เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
แม้แต่สัตว์ยังมีธรรม
เวลานี้ทองคำเราที่มีตามหลังมาหลังจากมอบแล้วดูว่า ๑๖๐ กว่าใช่ไหม (๑๖๔ กิโล ครับ) เออ ๑๖๔ กิโล ที่ตั้งไว้อย่างน้อยก้าวแรกขึ้น ๕๐๐ กิโลเลยที่วันที่ ๑๒ เพราะวันนี้เป็นวันกำหนดไว้หนักพอสมควรเพื่อข้างหน้าได้แบ่งเบากัน หลังจากมอบแล้วก็ดูว่าได้ ๑๖๔ กิโล จากกระทรวงการคลัง ๑๐๑ กิโล ๑๖๔ ก็เพิ่มปะเขปะขาไปอีก ทีนี้ก็เร่งละ เร่งเรื่อยๆ เอาให้ได้ คุณค่าของชาติไทยเราที่จะเด่นกลบความเลวร้ายที่ผ่านมานี้ได้ ต้องกลบด้วยน้ำหนักทองคำ ๑๐ ตัน ดอลลาร์อย่างน้อย ๑๐ ล้าน พอดีกัน นี่ได้พิจารณาทบทวนผลบวกผลลบ จะแก้ไขเฉลี่ยกันยังไงถึงจะพอดี กะว่าพอดีแล้วกับทองน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน พอดี สง่าขึ้นเลย ถ้าต่ำกว่านี้ไม่เหมาะ เพราะฉะนั้นจึงต้องยกขึ้นตลอดเวลา ใครไม่รักชาติของตน จะจมประหนึ่งว่าขายหน้าชาติของตัวเองก็คือเมืองไทยเราที่เห็นมานี้ แต่ขายไปไม่ได้เมื่อไทยยังเป็นไทยอยู่ใช่ไหมล่ะ นั่น เอากันให้ได้ซี
เพราะฉะนั้นที่เราหนักแน่นๆ นี้เราพิจารณาเต็มกำลังแล้วนะ ไม่ใช่พรวดพราดออกมาจะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ อย่างนี้ไม่เอานะ พิจารณาทบทวนบวกลบคูณหารในแง่หนักเบาต่างๆ ทางได้ทางเสีย จะแก้ไขกันยังไงๆ ให้พอเหมาะพอดี ก็ลงในจุดทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันและดอลลาร์ ๑๐ ล้าน เรียกว่าเป็นอย่างน้อยเลย ต้องให้ได้ มิหนำซ้ำศาสนาพระพุทธเจ้าเคยแพ้ใคร เป็นศาสดาของโลกมาตลอดๆ นั้นเป็นมาด้วยความแพ้เหรอ หรือเป็นมาด้วยความชนะ ต้องเอานั้น นี่ก็เอาศาสนามานำด้วย ไม่ใช่มีแต่ทางโลกล้วนๆ ทางโลกนี้หมายความว่าที่เปิดเผยคือเทศน์ เช่นอย่างเราก็เป็นเทศน์ทางฝ่ายธรรม ทางบ้านเมืองก็เป็นเทศน์ทางฝ่ายโลก ธรรมมีเต็มหัวใจได้ด้วยกัน เพราะธรรมอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้อยู่ที่เทศน์อย่างเปิดเผยอย่างนี้ คือเทศน์นี่ประกาศเฉยๆ นะ ประเภทของธรรม ประเภทของโลก แต่ธรรมนั้นมีได้ทั่วไป มีได้หมด
ทางโลกเมื่อปฏิบัติเป็นธรรม บ้านเมืองก็เจริญขึ้นได้เพราะปฏิบัติเป็นธรรม บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ ถ้าปฏิบัติเป็นยักษ์เป็นผี ก็หาที่อยู่ที่กิน หากัดแต่ตับแต่ปอดคน นี่พวกยักษ์มาครองบ้านครองเมืองก็คอยเที่ยวกินตับกินปอด ครองบ้านครองเมืองกับการยกบ้านยกเมือง ก็คือผู้ครองบ้านครองเมือง เมื่อทำเป็นธรรมแล้วบ้านเมืองก็เจริญแน่นหนาฝาคั่งขึ้นมา หนี้ ไอเอ็มเอฟ ก็จะเสร็จสิ้นลงแล้ว ใครคาดได้เมื่อไร เราติดหนี้เขาจนจะจมเลย นี่ขึ้นมาแล้วเพราะอะไร ผู้นำก็เป็นธรรม วงราชการงานเมืองปกครองบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรมมันก็ขึ้นละซี ถ้าด้วยความเป็นโลกเป็นเลกเป็นยักษ์เป็นผีก็จม ดังที่เห็นๆ มาโดยตลอด เป็นแต่เพียงไม่อุจาดบาดตาเกินไปดังที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ อันนี้อุจาดมาก จนกระทั่งธรรมอยู่ไม่ได้ต้องโต้กันเลย มันขวางเอาขนาดนั้นว่างั้นเถอะ ขวางธรรม
ธรรมเป็นเครื่องร่มเย็นของโลก เมื่อขวางธรรมแล้วก็เอาไฟมาเผาซี เผามันก็อยู่ไม่ได้คนมีหัวใจ มันก็ออกรับกัน นี่เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น เราทำทุกอย่างเราไม่เคยนอกเหนือจากธรรม เราดำเนินธรรม เข็มทิศนี้จะตั้งตลอดเลย ขัดธรรมนิดหนึ่งไม่ฝืน ถ้าถูกธรรมแล้วคอขาดๆ ไปเลย นี่เรียกว่าธรรม เป็นอย่างนั้น
อย่างพระพุทธเจ้า เอา สลบๆ นั่นเห็นไหม จะเอาให้ได้ๆ ท่าเดียว ความมุ่งมั่นอยู่จุด แม้วิธีการปฏิบัติจะผิดพลาดไปบ้างเพราะงานไม่เคยทำ มันก็เป็นธรรมดา แต่ความมุ่งมั่นถูกต้อง ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแม่นยำมาก บืนอันนี้ไม่ได้ พลิกทางนี้ บืนอันนี้ พลิกไม่ได้ พลิกทางนี้ พลิกจนได้ ถอยเมื่อไรพระพุทธเจ้าเรา อันนี้เราก็เหมือนกันพลิกหาความเล็ดลอด ความสง่างามขึ้นเป็นลำดับลำดาด้วยความเป็นธรรม ก็ไม่ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะธรรมมีได้ทั้งฆราวาสและพระ แม้แต่สัตว์ยังมีได้
