เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
วิธีตัดราคะ
พูดก็เสียงไม่ออกไม่ทราบว่าเป็นยังไง อย่างนี้ละเสียงแหบ พูดออกมานี้มันจะได้ยินหรือเปล่า พูดไม่มีเสียงเลยมันค่อยเปลี่ยนของมันไปๆ หมดสภาพไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
โอ๊ย ลำบากนะผมอยู่ที่นี่ แขกคนกวนจริงๆ นะ จนเรียกว่าอยู่วัดไม่ได้นะ หาหลบหาซ่อนนอนในรถไป นั่นละระงับขันธ์เวลานอนในรถไป ระงับขันธ์ สงบธาตุขันธ์ไปในนั้น แล้วแต่มันจะหลับจะตื่นเมื่อไร แต่ว่าจิตกับขันธ์ระงับกันอยู่ในนั้นไม่ออกข้างนอก นี่ก็นอนตั้งแต่ไหนไม่รู้แหละ ไปลุกเอาโน้น บ้านพาน จวนจะถึงสกลนครยังอีกไม่ถึง ๔๐๐ เส้น เลยบ้านดงมะไฟไปแล้วจึงลุก อย่างนั้นแล้ว อย่างนั้นเป็นความสบายสำหรับผมเองนะ จากนั้นก็เข้ากราบพ่อแม่ครูจารย์ ไปนั้นคนก็รุมพวกกรุงเทพฯ พวกไหน เราก็อนุโลมผ่อนผันพูดกับเขาเสียบ้างนิดหน่อย จากนั้นมาอยากนอนก็นอนมาเรื่อย สงบอารมณ์ในรถไปสะดวกสบาย อยู่ในนี้ โอ๊ย ไม่ได้นะ แหม
ออกมานี่ลองดูซิน่ะ อยู่ไหนแตกมาหมด รุมตลอดไปเลยนะ เราก็ไม่ใช่ปลาเน่าจะมารุมเราหาอะไร รำคาญ จึงไม่ออกมา ออกมาตะกี้นี้มาดูกุฏิ มันอยู่ตามแถวนั้นก็รุมไปด้วย เข้าดูกุฏิ ออกจากนั้นออกไปโน้นเลย พอไปถึงประตูก็หักเข้าทางนี้ออกเลยขนาดนั้นนะ โห มันเบื่อมันเอือมระอา ไม่อยากเล่นกับอะไร ได้ยินแต่ชื่อแต่เสียงเห็นในทีวี อยากกราบอยากไหว้ เราเห็นใจอันนั้นแต่มันไม่คุ้มค่ากับเรื่องของเราน่ะซิ เพราะฉะนั้นจึงต้องหลบต้องหลีก
เราอยู่คนเดียวเราไม่มีอะไร เรามีค่ามาก ดีไม่ดีมารุมเราอย่างนั้นมีค่าอะไร แน่ะ สร้างความกังวลลำบากลำบนในธาตุขันธ์ของเรา เขาก็ได้เช่นดีใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง จึงต้องลำบากมากนะผม ยิ่งลำบากเข้าไปทุกวันๆ ไม่ได้เป็นความสะดวกสบายไปที่ไหน เพราะคนรู้ทั่วโลกว่างั้นเลย ไม่ได้รู้เพียงเมืองไทยนะรู้ทั่วโลก ไปเมืองไทยไปที่ไหนก็ไปซิ ก็เขาเห็นในทีวีหมดแล้ว กวนทั้งนั้นแหละ จึงไปในเวลาที่มีการมีงานมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ ไปเป็นระยะๆ ทนเอาอย่างนั้นแหละ จะมารุมอย่างนั้นตลอด โอ๋ย ไม่ได้นะ ลำบากรำคาญจริงๆ
การเทศนาว่าการก็ตั้งหน้าตั้งตาเทศน์เสียในขณะนั้น พอจบแล้วก็วางไปเป็นระยะๆ จิตนี้ไม่ได้ยั้วเยี้ยกับใครนะ ใครจะมายั้วเยี้ยกับเราจึงไม่ได้ วางออกมาแนบเข้ามาสู่สมมุติเป็นบางกาลบางเวลาที่เห็นสมควรๆ เท่านั้น เรื่องจิตนี้ โอ้ พิลึกพิลั่นนะ ผมจึงอยากให้เพื่อนฝูงทั้งหลายสนใจกับธรรมของพระพุทธเจ้านะ เลิศขนาดไหนพูดไม่ได้เลย พูดไม่ได้ ฟังไม่มีใครรู้เรื่อง นี่ละที่พระพุทธเจ้าท้อพระทัยจึงได้พูด อย่างเทศน์เมื่อเช้านี้มันผางๆ ออกเห็นไหมนั่น ไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้าอย่างว่า เมื่อมันเป็นขึ้นเต็มเหนี่ยวแล้วมันพุ่งออกมาเลย กำลังของธรรมของความอัศจรรย์ ใครจะมีเจตนาอะไรไปวัดรอยพระพุทธเจ้า ไปเป็นคู่แข่งขันพระพุทธเจ้า กราบจนสนิทในหัวใจแล้วจะไปมีเจตนาอะไรแม้แย็บหนึ่งก็ไม่มีเลย แต่โลกมันฟังเป็นความสกปรกไปหมดน่ะซิ อันนี้ที่ทุเรศเพราะโลกสกปรก เอาความสะอาดเข้ามาไม่ได้ต้องเอาแต่ความสกปรกกว้านเข้ามาๆ โลกเป็นอย่างนั้น
ธรรมชาตินี้มันไม่ได้เหมือนอะไรเลยจะให้ว่าไง นี่ละผลแห่งการปฏิบัติๆ มานี้แทบล้มแทบตาย เรียกว่าผมหนักที่สุดเรื่องความเพียร พูดให้ใครฟังไม่อยากมีใครเชื่อนะ มันเป็นในเจ้าของเองในนิสัย แล้วเด็ดเสียด้วยนะ ว่าอย่างไรแล้วเด็ดขาดเสียด้วย ว่าให้เจ้าของนี่ยิ่ง ว่าเอานะเท่านั้นละ เคลื่อนไม่ได้เลยเหมือนหินหัก จะเอามาต่อกันมันก็เป็นรอยต่อเสีย มันไม่เป็นหินธรรมชาติ ถ้าลงได้เอาหนาว่างั้นมันขาดไปเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จิตนี่ รู้สึกว่าจะผิดแปลกทั้งหลายอยู่มากทีเดียว จิตผมนะ พูดอย่างนี้คนก็อาจจะว่าโอ้ว่าอวด เอาความจริงมาพูด ส่วนมากจะไม่มีใครเหมือนนะ อย่างดูหมู่เพื่อนอยู่ในวัดนี้ผมทนดูเอาเฉยๆ นะ เหมือนขอนซุงเก้งๆ ก้างๆ ดูอะไรๆ คนจะแก้กิเลสฆ่ากิเลสกับกิริยาอาการอย่างนั้นมันเข้ากันไม่ได้ คือธรรมะจะเด็ดๆๆ เพื่อมรรคผลนิพพาน แล้วกับสิ่งเหล่านี้มันก็เข้ากันไม่ได้ มันเก้งๆ ก้างๆ
โถ เวลาถึงขั้นอัศจรรย์ แหม ไม่เคยคาดเคยคิดไว้เลยนะ นี่ละหลักธรรมชาติขึ้นแท้ๆ ไม่ถามใครทั้งนั้น เป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง เมื่อเหตุผลพร้อมกันแล้วผึงออกมานี้ โถ แต่จิตเรานี้มันมีนิสัยเด็ดอยู่มาตั้งแต่ฆราวาส กับความจริงนี้มี รู้ชัด แต่ก่อนไม่ได้คิดว่าเป็นอรรถเป็นธรรมอะไรแหละ ตามนิสัยตามวาสนาอะไร ตามประสาว่างั้นเถอะ แต่การคบค้าสมาคมนี้มันหากมีอยู่ในจิตนะ ถ้าคนไหนเหลาะๆ แหละๆ ไม่อยากเล่นด้วยนะ แล้วยิ่งเป็นคนเห็นแก่ตัวคนตระหนี่ถี่เหนียวนี้เข้าไม่ได้นะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็ไม่เข้า เราก็เป็นเราธรรมดานะ แต่มันหากแปลกต่างกันให้เข้าไม่ได้นั่นแหละ เพราะนิสัยเราก็เป็นเหมือนโลกทั่วๆ ไปไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
ทำงานที่ไหนนี่หมู่เพื่อนรุมเลยละ เราไปทำงานที่ไหน เพราะเราไม่เห็นแก่ตัว มีมากมีน้อย ได้มากได้น้อยแจกกันทั่วถึงหมด ดีไม่ดีเจ้าของได้น้อยกว่า ที่จะให้ได้เสมอหมู่เพื่อนนี่ แหม มันควรจะเสมอจริงๆ ถึงจะเสมอ ถ้าจะไม่เสมอเราต้องลดของเราลง หากเป็นในจิตเอง เพราะฉะนั้นเพื่อนฝูงจึงมีมาก ไปที่ไหนทำการทำงานอะไรก็ตาม เพราะเราพูดให้มันตรงเลย นิสัยเราไม่ใช่นิสัยคนขี้เกียจ นิสัยเอาจริงเอาจัง ทำเหลาะๆ แหละๆ อ่อนๆ แอๆ ไม่นะ นิสัยเป็นอย่างนั้น ก็เข้ากันได้กับที่โยมพ่อพูดนั่น โยมพ่อโยมแม่นี่ไม่เคยชมเรา แต่ไว้ใจอยู่ในตัว เวลาปล่อยให้เราทำงานอะไรแล้วนี่ โห พวกน้องๆ อยากแตกหนี เหมือนกับว่าจะร้องไห้ตาม ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ไปด้วยมันเอาจริงจริงๆ นะ คือเอาแทนพ่อแทนแม่อย่าให้ได้ต้องติ โน่นน่ะเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าลงได้ทำอะไรเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นมันถึงมาฟ้องแม่ พวกน้องๆ ก็อย่างเขียนไว้นั่นแหละ มีเขียนไว้หรือเปล่าไม่รู้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ไม่ไปด้วยนะ นั่นล่ะสูไม่เป็นตาสะแตก ให้มันดัดเอาอย่างนั้นพอดี เป็นอย่างนั้นละถ้ามีเราเป็นหัวหน้างาน ถ้าไปกับพ่อกับแม่ก็ธรรมดา ขึ้นเมื่อไรก็ขึ้น หยุดเมื่อไรก็หยุด ไม่ว่าเกี่ยวข้าวเกี่ยวน้ำไม่ว่าดำไร่ดำนาอะไร ทำงานอะไรได้เกี่ยวข้องก็เป็นส่วนรวม ให้เราเป็นหัวหน้างานเป็นอย่างนั้นละ พวกน้องๆ โอ๋ย มันจะตายละ ถ้าพ่อแม่ไปด้วยเป็นหัวหน้างานแล้วเราก็เป็นธรรมดาเหมือนกันหมดเลย มันเป็นอย่างนั้นนิสัยอันนี้น่ะ พ่อจึงได้มายกเอาตอนนั้นละ ตอนน้ำตาร่วงมาที่เราไม่บวชให้ เสียใจมาก กำลังรับประทานเป็นวงๆ เราไม่ลืมนะ โอ๋ย ฝังลึกมาก นี่ละที่เหตุจะได้บวช น้ำตาพ่อนะ ถ้าไม่งั้นยังจะไม่บวชนะ พอน้ำตาพ่อร่วง โอ้โห สะดุดปึ๊งเลยทีเดียว ลุกออกจากที่รับประทานไม่อิ่มนะ ลุกหนีเลย สะเทือนใจหนัก พอฟังจบเท่านั้นแหละ
