระจะหาเงินที่ไหนได้ พระก็ไม่ใช่คนเหรอ ก็ว่างี้ ขึ้นเลยเรา ทันทีเลยนะ
ทำไมเมรุเท่านี้คนทั้งเมืองอุดรเราทำไม่ได้ เราว่างั้น ท่านเจ้าคุณไม่ใช่มีลูกศิษย์คนเดียว เราลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณทั้งนั้นนี่นะ เป็นยังไงใจจืดใจดำนักเหรอ ทำไมจะทำไม่ได้ เงินก็มีจากคน เราจะทำนี้ทำเพื่อประโยชน์แก่โลกนี่นะ เราไม่ได้ทำเพื่อผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ เราว่างั้น ใส่เปรี้ยงกันเลย ด่าพระ เหตุที่จะรับกันกับเรานะ ด่าพระไม่มีเหตุมีผล พระจะหาเงินมาจากไหน ไปโยนให้พระ เผาศพใครมันก็เผาได้ ผู้ที่พูดอยู่นั้นถ้าตายที่นั่นอาจจะเผาที่นั่นก็ได้ เผาที่ไหนก็ได้ แต่เราไม่พูดอย่างนี้ เอากันหนักนะ ใส่เปรี้ยงนี้หงายเลย เพราะออกมีแต่ดุพระว่าพระ แกเคยด่าพระมาหลายหนแล้ว แกจะหลีกออกปลีกตัวออก ตอนนั้นยังไม่ได้ประชุม วันนั้นเป็นวันเราประชุมด้วย ฟังเสียงนี้มันฟังไม่ได้เลย ฟังไม่ได้ทั้งนั้น ด่าพระแล้วจะหาทางหลีกตัว ๆ หาทางออก ๆ อยู่เรื่อย มันหลายครั้งหลายหนก็จับได้ถนัดละซิ เอาที่ว่าออกไปนั้นมาตีเจ้าของ
เรื่องเมรุมันขึ้น ขึ้นเพราะใคร เราว่างั้นเลย เราแทบตายหาเงิน ง่ายหรือนั่น หาเงินมาเผาศพ เรียกว่าเราเป็นเบอร์หนึ่งเลยเทียว หาเงินให้ อย่างงั้นละพี่น้องทั้งหลายได้เผาศพอยู่ทุกวันนี้ คนไม่ทราบนะว่าเรื่องราวนี้เป็นมาจากไหน ไม่รู้ เพราะเราทำเราไม่เคยทวงบุญทวงคุณ นี้เวลาพูดไปสัมผัสเราก็พูดเฉย ๆ เราไม่ได้ทวงบุญทวงคุณ ทำแล้วแล้วไปเลย ใครจะว่าอะไรก็เฉยไม่สนใจ นี่ละที่ดุท่านเจ้าคุณเรื่อย พอพูดขึ้นทีไรแล้ว พอเราหนีแล้ว เขามาพูดอะไรๆ แล้วล้มไปตามเขา เวลาประชุมซัดกันแล้วลงกันแล้ว เขามาแหย่ทีไรล้มไปตามเขา ก็เอาท่านเจ้าคุณละซิ นี่ละเหตุที่ฟาดกันเรื่อยนะ
ทำไมท่านเจ้าคุณพูดไม่มีสัตย์มีจริง ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เอาเท่านั้นซี ก็พูดนั้นพูดในที่ประชุมเป็นที่มีคุณค่า มีเหตุมีผล น้ำหนักอยู่ในนั้นหมด ทำไมมาประพฤติยิบ ๆ แย็บ ๆ อย่างงี้ใช้ไม่ได้นะ ดุท่านเรื่อยนะ ท่านนิ่งนะ ท่านไม่เคยตอบเรา ก็เรามีเหตุผลทุกอย่างว่าอะไร เพราะฉะนั้นจึงสรุปว่า ส่วนมากมีแต่เราละโจมตีท่าน สร้างวัดโพธิฯ ขึ้นอะไร ๆ ไม่มีเงินก็วิ่งมาขอเรา มันก็ดุเอาเรื่อยละซี ดุทีไรได้ทีนั้น ท่านก็ไม่ว่าซิดุแบบนี้ เป็นอย่างงั้นละ ดุเรื่อยนะ นี่ก็ ๕ ล้าน ๕ แสน ให้ท่าน เจ้าคุณปานตายไปเสีย ติดหนี้เขา ๑๗ ล้านว่างั้น ท่านมาขอทีแรก ๒ ล้าน ๕ เราให้ไปเลย ครั้งที่สอง ๓ ล้านเราก็ให้ไปเลย เป็น ๕ ล้าน ๕ แสน ดุนะ ครั้งที่สองดุนะ ทำอะไรควรพิจารณา แต่นี่ท่านเจ้าคุณพูด