เราเดินจงกรมอยู่เราเห็นนกเขา ๒ ตัวมา คงจะเป็นผัวเมียกัน บินปั๊บๆ ๆ มาลง ตัวหนึ่งตัวผู้จะมาจากไหน ปั๊บมาลงด้วยกัน เมียก็อ้าปากขึ้น ผัวก็คายออกจากที่กินมาอิ่มแล้วนะ เราดู โอ๊ สัตว์เขาก็มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เห็นใจสงสารกันเหมือนกัน เลยติดใจมาจนกระทั่งป่านนี้ วันนี้ออกมาพูดเสียบ้าง นกเขา ๒ ตัว ตัวหนึ่งไปหากินมาท่า ตัวหนึ่งอาจจะคอยเฝ้าหรืออะไร แต่ก็อยู่ธรรมดา มาก็ลงมาหากันปั๊บ ตัวหนึ่งอ้าปาก ตัวหนึ่งก็เอาออกจากคอเจ้าของลงให้กันกิน เราดู เอ๊อ สัตว์เป็นอย่างนี้น้า ความเมตตาสงสารอะไรกัน ก็เท่ากับเห็นใจกันนั่นเอง มีตลอดสัตว์อย่าว่าแต่มนุษย์เราเลย แม้แต่สัตว์ก็มี เห็นชัดๆ
มนุษย์เรายิ่งเป็นสัตว์ที่สงสารกัน เพราะเป็นภาชนะที่จะรับรองอรรถธรรมได้มากกว่าสัตว์ ศาสนาก็ลงแดนมนุษย์นะ แดนฟ้าแดนสวรรค์ที่ไหนไม่ลงศาสนา มาลงแดนมนุษย์ที่เปิดเผย ทั่วโลกได้รู้กัน ศาสนาทุกศาสนาลงแดนมนุษย์ทั้งนั้น ไม่เคยลงที่ไหน ธรรมจึงเป็นสิ่งที่พยุงตลอดนะ ไม่มีคำว่ากดลง ธรรมจะพยุงเรื่อย พยุงให้สูงขึ้นเรื่อย สูงเท่าไรความสงบร่มเย็นยิ่งมีมากขึ้นๆ ถ้าธรรมยุบยอบเมื่อไรไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่จะยุบยอบลงด้วยกัน เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นของจำเป็นมาก แต่เวลานี้โลกไม่ได้มองดูธรรม มองดูตั้งแต่ความโลภ ได้เท่าไรไม่พอๆ กัดฉีกกันกินเหมือนหมูเหมือนหมา มนุษย์ว่าฉลาด ฉลาดอะไรอย่างนั้น ใครมีอำนาจบาตรหลวงใหญ่กดขี่ข่มเหงผู้น้อย ไม่คำนึงถึงศีลถึงธรรมเลย โลกมันก็เดือดร้อน
ดูซิเวลานี้โลกเดือดร้อนกว้างแคบขนาดไหน ผู้ครองโลกเสียด้วยก่อฟืนก่อไฟใส่กัน พิจารณาซิ นี่ละกิเลสเข้าตรงไหนเป็นฟืนเป็นไฟ โลกเดือดร้อนกันแทบว่าทุกหย่อมหญ้าอยู่ภายในๆ แสดงออกมาก็มีแต่ความโลภ ผู้ที่มีหัวใจด้วยกันก็ดู มันเห็นมันได้ยิน ขัดตรงไหนๆ ก็รู้กัน นี่ละเรื่องของกิเลสไปที่ไหนไม่ใช่ของดี ถ้าธรรมไปที่ไหนดีทั้งนั้น เฉลี่ยเผื่อแผ่กัน เรียกว่าธรรม ถ้าอำนาจบาตรหลวงมานั้นเป็นเรื่องของกิเลส อำนาจเป็นธรรม อำนาจเป็นโลกเป็นกิเลส มันมีอยู่ ๒ อำนาจ อำนาจของกิเลสเพื่อความฉิบหาย อำนาจของธรรมเพื่อน้ำดับไฟ มันดับกันไปอย่างนั้น
ถ้าไม่มีธรรมไม่ได้นะ เราดูแต่จิตของเราเถอะ วันไหนได้เรื่องเข้ามาแล้วมันมายุ่งหัวใจ เป็นเรื่องราวต่างๆ ก็จิตนั่นละออกไปเสาะแสวงหากว้านเข้ามา เอาไฟมาเผาตัวเอง ก็สร้างเหตุการณ์ขึ้นภายในใจให้คิดนั้นปรุงนี้เป็นฟืนเป็นไฟ จนกระทั่งนอนไม่หลับก็มี มากกว่านั้นเป็นบ้าไปก็มี ไม่ใช่ของดี ใจดวงนี้มันไปกว้านเข้ามา เพราะไม่มีน้ำดับไฟ คือธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม ไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรองเพื่อแก้ไขความคิดวุ่นวายที่เป็นฟืนเป็นไฟนั้นให้สงบลง มันก็ไม่สงบ ยิ่งไปหากว้านมา จนกระทั่งไหม้ไม่มีอะไรไหม้แล้ว ยังเหลือแต่เถ้าแต่ถ่าน ไฟไม่บอกมันก็ดับเอง กิเลสมันเผาสัตว์โลก เมื่อไม่มีอะไรเผามันก็ดับ ที่มีเชื้อไฟอีกมันเผาอีก อย่างนั้นละ
บางรายคิดจนกระทั่งมันหมดกำลังของมันไปเอง คือไม่มีอะไรแก้เลย ไม่มีธรรมเป็นเครื่องแก้เลย ปล่อยให้กิเลสเผาตลอดจนหมดสภาพไปเอง มีเยอะ ถึงขนาดเป็นบ้าเป็นบอแล้วเรียกว่าหมดสภาพ นอนไม่หลับนี่เข้าขั้นหมดสภาพนะ นี่คือกิเลสมันกวน เมื่อมีธรรมแล้วเข้าเป็นน้ำดับไฟระงับ ก็ลงในจุดพุทธศาสนาอีกเหมือนกัน ระงับๆ ยังไง มันคิดปรุง เรื่องราวนี่มาจากไหน ค้นเข้าไปหาต้นตอมัน นี่คือน้ำดับไฟ มันคิดเรื่องราวอะไร คิดไม่เห็นได้เหตุได้ผล เอาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาเราผู้คิด เราก็คนๆ หนึ่ง แล้วแก้ไขเหตุการณ์ที่มันคิดยุ่งเหยิงวุ่นวาย ระงับลงด้วยธรรม อันนั้นก็ระงับลง แก้กันได้ ทนได้ พออยู่ได้ ไม่มากก็พออยู่ได้