เออ ลูกกูก็มีหลายคน คนเหล่านั้นกูไม่ค่อยหวังพึ่งมันอะไรๆ แหละ แต่ไอ้บัวนี่กูพึ่งได้เลย ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วการงานอะไรกูสู้มันไม่ได้ นี่อันนี้มันไม่ลืมนะ ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้ แต่มาลงจุดนี้ที่มันไม่บวชให้นี้ เวลากูตายแล้วถ้าไอ้นี้มันลากกูขึ้นจากนรกไม่ได้ ไม่มีใครจะลากกูนะลูกทุกคน กูนี้ต้องจมในนรกไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้เลย พอว่างั้นน้ำตาร่วงลง แหม สลดสังเวชปึ๋งเลยทันที กูอาศัยมันคนเดียวเท่านี้ ลูกผู้ชายมีสามสี่คน แล้วมาลงแต่เราคนเดียว เวลาลงนี่ยอๆ เพื่อจะทุ่มลงเราก็รู้ แต่ก่อนไม่ยอแต่หากรู้ว่าไว้ใจอยู่ตลอด ถ้าลงเราได้ลั่นคำอะไรแล้วพ่อนี่เชื่อนะ เพราะพูดจริงทำจริง ตอนเป็นฆราวาสเป็นอย่างนั้น
หากมีอุบายละพ่อพูด เอ้อ กูอยากไปธุระนั้นธุระนี้ แต่ไม่มีใครทำงานให้กูอย่างนั้นอย่างนี้ พอเราฟังแล้ว เอ้อ ไปเสียผมจะทำให้ เท่านั้นแหละ โอ๋ย อยากเตรียมของเดียวนั้นเลย คือมันจริงจริงๆ ถ้าลงได้ลั่นคำแล้ว มานี่เรียบเลยแหละ เพราะฉะนั้นจึงว่ากูสู้มันไม่ได้ ไว้ใจทุกอย่างถ้าลงได้ทำอะไร จะมาชุ่ยๆ ชี่ๆ ให้พ่อแม่ได้ตำหนินี้ไม่มีเลย สำหรับผมเองไม่มี ถ้าลงได้ลงมือทำอะไรแล้ว พ่อจึงได้ว่ากูสู้มันไม่ได้ นี่เวลาบวชมันก็จริงทางบวช จริงทุกอย่างนะ พระวินัยไม่เคยมีเจตนาจะข้ามเกินเลย ระลึกไม่ได้เลย ความหิริโอตัปปะ รักสงวนมากในพระวินัยเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนธรรมมันก็ผิดๆ พลาดๆ หากได้ตำหนิตนเองไปเรื่อยๆ อ่านไปดูไป เออ ตรงนี้เราก็เคยเป็นท่านตำหนิว่างั้นเราผิดมาแล้วนี่ แน่ะ ผิดมาแล้วๆๆ ส่วนวินัยไม่มีบอกตรงๆ เลยผมไม่เคยมี เข้มงวดกวดขันมาก ไปที่ไหนอบอุ่นๆ ตลอด เข้าในป่าในเขาเพียงศีลเท่านั้นพอนะ อบอุ่นหมดเลย ไม่เดือดร้อน แทนที่ไปจะกลัวตายกลัวเป็นอะไรนี้ อาศัยศีลเท่านั้นอบอุ่นแล้ว ตายก็ไม่ตกนรก เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องศีลนี่รักษา
แล้วจึงมาเห็นที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้กับพระอานนท์ ดูก่อน อานนท์ จะมาหวังอะไรกับเราอีก ที่พระอานนท์ทูลอาราธนาให้ท่านทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลานาน ไม่อยากให้นิพพานง่ายๆ อานนท์ มาหวังอะไรกับเรา ถ้าพูดภาษาของเรา เราก็ยังเหลือแต่ร่างกระดูกเท่านั้นเอง ธรรมและวินัยอะไรเราสอนไว้หมดแล้ว แล้วจะมาหวังอะไรกับเราอีก ธรรมวินัยนี่นะ จากนั้นท่านจึงย่นเข้ามาอีกว่า พระธรรมและพระวินัยนั่นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว นั่น ดูก่อน อานนท์ เมื่อยังมีผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยอยู่ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ มันถึงใจทั้งนั้นนะ นี้เราก็เคยประคองรักสงวนพระวินัย ธรรมเรายังไม่เข้าใจอะไรนักละยกไว้เสีย ทำความเซ่อๆ ซ่าๆ แต่พระวินัยนี้แม่นยำมากทีเดียว
ท่านว่าพระธรรมกับพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว นี่เป็นบทสำคัญมาก ขอให้หมู่เพื่อนยกเอาหลักธรรมหลักวินัยนี้มาติดแนบกับใจ ประคับประคองด้วยความมีสติปัญญาความพากความเพียร ความระมัดระวัง อย่าให้กระทบกระเทือนศาสดาด้วยการข้ามเกินธรรมวินัย ให้มีความประคองศาสดาอยู่ด้วยหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ตามพระวินัยที่ทรงห้ามไว้แล้วอย่างใด อย่าพากันฝ่าฝืนนะ ไปที่ไหนเราจะมีศาสดาติดตัวเราตลอดเวลาแล้วอบอุ่น ถ้าเรามีความสำรวมระวังรักสงวนศาสดาคือธรรมวินัยไว้ในใจของเราด้วยความมีสติ ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ปัญญานั้นออกก้าวเดินเป็นระยะๆ แล้วเราจะอบอุ่นเป็นลำดับลำดา นี่สำคัญมาก
ท่านทั้งหลายอย่าไปเข้าใจว่า พระพุทธเจ้านิพพานแล้วกาลโน้นกาลนี้ นั้นเป็นเรื่องมืดกับแจ้งเวล่ำเวลา ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้กิเลสแท้อยู่ที่ใจของเรา กิเลสแท้ก็แสดงออกมาลบล้างธรรมๆ ภายในใจของเรา ธรรมแท้ก็มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม กำจัดรักษาตลอดเวลา นี่เรียกว่าธรรมแท้ ให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างนี้ อย่าไปคำนึงคำนวณเวล่ำเวลาเกี่ยวกับเรื่องที่จะเอามรรคผลนิพพานกับเวล่ำเวลา ผิดทั้งเพ ให้เอาจากองค์ศาสดาที่ประทานไว้แล้วแทนพระศาสดาของเรา เป็นอาจารย์ของเรา เป็นศาสดาของเรา ด้วยหลักธรรมหลักวินัย อย่าข้ามเกินนะ ข้ามเกินนิดผิดนิดๆ นี่ละศาสดาแท้ ข้ามเกินก็เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้านั่นแหละ ก็เหยียบหัวเราในขณะเดียวกันให้พากันระมัดระวัง
ศีลอย่าให้ด่างพร้อยนะ ให้รักสงวนอย่างยิ่ง อย่าเอากิเลสตัณหามาแทรกเป็นทิฐิมานะเห็นเป็นความสะดวกสบาย ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องเลวร้ายมากนะ ถ้าลงว่าไม่เป็นไรแล้วเลวร้ายมากนะ ไม่เป็นไรยังไง ก็องค์ศาสดาทั้งองค์คือวินัยคือธรรม อันดับแรกก็คือวินัย นี่ละเป็นรั้วกั้นสองฟากทางให้ก้าวเดินไปตามแถวของธรรม อย่าข้ามอย่าเกินอย่าปลีกอย่าแวะออกนอกลู่นอกทางที่พระวินัยเป็นรั้วกั้นไว้เรียบร้อยแล้ว ให้สำรวมระวังอยู่ในรั้วคือพระวินัย อันนี้สำคัญ เพศของพระ ชีวิตของพระ เต็มองค์ของพระอยู่กับพระวินัยล้วนๆ ธรรมเราก็บำเพ็ญขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับพระวินัยให้คงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยความเป็นพระเต็มแบบเต็มฉบับของเรา
พระเต็มแบบเต็มฉบับ คือมีศีลที่ประทานให้แล้วตั้งแต่วันบวช เราเป็นพระสมบูรณ์แบบเพราะรับศีลมาแล้วเพื่อรักษา เมื่อเรารักษาศีลของเราตามแบบตามฉบับของพระผู้ต้องการความสมบูรณ์แบบแห่งความเป็นพระของตนแล้ว จงระมัดระวังตลอดเวลา อย่าให้ด่างพร้อยนะ นี่ละหลักสำคัญมาก ศาสดาแสดงไว้ตรงไหนให้ถือเป็นสำคัญ อย่าเอากาลสถานที่เวล่ำเวลาอะไรเข้ามาบีบบังคับหรือทำลายให้ทำความเลวร้าย ด้วยความเห็นแก่ได้แก่ทำ เอาความสะดวกเข้าว่า นี่ไม่ใช่ศาสดานะ ความสะดวกคือเรื่องมารของธรรม มารของศาสดา แล้วก็มารของเราโดยตรง ให้พากันระมัดระวัง
การระมัดระวังตัวของเรา คือสมบัติอันล้นค่าอยู่ที่นี่นะ อยู่ที่การระมัดระวังตัวกับธรรมกับวินัย มรรคผลนิพพานอยู่ที่นี่นะ อย่าไปหาตามดินฟ้าอากาศ ฟ้าแดดดินลม สถานที่นั่นที่นี่ โดยสำคัญว่าเป็นมรรคเป็นผล ไม่มี อยู่ที่จุดระมัดระวังตัวด้วยความมีสติ พระวินัยก็มีสติรักษาอยู่ไม่ให้คลาดเคลื่อน ธรรมก็มีสติรักษาอยู่ด้วยการจิตตภาวนาของตน เช่น สติจ่ออยู่ตลอดเวลา สัมปชัญญะเคลื่อนไหวไปมาอะไรให้มีความรู้ตัวเสมอ นี่เรียกว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ให้พากันระมัดระวัง อยู่ตรงนี้นะมรรคผลนิพพาน ไม่อยู่ที่ไหน ศาสดาสอนลงตรงไหนนั้นแหละมรรคผลนิพพานอยู่ตรงนั้น นรกอเวจีก็อยู่ตรงนั้น ถ้าสอนให้ละหรือสอนให้ระวัง ข้ามเกินไปเสีย นั่นนรกอเวจีอยู่ตรงนั้น
พระวาจาของพระพุทธเจ้านี้เด็ดขาดมากทีเดียวนะ ไม่มีคลาดเคลื่อนไปเลย ไม่ว่าดีว่าชั่วผิดถูก เป็นผิดโดยตรง เป็นถูกโดยตรง ดีโดยตรง ชั่วโดยตรง นี่ละเชื่อพระพุทธเจ้าให้เชื่อพระธรรมกับพระวินัย อย่าไปเชื่อสิ่งอื่นใดยิ่งกว่าพระธรรมพระวินัยซึ่งเป็นองค์ศาสดาแทนพระองค์ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ระมัดระวังตนด้วยดี โลกเป็นอย่างเราเห็นนี่แหละ เกิดมากี่กัปกี่กัลป์มันก็มีแต่เกิดกับตาย แบกหามกองทุกข์ไปด้วยในภพชาตินั้นๆ ถ้าภพชาติที่พอมีอรรถมีธรรมครองใจบ้าง ก็พอมีความอบอุ่นในบางกาลบางเวลา ผสมผเสกันไปกับความผิดพลาดที่แสดงผลขึ้นมาให้เป็นความทุกข์ที่เรียกว่าเป็นบาปเป็นกรรม นั่นเป็นแยกๆ กันไป