ก็ไม่พ้นจากท่านเจ้าคุณนี่แหละ ทำอะไรไม่คิดไม่อ่าน จะจ่ายไปเท่าไร จะได้มาเท่าไรเงิน ต้องคิดรายได้รายจ่ายซิ ก่อนที่จะทำอะไร ไปทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดีนะ อย่างงี้ละมันเดือดร้อนเห็นไหมล่ะ แต่ท่านไม่ว่าอะไรแหละ ก็เราว่าเราให้นี่นะ นี่ท่านยังจะมาขออีกนะ ของเล่นเมื่อไร มาขอเงิน คนหนึ่งเป็นคนสร้าง คนหนึ่งเป็นคนหาเงินมาจ่ายให้มีอย่างเหรอ เราว่างั้น อย่ามาทำ ต่อไปไม่ให้นะเราว่า
นี่ก็จะเริ่มหนักมือขึ้น เพื่อให้เรื่องราวทั้งหลายของชาติไทยเราได้บกบางลงไป ได้ยกธงชัยชนะที่มีสง่าราศีขึ้นประกาศก้องทั่วประเทศไทยเรานะ จะเร่ง จากนี้ไปถึงสิ้นปีนี้จะเร่งทีเดียว เอาให้หนักมือเรานะ ใครอย่าจืดอย่าจาง ชาติไทยเป็นของทุกคน แม้ที่สุดหมาอยู่ในเมืองไทยก็เป็นหมาไทย นั่นดูซิ เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร มันเป็นไทยจนกระทั่งหมาไทย เราจะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้นะ ต้องเอาให้จริงให้จัง เวลาจริงให้จริงนะ เวลาธรรมดาก็ธรรมดา ให้มีทุ่มมีโมง อ้อแอ้ ๆ ไปไม่ได้นะ ให้มีหนักบ้าง เวลาจะหนักนี้หนักเพื่อชาติของเรา ไม่ใช่หนักเพื่อใคร ชาติจมศาสนาก็จม อยู่ด้วยกันกับเราคนเดียวนี่แหละ ทั้งชาติทั้งศาสนา
ชาติก็ล่ม ศาสนาก็จม มีความหมายที่ไหน ไม่มี เพราะฉะนั้นชาติก็ขึ้น ศาสนาก็ขึ้น แน่นหนามั่นคงต่อชาติไทยของเรา เป็นกำลังใจของเราด้วย เป็นสง่าราศีต่อชาติไทยของเราด้วย เป็นความสามารถของคนไทยเราที่รักชาติด้วยกันด้วย นั่น มันเป็นหลายขั้นหลายตอน เพราะฉะนั้นจึงว่าเอาให้เต็มเหนี่ยวคราวนี้ ให้ได้ จากนี้แล้วหลวงตาก็ปล่อยละ เหนื่อยมากแล้ว เราทนเอาเฉย ๆ เราทนด้วยน้ำใจของเราเอง เรื่องธาตุขันธ์ไม่เอาไหนแล้วแหละ มันเป็นเพราะน้ำใจของเราต่างหาก ที่บึกบึนอยู่เวลานี้ ไปไหนก็ไปๆ วันนี้ก็จะไปเทศน์อีกแล้ว ก็อย่างงั้นแล้ว เทศน์จะใครก็มีแต่เราเทศน์ทั่วประเทศไทย คราวนี้มันพิลึกจริง ๆ นะเทศน์ทั่วประเทศไทยยังไม่แล้ว ยังทั่วโลกอีก มันจะไม่เหน็ดไม่เหนื่อยได้ยังไง ต้องเหน็ดต้องเหนื่อยคนเรา
นี่เราก็อุตส่าห์พยายาม เสร็จนี้แล้วก็ปล่อยงานนี้ ใครนิมนต์ที่ไหนก็แล้วแต่เราจะพิจารณาเหตุผลต้นปลาย สมควรจะรับหรือไม่รับเป็นเรื่องของเราเอง อันนี้เป็นเรื่องจำเป็นมาตลอด จะว่ารับหรือไม่รับมันเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว ต้องเป็นเรื่องรับเพื่อชาติศาสนานั่นเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องได้บึกบึน ท่านทั้งหลายอย่าปล่อยศาสนานะที่ใจของเราทุกคน ถ้าศาสนาเหลวไหลแล้วตัวของเราจะเหลวไหลทั้งหมด