ทางด้านจิตตภาวนาก็แบบเดียวกัน วันนี้มันไปเอาอารมณ์อะไรมา จิตทำไมมันดื้อด้าน จะทำให้สงบให้เย็นมันไม่สงบ เพราะอะไร เข้มข้นเข้าไปหาสาเหตุของมัน ถ้าไม่ได้สาเหตุ ปักหลักลงในคำบริกรรมภาวนา ไม่ให้มันคิดเรื่องอื่น ให้คิดแต่เรื่องนี้ มันก็สงบลงเอง เพราะจิตทำงานหน้าที่เดียว เมื่อคิดทางกิเลสเป็นกิเลส เมื่อคิดทางธรรมกิเลสก็ระงับ เป็นธรรมขึ้นมา ทีนี้เราระงับทางกิเลสเสีย คิดทางธรรม ยับยั้งทอดสมอด้วยการภาวนา บริกรรมถี่ยิบไม่ให้มันออก บังคับเอาไว้
มันอยากจะคิดขนาดไหนไม่ยอมให้ออก ให้อยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียว เดี๋ยวก็สงบได้ เพราะปัญญาอย่างอื่นเรายังไม่มีแก้กัน เราเอาอันนี้ตั้งรากฐานไว้ด้วยคำบริกรรมภาวนา ระงับความคิดที่เป็นกิเลสด้วยความคิดที่เป็นธรรมดับกิเลส ทีนี้มันก็สงบลงได้ เป็นขั้นๆ อย่างนี้ มันเป็นขั้นๆ กิเลสมีหลายขั้นหลายตอน ธรรมะก็มีหลายขั้น นี่เรียกว่าขั้นถูไถกัน คือมันจะคิดมากเสียจริงๆ เราเอาคำบริกรรมมาบังคับเลย อกจะแตกให้มันแตกอยู่กับคำบริกรรม สักเดี๋ยวสงบ ไม่แตก กิเลสมันหลอกเฉยๆ จิตสงบลงได้ด้วยวิธีนี้ ด้วยวิธีคำบริกรรมภาวนาถี่ยิบ ไม่ให้มันเผลอออกไป เผลอไปปั๊บกิเลสเอาไปเลย ไม่ให้เผลอ อยู่กับพุทโธ นานเข้าๆ ทางนี้ก็มีกำลังค่อยสงบ เรื่องความคิดอ่านต่างๆ มันก็เบาลงๆ จิตสงบระงับ เรียกว่าเริ่มต้นเป็นพื้นฐานการระงับความยุ่งของใจ ระงับด้วยภาวนา แบบถูไถกันเลย บังคับกันเลย ให้อยู่กับคำบริกรรมตั้งเป็นรากฐานเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนจากนี้ มันจะคิดไปไหนไม่ให้คิด บังคับไม่นานมันก็สงบ นี่เป็นขั้น ๆ
ทีนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นปัญญา มันแย็บมาทางไหนปัญญาตามเลย นั่น อีกขั้นหนึ่ง ตามกันทันๆ สุดท้ายแย็บปั๊บเอากันแล้ว ทันแล้วๆ นี่ขั้นสติปัญญามีกำลังจากจิตตภาวนา การอบรมตนด้วยความถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ผลไม่เป็นอื่น ทีนี้โลก คำว่าภาวนาใครได้ยินที่ไหน ก็มีแต่หลวงตาบัวมาวอกๆ ถึงเรื่องภาวนา ให้ระงับใจนะ ความทุกข์อยู่ที่ใจ ความวุ่นวายเกิดขึ้นจากใจ ใจเป็นที่อยู่ของกิเลส กิเลสอยู่ที่ใจ มันสร้างเนื้อสร้างตัวมันจากใจของสัตว์ มันสร้างเนื้อสร้างตัวมัน แต่เอาฟืนเอาไฟเผาหัวใจสัตว์ คือกิเลส มันเกิดอยู่ภายในใจ
คำว่ากิเลส ๆ คือข้าศึกของใจนั่นแหละ หรือข้าศึกของธรรม ธรรมก็อยู่ที่ใจอันเดียวกัน งัดธรรมออกมาสู้กันก็ค่อยสงบ สงบได้หลายครั้งหลายหนธรรมมีกำลังขึ้น แกล้วกล้าสามารถว่องไวขึ้นเรื่อย ทีนี้กิเลสอ่อนตัวลงๆ มันเห็นชัดๆ อยู่กับนักภาวนา ไม่ใช่สักแต่ว่าภาวนาธรรมดา อันนั้นเป็นขั้นๆ ผู้ที่จะภาวนาเพื่อความพ้นทุกข์จริงๆ ต้องเด็ดเดี่ยวทุกอย่าง เพราะฉะนั้นมันถึงเห็นเหตุผลต่างๆ ทั้งฝ่ายกิเลสทั้งฝ่ายธรรม โต้ตอบกันยังไง แก้กันยังไง แพ้ชนะยังไง มันจะรู้ของมันเอง สมมุติว่าแพ้นี้ก็ประหนึ่งว่านอนไม่หลับ คือเคียดแค้นให้กิเลส นอนไม่หลับ จะแก้มันจนได้ เอาจนได้จริงๆ นั่นเรียกว่าความเคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรม ถ้าความเคียดแค้นโดยโลกทั่วๆ ไปเคียดแค้นกัน ให้สิ่งใด ผู้ใด สัตว์ตัวใดก็ตาม นี้เป็นกิเลสทั้งนั้น ท่านจึงเรียกว่าความโกรธเป็นกิเลส ถ้าเคียดแค้นให้ตัวเอง ที่เป็นข้าศึกกับตัวเอง เคียดแค้นเพื่อแก้มันปราบมันนี้เป็นธรรม
เคียดแค้นมากเท่าไรธรรมยิ่งแข็งแกร่ง ความอุตส่าห์พยายาม ความบึกความบึนมาพร้อมๆ กันแล้วทะลุ นั่น เรียกว่าความเคียดแค้นที่เป็นธรรม มันหลายอย่างนะ เวลานี้โลกมันเป็นอย่างนั้นแหละ อย่างเราพูดอยู่นี่เหมือนบ้าตัวหนึ่งนะ พูดให้โลกฟังไม่มีใครสนใจ สนใจตั้งแต่เรื่องฟืนเรื่องไฟเผาตัวเองตลอดทั่วโลก ไม่มีใครสนใจหาน้ำมาดับไฟโดยถูกทาง ทางก็คือทางธรรม อย่างอื่นดับไม่ได้ กิเลสไม่กลัวอะไร กลัวแต่ธรรมอย่างเดียว ถ้าธรรมกิเลสกลัว กลัวจนหมอบราบ จึงต้องเอาธรรมมาบังคับ เอาอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้ทั้งนั้น