ขอให้มีหลักธรรมหลักวินัยติดเนื้อติดตัว ไปที่ไหนอย่าเลินเล่อเผลอสติ สติสัมปชัญญะให้ติดกับตัว การภาวนาของทุกท่านขอให้ยึดหลักใจไว้ให้ดี ผมดำเนินมาแล้วได้ผลเป็นที่พอใจจึงกล้ามาสอนหมู่เพื่อน สติสำคัญมาก เอานี้เลยนะเป็นพื้นฐาน เราภาวนาธรรมบทใดก็ตาม สติกับคำภาวนาอย่าให้ห่างกัน อย่าไปเสียดายอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ กิเลสมันผลักดันออกมาขัดมาแย้งอยู่นั่นแหละ ให้คิดตามเรื่องของกิเลส มันมีกำลังมาก ดีไม่ดีปัดคำบริกรรมของเราออกจากใจ สติปัดทิ้งลงเหวลงบ่อไป มีแต่ความอยากคิดอยากปรุงอยากแต่งตามอารมณ์ของกิเลสที่มันรุนแรง เปิดทางของกิเลสโดยถ่ายเดียว โล่งไปหมด นั่นแหละคือไฟนรกเผาใจในขณะนั้น นี่ละให้สู้กันตรงนี้นะ
มันจะอยากคิดอยากปรุงเรื่องอะไร ความอยากนี้คือภัยให้ว่างั้นเลย การต่อสู้ความอยากคิดอยากปรุงนี้คือการรบกัน จะเอาชัยชนะกัน ไม่ยอมให้คิด ต้องเอากันอย่างนั้น ไม่เสียดายความคิด เราคิดมาตั้งแต่วันเกิด ทีนี้เราจะมาปฏิบัติยังมาเสียดายความคิดอันเป็นเรื่องเลวทรามส้วมถานของกิเลสอยู่แล้ว เราจะเป็นส้วมเป็นถานเรื่อยไป หาอรรถหาธรรมมาครองใจไม่ได้นะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจจริงๆ ให้อยู่กับคำบริกรรม ใครชอบคำบริกรรมคำไหนให้ติดแนบกับคำบริกรรมคำนั้น คำบริกรรมนั้นติดแนบกับใจ สติติดแนบกับคำบริกรรม สามพระองค์นี้ให้อยู่ด้วยกัน เราอย่าหวังเอาอะไรเอานี้ก่อน
เบื้องต้น ขอให้จิตได้รับความสงบจากความฟุ้งซ่าน ที่กิเลสลากถูไปไม่มีวันอิ่มพอ จะฟุ้งซ่านตลอดไปถ้าเราไม่หักห้ามด้วยธรรมคือความพากเพียร สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม อดทน มันอยากจะคิดขนาดไหนให้ห้าม เพราะรู้แล้วว่ามันเป็นภัย ธรรมเห็นภัยต่อสิ่งเหล่านี้ เรายังจะเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นคุณ ยังคิดยังอ่านตามมัน อยากคิดอยากอ่านอยู่แล้ว นั่นละเราเป็นข้าศึกต่อธรรมเป็นข้าศึกต่อตัวเอง จะไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ ภาวนาวันไหนก็สู้กิเลสความอยากคิดอยากปรุงไม่ได้ ให้มันลากไปห้าทวีปๆ อย่างนี้ตลอดไปใช้ไม่ได้เลยนะ ไม่เข้าท่าเข้าทีกับผู้ตั้งใจมาปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน
เอาให้จริงให้จังนะ เวลาเด็ดให้เด็ดซิ อย่าอ่อนแอท้อแท้ ถึงคราวเด็ดๆ เช่นอย่างเราจะตั้งใจภาวนา ปักจิตลงไปเลยให้สติติดแนบอยู่กับนั้น แล้วกิเลสจะไม่ผลักดันออกมาไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง กิเลสออกจากใจนะ มันผลักดันออกมาให้อยากคิดอยากปรุง คือ อวิชฺชาปจฺจยา นั่นแหละ พาให้อยากคิดอยากปรุงออกมา แต่ก่อนเราไม่รู้นะ มีแต่ความอยากคิดอยากปรุง มันออกมาจากอะไรไม่มีทางทราบ แล้วเวลาจิตมันตะล่อมเข้ามาๆ มันก็เห็นแต่อวิชชา มันคิดออกมาจากนั้น อ๋อ ตรงนี้ตรงป้อนเหยื่อให้สังขารทำงานเป็นสมุทัยขึ้นไปไม่มีสิ้นสุด ออกจากตัวนี้เอง นั่น มันจับได้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงปักลงไป เอาธรรมเข้าลบล้างหรือบีบบังคับกันด้วยความมีสติในเวลาภาวนา ผู้ตั้งเบื้องต้นให้เอานี่ละเป็น ก.ไก่ ก.กา ติดแนบกับจิต รู้อะไรไม่รู้อะไรก็ตามขออย่าให้เผลอจากจิตด้วยสติ คำบริกรรมให้ติดไว้เสมอ แล้วต่อไปไม่นานใจนี้จะค่อยสงบจะค่อยเย็นลงไป สงบลงไป ความผลักดันของกิเลสที่พาให้คิดต่างๆ ก็เบาลงๆ นี่ทำมาแล้วนะไม่ใช่ธรรมดา ต้องเอาสละเป็นสละตายจริงๆ ซัดกันเลยไม่ให้เผลอ
คิดดูซิตั้งต้นทีแรก นี่ละคำสัตย์คำจริงเหมือนว่าระฆังดังเป๋งนี่ นักมวยฟัดกันเลย อันนี้ก็ระฆังดังเป๋ง คือสัจจะความจริงของเราลงจุดแล้วนะ พอว่างั้นเอาเลย ก่อนที่จะมาลงจุดนี้ คือเราได้ใคร่ครวญถึงเรื่องจิตเราเจริญแล้วเสื่อมๆ มาเป็นปีกว่า โห มันเสื่อมตั้งแต่เดือนพฤศจิกา ปีนี้ ฟาดเดือนเมษา ปีหน้า นานเท่าไร นี่ละตกนรกทั้งเป็น แหม ทุกข์แสนสาหัสนะ เพราะฉะนั้นจึงเข็ดจึงหลาบ เรื่องจิตเสื่อมนี่ทุกข์มากยิ่งกว่าจิตไม่เป็นอะไร ซึ่งเราไม่เคยได้อบรมมาแต่ก่อน ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ธรรมดามัน แต่จิตได้หลักได้เกณฑ์ มีความสง่าผ่าเผยมีคุณค่าขึ้นมาในใจ สงบร่มเย็น อยู่ไหนเย็นหมดๆ แล้วมาเสื่อม เพราะเราไม่รู้จักวิธีรักษาน่ะซิมันถึงได้เสื่อม
ทำอย่างไรๆ มันเจริญขึ้นมาแทบเป็นแทบตาย ได้สิบสี่สิบห้าวันค่อยเจริญขึ้นไปๆ ไปอยู่นั่นถึงจุดที่มันจะลดตัวมันไปอยู่นั่นแหละ ไปอยู่ได้สองคืนสามคืน ทีนี้พอเคลื่อนที่นี่ลงเลยนะ ทำอย่างไรก็ไม่อยู่ ห้ามอย่างไรก็ไม่อยู่ ลงต่อหน้าต่อตาจนสุดขีด ยังเหลือแต่อีตาบัวหมดค่าหมดราคา พยายามไสขึ้นมาอีกอย่างนี้ๆ เรื่อยมา จนปีกว่ามันก็เกิดความสงสัย เอ มันอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้คำบริกรรม กำหนดจิตเฉยๆ มันอาจมีทางเผลอไปได้ จิตใจจึงเสื่อมได้อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เราตั้งใจ เวลาภาวนาก็ตั้งใจด้วยสติ แต่สติไม่มีคำบริกรรมผูกมัดกันนี้มันเผลอได้จริงๆ นะ
เพราะฉะนั้นจึงมาวินิจฉัย ที่มันเสื่อมนี้คงเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรม มาพิจารณาวินิจฉัยตัวเอง ทีนี้เราจะเอาคำบริกรรมให้ติดแนบกับใจเลย มีสติบังคับกับคำบริกรรมไว้ไม่ให้เผลอ เอ้า มันจะเป็นอย่างไรจะทดสอบจะดูกันตรงนี้ว่างั้นนะ อันนี้เรายังไม่เคยทำแบบถึงไหนถึงกัน แบบที่ว่าเอาจริงเอาจัง ให้มีสติติดแนบตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เราจะทำอย่างนั้นว่างั้น เพราะทำอย่างอื่นมันก็ไม่ได้ผล เอา วินิจฉัยใจลง ลงกันได้ ทีนี้เอาอย่างนี้แน่นอน จึงเทียบเหมือนกับว่าระฆังเป๋งแล้วเอาเลย เอานะที่นี่ นั่นแหละนะ พอว่า เอา สติจะเผลอไปไม่ได้ที่นี่ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเรียกว่าขึ้นต่อยบนเวทีแล้ว เหมือนหนึ่งว่าระฆังดังเป๋งนักมวยก็ซัดกันเลย อันนี้พอระฆังดังเป๋ง คือสัญญาอารมณ์หยุดแล้วทีนี้สติจับปุ๊บเลย ไม่ให้เผลอ ตั้งแต่ตื่นนอน เอาไม่ให้เผลอจริงๆ จับอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นทุกข์มากนะ ทุกข์มากที่สุด ทุกข์ก็ไม่ถอย
ตั้งสติพุทโธๆ อยู่กับนั้นไม่ให้เผลอ ให้ติดกันตลอดๆ เคลื่อนไหวไปมาที่ไหนไม่ถือเป็นงานสำคัญยิ่งกว่าไม่ให้เผลอกับคำบริกรรม ไปบิณฑบาตก็ก้าวไปแต่แข้งแต่ขา เขาเอาอะไรมาใส่ พุทโธไม่ได้ปล่อยเลย เอ้า มีอะไรใส่ก็รับไปๆ แต่พุทโธกับสตินี่ติดแนบๆ ไม่นานนักนะ คือเอาจริงเอาจังไม่ให้เผลอจริงๆ จนกระทั่งหลับเลย นี่จึงว่าทุกข์มากนะการตั้งสติแบบเอาจริงเอาจังถึงขนาดที่ว่าระฆังดังเป๋งนี่ เรียกว่าเป็นคำสัตย์คำจริง ต่อยกันอย่างถึงพริกถึงขิง จิตนี้จะเผลอไปไม่ได้ว่างั้นเลย พอว่าเอานะตั้งแต่นี้ไม่เผลอเลย ใส่กันไม่หลายวันนะ แล้วทีนี้จิตมันก็ค่อยสงบๆ