เพราะกิเลสไม่มีตัวส่งเสริมนะ มีแต่เรื่องทำลาย เราหลงกลอุบายมันว่าเจริญอย่างงั้นเจริญอย่างงี้ ไฟไหม้หัวอกทุกหัวอกไม่ได้คิดกันนะ ธรรมนี้ดูหมด เห็นหมด อะไรที่กิเลสเอามาหลอกลวงต้มตุ๋นเราอยู่ข้างนอก ส่วนภายในมันเอาไฟเผาในหัวอกด้วยความคิด ความอ่าน ความปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวายออกจากหัวใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะเอาอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ ไม่มีหยุดนะ กิเลสจะไม่หยุดเลย ตายทิ้งเปล่า ๆ ที่จะให้พอไม่มีจากกิเลส
แต่เรื่องธรรมพอ พอเป็นระยะ ๆ อย่างศีลนี่ก็เหมือนกัน เป็นผู้รักษาศีลด้วยหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม สำรวมระวังศีลของตน ไม่ให้ด่างพร้อยทะลุ แล้วอบอุ่นพออยู่ในใจนะ ไปที่ไหนพออยู่ในใจ อบอุ่นอยู่ในใจ ไม่ปรากฏว่าบกบางนะ เพียงศีลเท่านั้นก็พอ พอจิตก้าวขึ้นสู่สมาธิ ภาวนาจิตสงบลงไปมากเท่าไรจิตยิ่งสร้างความพอเข้าไปเรื่อยๆ พอจิตสงบเย็นไปหมดในจิตใจของเรานี่ เพียงเท่านี้ก็พอ สบายไปหมด ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอะไร นี่เป็นขั้นพอ ถ้าเป็นกิเลสไม่พอ ดิ้น แต่นี้ดิ้นเพื่อความสุข ความสุขมีเมืองพอ ความสุขทางด้านธรรมะ
นี่เป็นขั้น ๆ ตั้งแต่ศีลที่บริสุทธิ์เป็นผู้รักษาไว้เรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์พูนผลในศีลของตน อยู่ที่ไหนพอ สบายตลอด นั่น สมาธิความสงบเย็นใจ อยู่ที่ไหนก็สบาย พอ อยู่ในป่า ในเขา ต้นไม้ ในเงื้อมในผาที่ไหน อยู่ได้สบาย ๆ พอ เป็นอย่างงั้นนะ ยิ่งจิตใจฆ่ากิเลสตัวมันดีดมันดิ้นไม่มีหยุดมีหย่อน ให้สงบลงโดยลำดับลำดา ปัญญาฟาดเข้าไป ขาดเข้าไป มันไปสำคัญมั่นหมายอยู่กับอะไรๆ ตีเข้าไป แตกกระจาย ๆ ออกไป ทีนี้ความดีดความดิ้นมันก็ลดลงๆ จิตใจก็มีความสง่างาม ทรงความสุขไว้ที่ใจ นี่ละการระงับทุกข์ด้วยธรรมคือทำใจให้มีความสงบ ถ้าใจไม่สงบเสียอย่างเดียว อะไรจะเต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีความหมายนะ
ใจเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมทั้งหมด ความสุขได้มากน้อย ใจเป็นผู้รับ เอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์ของใจ มีความสุขบ้างเล็กน้อย แล้วอันนั้นหายอันนี้ได้มา อันนั้นหายไป สุดท้ายสุขนั้นตกไปทุกข์นี้เข้ามา แล้วก็แทนเข้าไปเรื่อย พัวพันกันอยู่อย่างนี้ นี่กิเลสพาหาความสุขไม่มีใครเจอ ในโลกนี้ไม่มี บอกตรง ๆ เลย กิเลสจะพาคนให้มีความสุขแม้รายเดียวไม่มีในโลกนี้ แต่ถ้าธรรมชี้นิ้วเลย นั่น พยายามบำเพ็ญตามธรรมมากน้อย ทำใจให้มีความสงบบ้าง เวลามันยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่าปล่อยมันจนเกินไป ให้มีความสงบด้วยอรรถด้วยธรรม ทำใจให้สงบ ให้ยับยั้งด้วยคำภาวนา