เวลาได้ขึ้นเวทีมันถึงได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เอามาพูดนี้ โอ๊ย อย่างว่าแหละ ขี้ประติ๋วนะ มาพูดเท่าที่พูดได้ๆ แต่ความจริงระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้มองไม่ทัน ไม่รู้ ทั้งภาษากิเลสทั้งภาษาธรรม เจ้าของเป็นเจ้าของทั้งสองภาษานี้ยังมองไม่ทัน เวลามันรวดเร็วระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน นั่นเห็นไหมล่ะ เจ้าของยังมองไม่ทัน เหมือนนักมวยเขาต่อยกันบนเวที พวกแชมเปี้ยนก็ว่าสุดขีดความรวดเร็วของเขา แต่ความรวดเร็วระหว่างกิเลสกับธรรมที่ธรรมเกรียงไกรแล้วนี้ เร็วยิ่งกว่านั้นอีก เรียกว่ามองไม่ทัน เจ้าของเองผู้ดูอยู่บนเวทีนั้นก็ประหนึ่งว่ามองไม่ทัน พูดไม่ทัน ภาษานั้นละเอียดสุดที่จะนำมาพูดได้ ที่มันเป็นกันอยู่ภายในจิต มันถึงได้เห็นชัดเจนและพูดได้เต็มกำลังที่โลกจะฟังได้ในสมมุติขั้นนั้นๆ ถ้าอันไหนพูดฟังไม่รู้เรื่องก็จะพูดไปหาอะไร เวลาปฏิบัติเข้าไปแล้วเจ้าของก็รู้เอง รู้ด้วยกันทุกคน เป็นแต่เพียงว่าจะควรพูดไม่ควรพูด พูดได้หรือไม่ได้เท่านั้น มันเป็นอยู่ในหัวใจนี้หมดทั้งกิเลสทั้งธรรม ขนาดไหนก็เป็นอยู่ในหัวใจ รู้ในหัวใจ แต่พูดได้บ้างไม่ได้บ้างเท่านั้นเอง
จึงว่าศาสนานี้เป็นศาสนาน้ำดับไฟ พุทธศาสนาเป็นศาสนา เรียกว่าน้ำดับไฟ คือพุทธศาสนาเท่านั้น ดับลงถูกจุดไม่มีผิด คือพระพุทธเจ้าดับกิเลสด้วยธรรม เท่ากับน้ำดับไฟ ไฟคือกิเลส น้ำคือธรรม ดับกันเรียบ เป็นศาสดาขึ้นมาสอนโลก สอนวิธีการที่เอาน้ำดับไฟ ดับยังไงๆ เข้ามาสอน ทีนี้โลกมันไม่สนใจซี ดีไม่ดีมากต่อมากเห็นศาสนานี้เป็นภัยเป็นข้าศึก เมื่อเห็นว่าเป็นภัยเป็นข้าศึกก็ต้านทานธรรม เลยตำหนิติเตียนศาสนาไม่เอาเข้ามาเกี่ยวข้องกับตนพอเกิดประโยชน์บ้างเลย
นี่ก็เพราะกิเลสมันหนามันเอาศาสนามาเป็นข้าศึกต่อสู้กับศาสนา แล้วสร้างฟืนสร้างไฟให้สัตว์โลก มันเป็นอย่างนั้น โลกเป็นอย่างนั้นเวลานี้ ไม่มีธรรม ถึงได้ร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ถ้าธรรมออกแง่ไหนก็โจมตีกันเสีย กิเลสนั้นแหละ กองทัพกิเลสทั่วโลกมันโจมตีคนเดียว คือไม่มีใครสนใจ ไม่ฟัง ฟังตั้งแต่ฟืนแต่ไฟก็เผากันไปตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เผากันไปใหญ่ ที่จะมาเห็นโทษมันเห็นไม่ได้ง่าย ท่านจึงเรียกว่า ขนโคละซิ เป็นยังไงขนโค เคยเทศน์แล้ว พวกนี้มีแต่ขนโคเต็มอยู่นี้ นี่ละขนโค จะว่ายังไงมันไม่ยอมฟังเสียง พวกขนโคมันรุมทีเดียวเขาโคแหลกเลย เพราะมันมีเพียง ๒ เขา มาขวางมันได้ยังไงก็ขนโคเต็มตัว มันฟัดเอาทีเดียวแหลก เขาไม่มีเหลือเลย มันเป็นอย่างนั้นนะพวกเขาโค
ถ้าพูดถึงเรื่องเขาโคขนโค แหม ละเอียดลออมากจะแจ้งชัดเจนเลย คือสัตว์โลกที่จะบึกบึนไปตามกองทุกข์ทั้งหลายนี้มันเหมือนขนโคไม่ผิดเลยนะ แย็บหนึ่งที่จะมาเป็นธรรมพอเป็นเขาโคบ้างมีน้อยมาก สรุปลงมาหาตัวเจ้าของเองก็แบบเดียวกัน มาวัดอย่างนี้มีตั้งแต่ขนโคเต็มตัว เขาโคเลย โคบางตัวไม่มีเขาเรียกว่าโคหัวโล้น แล้วพวกเรานี้มันกลายเป็นโคหัวโล้นไปหมด ๒ เขาว่าจะมีมันก็ไม่มี ถูกกิเลสเอาเรียบวุธ เลยเป็นโคหัวโล้นมา พวกนี้เป็นพวกโคหัวโล้นมันไม่มีเขา ถูกกิเลสปราบราบเลย ๆ พอจะภาวนาจะตั้งเขาขึ้น ขนมันฟาดเอาแหลกเลย ได้ยินเสียงดังครอก ๆ อู๊ย.ขนโค ๆ ดังครอก ๆ อยู่บนหมอน มีตั้งแต่ขนโคเข้าใจไหม ขนโคเป็นยังไงอย่าให้ถามเลย นี่เราเข้าใจแล้วนะนี่ แต่ไม่ตอบไม่พูด ให้ไปพิจารณาเองขนโค ไปที่ไหนมีแต่ขนโค
นี่ระยะที่กิเลสมีอำนาจมากมีอย่างนั้น ทำให้โลกมืดไปหมดไม่ให้มองเห็นอะไรเลย ให้เห็นตั้งแต่กิเลส จะเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถขนาดไหนก็ว่าเป็นทองทั้งแท่ง ๆ อยู่อย่างนั้น โลกจึงหาความเบื่อหน่ายอิ่มพอไม่ได้นะ นู่น เวลาธรรมขึ้น ธรรมจับปั๊บมันรู้นี่ว่าไง นี่ละพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย คือสิ่งที่พระองค์ครองอยู่นั้นมันเลิศเลอขนาดไหน กับมูตรกับคูถเหล่านี้ต่างกันยังไงบ้าง นี่ละท้อพระทัย แล้วสัตว์โลกชอบอันนี้ทั้งนั้น นั่น ที่พระองค์ครองอยู่นี้ใครจะรู้เนื้อรู้ตัวมาชอบได้ยังไง ไม่ชอบ ไม่รู้ ขึ้นเบื้องต้นพระพุทธเจ้าสอนโลก พระองค์รู้ก่อนสอนโลก แล้วสอนทั้งท้อพระทัย แต่ถึงอย่างนั้นก็ย่อมต้องบึกบึนสอนกันไปดังเรา ๆ ท่าน ๆ พอได้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว โอ๊ย.ลำบากมากนะ จึงต้องได้บึกบึนกัน ไม่บึกบึนไม่ได้
ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วพอบึกพอบึน ถ้าเชื่อโดยหลักธรรมชาติคือกิเลสภายในใจบืนไม่ได้ มันตีเอาตกทะเลเลย เรื่องอำนาจของกิเลสรุนแรงขนาดนั้น เรียกว่า ธรรมไม่มีอำนาจเลย ตอนที่ยังไม่มีอำนาจเป็นอย่างนั้น แต่ตอนที่ธรรมมีอำนาจก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว อยู่ไม่ได้ มีแต่อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้เลย จะผ่านจะพ้นเหมือนว่าหวุดหวิด ๆ จับความพ้นทุกข์คือนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ อันนี้ประเภทนี้ประเภทเรียกว่า ดิ้นสุดขีด จนลืมหลับลืมนอนกลางคืนกลางวัน กินอยู่ปูวายอะไรไม่สนใจทั้งนั้น มารวมอยู่จุดอยู่บนเวที คือระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันด้วยความเข้มข้น ที่จะเอาชัยชนะกิเลสให้ได้ ๆ นอกนั้นไม่กังวลอะไรหมด
ที่นำมาพูดตั้งแต่ผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ถึงจะยังไม่ได้ธรรมะขั้นสูง ความมุ่งมั่นของท่านก็หนักอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างท่านไม่ถือเป็นกังวลนะ ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติฝึกหัดจิตใจเพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านจะไม่มีสิ่งภายนอกดังโลกที่วุ่นกันเป็นบ้าอยู่นี่เข้ามาเกี่ยวข้องใจนะ ท่านจะมีแต่เรื่องของธรรมหมุน เอ้า จะกินยังไงก็แล้ว จะกินจะหลับจะนอนจะใช้จะสอยอะไรมันของเล็กน้อยนิดเดียว ๆ เมื่อเทียบกับการบุกเพื่อชัยชนะเอามรรคผลนิพพานมาครอง มันมีน้ำหนักมากกว่ากัน จิตจึงหมุนติ้วอยู่กับธรรม ด้วยเหตุนี้เองที่เคยพูดให้ฟังว่า พระท่านที่มุ่งต่ออรรถต่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานจริง ๆ แล้วท่านสบายมากนะ ท่านง่ายมากกับสิ่งภายนอก แต่ยุ่งมากกับกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ ท่านเอาตรงนี้ ท่านถือเป็นเรื่องใหญ่โตจริง ๆ นอกนั้นไม่ยุ่ง ได้กินได้นอนได้ใช้อะไรไม่สนใจ จะสนใจตั้งแต่ชัยชนะ นี่เรียกว่างานของท่านมีอันเดียว
ทีนี้เวลาได้หลักได้เกณฑ์เป็นลำดับไปแล้วยิ่งขึ้นใหญ่ละที่นี่นะ ยิ่งหนุนขึ้นใหญ่ ๆ ถึงขนาดว่า ลืมเวล่ำเวลาที่จะหลับจะนอน อะไรก็ลืมไปหมดเหลือแต่อันเดียว คือมันหมุนขนาดนั้น นอนก็เคยนอนมาตั้งแต่วันเกิด แล้วทำไม บทเวลามันได้หมุนเหมือนไม่เคยนอนเลย ไม่สนใจ นั่น นี่ละเวลาธรรมมีกำลังกล้าไม่ใช่ว่า มีแต่กิเลสมีกำลังกล้าอย่างเดียวนะ ถึงเวลาธรรมมีกำลังกล้าเป็นอย่างนั้น พูดแล้วให้มันชัดลงไปก็คือว่า ขอให้มันเป็นในใจเถอะน่ะ มันไม่ได้สนใจกับว่าใครจะเชื่อไม่เชื่อเข้าใจไหม อันนี้มีกำลังมากเหยียบไปหมดเลย ที่จะไปเอาใครมาเป็นสักขีพยาน เอาใครก็หมายความว่าพวกส้วมพวกถานมาเป็นสักขีพยานทองคำทั้งแท่ง ลบทองคำลงหรืออย่างนี้มันก็ไม่มี มีแต่เหยียบไป
ลงได้เป็นอย่างนั้นแล้ว นั่นละที่ว่าหมุนตลอดเวลาเลย นี่เป็นเองแหละ อันนี้เรียกว่าเป็นเอง ที่เคยพูดให้ฟังว่า กิเลสมันเป็นอัตโนมัติของมัน สร้างผลประโยชน์ของมันบนหัวใจของสัตว์ แต่สร้างฟืนสร้างไฟเผาหัวใจสัตว์โลกนี้มันมีอยู่ทุกดวงใจ เป็นอัตโนมัติ คิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องกิเลสไปหมดเป็นอัตโนมัติ นี่เวลาพื้นฐานของกิเลสแท้มันก็เป็นอัตโนมัติในการสร้างตัวของมัน และผลที่ได้รับก็คือพวกสัตว์โลกรับเคราะห์รับกรรม มันสร้างผลของมัน นี่เวลามันหนาแน่นเป็นอย่างนั้น