สิ่งที่ผลักดันคือความคิดปรุงของกิเลสที่มันเคยตัวมันผลักดันออกมา จะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราบังคับเอาอยู่แล้วนี่ ไม่ยอมให้มันออกเลย ความคิดเหล่านั้นไม่ให้ออก ให้มีแต่คำว่าพุทโธออกอย่างเดียว พุทโธเป็นคำบริกรรมเป็นธรรมไม่ใช่กิเลส กับสติติดแนบไปนี้ สุดท้ายความผลักดันอันนั้นก็ค่อยเบาลงๆ พุทโธก็โล่งขึ้นๆ โล่งขึ้นเรื่อย ทีนี้ก็โล่งไปเลย นี้อันหนึ่งนะ เวลาจิตกับพุทโธคำบริกรรมติดแนบกันไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีเวลาปล่อยวางกันเลย ไม่มีวรรคมีตอนเข้าไป จิตก็สงบลงๆ ละเอียดเข้าไปๆ จนกระทั่งคำบริกรรมพุทโธ จิตมันลงความละเอียดเต็มเหนี่ยวแล้ว บริกรรมคำว่าพุทโธไม่ได้เลยนะ หมด นี่มันเป็นเอง นึกยังไงก็ไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด นึกคำบริกรรมไม่ได้เลย
งงเจ้าของ อ้าว มันเป็นยังไงกันนี่ งงก็ไม่ให้เผลอนะ มันเป็นยังไงที่นี่ แต่ก่อนกำหนดคำบริกรรมได้ บัดนี้ทำไมมันบริกรรมไม่ได้ทั้งๆ ที่ไม่เผลอ แต่นึกเป็นคำบริกรรมไม่มีเลย ตัดสินเจ้าของอีกว่า อ้าว ถึงไม่มีก็ตามคำบริกรรม ความรู้มีอยู่ เอาสติจับกับความรู้เลย อ้าว มันจะเป็นอย่างไรให้รู้กัน สติจับไม่ให้เผลอเช่นเดียวกับเราบริกรรมนั่นแหละ ให้สติจับอันนั้น ทีนี้เวลาสติจับอยู่กับจิตที่มันละเอียดลออนั้นแล้ว พอได้จังหวะ โอ้ นี่มันสงบนะนั่นนะ คือมันสงบบริกรรมไม่ได้เลยทั้งๆ ที่ไม่เผลอไผลไปอย่างอื่นอย่างใด แต่บริกรรมไม่ได้เห็นชัดเจน เอ้า ให้สติอยู่ตรงนั้น มันจะเป็นอย่างไร ทีนี้พอได้จังหวะมันก็ค่อยคลี่คลายออกมา เพราะเราไม่เผลอ มันตามกันได้ทุกระยะ
พอคลี่คลายออกมาเอาบริกรรมทดลองดู พอนึกบริกรรมได้ๆๆ เอาเลยเข้าเลย เอาอีก ทีนี้ก็บริกรรมได้อีกนะ มันถอยออกมาแล้วได้อีก ทีนี้เวลามันได้จังหวะมันก็ลงอีกแบบเก่า ทีนี้รู้จักวิธีปฏิบัติแล้ว เอ้า ลงอย่างนั้นก็ให้มีสติจ่อ ไม่นานจิตก็ค่อยตั้งรากตั้งฐานขึ้นได้ ทีนี้จิตเลื่อนขึ้นไปละเอียดขึ้นไปๆ จนกระทั่งถึงที่มันเคยได้นั้นแล้วมันเสื่อม เอ้า ทีนี้เอามันเสื่อมก็ให้เสื่อมไป คำว่าพุทโธกับใจนี้จะไม่ให้เสื่อมจากกัน สติไม่ให้เสื่อมจากกัน อันนั้นจะเสื่อมไปไหนเสื่อม เพราะเราเคยอิดหนาระอาใจหรือทุกข์ทรมานกับมันมาแล้ว ไม่อยากให้เสื่อมเท่าไรมันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตา เอ้า จะเสื่อมก็ให้เสื่อมไป เจริญก็ให้รู้กัน เสื่อมก็ให้รู้กัน แต่พุทโธนี้จะไม่ยอมให้เสื่อม ให้ขาดจากเป็นคำบริกรรมนี้เลย ติดเรื่อยๆๆ เลย
พอไปถึงขั้นที่มันเคยขึ้นแล้วมันจะลงนะ ธรรมดามันเคยถึงแล้วมันต้องลง พอไปถึงนั้นแล้วปล่อยเลย เอ้า ลงก็ลงแต่คำบริกรรมพุทโธนี้จะไม่ยอมปล่อย ติดแนบเลย พอไปถึงนั้นแล้วมันเลยไม่ลงนะ มันหนาแน่นอยู่นั้น เอาอยู่กับนั้นอีกมันจะไปไหนก็ไป พุทโธนี้จะไม่ปล่อย เมื่อบริกรรมได้อยู่แล้วไม่ปล่อย ทีนี้มันก็ค่อยหนาแน่นขึ้นๆ ไม่เสื่อมอีกนะ ที่มันเคยเจริญขึ้นสิบสี่สิบห้าวัน ขึ้นถึงขั้นนั้นแล้วอยู่ได้สองสามวันลงเลยๆ ไม่ลง เอ้าปล่อยมันจะไปไหนก็ไป พุทโธไม่ปล่อย ทีนี้ก็ค่อยหนาแน่นขึ้นๆ จนจับได้ มันไม่ลงที่นี่ มีแต่ขึ้นเรื่อยละเอียดเรื่อย อ๋อ จิตเรานี้เสื่อมเพราะขาดคำบริกรรมจริงๆ นั่นละจับได้ ก็ซัดจนกระทั่งจิตนี้เป็นแท่งแห่งความรู้เด่นอยู่กับนี้
ทีนี้เอาสติจับไว้กับความรู้ บริกรรมมันละเอียดมาก เมื่อมันพอบริกรรมได้อยู่ยังบริกรรมนะ เมื่อมันเข้าถึงขั้นละเอียดไม่รวมมันก็ละเอียด ความรู้นี่มันละเอียด ให้อยู่กับนั้น สติติดอยู่กับนั้น ต่อไปก็ก้าวขึ้นเรื่อยๆๆ ละ นี่ละวิธีตั้งจิต ให้ท่านทั้งหลายจำไว้เอาไว้ ผมทำมาเป็นแบบฉบับแล้วนะหายสงสัย จิตผมตั้งขึ้นได้เพราะอันนี้เอง ไม่เสื่อมอีกเลย จากนั้นก็ไปรับพ่อแม่ครูจารย์มาจากธาตุพนม ท่านไปเผาศพพ่อแม่ครูจารย์เสาร์ กลับมาก็มาด้วยกัน พอมานี้หมดภาระแล้วที่นี่ เอาละที่นี่หมดภาระ ไปอย่างนั้นก็ไม่ได้ถอยนะคำบริกรรม ถอยเมื่อไร พอกลับมาแล้วหมดภาระที่นี่ เอ้า จะเอาให้เต็มเหนี่ยวฟัดกันเลย นั่งหามรุ่งหามค่ำนะที่นี่ พอกลับมายังไม่ได้เข้าพรรษานะนั่งหามรุ่งหามค่ำได้เลยทีเดียว
จิตแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในเวลานั่งตลอดรุ่งนี่ทุกคืน ไม่มีพลาดเลยนะ เป็นแต่เพียงว่าลงช้าหรือเร็วต่างกัน ถ้าวันไหนปัญญาพิจารณาไม่ค่อยคล่องตัวนัก วันนั้นทรมานร่างกายมาก ถ้าวันไหนปัญญาจับติด สติปัญญาจับติดๆ จิตลงผึงเลยอย่างนั้น พอสว่างแล้วลุกไปได้เลยทั้งๆ ที่เวลาเท่ากัน คือนั่งต้องเอาสว่างเป็นเกณฑ์ ไม่เป็นวันใหม่เสียก่อนจะลุกขึ้นไม่ได้ บังคับเจ้าของก็บังคับแบบนี้ มีข้อยกเว้นข้อเดียวคือนั่งอยู่ในระยะนั้น ก็อยู่กับครูกับอาจารย์กับพระกับเณรบ้านนามนเราไม่ลืม พรรษาที่สิบเป็นพรรษาที่ผมหนักมากที่สุดทั้งทางร่างกายและจิตใจ จิตใจก็ทรมานอย่างหนัก กายก็ทรมานอย่างหนัก ลงได้ทุกคืน นี่ก็คือสละตายนั่นเองมันถึงลงได้
มันจะเจ็บจะปวดขนาดไหน เอ้า ไล่เบี้ยกันลงไปเลย มันเจ็บตรงไหนมาก สมมุติว่ามันเจ็บเข่า มันเจ็บหนังหรือเจ็บเนื้อ ถ้าว่าเจ็บหนังว่าหนังเป็นทุกข์ เวลาคนตายแล้วหนังมีอยู่ไม่เห็นมีอะไร ไม่เห็นเป็นทุกข์ เนื้อเป็นทุกข์ คนตายแล้วเนื้อก็มีอยู่เผาไฟแล้วไม่เห็นเป็นอะไร จนกระทั่งกระดูกตับไตไส้พุงสกลกาย ย้อนหน้าย้อนหลังด้วยสติปัญญาหมุนติ้วๆ นะเวลาทุกข์มากเราอยู่เฉยๆไม่ได้นะ สติปัญญาต้องหมุนติ้วๆ จะไปทนเอาเฉยๆ ไม่ได้นะ มันหนักมากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนตลอดเวลา เดี๋ยวมันได้จังหวะดีๆ มันก็ลงผึงเลย พอลงนี้มันว่างหมดเลย อัศจรรย์ เหลือแต่ความปรากฏ ความปรากฏนั้นละเอียดสุดขีดเลย นั่นละเด่นแล้วที่นี่ จ้าแล้ว พอได้สักขีพยานวันนี้แล้ววันหลังยิ่งกล้าหาญใหญ่เลย เอ้ามันจะเป็นอะไรก็เป็น สักขีพยานเราได้แล้วมันยิ่งหนักแน่นซัดลงไป นั่งเก้าคืนสิบคืนแต่ไม่ติดกัน เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง นั่นละผมตั้งหลักได้จิตใจแน่นหนามั่นคง ปึ๋งๆๆ เลยเทียวนะ
นี่การฝึกหัดตนเองต้องมีความจริงใจต่อตน อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ นะ ถึงวันตายก็เหลาะแหละอยู่อย่างนี้ ความเหลาะแหละไม่สร้างสารคุณอะไรให้เราเลย ต้องเป็นความจริงจังเท่านั้นที่จะสร้างสารคุณให้ วันนี้ก็เหลาะแหละ วันหน้าก็แบบเก่าๆ ก็เป็นทางของกิเลสเดินด้วยความเหลาะแหละๆ ในทางความเพียร แต่เข้มแข็งทางกิเลสไปโดยลำดับอย่างนั้นแหละ จะไม่เกิดผลประโยชน์อะไรนะ
ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งอกตั้งใจ วิธีการบำเพ็ญก็ได้สอนแล้ว สอนอย่างไม่ผิดไม่พลาดเสียด้วย แม่นยำ เป็นที่แน่ใจ เราได้ผลมาแล้วอย่างนี้จากความจริงใจของเรา แล้วก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นสมาธิ ทีนี้ เอ้า อยู่ที่ไหนอยู่ได้เลย นั่งทั้งวันมันก็ได้ ไม่ได้คิดเรื่องอะไรมีแต่ความรู้ที่แน่ว ความคิดความปรุงมันรำคาญนะ แต่ก่อนมันไม่ได้คิดไม่ได้มันรำคาญ ต้องคิดต้องปรุงเพราะกิเลสไสออกไป ทีนี้เวลาสมาธิธรรมทับหัวความคิดนั้นแล้วมันไม่อยากคิดที่นี่ นั่งอยู่ที่ไหนแน่ว คือความรู้เป็นอันเดียว แน่ว ไม่มีอะไรกวน มันคิดยิบๆ แย็บๆ นี่ โหย รำคาญ แน่ะ มียิบๆ แย็บๆ นี่รำคาญ นี่ถึงขั้นสมาธิเต็มภูมิ ความคิดปรุงต่างๆ รำคาญไม่อยากคิด