คำภาวนาเป็นคำยับยั้งจิตที่ผาดโผนโจนทะยานเพื่อกิเลสได้เป็นอย่างดี จะสงบเข้ามา ๆ ความทุกข์ที่เผาอยู่ในหัวใจนั่น เมื่อกิเลสจางลงความทุกข์จะจางลง ความสุขที่อยู่บนหัวใจซึ่งจะเกิดขึ้นจากการภาวนา เราระงับดับอารมณ์ของใจเราได้ อารมณ์อันนี้เป็นกิเลสอยู่ในใจ เกิดอยู่ที่ใจ สร้างความทุกข์ให้ที่ใจ เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นที่ใจ เราระงับมันลงด้วยคำภาวนาของเรา อย่างอื่นระงับไม่ได้ ต้องระงับด้วยการภาวนาด้วยคำบริกรรมกำกับกับใจของเรา เวลามันผาดโผนผาดโผนมากนะใจ ให้ระงับอย่างแรงเชียว เอากันอย่างหนัก แล้วมันก็เห็นผลต่อหน้าต่อตาเหมือนกัน เวลาเราเอาอย่างหนักเข้าไปแล้ว จิตถี่ยิบกับธรรม เป็นน้ำดับไฟ อารมณ์ของฟืนของไฟที่เกิดจากกิเลสมันจะค่อยสงบตัวไป นั่นละเรียกว่ากิเลสอันนั้น อันนี้เรียกว่าธรรม เกิดจากใจอันเดียวกัน
ทีนี้พอเราเร่งธรรมจิตของเราจะสงบเรื่อย ๆ เวลามันสงบเข้ามากจนเป็นความสง่างาม หลังจากที่มันร้อนมาก ๆ เพราะความคิดมาก ๆ ตามกิเลสมาก ๆ พอระงับเข้ามา รั้งเข้ามาหาธรรมๆ นี้จิตจะค่อยสงบลง ๆ จิตจะเบาสบาย เห็นกันชัด ๆ นี่ละระงับทุกข์ ให้ท่านทั้งหลายระงับที่ใจนะ อย่าไประงับที่อื่นที่ใด ตายทิ้งเปล่า ๆ ด้วยกันทั้งโลกนี้แหละ ฟังให้ดีคำนี้ ไม่มีใครจะระงับทุกข์ได้ด้วยอำนาจของกิเลส ความโลภก็เสริมไฟ ความโกรธเสริมไฟ ราคะตัณหาเสริมไฟ ถ้าเราไม่ระงับอันนี้โลกจะระงับทุกข์ลงมาไม่ได้ โลกจะเบาทุกข์ไม่ได้ มีอะไรก็ตาม เพราะตัวก่อไฟไม่มีเมืองพอ ได้ไม่พอ ๆ หิวโหยตลอดอยู่ที่ใจ ไม่อยู่ที่วัตถุสิ่งของ
หาเงินมากองเท่าภูเขา ใจไม่พอเสียอย่างเดียว เอาห้าภูเขาก็ไม่พอ นั่น เอาเทียบกันเข้าใกล้ๆ นี่ สมมุติว่าเราหาเงินมาได้กองเท่าภูเขา ใจยังไม่พอเสียอย่างเดียว เอามากองเท่าภูเขาอีกสองลูกสามลูก ความไม่พอเหยียบทีเดียวแหลกหมด ไม่มีอะไรเหลือ แล้วหาความสุขที่ไหน เมื่อมันไม่พอ มันหิวตลอด กับความหิวมากน้อยมันสร้างความทุกข์ขึ้นมาในความหิวเจ้าของตลอด แล้วจะเอาความสุขมาจากไหน ท่านจึงสอนให้รู้จักประมาณ คำว่ารู้จักประมาณ เพื่อจะเอาความรู้จักประมาณเข้ามาสู่ใจที่มีธรรมอยู่ภายในนั้น สั่งสมอันนี้แล้ว พอธรรมเกิดขึ้นที่ใจความรู้จักประมาณจะเป็นขึ้นที่ใจเอง ทีแรกเราสอนเสียก่อน ให้ใจรู้จักประมาณเสียก่อน พอใจได้เจอธรรมเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วความรู้จักประมาณใจจะพอ