ทีนี้เวลาธรรมะนี้หมุนเข้า ๆ พอถึงขั้นพอฟัดพอเหวี่ยงกันแล้วทีนี้ไม่ต้องบอก ค่อยฟัดเหวี่ยงกันไปเรื่อย พอเห็นผลที่จะก้าวให้หลุดพ้นแล้วทีนี้มันเป็นอัตโนมัติเลย เรื่องความเพียร เรื่องอรรถเรื่องธรรมทำงานเพื่อความพ้นทุกข์นี้จะเป็นอัตโนมัติเช่นเดียวกับกิเลสมันสร้างภพสร้างชาติ สร้างกองทุกข์ให้สัตว์เป็นอัตโนมัติของมันนั้นแหละ ที่จะแก้กิเลสออกให้หลุดพ้นนี้ก็เป็นอัตโนมัติของธรรมเอง อยู่ที่ไหนอยู่ ถ้าลงถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็ไม่อยู่ อยู่ในโลกจม ๆ นี้นะ มีแต่จะให้หลุดให้พ้น จึงเรียกว่า คว้าแต่พระนิพพานหวุดหวิด ๆ จับผิดจับถูกคือจวนเต็มที่หมุนเต็มที่ นั่น นี่ละธรรมเวลามีกำลังแล้วก็เป็นอัตโนมัติแก้กิเลสตัวเป็นภัยได้ เช่นเดียวกันกับกิเลสเหยียบย่ำทำลายธรรมด้วยอัตโนมัติของมัน มันเป็นเสมอกันนะ
ที่ท่านว่า อกาลิโก ๆ เป็นได้ทั้งกิเลสเป็นได้ทั้งธรรม เสมอกันเหมือนกันไม่มีอะไรจะยิ่งหย่อนกว่ากัน อกาลิโก ถ้าไปทางกิเลสเป็นกิเลสวันยังค่ำ ถ้าว่ามรรคหรือผลไม่มีไม่ได้ผลนี้ ทำไปเท่าไรก็ไม่ได้เลยนะ กิเลสสร้างกองทุกข์ให้สัตว์ สร้างเท่าไรสัตว์ยิ่งมีแต่ความสุขมันไม่มีเข้าใจไหม สร้างเท่าไรยิ่งทุกข์มาก ๆ นี่เรียกว่า มันเป็นผลเสมอกันเพราะสร้างไปทางกิเลส มันต้องเป็นกิเลสวันยังค่ำเป็นทุกข์วันยังค่ำ พลิกปั๊บ เอ้า สร้างทางด้านธรรมะ สร้างทางด้านธรรมะก็เป็นธรรมะไปเรื่อย ๆ เป็นธรรมะวันยังค่ำเป็น อกาลิโก ตลอดไป เมื่อสร้างเต็มเหนี่ยวกิเลสพัง คำว่า อกาลิโก มีได้ทั้งกิเลสมีได้ทั้งธรรม
นี่เราก็ได้พยายามกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เวลามีชีวิตอยู่นี้ก็สุดเหวี่ยงเหมือนกัน คราวนี้เป็นคราวสุดเหวี่ยงสำหรับที่ช่วยพี่น้องทั้งหลาย สุดเหวี่ยงของตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง จากนั้นก็มาสุดเหวี่ยงกับบรรดาพี่น้องชาวไทยเรา เดี๋ยวนี้กำลังมัดกันเอาสุดเหวี่ยงเหมือนกัน ที่ว่าทองคำให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้านนี้เอาสุดเหวี่ยงเหมือนกัน เอาให้ได้ ไม่ได้เมืองไทยจะไม่มีเสียงว่าไทยนะ มีแต่เสียงเหลวไหลเหลวแหลกเต็มเมืองไทยใช้ไม่ได้นะ ต้องเป็นตัวของตัวด้วยกันทุกคน นี่เรียกว่าสร้างความแน่นหนามั่นคง ความสง่าราศีให้แก่ชาติของตน ต้องเอาให้เต็มเหนี่ยว ๆ พากันจำให้ดีนะ เอาเท่านี้ละวันนี้พอ
(วันนี้มีปัญหาทางอินเตอร์เน็ต) เอ้า ว่ามาซิ ปัญหาอะไร (อันนี้เขากราบเรียนถามว่า ลูกไปภาวนาตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอ ถ้าเป็นช่วงวันหยุดยาวก็จะอยู่ได้หลายวัน ครั้งหนึ่งไปภาวนาที่ถ้ำสหาย ๘ วัน ก็พยายามทำความเพียรมิได้ขาด วันหนึ่งเดินจงกรม ๘ โมงเช้าถึง บ่าย ๒ โมง วันนั้นลูกรู้สึกสติจดจ่อทำงานต่อเนื่องดี เห็นอะไรก็พิจารณาลงไตรลักษณ์ได้ สติทำงานคล้ายหมุนไปตลอด พอตอนเย็นลงไปภาวนาที่ถ้ำใต้คนเดียว หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้วเดินจงกรมตั้งแต่ ๑ ทุ่ม พอ ๒ ทุ่มกว่าก็รู้สึกเพลีย ก็เลยนอนพักโดยกำหนดสติไปด้วย มารู้สึกตัวตอนเกือบ ๕ ทุ่ม จึงลุกขึ้นมาเดินจงกรมต่อ ก็ได้ยินเสียงสัตว์ใหญ่หรืออะไรก็ไม่ทราบ ตามต้นไม้ข้าง ๆ ซึ่งเป็นป่าเกิดความกลัวขึ้นมาก็เลยกลับมานั่งสมาธิต่อ จิตก็หดตัวรวมลงเพราะความกลัวนั้น สติจึงจดจ่ออยู่ที่จิตนั้น
ขณะนั้นเวทนาก็เกิดขึ้นที่ขาด้วย จิตก็จดจ่อพิจารณาอยู่ที่จิตนั้น ก็มีความคิดเกิดขึ้นว่า เวทนาที่เกิดขึ้นที่กายน่าจะมีอะไรสัมพันธ์กับจิต แล้วทันใดนั้นก็มีความรู้สึกขึ้นว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีฐานอยู่ที่จิตแต่ไม่ใช่จิต เป็นเหมือนเพื่อนบ้านกัน แต่จิตเราไปหลงคิดว่าเป็นอันเดียวกันกับจิต เพราะมันอยู่ใกล้กันมากเหมือนพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนั้นก็เกิดความรู้สึกมองเห็นภาพว่าจิตอันหนึ่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอีกอันหนึ่งแยกกันอยู่ จิตยอมรับเหตุผลอันนี้จึงจดจ่ออยู่ที่จิต พร้อมกับเห็นเวทนาเป็นอีกอันหนึ่งไม่ใช่จิต สติก็จดจ่อทำงานอยู่ที่จิตไม่สนใจเวทนาเลย จึงทำให้นั่งในอิริยาบถเดียวกันจนถึงเช้า สติทำงานหมุนตัวไปตลอด พิจารณาลงธรรมะได้หมด เพลินสนุกไปตลอดคืน พอเช้าลุกขึ้นจากที่ก็ล้มลงไปเลย เพราะขานั่งพับอยู่ตลอดคืน ความจดจ่อหมุนตัวของสตินี้ต่อเนื่องกันนานราว ๓ วันก็ขาดไป เพราะต้องกลับบ้านมาทำงานต่อ แต่ลูกก็พยายามหาเวลาภาวนาอยู่เสมอ ๆ และตั้งใจจะหาเวลาปฏิบัติให้มากขึ้น ๆ เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่อุตส่าห์เหนื่อยยากลำบากเพื่อสั่งสอนลูกหลานมาโดยตลอด