เพราะฉะนั้นผู้ที่จิตเป็นสมาธิแล้วจึงติดสมาธิ อยู่นั่นทั้งวันก็อยู่ได้ อยู่ไหนสบายหมดจิตไม่กวนตัวเอง คือไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายคิดนั้นคิดนี้เสียเท่านั้นเอง มีหนึ่งเอกจิตเอกธรรม ทั้งๆ ที่มีกิเลสอยู่ท่านเรียกว่าเอกัคคตารมณ์ มันหากเป็นอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน จิตดวงที่มีสมาธิเต็มที่แล้วเป็นอย่างนั้น เต็มภูมิ เราไม่สงสัยเรื่องสมาธินี่ไม่ว่าขั้นใด เราเป็นมาหมดแล้ว ใครจึงมาโกหกยากนะ ตั้งแต่เริ่มเป็นสมาธิขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็รู้ๆ ชัด จนกระทั่งถึงสมาธิแน่นเหมือนหินนี่มันก็เป็นมาแล้ว จนถึงกับว่าลืมเรื่องปัญญา ถ้าอยู่กับสมาธิทั้งวันก็อยู่ได้ สุดท้ายก็ชี้ลงไปตรงนั้น เอ้อ นี่ละนิพพานอยู่ตรงนี้ๆ อยู่ที่รู้เด่นนั่นแหละ ว่านิพพานอยู่นั่นเสีย ถ้าว่ากินปลาก็หมดทั้งกระดูกหมดทั้งก้างทั้งกระดูกกินหมดเลย ความโง่ยังเต็มอยู่ในสมาธิมันจะเป็นนิพพานได้อย่างไร จนพ่อแม่ครูจารย์มาขนาบทางด้านสมาธิ
นี่ละพอท่านขนาบนี้ออก ออกนี้มันก็ผึงเลยเพราะสมาธิมันพอตัวมานานเท่าไร ตั้งห้าปี พอท่านลากออกทางปัญญาเท่านั้นแหละ นี่ผมพูดย่อๆๆ นะ ทีแรกมันไม่ยอมลงท่าน เถียงกันเหมือนกัน ท่านใส่เอาเปรี้ยงๆๆ จึงยอมลงท่าน พอออกปัญญานี้ โถ ที่นี่นะ ก็เหมือนกับเครื่องครัวเราครบหมดแล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่ประกอบอาหารให้เป็นอาหารชนิดนั้นๆ เท่านั้น มันก็เป็นผักเป็นหญ้าเป็นปูเป็นปลาอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่เป็นแกงเป็นอาหารชนิดต่างๆ ให้ซิ พอเอามาปรุงนี้ก็คือปัญญาออกจาระไน ทีนี้ออกแล้วรู้แล้วๆ กระจ่างขึ้นๆ ทีนี้มันก็มาตำหนิสมาธิ โอ้โห มันขึ้น ทีแรกขึ้นชอบกลๆนะ พอปัญญาเริ่มก้าวออก เอ๊ะ ชอบกลๆ ทำให้เพลินให้รู้ให้เห็นเรื่องกิเลสต่างๆ
แต่ก่อนมันมีตั้งแต่ความสงบมันไม่ได้เห็นกิเลส พอออกทางด้านปัญญาเห็นกิเลสด้วยที่นี่ โอ๋ เป็นอย่างนี้ๆ ก็หนักเข้าๆ โอ๋ แก้กิเลสแก้ด้วยปัญญาต่างหากสมาธิไม่ได้แก้กิเลส นอนตายอยู่เฉยๆ ทีนี้เวลาออกทางด้านปัญญามันเลยไม่สนใจกับสมาธิ นี่ก็เลยเถิด เพราะสมาธินี้ไม่ได้แก้กิเลส แต่เป็นที่พักของปัญญาที่ทำงานเต็มที่แล้วมาพักตัวให้ได้กำลัง ออกจากสมาธิแล้วปัญญาเหมือนกับมีดได้ลับหิน เจ้าของก็เหมือนได้พักผ่อนนอนหลับรับประทานอาหารอิ่มแล้วมีกำลัง ฟัดกันเลยที่นี่ มีดเล่มนั้นแหละคนๆ นั้นแหละฟันไม้นี้ขาดสะบั้นไปเลย นี่เมื่อได้ลับมีกำลังแล้ว
ให้จำให้ดีนะคำพูดเหล่านี้ ใครอย่าไปหนักที่ไหนๆ ทิฐิมานะมันจะแทรกนะ ผมมันแทรกมาพอแล้วเถียงจนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์มั่น แต่ท่านกระจ่างแจ้งหมดแล้วใส่เปรี้ยงเดียวมันก็หงาย เพราะเราเถียงเพื่อความรู้ความเห็นความเข้าอกเข้าใจ ไม่ได้เถียงด้วยทิฐิมานะนี่นะ ท่านว่าตรงไหนพอถูกปั๊บหมอบเลยๆ ที่ไหนไม่ลงก็ซัดกันกับท่าน นั่นเป็นอย่างนั้น จากนั้นมาปัญญาจึงได้ออก เริ่มออกละที่นี่ เริ่มออกก็ไม่ไปไหน ให้จำข้อนี้ให้ดีอีกนะ
พอปัญญาเริ่มออก หมุนเข้าสู่สกลกายเรื่องอสุภะอสุภัง นี่ละรังแห่งกิเลสทั้งหลายมีกามกิเลสเป็นสำคัญ อยู่จุดนี้นะ ให้พิจารณาร่างกาย ร่างกายเขาก็ตามร่างกายเราก็ตามให้พิจารณาเป็นอสุภะอสุภัง ดูหนังดูเนื้อเอ็นกระดูก ทั้งหนังเขาหนังเรามันเป็นหนังอันเดียวกันนั่นแหละ คลี่คลายออกดู ดูหนังข้างนอกก็มีผิวหนัง ดูข้างในเป็นอย่างไร พลิกไปพลิกมาด้วยปัญญา แล้วกระดูก เนื้อ เอ็น ไปจนกระทั่งถึงอวัยวะส่วนต่างๆ พิจารณากลับไปกลับมาให้มีความชำนิชำนาญในการพิจารณา ให้คล่องตัวไปเรื่อยๆ แล้วเรื่องอสุภะอสุภังนี้ก็จะรวดเร็วขึ้นๆ ถ้าพูดถึงอสุภะความไม่สวยไม่งามมันหมดทั้งตัว มันเอาความสวยงามมาจากไหน เวลามันรู้มันชัดอย่างนั้นนะ หมดทั้งตัวมีแต่กองอสุภะอสุภัง มีแต่ส้วมแต่ถาน แล้วมันเสกสรรปั้นยอว่าสวยงามมาจากไหน นี่ ถึงขั้นปัญญามันคลี่คลายนะมันจะเห็นไปหมด
ดูใครก็ตามว่าไม่ว่าหญิงว่าชายว่าเฉยๆ มันก็หนังห่อกระดูกกองอสุภะอสุภังเหมือนกันหมดนั่นแหละ นี่ที่มันเหมาไปเลย เราจะพิจารณาภายนอกก็ได้ อสุภะข้างนอกคนอื่นก็ได้ พิจารณาเราก็ได้แล้วแต่ความถนัด เอาให้มันกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับแล้วคล่องตัวเรื่อยนะ อสุภะอสุภังเวลาพิจารณาไปมันจะคล่องตัวรวดเร็วขึ้น มองดูอะไรๆ นี้มันจะเห็นอย่างรวดเร็วๆ คำว่าอสุภะ ดูเนื้อนี้มันแดงโร่ไปเลย ดูกระดูกกระจ่างขึ้นมา ดูอะไรมันชัดเจนๆ นี่เรียกว่าปัญญาคล่องแคล่ว ครั้นเวลามันชำนิชำนาญพอแล้วทีนี้เห็นอะไรมันเป็นอย่างนี้หมดนะ ไม่ว่าเห็นหญิงเห็นชายที่ไหนๆ มองดูปั๊บนี่มันเป็นแบบเดียวกับเราที่เคยพิจารณาแล้วนี้ มีแต่หนังห่อกระดูก ถ้าว่ากระดูกมันก็เป็นกระดูกหมดเสีย ถ้าว่าเนื้อก็แดงโร่เสีย ถ้าว่าหนังข้างในก็แดงโร่ข้างนอกก็เป็นผิวหลอก แน่ะ
พอกำหนดอันนี้มันรวดเร็ว กำหนดให้พังเมื่อไรมันก็พัง นี่ละคือปัญญารวดเร็ว พิจารณาเป็นอะไรมันเป็นอย่างนั้นทันทีๆ กำหนดทำลายนี้มันก็ผางหมดเลยๆ เราเดินไปสามก้าวสี่ก้าวนี่มันพิจารณาทางด้านปัญญา มันทำลายอสุภะอสุภังไปได้ถึงห้าเที่ยวฟังซิน่ะ มันเร็วไหม นี่เรื่องการพิจารณาอสุภะอสุภังถึงขั้นปัญญารวดเร็วคล่องตัวแล้วนี้ผางทีเดียว พอกำหนดปั๊บนี่แตกกระจายลงผึง ตั้งขึ้นปุ๊บแตกผึง ตั้งขึ้นปุ๊บกระจายทันทีๆ เดินเพียงสามก้าวสี่ก้าว เราพิจารณาทำลายอสุภะอสุภังได้ถึงสี่เที่ยวห้าเที่ยว มันเป็นเองนะ นั่นล่ะที่นี่เอาให้แหลกนะพิจารณาอสุภะ เอา พิจารณาให้ดีให้มีความคล่องตัว มองดูข้างนอกก็ให้คล่องตัว เรื่องสุภะความสวยความงามไม่มีเลยละถึงปัญญาขั้นนี้แล้ว มันมีแต่มูตรแต่คูถเต็มเนื้อเต็มตัวทั้งเขาทั้งเรา
ตอนนี้ละราคะจะสงบเต็มที่นะจะไม่มีราคะ ปรากฏว่าเหมือนหนึ่งเป็นพระอรหันต์น้อยๆ นั่นแหละ ไม่มีเรื่องราคะ กำหนดหลอกมันให้กำหนัดมันก็ไม่กำหนัดเพราะอันนั้นมาเป็นภูเขากั้นหน้าไว้ คืออสุภะ มีแต่อสุภะจะเอาอะไรมากำหนัดยินดี นี่ละเวลาอสุภะมันแก่กล้าแล้วจะไม่เห็นความสวยความงาม เรื่องหญิงเรื่องชายไม่มีความสวย มีตั้งแต่อสุภะอสุภังเต็มตัวๆ นี่ราคะจะสงบตอนนี้ สงบมากเข้าๆ โดยลำดับ เอ้า ที่นี่เรื่องสุภะอสุภะก็ดีไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถอนกิเลสโดยตรงนะ เป็นเครื่องฝึกซ้อมที่จะก้าวเข้าไปหาการตัดราคะต่างหาก ราคะจริงๆ ไม่ได้อยู่ในนั้นนะ เวลาพิจารณาจริงๆ
เอ้า เวลามันชำนาญแล้วจับให้ดีนะคำนี้ เวลามันชำนาญแล้วตั้งกำหนดอสุภะ เช่น เรานั่งเป็นหนังห่อกระดูก หรือเอาหนังออกหมดให้เหลือแต่เนื้อแดงโร่ หรือให้เหลือตั้งแต่กองกระดูก แล้วแต่เราจะพิจารณาแบบไหนคำว่าอสุภะมันก็เข้าใจกัน เอ้า เอามาตั้งไว้ตรงหน้า เอ้า ไม่ทำลาย นี่ละเรื่องทดสอบกันฝึกซ้อมกัน เราพิจารณาทำลายเมื่อไรเร็วที่สุดแหละเรื่องอสุภะนี่ เมื่อสติปัญญาคล่องตัวแล้วพิจารณาเมื่อไรพังเมื่อไรนี้ขาดสะบั้นไปทันทีไม่ยากเลย เพราะความคล่อง ทีนี้ไม่ทำลาย เราจะทดสอบเอาหลักความจริงว่าราคะนี้มันเกิดจากไหน ราคะจะสิ้นไปเมื่อไร เอาตรงนี้ละ ตรงนี้ตรงหัวเลี้ยวหัวต่อนะ