ทีนี้ภายนอกมันก็ค่อยรู้เอง ความรู้จักประมาณในภายนอกจะรู้เองเพราะธรรมเตือน ถ้าไม่มีธรรมเตือนไม่มีประมาณภายนอก ใครจะได้มามากน้อยเพียงไรๆ สมบัติเงินทอง การพูดทั้งนี้เราไม่ได้ตำหนิโลกนะ โลกอยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น แม้เราพูดอยู่เดี๋ยวนี้ เรากินข้าวแล้วเรามาพูดใช่ไหม ท่านทั้งหลายไม่เอาข้าวมาให้กินเราตายเหมือนกันนะ แต่เราไม่ได้กินจนเลยเถิด เรากินจนอิ่มแล้วมาพูดอยู่นี้ใช่ไหม อันนี้เรียกว่าพอ เราเอาคำพอนี้ออกมามาเทศน์ กินอิ่มแล้วพอเอาออกมาเทศน์ ไม่ได้กินอิ่มแล้วท้องแตกแล้วเอามาเทศน์นะ เข้าใจไหม อันนี้ให้รู้จักคำว่าพออย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่สร้างความล่มจมให้แก่โลก จับคำนี้ไว้ให้ดี คือมันเลยเถิด มันทำลายสัตว์ ท่านตีออก ๆ ความรู้จักประมาณ เมื่อธรรมมีในใจแล้วมันจะรู้ความพอดี ถ้าธรรมไม่มีแล้วตายทิ้งเปล่า ๆ ด้วยกันคนเรา นี่ให้เอาธรรมเป็นเครื่องระงับ
ทางโลกเราก็หา ไม่หาได้ยังไงก็มันดีดมันดิ้นเพื่ออยู่ เพื่อกิน เพื่อหลับเพื่อนอน เพื่อขับเพื่อถ่ายตลอดเวลา มันบกพร่องไม่มีอะไรเกินธาตุเกินขันธ์ เกินกิเลสตัณหา ที่แทรกอยู่ในนั้น มันจำเป็นต้องหาด้วยกัน เอาหา หามา แต่อย่าให้สิ่งที่หามา มาเหยียบหัวเจ้าของด้วยความไม่รู้จักประมาณก็แล้วกัน ทางภายในก็หา อันนี้ละสำคัญมาก หาสมบัติภายในเข้าสู่ใจ ใจก็มีความเอิบอิ่มภายในใจ
คนมีการทำบุญให้ทาน สร้างคุณงามความดีนี้ใจจะเอิบอิ่ม ๆ อะไรบกพร่องมันไม่ก็เดือดร้อน มีก็ยอมรับว่ามี อันนี้ก็เอิบอิ่มตลอด นี่ตัวสำคัญอยู่ตรงนี้นะ ให้พากันสร้างคุณงามความดี เวลาสงบจิตระงับจิตจากอารมณ์ทั้งหลายก็ให้มีนะ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป เวลาเราระงับจิตของเราได้เราจะเห็นความสุขเกิดขึ้นที่ใจ จะไม่เกิดขึ้นจากที่ไหนทั้งหมด เกิดขึ้นที่ใจ เช่นเดียวกับทุกข์ ถ้าระงับลงไม่ได้ทุกข์ก็เกิดขึ้นที่ใจ ทับหัวใจจนอกจะแตก เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ระงับกันด้วยวิธีภาวนา ให้ระงับอารมณ์บ้างนะ นี่อันหนึ่งที่สำคัญให้พากันจำเอาไว้ ให้มันสงบลง ๆ
เวลาคิดเวลาอ่านหน้าที่การงานก็คิด ถ้ามันจะเลยเถิดหักเอาไว้ นี่เรียกว่าผู้มีธรรมในใจ ธรรมละพาหัก ให้กิเลสพาหักไม่มีทาง พาบืนทั้งนั้น เอาให้ตายได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาธรรมหักเอาไว้ รั้งเอาไว้ จิตใจจะได้มีความสงบเย็น รวมทั้งหมด นี่เคยเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟังแล้ว ทุกข์ทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุนี้มารวมที่ใจแห่งเดียว คับหัวอกรับทุกข์ไม่หวาดไม่ไหว คับหัวอก