ขอเมตตาหลวงตาช่วยแนะนำแนวทางปฏิบัติต่อให้ลูกด้วยค่ะ บางครั้งภาวนาจิตสงบสักพักก็มีเสียงคล้ายระเบิดตูมแล้วก็เงียบหายไป ทำให้สะดุ้งเล็กน้อยแต่พยายามจดจ่ออยู่ที่จิตไม่คิดปรุงแต่งออกไป บางคราวเกิดระเบิด ๒ ครั้งก็มี ลูกไม่เข้าใจว่าเกิดจากอะไร กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง)
หลวงตา อะไรที่เกิด นั่นนะ เกิดจากอะไร
โยม เสียง คล้ายระเบิดตูม
หลวงตา เออ ๆ เข้าใจ
โยม กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง ลงชื่อ คนบางกะปิ
หลวงตา บางกะปิ
โยม ชื่อคนถามว่า บางกะปิ
หลวงตา ตอบคนบางกะปิ ที่พูดมานี้ถูกต้องทุกอย่างแล้ว เหมาะสม ให้ดำเนินตามนั้นไป แต่อย่าไปยึดเอาที่เคยผ่านเคยเป็นมาแล้วนั้นมาเป็นอารมณ์ในเวลาภาวนา แต่ให้พิจารณาตามที่เคยได้ผลมาแล้วนั้นมาเป็นปัจจุบัน เช่น แยกเวทนา แยกความสุข ความทุกข์ แยกสิ่งต่าง ๆ ที่เรียกว่า ขันธ์เป็นอันหนึ่ง ใจเป็นอันหนึ่งนี้ ให้ทำอย่างนี้ตลอดไป แต่อย่าเป็นสัญญาอารมณ์ ให้ทำเป็นปัจจุบันแล้วมันจะเกิดขึ้นอย่างนั้นอีกเข้าใจเหรอ ถูกต้องแล้วที่พิจารณาอย่างนี้ ถูกต้องมาเป็นลำดับ แต่เสียงตูมตามช่างหัวมันเถอะอย่าไปยุ่งกับมันเข้าใจเหรอ มันก็เกิดจากใจ ถ้าเป็นคนตายแล้วไม่ได้ยินแหละเสียงตูมตาม ถ้าแกจะอยากดับเสียงตูมตามให้ตายเสียให้ว่าอย่างนั้นนะ มันจะได้ยินหรือไม่ได้ยินใครก็รู้ด้วยกัน อันนี้เป็นปัญหาปลีกย่อยตอบกันปลีกย่อยไปอย่างนั้นแหละ แต่ส่วนใหญ่ถูกต้องแล้วนะ บอกให้ยึดหลักนี้ให้ดี แต่อย่านำสิ่งที่เป็นผลผ่านมาแล้วนั้นมาเป็นอารมณ์ในเวลาภาวนา ให้พิจารณา เรียกว่า หาใหม่เข้าใจไหม หาใหม่ขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ มันจะปรากฏขึ้นมาอย่างนั้นแหละ ก็มีเท่านั้นละนะ
โยม มีอีกคนหนึ่งครับ เขาก็ออกปฏิบัติธรรม แต่เขาก็ถ่อมตัวว่าปฏิบัติธรรมได้เล็กน้อย ออกปฏิบัติแล้วเกิดอาการ เช่น ยิบยับที่อกตลอดเวลา
หลวงตา อะไรยิบยับ
โยม เต้นยิบยับตอนปฏิบัติธรรม ผมก็ได้รับคำแนะนำให้จับอาการเต้นนั้นไปเรื่อย ๆ การเต้นโดยเริ่มต้นเหมือนกับใจของผมเป็นคนเต้นเอง สุดท้ายผมก็มีอาการวางการเต้นนั้น ซึ่งปัจจุบันยังเต้นอยู่ ตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่าการยึดต่าง ๆ ทุกสิ่งล้วนเป็นทุกข์ ผมจึงไม่อยากยึดอะไรเลย แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่ายังมีความจำเป็นอยู่ที่ใจ ต้องเกาะบางสิ่ง ซึ่งใจผมตอนนี้เหมือนมี ๒ อย่าง คือสิ่งที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา บางครั้งก็เต้นบางครั้งก็วูบวาบ อีกสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งว่าง ๆ กระผมได้ระลึกถึงสิ่งว่าง ๆ นั้นอยู่ เพราะเห็นว่าระลึกแล้วเบาที่สุดเบากว่าเพื่อน ข้อสงสัยคือ
ข้อ ๑ ผมไม่แน่ใจว่าการปฏิบัติของผมในเรื่องนี้ว่า เกิดอาการและมีความเห็นที่ถูกต้องหรือไม่
ข้อ ๒ หากถูกต้อง ขออุบายในการปฏิบัติต่อไป ควรจะเป็นแบบใดดี
ข้อ ๓ ขณะที่ผมเกิดอาการกระตุก ตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุบ่อยครั้งซึ่งกระผมไม่ได้กลัวว่าจะเป็นอะไร แต่กระผมอยากขอคำสอนของหลวงตาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว กราบมาด้วยความเคารพอย่างสูง
หลวงตา เขาภาวนาเอาอะไรเป็นอารมณ์
โยม เขาไม่ได้บอกมาว่าเอาอะไรเป็นอารมณ์