ทีนี้เวลามันชำนิชำนาญในการพิจารณาอสุภะอสุภังแล้ว เอ้า กำหนดไว้ข้างหน้าที่นี่นะ จะกำหนดเรื่องผู้หญิงอสุภะก็ตาม กำหนดผู้ชายเป็นอสุภะก็ตาม แต่ส่วนมากมันจะเอาตัวเองนั่นแหละออกเป็นอสุภะ อสุภะไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะตัวนี้เป็นผู้ไปหมายนี่นะ ตั้งไว้ทีนี้ไม่ทำลาย สมมุติว่ากองกระดูกก็ให้มันเป็นอยู่นั้น เอ้า มันจะเป็นไปไหน เราไม่ตกไม่แต่งคือไม่ไปทำลาย ไม่ไปโยกย้ายมันด้วยเจตนานะ ให้ตั้งไว้ เอ้า มันจะเป็นอย่างไร ทีนี้เพ่งดู เพ่งดูอสุภะอันนี้อันที่เราเคยพิจารณาชำนิชำนาญให้แตกให้ดับเมื่อไรได้ตามต้องการ ทีนี้ไม่ทำลาย เอาตั้งไว้ตรงหน้าแล้วเพ่งดู นี่ละตอนสุดท้ายของอสุภะ เราจะได้เห็นชัดเจน ตั้งตรงนี้
เราไม่มีเจตนานะ ตั้งไว้ในปัจจุบันไม่มีเจตนาทำลาย ไม่มีเจตนาที่จะดึงเข้ามาและที่จะไสออกไป ทางซ้ายทางขวาข้างหน้าข้างหลัง ให้มันอยู่อย่างนั้นก่อน เราอย่าไปตกแต่งนะ นี่จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ ตกแต่งเป็นความผิดนะ ให้มันเป็นในหลักธรรมชาติเอง เอ้า เอาตั้งไว้ตรงนั้นแหละ เมื่อตั้งไว้ไม่ทำลาย เอาอยู่อย่างนั้นมันอยู่อย่างนั้น อยู่จนถึงกาลอันควร เมื่อมันยังไม่เคลื่อนไหวไปไหนแล้ว เอา ทำลายเสียก่อนพิจารณาอีกๆ นะ พอสมควรแล้วเอามาตั้งอีก นี่ละที่จะฝึกซ้อมหาต้นตอของราคะตัณหา มันจะเกิดนี้ อันนี้ผมพูดยากนะ ถ้าพูดหมู่เพื่อนจะจับ ให้มันเป็นเอง เพราะฉะนั้นจึงเปิดประตูให้เข้าเอง นี่ละประตูที่จะสังหารราคะตัณหาตรงนี้เอง เอ้า ตั้งไว้ตรงนั้น เราไม่ต้องไปดึงเข้ามา ไม่ต้องไสออกไปข้างนอก ไม่ต้องให้เอียงหน้าเอียงหลัง คือตั้งไว้อย่างนั้นเป็นหลักธรรมชาติ ฟังว่าแต่หลักธรรมชาติ ให้มันเป็นโดยหลักธรรมชาติของมัน แล้วให้เพ่งดู เอ้า ว่ามันจะเคลื่อนย้ายไปไหนอสุภะอันนี้น่ะ
เราพิจารณามาพอแล้ว ให้แตกทำลายก็พอ ทีนี้ไม่ให้ทำลายแล้วจะดูมัน เอ้า ตั้งไว้นั้นแหละ มันจะเป็นอย่างไรให้เป็นเองให้เห็นประจักษ์ โดยไม่ต้องถามใครนะ เป็น สนฺทิฏฺฐิโก จะบอกตัวเอง ถ้าหากว่ามันยังไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ให้อยู่มันก็อยู่ แสดงว่ายังไม่พอ การพิจารณาอสุภะของเรายังไม่พอ ฝึกซ้อมใหม่ เอ้า ทีนี้ทำลายเสีย จะทำลายก็ทำลาย แล้วพิจารณาต่อไปอีกอย่างนั้นแหละ ตั้งขึ้นแล้วทำลายในนั้นและเอามาตั้งอีกทดสอบกันอีก เมื่อมันพอแล้วไม่บอกละนะ อันนี้ผมจะไม่บอก ให้ตั้งไว้นั้น อันที่ตั้งนั่นละมันจะมาสอนเราเอง เรื่องราคะตัณหามันจะบอกในตัวเอง เห็นโทษของตัวเองที่ไปหมายมั่นปั้นมือเอาอันไหนๆ มันจะรู้ขึ้นในปัจจุบันโดยไม่ต้องถามใคร
นี่ละหลักถอนราคะ ไม่ใช่ว่าถอนด้วยอสุภะนั้นอสุภะนี้อะไรนะ มันถอนด้วยตรงนี้ เอาตรงนี้มาตั้งจุดสุดท้ายมันจะอยู่จุดนี้ กำหนดให้ดี เอ้า มันจะออกจะเข้าให้มันเป็นเองของมัน นี่ละตอนสำคัญ ผมบอกเพียงจุดเดียวนี้นะ ให้เอาอย่างนี้มาพิจารณา มันจะเข้าสู่หัวใจของเรานี่ละเป็นผู้ตัดสินมันเรื่องราคะ อ๋อ อย่างนี้เอง โห ราคะเป็นอย่างนี้เอง อันนั้นเป็นนั้นอันนี้เป็นนี้เราหลงเงาลืมเงา นี่จับตัวจริงได้แล้ว ทีนี้พอผ่าน เราพูดเอาตอนผ่านเลย ตอนที่ปฏิบัติหน้าที่เรื่องราคะกับอสุภะอันนี้พูดเพียงแค่นี้ก่อน ไม่พูดให้มากไปกว่านี้ ให้ผู้ปฏิบัติกำหนดเอานี้เองนะ เราจะพูดเรื่องทางผ่านต่อไปนะ
ทีนี้พอมันหมดจังหวะ อสุภะนี้หมดจังหวะแล้ว ให้เราตั้งอันนี้แหละตั้งอสุภะขึ้นมา ที่เราเคยได้เหตุได้ผลประจักษ์หัวใจแล้ว ตั้งครั้งนี้ฝึกซ้อม เอ้าฝึกซ้อม เอาอันนี้เป็นหินลับปัญญาเลย ฝึกซ้อมเรื่อย มันจะละเอียดเข้าไปๆ ตั้งขึ้นแล้วกำหนดนี้ปั๊บเข้าปุ๊บๆๆ ต่อไปก็ค่อยเร็วเข้าๆ สุดท้ายหมด นี่แหละเรียกว่าฝึกซ้อม สติปัญญาจากนี้ไปแล้วจะเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ส่วนสติปัญญาพิจารณาทางอสุภะอสุภังนี้ยังไม่เป็นอัตโนมัตินะ มันเป็นชุลมุนวุ่นวาย จะเรียกว่าอัตโนมัติยังไม่ได้ พอผ่านอันนี้ไปแล้วที่นี่ มันอาศัยอันนี้ละเป็นเครื่องฝึกซ้อม แล้วจะเป็นอัตโนมัติหมุนเรื่อยๆๆ
นี่ละพระอนาคามีที่ท่านถึงจุดนี้แล้วท่านจึงว่าไม่กลับมาเกิดอีก จะเกิดได้อย่างไรก็มันรู้ชัดๆ ก็มีแต่ฝึกซ้อมให้มันเลื่อนขึ้นละเอียดเข้าไปๆ นี่ละอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี คือการฝึกซ้อมจิตอันนี้เอง มันจะละเอียดเข้าไปๆ ควรขั้นไหนๆ มันจะรู้ของมันเองเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสุดท้ายของมันถึงเรื่องอันนี้หมด เรื่องวิธีฝึกซ้อมอะไรมันหมด นี่ก็จะบอกอีกเหมือนกัน จนกระทั่งอวิชชา ถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ลงในอวิชชา ขาดสะบั้นไปแล้วนี้จ้าไปหมดเลย ถึงขั้นไหนล่ะที่นี่
นี่ละเรื่องวิธีปฏิบัติให้ท่านทั้งหลายจำเอานะ ผมพูดมาตามลำดับลำดาแห่งภาคปฏิบัติที่ตัวเองได้ปฏิบัติมาแล้วหายสงสัยเป็นลำดับลำดา เป็นแบบฉบับแก่การสอนผู้อื่นได้โดยไม่สงสัยเลย เพราะเราปฏิบัติมาอย่างนี้ เป็นผลประจักษ์กับเรามาโดยลำดับลำดาหาสงสัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงกล้าที่จะนำมาสั่งสอนหมู่เพื่อนด้วยความแน่ใจไม่สงสัย นี่ละเรื่องอสุภะสำคัญมากนะ ขอให้ท่านทั้งหลายใช้เรื่องอสุภะอสุภังให้มาก กามราคะอยู่จุดนี้นะ ต้องใช้อันนี้ให้มาก กามราคะนี้จะค่อยลดลงๆ พอลืมหูลืมตาได้ ถึงมันยังไม่ขาดก็ลืมหูลืมตาได้ จนกระทั่งถึงจุดมันขาดมันก็รู้เอง ให้เอาอันนี้หนัก จากนั้นไปก็ก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติแล้วมหาสติมหาปัญญาเชื่อมโยงถึงกัน อันนี้ไหลไปเลย นี่ละภาคปฏิบัติ
มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน อยู่ที่ธรรมที่วินัยพระพุทธเจ้าสอน ที่พูดนี้เป็นธรรมล้วนๆ นี่ละอยู่ที่ธรรม นี่ละศาสดาองค์เอกอยู่ที่นี่ละ จำให้ดีนะอยู่ที่วิธีปฏิบัติอย่างนี้ ให้ปฏิบัติตามที่ท่านสอน นี่ละศาสดาองค์เอกคือธรรมละที่นี่ องค์เอกอยู่ที่นี่ อะไรขาดไปๆ ศาสดาองค์เอกจะบอกขึ้นมาๆ เรื่อย วินัยเป็นรั้วกั้นๆ ศาสดาองค์เอกนี้เป็นธรรม ฝึกซ้อมนี่ให้ดีๆ จิตกระจ่างออกมาๆ ส่วนวินัยเรารักษาด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรละนั่น เรื่องวินัยไม่ได้ไปใช้อสุภะอสุภังอะไรละ วินัยเป็นวินัย ห้ามไม่ให้ล่วงเกินสิกขาบทข้อนั้นข้อนี้ ไม่ให้ล่วงเกินเราก็รู้กันแล้ว เราไม่ล่วง แต่เรื่องธรรมละเอียดกว่านั้น พิจารณาเรื่องธรรมให้ขาดสะบั้นออกไปจากใจของเรานะ เมื่อจิตถึงขั้นนี้แล้วจะเบิกกว้างแล้วหมุนตัวขึ้นเรื่อยๆ
จิตที่ขาดจากอสุภะอสุภังในฐานเบื้องต้นนี้เรียบร้อยแล้ว มันจะเป็นสำลีหมุนขึ้นเรื่อย ให้ลงไม่มี เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก มันบอกชัดๆ อยู่ในหัวใจ มีแต่หมุนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งที่สุดฟาดอวิชชาขาดสะบั้นลงไปนี้โลกจ้าไปเลย นี่ละภาคปฏิบัติ ท่านทั้งหลายอย่าไปหามรรคผลนิพพานที่ไหนนะ ให้จำให้ดี ธรรมและวินัยที่เราปฏิบัติอยู่นี้แลคือศาสดาองค์เอกคอยชี้แนะทางเราอยู่เสมอ อย่าให้ห่างจากนี้นะ เรื่องธรรมของเราที่ไม่ชำนิชำนาญตรงไหน เอาให้ดี เช่นอย่างพิจารณาฝึกซ้อมอสุภะอสุภัง เพราะกิเลสตัณหากามกิเลสนี้หนักหน่วงมากทีเดียวนะ แหม ไม่มีอะไรที่จะกดจะถ่วงมากยิ่งกว่ากามกิเลสราคะตัณหานะ กดถ่วงมากกล่อมมากด้วยนะ สัตว์ทั้งหลายนี้ติดกันงอมไปเลยไม่มีวันฟื้นคือตัวนี้แหละ มันกดมันถ่วง เพลินด้วย ความทุกข์ก็เต็มอยู่ในอันนี้