อยู่ธรรมดาก็อยู่ไม่เป็นสุข ดีดดิ้นอยู่ภายใน เพราะความทุกข์มันเผาอยู่ภายใน ความทุกข์ทั้งมวลมาอยู่ที่ใจ ที่ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นไม่ถูก ทุกข์ก็เพิ่มขึ้น ๆ ทีนี้เอาธรรมมาระงับ ความคิดเหล่านั้นเป็นเรื่องความทุกข์ หันเข้ามาคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรม เอาธรรมเข้ามาระงับใจ ไม่ให้มันคิดมากจนเกินไป
เมื่อธรรมเข้าระงับใจ ห้ามไม่ให้คิดทางนั้น ให้คิดแต่ทางด้านธรรมะ เช่นพุทโธ เป็นธรรม เอาพุทโธเข้ามาคิด กิเลสเป็นกิเลส เป็นฟืนเป็นไฟ พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ เป็นน้ำท่าดับไฟ ให้เราเอานี้ระงับ ๆ อันนี้จะค่อยเย็นไป ๆ ทีนี้ความสุขมากน้อยจะเกิดที่นี่นะ ไม่เกิดที่ไหนทั้งหมด เช่นเดียวกับทุกข์ไม่มีที่เกิดของทุกข์ อยู่ที่หัวใจดวงเดียว เราเป็นเจ้าของของใจดวงนี้ เราระงับมันได้มากน้อยเราก็เห็นผล ความสุขมากน้อยจะเริ่มมีขึ้นที่ใจ ๆ จนความสุขมีมากเต็มที่เด่นอยู่ที่ใจ เอา ฟาดเสียจนกระทั่งกิเลสพังหมด ใจเป็นธรรมล้วน ๆ แล้วจ้าตลอดเวลา ไม่เคยมีบกบาง อะไรขาดขาดไป มันเรียนกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา รอบหมดแล้วตื่นหาอะไร ได้มาก็ได้มาก็รู้ว่าได้มา เสียไปก็รู้ว่าเสียไป รู้ก่อนมันได้มา รู้ก่อนมันเสียไป แล้วจะไปเสียใจอะไร ก็รู้ก่อนมันอยู่แล้ว นี่ละเรื่องธรรมรู้รอบตัว ๆ ก็รักษาตัวของเราได้ซิ ถ้ารู้ไม่รอบจมนะ พากันอุตส่าห์พยายาม
การพูดทั้งนี้เราพูดเปิดเผยทุกวัน ๆ ด้วยความเมตตา อยากให้ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามมาระงับดับฟืนดับไฟที่หัวใจเจ้าของ ด้วยอารมณ์แห่งธรรม ดังที่ว่านี้นะ จะได้เห็นชัดจริง ๆ ในใจนี้ มันจะระงับกันลงได้ในขณะต่อมานั่นละ ขณะนี้ไฟเผา ขณะนี้น้ำดับไฟ สุดท้ายไฟก็ดับ เย็นขึ้นมา อย่างอื่นไม่ได้นะ อย่าไปหวังเอาอะไรมาดับทุกข์นะไม่มีทาง ต้องเอาธรรมเท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น ดับทุกข์ นอกนั้นไม่มี ให้พากันพยายาม ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ทุกข์เพื่อเรา เพื่อสุขของเราจะเป็นอะไรไป
เรื่องกิเลสมันจะผึ่งผายนะ มันต้องถือตัวว่าใหญ่กว่าธรรมเสมอ หยิ่งต่อธรรม เหมือนกับว่ามายืนมือค้ำเอวนี้ทำท่าดูธรรม ธรรมเหมือนอยู่ต่ำ ๆ กิเลสมันท่าใหญ่มันทำท่าอย่างนี้นะ โหย ไม่ใช่เล่นนะกิเลส ท่ามันท่าใหญ่มากนะ จะไปทำคุณงามความดีนี้ท่าของกิเลสจะขึ้นอย่างนี้ มันเบ่งใส่เจ้าของเข้าใจไหม เจ้าของหมอบอยากไปวัด นี่เห็นไหมดูให้ดีนะ นี้อ่านหมดแล้วในหัวใจนี้ เวลาที่มันมีอำนาจมันอย่างนี้นะกิเลส ทำท่าอย่างนั้น จะไปไหนจะทำอะไร ตัวธรรมหมอบอยู่อย่างนี้