หลวงตา ควรจะมีอารมณ์ของธรรมเป็นหลักของใจ เช่น อย่างคำบริกรรมนี่เรียกว่า อารมณ์ของธรรม มาเป็นหลักของใจคือ บริกรรมให้ติดอยู่กับนั้นเข้าใจไหม เรื่องภายนอกมันก็จะจางไป อันนี้หลักใจยังวอกแวกอยู่มาก อะไรเอะอะก็ไปติดอะไรเอะอะไปติด เพราะหลักใจไม่มีเข้าใจเหรอ ก็มีเท่านั้นละ
ส่วนที่เขาพูดว่าอยู่ถ้ำสหายนั้นถูกต้องดีนะ ดีถูกต้องไปหมดเพราะที่กล่าวเหล่านี้เราพิจารณามาหมดแล้ว คือมันแยกมันแยะ ๆ ของมันเองจนกระทั่งต่างอันต่างจริงไม่มีอะไรเป็นข้าศึกต่ออะไร เช่น กายก็สักแต่ว่ากาย คนตายแล้วกายก็มีเอาไปเผาไฟมันก็ไม่มีอะไร ไม่แสดงความทุกข์ ความลำบากอะไร เวทนามันเกิดขึ้นคือ ความทุกข์เป็นต้นนะ มันก็ไม่มีความรู้สึกในตัวของมันว่ามันเป็นเวทนาคือกองทุกข์ต่อมันหรือต่อผู้ใด มันเป็นความจริงอันหนึ่งของมัน ทีนี้จิตตัววอกแวกคลอนแคลน คอยไปหมายนั้นหมายนี้ เวลารู้โทษของตัวเองที่ไปหมายนั้นแล้ว จิตก็ถอนตัวเข้ามาเป็นความจริงในขั้นนี้ แล้วไม่ไปยุ่งกับเขา ทีนี้จิตก็จริง เวทนาความทุกข์ก็จริง กายก็จริงแล้วไม่กระทบกัน จิตอยู่สบาย อย่างน้อยสบาย มากกว่ากันลงปล่อยผึงเลย ลงเลย นี่ที่เขาพิจารณานี้ถูกต้องแล้วให้ดำเนินอย่างนั้นต่อไป แต่อย่าไปถืออารมณ์ที่ผ่านมาแล้วนั้นมาเป็นอารมณ์ในปัจจุบัน เลยยึดอันนั้นเป็นอารมณ์ยุ่งอยู่ข้างนอกไม่เอา ให้เป็นอารมณ์ปัจจุบันคือว่าให้หาใหม่ ให้พิจารณาอย่างนั้นละใหม่ มันเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ กี่ครั้งกี่หนสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดไป เป็นผลประโยชน์ตลอดไป ถ้าเรายึดเป็นสัญญาอารมณ์เข้ามามันก็เป็นปริยัติเป็นความจำไปเสียไม่เกิดประโยชน์ เอาละนะพอ
โยม ครับอันนี้ไม่ต้องสนใจนะครับ เวลาจิตสงบแล้วเสียงระเบิดดังตูมนี่ครับไม่ต้องไปคิดมัน
หลวงตา เออ ไม่ต้องไปยุ่ง ตูมก็ช่างหัวมัน มันดับไปแล้วแหละนะ ถ้าอยากเป็นบ้าก็ให้วิ่งตามหามัน มีคนถามไปอะไร ไปหาเสียงที่มันดังเมื่อคืนนี้ให้ว่า เข้าใจไหม มันเกิดมันดับมันแสดงทุกอย่างยังบอกแล้ว เรื่องธรรมเรื่องกิเลสพิสดารมากในหัวใจ เพราะฉะนั้นเวลาเราเข้าจุดศูนย์กลางคือ จิตตภาวนามันถึงได้เจอทุกอย่างในนั้นหมด เอาละนะ
โยม อันนี้ดีครับ อีกนิดหนึ่ง เขาบอกผมได้อ่านประวัติหลวงตาหยดน้ำบนใบบัวตอน ๑ คือว่าตอนที่หลวงตาเกิดภาวะจิตเสื่อมแล้วได้ขออุบายวิธีการแก้จาก หลวงปู่มั่น โดยหลวงปู่มั่นให้ภาวนาพุทโธในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ให้ภาวนา พุทโธ ตลอด อย่างนี้ผมก็เลยมีข้อสงสัยว่าถ้าเรากำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ กินนอน แล้วให้ภาวนาพุทโธตลอดอย่างนี้ ใจเราจะเกิดสมาธิได้เหรอครับ
หลวงตา ก็ให้เลือกเอา ถ้ามันแยกไม่เป็นอย่างนั้น เวลาจะทำงานก็ทำเสีย เอาพุทโธเข้าไปไว้ในตู้ในหีบเสีย เข้าใจไหม เวลาจะมาพุทโธ ก็พุทโธเสีย งานนั้นเก็บทิ้งลงในเหวในบ่อไปเสียเข้าใจเหรอ ถ้ามันแยกไม่ได้ ถ้ามันแยกได้ไม่ต้องถามใครละอย่างนี้มันเข้าใจ กิเลสมันกี่ประเภททำงานอยู่บนหัวใจมันไม่เห็นว่ากิเลสตัวนั้นมาถกเถียง กิเลสตัวนี้ทำงานไม่สะดวกไม่เห็นว่าใช่ไหม มันเป็นกิเลสด้วยกันวันยังค่ำมันยังไปด้วยกันได้ใช่ไหม อันนี้ธรรมทำไมจะไปด้วยกันไม่ได้วะ ถ้าไม่ใช่ธรรมของคนบ้าเช่นอย่างคุณเป็นต้นเท่านั้น เอาละพอ
โยม นี่ครับเขาถามต่อ บอกว่า จะใช้สมาธิอยู่กับคำภาวนาหรืออยู่กับกิจกรรมที่เราทำดีครับ
หลวงตา เท่านั้นไม่ตอบอีก
โยม หมดแล้วครับผม
หลวงตา เออ ทางนี้มันหมดก่อนแล้ว บอกไม่ตอบหมดแล้ว หมดตั้งแต่ยังไม่บอก เท่านั้นละนะ มันตั้ง ๙ โมงแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นภาวนาเข้าท่าดี ที่เขาแยกแยะ นี่มันเป็นเองในจิตนะ เขาไม่ได้ไปศึกษาจากใคร หลักธรรมชาติมีอยู่ในนั้น พิจารณาแยกอันนั้นแยกอันนี้ มันหากเป็นของมันนะ แยกไปแยกมาก็เข้าใจ ๆ จึงบอกตอบรวม ๆ เลยว่า ถูกต้องหมดเป็นลำดับลำดา เขาพิจารณานั้นถูกต้องหมดแล้ว
ชมการถ่ายทอดสดทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|