ทีนี้เวลาพิจารณานี้เบาเข้าๆ เรื่องความทุกข์ความกดถ่วงนี้ค่อยเบาไป ฟาดกามกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วความกดถ่วงไม่มี มีแต่ดีดขึ้นข้างหน้าเรื่อย ดีดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ที่ว่าไม่กลับมาเกิดอีก ก็คือกิเลสตัวนี้เองพาให้เกิดให้ตาย กดถ่วงให้เกิดภพนั้นภพนี้คือกามกิเลส พอตัวนี้ขาดสะบั้นไปจากใจแล้วจิตนี้เหมือนสำลีขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งฟาดอวิชชาขาดสะบั้น นั้นแหละจอมแห่งไตรภพอยู่ที่นั่น ขาดสะบั้นแล้วไม่ต้องถามใคร พูดแล้วสาธุทันทีเลย พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ธรรมอันเดียวกันอย่างเดียวกัน ท่านสอนเพื่อให้รู้อย่างนี้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะไปสงสัยที่ไหน สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาแล้ว เป็นพระโอวาทอันเด็ดขาดของพระพุทธเจ้าเสียด้วย นั่นละท่านจึงไม่มีถามกัน พระสาวกองค์ไหนไม่เคยไปทูลถามพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุธรรมถึงที่สุดนี้แล้วเป็น สนฺทิฏฺฐิโก เต็มภูมิๆ
ให้ตั้งใจปฏิบัตินะ เวลานี้ผู้ที่จะทรงมรรคทรงผลมันน้อยลง ก็เพราะผู้ปฏิบัติสนใจปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยเพื่อความพ้นทุกข์ มีน้อยลงเป็นลำดับลำดานะ ต่อไปจนจะไม่มีนะ มันจะหมดไปๆ คำว่าศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าคงเส้นคงวาหนาแน่น ในคัมภีร์ก็เต็มไปหมดมันก็เป็นเหมือนแบบแปลนแผนผังนั่นเอง เราไม่หยิบยกออกมากางมาประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่ท่านสอนไว้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่ความจำเฉยๆ ผู้ใดเรียนก็จำได้ ผู้หญิงผู้ชายเด็กผู้ใหญ่เรียนจำได้ทั้งนั้น ไม่ว่าทางโลกทางธรรมเรียนอะไรจำได้ทั้งนั้น แต่มันมีแต่ความจำ ไม่มีความจริงเพราะไม่ปฏิบัติ ถ้ามีการปฏิบัติแล้วความจริงจะรู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมาเรื่อยๆ
เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือน เอาแปลนมากางแล้ว เอ้า จะทำอย่างไรเอาตึกหลังไหนขนาดไหน ดูแปลนปั๊บนี้ เอาที่นี่ขุดดินขุดอะไรขึ้นไปเรื่อยจะเอาแบบไหนๆ วางรากวางฐานตามแปลน มันก็ค่อยปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาๆ จนเป็นบ้านเป็นเรือนสมบูรณ์แบบตามแปลนนั้นแลเพราะแปลนถูกต้องแล้ว นี้แปลนของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วยิ่งกว่าคนมีกิเลส ของเขาเขาก็รับรองของเขาอยู่แล้วตามสมมุตินิยม ทางวิมุตติธรรมนี้ก็สอนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงนิพพานถูกต้อง เป็นสวากขาตธรรมตลอดนะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ
ผมยิ่งห่วงยิ่งใยหมู่เพื่อนมาก จะเป็นจะตายเท่าไร ธาตุขันธ์มันอยู่อย่างนี้แหละดูเอานะ เวลาอยู่กับโลกก็ปฏิบัติไปตามโลกตามสงสาร สำหรับจิตนี้ผ่านไปหมดแล้วพูดให้ฟังให้ชัดอย่างนี้นะ ไม่ว่าบาปว่าบุญอาบัติข้อนั้นข้อนี้อย่างนี้เป็นสมมุติทั้งมวล จิตนั้นเลยหมดแล้ว ถ้าจะปฏิบัติตามจิตนั้นก็ต้องหมายถึงว่าธาตุขันธ์ต้องผ่านไปหมดแล้ว แต่เมื่อมีธาตุขันธ์อยู่นี้ โลกก็เรียกว่ามีสมมุติอยู่เต็มตัวของเรา เรามีสมมุติเต็มตัวของเรา การปฏิบัติหลักพระวินัยก็ต้องปฏิบัติให้เต็มตัวของเราที่มีสมมุติ ท่านห้ามข้อไหนๆ อย่าไปข้ามไปเกิน เสริมท่านด้วยความยอมรับความจริงๆ ท่านว่าผิดถูกประการใดเราก็ปฏิบัติตามนั้น
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านถึงไม่เคยข้ามเกินพระธรรมวินัยนะ ท่านปฏิบัติด้วยความสวยงามเวลามีธาตุมีขันธ์อยู่ ถ้าเป็นหลักธรรมชาติแล้วท่านจะเป็นโทษเป็นกรรมที่ไหนจิตของท่าน แต่กิริยานี้มันหากขัดกันอยู่ จิตที่บริสุทธิ์แล้วมาครองขันธ์ แล้วจะพาขันธ์ไปทำสุ่มสี่สุ่มห้านี้จิตอันนั้นไม่ลงนะ เพราะยังรับผิดชอบกับขันธ์ รับผิดชอบต้องทำให้ถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัย การปฏิบัติรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ท่านจะเป็นเหมือนพวกเราๆ ท่านๆ เพราะธาตุขันธ์มีโดยสมบูรณ์ การปฏิบัติรักษาให้เป็นความสวยงามตามโลกสมมุติในเวลามีธาตุขันธ์อยู่ ก็ต้องปฏิบัติให้สวยงามสมบูรณ์ ท่านจึงไม่มีองค์ใดที่จะข้ามเกิน นี่เป็นขั้นหนึ่งนะ แต่ส่วนจิตนั้นไม่ต้องพูดแล้ว หมดปัญหาตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด บาปบุญที่ไหนไม่มีเลยละ เลยไปหมดแล้ว
ขันธ์นี้เป็นเรื่องของสมมุติ ก็จิตของเรามันยังครองขันธ์อยู่นี้ ก็เรียกว่าเรายังอยู่ในวงสมมุติอยู่ ต้องปฏิบัติรักษาสมมุติให้สวยงาม ตามหน้าที่ตามแบบฉบับของพระเราซิ จะมาตำหนิติเตียน จิตเป็นอันหนึ่ง ร่างกายไปทำเหมือนลิงเหมือนค่างเหมือนสัตว์นรกอย่างนั้นไม่ได้ มันเข้ากันไม่ได้กับจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์รักษาสิ่งที่จิตบริสุทธ์ ซึ่งยังครองกันอยู่นั้นให้สวยงามเสมอกันไป นี้ละเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นะ ลองไปทำอย่างนั้นดูซี จิตที่ว่าบริสุทธิ์ๆ หากจะมีเครื่องค้านกันอยู่ในนั้นให้รู้จนได้นั่นแหละ นั่นแสดงว่าไม่เหมาะ ทำอย่างไรเหมาะ ก็ปฏิบัติตามสวากขาตธรรม รักษาพระวินัยให้ดีไม่ว่าขั้นใดภูมิใดของจิตของใจถึงขั้นอรหันต์หากรักษาให้ดีเหมือนกันหมด เพราะเคารพพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงทราบไว้หมดแล้ว ถ้าหากว่าควรจะทำลายอะไรๆ พระพุทธเจ้าจะบอกไว้ก่อนแล้ว เอ้า เธอเป็นพระอรหันต์แล้วจะทำอะไรก็ทำได้นะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าองค์ใด ใครจะรู้ความสวยงามความเหมาะสมยิ่งกว่าศาสดา ก็เราเป็นสาวกของท่าน เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วเป็นลิงเป็นค่างไปในร่างทั้งหลายความเคลื่อนไหวใช้ไม่ได้นะ จิตว่าบริสุทธิ์ใครจะไปเชื่อ แน่ะ มันเป็นอย่างนั้นนะ คือจิตบริสุทธิ์กับธรรมชาติเหล่านี้ความกลมกลืนกันนี้ด้วยความสวยงาม ระหว่างจิตวิมุตติกับขันธ์ที่มีอยู่นี้ ปฏิบัติกันด้วยความถูกต้องดีงามนี่ถูกต้อง เป็นอย่างนั้นนะ
ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ เอาให้ได้ทรงมรรคทรงผล ธรรมพระพุทธเจ้านี่เป็น อกาลิโกๆ ศาสดาให้ติดแนบกับจิตเรา นี่ละเราผู้ที่จะทรงมรรคทรงผล คือผู้มีศาสดาติดแนบ พระธรรมและพระวินัย จากนั้นมีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม เอาหนุนกันเข้ากลมกลืนกันอยู่ในศาสดาพระธรรมพระวินัยนี่แหละ ผู้นี้แหละจะเป็นผู้ตักตวงเอามรรคผลนิพพาน ไอ้คนที่มันพูดว้อๆ แว้ๆ มันไม่ได้ทำ มันก็เหมือนหมาเห่าถานนั่นแหละ มันกินอะไรอยู่ในถานมันก็เห่าถานไปอย่างนั้น กินก็กินถานนั่นแหละ เห่าก็เห่าถาน พวกสกปรกเป็นอย่างนั้น แล้วท่านผู้ไม่กินถานเป็นอย่างไรมันก็รู้เอง
ใครจะว่าอะไรช่างเขาซิ กิเลสมันเอาของดีมาพูดอะไร มันต้องมีแต่การคัดค้านต้านทานการลบล้างผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ของดิบของดีมาจากการปฏิบัติดีของตัวเอง พูดออกมานี่ไม่ได้นะ กิเลสตัวนรกจกเปรตนี้มันจะคัดจะค้าน หาว่าโอ้ว่าอวดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไปหมด นี้เรื่องของกิเลสทั้งนั้นโจมตีธรรม ตัวมันสร้างความชั่วช้าลามกอยู่มาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ทำสัตว์ให้ตกนรกหมกไหม้นี้คือตัวไหนถ้าไม่ใช่ตัวกิเลส มันหยาบโลนขนาดไหน มันโหดร้ายขนาดไหนไม่เห็นได้ตำหนิมัน แต่ธรรมนี้เป็นเครื่องรื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาจนกระทั่งถึงนิพพาน มันเสียหายที่ตรงไหนกิเลสจึงมาเห่าว้อๆ ให้จำเอานะคำนี้
เรื่องความสกปรกมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า เวลานี้กิเลสมันยิ่งหนาแน่น กิริยาที่แสดงออกมาคัดค้านต้านทานธรรมและลบล้างธรรม ยิ่งหนาแน่นขึ้นนะ อย่าไปสนใจกับมันพวกส้วมพวกถาน ศาสดาองค์เอกอยู่กับเราพอแล้ว ศาสดาองค์เอกต่างหากที่นำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ พวกส้วมพวกถานคือกิเลสไม่นำใครให้พ้นจากทุกข์ มีแต่พาให้จมอยู่ในทุกข์ จับให้ดีคำนี้น่ะ ใครจะว่าอะไรก็ตามอย่าไปสนใจนะ โลกนี้เป็นโลกสกปรกโสมมสุดยอดแล้ว
พอพูดอย่างนี้มันอดคิดไม่ได้นะ มันเป็นอยู่ในจิตคือมันจ้าอยู่อย่างนั้นทั้งคืนทั้งวันไม่ว่าเวลาไหน ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลยนะ นี่จึงว่ามันหายสงสัย พอทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะเข้ามากวนใจเลย ตั้งแต่ขณะที่กิเลสอวิชชาขาดสะบั้นลงไปจากใจ ว่างไปหมดเลย สว่างจ้าไปหมด เป็นแต่เพียงว่าจะนำมาพูดได้เท่าที่โลกสมมุติทั้งหลายยอมรับได้เชื่อได้ขนาดไหน นำออกมาแสดงตามนั้นเท่านั้น เวลาเจ้าของปฏิบัติแล้วรู้มันก็จะรู้เอง ควรไม่ควรขนาดไหนมันจะรู้ด้วยกันทุกคนนั่นแหละ ผู้ท่านรู้ไปแล้วท่านก็นำออกมาสั่งสอนสัตว์โลกเท่าที่สัตว์โลกจะพอยึดได้ในธรรมขั้นใดๆ ก็สอน อย่างที่พูดนี่แล้ว
ผมช่วยโลกมาได้ห้าปีนี้ก็แกงหม้อใหญ่ๆ ฟังซิ มันพอเหมาะพอดีกับแกงหม้อใหญ่นี้เท่านั้นให้เลยกว่านี้ไม่ได้ นอกจากมีผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมสูงกว่านี้ขึ้นไปแกงหม้อเล็กจะเริ่มออกรับกันทันทีๆ ถ้าผู้ที่ควรจะไปได้นี้แกงหม้อจิ๋วผึงออกมาเลย อย่างนั้นแหละ มีอยู่ในหัวใจแต่ที่จะออกมาให้เป็นประโยชน์แก่โลก ต้องคำนึงถึงโลกว่ามีกำลังวังชาขนาดไหน พอที่จะเอาได้ ให้มีกฎมีเกณฑ์นะพระเรา ให้ระมัดระวังรักษาตนเองอย่าให้มีการกระทบกระเทือนกันเป็นอันขาดนะ กิเลสตัวกระทบกระเทือนตัวโกรธตัวเคียดแค้นหรือทะเลาะเบาะแว้งกันนี้หยาบโลนที่สุด อย่าให้มีในวัดเรา ซึ่งเป็นวัดปฏิบัติ จะกำจัดหรือฆ่ากิเลสตัวหยาบช้าลามกนี้ให้ขาดสะบั้นในใจ อย่ามาสั่งสมมัน ด้วยความยินดีให้เกิดความทะเลาะเบาะแว้งกันนี้ฟังไม่ได้เลยนะ อันนี้เลวมากทีเดียว
พอมันแย็บออกไปจะคิดไม่ดีกับผู้ใด นี่แหละความคิดอันนี้มันเกิดขึ้นจากเราแล้ว มันเป็นภัยต่อเราแล้ว จะไปเผาคนอื่นอีก ให้รู้มันทันที ดับมันทันที อย่างนั้นจึงเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม รู้ข้าศึกที่มันเกิดขึ้นจากใจเพราะกิเลสอยู่ที่ใจ อะไรมันคิดขึ้นมาหงุดหงิดขึ้นมากับบุคคลผู้ใดพระองค์ใดก็ตาม พอหงุดหงิดขึ้นมา นี่กิเลสตัวนี้ออกแล้วนะ ถ้าปล่อยมันจะไปใหญ่นะ ตีหัวมันลงทันทีๆ แล้วจะไม่มีเรื่องอะไร ดีไม่ดีฟาดมันขาดสะบั้นไปจากใจแล้วไม่มีอะไรมาหงุดหงิด ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วเรื่องเหล่านี้ไม่มี ท่านจึงบอกว่าสิ้นกิเลส ถ้าลงมันยังมีอยู่จะเรียกว่าสิ้นได้อย่างไร
เสียงนี่จะแผดเผาเหมือนฟ้าดินถล่มก็ตาม ก็มีแต่พลังของอรรถของธรรมที่ออกตามน้ำหนักของธรรม ควรจะออกขนาดไหนเท่านั้นเอง ไอ้เรื่องกิเลสที่จะมาแทรกว่ามีความโมโหโทโสอย่างนี้ ถ้าว่ายังมีอยู่นั้นจะเรียกว่าสิ้นกิเลสได้อย่างไร มันไม่มี มีแต่พลังของธรรมพุ่งๆๆ พลังของธรรมออกหนักเท่าไรกระเทือนถึงร่างกาย เสียงแผดเสียงเผา อย่างผมทุกวันนี้มันเป็นเรื่องโรคหัวใจ ถ้ารุนแรง คือธรรมมันออกแรงมันกระเทือน เวลาธรรมผึงออกมานี่กำลังมันจะแรง ลมก็แรง อะไรก็แรง สะท้อนเข้ามาสู่ใจเหนื่อยนั่น ได้ระวังทุกวันนี้ เพราะขันธ์นี้เป็นเครื่องมือของใจ เมื่อขันธ์เป็นอย่างไรแล้วก็ต้องได้ดูแลคำนึงอยู่เสมอ
ไอ้เรื่องที่ว่ากิเลสตัวไหนมันจะมาแสดงนั้นเรียกว่าไม่มี จะหาเท่าไรให้มีมันไม่มี ก็เรียกว่ามันสิ้นจะว่าไง แล้วท่านก็ไม่สงสัย สงสัยอะไรขาดสะบั้นลงไปในขณะนั้นแล้ว เหมือนฟ้าดินถล่ม อวิชชาขาดสะบั้นลงไป เผาศพมันเรียบร้อยแล้วด้วย กุสลา ธมฺมา ความฉลาดแหลมคมของสติปัญญา แล้วตัวไหนมันจะมาท้าทายอีกได้ล่ะกิเลส หมด นั่นละท่านหมดๆ อย่างนั้นนี่นะ ไม่ใช่ว่าหมดแบบเสกสรรเอาเฉยๆ ให้มันหมดไปจากใจของเจ้าของ สนฺทิฏฺฐิโก จะประกาศขึ้นด้วยกันทั้งนั้นแหละ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่การงานของพระโดยสมบูรณ์ วัดนี้ผมได้พยายามที่สุดแล้วเรื่องหน้าที่การงานอะไรที่ไม่จำเป็น ไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องรบกวนพระนะ ผมทำหน้าที่ของโลกช่วยโลกผมก็ช่วยไป นอกจากมันเป็นความจำเป็นก็ขอร้องจากพระให้ไปช่วยเป็นกาลเป็นเวลา ผมรักสงวนพระมากนะ คิดดูซิบริเวณนี้ใครเข้าไปได้เมื่อไร ให้อยู่ในบริเวณศาลา บริเวณข้างในเป็นสถานที่บำเพ็ญของพระไม่ให้เข้าไปกวน นอกจากคนที่รับใช้พระไปมานั้นก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง ส่วนคนภายนอกที่จะไปจุ้นจ้านอย่างนั้นไม่ได้ ผมเอาอย่างหนักเลยนะ ดุเลยเทียว เขียนไว้แล้วเห็นไหมนั่น เขียนไว้เพื่อใครอ่านล่ะ นี่ละเป็นอย่างนั้น เรารักสงวนหมู่เพื่อน ผมจะทำงานการเพื่อโลกเพื่อสงสาร ก็เพื่อโลกเพื่อสงสารจริงๆ เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ต้องคงเส้นคงวาหนาแน่นอยู่กับพระกับเณรนะ ไม่ยอมให้ลดหย่อนผ่อนผัน ให้อ่อนแอเพื่อกิเลสจะเข้าเหยียบหัวใจได้นะ ได้พยายามเต็มกำลังความสามารถ ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจด้วยกันทุกองค์ๆ นี่พระก็มีจำนวนมากๆ ขึ้นทุกวัน
โห เรื่องใจนี้อัศจรรย์จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าท้อพระทัย มันเป็นขึ้นในหัวใจดวงใดก็รู้เอง อย่างที่เมื่อเช้านี่ถึงอุทานออกมาอย่างว่า มันเป็นเองนะ ใครจะไปวัดรอยพระพุทธเจ้า พลังแห่งความผาดโผนของจิตที่แสดงขึ้นมาแปลกประหลาดอัศจรรย์ พุ่งขึ้นมาเลยมันก็ออกของมันได้ เป็นอย่างนั้นละอัศจรรย์ขนาดไหน มันถึงเป็นได้อย่างนั้นล่ะ ให้ตั้งใจปฏิบัติทุกองค์ๆ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดให้ชื่อว่าคน ให้ชื่อว่าสัตว์โลกเหมือนกันหมด ไม่มีใครไปสำคัญมั่นหมายว่าชาตินั้นวรรณะนี้ ชาตินั้นชาตินี้ อย่าเอามายุ่งกับมนุษย์เรา สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น มีเจตนาหวังอรรถหวังธรรมด้วยกัน เอ้า ปฏิบัติเพื่อความเป็นธรรมเหมือนกันหมด
ลูกแม่เดียวยังทะเลาะกัน พระที่มีความตั้งอกตั้งใจด้วยกันแล้วจะไม่มีการทะเลาะกันเลย นิ่มเหมือนอวัยวะเดียวกัน นี่ละอยู่ด้วยกันได้ ถ้ามีธรรมอยู่ด้วยกันได้หมด ถ้ามีกิเลสแล้วแตกได้นะ มีน้อยมีเท่าไรดูถูกเหยียดหยามกัน แล้วดูถูกไปหลายแบบหลายฉบับ กิเลสพิสดารมากอย่าให้มันเอื้อมออกมาได้นะ เอาธรรมตีหัวมันลงไป สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น อย่าให้เข้ามายุ่งกับวงปฏิบัติธรรมเพื่อสังหารกิเลสนะ
เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ เห็นสมควร พูดไปพูดมาก็รู้สึกเหนื่อยๆ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|