(ธรรม) อยากไปวัดบ้าง
(กิเลส) ไปทำไม
ทางนี้หมอบไม่อยากตอบนะ กลัวกิเลสจะฟาดอีกละซิ หมอบ นี่เห็นไหมกิเลสเวลามันใหญ่ ๆ นะ มันเห็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดนี้เป็นกองมูตรกองคูถเป็นบ๋อยของมันไปได้เลยนะ มันจะสง่าผ่าเผยผึ่งผายโอ่อ่า ทำท่าทุกอย่างกับธรรม ธรรมก็มีแต่หมอบ เอ้า วาดภาพดูนะ เราถอดออกมาจากหัวใจที่ดูกับมันพอแล้วเข้าใจไหม การพูดอย่างนี้ไม่ได้มาพูดเฉย ๆ นะ ฟัดกันพอแล้ว เวลาเราหมอบเราก็หมอบ น้ำตาร่วงก็หมอบเข้าใจไหม เราไม่ลืมเวลาน้ำตาเราร่วง เราก็ร่วงเราก็หมอบสู้มันไม่ได้ แต่มันก็มีอันหนึ่ง เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ นั่นเห็นไหมที่มันจะรับกัน เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วงนะ เอาละให้กูถอยกูไม่ถอยกูจะฟัดมึง มึงต้องพังในวันหนึ่งแน่นอนให้กูถอยกูไม่ถอย มันอยู่ลึก ๆ นะ ไอ้ตัวเล็ก ๆ มันอยู่ลึก ๆ ไอ้นั้นอยู่นี้เข้าใจไหม เอาจนน้ำตาร่วง
พอไปก็ไปอีก ไปฝึกฝนอบรมกับครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น มาอีกเอาอีก มันเอาหงายอีก ๆ มันทำท่าอย่างนี้เท่านั้นพอแล้วเรา พอมันทำอย่างนี้เราหงายแล้ว มันยังไม่ได้ต่อยนะ พอทำท่าอย่างนี้หงายแล้ว ๆ มาคราวหลังมันทำท่าอย่างนี้ เรามาเรานู่นน่ะ เราทำท่ามาแต่นู้น ตั้งหมัดตั้งมวยมาแต่นู้นจะซัดกับมัน ยังไม่มาเข้าสนามเวทีนะ ตั้งท่ามาแต่นู้นแล้วเข้าใจไหม ไม่งั้นจะไม่ทันการกับมัน ต้องขยับเข้าใกล้ก็ซัดกันละซิ ตัวผึ่งผายนี้มันเห็นชัดในหัวใจ ที่ธรรมฆ่ากิเลสมันเห็นขนาดนั้นนะ เรื่องกิเลสเกิดอยู่ที่ใจมีอำนาจที่ใจเผาหัวใจคน เรื่องธรรมเกิดที่ใจอยู่ที่ใจเผาหัวกิเลส มันชัดอยู่ในหัวใจดวงเดียว เพราะฉะนั้นจึงประมวลมา อย่าไปหาความสุขที่ไหน หาความทุกข์ที่ไหนไม่เจอ หาตรงนี้ละ บ่อแห่งความทุกข์ ความสุขอยู่ที่มหาเหตุ มหาเหตุคือกิเลสตัวเป็นมหาเหตุฝ่ายเผาสัตว์โลก ส่วนธรรมเป็นมหาเหตุฝ่ายสำหรับเผากิเลสอยู่ในหัวใจโลก สร้างความเย็นฉ่ำขึ้นมา นี่ละให้เอาตรงนี้นะ
ระวังนะจำได้หรือยังที่มันทำท่าอย่างนี้ใส่น่ะ เรามองไปตามแถวนั้น โถ แม้แต่ไอ้หยองมันก็ยังทำท่านี้ใส่เรา มันของเล่นเมื่อไรอยู่ในครัวนั่น กิเลสมันเก่งมากนะ อยู่ที่ไหนเห็นแต่กิเลสทำท่าอย่างนี้ใส่คน คนเห็นแต่หมอบอยู่อย่างนี้ แม้เข้าไปในครัวนั่น เดินเข้าไปไอ้หยองมัน แฮ่ ๆ ๆ เห่าเรา มันจะให้เราหมอบมันทำอย่างนี้ขึ้นมา แต่เราทำท่ามึงจะกัดกู โอ๊ย.กูกลัวหมาตัวนี้ทำท่า เราทำท่า พวกนั้นเลยเป็นบ้าที่เราทำท่าใส่หมา เขาอดหัวเราะไม่ได้ ทำท่ากลัวหมาเข้าใจไหม นี่ละกิเลสเวลามันใหญ่ มันใหญ่อย่างนั้นนะ จำเอา วาดภาพให้เห็นแล้วเอาไปพิจารณา เวลานี้มันใหญ่อย่างนี้ในหัวใจสัตว์โลกเข้าใจไหม จะมีเล็กลงแต่พวกนักปฏิบัติธรรมเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนา ผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมพุทธศาสนา อันนี้จะมีทางยุบยอบลง อย่างอื่นไม่มีทางว่างั้นเลย มีแต่อย่างนี้ทั้งนั้น
จำให้ดีนะ มีธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น เราพิจารณาเต็มหัวอกหมด ไม่มีทางไหนเลย มีอันเดียวนี้เท่านั้น เลิศเลอคือพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฟาดกิเลสให้หงายไปเลยๆ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่ก่อนท่านหากไม่เหมือนเรานะ ถึงท่านอ่อนต่อมันกิเลสทำท่ากับท่าน ท่านก็อุตส่าห์พยายามไม่ถอยนะ นั่นละโพธิสัตว์เข้าใจไหม ไม่ได้หมอบเหมือนเรานะโพธิสัตว์ พวกเราพอ เหอ ทำอะไรหมอบเลยนะ ส่วนพระโพธิสัตว์นี้ไม่หมอบ ทำไปเรื่อย ๆ ต่อมาค่อยใหญ่ขึ้น ๆ ๆ ธรรมนี้ใส่กิเลสเข้าใจไหม พอใหญ่ขึ้นเต็มที่แล้วกิเลสตัวไหนมึงมีโคตรกี่โคตรไปเอามา กูจะฟัดมันแหลกหมด นี่ละโพธิสัตว์ขึ้นเป็นศาสดาเอก จนกระทั่งใหญ่โตเต็มที่ จำให้ดีนะ อันนี้คงติด อินเตอร์เน็ต ละมั้งกิริยาวันนี้เข้าใจไหม อินเตอร์เน็ตคงติด
จำให้ดีเอาให้มันได้ ถ้าเราเอามันไม่ได้แล้วเราไม่มีความสุข เอาให้มันได้แล้วมีความสุข สุขสุดยอดเลย เอากิเลสให้ลงไม่มีอะไรเหลือภายในใจแล้วสุดยอดเลย คือศาสดาสาวกท่านสุดยอดด้วยกันหมด ไม่มีอะไร อยู่ไปเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ วันหนึ่ง ๆ อยู่ไปกินไปเพื่อรักษาธาตุขันธ์ไว้เพื่อทำประโยชน์ให้โลกเท่านั้นเอง จะเพื่อท่านไม่มี ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ขึ้นทันที เสร็จแล้วงานที่แสนยากแสนลำบากมาตั้งกัปตั้งกัลป์ คืองานชำระสะสางหรืองานฆ่ากิเลสนี้ได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว กิเลสขาดสะบั้นลงไปโดยสิ้นเชิง นี่เรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ ก็คือว่า เสร็จแล้วงานที่แสนยากในวงวัฏจักรนี้ คืองานฆ่ากิเลสได้เสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว กิจที่ควรจะทำก็คือการฆ่ากิเลส ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ กิจอื่นใดที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้อีกไม่มี นั่น จึงว่าเสร็จสิ้น ทำลงไปมีเสร็จมีสิ้นได้นะ เอาให้ดี เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้น
ชมการถ่ายทอดสดทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |